แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย การบรรยายเนื่องในการทำบุญล้ออายุนี้เป็นตอนที่สาม ได้ตั้งใจไว้ว่า จะเอาเรื่องที่เกี่ยวกับบรรพชิต หรือแม้ที่สุดกับอุบาสกอุบาสิกามาเป็นเรื่องสำหรับวินิจฉัยดู เมื่อตอนกลางวันก็ได้พูดถึงเรื่องชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนใหญ่ ทีนี้ก็มาถึงตอนที่จะพูดเกี่ยวกับบรรพชิตหรืออุบาสกอุบาสิกาที่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาเพราะว่ายังมีความคิดนึกศึกษาหรือการปฏิบัติสูงไปกว่าชาวบ้านธรรมดา ก็เลยอาจจะพูดรวม ๆ กันไปได้กับพวกบรรพชิต
สำหรับคำว่า บรรพชิต ก็ควรจะเข้าใจกันได้ไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ก็คงจะมีบางอย่างบางส่วนที่ยังเข้าใจไม่ได้ ซึ่งในที่นี้ก็จะได้ชี้ให้เห็นส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมทั่ว ๆ ไป มีความหมายพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ “ต้องไม่เป็นทาสของสิ่งใด” จะเป็นพุทธบริษัทนี่มีความหมายต้องไม่เป็นทาสของสิ่งใด จึงจะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น หรือผู้เบิกบาน ทีนี้เรามักจะเข้าใจผิด ไม่ค่อยคำนึงถึงข้อที่ว่า ยังตกเป็นทาสของสิ่งใดอยู่ ก็จะให้เรียกว่า “บรรพชิต” สำหรับคำว่าบรรพชิตนี้ก็แปลว่า ผู้บวชคือผู้มีบรรพชา ถึงบรรพชา แล้วก็มีการเว้นหมดไปหมดจากความเป็นฆราวาส จึงมีความประเสริฐวิเศษกว่าธรรมดาจึงได้เรียกว่า “พระ” คำว่าพระนี้ถือกันว่ามาจากคำว่า “วร” ที่แปลว่าประเสริฐ คือประเสริฐตรงที่ว่าเว้นอะไรได้ดีกว่า หรือไม่เป็นทาสของสิ่งใดยิ่งไปกว่าฆราวาส ถ้าเรียกว่า “ภิกษุ” มันก็เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ก็หมายความว่าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานจึงจะได้ชื่อว่าเห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้ามันยังหลับอยู่หรือยังไม่เบิกบานแล้วจะเห็นภัยในวัฏสงสารได้อย่างไร นี่มันมีความหมายลึกซึ้งหรือว่ามีค่ามากทั้งนั้น ที่เรียกว่า “สมณะ” ก็แปลว่า สงบ ระงับ
คำทั่ว ๆ ไปที่เขาใช้เรียกบรรพชิตในประเทศอินเดียนั้น เขาเรียกว่า “สาธุ” คำว่าสาธุนั้นในประเทศอินเดียใช้เป็นคำนามเรียกชื่อบรรพชิต ก็เลยทำให้เข้าใจว่า ที่เขาใช้ให้เด็ก ๆ สาธุเพื่อให้ไหว้ ให้เด็กเล็ก ๆไหว้พระแล้วบอกว่าสาธุ สาธุ นี่เข้าใจว่ามันเป็นความหมายอีกอย่างหนึ่ง คือชี้ให้เด็กเห็นว่า สาธุนั่นมา ให้ไหว้เสีย ถ้าสาธุคำนี้เป็นคำนาม เป็นชื่อของนักบวช
อีกคำหนึ่งก็เรียกว่า “ญัตติ” หรือ “ญัตตี” ก็แปลว่าผู้สำรวม “สาธุ” ก็แปลว่าดี แปลว่าคนที่มันดีกว่าธรรมดา พิจารณาดูทั่ว ๆ ไปแล้วก็จะเห็นว่า คำว่าบรรพชิตนี่มีความหมายสูง มีค่าสูง ยิ่งเป็นคำพิเศษ เช่นคำว่า พุทธบุตร พุทธชิโนรส อย่างนี้ด้วยแล้วยิ่งมีความหมายสูง แล้วก็เฉพาะในพุทธศาสนาโดยตรง
คำว่าพระ บรรพชิต หรือแม้แต่คำว่าภิกษุนี่ก็มีในศาสนาอื่นได้ แม้แต่คำว่า สมณะ ก็ยังมีในศาสนาอื่นได้ แต่ไม่ใช่สมณะอย่างเดียวกับในพุทธศาสนาเท่านั้น คือไม่ได้หมายถึง พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นต้น อย่างในพุทธศาสนา
ในพุทธศาสนา ก็มีคำว่าพุทธบุตร พุทธชิโนรส นี่มีความหมายพิเศษไปกว่าธรรมดา เราก็ต้องรู้ว่ามันวิเศษกันอย่างไร สำหรับในเวลานี้ในคราวนี้อยากจะระบุว่า วิเศษตรงที่ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งใด ท่านทั้งหลายทุกคนแม้จะเป็นอุบาสกอุบาสิกานี่ลองคำนวณดูว่า เราเป็นทาสของสิ่งใดบ้าง
ถ้ารู้จักคำว่าทาสถูกต้องตามแบบของพุทธบริษัท ก็บางทีจะถึงกับสะดุ้ง เพราะที่มักจะเป็นทาสกันอยู่บ่อย ๆ เคยคิดหรือเปล่า รู้หรือเปล่าว่าพอเรารู้สึกอร่อยในสิ่งใด มันก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นทันที ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เมื่อมีความอร่อยเป็นที่ถูกอกถูกใจ รู้สึกอร่อยมันก็ตกเป็นทาสของสิ่งนั้นทันที รูปที่สวย พอเห็นเข้าก็ชอบ นี่ก็ตกเป็นทาสของรูป เสียงที่เพราะไปจับอกจับใจเข้ามันก็เป็นทาสของเสียง กลิ่นก็เหมือนกัน รสก็เหมือนกัน ที่ร้ายแรงก็คือ โผฏฐัพพะ สัมผัสทางผิวหนัง รู้สึกได้มากกว่าที่จะรู้สึกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น จึงมักจะตกเป็นทาสของโผฏฐัพพะ ทางผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างเพศที่ตรงกันข้าม นี่เรียกว่าเป็นรูปธรรม เป็นชนิดใดก็ตาม แม้ชนิดหนึ่งก็เถิด ลองไปอร่อยมันเข้าแล้วมันก็เป็นทาสของสิ่งนั้นทันที
ทีนี้ที่เป็นนามธรรม ก็มีส่วนที่ตกเป็นทาสของมันได้มากเหมือนกัน หลายคนสังเกตเห็นว่าเขาเป็นทาสของความโกรธ เขาชอบโกรธ แวบขึ้นมาก็โกรธแล้ว พอโกรธรู้สึกว่าสบาย เอร็ดอร่อยในความโกรธ ฟังถูกหรือไม่ถูกก็ลองไปคิดดู การที่ได้โกรธเขา ได้ด่าเขา ได้ทุบตีเขานี่ มันก็มีรสอร่อยชนิดหนึ่งเป็นนามธรรม ก็ตกเป็นทาสของความโกรธ นี่มันไม่ดูกันให้ดีก็ไม่เชื่อ ไอ้ตกเป็นทาสของความรักนั้นมันเห็นง่าย แต่ตกเป็นทาสของความโกรธนี่ก็ร้ายแรงพอ ๆ กัน ถอนออกมายาก ยังมีความเกลียดความกลัวอะไรต่าง ๆ อีกมาก ล้วนแต่เป็นนามธรรม แต่ว่านั่นมันไม่ร้ายแรงตรงที่ว่าไม่ค่อยอร่อย ความกลัวนี่ไม่ค่อยอร่อย เราก็ไม่ค่อยตกเป็นทาส จึงไม่เหมือนกับความรัก ความต้องการ หรือแม้แต่ความโกรธ ซึ่งมันผิดกับความเกลียด ไอ้ความเกลียดนี่ไม่ค่อยมีรสมีชาติ แต่ความโกรธนี้ระวังให้ดี มีรสมีชาติทำให้โกรธ แล้วก็ได้สบายใจที่ได้โกรธ ได้ด่าเขา นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ สูงขึ้นไปถึงในระดับรูปาวจร คือ รสของความสงบไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ไม่เกี่ยวกับเพศ เช่น ความสุขเกิดจากฌาน เป็นต้น ไปอร่อยเข้าในความสุขนั้น ก็ตกเป็นทาสของความอร่อยนั้นได้เหมือนกัน แม้ไม่อยู่ในลักษณะของกามารมณ์ เราก็จะเห็นว่าคนเขาก็ชอบ ที่เรียกว่า “อยู่ในฌาน” มีคำแปลกคำหนึ่งเรียกว่า “ฌานกีฬา” คือเล่นอยู่ในฌาน เพราะมันสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อย พวกโยคีก็เล่นอยู่ในฌาน เหมือนกับพวกชาวบ้านก็เล่นอยู่ในเรื่องกามารมณ์ระหว่างเพศ อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่พ้นที่จะเป็นทาสด้วยกันทั้งนั้น คือไปรักหรือไปอร่อยในอะไรเข้ามันก็เป็นทาสของสิ่งนั้น นี่ก็คือข้อที่จะต้องสังเกตดูให้เข้าใจและระวังให้ดี ถ้ามันไปเป็นทาสของอะไรอยู่แล้วจะเป็นพระได้อย่างไร เพราะคำว่า “พระ” นี้แปลว่า “ประเสริฐ” จะเรียกว่า “บรรพชิต” ก็ยังไม่ได้เพราะมันไม่ได้เว้นจากสิ่งที่ควรเว้น คือ ความเป็นทาส ถ้าเรียกว่า “ภิกษุ” เห็นภัยในวัฏสงสารก็เป็นทาสของอะไรไม่ได้เพราะมันเห็นภัยในวัฏสงสาร เป็น “สมณะ” แล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เป็นทาสแล้วก็ไม่มีความสงบ
มีภาษาไทยเรียกอีกทีหนึ่งว่า “เจ้า” อย่างภาคใต้นี่ เรียกพระภิกษุว่า เจ้า เจ้านั้นเจ้านี้ หมายถึง ภิกษุ ภาคเหนือเรียกว่า “ตุ๊เจ้า” มีความหมายเป็นเจ้าเหมือนกัน มันเป็นเจ้าเป็นนายแล้วไปเป็นทาสได้อย่างไร มันน่าหัว เจ้านั้นเจ้านี้ เรียกกันเป็นเจ้าไปแล้ว แต่ยังไปเป็นทาสเป็นบ่าวเป็นขี้ข้าของอารมณ์ซึ่งเป็นที่ตั้งของความเอร็ดอร่อย ที่เมืองนครศรีธรรมราชเขาเรียกพระว่า “ต้น” ถามเขาดูได้ความว่า ไอ้ “ต้น” นี้ความหมายว่ามันใหญ่โต หลวง ใหญ่หลวง เป็น “ต้น” เป็นประธาน มันก็เป็นทาสไม่ได้เหมือนกัน เรียกว่า “สาธุ” แล้วก็ไม่ควรเป็นทาส เรียกว่า “ญัตติ” ก็ไม่ต้องเป็นทาส เพราะว่าเป็นผู้สำรวมได้ดี นี่เรื่องอื่นพูดกันมามากแล้ว แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ยังมองข้ามกันไปเสีย ขออย่าให้บรรพชิตตกไปเป็นทาสของสิ่งใดเลย แม้แต่เป็นทาสของความโกรธ ที่ชอบโกรธ ชอบด่า ชอบบ่น ชอบว่า ชอบกระทบกระเทียบเปรียบเปรยกันนี้มันก็เป็นทาส ไม่ได้เป็นไท ไม่ได้เป็นอิสระ ทีนี้พอพูดถึงคำว่าพุทธบุตร พุทธชิโนรสแล้วมันก็สะดุ้ง คนที่เป็นทาสเหล่านี้จะเป็นพุทธชิโนรสไม่ได้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ
คำว่าทาส ทาสนี้คืออะไรบ้าง อยากจะพูดไปเสียให้หมดเลย เพราะมันมีทาสทางธรรมดาสามัญ เรียกว่าทางร่างกาย หรือภาษามนุษย์ ภาษาคนนี้คำว่าทาสก็คือว่า คน ๆ นั้นมันเป็นทาสของใครคนใดคนหนึ่ง อย่างกับพวกฝรั่งเขามาจับทาส จับคน บังคับจับเอาคนที่อัฟริกาหรือที่บางแห่งเอาไปขายในประเทศอังกฤษ ในประเทศอเมริกา อย่างนี้ทาสที่เขาจับไปเหมือนกับสัตว์เอาไปขายอย่างทาส นี่เราเลยรู้ความเป็นป่าเถื่อนของพวกฝรั่งที่มาจับเอาแขกดำเอาไปเป็นทาส มันก็คงจะป่าเถื่อนยิ่งกว่าแขกดำ มันจึงทำอย่างนั้นได้ เพราะมันเป็นทาสเงินมันอยากได้เงินมันก็จับคนไปเป็นทาส ถ้าดูข้างนอกแขกดำก็เป็นทาสของฝรั่ง แต่ถ้าดูข้างในฝรั่งก็เป็นทาสของเงิน ไม่มีมนุษยธรรมไม่มีอารยธรรม จับคนเอาไปเป็นทาส เอาไปเฆี่ยนไปตีไปขายไปอะไรกัน ก็มีทาสอีกแบบหนึ่งซึ่งเรียกว่าทาสอย่างเจ้าขุนมูลนายเขามีทาส เพราะว่าเป็นหนี้เงินบ้าง หรือเป็นอย่างอื่นใดบ้างตามกฎหมายก็เลยเป็นทาส ในประเทศไทยนี้ก็เคยมีคือเป็นไทยด้วยกันก็ยังตกเป็นทาส ไม่ใช่ฝรั่งจับแขกดำเอาไปเป็นทาส นี่มันก็เรียกว่าทาสเหมือนกัน คนหนึ่งมันหย่อนความสามารถ หย่อนสมรรถภาพ ยากจนนี่ ไอ้คนหนึ่งมันก็ใจดำอำมหิตทำเขาให้เป็นทาส รับไว้อย่างทาส มันก็คล้าย ๆ กัน บางทีก็ใจดำอำมหิตทำเพื่อนมนุษย์ให้เป็นทาส นี่มันยังเต็มทีมาก แต่ว่าถ้ามันมีธรรมะแล้วก็มีไม่ได้ แม้จะรับไว้อย่างทาสก็ไม่ได้กดขี่ทารุณอะไร ในรัชกาลที่ห้า ให้มีการเลิกทาส มันเล็งถึงความ ความหมายส่วนใหญ่ ๆ อาตมาจำได้ว่าที่บ้านของย่ายังมีทาสที่เลิกแล้ว ไม่ต้องเป็นทาสแล้ว แล้วก็ไม่กลับบ้านยังอยู่กับย่า เพราะว่าไม่ต้องทำอะไร อาตมายังเด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็มีหน้าที่ว่าเขาแบกอาตมาไปบ่อนไพ่ แล้วเขาก็ทิ้งไว้ข้าง ๆ บ้านแล้วเขาก็ไปเล่นไพ่ เย็นก็กลับมา พาอาตมาตัวเล็ก ๆ กลับมานี้ ทาสของย่าคนนี้ อาตมาเรียกเขาว่าแม่ ลองคิดดูว่ามันอาศัยอะไรถึงมันทำให้ความหมายของทาสเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้น ไม่อยากกลับไปบ้านเพราะไม่มีพี่น้องที่จะเป็นที่พึ่งที่อาศัยได้ ถ้าอยู่บ้านก็ไม่มีเวลาไปเล่นไพ่ หรือทำงานเพียงแค่แบกอาตมาซึ่งตัวเล็ก ๆ ไปที่บ้านที่เขาเล่นไพ่แล้วทิ้งไว้ตามพอใจ แล้วแกก็ไปเล่นไพ่ มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง ความหมายของคำว่าทาสมันจึงจะเกิดขึ้น ถ้ามีธรรมะเข้ามาแทรกแซง ไอ้ความหมายของคำว่าทาสมันก็หายไป อาตมาจำได้ว่าไม่รู้สึกว่าเขาเป็นทาสแล้วยังเรียกว่าแม่ด้วย และยังนึกถึงอยู่เดี๋ยวนี้ ที่เขาเคยช่วยเหลืออย่างไร ๆ ยังนึกถึงอยู่เดี๋ยวนี้ และยังทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เรื่อย ๆ นั่นแหละคือความหมายของคำว่าทาส ทาสอย่างนี้ไม่ต้องเลิกก็ได้ เลิกก็ไม่ไป
ในครั้งพุทธกาล เรายังได้ยินเรื่องราวในคัมภีร์ว่าทาสได้รับความเอาใจใส่เหมือนกับ เหมือนกับนาย ให้กินอยู่ดีเหมือนกับที่นายกิน ไปวัดก็ได้ ถึงวันอุโบสถก็รักษาอุโบสถก็ได้ อย่างนี้ก็มี นั่นนายหรือว่าเศรษฐีคนนั้นมันมีธรรมะ ไอ้คำว่าทาสมันก็เปลี่ยนความหมายไม่มีทารุณโหดร้าย ไม่เฆี่ยนไม่ตี หรืออยากจะไปก็ได้ อยากจะบวชก็ได้ นี่มันกำกวมอย่างนี้ ไอ้ทาสทางสังคม ทาสทางบุคคลนั้นไม่แน่นะ บางทีเป็นทาสจะสบายกว่าเสียอีก แต่ถ้าทาสทางนามธรรม ทาสของกิเลสตัณหาแล้วไม่ไหวทั้งนั้น ไม่มีความเป็นทาสชนิดไหนที่น่าเสน่หาเลย เป็นทาสของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของโผฏฐัพพะ ของธรรมารมณ์นี้ไม่ไหว เป็นทาสของความรัก ความโกรธ ความเกลียดนี้ก็ไม่ไหว แม้แต่เป็นทาสในรสอันเป็นสุขของฌาน ของสมาธินี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน มันละเอียดมาก แต่มันไม่ไหวเหมือนกัน คือมันผูกพันผูกมัดไว้ในความยึดมั่นถือมั่น มันก็ติดอยู่ในวัฏสงสาร
ฉะนั้นภิกษุต้องไม่เป็นทาสในความหมายทางนามธรรม ทาสทางนามธรรมคือเป็นทาสทางวิญญาณ มีอวิชชาทำให้เกิดตัณหา ทำให้เกิดอุปาทานยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้ก็ตกเป็นทาส ถ้ายังเป็นทาสอยู่ก็ยังไม่เป็น ไม่เป็นพระ คำว่าพระนั้นควรจะใช้กับผู้ที่ไม่เป็นทาสของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อีกต่อไป ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่เป็นทาสของขันธ์ อุปปาทานขันธ์ซึ่งเป็นของหนัก
เอ้า, ก็ลองตัดสินกันดู วินิจฉัยกันดูว่าเราเป็นพระกันหรือยัง เราเป็นอุบาสกอุบาสิกากันหรือยัง คำว่าอุบาสกอุบาสิกานี้ก็ไม่ใช่เล่น แปลว่าเข้าไปนั่งใกล้ นั่งใกล้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วเป็นทาสได้อย่างไร มันมีจิตใจถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วจึงเรียกว่าเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้มันเป็นเรื่องสมมติ ถ้าเราพูดว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ พุทธัสสาหัสมิ ทาสีวะ อย่างในบทสวดมนต์นั้น มันเป็นทาสที่เราสมัคร ท่านไม่ได้ต้องการให้เราเป็นทาส แล้วเราก็หวังจะได้รับความเป็นอิสระจากกิเลสจากตัณหา ไม่อยากจะเป็นทาสของกิเลสของตัณหา เราจึงสมัครไปเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไปเป็นทาสของพระธรรม ไปเป็นทาสของพระสงฆ์ เราจึงได้พ้นออกไปจากกิเลสตัณหา ไปเป็นบรรพชิตผู้หลุดออกไปได้ นี่ขอให้พิจารณาดูอย่างนี้
สรุปใจความสั้น ๆ กันลืม เพราะว่าจำง่าย ว่าถ้ารู้สึกอร่อยในสิ่งใดก็จะเป็นทาสของสิ่งนั้น ทุกชนิดเลย ทกประเภทของบุคคล แต่ถ้าเขาเป็นคนธรรมดา จะเป็นทาสบ้าง จะหลับหูหลับตาหลงใหลก็ไม่สู้กระไร แต่ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกาเป็นภิกษุสามเณรแล้ว มันเป็นอย่างไรก็ลองว่าดูเอง มันคงไม่ไหว รู้สึกว่ามันไม่ไหว
อย่าได้เป็นทาสของสิ่งใดนั่นแหละดี โดยร่างกายภายนอก แล้วก็โดยจิตโดยวิญญาณของร่างกายภายใน อย่าได้เป็นทาสของสิ่งใด ให้ระวังให้มากในการที่จะเป็นทาสของความโกรธ เป็นทาสของความรัก ดูมันยังสลัดออกไปได้ พ้นเวลาของมันก็ยังออกไปได้ ไม่มีใครหลงรักใครจนตาย แต่ถ้าเป็นทาสของความโกรธ มันดูเหมือนเป็นทาสกันจนเข้าโลง ทำไมมันละไม่ได้ เดี๋ยวโกรธคนนั้น เดี๋ยวโกรธคนนี้ มันมีคนให้โกรธเสียเรื่อย ที่มาให้รักมาให้เป็นทาสของความรักนั้นมันไม่ติดต่อกันอย่างนี้ แล้วพออายุมันมากเข้ามันก็จะไม่เป็นทาสเลยก็ได้ แต่เป็นทาสของความโกรธนี้ เป็นกันจนเข้าโลง บางทียิ่งแก่ ยิ่งเฒ่าเข้าก็ยิ่งโกรธเก่งเข้าอีก ก็ควรจะนึกให้ดี ๆ จะได้เกิดความละอายมีหิริโอตตัปปะ อย่าได้เป็นทาสของสิ่งใด ชนิดที่เป็นจนเข้าโลงไปเลย นี่วันนี้ก็เอามาพูดให้ฟัง ล้ออาตมาก็ได้ล้อท่านทั้งหลายก็ได้ หรือว่าท่านทั้งหลายจะล้ออาตมาหรือล้อตัวเองก็ได้ เอาไปคิดดูให้ดี ๆ
สำหรับบรรพชิตเช่นภิกษุสามเณรนี้ จะดีกว่าอุบาสกอุบาสิกาตรงไหนบ้าง ถ้าไปเปรียบเข้ากับอุบาสกอุบาสิกาบางคนหรือภิกษุสามเณรบางคนแล้วจะแย่นะ นี่พูดสำหรับพระเณรสักที ให้พระเณรทั้งหลายคิดดูว่า ถ้าเอาเราไปเปรียบกันเข้ากับอุบาสกอุบาสิกาบางคนแล้วเราจะแย่ เพราะว่าเขามีความเป็นทาสน้อยกว่าเรากระมัง ภิกษุสามเณรก็เป็นทาสของลูกยอ อาตมาสังเกตเห็นว่าถ้าไม่ยกยอแล้วไม่ชอบ มันยังเป็นทาสของลูกยออยู่หลายองค์ทีเดียว นี่ถ้าเอาไปเปรียบกันเข้ากับอุบาสกอุบาสิกาบางคนที่พ้นจากทาสของลูกยอแล้วเราก็แย่แล้ว ก็ยังเป็นเด็กนั่นเอง พูดอย่างนี้ก็เข้าใจกันทุกคนว่าไอ้เด็กเล็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ก็ชอบลูกยอ เราก็เคยเป็นเด็กเล็ก ๆ เราก็เคยชอบลูกยอ เราเป็นทาสของลูกยอ เดี๋ยวนี้มาบวชเป็นเณร มาบวชเป็นพระ ก็ยังชอบลูกยออยู่อีก ก็จะเป็นพระเป็นเณรได้อย่างไร ปากว่าไม่ชอบแต่ว่าในใจมันเห็นได้ว่ามันยังชอบอยู่มาก แม้ไม่ได้รางวัลอะไรก็ขอให้ได้ลูกยอสักคำหนึ่ง แต่เขาไปเรียกเสียใหม่ไพเราะว่า “กำลังใจ” ต้องการกำลังใจ ที่จริงมันก็ลูกยอนั่นเอง จะเรียกเป็นอย่างไร ๆ ไปมันก็ไม่พ้นไปจากความหมายอันนี้ ทีนี้เรามาตั้งต้นกันใหม่เป็นพระเป็นเณรชนิดที่ว่ามันจะอยู่เหนือลูกยอไปบ้างมันก็จะดีกระมัง ถ้ายังอยากลูกยออยู่มันก็เป็นทาสของลูกยอ ยังไม่รักความสงบสงัด ยังชอบลูกยอ อยากคลุกคลีอยู่ด้วยลูกยอ ยังไม่รักป่า ยังไม่เป็นพระป่า ยังไม่ควรจะเรียกว่าเป็นพระผู้อยู่ป่า พระป่านี่มีเกียรติมากกว่าพระบ้าน พระอยู่ในบ้านในเมืองมันยังติดอะไรมากกว่าพระป่า พระเถื่อนนั่นแหละ ถ้ามันเป็นพระป่าพระเถื่อนให้ถูกต้อง มันยังจะรอดจากอะไรมาได้มากกว่าเป็นพระบ้านพระเมืองมียศมีศักดิ์มีอะไรมากมายทีเดียว
เมื่อยังชอบลูกยออยู่ยังอะไรอยู่มันก็ไม่อยากจะปล่อยวาง ไม่อยากจะพ้น หลุดพ้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่ายังไม่อยากจะรับ “ปริญญาตายเสียก่อนตาย” วัดนี้ถ้าใครยังไม่ทราบก็ได้ทราบเสียด้วยว่า เราไม่มีบัตรปริญญาอะไรให้ นอกจากปริญญาตายเสียก่อนตาย ให้กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส หรือว่าเป็นอยู่อย่างมีจิตว่าง ก็ให้หมดตัวเอง คำว่าทาสในที่นี้หมายความว่าไม่ปริปาก ไม่มีตัวกูที่จะปริปาก จะเถียงนาย ใครทำได้ใครสอบได้ก็ได้รับ “ปริญญาหมดตัวกู” คือว่า ตายเสียก่อนตาย ผมอยากจะให้พระเณรทุกคนได้รับปริญญานี้เร็ว ๆ ปริญญาตายเสียก่อนตาย หมดตัวกู หมดยกหูชูหาง หมดอะไรต่าง ๆ แม้กระทั่งหมดเป็นทาสลูกยอ สังเกตเห็นแล้วมันน่าใจหายเพราะว่าบรรพชิตเป็นทาสของชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเขาเชิดได้ เพราะว่าเขามีลูกยออย่างน้อยหรือบางทีเขามีมากกว่านั้นกระมัง มีหม้อข้าวหม้อแกงชนิดที่ทำให้บรรพชิตไปเป็นทาสของชาวบ้านได้ก็มี มันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างที่แยกกันไม่ออก เผลอนิดเดียวมันก็มีอาการที่น่าสลดน่าตกใจ ไม่ชอบที่จะเป็นอิสระ มันก็ต้องได้เป็นทาส ถ้าเปลื้องออกมาเสียได้มันก็ทางเดียวเท่านั้นแหละคือว่าไม่มีตัวกูของกูให้ใครมาลากเอาไป ตายเสียก่อนตาย ไม่ชอบ อยากจะเป็น ๆ ๆ เป็นให้มาก เป็นให้เด่น เป็นให้โด่ง ไม่ชอบตายเสียก่อนตาย แล้วยังอยากจะเบ่งทับผู้อื่นด้วยนี่ หรือใครว่าอะไรนิดหนึ่งก็ไม่ได้ มากไปกว่านั้นก็จะเบ่ง มีเรื่องเบ่ง เบ่งทับผู้อื่น กระทั่งใครทักไม่ได้ แม้แต่ครูบจะาอาจารย์ก็ทักไม่ได้ด้วยซ้ำไป เพราะมันอยากจะเบ่งมันอยากจะสูง ถ้าอย่างนี้แล้วก็เรียกว่าความเป็นพระ ความเป็นบรรพชิตนั้นจะเหลือน้อยเต็มทีละ มันมีความเป็นทาสไปเสียทุกอย่าง ไม่เป็นอิสระเลย มีความยึดถือ แล้วก็ไม่รู้จักทำลายความยึดถือ ไม่รู้จักประชดความยึดถือ
อยากจะแนะให้สังเกตอะไรสักอย่างหนึ่ง ยึดถือหรือไม่ยึดถือที่มันประหลาดนี่ ครั้งหนึ่งเราเห็นว่าได้เห็นกันว่าเขาตั้งชื่อเด็ก ๆ นี่ เขาตั้งชื่อให้น่าเกลียดน่าชังเข้าไว้ ไอ้หมูไอ้หมา ไอ้อะไรที่มันต่ำ ๆ เข้าไว้ ให้น่าเกลียด ถามว่าทำไมชอบตั้งชื่อน่าเกลียดอย่างนั้น เขาว่าเพื่อจะให้ผีมันเกลียดแล้วผีมันจะได้ไม่มาเอาไปนี่ ก็คือกลัวตาย ตั้งชื่อให้น่าเกลียดเอาไว้ขู่ผี แล้วยังสังเกตไปถึงพวกฝรั่งว่าสมัยหนึ่งพวกฝรั่งก็ตั้งชื่อกันเพราะ ๆแล้วเขาก็เลิก มาตั้งชื่อฟังแปลก ๆ เช่นชื่อว่า Fox นามสกุลว่า Fox ก็แปลว่าสุนัขจิ้งจอก ว่า Sickman ก็มี คือคนเจ็บ ว่า Badman คนเลวก็มี ตั้งนามสกุลอย่างนี้ ไม่รู้มันเห็นว่าอย่างไร บางทีอาจจะมีความมุ่งหมายคล้าย ๆ กับที่คนไทยเราตั้งชื่อเด็ก ๆ ให้มันน่าเกลียดน่าชัง ผีไม่เอา อย่างนี้เราทำได้ก่อนแล้ว ฝรั่งมาตามก้นคนไทยเข้าบ้างแล้วก็ได้ ถ้าจะมองในแง่ดีก็คล้าย ๆ กับว่าเขาตั้งชื่อกันอย่างนี้ให้ละอุปาทานได้เร็วเข้า ละความยึดมั่นถือมั่นให้เร็วเข้า เดี๋ยวนี้เราไม่ชอบ เราอยากจะให้ชื่อมันเพราะพริ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกลายเป็นน่าเกลียดน่าชังในทางอื่น ชื่อมันเพราะเกินไป ไอ้คนมันไม่สมกับชื่อ หรือบางทีตั้งชื่อสวยเกินไป ไอ้คนมันน่าเกลียดน่าชังเหมือนกับผีปิศาจก็มี มันสับสนกันไปหมด นี่เกี่ยวกับความยึดถือ มันก็เป็นเรื่องเป็นทาสสองซ้อนสามซ้อนซับซ้อนไปมา ซ้อนไปซ้อนมาจนไม่รู้ว่าจะเอากันอย่างไรดี ถ้าอย่างไรก็เราจะคิดไปในทางที่จะรักษาไอ้คุณธรรมหรือกายวาจาใจความประพฤตินี่ให้มันสมชื่อดีกว่า ให้เป็นภิกษุเป็นอะไรที่จะสมชื่อ ก็หลุด หลุดจากข้อผูกพันทั้งหลายที่จะทำให้เป็นทาส นี่ก็เป็นข้อแรกที่ว่าน่าจะคิดดูมันก็นานมาแล้ว หลายปีแล้ว หลายสิบปีแล้ว เมื่อไหร่จะพ้นจากความเป็นทาสกันสักที ความเป็นพระอยู่วัดวาอารามมันก็จะได้มีความหมาย ระวังให้ดีอย่าไปเป็นทาสประกาศนียบัตร อย่าไปเป็นทาสปริญญา อย่าไปเป็นทาสอะไรเพิ่มเข้าอีก ในรุ่นหลัง ๆ ในสมัยใหม่นี้
ทีนี้เรื่องที่จะพูดต่อไปอีก ก็อยากจะพูดถึงเรื่อง “ศรัทธา” ที่ว่า “สทฺธา อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชิตา – มีศรัทธาบวชออกจากเรือนเป็นผู้ไม่มีเรือน” มันมีคำว่าศรัทธาอยู่คำหนึ่ง สำคัญมาก บวชด้วยศรัทธาจริงหรือเปล่า ผมก็ไม่ได้บวชด้วยศรัทธานะ บอกให้รู้นะ เพราะทีแรกก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง บวชตามธรรมเนียม บวชตามประเพณี ถ้าพูดว่าศรัทธามันก็มีน้อยมาก ศรัทธาเพียงว่าประเพณีนี้คงจะดี แต่ยังไม่ถึงกับศรัทธาในธรรมะในพระพุทธเจ้าที่แท้จริง หรือว่ามันมีศรัทธาว่าโยมชอบอยากให้บวช ก็ศรัทธาว่าในความต้องการของโยมคงจะดีแน่ แม้อย่างนี้ก็เรียกว่าบวชตามประเพณี พระเณรทั้งหลายก็มักจะบวชตามประเพณี ถ้าไม่ตามประเพณีก็มักจะว่าเห่อตาม ๆ กันมา ก็ไม่พ้นจากประเพณี บวชตามเพื่อน บวชริบวชลอง บวชกรองเวณี บวชหนีสงสาร บวชล้างข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน เมืองนี้เขาพูดกันอยู่อย่างนี้เมืองอื่นอาจจะไม่มีก็ได้
เรามันบวชเข้ามาในลักษณะไหนทีแรก ก็ให้อภัยได้ แต่ถ้าบวชเข้ามาแล้วก็ต้องปรับปรุงให้มันเข้ารูปเข้ารอยกันกับที่พระพุทธภาษิตที่ตรัสถึงกุลบุตรผู้ได้ฟังธรรมของตถาคตแล้วออกจากเรือน “บวช” ด้วยศรัทธา โดยเห็นว่าการอยู่ในเพศฆราวาสนั้นจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นเงางามเหมือนสังข์ที่เขาขัดดีแล้วนี้ทำไม่ได้ จึงคิดว่าบวชแล้วจะทำได้ แล้วก็เลยศรัทธา ก็ออกบวชด้วยศรัทธา นี่เราบวชด้วยศรัทธาอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าเปล่า ก็ต้องปรับปรุงกันใหม่ให้มันลงรูปเดียวกันกับที่เรียกว่าบวชด้วยศรัทธา ให้ใจมันบวชอีกทีหนึ่งก็แล้วกัน ใจมันเคยบวชมาทีหนึ่งแล้ว อะไรก็ตามใจ เดี๋ยวนี้มาคิดกันใหม่มาศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ มาเรียนพระไตรปิฎกมาทำอะไรเข้า เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์แล้วก็อยากจะเป็นเหมือนอย่างนั้นจึงได้บวชด้วยศรัทธา
นี่ที่จะทำให้อยู่ได้ไม่ต้องลาสิกขาไม่ต้องสึกไม่ต้องพ่ายแพ้แก่กิเลส ไม่ต้องไปเป็นทาสของอารมณ์อย่างที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเกิดเป็นทาสของอะไรเข้าแล้วมันต้องสึกแน่ หรือไม่สึกมันก็เหมือนกับสึกอยู่ในตัวแหละ รีบปรับปรุงสิ่งแรกที่สุดที่เรียกว่าศรัทธากันเถิด ยิ่งบวชหลายวันเข้า หลายเดือน หลายปีเข้า ขอให้มีศรัทธามากขึ้น แน่นแฟ้นมากขึ้นในพระพุทธเจ้าก็ได้ ว่าการบวชนี้อุทิศพระพุทธเจ้า แล้วก็มีพระธรรม พระสงฆ์ พ่วงติดเข้าไปด้วย จะเพิ่มศรัทธากันให้มากถึงขนาดได้อย่างไรนี่มันก็ต้องไปรูปที่กล่าวเมื่อตะกี้ หลุดจากความเป็นทาส อย่าไปเป็นทาสของอะไรแม้แต่ของลูกยอ นั่นแหละจะมีอิสระมาศรัทธา มาปลงศรัทธาของจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นลงไปในพระพุทธองค์ เมื่อเข้าใจแล้วเมื่อเห็นด้วยแล้วก็ปลงศรัทธาเถิด คำอย่างนี้ก็มีพูด ฉะนั้นเป็นอิสระแล้วก็ปลงศรัทธา ไม่เข้าไปเป็นทาส แม้เราอยากจะเรียกว่าทาสมันก็ไม่ได้เป็นทาส มันเป็นศรัทธาที่ประกอบไปด้วยปัญญา เพราะว่าเห็นความดีความงามความประเสริฐอยู่ที่ความพ้นทุกข์ การอยากจะพ้นทุกข์นี้ไม่ได้เป็นทาสของความพ้นทุกข์ มันไม่มีความหมายเป็นทาส ถ้าเป็นทาสก็เป็นทาสของความทุกข์ พอพ้นจากความทุกข์ก็หมดจากความเป็นทาส นี่ศรัทธามันจะช่วยได้อย่างนี้ ใครยังมีศรัทธาน้อยก็เร่งปลูกฝังศรัทธา เพิ่มพูนศรัทธาในพระธรรม ในธรรม ในพรหมจรรย์
นี่เรื่องความเชื่อนี้มันยาก และเชื่อบุคคลก็ยิ่งยาก ก็ไม่ได้แนะนำให้เชื่อบุคคล มันสับสนปนเปที่สุด มีคนบางคนนับถือผม เชื่อผม คล้ายๆว่าเชื่อว่าผมเป็นพระอริยะอะไรก็มี เขาเชื่อกันขนาดนั้น แต่ที่ผมแนะนำว่าทำอย่างนี้ ๆ กันเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องจริงแล้วก็ต้องเล่าไปตามจริงว่าผมไม่สามารถจะทำให้เขากินเปลือกแอปเปิ้ลได้ เข้าใจไหม ตัวผมมันเชื่อว่าไอ้เปลือกแอปเปิ้ลนั่นมีธาตุที่เป็นประโยชน์ที่เปลือกเขียว ๆ มากกว่าเนื้อในขาว ๆ เมื่อฟันยังดีอยู่ก็ชอบกินเปลือกแอปเปิ้ล แต่แล้วก็ไม่สามารถทำให้คนที่เชื่อผมอย่างมากนี้กินเปลือกแอปเปิ้ลได้ ในข้อนี้เขาไม่เชื่อ เอาสิ หรือให้ง่ายกว่านั้นก็ว่าถ้าจะจุดธูปจุดเทียนนี่ให้มันจุดที่ยอดของไฟนะ จุดธูปที่ยอดของเทียน ยอดไฟของเทียนนั่นติดเร็วกว่า ก็น้อยนักน้อยหนาที่คนจะเชื่อ ลูกศิษย์มันก็ไม่เชื่อว่าจุดธูปที่ยอดเทียน ยอดไฟเทียนนั้นติดเร็วกว่า มันก็ไม่เชื่อ มันจุ่มลงไปที่ตรงกลางดวงไฟหรือบางทีที่ไส้จนเทียนดับเลย นี่คนโง่ มันไม่เชื่อในสิ่งที่น่าเชื่อแล้วมันไปเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ นี่เรื่องศรัทธาในบุคคลนี้ฟังยาก แต่ศรัทธาในธรรมในอะไรที่มันสูงกว่า มันดูจะง่ายกว่า ก็เขาถือว่าเป็นบุคคลด้วยกันมันก็ไม่ค่อยจะเชื่อ ทีนี้จะให้เชื่อบุคคลมันก็ยากที่จะไว้ใจว่าจะควรเชื่อเหมือนกัน นี่ก็ต้องพูดกันตามตรง มันไม่น่าไว้ใจที่น่าจะเชื่อ แล้วมันเป็นคนเหมือน ๆ กัน มันก็ไม่อยากจะเชื่อ แม้จะเรียกว่าอาจารย์เรียกว่าลูกศิษย์ก็ยากที่จะหาความเชื่อได้ ไม่อาจประกันความเชื่อในข้อนี้ แต่แล้วก็มานึกเห็นในข้อที่ว่าศรัทธานี้มันเป็นต้นเงื่อน ที่สำหรับจะนำไปสู่ความสำเร็จ แต่มันก็เป็นไปได้ยาก ศรัทธาในธรรมะมันก็ยาก มันลึก ศรัทธาในบุคคลมันก็ไม่น่าเชื่อเพราะมันเป็นคนด้วยกัน เชื่อในบางแง่ ไม่เชื่อในบางแง่ ครั้นจะไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่น่าเชื่อแล้วไปเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อนี่เพราะว่ามันขาดปัญญา ถ้ามันเชื่อในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อแล้วไม่เชื่อในสิ่งที่น่าเชื่อ แล้วก็ต้องเรียกว่า บรมโง่ เพราะไม่มีจุดตั้งต้นแม้แต่ที่เรียกว่าศรัทธาซึ่งเป็นจุดตั้งต้นของเรื่องทุกเรื่อง
พูดถึงศรัทธาแล้วก็มันมีเรื่องมาก พูดสักคืนก็ไม่จบ มันมีหลายแง่หลายมุม มันมีประโยชน์ก็มี มันมีโทษก็มี ถ้ามีศรัทธาก็ทำให้หายกลัว ถ้าเราเชื่อในสิ่งใดมั่นแล้วมันก็หายกลัว แล้วเชื่อว่าสิ่งนั้นมันจะช่วยเราได้ และสมัยนี้ก็เป็นสมัยที่มีศรัทธากันอยู่มาก ปัญญาก็ไม่ค่อยมี เพราะการเล่าเรียนโรงเรียน จนกระทั่งในมหาวิทยาลัยเมืองนอกเมืองนามันก็ยังโง่สำหรับเรื่องบางเรื่องจนต้องใช้ศรัทธา เรียนจบวิทยาศาสตร์มาจากเมืองนอกยังต้องรดน้ำมนต์ ที่กรุงเทพฯ ก็หาได้ง่ายที่สุดเลย ผมก็ยังเคยประสบ มันไปเรียนวิทยาศาสตร์มาเป็นด็อกเตอร์วิทยาศาสตร์ กลับมามันก็ยังอยากจะรดน้ำมนต์ นี่ศรัทธามันอยู่ที่ตรงไหนกัน มันมีเล่าเรียนมีปัญญา มีอะไร แต่มันไม่ตรงกับจุด ๆ นี้ที่จะให้มีความเชื่อที่ถูกต้องไม่ต้องงมงาย ฉะนั้นจึงเชื่อได้แม้แต่เครื่องรางของขลังต่าง ๆ ทั้งที่มีปริญญายาวเป็นหาง ของการศึกษาเล่าเรียน นี่แปลว่าการศึกษาเล่าเรียนสมัยนี้มันมีปัญญาชนิดอื่น ไม่มีปัญญาเข้าไปในทางของพระพุทธศาสนา หรือแม้แต่จะศรัทธาในพระรัตนตรัยนี้ก็ยังหายาก มันติดอยู่แค่ศรัทธางมงายในส่วนนั้น ฉะนั้นสติปัญญาอย่างโลก ๆ นี้มันช่วยให้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องไม่ได้ มันก็มีศรัทธางมงาย ซึ่งไม่ใช่ศรัทธาในพุทธศาสนา ทายก ทายิกา ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าศรัทธาเป็นส่วนใหญ่ แต่แล้วมันยังไม่แน่ว่าเป็นศรัทธาชนิดไหน มันมักเป็นศรัทธางมงาย ถ้าเป็นศรัทธาที่แท้จริงนี่มันจะเมาไม่ได้ มันจะเป็นบ้าไม่ได้ จะเมาบุญไม่ได้ จะบ้าบุญไม่ได้ บ้าดีไม่ได้ มันเป็นศรัทธาที่มีปัญญา นี่เราเห็นได้ว่าไอ้เครื่องรางของขลังมันกลับมาอีก ก่อนมันเคยหายไปทีหนึ่งแล้ว กระทั่งศาลพระภูมิด้วย มันเคยหายไปแล้วมันกลับมาอีก ทีนี้มากันอย่างใหญ่โตมโหฬาร เครื่องรางของขลังในสมัยวิทยาศาสตร์ ในสมัยที่ไปโลกพระจันทร์ได้ เครื่องรางของขลังก็กลับมาอีก ก็คิดดูเองก็แล้วกันว่ามันเป็นศรัทธาชนิดไหน มันมีความลึกลับอยู่อย่างหนึ่งว่า ไอ้ศรัทธานี้มันขจัดความกลัวได้ ยิ่งโง่มาก ยิ่งงมงายมากมันก็ขจัดความกลัวของคนโง่ได้มาก นี่มันมีช่องนี้ มีโอกาสนี้ที่ทำให้กลับมาอีก ไปมีศรัทธาอย่างงมงาย นี่น่าสังเวช ที่มันมาเกี่ยวข้องกับศาสนา มาเกี่ยวข้องกับพระกับเณรยังไม่รู้ว่าจะมีศรัทธาอย่างไรกันสักที ก็ยังมีพระมีเณรมีอะไรนี่เป็นผู้ที่จัดทำเครื่องรางของขลังอะไรขึ้นมา และกลับไปมีศรัทธาอย่างอื่น ไม่ใช่ศรัทธาที่อยู่ในประโยคของพระพุทธภาษิตที่ว่า “กุลบุตรนั้นออกจากเรือนบวชสู่ความไม่มีเรือนด้วยศรัทธา”
พูดถึงเครื่องรางของขลัง อยากจะพูดอีกทีหนึ่งว่ามันเป็นศรัทธาชนิดไหนได้บ้าง อย่างสมมุติจะยกตัวอย่างแขวนพระเครื่องที่คอนี่ ก็อย่าไปพูดเด็ดขาดลงไปโดยส่วนเดียวว่ามันเป็นเครื่องรางของขลังเพราะบางคนอาจจะไม่ได้มีความคิดอย่างนั้น เขาจะแขวนพระพุทธรูปที่คอในฐานะเป็นเครื่องกันลืมก็ได้ แต่ว่าดูส่วนมาก ร้อยแทบทั้งร้อยมันแขวนอย่างเครื่องรางของขลัง ต้องพันรายจะมีสักหนึ่งที่แขวนอย่างที่เรียกว่าเป็นวัตถุอุปกรณ์ของพุทธานุสติ เป็นเครื่องช่วยพุทธานุสติ แต่ก็ไม่พ้นไปจากศรัทธา ฉะนั้นการแขวนพระเครื่องนี่มันก็เป็นไปได้ทั้งฝ่ายที่น่าสงสารและเป็นไปได้ทั้งในฝ่ายที่น่าเลื่อมใส แขวนพระเครื่องได้อะไร ก็ได้ความเชื่อ ได้ศรัทธาในพระพุทธเจ้า นี่ก็น่าดูอยู่ คือถ้าได้พุทธานุสติแล้วก็ยิ่งดี ถ้าได้พุทธานุสติแล้วมันชวนให้เขานับถือพระพุทธเจ้า คิดต่อไปอีกก็ได้ปัญญาของพระพุทธเจ้ามานี้ก็ยิ่งดี เขาปฏิบัติต่อไปตามสติปัญญานั้นก็ได้นิพพานก็เป็นอมตะ ก็แขวนพระเครื่องก็ได้นิพพานได้ แต่ถ้ามองอีกทางหนึ่ง แขวนพระเครื่องได้อะไร ได้ความงมงายนี่ คือ ไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล คิดว่าจะคุ้มตายคุ้มอะไรได้ ได้ความงมงายมาก่อนแล้วก็ได้ความโง่หนักขึ้นไปอีก ไม่รู้จักสังเกตเสียเลยว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีอิทัปปัจจยตา ลงไปที่ธรรมะหรือความทุกข์หรือความดับทุกข์เลย นี่แขวนพระเครื่องได้เป็นอันธพาล ก่อนนี้มันไม่เป็นอันธพาลมันขี้ขลาด พอได้พระเครื่องมาแขวน กูเก่งละ ใครยิงไม่เข้าฟันไม่ออกละ ก็เลยไปเป็นอันธพาล ในที่สุดมันก็นอนตายอยู่พระเครื่องเต็มคอ มันได้เป็นอันธพาล มันก็ได้ตาย แขวนพระเครื่องแล้วได้ตายเลย ได้ทำให้นอนตายอยู่กับพระเครื่อง ได้ความตายมา แขวนพระเครื่องนี่ ได้งมงายก็ได้ ได้โง่ก็ได้ ได้อันธพาลก็ได้ ได้ตายในที่สุดก็ได้ แล้วมันยังจะเป็นการตายทั้งสองฝ่ายเสียด้วย ตายทางร่างกายก็นอนตายอย่างนั้น และตายทางวิญญาณ ก็ตายได้ เพราะมีมิจฉาทิฏฐิ คือ เป็นผู้ประมาท มันตายได้ทั้งสองอย่าง อย่างนี้ ฉะนั้นใครจะไปเล่นกับพระเครื่องให้ระวัง ๆ ให้ดี ๆ มันมีความศักดิ์สิทธิ์เนื่องกันอยู่กับพระพุทธเจ้า ต้องระวังให้ดี
พระเณรจะแขวนพระเครื่องก็ได้ ผมว่าดี ที่ผมไม่แขวนก็เพราะมันรุงรัง เพราะมันมีทางอื่นที่ทำได้ดีกว่านั้น ถ้ายังอยากจะแขวนเพื่อเป็นพุทธานุสติมันก็คงจะได้ ไม่เห็นมันน่าตำหนิติเตียนอะไร เหมือนกับพวกบาทหลวงห้อยคอกางเขน พวกฝรั่ง มันก็ได้ พระก็แขวนได้ จะเป็นอะไรไป แต่มันคงจะเป็นที่ว่า ด้วยเหตุที่ว่าครั้งหนึ่งสมัยหนึ่งเขาฉลาดมากขึ้นไปถึงกับว่าไม่เชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังกันแล้ว ก็เลยไม่มีพระอะไรที่จะแขวนตะกรุดเครื่องรางอะไรกันอีก ใครไปแขวนเข้าก็ถูกหาว่านี่ แย่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้มันกำลังกลับมาอีกนะ ระวังให้ดี มันกลับมาอีก ความเชื่อชนิดนี้กลับมาอีก พระเครื่องรางของขลังนี้ทำขึ้นมาเหมือนกับว่าเป็นภูเขาเลากาเลย ก่อนนี้ก็ไม่มากถึงอย่างนี้แล้วก็มักจะเอาไปฝังไว้ในดินมากกว่าที่จะเอามาแขวนไว้ที่คอ ฉะนั้นภิกษุหรือพระเราที่จะเป็นผู้นำเขาในเรื่องนี้ก็ต้องระวังอยู่ เพราะตัวเองจะปฏิบัติเองก็ต้องระวังด้วย เพราะว่าทำไม่ถูกในเรื่องนี้มันจึงมีความยุ่งยากอย่างอื่นตามมาอีก สถาบันของภิกษุนี่มันไม่มั่นคง ยังถูก ติเตียน ยังถูกดูหมิ่นดูถูกอยู่ ไม่มีใครยอมรับความเป็นพระว่าเป็นสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุดโดยแท้จริงหรือโดยแน่นอน มันยังระแวงสงสัยอยู่ มีความระแวงสงสัยอยู่เรื่อย บางทีถึงกับไม่เชื่อเลยก็มี ถึงแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อย ก็มีคนจำนวนหนึ่ง ไม่รู้เรื่องพระไม่รู้จักพระ ไม่รู้ว่าเป็นสถาบันอันสูงสุดกว่าชาวบ้าน อย่างนี้ก็มีอยากจะเล่าเรื่องขำขันว่า ครั้งหนึ่งเมื่อผมยังไปกรุงเทพฯ ด้วยเรือกลไฟ เขาเรียกเรือนริส จำได้เดี๋ยวนี้ว่าถึงเวลาฉันอาหาร ในเรือเขาก็จัดให้พระเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นพระทั้งที่ว่าไอ้ผู้จัดการนั้นมันเป็นจีน ทีนี้ก็มีจีนที่เป็นคนโดยสารก็มาก จีนคนหนึ่งมันจะมานั่งกินอาหารร่วมถาดเดียวกับผม คิดดูเถอะ เขาไม่รู้ว่าพระนั้นคืออะไร หรือมีสถาบันแยกออกไป ทีนี้พวกจีนทั้งหลายที่มันรู้มันก็ดึงไอจีนคนนั้นให้ออกไป ให้ไปหาพวกกันเอง ไอ้เจ็กคนนี้มันก็เลยอาละวาดใหญ่ มันด่าหรืออะไรก็ฟังไม่ออกนักหรอก คือมันไม่ยอมให้เราเป็นพระ มันไม่ยอมรับว่ามีสถาบันพระที่เขาจะจัดให้เป็นพิเศษหรือสูงกว่าคนธรรมดา แต่ก็มีจีนอีกเป็นอันมากเกือบทั้งลำเรือนั่นหละมันรู้ มันมีแต่จีนคนนี้ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าไอ้สถาบันของพระนี่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักกันดี หรือว่าไม่ได้รับรองเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะจีนก็ถือพุทธศาสนา เราก็เลยโทษตัวเองว่าเรามันยังไม่เป็นพระที่เก่ง จนถึงกับว่าทำให้มันเกิดสถาบันขึ้นมาได้ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังมีคนที่ไม่ยอมรับนับถือสถาบันของพระ เพราะว่าพระยังไม่แสดงอะไรให้เห็นชัด ก็ยังเชื่อว่าในอนาคตต่อไปข้างหน้าก็จะยังมีบุคคลที่เหลืออยู่ที่ไม่นับถือพระที่ไม่ยอมรับนับถือสถาบันของพระ ก็รู้ไว้เสียด้วยไม่ต้องไปโกรธเขา แม้ในครั้งพุทธกาลมันก็มีเหมือนกัน ไม่มีใครรู้จักพระพุทธเจ้าจึงมีคนด่าพระพุทธเจ้าเอง มีคนคิดจะฆ่าจะทำลายล้างพระพุทธเจ้าเสียก็มี นี่มันเป็นปัญหาที่ยากที่ลำบาก เพราะถ้ามันไม่เข้าใจมันเป็นมิจฉาทิฏฐิหรืออะไรทำนองนั้นแล้ว มันก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ในอินเดียก็มีคนไม่รู้จักพระพุทธเจ้าจำนวนมาก ไม่ยอมรับนับถือ ได้ยินเสียงเล่าลือก็ไม่เชื่อ ในบาลีที่ได้ยินเสียงเล่าลือว่า “กิตฺติสทฺโท อพฺภุคฺคโต อิติปิ โส ภควา” นั้นน่ะมันเชื่อแต่บางคน บางคนมันได้ยินมันก็ไม่เชื่อ ทีนี้เราอยู่ในพวกที่เชื่อ เอาละยอมว่าเชื่อ แต่ความเชื่อนั้นยังไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าเต็มตามความหมาย ทีนี้มาดูกันเดี๋ยวนี้แล้วมันชักจะลังเล ที่ว่าพระเณรเรานี้เกิดไม่รักษาไอ้เกียรติยศของสถาบัน ทำอะไรหวัด ๆ มากขึ้น ตามถนนหนทางนี้ก็ยังไปจุ้นจ้านไปซื้ออาหารกิน บางทีก็ฉันอาหารที่ตรงนั้นเอง ซึ่งมันน่าเกลียดนี่ก็ไม่คิดไม่นึก เรื่องใช้เงินเองนี่ ถือสตางค์เองนี่ก็ไม่ค่อยคิดไม่ค่อยนึก อย่างนี้จะไม่กู้สถาบันนี้ขึ้นมาแล้ว มันจะปล่อยให้ต่ำลงไป ๆ ฉะนั้นในอนาคตมันก็เป็นที่น่าวิตกว่าสถาบันของภิกษุสามเณรเรานี้จะไปกันในรูปไหน ชาวบ้านเขาก็ตีเสมอเคียงบ่าเคียงไหล่ขึ้นมาทุกที
ผมรู้สึกวิตกหรือเป็นห่วง พวกคุณจะวิตกหรือไม่วิตกก็ไม่ทราบ วิตกหรือเป็นห่วงในข้อที่ว่าสถาบันของพระมันจะยุบลงไป มันก็จะกลายเป็นเท่า ๆ กันหรือเสมอกันกับอุบาสกอุบาสิกา หรือชาวบ้าน เขาจะจัดให้เราอย่างนั้น ถ้าอย่างไรก็ช่วยกันเสียสละ อดกลั้น อดทน ทนลำบากบ้าง อย่าไปทำอะไรชนิดที่มันทำให้เสื่อมเสียอย่างนั้น ถ้ามันหิวก็อย่ายอมที่จะถือสตางค์ไปซื้อกินเอง ยืนอยู่ที่ตรงนั้นแล้วฉันนี่ ก็นึกดูสิวันนี้อดข้าววันหนึ่งก็ไม่เห็นตายเลย ก็ผลัดเพี้ยนไว้ทำอย่างอื่นเวลาอื่น เดี๋ยวนี้มันเพียงแต่ว่าไปฉันกาแฟ มันไม่ตาย มันไม่ใช่ อดกาแฟมันไม่ตาย มันไม่ใช่อดข้าว ที่มากไปกว่านั้นก็ไปซื้อบุหรี่สูบเลย มันยังมีอยู่ นี่ไม่ใช่แกล้งว่า มันยังมีอยู่ เรื่องเที่ยวถือกล้องถ่ายรูปในที่สาธารณะ อย่างนั้นด้วยก็ยิ่งไม่ไหว ยิ่งดูไม่เป็นพระ ที่อินเดีย พวกอินเดียเขาไม่นับถือพระไทยเพราะว่าพระไทยถือกล้องถ่ายรูปเที่ยวไปถ่ายตรงนั้นตรงนี้ ถ้าพระบางชาติที่ว่าถือกล้องถ่ายรูป แต่ก็มีพระบางพวกบางชาติที่ไม่ถือกล้องถ่ายรูป ก็ยังนับถือ นี่คือข้อที่ต้องนึกกันแล้วว่าเราจะรักษาสถาบันของพระไว้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต คัมภีร์บางคัมภีร์ทำนายไว้ว่าจะเหลืออยู่แต่เพียงสักว่าเครื่องหมายดูไม่ออกว่าพระหรือฆราวาส นอกจากจะดูเศษผ้าเหลืองเล็ก ๆ พาดไว้ที่บ่า หรือบางทีใช้คำว่าห้อยไว้ที่หู เป็นพระ นี่เขาทำนายไว้อย่างนี้นะ ถ้าเราจะไม่ ไม่แยแส มันอาจจะถึงเข้าสักวันหนึ่งก็ได้แล้วก็ไม่ช้าด้วย
เดี๋ยวนี้ก็ยังมีกฎหมายหรือมีอะไร วินัยมันคุ้มครองอยู่ กระทั่งบริษัทอุบาสกอุบาสิกาชาวบ้านทั้งหลายเขาก็ยังไม่ยอมที่จะให้พระนี่ลดลงไปถึงขนาดนั้น เราก็ควรจะร่วมมือกันด้วยในลักษณะนั้น อย่าให้สถาบันของพระนี้ตกต่ำลงไป ข้างนอกวัดนั่นอย่าให้ตกต่ำลงไปถึงขนาดนั้น แล้วข้างในวัดนี่ก็อย่าให้ตกต่ำลงไปถึงขนาดนี้ คือ ยังต้องเป็นทาสของลูกยออยู่ หรือเป็นทาสของความโกรธ ชอบโกรธ สบายเมื่อได้โกรธอยู่ เป็นต้น คราวนี้ก็พยุงสถาบันของพระไว้อย่าให้ตกต่ำลงไป ถ้าใครมาเห็นพระเป็นอย่างนี้มันก็เท่านั้นแหละ มันก็เป็นการทำลายสถาบันของพระเอง ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักระมัดระวังเพื่อเห็นแก่พระศาสนา ตัวเราก็ไม่สำคัญนัก แต่แล้วก็ต้องให้มันอยู่ในเหตุผลในอำนาจของเหตุผล มันจะเคร่งอย่างหลับหูหลับตาไป มันก็ไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นไปได้คนที่มีสติปัญญาเขาก็ไม่นับถือ เขาจะหัวเราะเยาะเอาเสียอีกเพราะมันไม่มีเหตุผลนี่ สถาบันของพระต้องได้รับการทะนุถนอมเทิดทูนไว้ให้มันสูงสุดอยู่เรื่อยไป วินัยก็มีอยู่ชัดเจนแล้วในข้อนี้คืออย่าไปทำประเภท..... (นาทีที่ 71.19) ประพฤติอนาจารอะไรต่าง ๆ ต้องตั้งอยู่ด้วยคุณธรรมเต็มตามความหมายของคำว่าพระ
ทีนี้อยากจะให้มองดูไปในบางแง่ให้ลึกกว่าธรรมดา เมื่อครั้งที่แล้วมาก็บอกว่าให้มองแมลงมุมว่ามันเป็นเพื่อนช่วยปราบยุง อย่าไปทำลายบ้านเรือนของมันเสีย ให้มองเท่านั้น ไม่ต้องปฏิบัติ ไม่ได้ร้องขอให้ปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ก็อยากจะให้มองทำนองนั้นหละมากขึ้นไปอีก ไม่อยากให้พระเรานี่มันพลัดตกลงไปมากจนกระทั่งเป็นว่า ผีมันเลี้ยงพระ พระจะได้ฉันได้ขบฉันอยู่เดี๋ยวนี้เพราะว่าผีมันเลี้ยงบ้าง หรือเพราะว่าไสยศาสตร์มันเลี้ยงบ้าง โหรเลี้ยงบ้าง โจรเลี้ยงบ้าง โรคระบาดเลี้ยงบ้าง กระทั่งว่าเหี้ยเลี้ยงพระบ้าง เพราะเหี้ยมันขึ้นไปบนเรือน เขาก็อยากจะทำบุญแก้ซวย นิมนต์พระมาสวดมาฉันแก้ซวยเรื่องเหี้ยขึ้นเรือน อย่างนี้เหี้ยมันเลี้ยงพระ ผมก็ฉันไม่ค่อยลง แล้วก็ไม่ค่อยรับนิมนต์ด้วยถ้าทำอย่างนี้ เพราะว่ามันไปฉันของเหี้ย แล้วนกฮูกก็มี นกฮูกมาเกาะหลังคาร้อง ก็มานิมนต์พระไปสวดยันทุนนิมิตตัง มันเป็นเรื่องของนกฮูกเลี้ยง ฉันไม่ค่อยจะลง แต่เดี๋ยวนี้ที่มากที่สุด ไสยศาสตร์นั่นละ ที่เราถือว่าไม่ใช่พุทธศาสนาแล้วน่ารังเกียจนี่ มันกลายมาเป็นเลี้ยงพระ พระกินของไสยศาสตร์เสีย คนเขาทำพิธีทางไสยศาสตร็ก็นิมนต์พระไปสวดไปฉัน ไปฉันข้าวมันก็ได้ฉันก็เพราะว่าอำนาจของไสยศาสตร์ทำให้ได้ฉัน ไสยศาสตร์เลี้ยงพระอย่างนี้ เป็นโหรก็มี เป็นอะไรก็มี กระทั่งเป็นคนที่บ้า ๆ บอ ๆ ก็มี ถ้าผีเลี้ยงพระก็ฟังเอาแล้วกันว่ามันได้กินเพราะมันมีผีมีศพมา ก็ได้ฉัน
เราอย่าให้มันมีความหมายอย่างนั้น ให้มันเป็นเรื่องบุญกุศลที่แท้จริงที่ถูกต้อง มันถูกล้อมากไปเสียแล้วว่าพระฉันผีบ้าง ฉันศพบ้าง หรือว่ามันต้องได้อาศัยศพได้อาศัยผีจึงจะมีฉันบ้าง นี่คือแง่ที่ว่าสถาบันของเรามันจะตกต่ำลงไป ไม่ใช่ผมแกล้งว่าพวกคุณ แต่ว่าให้พิจารณากันโดยทั่ว ๆ ไป ถ้าเราทนไม่ได้เราไม่กล้าหาญพอเราก็จะปล่อยไว้อย่างนั้นเรื่อย เขามีจารีตประเพณีชนิดนี้มากขึ้น ๆ เอาความงมงายนี้มาเลี้ยงพระไว้ได้ พระก็หากินด้วยความงมงายของคนอื่น อย่างนี้ไม่ใช่พุทธแล้ว ไม่ใช่ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว หมดทางหากินแล้ว นี่ก็ไม่ใช่ด่า จะมองเป็นคำด่าก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจจะด่า หรือว่าดูหมิ่นดูถูกอะไร บอกให้ระวัง มันกำลังเข้ามาแล้ว สิ่งที่ต้องระวังมันกำลังเข้ามาแล้ว แล้วก็เข้ามานานแล้วด้วย จะเกิดเป็นสถาบันใหม่แล้ว คือมันไม่น่ารังเกียจแล้ว เป็นของถูกต้องไปเสียแล้ว แต่ถ้ามองดูในส่วนลึกแล้วมันก็น่าเศร้าน่าสังเวชที่ว่าไอ้ธรรมะมันไม่ช่วยได้แล้ว ต้องไปอาศัยสิ่งเหล่านั้นแล้ว อาศัยจารีตประเพณีทางไสยศาสตร์ที่งมงายที่สุดจึงจะมีอะไร มีฉัน มีขบมีฉัน
มันจะต้องเป็นเรื่องของความถูกต้อง ถ้าไปทำไปในรูปที่เรียกว่าให้เขางมงายให้เขาหลงใหลแล้วก็มันไม่ถูกต้องทั้งนั้น เราควรจะแนะนำให้มันเกิดหูตาที่สว่างขึ้นมา เมื่อเราเห็นแต่ว่ามันกลัวตายกลัวอด มันก็เลยเป็นทาสของความกลัว ก็ต้องไปเป็นทาสของสิ่งของวัตถุเหล่านั้น อย่างนี้เรียกว่าฉลาดหรือว่าไม่ฉลาดก็ลองคิดดู เป็นความประเสริฐหรือไม่ มันจะน่าเศร้ามากที่สุดตรงที่ว่ามันชวนให้ ชักชวนกันให้มันงมงายพร้อมกันลงไป พร้อมกันลงไปทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายพระและทั้งฝ่ายฆราวาส ทั้งฝ่ายปฏิคาหกและทั้งฝ่ายทายก นี่มันเป็นเหตุให้ไม่เข้าใจพุทธศาสนา ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจโลกุตรธรรม เอาแต่ความกลัวเข้ามาเป็นเบื้องหน้าแล้วทำไปตามความกลัว ไม่มีธรรมะที่สูงพอที่จะขจัดความกลัวนี้ออกไปเสียโดยถูกต้องตามเรื่องของธรรมะ ต้องไปทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อจะกำจัดความกลัว นี่กำลังระบาดเข้าไปในเมืองหลวง น่าหัว หรือไม่น่าหัว ความงมงายกำลังระบาดเข้าไปในเมืองหลวง จนฉลาดขนาดที่ว่ารังเกียจโลกุตรธรรม เมื่อสิ่งนี้ระบาดเข้าไปมากแล้วมันก็ฉลาดไปในทางที่รังเกียจธรรมะอันแท้จริงหรือว่ารังเกียจโลกุตรธรรม ฉะนั้นการสอนธรรมะแท้จริงในขั้นโลกุตรธรรมเป็นไปไม่ได้ เพราะมีสิ่งนี้ห่อหุ้มมากเหลือเกิน
ทีนี้ก็มาดูพระเณรเรากันเองบ้าง มันมีความฉลาดถึงขนาดที่กลัว เกลียด การบรรลุมรรคผลหรือเปล่า ถ้าว่าฉลาดถึงขนาดที่เห็นว่าเกลียดหรือว่าเป็นของไม่จำเป็น เป็นของพ้นสมัย เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นของไม่จำเป็น เป็นของพ้นสมัยแล้ว นี่ฉลาดกันถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้เรียนมากมันก็ฉลาด แล้วก็ฉลาดได้ในที่สุดว่าโลกุตรธรรมเป็นของพ้นสมัยแล้ว หรือถ้าไม่พ้นสมัยก็เป็นของยากเกินไปอย่าไปทำเลยมันป่วยการ นี่เขาฉลาดกันถึงขนาดนี้แล้ว พระเณรสมัยนี้เพราะได้รับการศึกษาอย่างสมัยปัจจุบันนี้ก็เลยฉลาดให้เห็นธรรมะในชั้นที่เป็นของแท้จริงนั้นพ้นสมัยบ้าง ยากเกินไปกว่าที่มนุษย์จะทำได้บ้าง ก่อนนี้เขาไม่เคยฉลาดกันถึงขนาดนี้นะ เขายังตั้งใจว่า นิพฺพานปจฺจโย โหตุ หละ ขอให้เป็นนิสัยปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลก็ยังดี แม้ไม่ต้องการเดี๋ยวนี้ก็ยังต้องการในอนาคตก็ยังดีไม่จัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าก็ได้เคยตรัสไว้ในรูปนั้น คือมันไม่เหลือวิสัย สำหรับคนที่มีนิสัยตามปรกติ ไม่ใช่ของยากจนเหลือวิสัย มันยากก็จริงแต่มันไม่เหลือวิสัยแล้วก็มีไว้สำหรับมนุษย์ ถ้าไม่มีไว้สำหรับมนุษย์ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือถ้ามันยากเกินวิสัยของมนุษย์มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ต้องมีไม่ต้องตรัสสอน พระพุทธเจ้าไม่ต้องสอน นี่ท่านสอนเพราะท่านเห็นว่ามันไม่เหลือวิสัยของมนุษย์อย่างน้อยก็พวกหนึ่งละ ถ้าไม่ถึงขนาดเต็มที่ มันก็ขนาดแต่เพียงว่าแรกถึงกระแสที่แน่นอน ก็ยังได้ เดี๋ยวนี้เราฉลาดถึงขนาดที่ตัดทิ้งออกไปเลย ตัดทิ้งออกไปเลย ไม่ต้องสนใจเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องโสดา สกิทาคามี นี่ไม่ต้องสนใจ แต่ก็ยังอยากจะอยู่ในผ้าเหลือง เดี๋ยวก็เลยไปถึงขนาดที่ว่าจะอาศัยผ้าเหลืองเป็นอาชีพไปเสีย เป็นเรื่องถอยออกมาข้างนอกมากขึ้นทุกที คือถอยออกมาริมนอกมาหาที่เปลือกนี่มากขึ้นทุกที ๆ ไม่พยายามให้ลงลึกเข้าไปถึงไอ้ดวงวิญญาณของสิ่งเหล่านี้ มันกลายเป็นพิธีรีตรองไปหมด ถ้าเป็นพิธีแล้วมันก็ยังมีหวังอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นพิธีรีตรองหละก็ไม่มีหวัง มันงมงายมากเกินไป
ไอ้เรื่องพิธีมันเกิดมากขึ้นหรือมันมาสกัดกั้นอยู่ข้างหน้าไปเสียหมดนี่เพราะเรามันเผลอ ไปเข้าใจว่ามันยากเพราะมันเหลือวิสัยมันเกินวิสัยแล้วมันก็ไม่เอา จริง แต่มันอยากจะอวดมันก็เลยทำพิธี ก็ทำเผื่อ ๆ ไว้ อย่างนั้นแหละ ทั้งที่ในจิตใจมันเชื่อว่ามันไม่เป็นไปได้ มันก็ยังทำพิธีอยู่ แล้วไม่เชื่อในบางสิ่งบางอย่างก็ยังต้องประกอบพิธีเพื่อเห็นแก่สังคม เพื่อกลัวคนเขาว่าอย่างนี้ก็มี หัวใจของศาสนามันอยู่ที่ว่ามันจะทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วเลยทำพิธี เลยทำพิธีที่ว่าทำลายความเห็นแก่ตัวหรือว่าจะเป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ก็ทำพิธีแสดงท่าทางแล้วไม่ได้ปฏิบัติ ให้มากไปกว่านั้น
นี่เรามีแต่พิธี ทำพิธีให้บวชให้เรียนให้เข้าเป็นพุทธมามกะ มันก็ถูกละ มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่ถ้ามีแต่พิธีมันก็ได้เท่านั้นมันไม่เดินต่อไป อย่างทำพิธีให้เด็กเข้ามาหาศาสนาอย่างนี้ ก็ดูจะไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล แต่เดี๋ยวนี้เราก็มี เสร็จแล้วก็หยุดอยู่แค่พิธี ถึงปีก็ทำ ถึงปีก็ทำ แล้วพิธีนี้มันมากขึ้น ถ้าจะเอาเหตุผลมันก็ได้ เอาเด็กมาผูกพันไว้กับศาสนาก่อนแล้วก็ให้มันก้าวต่อไปโดยแท้จริงให้ถึงหัวใจของศาสนาได้ ให้มันไม่เห็นแก่ตัว แต่นี่เรามาหยุดอยู่แค่ให้มันทะนงตัว เห็นแก่ตัว ก็เลยน่าสงสาร นี่เป็นตัวอย่างอันหนึ่งในหลาย ๆ อย่างที่ว่ามันเหลือแต่พิธี ก็เป็นเรื่องงมงาย ทีนี้พอถึงเรื่องที่จะฉลาดบ้างก็จะฉลาดไปในทางที่จะโกยทิ้งไปเลย เรื่องโลกุตรธรรมเรื่องธรรมะสูงสุด เรื่องดับทุกข์ เรื่องเหนือโลกนี่ถูกโกยไปเสียเลย แต่แล้วก็กลับไปเลี้ยวไปหาไอ้สติปัญญาอย่างอื่นคือสติปัญญาที่เพ้อเจ้อ เดี๋ยวนี้ก็อยากเรียนกันมาก อยากเรียนให้รู้มาก อยากเรียนปรัชญา สั่งหนังสือหนังหากันมาเป็นหอบ เป็นหอบ จะได้เป็นนักปราชญ์ จะได้เป็นนักปรัชญา นี่กลับเถลไถลออกไปอย่างนั้น หนังสือที่ชาวบ้านเขาพิมพ์ขายเป็นเรื่องสำหรับชาวบ้านนี่พระเราซื้อมากที่สุด เพราะอยากจะเป็นนักปราชญ์ เพราะอยากจะเป็นนักปรัชญาบ้าง อยากรู้นั่นอยากรู้นี่ ส่วนเรื่องเฉพาะหน้าของตนที่จะกำจัดกิเลส กำจัดตัวกูของกูนี่ไม่ค่อยได้สนใจ เพราะเอาเวลาไปใช้เพื่อจะเป็นนักปรัชญากันเสียหมด นี่ผมขอพูดย้ำอีกทีหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัส ไว้ ว่าที่มันเหลือไปจากความจำเป็นแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ คือพวกใบไม้ทั้งป่า ไม่ใช่ใบไม้กำมือเดียว นี่เราจะเพิ่มให้มันมากกว่าใบไม้ทั้งป่าไม่สนใจใบไม้กำมือเดียว ไม่เจาะจงลงไปที่นั่น จึงไปตื่นสมัยใหม่กับเขาด้วย พระนี่อยากจะได้ปริญญาทางปรัชญา เป็นด็อกเตอร์ทางปรัชญามากกว่าที่จะได้ มากกว่าที่อยากจะดับทุกข์ อยากจะบรรลุมรรคผลนิพพาน นี่ดูให้ไกลๆ ออกไปจะพบว่ามันเป็นอย่างนี้มากขึ้น
ถ้าพูดไปมากเดี๋ยวเพื่อนก็จะหาว่าด่าแล้วก็จะโกรธเอา ก็อย่าพูดมากนักเลย มองเห็นกันได้แล้ว เดี๋ยวนี้เป็นร้อย ๆ รูปหละ ที่ไปเรียนเพื่อจะได้ปรัชญาจากอินเดีย หรือว่าจากต่างประเทศอื่น นี่ก็จะเป็นเรื่องของปรัชญาทั้งนั้น ไม่สนใจที่จะศึกษาเรื่องดับทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่ว่าถ้าจะพูดกันในฝ่ายบรรพชิตแล้วมันกำลังมีสภาวะอย่างนี้ ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็คอยดู สำหรับผมนั้นแน่ใจเสียแล้วว่าปรัชญาเป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัยอะไรไม่ได้ ต้องเป็นปัญญาแท้จริงในพุทธศาสนาคือเรื่องกิเลส ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เผลอนิดเดียวเกิดกิเลส ถ้ารู้เรื่องนี้เพียงพอแล้วมันก็ดับทุกข์ได้ ไม่เป็นปรัชญาอะไร เป็นธรรมะธรรมดาเท่าที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้กำมือหนึ่ง ถ้าไปเกี่ยวข้องเข้าก็จะเป็นการดับทุกข์ขึ้นมาทันที ลงมือดับทุกข์ขึ้นมาทันที เรียกว่า “ธรรมะ” ก็แล้วกัน พระธรรมหรือธรรมะ ไม่ใช่ปรัชญาไม่ใช่ความรู้อันมีเกียรติหรือว่าที่เขานิยมยกย่องกันเป็นของมีเกียรติ ถ้าเป็นปรัชญานั้นจำไว้ง่าย ๆ ว่ามันเป็นเรื่องบ้าสัจจะ บ้าของจริง เพื่อของจริง จริงเตลิดเปิดเปิงไปจนเป็นจริงที่ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าเป็นศาสนา เป็นเรื่องของพุทธศาสนาก็ต้องมาหาของจริงเพียงสิ่งเดียวที่ วิ่งเข้ามาหาความดับทุกข์เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เพื่อดับทุกข์โดยตรง อย่างนี้มันไม่ใช่ปรัชญา เมื่อยังไม่รู้ไม่เข้าใจมันก็คล้าย ๆ ปรัชญา แล้วมันก็ค่อยๆ กลายมาเป็นธรรมะธรรมดา ในที่สุดก็ดับทุกข์ได้เป็นธรรมะธรรมดา ก็ต้องมุ่งหมายไปยังสิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ถ้าปรัชญาก็เฟ้อ หรือถ้าใครกำลังหันหน้าไปหาปรัชญา ผมก็ขอร้องว่าให้พิจารณาเสียใหม่ให้ดี ๆ จะต้องหันมาหาของจริงของพระพุทธเจ้า ถ้าปรัชญาครองโลก ก็บ้ากันไปทั้งโลกทันที พวกที่เป็นนักปรัชญาเขาก็โกรธผม ผมก็ยังว่าอยู่อย่างนี้ พอธรรมะครองโลก โลกจะมีสันติ ถ้าปรัชญาครองโลกก็เวียนหัวจนเป็นบ้ากันไปหมด เพราะมันสัจจะเพื่อสัจจะ ไม่ใช่สัจจะเพื่อดับทุกข์ของมนุษย์ พวกสัจจะเพื่อสัจจะนี่มันแยกแขนงวกไปวนมาไม่มีที่สิ้นสุดจนเฟ้อ
การเรียนพุทธศาสนาก็เหมือนกัน จะต้องเรียนในรูปของธรรมะ อย่าไปเรียนในรูปของปรัชญา ถ้าต้องการจะดับทุกข์ เว้นไว้แต่จะต้องการจะเป็นผู้ที่พูดเก่งแล้วมีชื่อเสียง แล้วเป็นผู้มีเกียรติมีชื่อเสียงในเรื่องของการพูด มันไม่มีจุดจบคือไม่ไปจบลงที่ดับทุกข์ มันไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ แล้วประหลาดลึกซึ้งมาก ๆ เรื่อย ๆ ๆไป เราต้องหันไปหาสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ให้ธรรมะมันครองโลกแล้วโลกนี้ก็มีสันติ ถ้าธรรมะครองโลกเมื่อไร ไอ้คนก็จะบรรเทาความเห็นแก่ตัว และความฟุ้งเฟ้อ เมาปัญญา เมาไอ้ความรู้ ธรรมะครองโลกก็เกิดระเบียบขึ้นมา ไม่ให้เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะมันเห็นชัดอยู่ว่าไอ้การเห็นแก่ตัวเป็นต้นเหตุของกิเลสและมีความทุกข์ คนก็จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ก็จะมีเมตตากรุณาไม่คอยหาโอกาสที่จะเอาเปรียบกันให้มากที่สุด เอาเปรียบกันให้มากที่สุด เหมือนอย่างที่เขาทำกันอยู่เดี๋ยวนี้ ที่ธรรมะไม่ได้ครองโลก
ยิ่งปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย ก็เป็นเรื่องใครมือยาวก็สาวเอาตามความเห็นแก่ตัวที่มันมาก นี่เมื่อพระเณรมีหน้าที่ที่จะต้องรู้หรือเป็นแสงสว่างแก่ฆราวาสจะทำผิดในเรื่องนี้ นี่ขอสักทีว่าอย่าทำผิดในเรื่องนี้ อย่าจูงไปหาไอ้เรื่องปรัชญาที่มันเฟ้อ ดึงมาให้อยู่ที่คำพูดเพียงสองสามคำแล้วก็ปฏิบัติได้ เมื่อมันมีธรรมะเข้ามาจริงละก็ มันก็มีผลจริงเหมือนกัน คล้าย ๆ จะมีโลกพระศรีอารย์ขึ้นมาได้ในพริบตาเดียวได้ ไม่มีใครเอาเปรียบใครมีแต่เมตตากรุณา ทุกคนกินอยู่แต่พอดีที่เหลือก็ให้คนอื่น รับใช้ผู้อื่น ตามหลักของพวกคริสเตียนที่ว่ารับใช้ผู้อื่นคือรับใช้พระเจ้า ปรนนิบัติผู้อื่นคือปรนนิบัติพระเจ้า แต่พอปรนนิบัติตัวเองก็กลายเป็นปรนนิบัติกิเลส พอคนเกิดเปลี่ยนมาถือหลักธรรมะที่ไม่เห็นแก่ตัวนี่ มันก็มี ความเผื่อแผ่ล้นเหลือไปหมดตามความหมายของโลกพระศรีอาริย์ ไม่มีใครจน ไม่มีใครมั่งมี ไม่มีใครยากจนเพราะมันเผื่อแผ่
แต่หลายคนไม่ยอมเชื่อ มีคนพวกหนึ่งเห็นว่าโลกพระศรีอารย์เป็นเรื่องบ้า เป็นไปไม่ได้ กลับไปชอบโลกพระศรีอารย์อย่างคอมมิวนิสต์ โลกพระศรีอารย์ของพวกคอมมิวนิสต์ไม่ใช่พระศรีอารย์ในพุทธศาสนา แต่คือโลกพระศรีอารย์ที่เขาจะปั้นจะบีบจะบังคับเอาด้วยอำนาจให้มันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นเรื่องความโกรธเคืองอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง คือว่าคนจนเขาโกรธคนมั่งมี ถ้าทำลายคนมั่้งมี คือทำนบที่คนมั่งมีเขากั้นไว้ ทำลายลงเสีย ทรัพย์สมบัติของคนมั่งมีก็ไหลมาหาคนจน นี่เขาเรียกว่าเป็นโลกพระศรีอารย์ อย่างนี้มันคนละเรื่องกับโลกพระศรีอารย์ในพุทธศาสนา พอถึงสมัยหนึ่งคนมีทั้งสติปัญญามีความรู้บรรเทากิเลสตัดกิเลสได้ และยังมีความสามารถที่จะช่วยผู้อื่น คือมันมีการวิวัฒนาการมากในการผลิตสิ่งที่มีประโยชน์ ก็เลยมันเป็นโลกที่ประหลาดกว่าโลกในสมัยพระพุทธเจ้า แม้จะมีพระอรหันต์แต่ก็ไม่ได้มีความรุ่งเรืองทางวัตถุ นี่เขาจะเอากันทั้งสองฝ่าย ทางสบายทางวัตถุก็มีมากถึงขีดสุด ความไม่มีกิเลสก็มีมากถึงที่สุด แต่ดูมันยากเต็มที มันต้องมาทางไม่มีกิเลสก่อนแล้วจึงไปจับเอาเรื่องความสมบูรณ์ทางวัตถุ เดี๋ยวนี้เรามันเอาเรื่องความสมบูรณ์ทางวัตถุก่อนมันก็ไม่มีเรื่องหรือไม่มีโอกาสไม่มีทางที่จะไปหาเรื่องของการกำจัดกิเลสมันเป็นทาสของกิเลสเสียเต็มตัว
เพราะฉะนั้นต้องทำให้ถูกระดับ ถูกจังหวะ ถูกหนทาง ศึกษาธรรมะให้เข้าใจ เห็นภัยของการเห็นแก่ตัวคือกิเลส แล้วก็มุ่งทำลายกันในส่วนนี้ เป็นหน้าที่ของภิกษุสามเณรผู้จะสืบอายุพระศาสนาด้วยการช่วยให้ทุกคนสามารถทำลายความเห็นแก่ตัว ข้อนี้มันต้องหมายความว่าเรานี่เป็นผู้พยายามทำลายความเห็นแก่ตัวอยู่และก็ทำลายได้ด้วยไม่มากก็น้อย แล้วคนอื่นเขาก็เห็น เขาเอาอย่าง อย่างนี้ก็ได้ ไม่ใช่ว่าสอนให้คนอื่นทำลายความเห็นแก่ตัว แต่ตัวเองก็ฉวยโอกาสเอาประโยชน์จากการที่คนอื่นไม่เห็นแก่ตัว โลกของพระ ศรีอารย์มันก็ต้องเป็นโลกของพระอริยเจ้าแน่นอน อย่างอื่นไม่ได้ คล้าย ๆ กับว่าจะเป็นพระอริยเจ้าเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง และอย่างน้อยที่สุดก็เป็นพระโสดาบัน นี่ผมก็เลือกเอามาปรึกษาหารือมากกว่า เรื่องที่เกี่ยวกับภิกษุสามเณร แล้วก็ไม่ต้องการให้ซ้ำกันกับเรื่องที่เคยพูดมาแล้วจากปีก่อน ๆ จึงได้ฟังดูมันก็แปลกออกไป ว่าอย่าเป็นทาสสิ่งใด ๆ แม้ที่สุดแต่ว่าอย่าเป็นทาสการศึกษา แล้วว่าอย่าเป็นทาสการศึกษาแม้ศึกษาพระไตรปิฎก หรือดูว่าชักจะเมาพระไตรปิฎกไปในทางที่จะเป็นทาส นักธรรมชัด ๆ ว่าจะศึกษาเพื่อจะมีหน้ามีตามีเกียรติ พูดได้โขมงโฉงเฉง อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นทาสการศึกษา และเป็นทาสได้แม้แต่การศึกษาพระไตรปิฎกนะระวังให้ดี
เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกก็จะแพร่หลาย เราก็จะต้อนรับกันให้ดี ๆ จะไม่มีความเป็นทาสใด ๆ แทรกแซงเข้ามาในจิตในใจของภิกษุสามเณรนั้นก็ดี นี่เรียนนักธรรมก็เป็นทาสนักธรรม เรียนไปเป็นทาสเกียรติของนักธรรม เรียนบาลีก็เป็นทาสเกียรติของการเป็นเปรียญ อะไรมันก็ไม่แคล้วไปจากความยึดมั่นถือมั่นพวกฝังตัวเข้าไปเป็นทาส มันผิดหมด พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น พอไปยึดมั่นถือมั่นเข้ามันก็เป็นทาสของสิ่งนั้น จะไม่เป็นทาสอย่างไร เพราะมาแบกเอาไว้ มาทูนเอาไว้บนศีรษะ บนจิตใจ บนดวงวิญญาณเลย นี่เขาเรียกว่าเป็นทาส ถ้าไม่เชื่อก็ขอร้องให้ไปคิดด้วย อย่าไม่เชื่อไปเฉย ๆ คงจะมองเห็นบ้าง ก็สามารถแก้ไขได้บ้าง นี่ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าดูถูกท่านผู้ใด แต่ว่าพูดด้วยเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะพูดได้ หรือว่ายอมให้พูด แล้วก็พูดด้วยความหวังที่บริสุทธิ์ว่าจะได้ช่วยกันรักษาสถาบันของบรรพชิตของภิกษุสามเณรให้มันคงอยู่ในสภาพที่สูงที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ผมพูดอย่างล้ออายุ ทำไมมันมาออกเรื่องนี้ก็เพราะว่าอายุมันอยู่ในสมัยที่ได้เห็นเรื่องนี้ ก็เลยหยิบเอามาพูด ในวันนี้ก็พูดเรื่องความเป็นทาสอย่างเดียว แต่มันกินความติดต่อกันไปตั้งแต่ต้นจนปลาย หลุดจากความเป็นทาสได้ก็เมื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน นอกนั้นมันก็ยังเป็นทาสของสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ เป็นทาสของวัตถุก็มี เรื่องลาภสักการะ เป็นทาสของเกียรติยศชื่อเสียง เป็นทาสของความมีหน้ามีตาอะไรต่าง ๆ ฉะนั้นขอให้ช่วยกันระวังเถอะ แม้ในการทำประโยชน์ถ้าไปเกิดทะนงตัวในการทำประโยชน์มันก็ต้องเป็นทาสของการได้ทำประโยชน์ ซึ่งเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา
ฉะนั้นเราจะไม่บูชาไอ้เรื่องอย่างนี้ เราจะเอาเหตุผลเป็นใหญ่ ไม่ทำชนิดที่เรียกว่าจะให้เขาเห็นแต่ส่วนที่เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา มันก็จะเป็นเรื่องสวมอะไรปิดบังไว้ให้เขาเห็นแต่ส่วนที่ว่าเขานิยมยกย่องกัน มันก็ล้มละลาย คือความมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์จะล้มละลาย ไม่มีวิมุติเป็นอานิสงส์ ที่มีการงานให้ประกอบกิจการงานก็เพื่อให้มันเป็นบทเรียนสำหรับจะได้รู้จักกิเลส แล้วก็จะได้ต่อสู้กิเลส ถ้าไม่ทำอะไรเสียเลยมันก็จะไม่รู้จักกิเลส เช่น พอมาทำงานด้วยกันเดี๋ยวก็กระทบกระทั่งกัน เดี๋ยวมันก็โกรธขึ้นมา ถ้าบังคับกิเลสไม่ได้มันก็ตีรันฟันแทงกัน ก็เป็นโอกาสให้ได้รู้จักกิเลส รู้จักฆ่ากิเลส รู้จักอดกลั้นอดทน ถ้านอนเสียในมุ้งแล้วก็ตะโกนว่าไม่ตบยุง นี่มันหลอกเท่าไร มันควรออกมานอนนอกมุ้งแล้วไม่ตบยุง จริงหรือเปล่า นี่พระเราควรจะมีหลักในการปฏิบัติอย่างนี้ คือเผชิญกับกิเลสแล้วก็เอาชนะให้ได้ ไม่ใช่เป็นบรรพชิต เป็นพระ เป็นสมณะ พุทธบุตร พุทธชิโนรส นี่ก็ไม่ต้องพูดมากละ เห็นว่ามันพอสมควรกันที
ทีนี้ก็จะสรุปความ เกี่ยวกับว่ามันเป็นการล้ออายุหรือว่าเป็นอะไรก็แล้วแต่จะมอง ผมก็ยังอยากจะเรียกว่าทำบุญอยู่นั่นแหละ ทำบุญอายุ แต่ให้มันเป็นรูปล้อความผิดพลาด ทำบุญด้วยการล้อความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหนึ่ง ๆ แก่ตนเอง หรือแก่เพื่อนฝูงหรือแม้แก่โลก ได้เรียกว่าทำบุญและล้ออายุ ถ้าว่าวันนี้เป็นวันอะไร พวกเราว่าเป็นวันล้ออายุ ก็ไม่ถูก ต้องพูดว่าเป็นวันทำบุญด้วยการล้ออายุ ให้สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ควรจะมี มันหลุดร่วงออกไปจากจิตใจ มันก็เห็นว่ามีส่วนที่น่าทำอยู่บ้าง แต่เอาละเป็นอันว่าใครจะคิดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ถ้าสมมติว่าจะคิดเหมือนอย่างที่พูดเมื่อตอนเช้า มันเป็นการเสนอรายงานประจำปีแก่บุคคลผู้เป็นเจ้าของศาสนา ในฐานะที่ผมนี้เป็นเหมือนกับว่าผู้จัดการ ถ้าคิดอย่างนี้ก็ได้ แต่ต้องตอบสนองอย่างหนึ่งคือรับเอาไปพิจารณาในข้อเสนอของผม หรือของอาตมานี่อย่างละเอียดลออที่สุด และจะต้องถึงกับปฏิบัติลงไปด้วยในสิ่งใดที่จะช่วยกันได้ ต้องรับเอาไปพิจารณา คือว่าระบายหรือเสนออะไรให้ฟังปีละครั้งนี่ต้องรับไปพิจารณา ถ้าจะมองไปว่านี่เป็นการด่าละโว้ย ทั้งวันนี้ ก็ได้ แต่ก็หาขุมทรัพย์ให้พบ เพราะว่าในการด่านั้นมีการชี้ขุมทรัพย์ ใครเห็นว่าเป็นการด่า ท่านทั้งหลายก็จะต้องหาขุมทรัพย์ให้พบ ถ้าจะเห็นว่าเป็นการล้อเลียนอย่างมิตรสหาย ก็ควรจะเกิดหิริและโอตตัปปะบ้าง อย่าเป็นคนด้านดื้อไม่ฟังเสียงเสียเลย เมื่อถูกล้อแล้วก็ควรจะเกิดหิริโอตตัปปะบ้าง ให้อะไรบางอย่างมันหลุดออกไป ถ้าถือเป็นการเตือน ที่จริงมันก็เป็นรูปของการเตือน มันก็หยุดประมาทเสียบ้าง ไอ้ที่มันประมาท ๆ ให้มันละลายไปเสียบ้าง หยุดเสียบ้างอย่าให้มันหมักหมมมากไปด้วยความประมาท ถ้าเป็นการเตือนก็จะได้ประโยชน์อย่างนี้
ถ้าจะถือว่านี่มันพูดเป็นการคิดบัญชีประจำปี มันก็จะได้รู้ความสามารถของตน ๆ ว่าเราสามารถกี่มากน้อย ยังเป็นเด็กอมมือหรือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความสามารถกี่มากน้อย ถ้าจะถือว่าการพูดอย่างแบบล้ออายุในวันนี้มันเป็นการพาไปดูทั่วโลก เพราะเราปรารภเรื่องโลก วิจารณ์โลก สถานการณ์ในปัจจุบันของโลก มันก็เหมือนพาไปเที่ยวดูโลก เหลือบตาดูโลก ซึ่งมันมีความรับผิดชอบร่วมกัน ไอ้โลกนี้เราคนหนึ่ง คนหนึ่ง อยู่ในโลกถือว่ามีความรับผิดชอบร่วมกัน เพราะฉะนั้นมันก็ควรจะรู้เรื่องโลกแล้วก็ได้ความสังเวชกันบ้าง แล้วจะได้ตั้งอกตั้งใจสืบ สืบอายุพระศาสนาไว้ให้ดี ๆ ให้พระเณรนี่สืบอายุพระพุทธศาสนาตามหน้าที่ของพระเณรแล้วก็ให้อุบาสกอุบาสิกานี่ทำหน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นการสืบอายุพระศาสนาไว้ดี ๆ นี่ถ้าเราเหลือบมองดูไปทั่ว ๆ โลก แล้วมีความสลดสังเวชแล้วเราต้องพยายามอย่างนี้ มันจึงจะได้สมกับการเป็นพุทธบริษัท
เอาละทีนี้ ถ้าสมมติว่าใครบางคนจะคิดว่าวันนี้เป็นการแกล้งทำให้ลำบากให้อดข้าวอะไรต่าง ๆ นี่ ก็ต้องดูให้ดี ๆ คือว่า มองไปในแง่ที่ว่า ชักชวนให้ช่วยกันสร้างความเข้มแข็งความอดกลั้นอดทน ให้ทุกคนมีความเข้มแข็ง อดข้าวสิบวันก็ไม่ตายอย่าว่าแต่วันเดียวอย่างนี้ มีน้ำกินอยู่บ้างนี่ เขาเชื่อว่าอดอาหารได้ตั้งสามสิบวัน ยี่สิบวัน ขอให้มีน้ำกินบ้างเท่านั้นแหละ คนแต่ละคนมันมีทุนสำรองอยู่ในร่างกาย ไม่ตาย มันละลายส่วนที่มันสะสมไว้ในร่างกายออกมากินแทน แต่ขาดน้ำไม่ได้ ขาดลมหายใจไม่ได้ ถ้าเห็นว่าเป็นการลำบากเพราะอดอาหารมันก็เป็นเรื่องสร้างความเข้มแข็งขึ้นมาทันที รู้จักใช้สิ่งที่สะสมในร่างกายให้เป็นประโยชน์ด้วย ในที่สุดถ้าเห็นว่าถูกหลอกแล้ว ถูกหลอกให้มาให้ของขวัญแล้ว ก็คิดดูให้ดี ใครเป็นคนได้ คนที่ถูกหลอกมานั่นจะได้ จะได้มากกว่าผู้หลอกเสียด้วย คนถูกหลอกได้มากกว่าคนหลอก ถ้าปฏิบัติตามที่พูดนี้จริง ๆ ว่าหลอกมาให้พ้นอันตราย ถ้าไม่หลอกก็ไม่กลัว แล้วก็ไม่พยายามออกมาจากอันตรายหรือออกมาจากหลุมถ่านเพลิง หรือออกมาจากความตาย เป็นต้น นี่ก็หลอกให้ออกมาจากความอ่อนแอ หลอกให้ออกมาเสียจากขอบเขตของกิเลส ก็ควรจะขอบใจคนหลอกที่ว่าทำให้ผู้ถูกหลอกได้รับอะไรมากกว่าคนหลอก นี่สรุปแล้วเป็นอย่างนี้ จะมองกันในแง่ไหนก็ตามใจ การทำบุญเพื่อล้ออายุวันนี้ เพื่อว่าอาตมากับท่านทั้งหลายมันจะได้อะไรกันบ้าง ถ้ามองไม่เป็นก็จะไม่เห็นว่าได้อะไร ได้เรื่องเพ้อ ๆ ละเมอ ๆ ไป ถ้ามองเป็นก็จะเห็นว่ามันได้อะไร อาจจะได้มากกว่าที่เราจะไม่จัดงานทำบุญล้ออายุในแบบนี้เป็นแน่นอน นี่ขอให้เจตนาดีนี้ประสบความสำเร็จให้ความหวังต่าง ๆ นี้มีการประสบความสำเร็จ เป็นอันว่าปีหนึ่งล้ออายุกันทีหนึ่งนี่ไม่เสียหลายอะไร ช่วยให้ความเป็นพุทธบริษัทนี่ผุดผ่องแจ่มใสขึ้นได้ตามสมควร โอกาสของการบรรยายครั้งสุดท้ายของวันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
ขอให้พระสงฆ์สวดต่อไป