PAGODA

  • Create an account
  • Forgot your username?
  • Forgot your password?
or

Connection

Your e-mail is required to ensure the proper functioning of the Website and its services and we make a commitment not to reveal it to third parties

  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ
PAGODA
  • หน้าแรก
  • ฐานข้อมูล
  • เสียง
  • วีดิทัศน์
  • E-Books
  • กิจกรรม
  • บทความ

เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก

เข้าสู่ระบบ

  • สมัครสมาชิก
  • ลืมชื่อผู้ใช้?
  • ลืมรหัสผ่าน?

Search

  • หน้าแรก
  • เสียง
  • พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
  • อาสาฬหบูชาเทศนา ปี 2517 อาสาฬหบูชาเทศนา กัณฑ์บ่าย
อาสาฬหบูชาเทศนา ปี 2517 อาสาฬหบูชาเทศนา กัณฑ์บ่าย รูปภาพ 1
  • Title
    อาสาฬหบูชาเทศนา ปี 2517 อาสาฬหบูชาเทศนา กัณฑ์บ่าย
  • เสียง
  • 3146 อาสาฬหบูชาเทศนา ปี 2517 อาสาฬหบูชาเทศนา กัณฑ์บ่าย /buddhadasa/2516-3-10.html
    Click to subscribe
    • Share
    • Tweet
    • Email
    • Share
    • Share

ผู้ให้ธรรม
พระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)
วันที่นำเข้าข้อมูล
วันพฤหัสบดี, 30 มกราคม 2563
ชุด
อาสาฬหบูชาเทศนา
  • แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]

    • ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้วิสัจนา พระธรรมเทศนาเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้ที่เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จ
    • พระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนานี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ปรารภเหตุเนื่องด้วยอาสาฬหบูชาประจำปีนี้ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ทราบกันอยู่เป็นอย่างดีแล้ว และธรรมเทศนากัณฑ์แรกนี้ มีความมุ่งหมายส่วนใหญ่เพื่อจะตระเตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้เหมาะสมแก่การทำพิธีอาสาฬหบูชานั่นเอง จิตใจที่เหมาะสมหมายความว่า จิตใจที่จะทำให้มีผลมากในการประกอบกิจกรรมนั้นๆ ในวันนี้จะทำพิธีอาสาฬหบูชาจึงต้องทราบเรื่องราวของอาสาฬหบูชาพอสมควร แล้วก็จะได้ ชักชวนให้เกิดความเสียสละในการที่จะทำ แม้ว่าจะลำบากบ้างก็ยิ่งชอบที่จะทำ เพราะว่าการบูชาด้วยปฏิบัติบูชานั้น  
    • ย่อมมีความลำบากเป็นธรรมดาและให้ท่านทั้งหลายได้ถือเอาโอกาสนี้ แห่งสถานที่นี้ กระทำในใจเป็นพิเศษ คือให้มีความรู้สึกคล้ายกับว่าเป็นเรื่องในครั้งพุทธกาล เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านั้นล้วนแต่เป็นเรื่องในป่าในที่อันสงบสงัด เป็นที่อยู่อาศัยของบรรพชิต วันอาสาฬหบูชาก็เป็นวันที่เนื่องด้วยการแสดงปฐมเทศนา คือ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร  ซึ่งแสดงในป่าอิสิปตนมฤคทายวันนั่นเอง  ดังนี้เราก็ถือโอกาสนี้ซึ่งมีการประชุมกันในสถานที่อันเป็นป่าเช่นนี้ และก็ขอบอกให้ทราบแก่ผู้ที่ยังไม่ทราบว่า สถานที่นี้ที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่มีอายุเก่าแก่ไม่น้อยกว่า ๑๒๐๐ ปี มาแล้ว สิ่งสลักหักพังเหล่านี้เป็นซากเศษอิฐของสมัยที่เรียกกันว่าสมัยศรีวิชัย มีอายุอย่างน้อยก็ ๑๒๐๐ ปีมาแล้ว แล้วก็เป็นที่อันศักดิ์สิทธิ์นาน นานแล้วเป็นที่เหยียบย่ำของบรรพบุรุษผู้เป็นพุทธบริษัทมาตั้งพันกว่าปีแล้ว  เมื่อประกอบกันเข้าหลายอย่างเช่นนี้ก็คงจะช่วยทำให้จิตใจของท่านทั้งหลายมีกำลังมากขึ้น มีความเป็นสมาธิมากขึ้น มีความเสียสละมากขึ้น มีทุกอย่างที่พร้อมที่จะกระทำพิธีอาสาฬหบูชา การบูชานั้นทำได้ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ การกระทำทางกายนี้ก็เห็นได้ง่ายๆ เช่น การอภิวาท กราบกราน การเวียนประทักษิณสามรอบ หรือการกระทำอื่นใดก็เรียกว่าเป็นการบูชาทางกาย การบูชาทางวาจาก็คือเราจะได้กล่าวคำบูชาด้วยวาจา และคำอื่นๆ อีกเป็นอันมากเนื่องในวันนี้ ส่วนบูชาด้วยใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญหรือเป็นใจความสำคัญของเรื่อง คือจะต้องมีจิตใจที่รู้สึกถูกต้องแจ่มแจ้งว่าเรากำลังพูดว่าอะไร เรากำลังกระทำอันมีความหมายว่าอย่างไร ด้วยเหตุนี้แหละจึงจะต้องรู้จักความหมายของการทำอาสาฬหบูชานี้ชัดเจนอยู่ในใจแล้วก็กระทำไปโดยกายและวาจา ย่อมจะกลมกลืนเป็นสิ่งที่มีความหมายอันแท้จริงครบถ้วนทุกประการขอให้พยายามทำใจให้สำเร็จประโยชน์ตามนี้ โดยการฟังคำที่อาตมากำลังบรรยายมานี้เข้าใจแล้วก็ส่งใจไปตามนั้น ก็อย่างน้อยที่สุดก็จะพยายามประกอบกรรมกระทำพิธีนี้ให้เรียบร้อยที่สุด ให้สงบที่สุด และด้วยความเสียสละที่สุด อย่างที่เคยบอกกล่าวเตือนกันมาทุกปีว่าก็ต้องอดทนเป็นธรรมดาตามแบบของการกระทำในป่า
    • ทุกอย่างที่จะกระทำให้เป็นที่ระลึกแก่พระพุทธองค์ได้ มากเท่าไหร่ก็จะกระทำกันจนสุดความสามารถ
    • อย่างกับที่เคยบอกให้ทราบแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มีฉลองพระบาท หรือไม่มีรองเท้าอย่างที่เรามีๆ กันอยู่ ฉะนั้นเราก็ควรจะถอดรองเท้าออกแล้วเดินเวียนประทักษิณ ถ้ามันจะปวดบ้างมันก็เป็นการบูชาด้วยการปฏิบัติบูชาที่ยิ่งขึ้นไป หรือจะมีความยากลำบากอย่างอื่นบ้าง มันก็ล้วนแต่สงเคราะห์เข้าในการเสียสละเพื่อปฏิบูชาด้วยกันทั้งนั้น โดยมากไปกว่านั้นอีก ก็คือว่าวันนี้เป็นวันที่เราจะยอมเสียสละยกให้ทั้งวันเป็นวันสำหรับบูชา ฉะนั้นจึงมีการแสดงธรรมเทศนาเป็นระยะๆ และประกอบกิจกรรมอย่างอื่นที่จะเป็นเครื่องให้ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นสลับกันไป แต่ว่าถ้าอย่างไร ก็จะอธิษฐานจิตไม่ต้องนอนตลอดคืนวันนี้ ด้วยความรู้สึกปิติปราโมทย์ในคุณของพระพุทธองค์ หรือในคุณของ พระธรรมและพระสงฆ์ สิ่งทั้งสามนี้ไม่อาจจะแยกจากกันได้ เมื่อพูดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ติดมาด้วย เมื่อพูดถึงพระธรรม พระพุทธ และพระสงฆ์ก็ต้องติดมาด้วย แม้แต่จะพูดพระสงฆ์อย่างเดียว มันก็ต้องมีพระพุทธและพระธรรมติดมาด้วย เพราะว่าพระสงฆ์นั้นต้องมีพระธรรมจึงจะเป็นพระสงฆ์ขึ้นมาได้ พระธรรมทำให้เป็นพระสงฆ์ ในพระสงฆ์ก็ต้องมีพระธรรม พระสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติอย่างเดียวกันกับพระพุทธองค์มีจิตใจอย่างเดียวกันกับพระพุทธองค์จึงจะเป็นพระสงฆ์แท้ คือ มีจิตใจ  ที่สะอาด สว่าง สงบนั่นเอง ถ้าพูดอีกทีหนึ่งก็ต้องพูดว่า หัวใจของพระพุทธ ก็คือ สะอาด สว่าง สงบ หัวใจของพระธรรม ก็คือ สะอาด สว่าง สงบ หัวใจของพระสงฆ์ ก็คือ สะอาด สว่าง สงบ อีกนั่นเอง เป็นอันว่ามันไม่มีทางจะแยกกันได้ในวัตถุทั้งสามนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรามาแยกโดยความหมายข้างนอก รอบนอก เช่น แยกวันนี้ออกมาเป็นวันอาสาฬหบูชา แล้วก็สมมุติกันว่าเป็นวันของพระธรรม  แล้วก็อย่าลืมว่าพระธรรมนี้ก็ต้องรวบเอาพระพุทธและพระสงฆ์มาด้วย แต่เราแยกออกเป็นวันของพระธรรมก็เพื่อจะทำความงามความหมายของคำว่า “พระธรรม” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปนั่นเอง แต่เรื่องสมมุติบัญญัตินี้ไม่เหมือนกัน ใครจะสมมุติบัญญัติเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่อาตมาอยากจะให้มองเห็นกันในลักษณะนี้ว่า วันวิสาขบูชา นั้นเรียกว่า วันพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเช่นวันนี้ นี้เรียกว่า วันพระธรรม วันมาฆบูชาที่จะมาถัดไปจากนี้นี้จะเรียกว่าวันพระสงฆ์   วันวิสาขบูชา เป็นวันพระพุทธเจ้าเพราะว่าท่านประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานในวันนั้น เป็นเรื่องส่วนพระองค์โดยแท้ ส่วนวันอาสาฬหบูชาเช่นวันนี้นั้น ได้ทรงแสดงพระธรรมเป็นครั้งแรก พูดอย่างสมมุติเขาก็เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นวันประกาศธรรมจักร ประกาศอาณาจักรแห่งพระธรรม คือ ประดิษฐานพระธรรมลงไปในโลก ก็เลยเรียกว่าวันพระธรรม  ทีนี้ต่อไปจากนี้ ก็ถึงวันเพ็ญเดือนสามมาฆบูชานั้น เป็นวันที่พระอรหันต์ตั้งพันกว่ารูปมาประชุมกันอย่างเป็นปึกแผ่นโดยไม่ต้องนัดหมายจึงสมมุติเรียกว่าวันพระสงฆ์ ก็เลยได้เกิดมีวันสำหรับเป็นที่ระลึกนึกถึงหรือบูชากันเป็นพิเศษ สามวันขึ้นมา วันวิสาขบูชา เพ็ญเดือนหก เป็นวันพระพุทธ วันอาสาฬหบูชาเพ็ญเดือนแปดเป็นวันพระธรรม วันมาฆบูชาเพ็ญเดือนสาม เป็นวันพระสงฆ์ จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้กำหนดจดจำไว้เพื่อว่าถ้าอย่างไรเสียก็อย่าให้วันทั้งสามวันนี้ล่วงไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ขอให้คิดดูเถิดว่าในวันนี้เวลานี้ที่เรานั่งกันอยู่ที่นี่นี้มีเพื่อนมนุษย์ของเราเป็นจำนวนร้อยๆ ล้านที่ไม่ได้มานั่งนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างเราที่นี่ แม้ในประเทศไทยเราเพียงประเทศเดียวซึ่งเรามีคนตั้งสี่สิบล้านโดยประมาณนั้น ก็มีคนไม่กี่คนเมื่อเทียบส่วนกันแล้วมันก็น้อยมากที่จะมานั่งระลึกนึกถึงพระธรรมอย่างที่เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ เพราะเขากำลังสาละวนอยู่ในที่ทำการงาน ในตลาด ในออฟฟิศ ในรถ ในเรือ ในเรือบิน เป็นจำนวนมากมหาศาล คนที่มาระลึกถึงพระธรรมด้วยความสนใจและหยุดกิจการทั้งหลายเสียมาทำพิธีอาสาฬหบูชานี้มีน้อยมาก ถ้าคิด ถ้าคิดแล้วอาจจะสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือสองเปอร์เซ็นต์ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ได้มาที่นี่แม้จะมีจำนวนน้อยอย่างนี้ ก็ขอให้มีความพอใจเพราะเป็นสิ่งที่ได้กระทำที่ดี หรือเป็นการได้ที่ดี  และระวังอย่าให้พลาดไปเสียทุกๆปี เพื่อว่าจะเป็นการกระทำที่มีความหมายหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเช่นเพื่อตัวเรา แล้วก็จะได้รับในสิ่งที่ไม่ควร ไม่เคยจะได้รับ จะก้าวหน้าในทางของพระธรรมเพื่อความสุขอันแท้จริงยิ่งๆ ขึ้นไป เมื่อมองอีกทางหนึ่งก็เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์จะได้พลอยได้รับความผาสุขเป็นประโยชน์สุขเพิ่มขึ้นตามส่วน   แต่ที่สำคัญยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอาตมาอยากจะกล่าวว่า จะเป็นวันที่เราระลึกนึกถึงด้วยความกตัญญู คือ จะเป็นสัตว์กตัญญูรู้พระคุณของผู้มีพระคุณอย่างยิ่งเหลือที่จะเปรียบได้ กล่าวคือพระพุทธเจ้านั่นเอง สมมุติว่าถ้าจะไม่ทำอะไรกันเลยในวันนี้ นอกจากจะมาระลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าเพียงอย่างเดียวก็นับว่าเป็นการกระทำที่คุ้มกันแล้ว   คุ้มกันเป็นอย่างยิ่ง ข้อนี้บางคนจะไม่รู้สึกก็ได้ว่าเราเป็นหนี้บุญคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไรถ้าไม่เคยศึกษามาละเอียดละออสักหน่อยก็อาจจะไม่ทราบได้ และอาตมาก็ไม่สามารถที่จะบรรยายให้ครบถ้วนละเอียดละออในช่วงเวลาอันสั้นนี้ได้ แต่อยากจะสรุปใจความสั้นๆ ว่าการที่เรายังอยู่กันมาได้ในสภาพเช่นนี้นั้น ก็เพราะพระคุณของพระศาสนาที่มีอยู่ในสายเลือดของบรรพบุรุษปู่ย่าตายายของเราสืบๆ ต่อกันมา เราจึงได้เกิดมาในลักษณะอย่างนี้ มีความสงบสุข และเป็นสัมมาทิฐิ หรือเป็นผู้ที่ไม่หลับตา เป็นผู้ที่รู้จักทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพียงแต่พูดว่าถ้าไม่มีธรรมะที่เคยมีมาในสายเลือดของพุทธบริษัทนี้แล้วเราก็จะไม่เป็นอย่างนี้ จะเป็นอาการ จะมีอาการเหมือนกับคนมืดบอด หรือจะกระทำสิ่งอื่นๆ ซึ่งไม่เป็นความสงบสุข ผาสุก เยือกเย็นเช่นนี้ หรือจะเป็นมิจฉาทิฏฐินอกศาสนาไปเลย แต่เราก็ไม่รู้สึกกันมากนัก เพราะว่าบิดามารดาปู่ยาตายายของเราต่างหากที่คลอดเรามาตามลำดับแล้วก็มีวัฒนธรรมทางศาสนาประจำอยู่ในบ้าน
    • เรือน ให้ทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างโน้น โดยไม่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องของศาสนา ดังนั้นเด็กจึงเป็นเด็กที่ดีมีความซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที กลัวบาปกลัวกรรม อ่อนน้อมถ่อมตัว ซื่อสัตย์สุจริตทุกอย่าง มันมาในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมในวงศ์ตระกูลที่เป็นพุทธบริษัท เราจึงได้เป็นบุคคลชนิดที่ต้องกล่าวว่าเรากำลังมีความพอใจ ถ้าปราศจากสิ่งเหล่านี้เสียแล้วเราก็จะไม่ได้รับความเป็นมนุษย์อย่างที่กำลังมีอยู่นี่ ดังนั้นจึงก็ต้องถือว่าเป็นหนี้พระคุณของพระศาสนาซึ่งมีต้นตอมาจากสมเด็จพระบรมศาสดาเราจึงถือเอาความกตัญญู
    • กตเวทีประกอบพิธีอาสาฬหบูชาเช่นวันนี้เป็นต้น ยังมีเรื่องอื่นอีกมากแต่จะกล่าวให้สรุปลงในคำว่าวันนี้เป็นวันของพระธรรม แล้วก็จะพูดกันถึงเรื่องพระธรรม นับตั้งแต่ว่าวันนี้เป็นวันที่แรกเกิดหรือแรกปรากฏของพระธรรมในพระพุทธศาสนาขึ้นมาในโลกนี้ คือ พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาในวันนี้ แล้วพระธรรมนั้นก็เผยแพร่ออกไปจนถึงกับสมบูรณ์เป็นปึกแผ่นเป็นพุทธศาสนาขึ้นมา สิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนั้น มีความหมายลึกซึ้งมีประโยคลึกซึ้งจนไม่สามารถจะนำมาพูดจากันในเวลาอันสั้นได้ แต่จะขอนำมากล่าวแต่หัวข้อพอเป็นเครื่องกำหนด ว่าพระธรรมในที่นี้คือการรู้อย่างถูกต้อง แล้วปฏิบัติตามนั้นจนมีผลเกิดขึ้นมาตามความมุ่งหมายอันนั้น เช่นพระธรรม จำแนกเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ก็คือ มีกายวาจาที่ดี มีใจที่ดีแล้วก็มีปัญญาที่สูงสุด รวมกันแล้วก็เรียกว่าพระธรรม ในส่วนการเล่าเรียนก็เป็นพระธรรมในส่วนที่เล่าเรียน ในส่วนปฏิบัติตามนั้นก็เป็นพระธรรม ในส่วนที่ปฏิบัติ ครั้นได้ผลขึ้นมาก็เรียกว่าเป็นพระธรรมในส่วนที่เป็นผลของการปฏิบัติ ทีนี้ดูกันในข้อที่ว่าพระธรรมนี้มีประโยชน์อย่างไร ข้อแรกจะพูดว่าพระธรรมนี้จะป้องกันความทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติคนเรามีเกิดขึ้นมา แล้วก็มีแก่ มีเจ็บ มีตาย และก็มีธรรมชาติเบียดเบียนอย่างอื่นอีกมากซึ่งล้วนแต่เป็นความทุกข์ ถ้าไม่รู้พระธรรมก็เป็นคนโง่ เพราะเอะอะโวยวายระส่ำระสายเดือดร้อนไปตามอำนาจบีบคั้น ของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ถ้าเรารู้พระธรรมก็สามารถจะทำจิตใจให้ไม่ถูกบีบคั้นโดย ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่เรียกว่า พ้นเสียจากความตาย ถ้ารู้พระธรรมถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ก็เรียกว่าบรรลุอมตะธรรม ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีความหมาย คือไม่ทำอะไรแก่จิตใจของบุคคลนั้นได้ นี่เรียกว่าพระธรรม ป้องกันและกำจัดความทุกข์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทีนี้ข้อที่สอง พระธรรมป้องกันและกำจัดความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลส สิ่งที่เรียกว่ากิเลสนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับเหลือที่จะเอามาพูดให้รู้จักกันโดยละเอียด  อยากจะพูดแต่เพียงว่ามันเป็นสิ่งที่จะต้องเจริญขึ้นมาพร้อมกับความเจริญของร่างกายและจิตใจ สัตว์ก็ไม่มีกิเลสมากเหมือนคนเพราะร่างกายและจิตใจไม่เจริญ เพราะคนมันเจริญขึ้นมาโดยร่างกายและจิตใจ มันก็มีกิเลสเจริญขึ้นมาด้วย คือ มันโลภเก่ง โกรธเก่ง โง่เก่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลงของมนุษย์จะมีมากขึ้นตามความเจริญของมนุษย์นั่นเอง นั่นแหละเรียกว่าต้นตอของกิเลส มันมีความรู้ผิด หรือปราศจากความรู้ที่ถูกต้องแล้ว มันก็มีความโลภ  ความโกรธ ความหลง เกิดขึ้น แล้วมันก็มากขึ้น มากขึ้น ไอ้เด็กตัวเล็กๆ ไม่รู้จักโกหก ไม่รู้จักขโมย อาตมาเป็นพยานได้เพราะว่าอยู่กับเด็กตัวเล็กๆ  ไม่โกหกและไม่ขโมย แต่มันค่อยโตขึ้นมา โตขึ้นมา มันค่อยๆ  รู้จักโกหกครึ่งหนึ่ง ขโมยโดยอ้อมอะไรทำนองนี้  แต่ครั้นมาถึงเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่รู้จักโกหกเต็มที่ รู้จักโลภเต็มที่ รู้จักโกรธเต็มที่ รู้จักมารยาสาไถยเต็มที่ นี่เรียกว่าประโยชน์ของความเจริญก็คือกิเลส ถ้าว่าไม่มีพระธรรมเข้ามาคุ้มครองแล้ว สิ่งที่เเรียกว่ากิเลสนี้จะเป็นไฟทีเดียว ราคะก็เป็นไฟ โทสะก็เป็นไฟ โมหะก็เป็นไฟ แล้วก็เผาลนคนที่มีกิเลสนั้น สิ่งที่จะเป็นเครื่องดับไฟก็มีแต่พระธรรมเท่านั้น ที่จะป้องกันการเกิดของกิเลส และกำจัดโทษของกิเลสเสีย เรามีพระธรรมเป็นเครื่องป้องกันและกำจัดความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลส รองลงไปจากความทุกข์ที่เกิดอยู่ตามธรรมชาติ ทีนี้ข้อที่สาม พระธรรมจะป้องกันและกำจัดความทุกข์ ที่เกิดจากหน้าที่การงาน ทุกคนต้องทำอาชีพ ทุกคนมีหน้าทีการงาน ชาวนาก็ทำนา ชาวสวนก็ทำสวน พ่อค้าก็ค้าขาย ทุกคนจะต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานทุกชนิดจะต้องทำให้เกิดความวิตกกังวลความห่วง ความร้อนใจ หรือถ้ามากขึ้นไปก็เป็นช่องทางของการทำทุจริต แม้ว่าจะตั้งหน้าทำการงานอย่างสุจริตมันก็ยังมีความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เช่นมันไม่สมหวัง เป็นต้น หรือว่ามันสมหวังน้อยเกินไปบ้าง หรือตลอดเวลานั้นมันมีความอยาก มีความปรารถนา แต่ที่จะให้ได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้คนเป็นบ้าไปเสียก็มี ถ้ามีพระธรรมเข้ามาอยู่ในจิตใจแล้ว ก็ป้องกันความทุกข์ที่เกิดจากหน้าที่การงาน เรื่องนี้ก็ยืดยาวต้องศึกษากันอีกมาก จึงจะรู้ โดยสมบูรณ์ว่าจะป้องกันความทุกข์ในหน้าที่การงานออกไปเสียได้อย่างไร และควรจะดูให้เห็นชัดๆง่ายๆกันไว้ทีก่อนเสมอไปว่าคนที่ไม่มีธรรมะนั้น พอทำการงานก็เป็นทุกข์ ทำอยู่ก็เป็นทุกข์ ได้เงินได้ของมาแล้วก็เป็นทุกข์ ยิ่งรวยมากก็ยิ่งเป็นทุกข์มาก เพราะว่ามันคิดไม่เป็นไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ดังนี้เรียกว่าพระธรรมป้องกันความทุกข์ที่เกิดมาจากหน้าที่การงาน อยากจะชี้ให้ดูต่อไปอีกว่า พระธรรมจะช่วยป้องกันและกำจัดความทุกข์ที่เกิดมาจากการอยู่ร่วมโลกกับคนพาล ในโลกนี้เวลานี้มีคนพาลมากขึ้น แต่ควรจะเรียกว่าเป็นอันธพาลชั้นดี เพราะว่ามันมีการศึกษามาก มีการเจริญมาก มีมหาวิทยาลัยให้ทั่วไปทั้งโลก แล้วคนเหล่านี้ก็ออกมาเป็นคนพาล สำหรับทำโลกให้เดือดร้อน ไม่มีวันที่จะเย็นลง เย็นลง มีแต่วันที่จะร้อนขึ้น ร้อนขึ้น แล้วก็หลายอย่างหลายประการเกี่ยวพันกันให้ยุ่งไปหมด นี่โลกของคนอันธพาล เราก็ต้องอยู่ร่วมโลกกับเขาถ้าไม่มีธรรมะเพียงพออยู่บ้างแล้วจะต้องร้อนมาก หรือจะต้องเป็นโรคเส้นประสาทหรือเป็นบ้าไปเลย หรือจะมองดูให้แคบเข้ามาว่า ในบ้านนี้เมืองนี้ ไม่ใช่ทั้งโลก มันก็มีคนอันธพาล เราต้องอยู่ร่วมกับคนอันธพาลในบ้านนี้เมืองนี้ในจังหวัดนี้ในประเทศนี้ มันก็ต้องมีอะไรอย่างหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องคุ้มครอง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นทุกข์เหลือประมาณ  ดังนี้คิดดูเถอะว่าถ้ามีธรรมะแล้วจะรู้จักจัดจิตใจของตนเองไม่ต้องดือดร้อน แม้ในการที่จะอยู่ร่วมกันกับคนพาลใน บ้านเมืองนี้ ในประเทศนี้ หรือในโลกนี้ หรือว่าจะต้องอยู่ร่วมโลกกันกับคนที่เขารบราฆ่าฟันกัน จะอันธพาลหรือไม่อันธพาลก็สุดแท้ เมื่อเขาฆ่ากันหรือเขายิงกัน เขาระเบิด  เขาทิ้งระเบิดใส่กัน    มันก็ต้องมาถึงคนดีที่ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรกับเขา ถ้ามันไม่มีธรรมะแล้วมันก็เป็นทุกข์อย่างยิ่งถึงกับ เป็นโรคประสาทหรือเป็นบ้าตาย ก็เราสังเกตดู ในคราวสงครามที่แล้วมานี่ คนเป็นทุกข์เป็นร้อนกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ลืมหมดแล้ว แต่ถ้านึกดูให้ดี บางทีพอจะนึกออกว่าคราวนั้นน่ะมีความทุกข์ร้อนกันอย่างไร แม้ว่าเราไม่ได้มีส่วนอะไรกับเขาในการที่จะทำสงคราม   ดังนี้เป็นอันว่า พระธรรมจะต้องช่วยป้องกันความทุกข์ทุกชนิดและความทุกข์อย่างอื่นแม้จะมีอีกกี่อย่างก็ตามใจ ไม่มีสิ่งใดจะช่วยป้องกันหรือกำจัดความทุกข์นั้นได้ นอกจากพระธรรมอย่างเดียว เป็นอันกล่าวได้ในที่สุดว่า พระธรรมเท่านั้นที่จะป้องกันหรือกำจัดความทุกข์ทุกชนิดของมนุษย์ในโลก ที่นี้ถ้าดูให้ดีคือให้ดูในฝ่ายดี น่าชื่นใจบ้าง มันก็ดูว่ากำจัดความทุกข์ได้เท่าไร ก็จะรู้สึกเป็นสุขเท่านั้น กำจัดความทุกข์ได้อย่างไร ก็จะมีความรู้สึกเป็นสุขอย่างนั้น เราชอบความสุขก็มองดูในแง่ของความสุข แต่ว่ามันต้องกำจัดความทุกข์เสียก่อน ถ้าพูดอย่างความจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ท่านจะตรัสแต่พียงว่า ทำที่สุดแห่งความทุกข์เท่านั้น เท่านั่นนะหมดปัญหา ทำที่สุดแห่งความทุกข์ คือ ไม่มีความทุกข์เลยแล้วก็หมดปัญหา แต่เราไม่ชอบเรายังอยากจะมีความสุขอีกก็ตามใจก็ให้ถือเอาว่าที่กำจัดความทุกข์ลงไปได้เท่าไรนั่นแหละจะเป็นความสุข ทีนี้ก็ต้องระวัง ว่าไอ้เรื่องความสุขนี่ คนอันพาลนั้น เขาเอาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังหรือการเป็นภาคของกิเลสนั้นว่าเป็นความสุข เขาจึงไปทำอบายมุขนานาชนิด แล้วก็คิดว่าเป็นความสุข ที่แท้มันเป็นความหลอกลวงของความเพลิดเพลินด้วยอำนาจของกิเลส ถ้าความสุขอย่างนี้ไม่เรียกว่าความสุขในที่นี้  มันเป็นของร้อน มันเป็นของเผา ถ้าความสุขแท้จริงต้องเป็นเรื่องของความสงบเย็นที่เกิดมาจากการที่เรากำจัดความทุกข์ออกไปได้เท่าไรจึงกล่าวได้ว่ากำจัดทุกข์ได้อย่างไร เท่าไรก็เป็นความสุขขึ้นมาอย่างนั้นหรือเท่านั้น ยังจะช่วยซึ่งกันและกันให้ได้รับความสุขด้วย พระธรรมจึงเป็นเหมือนกับว่า ธรรมจักร สิ่งที่เรียกว่าจักรนั่นคือของกลม มีคมโดยรอบ และก็มีกำลังอะไรอย่างหนึ่งพัดไปให้หมุดไปอย่างเร็วที่สุดมันก็คมมันก็ตัดกระจุยกระจายไปเลย อย่างนี้เค้าเรียกว่า จักร  ทีนี้ ธรรมจักร  ก็หมายถึงพระธรรมที่สามารถจะตัดปัญหาความทุกข์ยากลำบากของมนุษย์ให้หมดสิ้นไปอย่างนี้เรียกว่าธรรมจักร จะตัดกิเลสอันร้ายกาจของมนุษย์ ตัดสิ่งซึ่งเป็นเสนียดจัญไรสำหรับมนุษย์ให้หมดไป  ถ้าจะดูอีกทีหนึ่ง พระธรรม ทำหน้าที่พระเป็นเจ้าอย่างที่คนที่เขาชอบพระเป็นเจ้า ถ้าใครชอบพระเป็นเจ้าก็ได้เหมือนกันแต่ขอให้มีพระธรรมนี้เป็นพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าโดยความหมายทั่วไปแล้วก็คือผู้สร้างขึ้นมาแล้วก็ผู้คุ้มครองอยู่ และผู้ประสาทความสุขให้ มีพระธรรมเท่านั้นที่สร้างจิตใจของเราขึ้นมาให้เป็นจิตใจอย่างมนุษย์นี่ พระธรรมเป็นผู้สร้าง แล้วพระธรรมก็คุ้มครองอยู่ให้อยู่ในสภาพเช่นนี้ และก็ประสาทความสุขอันแท้จริงให้ อย่างนี้เรียกว่าพระธรรมได้ทำหน้าที่ของพระเป็นเจ้าที่ดีที่สุด ถ้าใครชอบพระเป็นเจ้าก็มีพระธรรมเป็นพระเป็นเจ้า ดูกันตรงๆ ที่นี่ อย่างเรื่องทางวิทยาศาสตร์ก็ให้รู้จักพระธรรม ที่ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงจิตใจของสัตว์ให้สดใส ให้สะอาด ให้สว่าง ให้สงบ เรามีจิตใจสะอาด สว่าง สงบเพราะการหล่อเลี้ยงของพระธรรม พอมีโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นมันก็ร้อนเป็นไฟ  สกปรก มืดมัว เศร้าหมอง เร่าร้อน พอมีธรรมะมากวาดไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงออกไป ก็มีความสะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นขึ้นมาแทน ดังนี้เป็นเหมือนกับน้ำเย็นใสสะอาดรดจิตใจให้เย็นอยู่เสมอ  จึงสรุปความว่าพระธรรมทำหน้าที่เหมือนกับธรรมจักรตัดสิ่งที่เป็นที่ร้าย เสนียดจัญไรนี้ให้หมดไป  หรือว่าพระธรรมมีหน้าที่เหมือนพระเป็นเจ้า สร้างจิตใจมนุษย์ คุ้มครองจิตใจมนุษย์ ประสาทสุขให้แก่จิตใจของมนุษย์  โลกอยู่ได้ด้วยพระธรรมอย่างนี้ แต่คนก็ไม่ค่อยมองเห็น  แล้วก็ไม่กตัญญูต่อพระธรรม  เพราะให้ความ อยุติธรรมแก่พระธรรม คือสนใจพระธรรมน้อยเกินไป วันหนึ่งคืนหนึ่งปีหนึ่ง นึกถึงพระธรรมกี่ กี่นาทีดีกว่า แล้วนึกถึงเรื่องตัวกูของกู เรื่องกินเรื่องเล่นเรื่องหัวเรื่องสนุกสนานเอร็ดอร่อยนั่นกี่ชั่วโมงกี่  ก็ลองนึกดูเทียบเคียงกันดู นี่เรียกว่าไม่รู้จักพระธรรม ถ้ารู้จักพระธรรมก็จะต้องเคารพพระธรรมให้สมกับที่พระธรรมมีคุณแก่เรา เดี๋ยวนี่มันชินชาเฉยกันไปเสียหมด ทั้งที่พระธรรมมีอยู่ในเลือดในเนื้อคุ้มครองกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษโน้น เหมือนกับว่าคนกินข้าว จนชินก็ไม่ค่อยรู้จักคุณหรือประโยชน์ของข้าว เว้นไว้แต่ไม่ได้กินมันหิวมันจะตาย แล้วมันก็หามากิน เสร็จก็ไม่รู้จักคุณ หรือแม้แต่กินน้ำ มันก็ไม่รู้จักคุณของน้ำ มันชินชากันเกินไป เราไม่มีกินมันก็ตาย พระธรรมก็เหมือนกันลองไม่มีพระธรรม มันก็ตาย ตายโดยจิตใจไม่มีความเป็นมนุษย์ ต้องเคารพพระธรรมให้เท่ากับที่พระธรรมมีคุณ และต้องสนใจพระธรรมอยู่ตลอดเวลา สนใจพระธรรมล่วงหน้า ให้ช่วยจำกันไว้หน่อยว่าขอให้สนใจพระธรรมล่วงหน้า เดี๋ยวนี้มีคุณ เอ้อ,มีคนเป็นจำนวนมากน่าสงสารมาขอให้ช่วยพูดแสดงธรรมให้คนที่มันคุ้มดีคุ้มร้ายแล้วนั่น ให้มันสบายหน่อยเถอะ มันไปทำผิดอะไรมาจน จนเป็นโรคประสาท คุ้มดีคุ้มร้าย แล้วจะให้มาช่วยพูดด้วยพระธรรมให้หายอย่างนี้มันทำไม่ได้ จะทำได้ก็โดยที่คนนั้นเขาสนใจในพระธรรมล่วงหน้า และมีพระธรรมอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วเขาก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ถึงขนาดที่กลายเป็นคนประสาทคุ้มดีคุ้มร้าย พระธรรมมันก็ช่วยเอง เขาต้องสนใจพระธรรมล่วงหน้าเหมือนกับว่าเราจะมีอาวุธไว้ป้องกันตัว เช่น มีปืนเป็นต้น เราต้องมีปืนไว้ก่อนที่จะมีโจรมาปล้นบ้าน เมื่อเรามีปืนแล้วเราก็ต้องฝึกใช้ปืนนั้นให้ดีที่สุดไว้ก่อน แต่ที่จะ ก่อนแต่ที่จะมีโจรมาปล้นบ้าน เดี๋ยวนี้คนมันโง่ถึงขนาดว่ามีโจรมาปล้นบ้านแล้วจึงจะไปซื้อปืนมา  หรือว่าซื้อปืนมาแล้วก็เก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้ยิงปืนให้เป็น  มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็นึกดูให้ดีว่า ถ้าไปซื้อปืนไอ้เด็กเล่น ปืนฉีดน้ำมาแล้วมาฝึกให้ดี แล้วก็ยิงโจรนี้มันจะตายหรืออย่างไร เดี๋ยวนี้ก็ดูจะเป็นอย่างนั้นเสียมาก พวกเรามาเกี่ยวข้องกับพระธรรม  พระศาสนาอย่างพิธีรีตองเสียหมด ไม่ถึงพระธรรมตัวจริง แม้ว่าจะไปวัดทุกวันพระ หรือทำพิธีอะไรต่างๆ อยู่เสมอๆ แต่มันเป็นเรื่องพิธีรีตองเสียหมดไม่เข้าถึงจิตใจ มันก็คล้ายกับว่าไปซื้อปืนฉีดน้ำหรือปืนเด็กเล่นมาแล้วก็ฝึกไว้อย่างดี แล้วก็ใช้ยิงโจรที่มาปล้นบ้านจะได้ประโยชน์อะไร เพราะว่ามันไม่ใช่ปืนชนิดที่ว่าจะฆ่าคนให้ตายได้ฆ่าโจรให้ตายได้ มันต้องไปซื้อปืนจริงๆมาแล้วก็ฝึกไว้ให้ดี หรือเป็นการล่วงหน้า แล้วก็จะปราบโจร   สำหรับพระธรรมหรือศาสนานี้ก็เหมือนกัน ต้องเป็นพระธรรมจริง ไปเสาะหาให้ได้พระธรรมจริงมา แล้วก็มาใช้ฝึกฝนให้คล่องแคล่วจนเป็นคู่มือคู่ใจ มันจึงจะป้องกันกิเลสได้  จะกำจัดกิเลสได้ นั่นแหละจึงจะเรียกว่ามีอาวุธสำหรับกำจัดข้าศึกได้ตรงตามความประสงค์ ทีนี้อาวุธก็ไม่มี หรือถ้ามีก็เป็นอาวุธปลอม อาวุธอย่างอาวุธปืนคล้ายๆ เล่นนั่นเอามาทำเป็นปืนจริง หรือว่ามีแล้วก็ไม่ฝึกให้คล่องแคล่ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ มันต้องมีไว้ล่วงหน้าต้องฝึกไว้ล่วงหน้า นี่เรียกว่าสนใจพระธรรมล่วงหน้า เดี๋ยวนี้โลกเราไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ ไม่รู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้สนใจที่จะมีพระธรรม พระธรรม ก็หายากในจิตใจของคนเหล่านั้น หรือในโลกนี้ก็ไม่ค่อยมีพระธรรม เดี๋ยวนี้โลกในสภาพปัจจุบันนี้ก็จะเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพที่ไม่รู้จักพระธรรม เค้าไม่รู้จักปืนที่จะฆ่ากิเลส แต่เค้าไปรู้จักระเบิดปรมาณูที่จะโยนใส่กันให้ตายทีละแสนละล้านนี้ จะทำเป็นกันทุกประเทศแล้วเดี๋ยวนี้ แต่ว่าอาวุธที่จะฆ่าหรือทำลายศัตรูของมนุษย์โดยแท้จริงนั้นไม่รู้จัก ทุกศาสนาตกอยู่ในสภาพอย่างเดียวกัน สำรวจดูให้ดีแล้วจะพบว่าทุกศาสนาถูกละเลยให้กลายเป็นสิ่ง เหลือแต่พิธีรีตองอย่างนี้เป็นต้น  โลกมันก็จะไร้ศาสนาทั้งที่ปิดป้าย ปิดฉลากว่าเต็มไปด้วยศาสนา มันปิดป้ายปิดฉลากว่าเต็มไปด้วยเรื่องธรรมะหรือศาสนา แต่เนื้อแท้มันไม่มี เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงไม่มีความสงบสุข ก็ลองคิดดูเถอะว่ามันสมน้ำหน้าหรือไม่ที่มนุษย์มันทำแก่พระธรรมอย่างนี้  สรุปแล้วก็ควรจะมีพระธรรมจริงเหมือนกับอาวุธไว้ล่วงหน้าแล้วก็ฝึกไว้ให้คล่องแคล่วเป็นการล่วงหน้า มันจะป้องกันกิเลส และกำจัดกิเลส ที่เกิดขึ้นมา นี่เรียกว่า พระธรรมมีความสัมพันธ์กันอยู่กับมนุษย์เราอย่างนี้ พอเราทิ้งพระธรรม พระธรรมก็ไม่คุ้มครองโลก โลกก็เป็นอย่างนี้ ดังนั้นขอให้ช่วยกันให้รู้จักพระธรรมกันมากขึ้น ว่าวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาเป็นวันของพระธรรม ขอให้ช่วยกันรู้จักพระธรรมให้มันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วมา ฉะนั้นทำอะไรๆ เพื่อพระธรรมให้มากขึ้น เพื่ออุทิศพระธรรม ขอให้พระธรรมนี้เนืองนองไปหมดในโลกนี้ สำหรับคุ้มครองจิตใจสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ให้มันชื่นชุ่มไปด้วยพระธรรมเหมือนกับว่าเป็นน้ำที่รดให้มันชุ่มชื่น เหมือนเป็นน้ำฝน ในฤดูฝนมันซู่ซ่าไปหมด ทั่วไร่ทั่วนา จงหลับตาคำนวนดูว่ามันต่างกันอย่างไร กับในข้อที่ว่าไม่รู้ว่าพระธรรมอยู่ที่ไหน กับข้อที่ว่าพระธรรมมาอยู่ในจิตใจของเรามาเย็นฉ่ำอยู่ในจิตใจของเรา อยากจะสรุปเป็นคำสำหรับจำง่ายๆ ไว้ อุทิศพระธรรม อธิษฐานจิต ว่าขอให้พระธรรมไหลนองครองใจสัตว์ พ้นพิบัติผองภัย สดใสสูญ ให้ชื่นชุ่มฉ่ำไปด้วยใบบุญ เหตุพระคุณของพระธรรมเป็นน้ำรด ดั่งน้ำฝนฉ่ำไปในวสา ทั่วไร่นาซู่กระเซ็นเยือกเย็นหมด น้ำพระธรรม น้ำพิรุณ คุณเอกรส เห็นปรากฏทั่วหล้า บูชาเอย  ขอให้หมายมั่นปั้นมือปักใจไว้ว่าเราจะมีพระธรรมเนืองนองอยู่ในใจของสัตว์ เป็นน้ำรดให้เย็นเหมือนฤดูฝนตกหนักในพรรษาฝนตกหนักในไร่ในนาก็เยือกเย็นไปหมด อย่าว่าแต่ในบ้านในเมืองเลย น้ำพระธรรมกับน้ำฝนมีความหมายเป็นอย่างเดียวกันอย่างนี้ เมื่อใครเห็นแล้วก็จะบูชา สมัยหนึ่งโลกเคยบูชาพระศาสนา บูชาพระธรรม เดี๋ยวนี้ก็เหินห่างยิ่งขึ้นทุกที ขอให้อธิษฐานจิตว่าเราจะประพฤติตนกันเสียใหม่ให้มีพระธรรมมาอาบรดจิตใจ ให้สมกับว่าพระธรรมนี้มีมาเพื่อคุ้มครองสัตว์โลกโดยแท้จริง วันนี้เป็นวันพระธรรมเป็นวันอาสาฬหบูชา เราจะบูชาพระธรรมกันเป็นพิเศษอย่างที่เคยทำมาแล้ว ที่เรียกว่า เวียนประทักษิณ จะทำพร้อม ครบทั้งกาย วาจา ใจ  เต็มเปี่ยมโดยแท้จริง  ต่อไปตามลำดับ ธรรมเทศนาที่เป็นการเตือนให้ระลึกถึงและย้ำให้กระทำจิตใจให้เหมาะสม สำหรับการทำอาสาฬหบูชา ในวันนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติธรรมเทศนาไว้เพื่อจะได้ดำเนินพิธีอาสาฬหบูชาสืบต่อไป เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
    • ที่นี่ก็เป็นวัดป่าพระเรือน ก็มีวิธีตามแบบของวัดนี้ ซึ่งไม่เหมือนกับวัดอื่นก็ได้ นับตั้งแต่ว่าการบูชานี้ จะให้พระท่านว่าเป็นภาษบาลีว่าก่อน แล้วที่เป็นคำแปลไทยก็ให้ชาวบ้านทายกทายิกาว่าทีหลัง ทีนี้พระนี้ก็ว่าเป็นภาษาบาลีเวียนก็เวียนโดยจิตใจ สำหรับชาวบ้านก็ว่าภาษาไทยก็เวียนเดินจริงๆ นี้อย่าได้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ว่าไม่เหมือนกันหรือว่าเอาเปรียบกัน ทีนี้ชาวบ้านไม่ต้องสวดพระจะช่วยสวด ใช้ธรรมในใจให้ดีที่สุด อย่าเดินให้เร็วนัก มันระหกระเหินเดี๋ยวมันจะสะดุดมันจะหกล้ม เดินอย่าให้เร็วนัก ทำในใจให้ดี ถึงคำที่พระสวด พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เห็นว่าดีกว่าสวดเอง ถ้าชาวบ้านสวดเองมันฟุ้งซ่านมากกว่า พระช่วยแบ่งเบาภาระสวดให้ ชาวบ้านก็ช่วยตั้งใจหน่อย ฟังให้ดี ในธรรมในใจดี แล้วก็เดินไปช้าๆ พอสมควร ถ้าเดินเร็วมันต้องระวังจะล้ม ทีนี้จิตมันก็ฟุ้งซ่าน พระพุทธ พระพุทธคุณก็หายไปเสียบ้าง ไหนๆเราก็จะต้องเดินแล้วก็ควรเดินให้ดี ที่ว่าเวียนขวา ประทักษิณนี้แปลว่าเวียนขวาเอาขวามือของผู้เดินนั้นไว้ทางสิ่งที่เรียกว่าเราแสดงความเคารพ เช่นสถานที่นี้ก็เป็นซากพระเจดีย์อยู่ที่นี่ เป็นพระสถูปเจดีย์ และก็มีสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางธรรมจักร ปางนิพพานทิ้งอยู่ที่ต้นไม้เหล่านี้ หินสลักจำลองหินสลักที่พิงอยู่นี้ คือ สัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ปางประสูติ ปางตรัสรู้ ปางธรรมจักร ปางนิพพาน ก็ไม่ได้มีพระพุทธรูปโดยตรง ยังไม่ได้ทำ แต่ก็มีสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าเหมือนกันกับพระพุทธรูป คือแผ่นหินเหล่านี้ ก็ถือว่านี่เป็นศูนย์กลางที่เราจะถวายการบูชา ดังนั้นต้องเดินมือขวาอยู่ทางสิ่งเหล่านี้ จึงเรียกว่าประทักษิณเวียนไปข้างขวา เป็นการแสดงการบูชาอย่างสูงสุดตามที่สมมุติหรือบัญญัติไว้มาแต่ดึกดำบรรพ์ ในประเทศอินเดีย เรารับวัฒนธรรมทุกอย่าง รวมทั้งพระพุทธศาสนามาจากประเทศอินดีย ดังนั้นจึงได้ใช้คำพูดของประเทศอินเดีย เช่นคำว่า ประทักษิณ อย่างนี้เป็นต้น ข้อนี้มันหลีกไม่พ้นไปใช้คำของประเทศที่เป็นต้นตอ ของศาสนา หรือ วัฒนธรรมนั้น  จนเป็นภาษาของตัวเอง ทีนี้เวียนประทักษิณนั่นหมายความว่าทำความเคารพสูงสุด ไม่มีการแสดงอย่างอื่นที่จะสูงสุดน่ะ แต่มันมีความหมายซ้อนกันอยู่อีกทีนึง  ประทักษิณเวียนขวาก็จริง  แต่หมายถึงการประกอบกระทำกรรมที่ดี กรรมที่ดีทางกาย ทางวาจา ทางใจ นั่นแหละเรียกว่า ประทักษิณ  ประทักษิณทางกาย ประทักษิณทางวาจา ประทักษิณทางใจ ดังนั้นผู้ที่เดินเวียนประทักษิณอยู่นี้ก็จะต้องมีความถูกต้อง มีความบริสุทธิ์มีความถูกต้องอยู่ จึงจะเป็นการเดินเวียนประทักษิณ ถ้าทำจิตใจเหมือนกับว่าในประเทศอินเดียครั้งพุทธกาลโน้น ท่านอยู่กันในป่าเราก็ได้บรรยากาศชนิดเดียวกัน คือทำประทักษิณ นี่เรียกว่าเวียนเทียน   เอ้า,ทีนี้พระจะทำการบูชาตามพิธีอย่างพระก่อน ชาวบ้านอย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งจุด ชาวบ้านอย่าเพิ่งจุด  ให้จุดทีหลัง พระจะจุด ถ้าอยากจุดก็จุด แล้วก็ยืนขึ้น  ชาวบ้านยังไม่ต้องจุด นั่งดู

logo

  • เกี่ยวกับเรา
  • ติดต่อเรา
  • จดหมายข่าว
  • Privacy Policy
  • Terms of Service