แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผู้ที่ยังไม่ทราบ ก็ควรจะทราบว่า การนั่งพูดกันที่ตรงนี้ เราเรียกว่า ธรรมปาฏิโมกข์ ที่เขาอยู่กันที่นี่เขารู้ดีว่าที่มานั่งพูดกันตรงนี้ โดยเฉพาะวันนี้เรียกว่าธรรม ธรรมปาฏิโมกข์ เป็นธรรมปาฏิโมกข์ ฝ่ายธรรมะ เกี่ยวกับธรรมะ คู่กันกับปาฏิโมกข์ วินัยที่ทำทุกครึ่งเดือน โดยเห็นว่าวินัยก็มีความสำคัญ ต้องทำทุกวันปาฏิโมกข์ ธรรมะก็สำคัญพอ ๆ กัน ทำทุกวันที่ควรจะทำได้ เขามักจะเรียกกันว่าทำวันธรรมสวนะ วันพระบ้าง วันอุโบสถบ้าง อยากจะให้ผู้ที่แรกบวช ไม่เคยบวช และก็แรกบวชคราวนี้ เข้าใจคำชนิดนี้ไว้บ้าง
ปาฏิโมกข์ มันแปลว่าส่วนที่สำคัญ หรือจำเป็นเฉพาะความหลุดพ้น ความรอดตัวไปได้ เขาเรียกว่าปาฏิโมกข์
วันนี้เรียกว่าวันพระ ชาวบ้านเขาเรียกว่าวันพระ พระก็ต้องปาฏิโมกข์หรือทำอะไรที่เป็นกิจของพระมากเป็นพิเศษ ชาวบ้านเลยเรียกวันนี้ว่าวันพระ มีอย่าง ๘ ค่ำก็มี ๑๕ ค่ำก็มี แต่โดยมากก็เล็งถึง ๑๕ ค่ำ เขาเรียกว่าวันธรรมสวนะ ก็คือ ฟังธรรมะนั่นเอง อย่างที่เรากำลังให้มีการพูด การฟัง กันที่นี่เดี๋ยวนี้ก็เรียกว่าธรรมสวนะได้ สำหรับชาวบ้านเขาก็เรียกว่าวันอุโบสถ หมายความว่าเป็นวันที่เข้าไปตั้งอยู่ในโบสถ์ โบสถ์ในที่นี้ก็คือระเบียบ การปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ดีแล้วสำหรับจิตใจ จะเข้าไปอยู่ในที่นั้น ไม่ต้องหมายถึงลงโบสถ์ หมายถึงระเบียบการปฏิบัติชนิดที่ได้ทรงบัญญัติไว้อย่างนั้น อย่างนั้น และในวันนี้ คนเขาทำจิตใจให้มันเป็นอย่างนั้น เหมือนกับเข้าไปอยู่ในระเบียบวินัยอันนั้น สมาทานอยู่ด้วยดี เขาเรียกวันอุโบสถสำหรับชาวบ้าน
ทีนี้สำหรับพระนั้น เขาใช้ปาฏิโมกข์เป็นอุโบสถ เข้าไปชำระข้อผิดพลาดที่เกี่ยวกับปาฏิโมกข์ในวันนั้นให้หมดไป ผู้ที่ต้องอาบัติอยู่ต้องแสดง หรือถ้าแสดงไม่ได้เดี๋ยวนั้น ต้องบอกขึ้นสำหรับแสดงเมื่อนั้นเมื่อนี้เลย อย่างอาบัติบางอาบัติที่แสดงไม่ได้ที่นั่นเดี๋ยวนั้นน่ะนึกขึ้นมาได้ ในวันอย่างวันนี้ก็เป็นวันพิเศษ เราจะเรียกว่าวันธรรมปาฏิโมกข์ก็ได้ ที่มาพูดจากันเรื่องธรรมะเป็นพิเศษ เป็นการซักซ้อมส่วนที่สำคัญที่สุด อย่าให้ลืมได้ เช่นเดียวกับเขาลงอุโบสถสวดปาฏิโมกข์นั่นเหมือนกัน นี่ผู้มาใหม่อาจจะไม่เข้าใจ ขอให้เข้าใจคำว่าธรรมปาฏิโมกข์ในลักษณะอย่างนี้ และในวันนี้ก็กลายเป็นว่าจะต้องบรรยาย หรือแสดงธรรมปาฏิโมกข์นี้เป็นพิเศษยิ่งกว่าวันอื่น และยิ่งขึ้นไปอีกเพราะว่ามีผู้มาใหม่มาก และโดยเฉพาะเณรเล็ก ๆ นี่ เห็นมีมามาก ก็เห็นแก่สามเณรเหล่านี้ นี่ก็ต้องลดเรื่องของธรรมปาฏิโมกข์ลงไปหา เลยต้องมีธรรมปาฏิโมกข์พิเศษ พิเศษก็คือว่าให้คนแรกมาเหล่านี้ได้รับประโยชน์ หรือพอจะฟังถูก
ทีนี้เรื่องธรรมปาฏิโมกข์นี่เราถือเป็นหลักตายตัวว่า เป็นเรื่องที่พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "ตัวกู ของกู" ผู้มาใหม่ก็งงเหมือนกันว่าทำไมไอ้เรื่องตัวกูของกูนี้มันสำคัญอะไรนักหนา มันมีความสำคัญมากจนแทบจะบรรยายไม่ไหว เพราะทุกเรื่องมันเนื่องเกี่ยวกับสิ่งนี้ทั้งนั้น จะผิดก็เพราะมันมีสิ่งนี้ จะถูกก็เพราะว่ามันไม่มีสิ่งนี้ จะบรรลุมรรคผลนิพพานก็เพราะว่ามันถอนรากถอนเหง้าของสิ่งนี้หมดไปเลย มันหมด มันหมดทุกเรื่องอย่างนี้ เมื่อพูดถึงพุทธศาสนา มีคำสอนมากมายนับจำนวนข้อไม่ไหว แต่ทุกข้อเป็นไปเพื่อให้รู้สิ่งนี้ ต้องให้ละเสียซึ่งสิ่งนี้ ให้ได้ผลจากการที่ไม่มีสิ่งนี้
หัวข้อในวันนี้ที่จะพูดก็คือว่า หัวใจของพุทธศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู การที่เรามีชีวิตอยู่โดยปราศจาก หรือว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู นี่คือหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งอะไรเหมือนกันหมด พอมีความรู้สึกชนิดตัวกูของกูเกิดขึ้นมา เป็นมีความทุกข์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เป็นการทนทรมานไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ถ้าเรามีชีวิตปราศจากความรู้สึกชนิดนี้ ไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้คนที่ไม่เคยฟังก็เข้าใจผิดตั้งแต่ทีแรกว่า ทำไมมีความรู้สึกว่าตัวเรา ว่าเห็นแก่เรา แล้วเราก็ไม่ทำอะไรนี่ นี่ขอตอบไว้เด็ดขาดตลอดไปทุกเวลาทุกเมื่อว่า ถ้าทำด้วยสติปัญญาที่รู้หรือเห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ไม่ต้องทำด้วยความเห็นแก่ตัวกูของกูหรอก ทำด้วยความเห็นแก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี คือ เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะและทำหน้าที่ทุกอย่างได้ตามที่ควรจะทำ และไม่มีความทุกข์ ถ้าทำด้วยความเห็นแก่ตัวกูของกู หมายมั่นเป็นเรื่องตัวกูของกู มันมีความทุกข์ นี่มันเป็นการมีกิเลสที่น่าเกลียดน่าชัง ฉะนั้น อย่าเข้าใจว่าถ้าไม่มีความรู้สึกว่าตัวกูของกูแล้วก็เราจะทำอะไรไม่ได้ อย่าได้ไปคิดนะ ถ้าว่าจะตอบกันอย่างกระโดดทีเดียวไปถึงสูงสุดก็ว่าพระอรหันต์ท่านก็หมดความรู้สึกประเภทตัวกูของกู แต่ท่านก็ยังทำอะไรได้ ท่านยังทำประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ท่านสืบอายุพระศาสนาของพระพุทธเจ้าไว้มาถึงพวกเราด้วยความยากลำบาก
เป็นที่ยอมรับกันว่า ทำสังคายนานั้น ทำโดยพระอรหันต์ การทำสังคายนานั้นลำบากที่สุดนะ ทั้งเหน็ดเหนื่อยกายเหนื่อยใจ เหนื่อยอะไรต่าง ๆ และการสืบไว้ก็โดยพระอรหันต์ การนำมาเผยแผ่ไปตามทิศต่าง ๆ ในสมัยสังคายนาครั้งที่ ๓ ที่พระเจ้าอโศกเป็นผู้อุปถัมภ์นั้น เขาก็ถือกันว่าโดยพระอรหันต์ทั้งนั้น พระอรหันต์ไปสายละองค์สององค์ ไปทางทิศต่าง ๆ และมาทางสุวรรณภูมิ คือ แถวบ้านเรานี่ก็เรียกว่าพระโสณะ พระอุตตระ พ.ศ. ๓๐๐ คือ ศตวรรษที่ ๓ พ.ศ. ๒๐๐ เศษ เขาเรียกว่าพุทธศตวรรษที่ ๓ เพราะว่าพระอรหันต์เอามา นี่มีมากเหลือเกินที่แสดงว่าพระอรหันต์ผู้หมดความรู้สึกตัวกูของกูกลับทำอะไรได้ดี ทำได้มากเหมือนกัน แล้วก็จะทำเพื่อผู้อื่นเสียด้วย ถ้ามีตัวกูของกู มันก็ทำเพื่อกู เพื่อตัวกูของกูมันก็แคบ แล้วเผลอเข้ามันก็เป็นของไม่น่าดู คือ เป็นกิเลส
นี่ตัดบทกันเสียได้สักทีหนึ่งว่า การทำความดีทำความเจริญนั้น ไม่ต้องทำด้วยความเห็นแก่ตัวกูของกูก็ได้ เห็นแก่ความผิดชอบชั่วดี เห็นแก่หน้าที่ของมนุษย์ ที่มีความรับผิดชอบในความรู้สึกผิดชอบชั่วดี นี่คุณลองไปเปรียบเทียบดู บางวันบางเวลาเราทำอะไรด้วยความหมายมั่นปั้นมือเพื่อตัวกูของกูอย่างเคร่งเครียดแล้วนี่ มันเหมือนกับคนบ้า ผีสิง เป็นยักษ์ เป็นลิงเป็นอะไรไปแล้ว ถ้าวันไหนเราทำด้วยความที่มีใจคอปกติ มีจิตใจที่อยู่ในสภาพที่เรียกว่าสงบ สะอาดนี่ มันก็ทำได้ ทำได้ดี แล้วก็สบายใจ พอใจตัวเอง นับถือตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก็ทำได้ดี แล้วเยือกเย็นกันไปหมด ไม่มีใครจะพลอยเดือดร้อนด้วย
นี่เรียกว่าจิต มีอยู่ ๒ ชนิด ชนิดหนึ่งกำลังเต็มอัดอยู่ด้วยตัวกูของกู เป็นกิเลสทั้งนั้น มากอย่าง ชนิดหนึ่งว่างจากตัวกูของกู ก็คือ ว่างจากกิเลส แล้วก็เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา มันมีอยู่ ๒ ชนิด แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ ไอ้ความว่างจากตัวกูของกูนั้นมันไม่เด็ดขาด มันไม่ถาวร เดี๋ยวมันแอบมาอีก เดี๋ยวมันกลับมาอีก ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็ผิดกันแต่เพียงว่าไอ้ตัวกูของกูนี่จะไม่มีกลับมาอีก จะไม่กลับมาเกิดอีก
ฉะนั้นเมื่อเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่ เดี๋ยวจิตก็มีตัวกูของกู เดี๋ยวก็ไม่ เดี๋ยวก็ว่างจากตัวกูของกู หรือว่าสังเกตเอาเอง เมื่อไหร่ว่างเมื่อนั้นเย็นสบาย เมื่อใดมีเมื่อนั้นร้อนหรือมืดมัว ถ้าเป็นมากมันก็เหมือนกับคนบ้า ทีนี้เป็นอย่างระมัดระวังก็พอจะดูได้ แต่ขอให้คิดให้ลึกหน่อย พอมันมีแล้วมันก็ต้องมีความทุกข์ มีความหนักอกหนักใจ วิตกกังวลเร่าร้อนอยู่ข้างใน
นี่พุทธศาสนาหรือหัวใจของพุทธศาสนา ตัวแท้พุทธศาสนา มันอยู่ที่การมีชีวิตอยู่โดยว่าง โดยจิตนี่มันว่างจากความรู้สึกว่าตัวกูของกู มีเท่านี้ นี่หัวข้อใหญ่ หัวข้อประธาน ทั้งการบรรยายที่นี่ที่เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์ จะบอกให้คนมาใหม่ทราบว่า เราพูดเรื่องตัวกูของกูนี่มาตั้งหลายร้อยครั้งแล้วกระมัง ไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง พูดแต่เรื่องตัวกูของกู อย่างน้อยก็ มันก็สัปดาห์ละครั้ง กี่ปีมาแล้วก็ไม่ทราบ ผมก็ไม่ได้จำ แต่มันหลายสิบครั้ง หรือถึงกับร้อย สองร้อยครั้งแล้ว เพราะเราพูดแง่นี้ที แง่นั้นที ให้เข้าใจมากขึ้น วันนี้ก็จะพูดอย่างที่เรียกว่าพิเศษสำหรับผู้มาใหม่ พูดอย่างพื้นฐานทั่วไป มองดูอย่างวงกว้าง เป็นการตั้งต้น จึงได้ให้หัวข้อว่า หัวใจพุทธศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่ว่างจากตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้คำว่าอยู่ตลอดเวลาด้วย ถึงจะแยกเป็นว่าพวกที่บวชกับพวกที่ไม่ได้บวช พูดถึงพวกที่บวชก่อนดีกว่า เพราะคุณก็บวช และเพิ่งบวช บวชกันไม่กี่วันนี้ เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็จะจัดการเกี่ยวกับเรื่องตัวกูของกูนี้อย่างไร หรือว่าการบวชของเรานี้จะต้องจัดอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์มากที่สุด มันก็เป็นเรื่องบวชเพื่อให้รู้จักวิธี ป้องกันหรือทำลาย ต่อสู้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู
เดี๋ยวก่อนจะถือโอกาสพูดแทรกหน่อยว่า การบวชนี่คุณจะต้องพยายามให้มันเป็นบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นเรื่องหลอกกัน และมันไม่คุ้มค่าผ้าเหลือง ถึงยังไงเถิดจะบวชสักเดือนเดียวก็ตาม ให้มันเป็นเรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สุดความสามารถของเราไว้ ฉะนั้นอย่าเพิ่งมาเห็นแก่นอน แก่เล่น แก่หัว แก่พักผ่อน ที่นี่น่ะทนเต็มที่เลย ชั่วเวลาหนึ่งเดือนนี่คงไม่เจ็บป่วย คงไม่ล้มเจ็บลงไปเพราะการกระทำจริง ๆ เพราะเวลามันสั้น ก็พยายามใช้เวลาหนึ่งเดือนนี่บวชใหม่ให้เต็มที่ ให้เป็นเรื่องบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง แล้วกำกับไว้ด้วยการระบุว่าต้องได้อานิสงส์ ๓ ประเภท คือ ตัวเองก็ได้ ญาติทั้งหลายมีบิดามารดา เป็นต้นก็ได้ ศาสนาหรือมนุษยชาติทั้งหมดทั้งโลกเป็นส่วนรวมก็พลอยได้ ให้เพ่งเล็งข้อนี้ไว้มันจะเกิดกำลังใจ เกิดเรี่ยวเกิดแรง เกิดสิ่งกระตุ้นที่ดี ไม่ต้องเอาตัวกูของกูมาเป็นหลัก เอาความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่ถูกต้องเป็นหลัก บวชนี้จะเพื่อให้ได้ประโยชน์แก่เรา แก่ญาติทั้งหลายมีบิดามารดา เป็นต้นของเรา เพื่อแก่ศาสนาหรือมนุษย์ทั้งหมด
ในส่วนตัวเราก็ควรจะให้ได้รู้จักการต่อสู้กับปีศาจตัวนี้ให้มันมากที่สุด ตลอดเวลาที่บวชอยู่ กว่าเราจะสึกออกไปมันมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น นั่นเรานั่งพิจารณา หรือจะไปไหน จะลุก อิริยาบถไหนก็รู้สึกตัวอยู่เกี่ยวกับเรื่องว่าตัวกูของกู หรือไม่ใช่ ถ้าเป็นเรื่องตัวกูของกูก็ต้องจัดการกับมันทันที คือ ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นมา ทีนี้เราจะมีจิตใจดีขึ้น สะอาดสว่างสงบขึ้น ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ส่วนเรานี่ ทีนี้ส่วนญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น ให้เขาได้โดยตรงเหมือนกับเรานี่ อย่าให้ได้โดยอ้อมโดยเรามันแก้ตัวเพราะว่าเราบวชแล้วบิดามารดาก็ได้บุญ กิเลสมันก็น้อยลง ตัวกูของกูก็น้อยลงนี่ นี่อย่างนี้มันเรียกว่าเอาเปรียบ ชักจะเป็นเรื่องแก้ตัวอยู่ในตัว ก็จริงอยู่ที่ว่าบิดามารดาสละให้เราบวช นี่ท่านก็ต้องมีตัวกูของกูน้อยลงบ้าง แต่ไม่พอ เราต้องศึกษาให้รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
กลับไปนี่จะได้พูดกับบิดามารดาให้รู้เรื่องนี้ดีขึ้นว่า หัวใจพุทธศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยจิตที่มันว่างจากความรู้สึกประเภทตัวกูของกู ข้อนี้เท่านั้น ไปพูดกันให้มาก เพื่อนฝูงมิตรสหายบิดามารดาเป็นที่สุด เขาก็จะได้ประโยชน์อย่างยิ่งจากการบวชของเรา เท่ากับที่เราได้อย่างยิ่ง ทีนี้ที่ว่าให้ศาสนาหรือให้มนุษย์ทั้งหมดได้รับประโชน์ได้ด้วยก็คือ บวชนี้ช่วยกันรักษาระบอบหรือระเบียบ แล้วแต่จะเรียก แห่งการทำลายกิเลสประเภทตัวกูของกูนี่ให้มันยังคงมีอยู่ในโลก เดี๋ยวนี้โลกของเราก็กำลังจะ จะลุกเป็นไฟ จะฉิบหาย จะยิ่งไปกว่าที่ว่าจะลุกเป็นไฟเสียอีก ลุกเป็นไฟถ้าว่าคนมันไม่ ไม่ผิด ไม่เสียอะไรมันก็ยังดี แต่นี่มันลุกเป็นไฟด้วย แล้วคนก็เลวที่สุดด้วย นี่มันเสียหายมาก สมมุติว่าพระอาทิตย์จะเข้ามาใกล้โลก แล้วเผาโลกลุกเป็นไฟไปอย่างนี้ ไอ้ส่วนมนุษย์มันก็เสียไปนี้ แต่ถ้ามันเป็นมนุษย์ที่ดีมันก็ยังไม่ ไม่เสียหายอะไรหรอก แต่ถ้ามันเป็นมนุษย์ที่เลวล่ะมันก็เสียหมด เสียทุกอย่าง โลกก็เสียไป มนุษย์ก็เสียไป ล้วนแต่เลวทั้งนั้น ฉะนั้นช่วยกันรักษาให้มีระเบียบการศึกษา การปฏิบัติ ได้ผลการปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับไม่มีตัวกูของกูนี่ไว้
เรื่องนี้พูดคำเดียวก็รู้ เพราะคุณก็เป็นผู้มีปัญญา มีการศึกษา ว่าโลกเดี๋ยวนี้ที่มันกำลังเดือดร้องอยู่ทุกหัวระแหงนั้น เพราะสิ่งสิ่งเดียวคือตัวกูของกู คือเห็นแก่ตัวกูของกู พวกอันธพาลที่เที่ยวอาละวาดอยู่กลางถนนในกรุงเทพ จนเดือดร้อนกันไปหมดนั่นน่ะ มันก็เรื่องตัวกูของกูอย่างเลวที่สุดของพวกอันธพาลเหล่า นั้น จะเป็นอาชญากรรมเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติ หรืออาชญากรรมเกี่ยวกับเพศ ทุกอย่างไปเลยมันมาจากไอ้ความรู้สึกประเภทตัวกูของกูของอันธพาลเหล่านั้น ทีนี้ที่มันจะเบียดเบียนกันลึกซึ้งกว่านั้นในระหว่างบุคคลต่อบุคคล คือว่าไม่เต็มไปตามถนนหนทางนั้นน่ะ แต่มันก็มาจากเรื่องตัวกูของกูนี่
กระทั่งที่ว่าการปกครองไม่ดี อะไรไม่ดี การเมืองไม่ดี อันนั้นก็อยู่ที่ว่าตัวกูของกูนี่เข้ามาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ธรรมะไม่ได้เข้ามาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ แล้วทีนี้ที่มันต้องรบกันระหว่างประเทศ ระหว่างกลุ่มของประเทศ คราวที่แล้วยังเห็นกันอยู่เดี๋ยวนี้ มันก็เรื่องตัวกูของกูที่หนักมากยิ่งขึ้นไปอีก คือ มันไม่มีทางที่จะหยุดสงครามได้นะ ก็ทำไอ้สัญญาหลอก ๆ ประชุมหลอก ๆ มีอะไรหลอก ๆ กันไปวัน ๆ หนึ่ง แล้วมันก็หยุดไม่ได้ เพราะว่ามันยังมีตัวกูของกูเหลืออยู่มาก หรือบางทีมันเพิ่มมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก ฉะนั้นมนุษย์จะหยุดเบียดเบียนกันไม่ได้ ในเมื่อมันยังมีตัวกูของกูมากเกินไปอย่างนี้ ถ้าว่าเรามีระเบียบวิธี หรือการศึกษาชนิดที่บรรเทาสิ่งนี้เสีย คือ บรรเทาไอ้ความรู้สึกตัวกูของกูนี้เสีย ก็เรียกว่ามีสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งแก่โลก
เกี่ยวกับข้อนี้ผมพูดเป็นหัวข้อสั้น ๆ ไว้ว่า ทุกศาสนาอย่า อย่าไปตำหนิเขา ไม่ว่าศาสนาไหน มุ่งหมายจะทำลายสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวหรือตัวกูของกูทั้งนั้น เดี๋ยวนี้คนที่ถือศาสนาทุกศาสนา มันเหยียบย่ำศาสนา มันมอง มันมองถึงสิ่งอื่นแล้วมันเหยียบย่ำไอ้คำสอนในศาสนา ก็ได้รบราฆ่าฟันเบียดเบียนกัน ไม่มีอะไรมาคอยกีดขวาง คือ เหวี่ยงศาสนาทิ้งไปเสีย เหวี่ยงพระเจ้าพระธรรมอะไรทิ้งไปเสีย ก็ได้รบราฆ่าฟันกันโดยไม่มีอะไรมากีดขวาง ศาสนาก็เลยเป็นหมันอยู่เวลานี้ เพราะไม่มีใครเอาศาสนามาใช้ มีกันแต่สักว่ารูปร่าง พิธีรีตรอง ตัวหนังสือคำพูดนี่ มันไม่มีจริง ๆ ถ้ามีจริง ๆ มันก็ต้องมานี่ มารู้และมาแก้ไขกันในเรื่องตัวกูของกูนี่ นี่คือศาสนาตัวจริง พุทธศาสนาตัวจริงในการที่จะต้องทำลายความรู้สึกที่เป็นกิเลสทุกชนิด ที่มารวมอยู่ที่คำ ๆ เดียวว่าตัวกูของกู
เมื่อผมเด็ก ๆ คือ ๖๐ กว่าปีมาแล้ว ผมก็อ่านหนังสือเหมือนกัน แล้วก็ผ่านไอ้คำว่าสุภาพบุรุษนี่มากที่สุด พูดตรง ๆ เลยก็ได้ว่าประเทศอังกฤษได้รับยกย่องมากที่สุดในความมีสุภาพบุรุษ หรือเป็นต้นตอแห่งความเป็นสุภาพบุรุษ มหาวิทยาลัยทั้งหลายในประเทศอังกฤษนี่ มีชื่อเสียงไอ้ตรงนี้ ตรงที่การสร้างความเป็นสุภาพบุรุษ แล้วพอไปศึกษาถึงความหมายของมันก็คือความไม่เห็นแก่ตัว ความหมายคำว่าสุภาพบุรุษ ความไม่เห็นแก่ตัว มันก็มีระเบียบวินัยดี มีอะไรดี น่าจะเรียกว่าสุภาพบุรุษ
แต่เดี๋ยวนี้ถ้าอ่านดูสังเกตดูรู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงมาก เปลี่ยนแปลงหมด จนจะเสียไอ้สภาพนะ เสียภาวะอันนี้ไปเสียแล้ว นี่ผมว่าเมื่อผมยังเด็ก ๆ นะ คำว่าสุภาพบุรุษเขาหมายถึงความไม่เห็นแก่ตัว นี่สุภาพบุรุษสมัยนี้มันก็กลายเป็นผู้ที่เห็นแก่ตัว คือ คนที่มีเงินมาก มีอำนาจวาสนามาก ได้รับการยกย่องนับถือยิ่งกว่าคนพวกไหน คนที่เอาเงินมาเหวี่ยงฟาดหัวคนอื่นได้มาก ๆ ได้รับการยกย่องเป็นสุภาพบุรุษ ถ้าเป็นสมัยก่อนเขาก็เรียกไอ้ฉิบหายทั้งนั้นน่ะ การที่ใครจะมีเงินมากมาเที่ยวฟาดหัวคนเล่นนี้ เขาไม่นับถือ หรือมีความจำเป็นจำใจที่จะต้องพึ่งพาอาศัยก็ได้ เขาก็ไม่นับถือ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนเป็นว่า มันจะหันหน้าไปหาคนที่จะช่วยเขาได้ด้วยเงิน ด้วยอำนาจ ด้วยอะไรต่าง ๆ โดยไม่ต้องคำนึงว่าอะไรเป็นอะไรนี่ ความเป็นสุภาพบุรุษมีความหมายเปลี่ยนเลย ถ้าพูดกันตรง ๆ เดี๋ยวนี้ก็เป็นลิงทะโมนมากกว่าที่จะเรียกว่าสุภาพบุรุษ มันก็ยังหน้าไหว้หลังหลอกเป็นอะไรต่าง ๆ นานา ไม่เหมือน กับคำว่าสุภาพบุรุษที่มีความหมายเมื่อ ๖๐ กว่าปีมาแล้ว
ที่พิจารณาดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็พบอย่างที่ว่านี่ ความที่เห็นแก่ตัวกูของกูนี่ มันมีมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ในจิตใจของมนุษย์ในโลกนี้ แล้วก็แข่งขันกันหาเงินมาเพื่อหล่อเลี้ยงตัวกูของกูนี้ให้มันมากที่สุดโดยไม่มีขอบเขตที่เรียกพอ เพราะว่าเขาต้องหาเผื่อลูกน้องของเขาที่ไม่มีจำกัดอีก ตัวกูของเขานี่จะต้องมีลูกน้องเป็นของกู แล้วก็ต้องหาเงินมาเลี้ยงไอ้ลูกน้องของกูมากจนไม่มีที่จำกัดอีก ก็เลยไม่ต้องจบกันไอ้เรื่องหาประโยชน์มาให้แก่ตัวกูหรือของกู
ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนเขาก็มีขอบเขตจำกัด แล้วก็ไม่คิดมากอย่างคนเดี๋ยวนี้ที่ว่าจะเอาเปรียบกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เครื่องมือที่จะทำให้เอาเปรียบกันได้มาก ก็คือวิชาความรู้ที่ก้าวหน้ามาก ก่อนนี้เขาไม่ค่อยรวยวิชาความรู้ เขาจึงเอาเปรียบกันได้น้อย เดี๋ยวนี้เขามีวิชาความรู้มากมันก็เป็นเครื่องมือเอาเปรียบผู้อื่นได้มาก ถ้าเขาผลิตเครื่องทุ่นแรงทั้งหลายขึ้นมาได้มาก เขาก็เอาเปรียบคนอื่นได้มาก อย่างคนที่เขามีไอ้เครื่องจักรทำนา นี่เขาก็เอาเปรียบไอ้คนที่ต้องไถนาควายอยู่เรื่อยไป ทำให้สิ่งต่าง ๆ อยู่ในกำมือของคนที่มีอำนาจ มีกำลังหรือมีทุนเหล่านั้นมากขึ้น โลกมันก็เลยยุ่งกันใหญ่
สมัยก่อนทุกคนก็ทำนาพอกิน เพราะทุกคนทำนาด้วยควายทั้งนั้น แม้ฝรั่งก็ทำนาด้วยม้า ด้วยควาย ด้วยวัวนะ เดี๋ยวนี้ฝรั่งทำนาด้วยรถแทรกเตอร์ คนไทยยังทำนาด้วยควายนี้ มันจะสู้กันได้หรือ มันก็เกิดการเหลื่อมล้ำต่ำสูง เกิดให้ยุ่งไปหมด สมัยก่อนเขาก็ไม่มีอะไรมาก เขามีเวลาที่จะปั่นฝ้าย ทำเป็นผ้านุ่งห่มใช้เองกันทุกบ้านทุกเรือนทุกบ้านทุกเรือน เดี๋ยวนี้มันมีเครื่องจักรที่ผลิตผ้าออกมาเหมือนกับว่าเล่นนี่ แล้วคนจะมานั่งปั่นฝ้ายอยู่จะทนไหวหรือ มันก็ต้องเลิกไป แล้วต้อง ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของไอ้พวกที่สามารถผลิตด้วยเครื่องทุ่นแรง
โลกมันก็ยุ่ง คือ มีช่องที่เอาเปรียบกันมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น ความเห็นแก่ตัวของคนพวกหนึ่งก็มากขึ้น พวกหนึ่งก็สู้ไม่ได้แต่มันก็ยังมีความเห็นแก่ตัว มันก็ต้องต่อสู้ไปตามแบบใดแบบหนึ่ง นี่แหละการต่อสู้ของคนจน ของคนมี ต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น มันเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีสิ่งนี้โลกก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้
เดี๋ยวนี้โลกกำลังมีปัญหาอย่างนี้ เพราะเราศึกษาวิชานี้เพื่อจะช่วย ช่วยโลก อย่างน้อยก็ด้วยความมุ่งหมาย แม้จะทำไม่ได้ เพราะมันก็เป็นข้อเท็จจริงว่าโลกกำลังจะฉิบหายเพราะคนเห็นแก่ตัว คือ ตัวกูของกูนี้มากขึ้น แล้วเกิดโอกาสที่ให้พวกอื่น ให้พวกหนึ่งเห็นได้มากกว่า เอาเปรียบได้มากกว่า ปัญหาของเราจึงไม่มีอะไรอื่นนอกจากไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับตัวกูของกู ปัญหาของเด็กเล็ก ๆ ตัวกูของกูผู้ใหญ่ ขึ้นมากระทั่งระหว่างประเทศชาติ มันก็เป็นเรื่องตัวกูกู คือ เป็นกิเลสนานาชนิดมารวมอยู่ที่คำ ๆ นี้ ขอให้หวังว่าไอ้การบวชของเรานี้ จะได้เรียนรู้เรื่องนี้เพื่อช่วยตัวเรา เพื่อช่วยผู้ที่เรารัก ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น แล้วก็เพื่อ เพื่อช่วยมนุษย์กลาง ๆ เป็นส่วนรวม คือ มีศาสนาไว้ให้ ถ้าคุณมาบวชอย่างนี้มันก็เป็นการทำให้มีศาสนาขึ้นแก่คุณชั่ว
๑ เดือนนี้ หมายความว่าคุณทำให้ศาสนามีอยู่ในโลก มีชีวิตอยู่ในโลก ๑ จุด ๑ หน่วย เป็นเวลา ๑ เดือนนี้เต็มที่ ทีนี้พอคุณสึกออกไปก็พาไปได้ตามสมควร มันอาจจะไม่เต็มหน่วยก็ได้ หรืออาจจะเต็มหน่วยก็ได้ แล้วแต่การประพฤติปฏิบัติในแง่ใดแง่หนึ่ง อย่างน้อยก็ได้ไปไว้ที่บ้าน เป็นศาสนาที่บ้าน ซึ่งปรับปรุงขึ้นได้จากศาสนาที่วัดนะ ที่เราจะมาบวชอยู่ ศึกษาอยู่อย่างเต็มที่นี้ นี่บวชทีให้ได้อานิสงส์แก่ตัวเอง แก่ญาติทั้งหลาย มีบิดามารดา เป็นต้น แล้วก็แก่เพื่อนมนุษย์เป็นส่วนรวม มีศาสนานี่เป็นที่พึ่งอย่างนี้เอง เรื่องรวมจุดอยู่ที่ว่าได้ความรู้และสามารถปฏิบัติเกี่ยวกับการกำจัดไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู นี่เรียกว่าบวช ผู้บวช หรือการบวช เกี่ยวข้องกับการทำลายความรู้สึกประเภทตัวกูของกูโดยตรง
ทีนี้เมื่อพูดกันเรื่องบวชแล้ว พูดกันเรื่องครองเรือนบ้าง ฆราวาสบ้าง มันก็พอจะมองเห็นได้เองว่ามันเนื่องกันอยู่ เราบวชนี้เพื่อมาจะศึกษาเรื่องดีที่สุดของพุทธศาสนา เพื่อเอาไปใช้ให้เพียงพอที่สุดเมื่อออก ไปเป็นฆราวาส ถ้าพูดกันอีกทีหนึ่งก็ไม่ต้องพูดถึงฆราวาส ไม่ต้องพูดถึงบรรพชิตก็ได้ คือ พูดถึงคนก็แล้วกัน พูดถึงความเป็นคน เป็นฆราวาสบ้าง เป็นบรรพชิตบ้างมันก็คน ก็มีหน้าที่ที่ต้องทำลายความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวกูของกู
ผมมีประโยคอยู่ประโยคหนึ่งซึ่งพูดมากที่สุด หลายสิบครั้ง หลายร้อยครั้ง หลายพันครั้งจนคนอื่นรำคาญ แล้วผมก็ไม่กลัวว่าเขาจะรำคาญหรือจะด่าว่า คือ สิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ คำนี้พูดมาก เป็นคน เป็นมนุษย์ นี่มันต้องไม่เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์ มันเหมือนกับคำด่า จะเรียกว่าคำด่าก็ตามใจ มันไม่ มันต้องไม่เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ให้เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์ มันก็ต้องรู้สิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้ มันจะต้องได้สิ่งที่มนุษย์จะต้องได้ หรือจะต้อง ต้องดื่มไอ้สิ่งที่มนุษย์จะต้องดื่ม รู้สิ่งที่มนุษย์จะต้องรู้ คือ คือ มนุษย์มันจะดีได้เท่าไหร่ จะไปได้สูงถึงทำให้มีค่าเท่าไหร่ ต้องรู้ รู้จักสิ่งนั้น นี่ผมหมายถึงมนุษย์ที่มีจิตว่าง จากความรู้สึกว่าตัวกูของกู คือ มนุษย์ที่มีจิตใจสะอาด สว่าง สงบเยือกเย็น ความรู้สึกอันนั้นน่ะเป็นสิ่งที่มนุษย์ ควรจะได้ และควรจะดื่ม หรือควรจะรู้อย่างน้อย เดี๋ยวนี้ถ้าเรายังไม่ได้หรือยังไม่ได้ดื่มก็ควรจะรู้สิ ก็รู้ได้ด้วยการศึกษา ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมก็ขอร้องว่าให้ช่วยจำไว้ก่อน
ถ้าเกิดเป็นมนุษย์อย่าให้เสียชาติเกิด ถ้าอย่าให้เสียชาติเกิด ต้องรู้สิ่งที่มนุษย์ต้องรู้ ต้องได้สิ่งที่มนุษย์ต้องได้ และต้องดื่มไอ้สิ่งที่มนุษย์ควรจะดื่มอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเยือกเย็นแห่งจิตใจ ที่จะเป็นมนุษย์ครองเรือน หรือมนุษย์นักบวช มันก็เหมือนกันแหละ เราก็เอาออกไปเสีย ไม่พูดถึงครองเรือน หรือไม่พูดถึงบวช เพราะมันยังเกี่ยวข้องกันอยู่ บวชก็บวชเพื่อเรียน เรียนก็มาเพื่อเป็นคนที่ดี มันก็เลยเป็นมาเป็นคน เป็นมนุษย์ที่ดี ต้องรู้ ต้องได้ ต้องดื่มอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งที่มนุษย์ควรจะได้ดื่ม สิ่งนี้ คือ ความไม่มีทุกข์ หรือจะเรียกว่านิพพานก็ได้ แต่คนเขาไม่ชอบคำว่านิพพาน เพราะเขามันโง่เกินไปจนไม่ชอบคำว่านิพพาน คำว่านิพพานก็ความเย็นสนิทจากความเร่าร้อนทุก ๆ ชนิด คำว่านิพพานแปลว่าเย็น ถ้าไม่เย็นก็ไม่นิพพาน นี่จะต้องรู้จักและได้ และดื่มอยู่ตลอดเวลาซึ่งสิ่งนี้ จึงจะเรียกได้ว่าไม่เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์
คำว่ามนุษย์แปลว่าใจสูง นี่ก็พูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ จนเขารำคาญเหมือนกันนะ มนุษย์แปลว่าใจสูง ถ้าเอาตามภาษาบาลีจริง ๆ คำนี้ก็แปล ๒ อย่าง อย่างแรกสุดที่เขาถือว่าตรงที่สุดเขาแปลว่า เหล่ากอของมนู มนู เชื่อกัน ถือลือกันว่าเป็นมนุษย์คนแรกที่มีปัญญาสูงสุด เป็นชื่อว่ามนู ถ้าใครเป็นลูกหลานเหล่ากอของมนูก็ชื่อว่ามนุษย์ นี่ก็ได้ มันก็ใจสูงอยู่นั่นแหละ เพราะมนูมันใจสูง ก็เลยเป็น ในที่สุดก็เป็นพวกใจสูง อยู่เหนือความชั่ว ความเลว ความทุกข์ทั้งหลาย เรียกว่ามนุษย์ มนุษย์ที่มันมีใจสูงมันก็ไม่ถูกกิเลสท่วมทับ มันก็ได้ความเป็นอิสระ ความเยือกเย็น ความสะอาด ความสว่าง ความสงบแห่งจิตใจ อย่างน้อยก็ต้องรู้ ถ้าเรายังไม่รู้ เราก็รีบเรียนให้รู้
บางทีพูดกันชั่วโมงสองชั่วโมงก็รู้ได้นะ แต่ที่จะปฏิบัตินั่นน่ะมัน มันลำบาก มันอาจจะปฏิบัติจนตายแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จนี้ก็ได้ พูดกันให้พอเข้าใจนี่พอจะพูดกันได้ แล้วไปทำให้มันได้ชิม ชิมรสของไอ้ความดับเย็นนี่ไปพลางก็จะชอบใจ ในระหว่างที่บวชนี่ ลองพยายามทำให้มันได้ชิมกับรสชาติของความดับเย็นนี่อยู่บ่อย ๆ มันก็จะชอบใจ แล้วจะเกลียดไอ้ความยุ่งยากลำบากเร่าร้อน ทำให้รู้ไว้ก่อนก็ยังดี ทำให้ได้มา ทำให้ได้ดื่มอยู่ตลอดเวลานั่นก็ยิ่งวิเศษ สูงสุดเท่านั้น ก็เรื่องของภาวะที่ว่างจากตัวกูของกู จิตที่ว่างจากความรู้สึกคิดนึกประเภทตัวกูของกู เป็นความรู้สึกทุกชนิดที่มันเจืออยู่ด้วยตัวกูของกู มันต้องปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง มันจึงจะเป็นไปเองในทางที่เป็นตัวกูของกู เป็นอวิชชา เป็นตัณหา
ถ้าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ความคิดก็จะน้อมไปเพื่อตัวกูของกู เห็นแก่ตัวกูของกูอย่างไม่ดูหน้าใคร แล้วมนุษย์เป็นมากขึ้น เป็นมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะมนุษย์คิดเก่งกว่า ได้รับการศึกษาให้เฉียบแหลมกว่า ฉะนั้นก็รู้จักเห็นแก่ตัวกูของกูเก่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วคุณไปตัดสินเอาเองว่ามนุษย์นี่มันดี หรือมันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันดีที่มีความสามารถ มีกิเลสมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันดีกว่าสัตว์เดรัจฉานเพราะมันสามารถมีกิเลสมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน ถ้ามันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็เพราะว่ามันมีความทุกข์มากกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์มันเล่นตลกกันอยู่อย่างนี้ มันดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน มันมีวิวัฒนาการทางสมอง ทางการศึกษามาก เฉียบแหลมมาก แล้วมันก็ไปเอาตัวกูของกูไว้ได้มาก จนได้ฆ่าฟันกัน เบียดเบียนกัน มีความเลวทราม กลางถนนหนทางทั่วไปหมด ซึ่งในหมู่สัตว์เดรัจฉานมันไม่มี ก็ไป ไปตัดสินกันเองว่าส่วนไหนมันดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ส่วนไหนมันเลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน
เอาละตอนเสร็จสุดท้ายนี่ก็อยากจะพูดถึงคำอีกสัก ๓ คำ ว่าการศึกษาคำหนึ่ง ความรู้คำหนึ่ง สติปัญญาอีกคำหนึ่ง ถ้าเรารู้จักใช้ไอ้สิ่งทั้ง ๓ นี้ให้เป็นประโยชน์ คือ ให้ถูกต้องนะ เราจะละไอ้ตัวกูของกูได้ เดี๋ยวนี้เราใช้ผิดวิธี ไอ้สิ่งทั้ง ๓ นี้ทำให้เกิดตัวกูของกูมากขึ้นจนท่วมโลกเลย ไอ้การศึกษา ระบบการศึกษานี่ คุณก็รู้ภาษาฝรั่งดีกว่าผม ไอ้คำว่า Education มันหมายความว่าอย่างไร คุณไปค้นเอาเองก็แล้วกัน ไอ้คำว่า Education นี้ มันหมายความว่าอย่างไร เขามีระบบที่กว้างขวางอย่างไร ให้การศึกษาแก่มนุษย์ทั่วไปทั้งอย่างไร ประเทศไหนมันนำหน้าการศึกษาของโลก มันมีระบบการศึกษาอย่างไรไปดู มันมีวิธีทางไหนบ้าง ทางตรงทางอ้อม เครื่องไม้เครื่องมือนี่มันมีมากที่เกี่ยวกับการศึกษา
อีกคำหนึ่งมันคือความรู้ คือ คำว่า Knowledge นี่เราเอามาจากตำรับ ตำรา หนังสือหนังหา เอามาจากความท่องจำของคนเก่า ๆ ที่ตายไปแล้ว มีหนังสือท่วมโลกแล้วเดี๋ยวนี้ เราขุดเอามาจากไอ้อย่างนั้น นี่มันเป็นเพียงความรู้ ทีนี้อีกอันหนึ่งมันเป็นสติปัญญา ที่เรียกว่า Intelligence หรือ Intellect ก็แล้วแต่จะเรียก เป็นความไหวพริบ สติปัญญาที่จะใช้ความรู้
ไอ้ความรู้นั้นมันเหมือนกับสิ่งที่รวบรวมเอามา ยิ่งมีมากยิ่งโง่ก็ได้ คือ ไม่รู้จะใช้อย่างไร เหมือนอย่างว่าเราเอาเงินมากองจนท่วมเรา ท่วมบ้าน ท่วมเรือน ท่วมเมืองของเรา เราก็ตาย เพราะเราไม่รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ ความรู้ก็เหมือนกัน มันอาจจะท่วมทับคน จนโง่ไปเลย จนไม่รู้จะใช้อะไรไปเลย ต้องมีสติปัญญา รู้จักอะไรที่ลึกกว่า แล้วก็ใช้สิ่งที่เป็นความฉลาด หรือไหวพริบ สิ่งที่เรียกว่าสติปัญญา บางคนมีความรู้มาก แต่ไม่มีสติปัญญา ไม่มีความไหวพริบหรือฉลาด บางคนมีความรู้น้อย แต่ก็มีสติปัญญา หรือไหวพริบมาก เขาเรียกว่ามีการศึกษาได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าต้องการแต่เพียงว่ามีสติปัญญา เรียกว่ามีการศึกษา
ทีนี้มันมีอยู่ว่าจะใช้การศึกษา หรือความรู้ หรือสติปัญญาไปในทางไหน เดี๋ยวนี้เขาใช้กันไปในทางที่จะเอาเปรียบซึ่งกันและกัน คุณไปดูก็แล้วกัน เขาใช้ความรู้ การศึกษา สติปัญญาในทางที่จะเอาเปรียบซึ่งกันและกันให้มากที่สุดที่จะมากได้หรือว่าอย่างน้อยก็ป้องกันการเสียเปรียบ สำหรับคนอ่อนกำลัง ประเทศเล็ก ๆ พวกเราใช้ความรู้ผิดทาง ทีนี้การศึกษาก็กว้างขวางก้าวหน้าที่สุด ความรู้ก็สะสมไว้ในโลกมากที่สุด ของสองสามพันปีมานี้ ในชั่วประวัติศาสตร์นี้มันก็สะสมความรู้ไว้มาก เป็นตัวหนังสือ เป็นอะไรไว้มากมายเหลือเกินนี้ และสติปัญญาในการใช้ความรู้มันก็มีมาก ขนาดที่ว่าไปเดินเล่นบนพระจันทร์ได้ แล้วกลับมา เที่ยวเหาะลอยอยู่ในอวกาศ สร้างยานอวกาศได้อย่างนี้ เป็นต้น เขาเรียกว่าได้ใช้สติปัญญามาก แต่แล้วในที่สุดโลกนี้ยิ่งไม่มีสันติภาพ โลกนี้ยิ่งร้อนเป็นไฟ ความลำบากยุ่งยากยิ่งมีมากขึ้น
ประวัติศาสตร์ส่วนนี้ควรศึกษา ไปค้นดูใหม่ ในประวัติศาสตร์ ในตำราประวัติศาสตร์ ไอ้ความยุ่งยากลำบาก ความทนทรมาน ทางจิตใจของมนุษย์นี่ มันลดลงหรือมันเพิ่มขึ้น ไปศึกษาด้วยความเป็นธรรมอย่าลำเอียง จะพบว่ามัน มันตรงกันข้าม ถ้าเราใช้ความรู้และสติปัญญาผิดพลาด ใช้ในทางที่จะเอาเปรียบกันหรือป้องกันการเสียเปรียบเท่านั้น ที่ไปโลกพระจันทร์นี่ก็เพื่อการเอาเปรียบ เพื่อการได้เปรียบ หรือป้องกันการเสียเปรียบก็แล้วแต่ละเรียก เพราะมันแข่งขันกันเพื่อจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งวินาศไปเลย หรือทำให้อีกฝ่ายหนึ่งตามหลังไม่ทัน ก็ใช้สติปัญญากันไปอย่างนี้ ที่ต่างฝ่ายต่างแข่งขันกันอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องเพิ่มกิเลส เพิ่มความอยากเหมือนกัน นี้โลกก็ไม่มีทางจะสันติได้
แล้วก็ไม่มีใครอีกเหมือนกันที่จะทำให้เขาใช้สติปัญญาให้ถูกทางนะ คือ ใช้สติปัญญาในทางสันติภาพ ก็ไม่มีใครไปบังคับเขาได้ แต่ละคนเป็นอิสระ แต่ละประเทศเป็นอิสระ ตัวกูของกูของแต่ละคน ของแต่ละประเทศมันก็ใหญ่โตกันทั้งนั้น เอากันไม่ลง ช้างมันยังปราบมดแดงไม่ได้ ก็เลยเป็นเรื่องที่โลกนี้มันต้องลำบากไปทั้งโลก ลำบากกันไปคนละแบบ คนจนก็ลำบากไปแบบหนึ่ง คนมั่งมีก็ลำบากไปแบบหนึ่ง ในที่สุดมันก็ลำบากด้วยกันทั้งนั้น การที่คนมั่งมีจะมั่งมีอยู่ได้ โดยให้คนเกือบทั้งหมดจนอยู่นี่มันก็ไม่ยอมแน่ มันก็ทำลายคนมั่งมีอะไรไปตามเรื่อง เพราะไม่มีจิตใจที่จะเมตตา อารี รักใคร่ เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนล้วนแต่เห็นแก่ตัว ตัวกู ของกูทั้งนั้น
นี่ผมชี้ให้เห็นว่าไอ้เรื่องตัวกูของกูนี่มันสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องเอามาพูดกันทุกวัน เกือบหลายร้อยครั้งแล้ว พูดแต่เรื่องตัวกูของกู เดี๋ยวนี่คุณก็มาใหม่อีก สำหรับวัดนี้ อยากจะได้ความรู้อะไรกลับไป ผมก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นความรู้ที่ดีกว่าเรื่องรู้จักแก้ไขไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูนี้ให้หมดไปจากตัวเรา จากเพื่อนฝูงของเรา หรือว่าจากโลก ถ้าไปเรียนก็ให้ได้ความรู้ และได้สติปัญญาที่ฉลาด และก็ให้ได้ใช้มันในทางที่ถูกต้อง อย่าใช้มันในทางที่ทำให้ตัวเองก็เดือดร้อน ผู้อื่นก็เดือดร้อนเหมือนที่กำลังใช้กันอยู่โดยมาก จนไม่รู้อะไรผิดอะไรถูก มีปัญหาเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษามากกว่าแต่ก่อน
เมื่อสมัยผมเป็นเด็ก เขาพูดกันว่ามีการทะเลาะกันในมหาวิทยาลัยนี่ ผมตกใจ ตะลึงกันไปหมดเลย เดี๋ยวนี้เป็นของธรรมดาแล้วนะ และมีทำอะไรแปลก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ไอ้ที่เรียกกันว่ารับน้องใหม่หรือกองเชียร์ ซึ่งมันไม่เคยมี มันมีไปอย่างต่ำ ต่ำทรามคือเห็นแก่ตัว โดยความเห็นแก่ตัว แล้วก็เอาอย่างตาม ๆ กันมา คนไทยก็ตามก้นฝรั่งที่ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ในด้านการศึกษา ไม่ดูว่าอะไรเป็นอย่างไร รับเอามา ก็ยิ่งโง่กว่าพวกฝรั่ง นี่ตัวกูของกูกำลังครองโลก ไม่ใช่อเมริกัน หรือคอมมิวนิสต์จะครองโลก มันมีตัวกูของกูที่จะใหญ่ขึ้น ๆ แล้วก็ครองโลก ในรูปร่างหน้าตาของเสรีประชาธิปไตยบ้าง คอมมิวนิสต์บ้าง อื่น ๆ บ้าง ถ้าว่ากำจัดไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูไม่ได้แล้วก็โลกนี้ไม่มีวันเลยที่จะมีสันติภาพ ให้มันรบกันจนตายหมด ก็ไม่มีสันติภาพ เพราะมันจะต้องเหลือซากของความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นแหละ ถ้าทำลายความเห็นแก่ตัวเสียได้ก็เริ่มมีสันติภาพ เดี๋ยวนี้ร้อน ร้อนระอุเป็นไฟ เวลาสั้น เวลาวิ่ง เวลาวิ่ง ไม่ทันแก่ความต้องการของมนุษย์ เรียกว่าเวลามันสั้น
คนสมัยโบราณเขานอนหลับสนิท บางทีวันหนึ่งก็นอนได้ตั้งสองตื่น สามตื่น คือ สองหนสามหน เวลาของเขามันยาว เพราะเขาไม่ได้ต้องการอะไร เดี๋ยวนี้พวกคุณไม่ได้นอนกัน เพราะเวลามันสั้น ไอ้สิ่งที่ต้องการมันมาก ก็ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อนทางร่างกายทางจิตใจ เลยเป็นโรคเป็นประสาทกันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น โดยข้อเท็จจริงแล้วเป็นโรคเส้นประสาทตั้งแปดสิบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่เขาไม่กล้าพูดออกมา เขาว่าพันคนเป็นโรคจิตสิบคน แต่เป็นโรคประสาทมากกว่านั้นร้อยเท่าหรือหลายสิบเท่า ในโลกอย่างที่ว่าเจริญแล้วนี้ มีผลคือได้เป็นโรคเส้นประสาท หาความสุขอันแท้จริงไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพชนิดไหน นี่เพราะมันขาดธรรมะอย่างเดียว มันเจริญไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู จนมีความเห็นแก่ตัว คนเห็นแก่ตัวได้มาก ได้งดงาม หรือเรียกว่าสุภาพบุรุษ ตรงกันข้ามกับเมื่อเพียง ๖๐ กว่าปีมานี้ เขาให้ความเป็นสุภาพบุรุษอยู่ที่ไม่มีการแสดงความเห็นแก่ตัว
เอาว่าเป็นอันว่าขอให้เป็นที่รู้กันในวันนี้ สำหรับผู้มาใหม่ทั้งหลาย ปัญหาของเราไม่มีอะไรนอกไปจากความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกู แล้วก็เห็นแก่สิ่งเหล่านั้นจัดจนไม่เห็นแก่ธรรมะ และความถูกต้องผิดชอบชั่วดี ปัญหามีอย่างนี้ ส่วนบุคคลก็ตาม ส่วนประเทศชาติก็ตาม ส่วนทั้งโลกก็ตาม หรือแม้มันจะระหว่างโลกออกไปข้างหน้าถ้ามันมีอีกหลายโลกที่ไปมาหาสู่กันได้ ปัญหามันก็ยังคงมีอย่างนี้ ขอให้รับเอาไปใช้ ให้ได้ประโยชน์ทั้งวันทั้งคืน ทุกวันทุกคืน ในการที่จะรู้เรื่องนี้ ทำลายไอ้ความเห็นแก่ตัว หรือตัวกูของกู
ถ้าเรียนได้ความรู้มา ก็ให้ได้ความรู้เรื่องนี้ ถ้าได้สติปัญญามาก็ให้ได้สติปัญญาชนิดที่จะช่วยทำลายไอ้เรื่องนี้ได้ อย่าเอาสติปัญญาชนิดมาส่งเสริมตัวกูของกู แล้วการศึกษาในโลกนี้ก็จะมีประโยชน์ เป็นการศึกษาที่แท้จริง คือ ทำให้มนุษย์รอดอยู่ด้วยความเป็นมนุษย์ ไม่งั้นมนุษย์จะตายหมด หรือมนุษย์รอดอยู่ได้ด้วยมีความหมายเป็นภูตผีปีศาจอะไรชนิดหนึ่ง คือ ไม่มีจิตใจสูง ไม่มีความสะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็น เห็นแก่ตัวท่าเดียว ฆ่าผู้อื่นได้มาก ๆ เท่าไหร่ยิ่งดี ให้ตัวอยู่รอดได้ จะคิดกันไปแบบนี้ ไม่ได้คิดว่าเราก็เขา เขาก็เรา เป็นคน ๆ เดียวกัน รักใคร่เมตตาอารีกัน ไม่ได้คิดแบบนี้ ซึ่งเมื่อก่อนเขาชวนกันแต่คิดไปทำนองนี้ จนตั้งอุดมคติขึ้นมาอันหนึ่งว่า ไอ้การไม่เบียดเบียนกันนั้นน่ะเป็นธรรมะสูงสุด ความที่ไม่เบียดเบียนกันและกันเป็นธรรมะสูงสุด หรือว่าจะใช้ให้มันกว้างกว่านั้นก็การไม่เบียดเบียนเป็นธรรมะสูงสุด คือว่าตัวเองก็ไม่เบียดเบียนตัวเอง แล้วก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย นี่เขาเรียกว่าไม่เบียดเบียน นั้นเป็นธรรมะสูงสุด ถ้าตัวเองยังเดือนร้อนด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งอยู่ก็รู้ว่ามันมีทำผิดแล้ว เบียดเบียนตัวเองแล้ว ถ้าไปทำคนอื่นให้เดือดร้อนอีกมันก็เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง เป็น เป็นเดือดร้อนทั้ง 2 ฝ่าย ก็ผิดยิ่งขึ้นไปอีก
ขอให้การศึกษาของเราเดินไปถูกทาง ขอให้ความรู้ของเรามีไว้อย่างถูกทาง ขอให้สติปัญญาของเราถูก ถูกใช้ไปถูกทาง ทั้ง ๓ อย่างนี้ก็เป็นไปเพื่อกำจัดตัวกูของกู เพื่อเป็นมนุษย์กันได้จริง ๆ คือ มีจิตใจ สะอาด สว่าง สงบ อยู่ด้วยสันติสุข นี่เป็นหัวข้ออยากที่จะพูดกันซ้ำ ๆ ซาก ๆ เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์ เอาล่ะพอกันทีสำหรับวันนี้