แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำบรรยายชุดธรรมปาฏิโมกข์ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูต่อไปตามเดิม ในครั้งที่แล้วมาก็ได้เปลี่ยนระดับของการพูด มาพูดในระดับต้นสำหรับผู้มาใหม่ที่ไม่เคยฟัง วันนี้ก็ยังคล้ายๆกัน ที่ต้องพูดสำหรับระดับผู้มาใหม่อีกสักครั้งหนึ่ง จะพูดโดยหัวข้อว่าตัวกู-ของกูในระดับชาวบ้านทั่วๆไป ที่พูดว่าระดับชาวบ้านทั่วไปแต่ทำไมเอามาพูดกับพระนี่ก็เพราะว่าถ้าเราพูดในระดับชาวบ้านทั่วๆไปแล้วมันก็เป็นอันว่าเป็นการตั้งต้นที่สุดแล้ว พระที่พึ่งบวชใหม่ก็พึ่งมาจากชาวบ้านจะกลับไปเป็นชาวบ้านอีกเป็นส่วนมาก จึงใช้หัวข้อว่าเรื่องตัวกู-ของกูในระดับชาวบ้านทั่วๆไป ผมก็ได้พูดมาหลายร้อยครั้งแล้วกระมัง ที่ว่าหัวใจของพระพุทธศาวสนา มีแต่เรื่องตัวกู-ของกูทั้งนั้น ฝ่ายทุกข์ก็เป็นเรื่องการเกิดแห่ง ตัวกู ถ้าฝ่ายดับทุกข์คือการไม่เกิดแห่งตัวกู พุทธศาสนาก็มีเท่านั้น เมื่อไม่ยึดมั่นในสิ่งใดในตัวกู-ของกูเรื่องมันก็หมดเท่านั้น เรื่องปริยัติก็ดี เรื่องปฏิบัติก็ดี เรื่องปฏิเวชก็ดีมันหมดเพียงท่านั้น เพียงแต่ไม่ยึดมั่นอะไร เพียงแต่เป็นตัวกู-ของกู นี้พูดกันมามากมายหลายปีแล้วก็ยังพูดกันอยู่อีก เพราะมันพูดได้มากแง่ได้มากมุม หลายร้อยแง่หลายร้อยมุมทีเดียว แล้วไปๆมาๆ ก็ตั้งต้นใหม่กันเสียทีหนึ่ง แต่ว่าเป็นการตั้งต้นที่ไม่ซ้ำกันทีเดียว ไม่ซ้ำกันทุกตัวทุกคำพูด เป็นเรื่องที่ขยับขึ้นมาให้เหมาะกับเรื่องที่มันเปลี่ยนแปลง หรือว่าไอ้ความที่ผมผู้พูดก็ค่อยมีความรู้ขึ้นเหมือนกันว่าจะต้องพูดอย่างไร
ก่อนนี้ก็ไม่รู้จะต้องพูดอย่างไร ก็เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง จะพูดให้คนฟังหรือจะเขียนหนังสือให้คนอ่านก็เหมือนกันมันก็อยู่ตรงที่ว่า เขียนเป็นหรือพูดเป็นหรือไม่ นี้มันสำคัญที่ก็มีเรื่องดีและมีความรู้ในเรื่องนั้นดี แต่พูดไม่เป็น นั้นต้องพูดไปพลาง แล้วก็สังเกตไปพลาง เป็นปีๆไปเลย ว่าทำไมชาวบ้านเขาถึงยังฟังไม่ออก นั้นเราจึงพูดกันเรื่องตัวกู-ของกู เรื่องจิตว่างหรือไม่ว่างกันเรื่อยๆมา ทีนี้วันนี้ก็ได้มุ่งหมายที่จะพูดในระดับชาวบ้านทั่วไป ซึ่งบางทีมันก็คือระดับเดียวกันกับพระเณรบางคนหรือบางระดับ หรือว่าอย่างน้อยที่สุดก็ว่าสำหรับพระนี่จะได้จำคำอธิบายนี้ไว้พูดกับชาวบ้านทั่วไปอีกต่อหนึ่ง เพราะว่าเราจะต้องบรรยายธรรมะบ้าง บรรยายภาพบ้าง แสดงธรรมบ้าง สัมมนาบ้างเกี่ยวกับตัวกู-ของกู ขอให้รวบรวมเอาไว้ ถ้าพูดว่าเกี่ยวกับชาวบ้านทั่วไปหมายความอยู่ในตัวแล้วว่ามันจำเป็น ที่ชาวบ้านจะต้องรู้เรื่องนี้สนใจเรื่องนี้และปฏิบัติเรื่องนี้ ทีนี้ก็เกิดอุปสรรค บางคนหรือว่าคนส่วนมาก เขาคิดว่าไอ้เรื่องตัวกู-ของกูนี้มันเป็นเรื่องปรมัติมากเกินไป หรือพอพูดว่าจิตว่างไม่ว่างจากตัวกู-ของกูนั้น ถูกจัดให้เป็นเรื่องปรมัติมากเกินไป พวกหนึ่งก็ห้ามชาวบ้านอย่าพูดอย่าไปฟังอย่าไปศึกษา ทีนี้ชาวบ้านบางคนพอได้ยินอย่างนั้นก็เหมาเอาเสียเลยว่าสูงเกินไปยังไม่ใช่เรื่องของเรา ที่จริงเรื่องตัวกู-ของกูนั้นมันเป็นเรื่องสำหรับตั้งแต่จุดตั้งต้นตั้งแต่ ก ข กอ กา ไปถึงจุดสุดท้ายเรื่องมรรคผลนิพพานไปเลย ชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่ด้วยความเร่าร้อนก็ว่ามันไม่สนใจเรื่องนี้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้และก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย ทะลุไปข้างหน้า เรื่อย ไม่มองย้อนหลังว่ามันมีอะไรเพราะเหตุอะไร นี่ผมสังเกตดูมานานแล้วก็พบว่า ชาวบ้านทั้งหลายนี่มันมีอยู่สองอย่าง คือเคารพนับถือตัวเองน้อยเกินไปในทางธรรมะ แต่ตีราคาให้แก่ตัวเองน้อยเกินไปพวกชาวบ้านก็มานอนใจว่าเราไม่ต้องอะไร ดีไปไม่ได้จะต้องเป็นอย่างนี้ หรือเท่าที่เป็นอยู่นี้ก็จะพอใจเสียแล้ว นี่ข้อหนึ่ง ชาวบ้านเขาตีราคาตัวเองน้อยเกินไป คือเคารพตัวเองน้อยเกินไป แล้วข้อที่สองก็คือว่าเขามันให้อภัยตัวเองง่ายหรือเร็วเกินไป ถ้ามีอะไรผิดพลาดขึ้นแม้แต่เลว เลวถึงขนาดเลวเขาก็ยกโทษให้ตัวเองง่ายๆอย่างนั้นนะ ก็ให้อภัยไม่ถือว่าเป็นโทษเป็นความเลว ให้อภัยในความผิดพลาดของตัวเองง่ายเกินไปมากเกินไปจนเป็นนิสัย มันช่างหัวมันในทางที่ตรงกันข้าม ไอ้ช่างหัวมันนี้มันมีอยู่สองแบบ ช่างหัวมันสำหรับจะไม่ยึดถือ จะไม่ไปเป็นทุกข์กับมันนั้นก็แบบหนึ่ง ช่างหัวมันที่ว่ามันเลวก็ช่างหัวมัน มันจะทำอันตรายเราก็ยังช่างหัวมันอยู่ อย่างนี้มันไม่ได้แล้ว
นี่ว่ามันเนื่องกันอยู่กับข้อที่ว่าเมื่อเคารพนับถือตัวเองน้อย ตีราคาตัวเองมันน้อยไป นี้มันก็ให้อภัยตัวเองง่ายเกินไป มันจึงอะไรก็เลิกกันเลิกกันไม่รู้ไม่ชี้ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ถึงกับว่ามันไม่รู้อะไรเอาเลยก็ได้ นั้นขอให้ผู้จะตั้งต้น ตั้งต้นกันเสียใหม่โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่จะให้อภัยแก่กิเลสแก่ตัวเองนี้มากหรือเร็วเกินไป นั้นก็ต้องตีราคาตัวเองให้สูงเข้าไว้สักหน่อย คือตีราคาเท่ากับว่าเราเกิดมาทีหนึ่งเกิดมาเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน อย่างนี้เรียกว่าตีราคาตัวเองให้สูงเข้าไว้สักหน่อย จะได้หรือไม่ได้อย่าพึ่งพูดกันได้ แต่ว่าเราเกิดมาเพื่อบรรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่เกิดมาเพื่อให้แล้วๆไปวันหนึ่ง เกิดมาเพื่อปากเพื่อท้องมีกินมีใช้ไปวันๆหนึ่ง หรือบางทีก็กระโดดลงไปต่ำมากถึงกับว่าเป็นเรื่องเกิดมาเพื่อบริโภคกามโดยส่วนเดียว แล้วก็เลิกกันนี้ก็ต่ำมากไป ทางที่ดีก็ควรที่จะจัดไว้หลายๆระดับตามเรื่องของธรรมชาติ แล้วก็เลื่อนระดับเลื่อนชั้นตัวเองขึ้นมาเรื่อย เลื่อนชั้นตัวเองขึ้นมาเรื่อย ตามหลักใหญ่ๆ ก็เรียกว่าจากกามาวจร มาสู่รูปาจวร จากรูปาจวร สู่อรูปาวจร จากอรูปาวจร ไปสู่โลกุตตระ ให้มันเลื่อนขึ้นมาอย่างนี้ อย่างนี้มันถูกต้องตามหลักธรรมะในศาสนา ซึ่งถูกต้องตามหลักของธรรมชาติด้วย
พระบัญญัติศาสนานี่ก็บัญญัติตามบทอนุโลมกฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติ ที่มันมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้มันตายตัวจากธรรมชาติ แล้วก็เอามาสอนให้รู้วิธีที่จะดับทุกข์ได้ วิธีที่จะจะต่อสู้รู้ว่าจะชนะธรรมชาตินั้นๆได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ นี้คือข้อที่เราจะต้อง ต้องรู้จักตัวเองแล้วก็ไม่ ไม่ตีตัวราคาตัวเองถูกๆ หรือถึงกับว่ามันพ่ายตัวเองไปเสียเลย เกิดเป็นคนไม่ควรพ่ายซึ่งตัวเอง ในหลักสูตรในหลักสูตรนักธรรมตรีก็มีกระทู้ภาษิตชนิดนี้ คุณก็เคยเรียน หรือมองข้ามไปเสีย เป็นธรรมที่สำคัญมาก ..........(นาทีที่ 12.56) บุรุษไม่พึงพ่ายซึ่งตน นี้แหละแปลให้ชัด ตรงๆ ถ้าเป็นภาษาไทยก็เกิดเป็นคนไม่ควรพ่ายซึ่งตน ทิ้งตนไปเสียแก่ ให้เสียแก่กิเลสแก่ความเลวแก่ความบาปแก่ความชั่ว หรือให้นรก หรือให้ตัวเอง มอบตัวเองให้แก่นรกเสีย คือไม่ไม่กลัว เอาแต่ให้ได้ความเพลิดเพลินทางกิเลส อย่างนี้ก็เรียกว่าให้ตัวเองหมด คือไม่รู้ดีชั่วบุญบาปอะไรไม่รู้ เอาแต่ความเอร็ดอร่อยเพลิดเพลินทางกิเลส บางคนก็ครึ่งหนึ่งต่อสู้ไว้ครึ่งหนึ่ง ยอม ยอมทำชั่ว ยอมทนทุกข์ เพื่อให้ได้ความเอร็ดอร่อยทางกิเลศ อย่างนี้ก็เรียกว่าอยู่ในพวกที่พ่ายตัวเองเสียแล้ว ยอมแพ้ให้ตัวเองแก่กิเลส นั้นต้องดึงขึ้นมาถึงขนาดว่าเราไม่ยอมให้แก่กิเลสเราต่อสู้สุดความสามารถของเราเพื่อเอาชนะกิเลส แล้วก็มุ่งหมายที่จะเลื่อนชั้นตัวเองอย่างที่ว่าแล้ว ยังเกิดมาเป็นเด็กเป็นวัยรุ่นนี่ไม่รู้ก็ผิดไปพักหนึ่ง มันก็ไม่เชิงผิด ถ้าอยู่ในระเบียบวินัยที่ดีมันก็ไม่ผิดจนถึงกับตกนรกได้ แต่มันก็ต้องลุ่มหลงไปพักหนึ่ง เพื่อสิ่งที่ตัวพ่าย ก็เป็นเรื่องกามารมณ์ เรื่องเกี่ยวกับระหว่างเพศเพราะว่ามันธรรมชาติมันกำหนดมาอย่างนั้น มันสร้างสรรค์มาอย่างนั้น ให้มีอวัยะเพศ ให้มาให้มีต่อมแกรนสำหรับความรู้สึกทางเพศ เมื่อไม่รู้เรื่องนี้ มันก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ พักหนึ่ง เรียกว่าอยู่ในกามาวจรภูมิ ภูมิที่จิตจะพลัดตกลงไปสู่กาม แล้วก็มีธรรมะระเบียบวินัยเป็นเครื่องดึงเครื่องประคับประคองไว้อย่าให้มันถึงขนาดจมมิดลงไปเลย เพื่อชะลอไว้ พอเป็นไปได้จนกว่ามันจะพ้นระยะนี้
นี่ต่อมามันก็รู้สึกเบื่อๆซ้ำๆซากๆ เอือมระอาเลื่อนสูงขึ้นไปถึงชั้นที่ว่าบริสุทธิ์โดยรูปธรรม ไม่เกี่ยวกับกามารมย์ ต่อมาก็เป็นเรื่องนามธรรมไม่เกี่ยวกามารมย์ ที่ถ้าว่าไอ้ความรู้สึกมันรู้สึกเป็นทำนองว่ายังต้อง ต้องกินอะไรต้องดื่มอะไร ต้องเสวยอะไรอยู่แล้วมันไม่ ไม่ไหวทั้งนั้นแหละ จะเป็นรูปเป็นกามหรือเป็นรูปหรือเป็นอรูป มันล้วนแต่เป็นเรื่องกินเรื่องดื่มเรื่องเสวยเรื่องรู้รสเรื่องรู้สึกไปตามอารมณ์ทั้งนั้น นี่เรียกว่าอยู่ใต้วิสัยใต้อำนาจของสิ่งเหล่านั้น เมื่อคิดคิดอยากจะอยู่เหนืออำนาจสิ่งเหล่านั้นสักที มันจึงเกิดระเบียบขึ้นมาอีกอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่าโลกุตตระ อยู่เหนืออำนาจบีบคั้นของสิ่งเหล่านั้นอีกที หลักอันนี้มันก็มีอยู่อย่างนี้ เป็นไปตามธรรมชาติด้วย ศาสนาก็บัญญัติไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่เขาจะบัญญัติเอาเองได้ตามชอบใจ มันต้องบัญญัติถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เมื่ออยู่ในวัยรุ่นมันก็มีความรู้สึกไปตามกามารมณ์ พอเอือมเข้ามันก็เลื่อนไปหารูปบริสุทธิ์หานามบริสุทธิ์ ถ้ามันเอือมไปจริงๆ มันก็อยากจะพ้นไปจากสิ่งเหล่านี้ ถ้าถ้าใครทำให้มันเข้ารูปเข้ารอยกับธรรมชาติไปเรื่อยๆ นี้มันเป็นเองโดยง่าย แต่เดี๋ยวนี้มันมีปัญหาอย่างที่เคยพูดให้ฟังแล้วว่า ในโลกนี้เขาประดิษฐ์ประดอยผลิตสิ่งสนับสนุนทางกามารมณ์มันมากไป จนยากที่คนจะข้ามไปพ้นได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะมียังอำนาจเด็ดขาดชนะธรรมชาติไปเสียหมดก็ยังมีคนเข้าใจเรื่องนี้ แล้วดึงตัวออกมาได้ หรือบางทีมันอาจจะมาในมุมกลับ ยิ่งจมลงไปในกามารมณ์หนักเข้ามันก็ถอยกระเด็นกระดอนถอยกลับมาแรงขึ้น ถ้ามีความรู้เรื่องธรรมชาติแท้จริงนี้อยู่บ้างก็คงไม่เป็นไรเพราะคนมันก็ฉลาดอยู่บ้าง ถ้าว่าชาวบ้านเขาไม่ตีราคาตัวเองต่ำเกินไป มันก็มีหวัง ให้ถือว่าเรามันเกิดมาเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานทั้งนั้น แล้วอีกอันหนึ่งก็อย่าให้อภัยแก่ความผิดพลาดง่ายเกินไป หรือเร็วเกินไป โดยเหตุที่มันไปสำคัญผิดว่าเรื่องนี้ไม่ร้ายกาจ เรื่องนี้ไม่สำคัญอะไร เช่นเรื่องที่เขามีอยู่ประจำวันแท้ๆ มีจิตใจหงุดหงิดหรือว่ามีจิตใจเศร้าไม่รู้ความหมายวิตกกังวล ไม่รู้ความหมายหรือว่าเป็นห่วงเรื่องชีวิตนี้โดยไม่มีเหตุผล หรือว่ากลัวว่ามันจะผิดมันอาจจะผิด เกิดมาทีก็อาจจะผิดหมดหรือไม่ได้อะไร หรือไม่มองเห็นว่าอะไรมันจะได้ที่น่าชื่นใจ ถ้าความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นขอให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นเรื่องที่จะต้องจัดการกันแล้ว อย่างเหมือนกับว่าโรคร้ายมันผ่านมาแล้ว แต่ไปดูสิชาวบ้านเขา ชาวบ้านทั่วๆไปตามธรรมดา เขาไม่เห็นเป็นเรื่องร้อน เขาเห็นเป็นความรู้สึกประจำวันที่มันจะต้องรู้สึก หรือบางทีเขายุ่งไอ้เรื่องทำมาหากินเรื่องปากเรื่องท้องจนไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ก็มี ถ้าความรู้สึกอย่างนี้มันจะผ่านเข้ามาบ้างเขาปัดทิ้งไปเลย ไม่ใช่เรื่องร้ายไม่ใช่เรื่องน่ากลัว จนกระทั่งว่าวันนี้โมโหขึ้นมาไปด่าเขาตั้งชั่วโมงหนึ่งนี้เขาไม่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรเรื่องร้ายอะไร ไม่มีอะไรจนธรรมดาไปไม่มีความหมาย นี่เรียกว่าเขาให้อภัยด้วยความโง่เขลามากเกินไปเร็วเกินไปง่ายเกินไป เพราะทำผิดมากก็ให้อภัยตัวเองโดยไม่ต้องรู้สึกตัวว่าได้ทำผิด ปล่อยไปเป็นเรื่องธรรมดาหมด
จึงขอร้องให้ทุกคนสังเกตข้อนี้ไว้เป็นข้อแรก อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วก็อย่าอย่าสลัดตัวเองง่ายเกินไป อย่าให้ตัวเองแก่ความรู้สึกต่ำๆ คือกิเลสง่ายเกินไปให้มันดิ้นรนต่อสู้เข้าไว้ นี่ระดับพื้นฐานสำหรับชาวบ้าน ทีนี้เขาก็จะต้องตั้งหน้าตั้งตาสังเกตนะ อย่างที่เราพูดกันที่นี่ว่าเกิดตัวกู-ของกูเกิดจิตวุ่นว่ายด้วยตัวกู-ของกูไม่ว่างจากตัวกู-ของกูเสียแล้วมันมีอะไรบ้าง นี่เคยอยู่ที่บ้านมาแล้ว เคยเห็น อย่างน้อยเคยเห็นบิดามารดา พี่ป้าน้าอาที่บ้านมาแล้ว หรือแม้แต่บวชพระแล้วอยู่ในวัดนี้ก็เดินไปบิณฑบาตตอนเช้าๆ นี้ก็ยังได้ยินได้เห็นชาวบ้านนี้เขาเกิดตัวกู-ของกูกันอย่างไรอยู่เป็นประจำ แล้วเขาก็ไม่เอาใจใส่เลยไม่รู้สึกเลยว่านี่เป็นเรื่องตัวกู-ของกูก็เพราะไม่เข้าใจแล้วก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญอะไร ถ้าเขายังไม่เห็นความสำคัญข้อนี้อยู่ก็ช่วยอะไรแน่ มันยิ่งมันอยู่กันคนละระดับ เมื่อเขามันชิน ชินกันไปเสียแล้วกับไอ้เรื่องชนิดนั้น ให้ไอ้เราจะไปพูดไปอธิบายมันก็ เขาก็ฟังไม่ถูกหรือไม่ยอมฟังหรือเขาเห็นมันเป็นเรื่องไม่สำคัญนั่นแหละการที่เราเทศน์ แสดงธรรมบรรยายอะไรเรื่องธรรมะธัมโมนี่ จึงไม่ไปเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้าน เพราะเขาฟังไม่ถูก เขาต้องการคำพูดที่ประหลาดๆ เป็นบทมนต์ เป็นบทภาวนาหรือเครื่องรางของขลังไอ้ศักดิ์สิทธิ์สักอย่างหนึ่ง ที่ให้เขาไปคิดไปเชื่อว่าเขาจะต้องปลอดภัยแน่จะรวยแน่คิดเสียอย่างนั้น นั่นมันไม่ใช่เรื่องธรรมะ มันเป็นเรื่องงมงาย ถ้าหวังอย่างนี้แล้วถ้าเขาๆจัดตัวเขาไว้ในะระดับอย่างนี้ให้ตัวเองในความงมงายเสียแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
นี้เราจะไปพูดให้เขากลัว ไอ้สิ่งกลัวสิ่งที่เรียกว่ากิเลส โกรธสักนิดก็ไม่ได้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องร้าย โลภขึ้นมาทีหนึ่งให้เห็นว่าเป็นเรื่องร้าย แล้วโง่งมงายทีหนึ่งให้เห็นว่าเป็นเรื่องร้าย นั่นก็ลองดู ก็ลองพยายามดู นี้ผมสังเกตมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว ก็ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเทศน์การสอนการบรรยายเรื่องธรรมะเพื่อการหลุดพ้นมันไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่จัดตัวเองไว้ในฐานะเป็นบุคคลที่ต้องมีธรรมะชนิดไหนหมด เขาจัดตัวเองไว้สำหรับไว้ที่จะรวย ที่จะมีลาภจะรวย ก่อนสิ่งใดหมด เพราะเขาคิดว่าไอ้ความรวยมันแก้ปัญหาทั้งหมดได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังน่าสงสารทั้งๆ ที่เขาอยากจะรวยเขาก็ยังไปทำไอ้สิ่งที่ทำให้ฉิบหายคิดดู เช่นอบายมุขต่างๆนี่เขาก็ยังหลงใหลบูชา ในอบายมุขต่างๆ ทั้งๆที่เขาคิดจะรวยอยากจะรวยๆ มันกลับกันอยู่ในนั้นแหละมันหมุนไปหมุนมาเป็นวงกลมอยู่ในนั้น อยากจะรวยก็เอากิน เพื่อจะเอามากินเหล้า แล้วกินเหล้ามันทำให้ฉิบหายรวยไม่ได้ มันก็อยากจะรวย หรือว่าการพนันการหรือดูการเล่นอะไรต่างๆ ที่เรียกว่าอบายมุข เขาอยากจะรวยก็ไปกินเหล้า ไปดูการเล่น เล่นการพนันเที่ยวกลางคืน แล้วเขาก็ทำอย่างนั้นอยู่ มันก็เป็นความฉิบหาย มันรวยไม่ได้ เพียงเท่านี้เขาก็มองไม่เห็นเข้าใจไม่ได้ ขอให้คิดดู เขาจะมาเข้าใจเรื่องตัวกู-ของกูกันนี่มันยาก มันเป็นเรื่องตัวกู-ของกูที่ร้ายกาจซับซ้อนอยู่หลายชั้น ไม่รู้จักอะไรก็ไปปรารถนาไอ้สิ่งที่ไม่ควรปรารถนา หรือแม้แต่ปรารถนาสิ่งที่ควรปรารถนา แต่มันทำก็ทำสิ่งที่ทำให้เกิดความฉิบหายแก่สิ่งนั้น เช่นปรารถนาความรวยแต่ไปทำอบายมุขอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าได้รวยมาก็เพื่อมาทำอบายมุขอีก ก็เรียกว่าตัวกูมันหลอกอยู่หลายชั้นวนไปวนมานี่
ทีนี้เมื่อเขาตีราคาไอ้ตัวของเขา ว่าอย่างนั้นดีแล้ว เราก็หมดโอกาสที่จะพูดให้เขารู้เรื่องได้ในทางธรรมะ อย่างเราจะบอกเขาว่าไอ้เรื่องสูบบุหรี่หรือคล้ายๆกันนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เขาหัวเราะแล้วในใจก็นึกว่าไอ้นี่บ้าแล้ว ไอ้เรื่องบุหรี่นี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เราบอกเขาว่ามันทำให้เป็นคนไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์ว่าอะไรผิดอะไรถูกอะไรดีอะไรชั่ว อะไรมีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์ นี้มันเสียหลัก เขาไปมองแต่ว่าบุหรี่มันไม่กี่สตางค์แล้วพอมึนๆขึ้นมาก็สบาย แล้วมันก็ไม่กี่สตางค์ แล้วเราไปบอกเขาว่านั่นมันโง่มันทำให้เสียหลักไม่เข้าที่ ไม่รู้อะไรที่มีประโยชน์อะไรไม่มีประโยชน์ อะไรที่ทำให้บังคับตัวเองไม่ได้ อะไรที่ทำให้บังคับตัวเองได้ อย่างนี้เป็นต้น มันก็ให้ผลร้ายพร้อมกันมาหลายด้าน ไม่ใช่ว่าค่าบุหรี่มันหลายสตางค์ไม่ใช่ แต่ผลร้ายมันมีอย่างอื่นมากกว่านั้น แล้วคนนั้นมันไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผล นั่นแหละความสรุปความมันอยู่ที่นั่น กลายเป็นคนไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลโดยแก้ตัวเป็นเรื่องเล็กน้อยมีรายได้มาก สูบบุหรี่เดือนละพันบาทก็ก็ไม่เห็นเป็นอะไร ส่วนนั้นมันก็ไม่เป็นอะไร แต่ส่วนที่มันไม่อยู่ในเหตุผลบังคับจิตไม่ได้นั่นแหละมันเป็นอะไร มันเป็นเรื่องตัวกู-ของกู มันหลอกมันให้อภัยเร็วเกินไปให้อภัยง่ายเกินไป ตีราคาตัวเองน้อยเกินไปเขาไม่รู้สึกตัว ว่าเรากำลังเป็นผู้ตีราคาตัวเองน้อย แล้วก็ไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้าให้อภัยแก่ความโง่ให้อภัยแก่กิเลสเรื่อยไป จนกิเลสมันได้ใจความโง่มันหนาแน่นขึ้น นี้คุณจำประโยคนี้ไว้ให้ดี เข้าใจคำสำคัญคำหนึ่งได้ทันทีว่า บุถุชน นี่คำว่าบุถุชน ระดับต่ำสุดเขาใช้คำว่าภาระบุถุชน ตรงกลางเรียกว่าบุถุชน สูงขึ้นไปเขาเรียกว่ากัลยาณบุถุชน ระดับต่ำสุดมีคำว่าภาระ ข้างหน้าเติมเข้าไปว่าภาระบุถุชน นั่นแหละระดับต่ำสุด พูดไม่รู้เรื่อง พูดอย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่อง จึงไม่ยอมละเว้น อะไรที่ควรจะละเว้น หนักไปทางอบายมุขหนักๆ ขึ้นมาถึงเรื่องบุหรี่ ของเสพติด
ทีนี้ก็เอาไปสอบไล่ตัวเองดู ไปวัดตัวเองดูว่าตัวเองกำลังอยู่ในระดับนี้หรือเปล่า ภาระแปลว่าอ่อน คำนี้แต่เดิมมามันแปลว่าอ่อนคือยังเด็กอยู่ มีสติปัญญาอย่างเด็ก ต่อมาความหมายมันเปลี่ยนไปทางว่าเป็นคนดุร้ายอันธพาลเบียดเบียนแต่ความหมายเดิมแท้ของเขามันมีความหมายว่ามันยังอ่อนอยู่ เหมือนกับเด็กอ่อนหรือว่าลูกไม้ผลไม้ที่มันยังอ่อนอยู่คือทำอะไรไม่ได้ ที่โตแล้วอายุมากแล้วมันก็ยังอ่อนอยู่มันเลยทำอะไรผิดๆ เป็นคนพาลอันธพาลเข้าไปอีก เป็นภาระเฉยๆ มันก็พอใช้อยู่แล้ว ทีนี้อันธพาลเข้าไปอีก นี่มากที่สุด ให้รู้ว่าอันธพาลนี้ไม่ใช่เพียงแต่จะฆ่าเขาเที่ยวเบียดเบียนเขาขโมยเขาลักเขา แม้ว่าคนมันโง่ขนาดที่กลับกันเสียหมด เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี กระทั่งว่าเกิดมาก็ไม่รู้ว่าเกิดมา ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี้ก็ต้องเรียกว่าภาระบุถุชน ไม่รู้จริงๆ เหมือนกับเด็กอ่อน เด็กทารกอ่อนๆ เกิดมานอนในเบาะไม่รู้ว่าเราเกิดมา แล้วทำไมจะรู้ว่าเราเกิดมาทำไม มันก็ปล่อยไปตามความรู้สึก คิดนึกคิดขึ้นมาตามสิ่งแวดล้อม หิวมันก็จะกิน กินอิ่มมันก็นอนหลับไป มันก็ทำไปตามธรรมชาติไม่ได้รู้อะไร ยังไม่รู้อะไร อย่างนี้เขาเรียกว่าภาระ เด็กอ่อนนอนในเบาะ ถ้าโตแล้วมันยังไม่มีความคิดอะไรดีกว่านั้นรู้แต่เรื่องกินอย่างเดียว อยู่มันก็ยังพาลอย่างนั้น แล้วมันก็ต้องใช้กรรมที่สูงขึ้นไปอยู่ คนพาลในทางสูงทางจิตใจทางวิญญาณ โดยมากก็เป็นอันธพาลเสมอ อันธพาลเบียดเบียนก็ได้ อันธพาลไม่เบียดเบียนก็ได้ แต่ในที่สุดมันก็เบียดเบียนตัวเองทั้งนั้นแหละ เราก็เห็นคนหนุ่มคนสาวสมัยนี้ทำลายตัวเองอย่างรุนแรงมากขึ้นๆ อย่างที่หนังสือพิมพ์ยุคนี้ไม่มีอะไรเลย ไปดูแล้วเศร้าแทนเขา ทุกฉบับเลย มันมีแต่เรื่องที่อันธพาลทั้งนั้น นี่เราหวังจะให้คนอันธพาลนี้จะเข้าใจเรื่องตัวกู-ของกู เราไม่รู้เรื่องนี้จึงทำลงไปอย่างนั้น ก็น่าละอายก็น่ากลัว มีเขาด้วยนะ ด่าเราด้วยซ้ำไป ไปว่าเขาทำผิด
นั้นขอให้รู้จักระดับต่ำสุด คืออันธพาลหรือภาระบุถุชน นั้นมีอยู่อย่างไร กระทั่งหมายถึงบุถุชน เฉยๆ ไม่ทำอันตรายใครแต่ก็เห็นแต่ปากแต่ท้อง เห็นแต่ประโยชน์เป็นวัตถุอย่างเดียว เหมือนกับชาวบ้านชั้นดีทั่วๆไป มันก็เข้าใจแต่เรื่องหาเงิน สะสมทรัพย์ ที่ทำบุญก็เพื่อสะสมทรัพย์เพื่อชาติหน้าโน้น ไม่ใช่ทำบุญด้วยความคิดว่าจะเสียสละ แต่ที่กล่าวนี้ไม่ใช่จะหมายถึงทุกคน ชาวบ้านบางคนมันก็ไม่ได้เป็นอย่าางนั้นหรอก โดยส่วนมากมันเป็นเสียอย่างนั้น บุถุชน ทั่วไปดีอยู่ที่ได้ ดีอยู่ที่ได้ ถือศาสนาฮิตาชิ ดีอยู่ที่ได้ ถ้าไม่ได้ ก็เป็นไม่ดี นี่ได้เงินมาก็ได้สนุกสนานเอร็ดอร่อยตามสมควร แม้อายุจะแก่แล้วก็ยังหวังเรื่องความสนุกสนาน หอบลูกหอบหลานไปดูหนังดูละครอยู่ เรียกว่าบุถุชน เต็มที่ อย่างอื่นฟังไม่ถูก มันถูกแต่เรื่องได้ ได้เงินได้ทองได้ของ รู้แต่คำว่าโชคดีแล้วก็ได้ แล้วก็โชคดีส่วนที่มันเกิด วิตกกังวลนอนไม่หลับเป็นนรกทั้งที่เป็น ไม่รู้ว่ามันเนื่องมาจากไอ้สิ่งนี้ เนื่องมาจากหลงแต่จะได้ หลงแต่จะโชคดี ไม่ใช่ถึงขนาดจะเป็นอันธพาลไปเล่นการพนัน ซื้อหวยซื้อเบอร์อะไรไม่ใช่ ไม่ถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังนอนไม่ค่อยหลับ มุ่งหมายแต่เพียงว่าได้นะ พอไม่ได้มันก็ฉิบหายหมดๆ หมดไม่มีอะไรดี ไม่รู้เรื่องว่าไอ้จิตที่สูงไปกว่านั้นนะมันยังมี แต่ว่าถ้าไม่ได้ ถ้าตั้งใจจะได้ แล้วก็หมดไม่มีอะไรเหลือ นี่เรียกว่าบุถุชน ตัวกูของบุถุชน ถึงขนาดนี้ ปิดบังเอามากๆถึงขนาดนี้ เขาก็ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่กลัว ผมเรียกว่าตีราคาตัวเองต่ำไป ให้อภัยสำหรับทำความชั่วง่ายเกินไปเร็วเกินไปอยู่ตลอดเวลา ไม่ถือว่าเป็นความผิดเสียหายร้ายแรง สมมุติว่าเรานอนไม่หลับสักคืนหนึ่ง วิตกกังวลเขาไม่ถือว่าเสียหายอะไรเป็นธรรมดา บางทีจะไปซื้อยานอนหลับมากินแล้วก็หมดเรื่องกัน หรือไปบนบานสานกล่าวภูตผีปีศาจอะไรสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็หมดเรื่องกัน ไม่มีทางที่จะวกเข้ามาหาเรื่องธรรมะนะ นี่บุถุชน พวกที่สองคนคือบุถุชน ธรรมดานี้
นี่บุถุชน พวกที่สามมันก็มีเติมคำว่า กัลยาณบุถุชน นี่ยังไม่ถึงพระอริยเจ้าแต่ว่าเฉียดๆไปแล้ว กัลยาณบุถุชน ก็เริ่มเห็นไอ้สิ่งต่างๆ หรือได้รับการสั่งสอนที่ถูกต้อง เกิดมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี เข้าใจสิ่งเหล่านี้ดี มีความเคารพนับถือตัวเอง เราเกิดมาจะต้องดีถ้าความชั่วแล้วเกลียดที่สุด ไม่ยอมให้อภัยกันง่ายๆนี่ นี่คือกัลยาณบุถุชน บุถุชนที่ดี ที่สวย ที่งดงาม มันเริ่มเห็นว่ามีดีนี้ มันอยู่ที่อื่นเสียแล้วไม่ใช่อยู่ที่ได้เสียแล้ว บุถุชน ชั้นดีมองเห็นว่าที่ว่าดีไม่ใช่อยู่ที่ได้ มันอยู่ที่ดีของมันจริงๆ แล้วค่อยคิดกันต่อว่ามันดีอะไรดีอย่างไร เริ่มมีความเคารพนับถือตัวเอง ตีราคาตัวเองไว้สูง เขาเกิดความไม่ประมาท ไม่ยอมให้อภัยคยวามผิด ไม่ให้อภัยแก่ความผิดที่เกิดขึ้นง่ายๆนัก เอาเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต จะคิดต่อสู้แก้ไขกันทีเดียว เริ่มรู้จักอันตรายหรือความเลวของสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัว ไอ้บุถุชน สองชั้นแรกไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว เพราะมันเห็นแก่ตัวมากเกินไป จนไม่รู้จักนี่เป็นความเห็นแก่ตัว เห็นเป็นความดียิ่งโลภมากยิ่งดี ยิ่งเอาเปรียบคนอื่นได้มากยิ่งดี ยิ่งไปปล้นไปฆ่าเขามาได้เป็นของตัวก็ยิ่งดี เขาไม่เข้าใจคำว่าความเห็นแก่ตัวคืออะไร ไม่เห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นของเลว เป็นของผิด กลับเห็นเป็นถูกไปเลย บูชาความเห็นแก่ตัวทำไปตามความเห็นแก่ตัว เอามาด้วยความเห็นแก่ตัว บุถุชนชั้นเลวและบุถุชนชั้นธรรมดาจะเป็นเสียอย่างนั้น พอมาชั้นกัลยาณบุถุชน ก็เริ่มรู้จักว่านี่มันไม่ไหวแล้ว สกปรกแล้ว เป็นกิเลสเรียกว่ากิเลสคือความสกปรก ก็เริ่มแบ่งแยกความดีความชั่ว ออกเป็นสองฝ่ายเราไม่เอาความชั่วแล้ว ก็เกิดความไม่ประมาทนี้ขึ้นมา เพื่อตั้งต้นความรู้จักผิดชอบชั่วดีหรือความไม่ประมาทกันที่ตรงนี้ นี้มันจะเจียมตัวสำหรับเพื่อจะเข้าไปในเขตของพระอริยเจ้า แก่กัลยาณบุถุชน แต่แล้วก็ยังไม่พ้นที่ว่าจะต้องเป็นผู้ได้ฟัง ได้ยินได้ฟังคำของพระอริยเจ้าคือถูกฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้าได้รับการแนะนำไปในดีของพระอริยเจ้ามันจึงจะเป็นอย่างนั้นได้ มันแปลกกันตรงที่ว่าเมื่อก่อนนี้เขาไม่ชอบพระอริยเจ้า ไอ้บุถุชนชั้นหนึ่งชั้นสองนั้นไม่ชอบ ธรรมหรือคำของพระอริยเจ้าไม่ชอบนั่งใกล้พระอริยเจ้า แต่บุถุชน ชั้นสามคือชั้นกัลยาณบุถุชน นี้มันตรงกันข้าม มันเริ่มมองเห็นแล้วมันเริ่มแสวงหาสอดส่ายตาไปว่าพระอริยเจ้าอยู่ที่ไหนมีไหม ต้องการจะเข้าไปนั่งใกล้พระอริยเจ้า
นี่ผมก็กำลังเรียกว่าบุถุชน ชั้นที่สามคือ กัลยาณบุถุชน ไอ้การที่ใช้ตัวเลขนี้อาจจะปนเปสับสนกันก็ได้ เอาเลขมากเป็นชั้นเลว เอาเลขหนึ่งเป็นชั้นดี เดี๋ยวนี้มันพูดตั้งแต่ทีแรกทีต้น ต้นๆต่ำ ชั้นหนึ่งคือเลวมาก ช้นสองเลวธรรมดา ชั้นที่สามนี้เลวน้อยมาก จะเปลี่ยนเป็นดี ถือว่าดีแล้วเปลี่ยนเป็นชั้นดี บุถุชน ชั้นนี้เริ่มรู้จักกิเลส รู้จักสิ่งที่เรียกว่ากิเลส นั่นก็จะหมายความว่ารู้จักในสิ่งที่เรียกว่าความเห็นแก่ตัวว่าเป็นของเลวที่สุดเลย เมื่อรู้จักความเห็นแก่ตัวมันก็จะรู้จักไอ้สิ่งที่เราเรียกว่าตัวกู-ของกู คำนี้มันมีความหมายคือความรู้สึกที่ต่ำที่เลวที่ทรามที่มันเกิดขึ้นจากอำนาจความเห็นแก่ตัวคือกิเลส พล่านอยู่ในจิตใจเป็นตัวกูเป็นของกู อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นไปหลายอย่าง นี่บุถุชนชั้นดี ได้ผ่านชีวิตมาตามสมควรได้ยินได้ฟังคำของพระอริยเจ้า ได้สนทนาได้นั่งใกล้พระอริยเจ้ามันก็มีทางที่จะรู้จักแยก ไอ้สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว ออก ออกไปพวกหนึ่งคือตัวกู-ของกู หรือความเห็นแก่ตัวหรือกิเลสทั้งหลาย เริ่มกลัวบาปกลัวกรรมโดยแท้จริง เมื่อก่อนนี้มันไม่กลัว นี่ถูกลงโทษก็ไม่กลัวตกนรกก็ไม่กลัว เดี๋ยวนี้มันก็เริ่มรู้จักว่ามันมีการลงโทษมีการตกนรก กระทั่งนรกที่แน่นอนที่สุดคือนรกที่ลุกขึ้นในจิตใจก็เริ่มรู้จัก เรียกว่าเขามีสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้นแล้ว รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้บาป รู้นรกรู้สวรรค์ รู้ความเปลี่ยนแปลงกระทันหัน ที่เรียกว่า อุปปาติกะ โอปปาติกะ หรือ อุปปาติกา เปลี่ยนจากดีเป็นชั่ว เปลี่ยนจากชั่วเป็นดีได้ในกระทันหัน เขาจึงกลัวมาก กลัวที่จะเปลี่ยนปั๊บไปเป็นความชั่วในพริบตาเดียว
นี้ถ้าขึ้นมาได้ถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ยากแล้วที่จะเข้าใจเรื่องตัวกู-ของกู แล้วคอยกีดกันไอ้ความรู้สึกชนิดนี้ออกไปเสีย หรือป้องกันรักษาจิต ให้มันว่างจากความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกูที่เลวร้ายนี้เสีย ถ้ามันเกิดขึ้นสักทีหนึ่งก็เอามาเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต เรื่องอันตรายอย่างยิ่ง นี่ผมเรียกว่าบุถุชน ชั้นดี ที่อาจจะรู้เรื่องตัวกู-ของกู ที่เกิดอยู่ในชีวิตประจำวันของเขา แม้แต่ในลักษณะที่น้อย น้อยขนาดที่คนพวกอื่นเขาไม่สนใจเลยไม่เห็นว่ามันร้ายกาจอะไร ทีนี้เขาก็รู้สึกว่ามันร้ายกาจ ก็เป็นการแน่นอนว่ามันจะไปในทางทางสูง จะเป็นไปในทางดับทุกข์ การตั้งต้นอยู่ที่นี่ ที่บุถุชน ที่กลายเป็นบุถุชน ชั้นดี เริ่มเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู กับสิ่งที่ว่างจากตัวกู-ของกู เมื่อเราเตือนให้เขาสังเกตศึกษาจากภายในจิตใจของเขาเอง เดี๋ยวนี้ว่างจากตัวกู-ของกูหรือเปล่านะ หรือว่าว่างจากตัวกู-ของกูแล้วรู้สึกสบายบอกไม่ถูก ถ้านั่งคุยกันที่ตรงหินโค้งผมก็มักจะพูดอย่างนีทุกทีเกือบจะทุกพวก แก่ทุกพวก คือเตือนให้เขาสังเกตว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกสบายใจไหม สบายใจ สบายใจมากเพราะเหตุอะไร มองดูข้างในเปรียบเทียบดูว่าเพราะเหตุอะไร ทำไมนั่งตรงนี้จึงรู้สึกสบายใจ เพื่อชี้แจงให้เขามองเห็น คือจูงจิตใจของเขาให้รู้จักคิดรู้จักนึกให้ลึกเข้าไปข้างใน ในใจเขาเองให้มองเห็นสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู โผล่ขึ้นมาก็ร้อนหรือว่ามืดมัว หรือกลัดกลุ้ม แล้วแต่เป็นตัวกู-ของกูชนิดไหน เดี๋ยวนี้มันกำลังไม่เกิดเราสบายใจอย่างยิ่ง อย่างนี้ฟังถูก มันก็ค่อยๆ ดึงบุถุชน ชั้นสองขึ้นมาสู่บุถุชน ชั้นสาม แต่ก่อนนี้เขาคิดแต่เรื่องเงินตะพรึดที่จะช่วยให้สบายใจ คือเราพยายามจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเงินเลย คุณรู้สึกสบายใจ บอกไม่ถูก เกี่ยวกับไอ้สิ่งหนึ่งมันไม่เกิดขึ้นในใจ หรือมันออกไปจากจิตใจคือตัวกู-ของกู เราพูดแต่ปากมันไม่สำเร็จคือเขาไม่เชื่อ แล้วเขาไม่เข้าใจจริงๆด้วย จึงต้องให้เขาได้มาในสถานที่หรือในสิ่งแวดล้อมที่มันทำให้จิตของเขาว่างจากตัวกู-ของกูไปสักพักหนึ่ง ครู่หนึ่งก็ยังดี ให้เขาสังเกตความสบายใจบอกไม่ถูกของเขา แล้วแยกแยะดูทีว่ามันเพราะอะไร เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้สึกนึกถึงอะไรไม่ยึดอะไร ไม่มีความรับผิดชอบอะไรมาบีบบังคับจิตใจของเขาอย่างนี้เป็นต้น กระทั่งบอกว่าเมื่อจิตใจเป็นอย่างนี้คุณทำอะไรได้ไหม เขาก็ทำได้ ถ้าเข้าใจก็ทำได้ จะทำการทำงานก็ได้ อย่าเข้าใจว่าถ้าว่างจากตัวกู-ของกูเสียแล้วมันไม่อะไรไม่ได้ มันกลับทำได้ดี แล้วทำได้สนุกสนาน ถ้าเราทำสิ่งที่ดีนะ กระทำการงานได้สนุกสนาน ทำได้ดีเพราะว่าอารมณ์มันดี ถ้าตัวกู-ของกูเข้ามาอารมณ์มันเสีย อารมณ์เสียใครจะทำอะไรได้ดี จะคิดอะไรได้ดี นึกอะไรก็ไม่ออก มันมืดมนไปหมด รู้จักไล่สิ่งที่เรียวกว่าตัวกู-ของกูออกไปเสียก็เป็นสุขทันควันนะ เป็นสุขทันทีด้วย แล้วลงมือทำงานก็ทำได้สนุกด้วย แล้วงานนั้นก็ได้ผลดีด้วย แม้แต่ทำนาทำไร่ทำสวนค้าขายทำอะไรก็ตาม ถ้าทำด้วยจิตใจชนิดนี้มันก็ดี อย่าไปกลัวว่ามันจะทำไม่ได้ และอย่ากลัวว่าจะเสียเปรียบผู้อื่นเรามันดีเกินไป ไม่เลวอย่างเขา ไม่เอาเปรียบผู้อื่นอย่างเขาเราก็อยู่ในโลกนี้ไม่ได้ ไม่ต้องคิดให้มันผิดไปมากเสียอย่างนั้น แต่บางทีมันจะต้องใช้ความอดทนมาก หรือต้องการเวลาระยะยาวบ้าง กว่าคนเขาจะยอมรับว่าเราเป็นคนดี
นี้สิ่งต่างๆ มันก็จะเป็นไปทางดีของมันเอง เป็นเกือบจะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอะไรก็ได้ ก็จะมีกินมีใช้ อะไรลอยมาในลักษณะที่เป็นโชคลาภที่ดีที่บริสุทธิ์ แต่เอาล่ะไม่ต้องการเอาเปรียบแบบนั้น เอาว่าทำงานทำการก็เหมือนผู้อื่นแล้ว แต่เรามันมีจิตใจเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลา ที่เขาโกรธกันเราไม่โกรธ ที่เขานอนไม่หลับกันเรามันนอนหลับ ที่เขาเป็นโรคประสาทกันเราก็ไม่เป็น เอาอย่างนี้ก็พอ บุถุชน ชั้นสามชั้นนี้มันจะเป็นรากฐานของความเป็นพระอริยเจ้าต่อไปอีก ทำให้ ธรรมะไม่เป็นหมันพุทธศาสนาไม่เป็นหมัน นี่ทีนี้ผมขอร้องเป็นพิเศษส่วนตัว ว่าให้ทุกๆองค์พยายามหาโอกาสที่จะทำบุถุชน ชั้นสองให้เป็นบุถุชน ชั้นสามบ้าง มีโอกาสที่ไหนเมื่อไรเอาเถอะถือโอกาส ก็พูดจากันสักชั่วโมงสองชั่วโมงให้เขามีแสงสว่างอย่างนี้ วัดนี้ก็อาจจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นคือมีคนมาเที่ยวมากขึ้น ถ้าเกิดพบคนหนึ่งเขาอาจจะเข้าใจได้ถือโอกาสช่วยเขาหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบรรยายภาพในตึกนี้ เป็นโอกาสอย่างมากอาจะช่วยเหลือคนสองคนให้เลื่อนชั้นตัวเองจากบุถุชน เกรดต่ำเป็นปุถุนชนเกรดสูง ก็เป็นการดีด้วยกันทุกฝ่าย คือการทำบุญทำกุศลแท้จริง แล้วก็ไม่ต้องลำบากยุ่งยากเที่ยววิ่งว่อนไปที่ไหน ก็เขาก็มาหาอยู่เล้วก็ช่วยเขาหน่อยทางที่จะช่วยได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ต้องอย่าอวดดีเป็นอันขาด แต่ถ้าอวดดีเราก็เลวทันที พออวดดีดีก็หมดมันก็เลวหมด อย่าประมาทอย่าอวดดีจะพูดอะไรสักคำอย่าทำหวัดๆ เช่นอธิบายภาพอย่างนี้ อย่าทำหวัดๆเป็นอันขาดจะเลวไปไม่ทันรู้ตัว จะมีกิริยาอาการกิริยาอาการหรือโวหารที่ไม่น่าดูขึ้นมาทันที เผลอไปนะ มันต้องหยุดสำรวมจิตใจมีสติสัมปชัญญะก่อนที่จะพูด อะไรออกไป คล้ายๆจะช่วยคุณๆก็เหมือนกัน มันหลับตานิ่งไปสักนาทีสองนาที ต้องรวมจิตใจคอยฟัง อาตมาจะพูด อาตมาจะสำรวมจะพูด คุณก็พยายามสำรวมดีๆ จะฟัง ก็คอยฟังดีๆ นะ แล้วจึงค่อยพูด
นี้ก็พูดอย่างเป็นธรรมเป็นวินัยอากัปกริยาอย่างสมณะ เรื่องนี้สำคัญ ที่เราจะถือเอาเป็นหลักฐานได้ ก็คือพระบาลีทั้งหลายเป็นอันมากในพระไตรปิฏก พระพุทธเจ้าท่านจะใช้คำว่าตั้งใจฟังให้ดี สาธุกัง มะนะสิกะโรถะนี้ ทำหูเจียมหูสำหรับฟังให้พร้อม ทำในใจให้แยบคายสำหรับที่จะฟัง ที่พระอัฎฐกถาจารย์เขาเอามาขยายถ้อยคำออกไปอีกว่า ตั้งโสตกับประสาทเหมือนกับภาชนะทองรองรับธรรมเทศนานี้ นั่นคือ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสกับพระสาวกท่านก็ยังเรียก เรียกชื่อให้มันสำนึกตัว และก็เตือนว่าฟังให้ดี ทำในใจให้แยบคายฉันจะพูด จริงๆแล้วคงจะนิ่งกันไปครึ่งนึงแล้วจึงค่อยๆ พูด ค่อยๆ พูด นี้ ผมสนใจเรื่องนี้มานานแล้ว เราเมื่อแรกๆ นั่นก็ ทำตัวเป็นนักเทศน์ขึ้นธรรมมาสน์ ขึ้นธรรมมาสน์เทศน์ตั้งแต่เมื่อแรกๆบวช ก็ต้องเอาใจใส่เรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเอง แล้วมันก็ต้องทำจิตใจปกติ ที่จะขึ้นไปบนธรรม-มาสน์หรือว่าจะเริ่มพูดคำแรก คราวหนึ่งที่สามัคญาจารย์สมาคมที่กรุงเทพนะที่โรงเรียนสวนกุหลาบ เขาเชิญพระญี่ปุ่น ที่เขาเรียกว่าพรตญี่ปุ่นมาบรรยาย เรื่องพุทธศาสนาในญี่ปุ่น นี้พระหนุ่มๆองค์หนึ่ง พระญี่ปุ่นในเครื่องแบบพระญี่ปุ่นกระโปรงสีม่วง แกก็ออกมาบรรยาย แกมานั่งพนมมือ ยืนพนมมือหลับดีอยู่ตั้ง ๓ นาที แต่เรามองเลิกลั่กเลิกลั่กกัน ผู้ฟังไม่เคยเห็น พูดจะพูดมายืนหลับตาตั้งสองสามนาทีจึงค่อยพูดออกไป อันนี้มันเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก จะเรียกร้องความสนใจของคนผู้ฟังได้มาก หรือว่าเขากำลังรวบรวมสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง ไม่ให้มีความประมาท เขอะเขินงกๆ เงิ่นๆอะไรเลย ความจำมาหมด แล้วจึงพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ อย่าให้ตัวกู-ของกูมันมาขี่คอ แล้วบังคับให้พูดพล่อยๆ พล่อยๆ ไป กิริยามายาทก็ไม่สงบระงับ เหมือนกับพระบางคนเทศน์ พระบางองค์ปาฐกถา เราจะสอนเรื่องไม่มีตัวกู-ของกู แต่แล้วกลับมีตัวกู-ของกูเป็นบ้าเป็นหลัง ในการพูดจาในการสั่งสอนมันก็ป่วยการ ไม่รู้จักตัวกู-ของกูนั่นเอง ไอ้คนนั้นมันไม่รู้จักตัวกู-ของกูนั่นเอง แล้วจะช่วยฆราวาสได้อย่างไร
แล้วทีนี้ก็ให้มองดูฆราวาสทั้งหลายเขาไม่รู้จักตัวกู-ของกู แล้วเขากลับมีความสำคัญผิด ว่ากิริยาอาการที่เราเรียกว่าตัวกู-ของกูเกิดขึ้นแล้วนั่นแหละอันตราย เขาว่าไม่มีอันตรายอะไร เขาไม่เห็นว่าเป็นเรื่องผิดอะไร นี่เราจะต้องรู้ข้อนี้ให้เต็มที่ เพื่อจะช่วยเขาได้ ให้รู้จักสิ่งที่เป็นอันตราย โดยความเป็นสิ่งที่เป็นอันตราย สิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล โดยความเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เกื้อกูล แล้วสรุปความกันทีว่าบุถุชน น่ะมันตีราคาตัวเองน้อยไป น้อยเกินไป แล้วก็ให้อภัยแก่กิเลสของตัวเองเร็วเกินไปมากเกินไป จนไม่ได้อะไรเหลือ จนไม่มีอะไรเหลือสำหรับเป็นความดี หรือว่าไม่มีอะไรที่ถือว่าเป็นความผิดที่จะต้องละเสีย ฆราวาสส่วนมากก็จะเป็นอย่างนั้นเราหนีความเป็นฆราวาสมาบวช ก็เพื่อจะหนีความเป็นอย่างนั้นมาฝึกฝนกันเสียใหม่ความเป็นอย่างนี้ ให้มาเป็นบุถุชน ชั้นดีให้มันเลื่อนเข้าไปในขอบเขตของพระอริยสาวก
นี่เป็นเรื่องที่ตั้งใจจะพูดว่า เรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูหรือเรื่องความว่างจากตัวกู-ของกูนี้จำเป็นที่สุดสำหรับบุถุชน แม้ที่เป็นชาวบ้านเป็นฆราวาสแล้วแม้ที่เป็นฆราวาสชชั้นต่ำสุด ที่ชั้นภาระบุถุชน แล้วสูงขึ้นมาบุถุชนธรรมดากระทั่งถึงกัลยาณบุถุชน ทุกพวกล้วนแต่เกี่ยวกันอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู หรือความว่างจากตัวกู-ของกูอยู่ด้วยกันทั้งนั้น นี้มาอยู่ในวัดจนตายมันก็ไม่ได้อะไรถ้ามันไม่สนใจเรื่องนี้ นี่เรื่องสำคัญมันมีอย่างนี้ แต่ขอให้ทุกคนมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้ รู้จักตัวกู-ของกูไปตามลำดับ กีดกันเกลียดกันทำลายมันออกไปได้ตามลำดับๆของวันคืนที่ล่วงไป วันคืนที่ล่วงไป เอาละพอกันทีสำหรับเรื่องตัวกู-ของกูของฆราวาสในระดับพื้นฐานทั่วไปอย่างนี้