แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายตอนเย็นของวันแปดค่ำวันพระ เป็นการบรรยายโดยหัวข้อใหญ่ที่เรียกว่าธรรมปาติโมกข์ตลอดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว วันนี้มาเป็นกรณีพิเศษ ที่มีผู้มาใหม่จำนวนมาก จะบรรยายอย่างติดต่อกันไป ตามที่ทำอยู่แต่ก่อนเป็นประจำนั้น ก็คงจะไม่ค่อยได้ผลแก่ผู้มาใหม่ซึ่งมีจำนวนมาก มากจนถึงกับต้องย้ายมานั่งกันที่นี่ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยทำกันที่หน้ามุก ตึกโรงมหรสพทางวิญญาณ นี่ก็เห็นกันอยู่นะ นั้นจึงเป็นอันว่าธรรมปาติโมกข์ในวันนี้ก็จะต้องพูดเป็นพิเศษ บางทีต้องเป็นพิเศษเรื่อยไป จนกว่าผู้มาใหม่ชุดนี้จะได้กลับไป
การบรรยายนี้ก็เป็นอันว่าสำหรับผู้มาใหม่โดยตรง นอกนั้นก็เป็นพลอยฟัง ที่เรียกว่าธรรมปาติโมกข์ ก็คือจะให้คู่กันกับปาติโมกข์ทางวินัย ที่วินัยปาติโมกข์ ที่พระเราก็ทำอยู่ทุกๆวัน ๑๕ ๑๔ ค่ำ ที่เรียกว่าวันพระ เพราะนั้นเป็นเรื่องวินัยล้วน นี้เรื่องทางธรรมะเป็นหัวข้อสำคัญที่จะต้องซักซ้อมกันทุกวัน ในรูปของปาติโมกข์นี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เพราะนั้นจึงบรรยายธรรมะส่วนที่เป็นใจความสำคัญซ้ำๆอยู่นั่นแหละ ในฐานะเป็นธรรมปาติโมกข์ นี้ธรรมปาติโมกข์นี้ก็เลยเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกูตลอดมา คนที่ไม่ทราบนี้ก็อาจจะเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมจึงกลาย เป็นเรื่องตัวกู-ของกู เรื่องธรรมะนี้ก็เข้าใจกันเสียเดี๋ยวนี้ว่า ตัวกู-ของกูในที่นี้ก็ยืมมาจากคำว่าตัวตนหรือของตน คือตัวเราหรือของเรา พอมันเดือดจัดขึ้นมา คือกิเลสมันมากเข้า มันไม่ของเรา มันไม่ใช่ตัวเราหรือของเราละ มันเป็น ตัวกู-ของกู ขอให้นึกถึงเวลามีอารมณ์ร้ายขึ้นมามันจะมีภาษาพูดกลายเป็นตัวกู-ของกู แทนที่จะเป็นตัวเราหรือของเรา หรือจะใช้คำว่าตัวตนหรือของตน ตามคำบาลีที่ว่า อัตตา หรือ อัตนียา การแรกศึกษาเรื่องนี้ก็เข้าใจคำว่า อัตตา อัตนียา มาตามลำดับ อัตตะก็แปลว่า อัตตาก็แปลว่า ตน อัตนียาก็แปลว่าของตน คือมันเนื่องอยู่ในตน เราจึงได้คำว่าตนของตน ออกมาจากพระบาลีที่ว่า อัตตา อัตนียา นี้พอตนของตนนี้มาเป็นเราของเราอีกทีหนึ่ง เพราะว่ากิเลสมันเกิดแก่เรา มันเกิดแก่ฝ่ายเรา ไอ้ฝ่ายเขาก็เป็นเรื่องของเขา แต่มันก็เป็นตัวตนของเขาเหมือนกัน เหมือนกับฝ่ายเรา ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ฝ่ายเรา เพราะนั้นเราจึงใช้คำว่าเราหรือของเรา ความรู้สึกที่เป็นเราหรือเป็นของเรานี่เป็นปัญหา เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ นี้เราของเรานี่พอมันรุนแรงขึ้นมา มันกลายเป็นกูหรือเป็นของกู นั้นเราจึงใช้คำว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวกูหรือของกูเป็นตัวธรรมปาติโมกข์ทั้งนั้น เป็นหัวข้อสำคัญในทางฝ่ายธรรม ฝ่ายพระธรรมที่ต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ดี มีหลักว่าพอเกิดความรู้สึกคิดนึกประเภทว่าตัวกู-ของกูเมื่อไรก็มีความทุกข์ พอไอ้ตัวกูของกูไม่เกิดในจิตก็ไม่รู้สึกเป็นความทุกข์ นั้นการปฏิบัติก็กลายเป็นการปฏิบัติเพื่อจะให้ ให้รู้ความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูนี้มันเกิดได้ ให้มันว่างจากความรู้สึกประเภทนี้อยู่เสมอ แม้ว่ามันจะมีความรู้สึกประเภทอื่นมากมายก็ตามแต่อย่างอื่นเป็นเรื่องสติปัญญาไปก็ได้ แต่ขออย่างเดียวเพียงว่าอย่าให้เกิดไอ้ความรู้สึกประเภทที่เป็นตัวกู-ของกูนี่ก็แล้วกัน ปัญหามันก็หมดเท่านั้นแหละ
เมื่อปฏิบัติก็ปฏิบัติในลักษณะที่ตัวกู-ของกูจะไม่เกิดขึ้นในจิต หรือว่าเมื่อตัวกู-ของกูมันเกิดอยู่ในจิตก็ปฏิบัติเพื่อทำลายกันเดี๋ยวนั้นออกไปเสีย ดีกว่าที่จะให้มันเกิดเรื่อยไปจนมันดับของมันเอง มันมอดของมันเอง นั้นมันมากเกินไป ก็มีวิธีที่จะดับ เหมือนกับไฟไหม้บ้านนี่มันมีวิธีที่จะดับเสีย อย่าปล่อยให้มันไหม้ไปหมดจนมันวอดไปเอง ก็เลยเป็นอันว่าเรื่องพุทธศาสนามันไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเรื่องเกี่ยวกับตัวกูและของกูเท่านั้น เหมือนกับที่มีคำสรุปความไว้ว่าพุทธศาสนามีประโยคเดียว คือบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น โดยความเป็นตัวกู- ของกู ประโยคเดียวนี้มันขยายออกไปเป็นกี่ประโยคก็ได้ คือความทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่นว่าตัวกูว่าของกู ความไม่มีทุกข์ก็เกิดมาจากความไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู-ของกู นี้การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ก็ปฏิบัติเพื่อทำลายเสียหรือการป้องกันเสียซึ่งความคิดว่าตัวกู-ของกู มันมีเท่านั้นเอง ถ้าจะพูดไปในรูปของอริยสัจ ๔ ประการ ที่คุ้นเคยกันมาก ก็ยิ่งเห็นชัด ข้อที่แรก เอ่อ ข้อที่หนึ่ง ที่เรียกความทุกข์นั่นน่ะ คือเรากำลังเดือดร้อนอยู่ด้วยอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู ข้อที่สอง ทุกขสมุทัย ก็คือเรื่องไอ้ตัวกู-ของกูนั่นแหละ จะเรียกว่าตัณหาก็ได้ อุปาทานก็ได้ มันมาจากอวิชชา นี้เรื่องทุกขนิโรธที่สาม มันก็เป็นเรื่องดับเสียซึ่งความทุกข์ร้อนชนิดนั้น คือดับตัวกู-ของกู ดับตัณหา อุปาทานนั้นเสีย นี้เรื่องมรรค เรื่องที่สี่ คือการปฏิบัติ มีชิวิตเป็นอยู่ชนิดที่ตัวกูมันเกิดไม่ได้ เมื่อมีการปฏิบัติเป็นรูปของอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ตัวกูมันเกิดไม่ได้ ก็เลยเป็นเรื่องอริยสัจ ๔ ขึ้นมา เรียกว่าเรื่องตัวกู-ของกูเรื่องเดียวคำเดียวนี่มันเป็นทุกเรื่องที่เป็นหลักสำคัญในทางธรรมของพุทธศาสนา
ทีนี้เพื่อจะให้พูดได้สะดวก รับฟังได้สะดวก จำได้สะดวก และพูดได้เรื่อยๆไปไม่มีที่สิ้นสุด นั้นเราก็ใช้คำว่าตัวกู-ของกูนี่เป็นหลักเรื่อยไป พูดทุกเรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูนี้ในแง่นั้นแง่นี้ มุมนั้นมุมนี้ ระดับนั้นระดับนี้ เป็นเวลากี่ปีก็ได้ เช่นเดียวกับพุทธศาสนา นี่มีตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าพูดกันวันละธรรมขันธ์ ก็พูดได้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ วัน แต่เรื่องมันเรื่องเดียว คือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกู การปฏิบัตินั่นมีเพียงข้อเดียว คือทำลาย ป้องกัน ทำลาย ป้องกันไม่ให้เกิดตัวกู-ของกู หรือทำลายเมื่อมันเกิดแล้ว นี้ขอให้สนใจไอ้คำๆนี้ไว้ ถ้าใครเห็นว่าคำว่าตัวกู-ของกูมันหยาบคายนัก มันก็เปลี่ยนเป็นตัวเราของเรา หรือถ้าอยากได้เป็นขลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ก็ใช้คำว่าอัตตา อัต- นียา คือตน และเกี่ยวกับตน คือของตน
เมื่อใดความรู้สึกในจิตปรุงแต่งขึ้นมาในรูปนี้ คือมีความหมายมั่นเป็นตัวตนของตน ตัวกู-ของกู เมื่อนั้นเป็นความทุกข์ ไม่ไม่มีอะไร เพราะนั้นให้ว่างจากไอ้ความคิด หรือความรู้สึกประเภทนี้ไว้เรื่อยไป เราเรียกว่า จิตว่าง ว่างจากอะไร ว่างจากตัวกู-ของกู มันเต็มอยู่ด้วยอะไร ก็เต็มอยู่ด้วยสติปัญญา เต็มอยู่ด้วยสติ หรือความไม่ประมาท ปัญญา ความรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แล้วก็มีการกระทำอย่างนั้น คือเป็นกรรมฝ่ายกุศล เป็นกุศลกรรม คือถูกต้องอยู่เรื่อย พอทำไปด้วยความรู้สึกที่เป็นตัวกู-ของกู มันก็เป็นบาปเป็นอกุศล เป็นอกุศลกรรมอยู่เรื่อย เมื่อระวังข้างในไว้อย่าให้เกิดเป็นประเภทตัวกู-ของกูแล้ว กรรมทุกชนิดคือการเคลื่อนไหวทุกชนิดที่มันเนื่องๆกันไปทุกชนิดนี่ก็จะเป็นกุศล ถูกต้องไปหมด กระทั่งถึงอันดับสุดท้าย คือไม่ยึดมั่นถือมั่นกันจริงๆแล้ว ก็เหนือกรรม ก็อยู่เหนือกรรม นั่นแหละ คือสิ่งที่เรียกว่านิพพาน
ในชั้นแรกควบคุมตัวกูให้ได้ อย่าให้ความรู้สึกประเภทตัวกูที่เป็นฝ่ายต่ำ ฝ่ายกิเลสเกิดขึ้น ก็เป็นการขจัดส่วนที่เป็นบาปออกไป มีความรู้สึกคิดนึกการกระทำการพูดจาที่ดีเป็นกุศลเรื่อยๆไป เรียกว่าเป็นพื้นฐานของส่วนที่ควรปรารถนา จนกระทั่งเบื่อที่จะเป็นไปตามกรรม แม้กรรมดีเราก็เบื่อที่จะต้องเป็นไปตามกรรมดี ก็ต้องการจะพ้นกรรม เลิกกรรม อยู่เหนือกรรมกันสักที ก็มาถึงขั้นที่ถอนไอ้ความรู้สึกคิดนึกที่เป็นตัวกูนี้สิ้นเชิง ก่อนนี้เพียงเอาไว้แต่อย่างดีบ้าง แล้วก็ยังต้องควบคุม ไม่ควบคุมละมันเป็นเรื่องเสียไปหมด ต้องระวังต้องควบคุม จนกว่ามาถึงขั้นที่มันเบื่อเรื่องตัวกู แม้จะดีอย่างไรก็ไม่ไว้ ก็ทำลายความรู้สึกประเภทนี้ พร้อมทั้งรากเหง้า เชื้อของมันเสียด้วย ก็เลยอยู่เหนือตัวกูเหนือของกูโดยสิ้นเชิง ไม่มีการกระทำที่จะเป็นกรรมได้อีก มีแต่การกระทำไปตามหน้าที่ที่ควรกระทำของผู้ที่ไม่มีกิเลส อันนี้เขาไม่เรียกว่ากรรม ไม่เรียกว่าได้รับผลกรรม กรรมมีเฉพาะผู้ที่ยังมีกิเลสและทำไปตามอำนาจแห่งกิเลสนั้น ถึงจะเรียกว่ากรรม กรรมชั่วและก็กรรมดี หรือกรรมดีที่สุด ยังเป็นเรื่องของกิเลสที่ละเอียดที่สุด เป็นตัวกูชั้นดีก็ทำกรรมดี ตัวกูชั้นเลวก็ทำกรรมเลว นี้ไม่ไหวทั้งสองชนิดจึงกระโดดออกมาอยู่เหนือกรรม คือเหนือตัวกู-ของกู นี่ขอให้ผู้มาใหม่ทั้งหลายเข้าใจ เรื่องที่พวกเราที่นี่เรียกว่าธรรมปาติโมกข์ คือปาติโมกข์ในฝ่ายธรรม คู่กันกับวินัยปาติโมกข์ คือปาติโมกข์ในฝ่ายวินัย สอง สองฝ่าย พระพุทธศาสนา เมื่อเรียกสั้นๆ ก็เรียกว่าธรรมวินัย มีธรรมวินัย ธรรมวินัย หรือในธรรมวินัยนี้ก็หมายความว่าในพระพุทธศาสนานี้
ทีนี้หลักใหญ่ทั่วๆไปที่จะเป็นประโยชน์ หรือรีบด่วนที่จะป้องกันภัยจากตัวกู-ของกูนี่ ก็ให้นึกถึงสิ่งที่ เรียกว่าสติ สตินั่นน่ะคือความที่ไม่อยู่ปราศจากปัญญา การที่มีสติควบคุมความรู้ที่ถูกต้องไว้เสมอ บางทีก็เราเรียกรวมกันเสียว่าสติปัญญาเลยก็ได้ สติสัมปชัญญะได้ สติความระลึกได้ สัมปชัญญะความรอบรู้ ความรู้รอบ สติสัมปชัญญะในที่ถูกต้อง ตามหลักแห่งพุทธศาสนามีอยู่แล้วก็ ตัวกู-ของกูเกิดไม่ได้
ทำไมจะต้องใช้คำว่าถูกต้องตามหลักของพุทธศาสนา ก็เพราะว่าสติสัมปชัญญะในความหมายธรรมดาทั่วๆไปนั้นไม่ถึงขนาดก็ได้ ถึงต้องพูดว่าสติสัมปชัญญะตามหลักแห่งพุทธศาสนา มันจะได้สูงถึงขนาดที่จะป้องกันและกำจัดตัวกู-ของกูได้ สติสัมปชัญญะมีความหมายลดต่ำลงมาจนถึงกับว่า เรารู้สึกตัวดีอยู่ ในการที่จะเดิน จะยืน จะลุก จะนั่ง จะกินอาหาร โดยไม่ ไม่ผิด โดยไม่ผิดพลาด เช่นว่าไม่เดินตกร่อง หรือว่าไม่ทำมีดบาดมือ หรือว่าไม่ทำถ้วยแก้วแตก หรือว่าไม่ลืมจนรับประทานอาหารทางจมูกนี้ เป็นต้น นั่นน่ะสติสัมปชัญญะชนิดธรรมดาอย่างนั้นมันก็มีประโยชน์เท่านั้น มันก็ไม่พอที่จะป้องกันความเกิดขึ้นแห่งตัวกู-ของกู ต้องมีสติสัมปชัญญะที่สูงขึ้นไป คือรู้ว่ากิเลสเป็นอย่างไร เกิดอย่างไร มีสติควบคุมจิตใจ หรือทั้ง กาย วาจา ใจ ก็ตาม อยู่ในลักษณะที่มันเกิดไม่ได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าสติ เมื่อตาจะเห็นรูป เมื่อหูจะฟังเสียง เมื่อจมูกจะดมกลิ่น เมื่อลิ้นจะ เมื่อลิ้นรู้รส เมื่อผิวกาย รับสัมผัสทางผิวกาย หรือว่าจิตคิดนึกไปตามอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต เป็นหกอย่างนี้ ไม่เผลอสติ ปล่อยให้ความคิดนึก รุมกันไป รุมกันไปจนเกิดเป็นตัวกูออกมา แล้วก็เป็นทุกข์อยู่ มันจึงเป็นสติสัมปชัญญะที่สูงกว่าสติสัมปชัญญะทั่วๆไป เป็นภาษาชาวบ้านทั่วๆไปทุกชาติทุกภาษาก็ได้ แต่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะที่จะป้องกันตัวกู-ของกู แล้วเราก็ถือว่าเป็นสติ สัมปชัญญะในพระพุทธศาสนา
เมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่ก็แปลว่าความประมาทเกิดไม่ได้ มีแต่ความไม่ประมาทอยู่เรื่อยไป นี้ก็ควรจะเข้าใจได้เองอีกว่า คำว่าความไม่ประมาทในพุทธศาสนานี้ มันก็มีความหมายผิดจากความไม่ประมาทในพวกอื่นอีก แม้ในภาษาไทยเรานี่แหละ คำว่าประมาทหรือไม่ประมาทนี่หมายถึงอวดดีหรือไม่อวดดี สะเพร่าหรือไม่สะเพร่า เลินเล่อหรือไม่เลินเล่อ มีเท่านั้นเอง แต่ในพุทธศาสนาหมายความว่ามีสติสัมปชัญญะหรือไม่มีสติสัมปชัญญะ หมายถึงความรู้ด้วย ควบคุมความรู้นั้นไว้ได้ด้วย จึงจะเรียกว่าไม่ประมาท เป็นผู้ไม่ประมาท คือเต็มอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ หรือปัญญา แล้วก็ยังกระทำอยู่อย่างตัวเป็นเกลียวด้วย ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ขี้เกียจ จึงจะเรียกว่าไม่ประมาท นั้นตอนนี้ขอให้เป็นที่รู้กันทั่วๆไปว่า คำพูดคำหนึ่งๆนั้น มีความหมายเป็นสองฝ่ายเสมอ สำหรับชาวบ้านทั่วๆไปที่เขาพูดกันอยู่นั้นก็อย่างหนึ่ง แล้วสำหรับในทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะนั้นก็อย่างหนึ่ง คือบางทีมันเข้มข้นกว่า บางทีมันลึกกว่า กว้างกว่า เป็นอย่างนี้ แต่ความหมายก็คล้ายๆกัน เช่นระลึก นั่นก็ระลึกด้วยกัน สติก็แปลว่าระลึกได้ ก็ระลึกด้วยกัน แต่ที่ต้องการในพุทธศาสนามันระลึก ลึกซึ้ง ไกล กว้าง ละเอียด ประณีต ทั่วถึง แล้วก็ในเรื่องที่สำคัญเสียด้วย
นี่ ในตอนนี้ขอให้มองให้เห็น แล้วก็เข้าใจ แล้วก็ไม่ลืม ว่าไอ้สิ่งที่มันจะป้องกันข้าศึกอันสำคัญที่สุด คือ ตัวกู-ของกูนั้น ก็คือสติ ถ้าเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ตามพุทธศาสนาได้แล้วก็พอแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะต้องศึกษาหรือปฏิบัติ แต่ความหมายมันก็กว้างจนฟังไม่ถูกอีกล่ะ นั้นก็ต้องพูดกันอีก ว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกว่าจะมีสติสมบูรณ์ ตามแบบของพุทธศาสนา จะยกตัวอย่างให้ฟังสักประโยคหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เธอจงเป็นผู้มีสติมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด จงเป็นผู้มีสติชนิดที่มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอยู่ทุกเมื่อเถิด เท่านี้พอ หมดทั้งพุทธศาสนาเหมือนกัน ถ้าพูดอย่างนี้กันแล้ว ก็เป็นประโยคที่มีชื่อเสียง คือแพร่หลาย สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทาสโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ มองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างทุกเมื่อเถิด
เดี๋ยวนี้เรามองเห็นโลกว่างไหม ก็คิดดู ตาเราเหลือบไปทางไหนก็มีอะไรเต็มอยู่ตรงนั้น นั้นก็เกี่ยวความรู้ที่จะมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างได้ พอเห็นโลกนี้ว่าง ว่างจากอะไร ก็มันเต็มไปหมดน่ะ ก็ว่างจากส่วนที่จะเป็นตัวกูหรือของกู ว่างจากส่วนที่จะเป็นตัวตนหรือของตน โลกนี้ว่างก็ว่างจากส่วนที่จะควรเป็นตัวตนเป็นของตน พอมองหาไอ้ตัวตนของตนในโลกนี้หาไม่พบ หาไปก็ไม่พบ หาไปก็ไม่พบ โลกนี้มันว่าง จากตัวตนของตน มันก็เต็มอยู่แต่สิ่งที่ไม่มีความหมาย เป็นตัวตนของตน แต่เราไม่เข้าใจอย่างนั้น ก็เข้าใจว่าอะไรก็เป็นตัวตนของตนเสียเรื่อย มันเลยมองไม่เป็นมองไม่ได้ มันต้องไปศึกษามาตั้งแต่ข้อแรกที่ว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าโลกว่างจากอัตตา ว่างจากอัตนียา ไม่มีส่วนไหนที่ควรจะยึดถือเอาว่าเป็นตัวตน ไม่ควรแก่ชื่อว่าเป็นตัว ไม่ควรแก่นาม ว่าเป็นตัวตน ไม่ควรแก่สมัญญาว่าตัวตน แล้วก็ไม่ควรกับสมัญญาว่าของตนด้วย ก็ไปศึกษาในข้อนี้ เดี๋ยวนี้เรามันมองด้วยตาอย่างธรรมดานี่ก็เห็นเต็มไปหมด มีอะไรอยู่ในโลกเต็มไปหมด แล้วก็มองให้ทะลุสิ่งที่เต็มไปหมดนั้นน่ะ ว่ามัน มันหาไอ้ตัวตนไม่พบ หาความเป็นตัวตนความเป็นของตนไม่พบ ให้ชัดเจน ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นๆๆ จนเห็นว่าจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าโลกนี้ว่างจากอัตตา แล้วก็ว่างจากอัตนียา อีกชั้นหนึ่งก่อน มีเท่านี้แล้วก็มีสติที่จะรักษาความเห็นแจ้งอย่างนี้ไว้ ทุกเมื่อ มีสติมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างทุกเมื่อเถิด นี่คือสติ
ทีนี้พอเรามากระทบอารมณ์ทางตา ทางหู เป็นต้น เข้า ไอ้ความที่เคยเห็นว่าว่างมันไม่เห็นเสียแล้ว มันกลายเป็นเห็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นสวยเป็นงาม เป็นได้เป็นเสีย เป็นไปในทำนองนี้ คือไปเห็นสิ่งที่น่ารักเข้ามันก็ไม่ว่างเสียแล้ว มันมีความหมายความน่ารัก เป็นตัวตนที่น่ารักมันก็เกิดความรัก เกิดคู่รักขึ้นมาใจจิตใจ ก็ไม่ว่างแล้ว ข้างในก็ไม่ว่าง ข้างนอกก็ไม่ว่าง หรือไปเห็นอารมณ์ที่น่าเกลียด น่าโกรธ ขึ้นมา มันก็ เอ้า, เกลียดแล้ว เกลียดน้ำหน้าแล้ว หมอนี่มันเป็นคน เป็นคนที่เราเกลียดมา ไม่เห็นเป็นของว่างจากตัวตนของมันแล้ว ก็เกิดตัวตนของเราข้างในนี้ เกลียดตัวตนข้างนอก คือ มันนั่น อย่างนี้มันไม่ว่างแล้ว แม้ที่สุดได้เห็นสิ่งที่น่ากลัว ที่เคยกลัว มันก็เกิดตัวตนสำหรับกลัว แม้จะเป็นเรื่องเหลวๆ ไม่มีตัวจริง ก็คิดเอาเองได้ เพราะว่าตัวตนนี้ไม่ต้อง ไม่ใช่เป็นของจริง นี่ คิดเอาได้ หมายมั่นเอาได้ เกิดมีนั่น มีนี่ มีอะไรขึ้นมา สำหรับรัก สำหรับโกรธ สำหรับเกลียด สำหรับกลัว เป็นต้น เต็มไปหมด ในโลกนี้ อย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนโง่ด้วย และไม่มีสติด้วย ไม่มีสติสัมปชัญญะก็เป็นคนโง่ โลกนี้มันจึงไม่ว่างสำหรับเรา มันเต็มไปด้วยตัวตนสำหรับที่จะรัก จะโกรธ จะเกลียด จะกลัว จะได้ จะเสีย จะแพ้ จะชนะ จะ อุ๊ย,บอกไม่ไหว เป็นไม่รู้กี่ร้อยคู่พันคู่ นั้นคนนี้ก็เป็นผู้ที่เจ้าทุกข์ เป็นคนเจ้าทุกข์ ทุกข์จนไม่รู้ว่าจะ จะทุกข์กันอย่างไร เพราะเขาทำผิดจากพระพุทธ จากพระพุทธศาสนา ผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวเธอจงมีสติมองเห็นโลกโดยความเป็นของว่างทุกเมื่อเถิด ย้ำอีกว่างจากอะไร ว่างจากตัวกู-ของกู นี้เรามาทำให้เต็มไปด้วยตัวกู-ของกู เต็มไปหมดทั้งข้างนอกข้างใน แล้วจะเรียกว่ามีสติอย่างไรได้ จะเรียกว่าเห็นโลกโดยความเป็นของว่างอย่างไรได้ เมื่อพูดอยู่นี้อาจจะเข้าใจ พอลุกไปแล้วไอ้ความรู้อันนี้มันก็หายไป สติมันก็ไม่มี มันก็ไปมีตัวกู-ของกูเข้าที่นั่นเข้าที่นี่อีกในที่สุด แต่ว่าไอ้มดตัวเล็กๆสักตัวหนึ่งมันกัดเอา เราก็มีตัวกู-ของกูกับมด นั้นก็เป็นเรื่องที่เรียกว่า ประมาทไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะทำให้เกิดตัวกู-ของกูนั้นเต็มไปหมด นี้ก็เรียกว่าเรามีสติเป็นสิ่งที่ป้องกันเสียซึ่งเป็น ตัวกู-ของกู เป็นหลักของพระพุทธศาสนาอยู่อย่างนี้
ทีนี้อาจจะมีบางคนถามว่าการที่มีสติ ไม่มีตัวกู-ของกูอยู่อย่างนี้ มันมีประโยชน์อะไร ผมก็อยากจะตอบว่ามันเป็นคำถามที่โง่ ของคนที่โง่ที่สุดกระมัง ถ้ายังถามอย่างนี้อีก ก็แปลว่าไม่เข้าใจว่าไอ้ตัวกู-ของกูนี่มันเป็นตัวความทุกข์ เป็นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ เราเอาออกไปเสียได้จะมีประโยชน์อะไร เลยไม่รู้จะตอบยังไง เพราะมันก็เพื่อจะไม่มีทุกข์ ก็เป็นอันว่าไปดูเอาเอง ความทุกข์ทุกชนิด ไม่ว่าที่ไหน ไม่ว่าระดับไหน มันมาจากความหมายมั่นเป็นตัวกู-ของกูทั้งนั้น ให้ตั้งต้นมาตั้งแต่เด็กอ่อน เกิดมาจากท้องแม่ มีอายุพอสมควรที่จะรับสัมผัสจากโลกภายนอก มีเวทนา มีความรู้สึกต่อความหมายของเวทนานั้น ก็เกิดยึดมั่นถือมั่น ในเวทนาชนิดนั้น สำหรับรักเวทนาชนิดนั้น สำหรับเกลียดเวทนาชนิดนั้น สำหรับกลัวนี้เป็นต้น ก็ให้รู้เถอะว่านี้มันก็มีความรู้สึก มีความหมายเป็นตัวกู-ของกูแล้ว หรือว่าพร้อมเกิดความรู้สึกเป็นตัวกู-ของกูแล้ว ทีนี้มันก็โตขึ้นมาทุกวัน จนมันนั่งได้ จนมันเดินได้ วิ่งได้ นี้มันก็มีความชำนาญในการจะเกิดตัวกู-ของกูยิ่งๆๆขึ้นมา ทุกๆอย่างมันแวดล้อมรอบๆอยู่ แล้วก็แวดล้อมไปในทางที่จะเกิดความรู้สึกมั่นหมายเป็นตัวกู-ของกูทั้งนั้น ไม่มีใครคนไหนแม้แต่เป็นบิดามารดา ก็ไม่ได้สอนเรื่องว่าไม่ใช่ตัวกู- ของกูนะ แม้สอนก็ฟังไม่ถูก แล้วก็ไม่ได้สอน มันไม่มีเหตุที่ให้สอน ไม่มีวัฒนธรรม ระเบียบไอ้ที่ให้สอนเด็กเหล่านั้นว่านี่ไม่ใช่ตัวกู-ของกูนะ จริงๆถ้าจะพยายามจะสอนพยายามจะทำความเข้าใจ มันก็ยังจะพอเข้าใจได้บ้าง แม้เด็กๆนี่ แต่นี่ไม่ได้สอน มันจะสอนแต่ในทางให้เกิดความรู้สึกเป็นเป็นตัวกู-ของกูทั้งนั้น บางทีเรื่องที่โง่ที่สุดอย่างที่พ่อแม่หรือพี่เลี้ยงสอน ก็เช่นว่าพอเด็กเท้าเซไปโดนเก้าอี้ เจ็บ ร้อง แล้วแม่หรือพี่เลี้ยงก็จะตีเก้าอี้ให้ ให้เด็กมันหายโกรธ ว่าเก้าอี้ทำกูเจ็บ เด็กก็พอจะหายร้อง นี่คือการสอนให้มีความหมายมั่นเป็นตัวกู-ของกูอย่างลึกซึ้ง อย่างนี้เรื่อยมา ความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกูก็เกิดขึ้นรอบด้าน ทุกอย่างทุกสิ่งทั้งในทางรักและทางเกลียด คือทางที่จะเอาหรือที่จะไม่เอาก็ตามใจ มันมีความหมายเป็นตัวกู-ของกูทั้งนั้น ถ้าเอาก็คือว่าถูกแต่เรื่องที่จะเอา ถ้าไม่เอาก็หมายความว่าเป็นข้าศึกแก่ตัวเราที่จะอยู่ เพราะนั้นเราจึงหนาแน่นไปด้วยความเคยชินในทางจิตใจที่จะเกิดความ รู้สึกเป็นตัวกู-ของกู ทีนี้เด็กโตขึ้นมาอวัยวะสำหรับรู้สึก มันก็สูงขึ้น ประณีตขึ้น ละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น มันก็ยึดมั่น ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวหนัง ทางใจ มากขึ้นๆ ก็ต้องไปตามเรื่องของตัวกู-ของกู เดี๋ยวก็หัวเราะร่าอยู่ เดี๋ยวก็นั่งร้องไห้อยู่ นี่อย่างนี้ อย่างนี้บ่อยๆ ซึ่งไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่โชคดี ไม่ใช่บุญกุศลอะไร แต่มันจะทำอย่างไรได้ มันก็มีอย่างนี้ จนกว่าเขาจะเอือมระอาขึ้นมา
ถ้าเราจะตั้งวัฒนธรรมกันขึ้นมาใหม่ ถ้าสมมติว่าตั้งได้นะ ก็ตั้งวัฒนธรรมสอนเด็กๆ ให้มันรู้เรื่องถูกต้องตามธรรมชาติ ตามความจริง เช่นว่ามันเซไปโดนโต๊ะ เจ็บ ก็ไม่ต้องตีโต๊ะ ชดเชยให้เขา ก็อธิบายว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น เพราะว่าเรามันไปโดนเข้า เพราะว่าเรามันไม่ระวังให้ดี เรามันประมาท เจ็บบ้างก็ดีแล้ว มันก็เป็นเรื่องของไอ้ร่างกายมันมีความรู้สึก ด้วยเส้นประสาท ไปกระทบอะไรเข้ามันก็เจ็บ อย่าคิดว่าเราเจ็บเลยกระมัง คิดว่าเนื้อมันเจ็บก็แล้วกัน นั้นก็ไม่ต้องไปช่วยตีช่วยชดใช้อะไรกัน แต่ดูจะไม่มีใครทำ แล้วไม่มีเวลาจะทำ ไม่มีความเห็นด้วยว่าจะต้องทำ แต่ถ้าทำได้มันก็มีประโยชน์ แต่ในที่สุดมันก็ต้องทำน่ะ เมื่อมันมากเข้าๆ จนทนไม่ไหวก็ต้องเร่มาหาธรรมะ หรือหาศาสนา เพื่อจะแก้ไขความทุกข์ข้อนี้ ซึ่งมีเชื้อเรื้อรัง มาเป็นยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปีก็ได้ ก็เป็นเรื่องลำบากอยู่ เว้นไว้แต่จะทำให้ถูกวิธีปฏิบัตินั้นก็จะแก้ไขได้เร็ว แต่ขอให้คิดดูเถอะว่ามันใช้เวลาเกิดขึ้นมาตั้งสี่สิบ สามสิบ สี่สิบปี จะให้มาหายในหนึ่งวันนี้มันก็ต้องเก่งมาก ไอ้ธรรมะนั้นต้องเก่งมาก หรือยาแก้โรคนั้นจะต้องเก่งมาก ถึงจะแก้โรคให้หายเดี๋ยวนี้ ในเมื่อเขาสร้างไอ้โรคนี้มาตั้งยี่สิบ สามสิบปี นั้นจึงต้องไปหาไอ้สติสัมปชัญญะชนิดพิเศษนะ หรือปัญญาก็ชนิดพิเศษ ที่มันก็จะแก้ปัญหานี้ได้ นั้นเราอย่าประมาทกันในข้อนี้ก็แล้วกัน ถ้าเราบวชไม่กี่วัน เราศึกษาไม่กี่วัน แต่ถ้าทำถูกวิธีมันก็ชะล้างไอ้กิเลสที่เรื้อรังหลายสิบปีนั้นได้ นี้คือความที่ว่าไม่ประมาท
ทีนี้ก็จะดูกันถึงแง่หรือเคล็ดที่สำคัญบ้าง ว่าเราจะใช้ประโยชน์จากความรู้นี้ได้อย่างไร เราจะต้องตั้งสมมติฐานขึ้นมาทั้งที่เขามองไม่เห็น และไม่ยอมเชื่อว่าเรามีทางที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยได้ และมีวิธีที่จะทำให้ไม่ต้องเป็นทุกข์เลยได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไร นี้มันเป็นอันว่ามักจะต้องเถียงกับคนที่เขามักจะเคยชินไปในทางที่ว่าเราต้องยอมเจ็บปวด เราต้องยอมสละ เราต้องยอมลงทุน เราจึงจะได้อะไรมากินมาใช้ มาอะไรทำนองนี้ คือต้องยอม ยอม ยอมเป็นทุกข์ ทั้งๆที่เขาก็ไม่อยากจะเป็นทุกข์ แต่เพราะมันมีความคิดเห็นว่ามันต้องแลกเอาด้วยความทุกข์ ที่เราว่ามันไม่ต้องเป็นทุกข์ เรามีทางทำโดยไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วก็ต้องได้อะไรมาอย่างดีอย่างถูกต้อง ตามที่เราต้องการ นี่คือขอให้มีธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ และทำอะไรได้โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ อย่างจะเรียนหนังสืออย่างนี้ มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือว่าจำไม่ได้ ทำผิด ต้องถูกตี ต้องถูกลงโทษ หรือว่าต้องสอบไล่ตก มันก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ แต่ไปค้นพบ ก็จะไปไปค้นให้พบว่าเหตุใดมันจึงถูกตี เหตุใดมันจึงสอบไล่ตก บางทีว่าอย่าทำอย่างนั้น ถ้าตกก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ให้มันเสียเวลา ก็เรียนใหม่สิ อีกการทำการทำงานก็เหมือนกันอีก อย่าให้ต้องเป็นทุกข์ก็แล้วกัน ทำด้วยใจคอที่ปกติ ไม่พลุ่งพล่านไปด้วยตัวกู-ของกู และงานนั้นมันจะไม่ผิดพลาด จะละเอียดละออสุขุมรอบคอบดี แล้วก็งานนั้นก็ไม่ผิดพลาด แล้วก็ได้ผลดี
เดี๋ยวนี้มันทำงานด้วยตัวกู-ของกูไปเสียหมด เมื่อเรียนอย่างนี้ มันก็เรียนอย่างที่เรียกว่ามีตัวกู-ของกู สับสนกันไปหมด เป็นนักศึกษาเรียนนี่ ใจมันไปอยู่กับเรื่องผู้หญิง แล้วนี้มันจะเรียนหนังสือ มันก็มีตัวกูหลายฝักหลายฝ่ายยุ่งกันไปหมด หัวใจมันไปอยู่กับเพศตรงกันข้าม แล้วไอ้มือตีนเดี๋ยวนี้มันจะเรียน มันก็เป็นเรื่องที่สับสนกันไปหมด แล้วมันไปเอาไอ้เรื่องนู้น เรื่องเพศตรงกันข้ามเป็นเรื่องใหญ่โต เท่าภูเขาเลากา เรื่องเรียนนี่นิดเดียว ให้ความสนใจไปตามแกนๆ นั้นก็เลย ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องควบคุมไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู ไม่ได้ควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้อยู่ในร่องรอยไม่ได้ นี่เป็นโอกาสสำหรับตัวกู-ของกูเรื่อยไป มันก็ต้องมีความทุกข์ เพราะไปหวังในสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์มากเกินไป ไอ้สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นหน้าที่นี้สนใจน้อย ก็เป็นกันเสียอย่างนี้มากขึ้นทุกที โดยเฉพาะสมัยนี้ ซึ่งถูกกระทำให้สับสน ให้วนเวียน ให้หลงใหล ให้ชิงสุกก่อนห่าม ยกตัวอย่างเรื่องเพศศึกษา ที่กำลังนิยมเอามาสอน เอามาให้เรียนกันนี้ เป็นเรื่องทำให้คนชิงสุกก่อนห่าม ในตำรานั้นมีทั้งวิชาที่เป็นวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่แท้จริง เกี่ยวกับเรื่องอวัยวะร่างกาย เภทภัยทั้งหลาย แต่ว่ามันมีความหมายเป็นกามารมณ์ด้วย นี่มันหลีกไม่พ้น เพราะมันเป็นไปเรียนเรื่องอวัยวะ หรือฐานที่ตั้งของสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์ คือมันยื่นให้คราวเดียวสองอย่าง อย่างนี้ นี้เด็กเขาก็รับเอาแต่ในความหมายที่เป็นกามารมณ์ ที่เป็นความหมายของการศึกษาบริสุทธิ์นั้นมันรับเอาไม่ได้ และมันไม่อยากจะรับด้วย และมันไม่สามารถจะรับเอาได้ เพราะไอ้ความรู้สึกฝ่ายกามารมณ์มันมีกำลังมากกว่า แล้วก็เหมือนกับถูกกระตุ้นความรู้สึกทางกามารมณ์ แทนที่จะเป็นเรื่องการศึกษาบริสุทธิ์ ก็ต้องให้เขาเป็นคนชิงสุกก่อนห่ามไปหมด มันก็มีเรื่องยุ่งมากขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องส่งเสริมตัวกู-ของกูทางกามารมณ์อย่างขนาดหนัก ไม่ช่วยบังคับไอ้ความรู้สึกปกติที่ไม่เป็นไปตามตัวกูของกูเสียเลย
ที่ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะอวดว่าผมเป็นผู้พูดถูก แต่เพียงรู้สึกอย่างนี้เสมอ แล้วก็พูดในแง่ที่มันเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู ก่อนนี้เด็กๆของเราไม่ได้รับการสั่งสอนชนิดที่ไขว้เขว สับสน ชิงสุกก่อนห่ามอย่างนี้ ปัญหามันก็มีน้อย เดี๋ยวนี้นักปราชญ์ในโลกเขาเห็นกันว่าอย่างนั้น ก็ทำอย่างนั้น แล้วก็ดูสิเดี๋ยวนี้โลกนี้มันมีอะไร มันไม่มีระเบียบเรื่องศีลธรรม ด้วยจรรยาเกี่ยวกับเพศ ได้ทั้งนั้นมันก็เป็นโสเภณีทางวิญญาณเต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง โดยเฉพาะสตรีเพศมุ่งหมายจะอวดอวัยวะส่วนนั้นส่วนนี้ ส่วนโน้นที่เป็นที่ตั้งแห่งกามารมณ์ ถ้าใจเขาอยากจะอวด เช่นนุ่งผ้าสั้นๆเข้ามาอย่างนี้ ก็เป็นโสเภณีทางวิญญาณ นี้มันเสียหายเท่าไร มันเสียหายจนไม่มีปากจะพูดแล้ว มันส่งเสริมความรู้สึกตัวกู-ของกูเลยเถิดไปถึงความรู้สึกประเภทกามารมณ์ กิเลสสูงสุดแล้ว เครื่องนุ่งห่มเขาเรียกว่า หิริโกปินะปะฏิจฉาทะนัตถัง เหมือนที่พระสวดอยู่ทุกวัน ทุกวัน ให้พระสวดเป็นประจำ ปัจจเวกจีวร เครื่องนุ่งห่มนั้นนอกจากจะเป็นเครื่องกันหนาวกันร้อน กันเหลือบกันยุง แล้วก็เป็นเครื่องปกปิดอวัยวะชนิดที่ทำความละอายให้กำเริบ หมายความว่ามันเกิดไม่ละอายขึ้นมา คือปกปิดอวัยวะชนิดที่ทำให้เกิดความหน้าด้าน อวัยวะชนิดไหนเปิดเผยแล้วทำให้เกิดความหน้าด้าน อวัยวะนั้นเครื่องนุ่งห่มต้องปกปิด เดี๋ยวนี้ค่อยๆเปิดมากขึ้นนี่ เขาก็มีความเป็นผู้หน้าด้าน ก็ไปประกวดไอ้ส่วนที่ควรปกปิด แล้วก็นิยมต่อสู้ระเบียบของโรงเรียน ของมหาวิทยาลัย ที่จะเปิดส่วนที่ควรปกปิดนี่ จนกระทั่งมีความมุ่งหมายจะยั่วฝ่ายที่ตรงกันข้ามให้หลงรัก อย่างนี้เราเรียกว่าเป็นโสเภณีทางวิญญาณ เป็นทางวิญญาณก่อน แล้วไม่เท่าไรก็จะเป็นในทางเนื้อหนังโดยตรงไปเลย ง่ายที่จะเป็นโสเภณีโดยตรง เพราะว่าเอาสิ่งนี้ไปยั่ว ไปล่อ ไปดัก ไปคล้องฝ่ายตรงกันข้ามเอามา เป็นบ่วงบาศไปคล้องเอาจิตใจของฝ่ายตรงกันข้ามเอามา
นี่เป็นตัวกู-ของกูชนิดที่ไม่ใช่ธรรมดา เป็นตัวกู-ของกูชนิดที่ดำมืด เป็นภูตผีปีศาจไปเลย เดี๋ยวนี้เกิดแฟชั่นอย่างนี้ขึ้นมาเต็มทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก ก็หมายความว่า แฟชั่นที่ส่งเสริมตัวกู-ของกู ธรรมะหรือศาสนาไม่มีช่องทาง ไม่มีโอกาสที่จะช่วยคุ้มครอง แต่ผมขอร้องอย่าให้คุณเข้าใจว่าธรรมะ หรือศาสนาไม่มีสมรรถภาพ มันก็คงมีสมรรถภาพอยู่ตามเดิม แต่มันไม่มีโอกาสจะแทรกเข้าไปควบคุมหรือคุ้มครอง เพราะมนุษย์ทั้งหลายเขาบูชาความเป็นอย่างนั้นกันไปเสียหมดแล้ว พูดนี่ไม่ใช่มุ่งหมายอะไร มุ่งหมายจะชี้ให้เห็นในข้อที่ว่าโลกสมัยนี้ คือการอยู่ในโลกสมัยนี้นั้นมันลำบากเสียแล้ว มันมีแต่ความนิยมชนิดที่จะเป็นไปในทางส่งเสริมในความเป็นตัวกู-ของกู ละก็ไม่ใช่ชั้นธรรมดาเสียด้วย เป็นชั้นพิเศษ ยิ่งยวด ยิ่งขึ้นไปๆ ทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยตัวกู-ของกู ชนิดที่เข้มข้นและก็หลายหลากชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ทางกามารมรณ์ เมื่อหลงในกามารมณ์ก็จะมีตัวกู-ของกูชนิดที่เห็นแก่ตัว ฉะนั้นมันจึงฆ่ากันได้เหมือนกับฆ่ามด ฆ่าปลา ฆ่าแมลง ฆ่าคนๆหนึ่งเท่ากับตบยุงตัวหนึ่ง ไอ้ตัวกู-ของกูมันระบาดรุนแรงอย่างนี้ แล้วจะไปโทษใครล่ะ ที่เดี๋ยวนี้เราเดินไปตามถนน แม้ในกรุงเทพก็ไม่ปลอดภัยแล้วอย่างนี้ โดยเฉพาะผู้หญิง แล้วจะไปโทษใคร ก็ทุกคนมันทำให้เป็นอย่างนั้น หรือตัวเองก็อยู่ในส่วน เป็นสมาชิกกับเขาด้วยเหมือนกัน คือมีส่วนไปทำให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวกู-ของกูหนักขึ้น มันก็เต็มไปด้วยอันตราย ความปลอดภัยเหมือนแต่ก่อนมันไม่มีแล้วนะ เพราะตัวกู-ของกูมันลุกขึ้น เป็นตัวใหญ่ๆระบาดอยู่ทั่วเต็มไปหมด มีความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนั้นก็มาจากการทำผิดที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกู อย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นเรื่อยไป นี่โลกนี้มันจะอยู่ยากขึ้นทุกที มันจึงเต็มไปด้วยปีศาจแห่งตัวกู-ของกูมากขึ้นๆ คนที่ยังมีอายุน้อยพอที่จะอยู่ไปได้อีกห้าสิบหกสิบปี นั้นจะได้เห็นแปลกกว่านี้ เพราะคนแก่ๆคงตายไปก่อนไม่ทันจะได้เห็น คือพยากรณ์ไว้ว่า ถ้ายังอยู่กันในรูปนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกสี่ห้าสิบปีในโลกนี้ ก็ว่าจะเต็มไปด้วยปีศาจแห่งตัวกูไม่มีที่หลบหลีก จะเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบากใจ คนที่อยู่อย่างมีความสุข สักหน่อยไม่รู้จะหนีไปอยู่ที่ตรงไหน เพราะมันเต็มไปด้วยปีศาจแห่งตัวกู
การศึกษาในโลกเวลานี้ก็หวังพึ่งไม่ได้ เพราะสอนแต่เรื่องวิชาชีพ แล้วก็เปิดช่องโล่งหมดสำหรับความหนาแน่นแห่งตัวกู-ของกู นับตั้งแต่ชิงสุกก่อนห่าม เรื่องเพศศึกษา และก็มีอะไรก็เพื่อให้เห็นแต่ตัวกูพอ เห็นความสุข สนุกสนานทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ยิ่งขึ้นไป การศึกษาในโลกทั้งโลกกำลังเป็นอย่างนี้ นี่เขากำลังเพาะหว่าน อาหารหรือเชื้อของตัวกู-ของกูไว้ให้มากแต่เดี๋ยวนี้ แล้วมันก็จะมีผลงอกงาม ใหญ่โต เจริญในโอกาสข้างหน้าสิบปีข้างหน้า ยี่สิบปีข้างหน้า แล้วจะได้เห็นดีเห็นยิ่งกว่าดีกันเลย โลกนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าว่ามันเผอิญมีบุญ มีวาสนา มันเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดรู้เท่ารู้ทันกันขึ้นมาในหมู่ผู้มีอำนาจจัดการศึกษา หรือว่าแนะนำก็ตาม มันก็เป็นไปได้ในทางอื่น แต่ถ้ามันเป็นไปในลักษณะอย่างที่กำลังเป็นอยู่นี่ละก็จะได้เห็นสิ่งที่บอกไม่ถูก ก็อันตราย ก็เหลือที่อันตราย จะว่าน่าเกลียดน่าชัง ก็เหลือที่จะน่าเกลียดน่าชัง จะมีมากขึ้นในโลก เพราะเราจะเทียบกันดูเพียงแต่สามสิบปีที่แล้วมากับเดี๋ยวนี้มันก็ผิดกันแล้ว ความเห็นแก่ตัวมัน มันเข้มข้นมากขึ้นๆๆ เพราะเราไปหลงในสิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ เพราะเขาไปนิยมไอ้สิ่งที่จะมาสนับสนุนความรู้สึกทางนี้มากขึ้นๆ ความเจริญของโลกเวลานี้ก็ล้วนแต่เป็นความเจริญเพื่อส่งเสริมความเป็นตัวกูของกูทั้งนั้น เรื่องอาหารก็ดี เรื่องเครื่อง นุ่งห่มก็ดี ที่อยู่อาศัยก็ดี อะไรก็ดี ล้วนแต่จะส่งเสริมตัวกูของกูทั้งนั้น ไม่มีใครรับชอบ ไม่มีใครเป็นเจ้าของโลก ไม่มีใครเป็นเจ้าของประเทศ ที่จะรับผิดชอบในเรื่องนี้ นี้คนที่ไม่มีปัญญามันก็ผลิตไอ้สิ่งเหล่านี้ออกมาสำหรับล้วงเงินในกระเป๋าคนอื่น ไม่รับผิดชอบว่าไอ้สิ่งนั้นออกมาแล้วมันจะทำให้มนุษย์เป็นอย่างไรบ้าง ขอให้เข้าใจในเรื่องนี้ในลักษณะว่าว่ามันเป็นรากฐานอันลึกซึ้งแห่งตัวกู-ของกูที่จะเข้มข้นขึ้นมา แล้วก็จะครอบงำโลกนี้ให้มีแต่ความทุกข์ หมายความว่าเดินไกลออกไป ห่างออกไป ห่างออกไปจากพระธรรมคำสอนในศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพุทธศาสนา ที่ต้องการจะบีบคั้น กำจัดไอ้ตัวกู-ของกู ให้มันหนักขึ้นๆ ถ้าเป็นอย่างปรกติสามัญ ตามธรรมดา มันก็ไม่ยากที่จะบีบคั้นหรือกำจัดตัวกู-ของกู เดี๋ยวนี้มันผิดธรรมดา ก็คนทั้งโลกกำลังนิยมในการที่จะเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกที่เป็นสุข สนุกสนาน ในเมื่อตัวกูของกูมันได้เหยื่ออันประณีต อันยั่วยวน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย พูดกันเสียสั้นๆง่ายๆ ก็คือว่าการที่จะปฏิบัติธรรมะรูปนี้ สมัยนี้มันยากยิ่งขึ้นทุกที กว่า ยากกว่าสมัยที่ว่าโลกมันไม่เจริญด้วยสิ่งที่บำรุงบำเรอทางอายตนะกันมากถึงขนาดนี้
แต่เดี๋ยวนี้มันมีความหวังอยู่แวบหนึ่ง ที่ว่าคนสมัยนี้ฉลาด มีมันสมองอันฉลาด ถ้าผิดก็ผิดไกล ถ้าถูกก็ถูกไกลเหมือนกัน นั้นถ้ามีอะไรมาทำให้รู้สึกได้ ก็อาจจะใช้ความฉลาดที่ทำให้เขาหลงมากนั่นแหละ กลายมาเป็นถูกมากขึ้น หรือไม่หลงเลยก็ได้ ความฉลาดประเภทนี้มันไม่แน่ ที่เรียกว่า intellect หรือความเฉียบแหลมนี้ไม่แน่ เอาไปใช้เลวที่สุดก็ได้ เอามาใช้ดีที่สุดก็ได้ นั้นจึงยังมีหวังอยู่ว่าถ้ามันมีอะไรมาทำให้เกิดเข้าใจถูกต้องกันขึ้นมา มนุษย์ก็เริ่มใช้ความฉลาด ความสามารถ เครื่องไม้เครื่องมือ ทุกสิ่งทุกอย่างมาในทางช่วยกันกำจัดวัตถุที่เป็นเหยื่อภายใน ตัวกู-ของกูนี้ให้มันน้อยลง ให้มันเหลืออยู่แต่เท่าที่เป็น ในโลกนี้ก็จะหมุนกลับไปทางที่ตรงกันข้าม คือไปในทางสงบเย็น หรือน่าอยู่น่าดูได้ นี่ความหวังนี้เรียกว่ามันมีแวบหนึ่ง แต่ไอ้ความไม่อาจจะหวังได้นั้นมันเต็มไปหมด วัตถุพยายามแสดงให้เห็นว่า ถ้าจะหมดหวังนี่มันเต็มไปหมด เรียกว่าจะหวังให้มีแบบแว่บเล็กๆนี่ ก็ขอหวังไว้ทีก่อน
ในการศึกษา สติปัญญาของมนุษย์ในโลกนี้จงเป็นไปเพื่อกำจัดอิทธิพล หรือกำจัดรากเหง้าแห่งสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกูในจิตใจมนุษย์เถิด โลกนี้ก็จะกลายเป็นโลกของมนุษย์ ไม่ใช่โลกของภูตผีปีศาจเหมือนที่กำลังจะเป็น หรือบางทีก็จะกลายเป็นโลกของพระอริยเจ้าไปในที่สุดก็ได้ เพราะว่าคนสมัยนี้มันฉลาด ฉลาดนี้เหมือนกับมีดที่คมจะใช้ทำอะไรก็ได้ ใช้ฆ่ากัน เชือดกันมันก็ ก็ทำได้ดี จะไปใช้ทำการ ทำงาน ทำประโยชน์มันก็ทำได้ดี เพราะมันคม ก็เลยเอาเป็นว่าใช้ความคมนั้นเพื่อจะตัดไอ้ตัวกู-ของกูกันเสียเถิด ตัดหัวไอ้ตัวกูของกูให้มันตายไปเสียให้หมด เป็นลำดับ ลำดับไป ตัวเราเคยเห็นแก่ตัวอย่างไร กี่อย่าง กี่อย่าง ก็เริ่มตัดไปตามลำดับ เห็นแก่ความสุข สนุกสนาน จนเป็นทาสของอายตนะ คือเป็นทาสของตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่ ก็เลิกเป็นทาสกันเสียมาเป็นนายกันเสียบ้าง คือควบคุมตาหูจมูกลิ้นกายใจกันเสียบ้าง เป็นนายของอายตนะดีกว่าเป็นทาสของอายตนะ ระวังให้ดี พวกคุณที่ว่าเป็นนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัย ระวังให้ดี ถ้าเป็นทาสทางอายตนะแล้วมันจะเป็นลึกกว่าที่ชาวบ้านเขาเป็น เพราะมันฉลาดนี่ อย่าลืมว่าถ้าฉลาดแล้วมันทำได้ลึกเสมอนะ และเราก็จะต้องรับผิดชอบมากกว่าชาวบ้านที่เขาไม่ได้รับการศึกษา ทั้งแก่ตัวเราเองหรือว่าแก่โลก
ทีนี้ก็ถูกแล้วมาช่วยกันสร้างสติปัญญา แล้วก็อย่าใช้สติปัญญานั้นไปในทางที่ให้ตัวกู-ของกูมันมามีอำนาจยึดครอง จะต้องให้ความว่างจากตัวกู-ของกู คือสติปัญญาที่ถูกต้องมายึดครอง ให้จิตมันว่างจากตัวกู-ของกู เต็มอยู่ด้วยความรู้ที่ถูกต้อง ตามความถูกต้อง ถามว่าความถูกต้องของอะไร มันก็ของความถูกต้อง จะเรียกว่าของศาสนาหรือของธรรมชาติอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่มันต้องเป็นของความถูกต้อง ทีนี้คุณถามว่าอะไรเรียกว่าถูกต้อง อะไรเรียกว่าไม่ถูกต้อง ถ้าพูดกันโดยลอจิกหรือโดยทางอื่นมันก็เป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ เป็นปรัชญาที่เฟ้อ เอาตามหลักของศีลธรรมดีกว่า ถ้าถูกต้องคือไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ทั้งเขา ทั้งเราและทั้งเขาคือถูกต้อง ถ้ายังเป็นทุกข์ทั้งเขา ทั้งเรา ทั้งเขา ก็คือยังไม่ถูกต้อง นั้นเอาไอ้นี้เป็นเครื่องวัดว่าการกระทำ ความคิดนึกนี้มันถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง คิดแล้วมันเป็นทุกข์หรือความคิดนี้มันไม่ถูกต้องแล้ว ความรู้สึกอันนี้ผิดนะ แล้วมันจะต้องเป็นไปในรูปที่ว่าเป็นตัวกู-ของกู เห็นแก่เสมอละ เป็นทุกข์เสมอ นี้พอว่างจากความคิดประเภทนี้ก็มีแสงสว่าง มีความรู้ที่ถูกต้องมันก็ไม่มีความทุกข์ นั้นขอให้สนใจเป็นพิเศษ เรื่องธรรมปาติโมกข์ คือหลักที่เป็นหัวข้อใหญ่เป็นประธานของคำสอนประเภทธรรมะ มันรวมอยู่ที่คำว่าตัวกู-ของกู ถ้ามีก็เป็นทุกข์ ถ้าไม่มีก็ไม่มีทุกข์ เป็นอย่างนี้ ธรรมปาติโมกข์หัวข้อในฝ่ายธรรม คู่กับวินัยปาติโมกข์ห้วข้อในฝ่ายวินัย วินัยเป็นคำสั่ง คำบังคับ ธรรมะเป็นคำสั่งสอนชี้ชวน ชักจูง ไม่ได้บังคับ เลือกเอาก็ได้ เช่นว่าจะเลือกเอาเป็นฝ่ายที่มีตัวกู-ของกูก็ได้ ไม่มีใครห้าม แต่ถ้าเป็นเรื่องฝ่ายวินัยละบังคับไม่ให้ทำผิดไปจากตามที่วินัยบัญญัติไว้อย่างไรนั่นเป็นเรื่องบังคับ
ในชั้นแรกนี้เราบวช จำต้องมาเป็นพระเป็นเณร เริ่มวินัยก่อนตามที่บังคับ ไม่มีทางเลือก แต่พอมาถึงธรรมะนี่ปล่อยให้เลือกได้ มีเสรีภาพที่จะเลือก เลือกเอาข้างตัวกูของกูหรือว่าเลือกเอาความว่างจากตัวกู-ของกู แล้วก็ไปรู้เองว่าอย่างไหนจะผิด อย่างไหนจะถูก อย่างไหนจะทำให้มานอนร้องไห้เช็ดน้ำตาไม่ไหว ฆ่าตัวตายในที่สุด อย่างไหนจะทำให้กล้าหาญร่าเริง นับถือตัวเองได้ ก็ไปดูเอาเอง แต่ระวังว่าไอ้โลกนี่มันดึง ดึงคนทั้งหลายไปในทางที่จะไปมีตัวกู-ของกู แล้วก็ทำลายตัวเอง ทำลายผู้อื่น หรือทำลายโลกก็ได้ที่สุด เพราะสิ่งๆเดียว คือสิ่งที่เรียกว่าตัวกู-ของกู หรือตัวเราของเรา หรือว่าอัตตาหรืออัตนียา ไม่มีเรื่องอื่น จะพูดกันเป็น ๘๔,๐๐๐ เรื่อง เหมือนกับเขาถือกันว่ามันมี ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ก็ได้ แต่มันจะมาสรุปรวมอยู่ในเรื่องนี้เรื่องเดียว ก็ปล่อยให้เกิดตัวกู-ของกูก็เป็นทุกข์ กำจัดเสียได้ไม่มีทุกข์ มันมีเท่านี้ รายละเอียดปลีกย่อยอย่างอื่นยังมี ก็ไม่นอกไปจากเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกันอยู่กับเรื่องนี้ไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่ง ขอให้พยายามติดตาติดหูติดใจติดอะไรไปในเรื่องว่าตัวกูว่าของกูมันมีอย่างไร จะมีรายละเอียดอย่างอื่นก็ไว้พูดกันวันหลัง
วันนี้ขอให้จับใจความสำคัญให้ได้เป็นอันแรก ว่ามันมีปัญหารวมอยู่ที่สิ่งเพียงสิ่งเดียวนี้ คือความรู้สึกโง่ไปว่าตัวกู-ของกู ไม่ใช่ความรู้สึกที่ฉลาดหรือถูกต้อง แต่คนก็คิดว่าฉลาด ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งฉลาด ใครมือยาวก็สาวเอาคนนั้นก็เป็นคนฉลาด นั้นมันเป็นเรื่องผีตัวกู-ของกู ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ ถ้าเป็นมนุษย์มันต้องเป็นเรื่องถูกต้องชนิดที่ไม่มีใครเป็นทุกข์เสมอ เพราะนั้นการพูดวันนี้ก็เป็นเพียงการให้หลักใหญ่ๆ เค้าโครงใหญ่ๆสำหรับไปหารายละเอียดต่อไปข้างหน้า ว่าเราจะต้องเอาชนะไอ้สิ่งนี้ให้ได้ เพราะว่าปัญหาทุกข์อย่างขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ความทุกข์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ คือความเข้าใจผิด ความสำคัญผิด ความมั่นหมายผิดๆว่ามีตัวกู ว่ามีของกู ยกเอานี้ขึ้นมาเป็นใหญ่ เป็นหลัก เป็นประธาน ตามความชอบใจของมันเอง และเป็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติคำบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้