แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของพวกเราที่นี่ ไม่ต้องบอกก็เป็นอันรู้ได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูไปตามเดิม และในครั้งที่แล้วมาก็ตั้งใจจะพูดสำหรับ ผู้ที่มาใหม่ซึ่งมีจำนวนมากอยู่หลายองค์ ในระยะนี้ ก็เลยพูดอย่างที่เรียกว่าตั้งต้นใหม่และก็ไม่เสียเปล่าสำหรับผู้ที่อยู่เก่า เพราะเป็นเรื่องที่ต้องซักซ้อมความเข้าใจอยู่เสมอนั่นเอง ที่ควรจะต้องระลึกก็คือว่ามันเป็นเรื่องที่รวมความทั้งหมดของคำสอนในพุทธศาสนา ถ้าฝ่ายทุกข์ก็คือฝ่ายเกิดตัวกูของกู ฝ่ายดับทุกข์ก็คือฝ่ายที่ไม่เกิดตัวกูของกู จะต้องปฏิบัติอย่างไรมันก็ปฏิบัติเพื่อดับเสีย หรือป้องกันซึ่งการเกิดแห่งตัวกูของกู มันไม่มีเรื่องอะไรมากไปจากนี้ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ก็เพราะว่าเรามันชินกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เรียกว่าตั้งแต่พอลืมตาขึ้นมาในโลก สิ่งแวดล้อมทุกสิ่งล้วนแต่แวดล้อมให้เป็นไปในทางที่เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวเราหรือของเรา นี้กว่าจะโตกันมาถึงเท่านี้มันก็แน่นแฟ้น อยากที่เรียกกันว่า อาสวะ หรือ อนุสัย มันฝังแน่นลงไปสันดาน ความเคยชินมันมีมาก ถึงขนาดที่เรียกว่าเร็วเป็นสายฟ้าแลบ เราจะรัก หรือจะโกรธ หรือจะเกลียดหรือจะกลัวเป็นต้น มันก็เร็วเป็นสายฟ้าแลบ ทำไมไม่สังเกตดูบ้างว่า ทำไมมันจึงเร็วเหลือประมาณ พอรู้สึกมันก็รักแล้ว โกรธแล้ว เกลียดแล้ว กลัวแล้ว อย่างนี้เป็นต้น มันมีความเคยชิน เตรียมพร้อมมาจนชินเป็นนิสัยมาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในโลกนี้ มนุษย์จะอยู่ด้วยสิ่งนี้มันก็อยู่เพื่อความทุกข์ ถ้าสิ่งนี้ไม่เป็นความทุกข์ พุทธศาสนาก็ไม่ต้องเกิดมา ไม่ต้องเกิดขึ้นมาในโลก คือไม่ต้องมีพุทธศาสนาก็ได้ ถ้าว่าเราไม่ได้มีความทุกข์กันเพื่อ ด้วยอำนาจสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูนี้ ศาสนาก่อนหน้านั้นที่มันไม่ถึงขนาดที่จะกำจัดไอ้ตัวกูของกู มันก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาของมนุษย์ทั้งหมดได้ มันแก้ได้ไปแต่บางส่วนผิว ๆ เผินๆ ฉะนั้นจึงต้องมีศาสนาชนิดที่ถึงที่สุดของความจริงหรือของการปฏิบัติที่จะกำจัดไอ้สิ่งเหล่านี้ได้ นี่เราก็บวชเข้ามาในพุทธศาสนาก็เพื่ออะไรถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้ ฉะนั้นถ้าใครจะคิดว่าเพื่อสิ่งอื่นหรือมองข้าม ๆ ไปเสียมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ในการที่มาบวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ที่เราพูดกันมาในครั้งที่แล้วโดยใจความว่าอย่างนี้ ถ้าจะเป็นสมณศากยบุตร(05.00)พุทธชิโนรส อะไรกันมันก็ต้องมีความเกลี้ยงเกลา จากสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปทุกที แม้ใครจะตั้งใจบวชเพียง ๓ เดือนมันก็เท่านั้นแหละ มันก็ไม่มีอันอื่นที่จะทำให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ขอให้สนใจเป็นพิเศษ ถึงขนาดที่เราถือเป็นหลักว่า อย่าทำให้ร่างกายนี้เป็นที่อยู่ของปีศาจแห่งตัวกูของกู อย่าให้ร่างกายนี้มันกลายเป็นศาลของภูตผีปีศาจแห่งตัวกู แต่ให้กลายเป็นวิหารสำหรับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะสิงสถิตอยู่ ทีนี้ในวันนี้ก็จะพูดต่อไปโดยหัวข้อที่กำหนดไว้ว่า ทำอย่างไรจิตจึงจะไม่เกิดตัวกูของกู เป็นหัวข้อสำหรับวันนี้ เพื่อจะตอบคำถามที่มันค้างมาแต่คราวก่อน ว่าจะทำให้ปราศจากตัวกูของกูโดยแท้จริงได้อย่างไรหรือยิ่งขึ้นไปอย่างไร สำหรับพุทธศาสนา ทุกคนก็ได้ยินได้ฟังอยู่แล้ว ว่ามีการสอนว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกูหรือของกู นั้นมันเป็นเรื่องหลักของพุทธศาสนาที่จะบอกว่าทุกอย่างเป็นอนัตตา ทีนี้สำหรับเรื่องที่ว่าจิตจะว่างจากตัวกูของกูได้อย่างไรนี่มันคนละความหมาย ถ้าเราจะพูดว่าทุกอย่างเป็นอนัตตาก็หมายความว่าเป็นการบอกให้ทราบถึงไอ้ความจริงที่สุดไม่มีอะไรจริงยิ่งไปกว่านี้ นี่ก็เป็นการบอกสัจธรรมตามธรรมชาติ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โดยความเป็นกฎของธรรมชาติ หรือเป็นตัวธรรมชาติก็ตามใจ แต่มันก็มีประโยชน์ ถ้าเราเห็นไอ้สัจธรรมอันนี้ มันก็จะช่วยให้การทำจิตให้ว่างจากตัวกูได้ เพราะมันก็จะง่ายขึ้นด้วยไม่เพียงแต่ได้อย่างเดียว ฉะนั้นการที่จะพิจารณาถึงข้อที่สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาอยู่เป็นประจำ นี่ก็นับเนื่องอยู่ในการทำจิตให้ว่างจากตัวกูของกูด้วยเหมือนกัน และมีการปฏิบัติโดยหลักอันนั้น ก็คือมีสติในความเป็นสักว่าธาตุอยู่ตามธรรมชาติ นี่ก็คือการสอนให้พิจารณาโดยความเป็นอนัตตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเป็นธาตุตามธรรมชาติ บทปัจจเวกขณ์ ธาตุปัจจเวกขณ์ ที่เราสวดอยู่ทุกวัน ๆ อย่าให้กลายเป็นเพียงสวดเฉย ๆ เหมือนครั้งแรกเรายังจำไม่ได้ก็สวดเพื่อให้จำได้ จำได้แล้วก็สวดไม่ลืม ไม่ลืมแล้วก็สวดเพื่อจะให้นึกไปตามใจความนั้นทุกๆคำที่กำลังสวด เมื่อตั้งจิตใจไว้ดีธำรงจิตใจไว้ดี มันก็จะนึกได้อาจจะเห็นแจ่มแจ้งขึ้นมาได้ในขณะที่มีการสาธยายนั้นเอง ขออย่าได้ทำเล่น เมื่อมีการสวดทำวัตร สวดมนต์ สวดไอ้บทสวดต่าง ๆนี้ เมื่อจำได้แล้วทีนี้ก็ต้องทำจริงมากขึ้นไปกว่านั้นอีก อย่าคิดว่าพอเราจำได้แล้วเราก็ว่าไปตามสบายหลับไปครึ่งหนึ่งก็ยังได้ ก็ยังว่าถูก อย่างนี้ไม่ได้มันเป็นทำเล่น คือต้องพยายามที่จะเข้าใจความหมายนั้นทุก ๆ คำ ทุก ๆ คำ ก็ต้องพยายามทำให้นานพอ เพื่อว่าปะเหมาะเข้าวันดีคืนดี เรียกว่าปะเหมาะเข้าวันหนึ่งคืนหนึ่ง มันมีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่าไม่น่าเชื่อหรือผิดธรรมชาติหรือแสงสว่างที่ทำให้จิตใจมันโล่งออกไปได้ เรื่องนี้อยากจะทบทวนความจำแก่ท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง หรือว่าทบทวนอยู่บ่อย ๆ ที่เรียกว่า วิมุตตายตนะ คือทางมาแห่งวิมุติ นี่มันมีได้หลายอย่าง เป็นว่า ๕ อย่าง ในพระบาลีสูตรหนึ่งก็ว่า เมื่อฟังธรรมอยู่ก็ดี เมื่อแสดงธรรมอยู่ก็ดี เมื่อสาธยายอยู่ก็ดี เมื่อคิดนึกตรึกตรองอยู่ตามปกติก็ดี หรือว่าเมื่อเพ่งภาวนาทำวิปัสสนากรรมฐานโดยเฉพาะก็ดีนี่ ๕ อย่างนี้เป็นโอกาสที่จะเกิดความหลุดพ้นแห่งจิตได้ทั้งนั้น ที่เข้าใจยากก็เช่นว่า เมื่อเราแสดงธรรมอยู่ก็ดี จิตจะเกิดหลุดพ้นขึ้นมาได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราสวดมนต์ประจำวันนี้ สาธยายบทพระบาลีเป็นประจำวันนี้จิตจะหลุดพ้นได้อย่างไร
เมื่อฟังธรรมอยู่ จิตจะหลุดพ้นได้นั้นมันเป็นไปได้ง่าย เพราะเราฟังอยู่รู้เรื่องเข้าใจ รู้แจ้งออกไปได้ แต่เมื่อเราแสดงเอง เราเป็นผู้แสดงธรรมเสียเองพูดเสียเองจิตหลุดพ้นได้อย่างไร นี่ก็เพราะว่าถ้าเราตั้งใจทำจริงๆไม่ทำเล่น ไม่ใช่อ่านหนังสือตะลุยไป เพราะว่าในสมัยครั้งโบราณครั้งพุทธกาลนั้นเขาไม่ได้เอาหนังสือมาอ่านให้ฟัง การแสดงธรรม มันต้องคิดถึงข้อเท็จจริงที่จะพูดออกมาจากภายใน คิดให้ออกมาพูดไป ออกมาพูดไป นี่คิดให้ลึกซึ้งและก็พูดไปให้มันลึกซึ้งยิ่งขึ้นนั่น ทำอยู่อย่างนี้มันกำลังเทศน์หรือแสดงธรรมให้ผู้อื่นฟังอยู่ เกิดโล่งขึ้นมาได้ในการรู้แจ้งแทงตลอดของตัวเอง ทีนี้เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยจะเป็นอย่างนั้น เพราะเรามันอ่านหนังสือกันเสียมั่ง หรือว่าถ้าจะเทศน์ก็ไม่ค่อยจะต้องคิดนึกอะไรลึกซึ้งจากใจจริงข้างในอย่างนั้น เป็นพูดเพ้อ ๆ ไปตามที่ถนัดปากพาทีโวหารเสียมาก มันก็เลยไม่ค่อยจะได้ผลถึงกับเป็นวิมุติในขณะที่แสดงธรรม ในขณะที่สาธยายบทของพระธรรมเหมือนที่เราสวดอยู่นั้นแหละก็เหมือนกัน สวดธาตุปัจจเวกขณ์ก็ดี สวดไตรลักษณ์ธรรมนิยามอะไรก็ดี ต้องสำรวมจิตใจที่จะเพ่งไปตามความหมายของคำที่เราสวด ก็ต้องสำรวมจิตเป็นอย่างดี มันจึงจะน้อมตามไปในความหมายนั้นได้ และต้องทำหลาย ๆหน กว่ามันจะคล่องแคล่ว แล้วประจวบเหมาะคราวหนึ่ง มันจะถึงกับว่าขนลุกซ่าส์ขึ้นมา เพราะความเห็นด้วยอย่างยิ่ง พอใจอย่างยิ่ง เข้าใจอย่างยิ่ง ในความหมายของคำที่สวดนั้นจนถึงกับเป็นวิมุติได้อย่างนี้ก็มี อย่างที่ผมเคยขอร้องเวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น นี้ให้ช่วยทำให้เป็นอย่างยิ่ง ให้จิตกำลังเป็นไปตามธรรม คือตามความหมายของคำที่เรากำลังสวด แรก ๆ บวชก็ทำไม่ได้แต่พอนานเข้า ๆ ทำได้มากขึ้น ฉะนั้นอุตส่าห์ทำให้มันเลื่อนขึ้นไป เลื่อนขึ้นไป อย่าว่าพอสวดได้ก็หลับครึ่งตื่นครึ่งก็ว่าไปได้จนจบ มันก็ไม่ได้ผล โดยเหตุที่เรื่องนี้มันต้องทำให้มากและทำให้จริงให้ลึกซึ้งถึงจิตใจ จึงจะเข้าใจคำว่า อนัตตา ได้ จะช่วยให้กำจัดตัวกูของกูได้ง่ายขึ้นอีกไม่มากก็น้อย การปฏิบัติเรื่องทุกอย่างเป็นอนัตตานี่มันก็มี ก็ได้แก่การที่มีสตินั้นแหละ พูดแล้วพูดเล่าพูดไปพูดมาก็ไม่พ้นไปจากสติ การมีสติอยู่ ไม่หลงไม่ลืมไม่ฟั่นไม่เฟือน ว่าสิ่งทั้งปวงสักว่าธาตุเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจึงเป็นอนัตตาไม่ใช่สัตว์บุคคล มีสติเมื่อสวด และก็เมื่อจะทำอะไรที่เรียกว่าเป็นประจำวัน เพราะการปฏิบัติข้อนี้มันเป็นการปฏิบัติประจำวันอยู่ตลอดวัน ตลอดเวลาเรียกว่าปฏิบัติประจำ ก็หมายความว่ายังไม่มีเรื่องรุนแรงเกิดขึ้น ไม่มีอารมณ์ร้ายเกิดขึ้น ก็ซักซ้อมอยู่แต่ความรู้เรื่องไม่ใช่ตน และก็มีสติควบคุมอยู่ อย่าเผลอไปมีตัวมีตนขึ้นมาเมื่อไหร่อีกก็ได้ นี่เรียกว่ามัน เรื่องคำสอนที่ว่า ทุกอย่างเป็นอนัตตาสำหรับปฏิบัติเป็นประจำอย่างนี้ ทำอยู่ในใจถึงสัจธรรมตามธรรมชาติของธรรมชาติอยู่อย่างนี้ ทีนี้ก็สำหรับที่จะทำจิตให้ไม่มีตัวกูโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะมีรากฐานอยู่บนเรื่องอนัตตา แต่มันต้องทำโดยเฉพาะกรณีนี้ แล้วต้องรู้ว่าตัวกูมันจะเกิดเมื่อไหร่ และเกิดอย่างไร เกิดจากอะไรเป็นต้น ผู้ที่ยังไม่เคยฟังก็เข้าใจเสียเลยว่า ตัวกูนี้ไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นแต่เพียงความรู้สึกปรุงแต่งทางจิตใจ ที่จะเกิดเป็นความมั่นหมายขึ้นมาว่าตัวกูว่าของกู ก็ดูตัวอย่างตัวเองนั่นแหละ เมื่อไม่โกรธก็ไม่เห็นมีตัวกูอะไรที่ไหน เมื่อไม่โกรธพอโมโหขึ้นมา เอ้า, ตัวกูก็พร้อมกันขึ้นมากับการโมโห นี่เรียกว่าตัวกูมันเพิ่งเกิด ที่มันจะรักจะอะไรอย่างเป็นของกู อย่างสุดชีวิตจิตใจ มันก็เป็นของกูต่อเมื่อมันเกิดความรู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาธรรมดาเราก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่าของกู ทุกอย่างที่เราอาจจะถือว่าเป็นของเราขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ตามธรรมดาก็ไม่ได้ถือ แม้แต่ชีวิตนี้ก็ไม่ได้มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตนี้ของกู ชีวิตนี้ของกู ชีวิตนี้ของกู ถ้ารู้สึกอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องเป็นโรคเส้นประสาทเป็นบ้า ความรู้สึกว่าตัวกูเพิ่งเกิดต่อเมื่อได้เหตุได้ปัจจัยสำหรับจะเกิด เกิดความรัก เกิดความเสียดาย เกิดความหึงหวง เกิดความอะไรขึ้นมา นี่มันเพิ่งเกิดนะ เมื่อมีอารมณ์ทำให้เป็นอย่างนั้น นี่คือข้อที่ว่าทั้งตัวกูทั้งของกู เป็นสิ่งที่เพิ่งปรุงแต่งขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วแต่เวลา แล้วแต่โอกาส แล้วแต่สิ่งแวดล้อมมันเข้ามา
แต่ถึงอย่างไร มันก็ได้อาศัยเหตุทุนนอน คือว่าความเคยชินที่จะเกิดตัวกู ที่เรียกว่าอาสวะ หรืออนุสัย มันอยู่แล้ว ความเคยชินเป็นตัวความเคยชินคือว่าระบบนี้ทั้งร่างกายจิตใจอะไรหมดนี่มันมีความพร้อมที่จะ ปรุงกันขึ้นเป็นรูปของตัวกูของกู เป็นความรู้สึกคิดนึกขึ้นมา ฉะนั้นมันจึงเกิดได้ง่าย และเราก็ไม่เคยสนใจว่ามันจะเพิ่งเกิด หรือมันจะเกิดจากอะไร จะเกิดได้โดยวิธีใด เราก็ไม่ได้สนใจ ชีวิตของเราก็ผ่านมาจนอายุเท่านี้แล้ว ๓๐ ปี ๔๐ ปี๕๐ ปี ๖๐ ปี ก็ตามใจ ก็ไม่เคยสนใจที่จะดูมัน โกรธก็โกรธ หายโกรธก็หายโกรธ บางทีก็กลบเกลื่อนไปด้วยเรื่องอย่างอื่น ไม่ได้แก้กันด้วยธรรมะอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ใช่เล็กน้อย และก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ใหญ่ ใหญ่น้อยๆ หรือว่าไม่ใช่สำคัญน้อย ๆ สำคัญมาก มันไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นนั่นแหละ ไอ้เรื่องการปฏิบัติอย่างอื่นนั่นมันปลีกย่อยหรือฝอยทั้งนั้นแหละ จะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างโน้นชนิดที่มันเห่อ ๆ ตามๆกันไปนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยทั้งนั้น ไอ้เรื่องสำคัญแท้จริงอยู่ที่ระวังไม่ให้ตัวกูเกิด เกิดแล้วก็ต้องหยุดได้ดับได้ทันที ถ้ามันเผลอไปบ้างแล้วก็ไม่ให้เกิดได้ดีกว่า เอาใจใส่แต่เรื่องนี้ จะอยู่ที่ไหน จะทำอย่างไร เวลาไหน ระวังแต่เรื่องไม่ให้มันเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู เป็นเรื่องเดียวเท่านั้น ทำกรรมฐานทำวิปัสสนาก็เพื่อผลอันนี้ จะไปธุดงค์ จะไปทำอะไรที่ไหนมันก็เพื่อเรื่องนี้ ฉะนั้นจึงเลิกพูดเรื่องอื่นหมด ว่าจะอยู่อย่างไง ที่ไหนเมื่อไหร่ก็ต้องมีสติที่จะไม่ให้เกิดตัวกูของกูอยู่เรื่อยไป เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่เข้มข้นเข้ามา รัดกุมเข้ามา ยังความรู้สึกที่เรียกว่าเป็นตัวกูของกู ฉะนั้นจึงเรียกว่าการพยายามทำจิตให้ว่างจากตัวกูนี่ มันต้องเป็นการปฏิบัติที่ตั้งอกตั้งใจ ทำให้รัดกุมเข้ามาทุก ๆ ขณะทุกๆ เวลาที่มันจะเกิด ที่มันอาจจะเกิด ให้เหมือนกับเราจะพิจารณาเป็นกลางๆ เผื่อไว้ว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนั้นเมื่อมันยังไม่มีเรื่องอะไรที่มีวี่แววว่ามันจะเกิดขึ้นมา เห็นแค่ว่ามันเป็นเรื่องที่มีวี่แววว่าจะเกิดขึ้นมา เราก็จะรู้สึกผิดปกติในจิต หรือว่าเมื่อเราจะเข้าไปใกล้บุคคลนี้ เข้าไปสู่สถานที่นี้ จะเห็นรูปร่างของคนนี้ จะฟังเสียงของคนนี้อะไรเป็นต้น นั่นแหละระวัง เรื่องมันแคบเข้ามาถึงขนาดที่อาจจะเกิดตัวกูได้ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าการทำจิตไม่ให้เกิดตัวกูนี้ มันเป็นเรื่องการปฏิบัติเฉพาะหน้า เฉพาะหน้าคือเฉพาะอารมณ์ เฉพาะอารมณ์นั้น ๆ สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ ถ้าเคยเรียนนักธรรมกันมาแล้วก็จะรู้ว่าอารมณ์จะเข้ามาทางตา อารมณ์จะเข้ามาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวกาย ทางใจเอง ไอ้ ๕ อย่างนี้เรียกว่าจากทางข้างนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย จากทางข้างนอกเข้ามาสู่ข้างใน ทีนี้ส่วนใจนั้น ที่เข้ามาทางใจเองมันเป็นภายในล้วน คือใจจะต้องเก็บมาจากข้างใน จากสัญญา จากเวทนา จากความคิดอะไรก็ได้ โดยมากที่สุดก็จากสัญญาในอดีตทั้งนั้น ฉะนั้นเรียกว่าเป็นการปฏิบัติเฉพาะหน้าอารมณ์ ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องอารมณ์ภายนอก ในอารมณ์ภายนอก ๕ อย่างคือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวกายนี้ คุณลองใคร่ครวญ ทบทวนความจำหรือว่าใคร่ครวญในปัจจุบันนี้ก็ตาม ว่าใน ๕ อย่างนี้อันไหนมันทำความยุ่งยากลำบากให้แก่เรามากหรือเป็นปัญหามาก สำหรับผมรู้สึกว่า ไอ้ทางตา กับทางหูนี่ เป็นปัญหามากกว่าทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางผิวหนัง นี่พูดถึงว่าอยู่อย่างพระเรานะ ไม่พูดถึงชาวบ้าน แม้ชาวบ้านก็คล้าย ๆ กัน เมื่อพูดกันแต่ ๕ อย่างจากข้างนอกคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่พูดถึงใจนะ ก็ตากับหูนี่มันจะเป็นตัวทำความยุ่งยากเพราะมันเห็นอยู่ตลอดเวลา หูมันก็ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ทีนี้จมูกมันนาน ๆ ครั้งหนึ่งที่มันจะไปดมอะไรหรือไปได้กลิ่นอะไรเข้า ลิ้นก็เหมือนกันนะ มันนาน ๆครั้งหนึ่งในวันหนึ่งมันจะมีเรื่องเกี่ยวกับลิ้น ที่ผิวหนังมันก็จะมีอะไรมากระทบผิวหนังของเราในทางสัมผัสรุนแรงนะ มันนาน ๆ มันจะมีมาสักที ยิ่งเราเป็นพระเราก็ยิ่งไม่ค่อยจะมี แต่เรื่องตากับหู ๒ อย่างทีแรกนี่มันมีมาก แล้วมันเป็นเรื่องที่มีได้ง่าย มีได้รวดเร็ว ฉะนั้นจึงถือว่าจัดการกับไอ้เรื่องทางตา ทางหู ที่มันเป็นพิเศษ กว่าอีก ๓ ทางที่เหลือ ที่จริงมันต้องจัดทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ทั้ง ๖ ทางมันต้องจัด แต่เดี๋ยวนี้เรามาดูกันว่าไอ้ทางไหนที่มันทำความยุ่งยากประจำวันมาก คือทางตากับทางหู นี่ตามความรู้สึกของผม ตามันเห็นตามธรรมดานี้ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปเห็นสิ่งที่มีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นคนที่เราไม่ชอบหน้า ก็คิดดู เห็นคนที่เราไม่ชอบหน้า แล้วก็อย่างเห็นคนที่เราสงสัยว่าจะเป็นอันตรายเป็นศัตรู กระทั่งไปเห็นวิสภาคารมณ์เรื่องเพศตรงกันข้าม สตรีเพศอะไรอย่างนี้ เมื่อไปบิณฑบาตหรือเมื่อไปที่ไหนก็ตามใจ การเห็นอย่างนี้มันมีได้มากที่สุด ง่ายที่สุด รวดเร็วที่สุด รุนแรงที่สุด แม้มันจะยังไม่เป็นไปเพื่อความรัก หรือความเกลียด ความโกรธ มันก็ยังเป็นที่ตั้งของความฉงนสนเท่ห์ นี่พูดพอเป็นทางให้เก็บไปสังเกตตัวเอง คอยระวังให้ดี ไอ้เรื่องทางตานี้ มันง่าย มันบ่อย มันทั่วไปทุกหนทุกแห่ง ยิ่งเดี๋ยวนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งจะมากหรือรุนแรงขึ้น โดยดูภาพที่เขาพิมพ์เป็นหนังสือ บ้า ๆ บอ ๆ นั้นบ้าง หรือพวกที่มีโทรทัศน์บ้าง มีอะไรบ้างก็ไปดูกันสิ มันก็เพิ่มให้มากขึ้นอีกกว่าที่จะเห็นกันอยู่ตามธรรมชาติ นี่หนังสือชนิดนี้ที่มันเกลื่อนไปหมด รูปภาพ รูปถ่ายรูปอะไรก็ยังมีอีกเยอะแยะ ล้วนแต่เป็นเรื่องทางตา นี่จะทำลายความเป็นภิกษุไม่ทันรู้ตัวก็ได้ ซึ่งถัดมาก็เรื่องทางหู ทางหูมันจะได้รับเสียงอยู่เสมอ หูเราได้รับเสียงเสมอ ในเมื่อจมูกยังไม่ได้กลิ่นอะไรสักที หรือเมื่อลิ้นมันยังไม่ได้รู้รส ดื่มกินอะไรสักที ผิวหนังก็ยังไม่มีอะไรมากระทบ นอกจากไอ้ลมบ้าง ร้อน ๆ หนาว ๆ นี้ก็ไม่เป็นไร มันยังไม่มีสัมผัสของเพศตรงกันข้าม ของวิสภาคารมณ์อะไรเข้ามา จนบางทีมันก็ไม่มีมาสำหรับการเป็นอยู่อย่างแบบนักบวชนี้ แต่เรื่องตาก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว ไอ้เรื่องหูก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล้วได้มากเหมือนกัน
พอเราได้ยินเสียงที่ไม่น่าฟังของคนบางคนพูด ไม่รู้จักว่าเป็นใครสักที ก็ชักจะเกลียดหรือโมโหถ้ามันไม่น่าฟัง เรามักจะพูดว่ามัน โง่จริง เบ่งจริงไอ้นี่ มันรู้สึกอย่างนี้เสียแล้ว ใครก็ไม่รู้มาพูดถ้อยคำนี้มาประโยคเดียวเราก็เกิดตัวกูของกูออกรับแล้ว ทีนี้ถ้าว่าเรามีความไม่ชอบใครอยู่บางคน พอได้ยินเสียงคนนั้นเท่านั้นแหละ หรือแม้แต่ได้ยินเสียงใครที่มันคล้ายกับเสียงคนนั้นเท่านั้นแหละ จิตมันก็หวั่นไหวหมด มันก็เป็นไปในทางเกิดตัวกูของกูที่จะเกลียดที่จะโกรธ นี่มันมีมากมันมีได้ง่าย คนที่โกรธที่เกลียดกันอยู่นี้ก็มีปัญหา แม้คนที่ไม่ได้โกรธได้เกลียดกัน แต่ถ้าพูดอะไรไม่ๆๆน่าจะจับใจแล้วมันก็โกรธได้ทันที มันจะออกมาดูหน้ามันว่าใครเป็นผู้พูด ถ้ามันเป็นเรื่องเพศตรงกันข้ามเป็นวิสภาคารมณ์ ก็คือมันตรงกันข้าม เป็นสตรีเพศมีเสียงไพเราะอยู่ ส่งเสียงไพเราะอยู่อะไรก็ตาม แม้แต่ในวิทยุอะไรก็ตาม มันก็ถูกความรู้สึกเป็นตัวกูของกู ไปในทางความรักความกำหนัดอะไรได้ในเสียงนั้น เดี๋ยวนี้มันก็หาอะไรง่ายสำหรับเรื่องเสียง เสียง จึงมาเป็นปัญหามาก รองคอ(30.47)ไอ้เรื่องรูปทางตา นี่มาถึงเรื่องทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย นั้นก็ มันก็ยิ่งรองลงไปอีก คือปัญหามันน้อยลงไปอีก คือมันมีเวลาที่จะพักผ่อนมาก มันจะพอเตรียมเนื้อเตรียมตัวทัน เพราะว่าเราจะกินจะฉันในทางปากนี้วันหนึ่ง ๒หน ๓หนเท่านั้น มันก็พอจะตั้งปฏิสังขาโยอะไรทัน มันก็ค่อยยังชั่ว ฉะนั้นเราจึงระวังเรื่องตาเรื่องหูนี่มากเป็นพิเศษที่จะเกิดตัวกูของกู ปึ๊บ! ขึ้นมาในจิตใจไม่ทันรู้และมีมากๆเรื่องเสียด้วย นี่รู้ไว้ว่าไอ้เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้เป็นช่องทางเป็นทางมาเป็นอะไรที่จะให้เกิดตัวกูของกู
ทีนี้สำหรับเรื่องที่เป็นทางจิตนี่ มันก็อาศัยไอ้เรื่องที่เคยเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่กาลก่อน ที่เก็บไว้ในสัญญา นี้มันก็ๆเรียกว่าลำบาก หรือยากเหมือนกัน คือมันง่ายนะ มันง่ายต่อการที่จะเกิดกิเลสเกิดตัวกู เพราะใจมันก็เร็วอยู่แล้ว แล้วมันสะสมอารมณ์อะไรไว้มาก ถ้ามันเกลียดใครก็มันสะสมไอ้ความเกลียดนั้นไว้มาก มันรักใครมันก็สะสมความรักนั้นไว้มาก พอนอนลงหลับตาแล้วดับไฟแล้วมือก่ายหน้าผากมันก็จะนึกไปได้ทันที โดยเอาสัญญานั้นเป็นอารมณ์ สัญญานั้นก็ล้วนแต่เคยผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กายมาแล้วทั้งนั้น มาเก็บไว้เป็นสัญญาคือความจำได้นั้น เรื่องทางใจก็จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากน่าอันตรายมาก สมกับที่จัดเอาไว้เป็นเรื่องสุดท้ายนะเรื่องที่ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กายเป็น ๕ เรื่อง ใจเป็นเรื่องที่ ๖ ธรรมารมณ์นั้นเกิดได้ง่ายเพราะว่าธรรมารมณ์นี้ก็เป็นพวกนามธรรมพวกจิตใจด้วยกัน มันถึงไวด้วยกัน อารมณ์ก็ไว มโนที่จะเป็นผู้รับก็เป็นพวกไว เป็นลักษณะไวอยู่แล้ว จึงจะต้องถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด พอพูดถึงระวัง ระวัง เราก็จะหมายถึงระวังจิตนี้ ระวังใจ ระวังจิตนี้ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กายนี้มันรองลงไป ระวังจิตเป็นที่ ๑ ระวังตา หูเป็นอันดับที่ ๒ ระวังจมูก ลิ้น กายเป็นลำดับที่ ๓ ตามความรู้สึกของผมนะรู้สึกอย่างนี้ ขอให้ไปสังเกตดู คิดดู ใคร่ครวญดู เพราะว่าถ้าเรารู้ความจริงอะไรบางอย่างนะมันง่ายขึ้นในการปฏิบัติ ถ้าเราไม่สนใจไม่รู้ความจริงตีขลุมไปหมด อะไรเป็นอะไรมันก็ทำละเมอ ๆ เพ้อฝันงมๆ งาย ๆ มันก็ไม่ได้ผลดี เราจะต้องตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับสิ่งที่มันร้ายแรงมากที่สุด แล้วก็เพลาลงมาตามลำดับสิ่งที่ไม่ร้ายแรง ทางใจกับธรรมารมณ์ล้วน ๆ ก็ร้ายแรงอยู่แล้ว ทีนี้ทางใจที่มันเข้ามาทางรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ในปัจจุบันอีกมันก็ร้ายแรงอีก ทางตาเห็นหน้าเท่านั้น ทางหูก็ได้ฟังเสียงไอ้หมอนั่นเท่านั้น มันก็ปรุงใหม่เป็น ชั้น ๆ ชั้น ๆ กันเป็นเรื่องทางใจลึกเข้าไป มันผนวกกันเข้าเป็น ๒ กำลัง คือแต่เดิมก็มีความจำอยู่แล้วเป็นทางจิตอยู่แล้ว ว่าไอ้คนนี้มันเป็นศัตรูส่วนของใจ ทีนี้พอมาเห็นหน้ามันที่นี่อีก ก็เป็นเรื่องของตาซึ่งส่งไปยังใจอีกมันก็เลยได้ ๒ กำลัง ๒ เท่า ๓ เท่ามันก็รุนแรง นี่เรื่องมันเป็นอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขออย่าได้ถือว่าเอาเรื่องที่น่ารำคาญมาพูดและพูดเซ้าซี้ไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำไมไม่ปล่อยให้ทำอะไรตามสบาย นี่ก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรนอกจากนี้ที่เป็นเรื่องของพรหมจรรย์ ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์นะในพระพุทธศาสนามันไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องนี้ คือระวังอย่าให้กิเลสเกิดขึ้น ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันมีเท่านี้มันไม่มีอื่น ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ก็ไม่มีการประพฤติพรหมจรรย์ เดี๋ยวก็ไม่ต้องเป็นพุทธบุตรพุทธชิโนรสอะไรกันเสียอีก มันต้องยอมแม้จะลำบากบ้างเหน็ดเหนื่อยบ้าง มันเป็นเรื่องไม่น่าสนุกบ้างก็ตามที ต้องใจใส่ระวังกับเรื่องนี้แหละเป็นเรื่องที่ ๑ เรื่องอื่น ๆ ก็ตามเรื่องมัน จะช่วยกันทำประโยชน์อย่างนั้น อย่างนี้ เรื่องวัด เรื่องวา เรื่องเพื่อน เรื่องฝูง เรื่องที่ควรทำอื่นๆ นะมันต้องถือว่าเป็นเรื่องที่รองไปจากนี้ และเรื่องเหล่านั้นต้องไม่มา ต้องไม่หวนกลับมาเป็นการทำลายเรื่องๆที่สำคัญที่สุด คือเรื่องที่ว่าประพฤติพรหมจรรย์ไม่ให้เกิดตัวกูของกูขึ้นมาตลอดทั้งวันทั้งคืนนี้ เรื่องยอมเสียสละให้เรื่องที่สำคัญน้อย เพื่อรักษาเอาเรื่องที่สำคัญมากไว้ จึงจะถูกต้องตามหลักของการที่จะทำจิตไม่ให้เกิดตัวกูของกูได้สำเร็จตามความประสงค์ ทีนี้สำหรับการปฏิบัติ เกี่ยวกับการเกิดขึ้นของแห่ง เกี่ยวกับไม่ให้เกิดตัวกูของกูนี้ ที่เป็นตัวการปฏิบัติโดยตรงก็มีไว้ชัดอยู่ในแล้วเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาทว่าเกิดขึ้นอย่างไรและจะดับไปอย่างไร เช่น ปฏิจจสมุปบาทนี้ มันเป็นเรื่องที่ละเอียด ขยายละเอียดเป็นเรื่องยืดยาวไปอีกเรื่องหนึ่ง พูดกันได้กี่วัน กี่เดือน ก็ไม่ค่อยจะจบได้ แต่ใจความของเรื่องนี้นิดเดียวเท่านั้น คือระวังไม่ให้เกิดตัวกูของกู ระวังที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และก็ไม่ให้เกิดตัวกูของกูขึ้นมาได้ นี้คือเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท โดยหลักปฏิบัติมีเท่านี้นิดเดียวเท่านี้ ถึงจะขยายออกไปว่าปฏิบัติอย่างไรมันก็ไม่มากมายนัก แต่ถ้าให้มันเป็นปฏิจจสมุปบาทฝ่ายหลักวิชา หรือทฤษฎี หรือ ปรัชญา นั้นแหละ พูดกันกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ยากที่จะจบได้ เพราะมันเป็นเรื่องปริยัติ ทฤษฎี ปรัชญา ไปทางโน้น แต่ถ้าให้เรื่องปฏิจจสมุปบาทอันมากมายนั้นมาเป็นเรื่องปฏิบัติแล้วก็ไม่มีอะไรอีก วกเข้ามาหาเรื่องที่ว่านี้ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้จิตปรุงแต่ง ปรุงแต่ง จนเกิดตัวกูเร่า ๆ อยู่เป็นทุกข์ก็มีเท่านั้นเอง เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ได้เคยพูดแล้ว ที่พิมพ์เป็นหนังสือก็มีแล้วก็หาอ่านตามความจำเป็น แต่สำหรับหัวใจก็มีอยู่แต่เพียงว่า เมื่อตาเห็นรูป ยกตัวอย่างใน ๖ อย่างนั้น ยกตัวอย่างด้วยตา เมื่อตาเห็นรูปก็รู้ เกิดความรู้แจ้งทางตาขึ้นมาเรียกว่าจักษุวิญญาณ จะเรียกว่าตาเห็นรูป หรือตากระทบรูป หรือตาอะไรกันกับรูป ก็สุดแท้มันจะเกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่าจักษุวิญญาณ คือวิญญาณทางตา นี้ก็ขอให้ทำในลักษณะที่ว่าเป็นเรื่องจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องท่อง อะไรคือรูป อะไรคือตาข้างในและมาพบกันเข้า และก็ทอดสายตาไปเห็นอย่างนี้ ก็จะเกิดการเห็นแจ้งทางตาขึ้นมา ความเห็นแจ้งส่วนนี้เรียกว่า จักษุวิญญาณ หรือคุณสังเกตดู หรือใคร่ควรดู ว่ามันเร็วเท่าไหร่ มันยิ่งกว่าสายฟ้าแลบกระมัง ที่อาศัยรูปกับตากระทบกันแล้วเกิดจักษุวิญญาณขึ้นมานี้มันจะเร็วกว่าสายฟ้าแลบ ที่จะไม่ให้มันเกิดนั้นดูจะไม่ๆได้ ที่จะไม่ให้เกิดจักษุวิญญาณขึ้นมานั้นมันไม่ได้ และมันก็เร็วมากยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ เกิดจักษุวิญญาณนี้ มันไม่ได้หยุดอยู่ เพียงว่าจักษุวิญญาณต่อไปมันจะปรุงกันเรื่อยไป คือว่าการพบกันระหว่างสิ่งทั้ง ๓ นั้นก็เรียกว่าผัสสะ ตาอันหนึ่ง รูปอันหนึ่ง จักษุวิญญาณอันหนึ่ง ๓ อันนี้พบกันเข้า พร้อมกันเข้า ประจวบกันเข้านี้เรียกว่า ผัสสะ ตอนนี้มันก็เร็วติดกันไปเลยเหมือนกันยิ่งกว่าสายฟ้าแลบมันเป็นผัสสะเสียแล้ว ทีนี้จากผัสสะนี้ก็จะมีเวทนา นี้เราพอจะรู้สึกทันว่าเวทนาอะไร เวทนาทางตาก็มีว่าสบายตาหรือไม่สบายตา มีเท่านั้นเอง สวยแก่ตา หรือไม่สวยแก่ตามี ๒ อย่างนั้นคือเวทนา นี้เวทนามันเกิดนี่มันไม่ได้ มันจะเกิดเร็วอย่างสายฟ้าแลบก็ตามใจเถอะ แต่มันเห็นอยู่ทีเดียว มันจะรู้สึกได้อยู่ทีเดียวว่าเป็นเวทนา ต่อไปมันจะปรุงเป็นตัณหา นี้มันก็มีว่าจะเป็นเวลายาวนาน ยาวหรือสั้น กี่มากน้อยกว่าที่มันจะปรุงเป็นตัณหาได้ ถ้าเรื่องมันไม่รุนแรงนัก มันก็กินเวลานานหน่อย แต่ถ้าเรื่องมันรุนแรงร้ายกาจมันก็แป๊บเดียวไปเป็นตัณหาได้เหมือนกัน ฉะนั้นเราจึงสังเกตเห็นได้ว่าบางคราวเราก็จะทำต่อเวทนานั้นนะ ทำไปตามเวทนานั้นรวดเร็วรุนแรงมาก เช่นเห็นเขาแสดงอะไรที่น่าเกลียดน่าชังกับเรา เราก็เกิดความโกรธรู้สึกเกลียดและก็มีอะไรสวนกลับออกไปนั้น ตัณหามันก็ซ่อนอยู่ในระหว่างนั้นแหละ เพราะมันเป็นเวทนาร้ายหรือเลวแก่เรา เกิดตัณหาชนิดที่จะต่อสู้จะฆ่ามันเสีย บางทีมันก็ยิงปืนไปเลยหรือตีฟันแทงไปเลยมันก็เร็วมาก นี่เรียกว่าอารมณ์มันแรงมาก ถ้าอารมณ์มันไม่สู้แรงมันก็พอจะนึกคิดยับยั้งไตร่ตรองตรึกตรองได้ สำหรับที่มันช้า ๆ นี่เราก็ทำได้แน่ ป้องกันได้แน่ สติมาทัน สติพอจะมาทันที่จะระงับกำจัดไอ้ตัณหาที่จะเกิดจากเวทนานั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องกรณีร้ายแรงรุนแรงรวดเร็วคือเรื่องใหญ่เรื่องหนักนี้มันก็จะเป็นตัณหาไปเลย และเป็นอุปาทานเป็นภพเป็นชาติเป็นความทุกข์ร้อนวูบวาบไปหมดแล้วกว่าจะรู้สึกได้ นี่มันยากหรือง่ายลองคิดดู ถ้าไม่มีการห้ามล้อไว้ในทีแรก ๆคือสติมีมากพอ ห้ามล้อไว้ตั้งแต่ทีแรก ๆ แล้วมันก็ยาก ที่ว่าเราจะบังคับมันได้เพราะมันเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ อุบายมันจึงมีไปในทางว่ามีสติล่วงหน้าไว้มาก ๆ ว่าเราจะได้ต้องได้ยินเสียงอันนั้นอีกแล้ว จะต้องเห็นภาพอันนั้นอีกแล้ว เข้าไปในที่นั้นจะต้องเห็นอันนั้นอีกแล้ว มันก็มีเผื่อไว้มันก็ช่วยได้มาก คือคิดล่วงหน้าไว้ลับหลังก็คิดล่วงหน้าไว้มันก็ช่วยได้มาก หรือว่าต่อมาไอ้ลับหลังอีกก็พยายามที่จะแก้ไขไอ้ภายในความโกรธ ความพยาบาทหรืออะไรที่มันเกี่ยวกับสิ่งนั้น เรื่องนั้น คนนั้น ให้มันจาง ๆ ไปเสีย
แม้ที่สุดแต่เรื่องที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ถ้าเรามันคิดไปล่วงหน้า มันก็จะไม่ถึงกับโกรธ แล้วก็ตีกลับไปเลยสวนไปด้วยการตี การฆ่าการอะไรเลยก็ได้ ถ้าเราคิดไว้ล่วงหน้า ฉะนั้นสตินี้มันก็มีประโยชน์เหลือประมาณ สติเฉพาะหน้าก็มีประโยชน์เหลือประมาณ สติลับหลังก็คือเอามาคิดเอามานึกมาพิจารณานึกมาคิดพิจารณาอยู่เป็นประจำนี้ก็มีประโยชน์เหลือประมาณ สติถ้าเผชิญหน้าอย่างหนึ่ง สติเอาเรื่องลับหลังมาคิด เพื่อแก้ไขพวกเราชะล้าง ไอ้ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวอะไรก็ตามนี้ ให้มันจางไป จางไปมันก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง ถ้ามันเกิดตัณหาแล้วมันก็ต้องมีความทุกข์ไปทีหนึ่งก่อน ก็อย่าให้เวทนาทำให้เป็นตัณหา ถ้ามีสติมา มันก็จะระงับได้ พอตัณหาไม่เกิด อุปาทานภพชาตินั่นก็ไม่เกิด ตัวกูก็ไม่เกิด ความทุกข์ก็ไม่เกิด ก็ไม่เกิดตัณหา แต่ถ้าลองเกิดตัณหาแล้วก็อุปาทานภพชาติเป็นตัวกูเกิด กรณีที่เราเคยถูกมาแล้ว เคยผ่านมาแล้ว ก็ต้องระวังให้มากต้องอย่าประมาท พอได้ยินเสียง พอได้เห็นรูปอย่างนั้น หรือพอได้ยินเสียงอย่างนั้นและเราเคยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ทันรู้ตัวนั้นนะ ก็ต้องจำไว้มาก จำไว้ให้แน่นแฟ้นจนละอายมากกลัวมาก จะเพิ่มสติสัมปชัญญะได้มากขึ้น ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นแก้ไขได้อย่างนี้ ถ้าเราจะไปคิดว่าช่างหัวมัน มันมาเท่าไหร่ก็ตอบแทนไปเท่านั้น หรือตอบแทนให้ ๒ เท่า ๓ เท่า ถ้าอย่างนี้แล้วไม่มีทาง ที่ว่าจะกำจัดกิเลสหรือตัวกูของกูได้ และก็ไม่มีทางที่จะประพฤติพรหมจรรย์ด้วย การพยายามป้องกันหรือกำจัดกิเลสที่จะเกิดขึ้นเป็นประจำวันที่ว่าพรหมจรรย์นี่ไม่มีทางที่จะประพฤติ เพราะเรามันเดินทางสวนกันเสียแล้ว มันกลับตรงกันข้าม นี่เกี่ยวกับเรื่องตัวกูของกู มันมีปัญหาที่จะต้องระวังจิตไม่ให้ปรุงเป็นตัวกูของกูขึ้นมา ด้วยอารมณ์ที่เข้ามากระทบเฉพาะหน้าในชีวิตประจำวัน ทุกวัน ๆ มันมีมากพร้อมที่จะเกิดในชีวิตประจำวัน ใครอบรมสติให้รู้เท่าทันป้องกันไว้ได้ทุกเรื่องทุกราว นี้เป็นตัวพรหมจรรย์หรือว่าเป็นไอ้สิ่งสูงสุดของพรหมจรรย์ของบรรพชานี้ นี่ถ้าไปพูดถึงเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องนั้นมันเป็นเรื่องบริวาร หรือเป็นอุปกรณ์หรือเป็นบุพภาค ก็แล้วแต่จะเรียกเพื่อความเป็นอย่างนี้ ถ้าเรามีศีลรักษาไว้ดีมันก็เป็นเครื่องป้องกันด่านหน้าหรือด่านนอกเข้าไว้ทีหนึ่งแล้วไม่ให้เรื่องมันดันข้างในมันรุนแรง ป้องกันไม่ให้เราผลุนผลันมุทะลุหรือป้องกันที่จะไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกันในระหว่างอารมณ์ที่เป็นคู่ปฏิปักษ์กันอย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเรามีศีลเป็นปกติมันก็เป็นการป้องกันด่านรอบนอก ด่านหน้า ด่านบุพภาคอย่างดี ไม่ให้เรื่องเข้าไปถึงจิตใจเต็มที่ หรือจะเป็นเรื่องสมาธิอีก มันก็เป็นเรื่องป้องกันที่ดีขึ้นไปอีก หรือว่าต้านทานที่ดีขึ้นไปอีก เรามีสมาธิก็หมายความเรามีจิตที่อยู่ในอำนาจของเรา เราดึงไว้ได้ที่จะไม่ให้มันไปอย่างนั้น ที่จะไม่ให้มันปรุงแต่งไปอย่างนั้น เช่นเรามีความเมตตาเป็นอารมณ์ เป็นเบื้องหน้าก็รักษาไว้ได้ ฉะนั้นจะไปโกรธ ไปเกลียด ไปอะไรมันก็มีได้ยากความเป็นสมาธิมันก็ป้องกันอีกชั้นหนึ่งอีก ฉะนั้นการที่จะใช้สติปัญญาเข่นฆ่าไอ้ตัวกูของกูหรือกิเลสนี้มันก็ง่ายขึ้น
ฉะนั้นโดยพื้นฐานให้เป็นผู้มีศีลดีไว้ และก็บังคับจิตให้ได้อยู่เสมอเป็นประจำ ฝึกสมาธิเพื่อบังคับจิตให้ได้อยู่เสมอเป็นประจำ การที่จะมีสติสัมปชัญญะอะไรต่าง ๆที่จะป้องกันหรือทำลายไอ้กิเลสประเภทตัวกูของกูมันก็ง่ายขึ้น ง่ายขึ้น แต่ว่าโดยเนื้อแท้โดยหัวใจแล้วมันอยู่ที่การระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดปรุงกันขึ้นตามแนวแห่งปฏิจจสมุปบาท จนเป็นทุกข์คือหัวใจ มีศีลก็ช่วยอันนี้ มีสมาธิก็ช่วยอันนี้ หรือว่าเมื่อเราไม่ได้นึกถึงศีล ถึงสมาธิ แต่เรามีสติปัญญาและก็ระมัดระวังอย่างยิ่ง เพื่อไม่ให้เกิดตัวกูของกูอย่างที่ว่ามาแล้วนี้ นั่นมันเป็นอันว่ามีศีล มีสมาธิ รวมอยู่แล้วเสร็จในนั้นด้วย แต่อาจจะไม่สู้มาก ทีนี้เราอาจจะทำให้มันมีมากเข้าไว้โดยมีศีล มีสมาธิที่ทำอยู่เป็นประจำก็มีมาก การที่จะมีสติปัญญาทำลายตัวกูของกูมันก็มีกำลังมากขึ้น อะไรมันก็พร้อม พร้อมเพรียงกันดี ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญามันพร้อมเพรียงกันดี การที่มีสติมันก็ง่ายขึ้น นี่เรียกว่าทั้งหมดของการที่จะทำจิตให้ปราศจากสิ่งที่เรียกว่า ตัวกูของกูอยู่เป็นประจำวัน เป็นตลอดวันตลอดเวลา ขอให้ถือว่าความเป็นภิกษุหรือความเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์นี้ก็ตามขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เท่านั้น เพราะสิ่งนี้มันจะทำให้เหลว ถ้าว่าจะกว้างออกไปถึงมิใช่เป็นภิกษุคือเป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัทประเภทไหน วรรณะไหนก็ตามมันก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ถึงจะเป็นชาวบ้านอยู่ที่บ้านเป็นอุบาสก อุบาสิกา มันก็มีความมุ่งหมายอยู่ที่อันนี้ ที่จะไม่เกิดตัวกูของกูไปตามภาษาชาวบ้าน แต่ถ้าเป็นภิกษุมันก็ต้องทำมากขึ้นไปอีก ถ้าเราดูให้ดีแล้วเรื่องศีลมันก็เป็นเรื่องกำจัดหรือป้องกันไอ้ตัวกูของกูไปตามแบบศีล สมาธิมันก็ข่มไว้ซึ่งตัวกูของกูตามแบบของสมาธิ หรือจะเรียกว่าธรรมะกับวินัย อย่างปาฏิโมกข์ วินัยปาฏิโมกข์นี่ไปดูเถอะ ทุก ๆ สิกขาบทนะก็มุ่งหมายเพื่อจะป้องกันบ้าง กำจัดบ้าง บรรเทาบ้าง ข่มขี่บ้างซึ่งตัวกูของกูทั้งนั้นแหละ เพราะว่าสิกขาบททุกข้อจะต้อง อย่างน้อยก็ต้องเป็นไปเพื่อมีสติไม่ลืมหลงในสิ่งที่เป็นหน้าที่เป็นอะไร การที่มีสติไม่ลืมหลงนี้มันเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่เราจะใช้ป้องกันไอ้การเกิดขึ้นแห่งตัวกูของกูในจิตใจ โดยเฉพาะวินัยที่เป็นไปเพื่อความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย เมื่อภิกษุเป็นผู้ว่ายาก ว่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักฟัง เอามาตักเตือนในสงฆ์ก็ยังไม่ฟัง ท่านก็ปรับอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งไม่ใช่เป็นอาบัติเล็กน้อยนะ เพราะความเป็นผู้ว่ายาก ก็คิดดูสิไอ้ความว่ายากมันคืออะไร มันคือตัวกูของกูที่ไม่ยอม ไม่รู้จักยอม ความกระด้างความไม่ยอม เรียกว่าความว่ายาก ไม่ละเสียวินัยก็จะปรับอาบัติสังฆาทิเสสซึ่งรองจากอาบัติหนักที่สุด ถึงแม้ที่สุดแต่ระเบียบวินัยอื่นๆ ที่ให้เป็นผู้ยอม เป็นผู้อันนี้ก็มันมุ่งหมายกำจัดตัวกูของกูอยู่แล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งปวารณา ถ้าใครปฏิบัติได้ดีในเจตนารมณ์ของปวารณา วันออกพรรษานั้นหมายความว่าจะบีบหรือจะว่าจะบรรเทา จะกำจัดไอ้ตัวกูของกูหยาบๆ ที่เคยเกิดนั้นได้เป็นอย่างมาก ทำปวารณาแล้วก็ไม่ให้เถียงไม่ให้ค้านไม่ให้ปริปาก การที่จะเถียงขึ้นมาจะปริปากขึ้นมา ก็เพราะอำนาจแห่งตัวกูของกู นี้เป็นเพียงตัวอย่างที่มาให้เห็น แสดงให้เห็นนั้นแหละ ยกตัวอย่างกันเท่าไหร่มันก็ไม่หมด อันนี้ยกตัวอย่างพอให้เห็นว่า แม้แต่วินัยมันก็เป็นการบีบคั้น บรรเทา กำจัดอะไรไปตามหน้าที่ของวินัยเสียได้ซึ่งตัวกูของกูอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนทางธรรมนั้นไม่ต้องพูดแล้ว มันเป็นเรื่องโดยตรงเฉพาะเรื่องธรรมทั้งหลายจะมุ่งหมายจะกำจัดกิเลสโดยตรง เช่นว่าเราจะเจริญกรรมฐานวิปัสสนาอันนี้ก็เพื่อกำจัดแห่งกิเลสโดยตรง ทุกกิเลสเมื่อรวมอยู่ที่ตัวกูของกู โดยเฉพาะเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไปทำเข้าเถอะ มันก็จะทำลายบ้าง บรรเทาบ้าง ขุดรากซึ่งตัวกูของกู เรื่องธาตุปัจจเวกขณ์ นี่ก็ทำอยู่เป็นประจำเข้าปฏิบัติธรรมในจิตใจไม่ใช่ว่าสวดเฉยๆ มันก็ขุดรากตัวกูทีละน้อย ๆ ขุดรากความเหนียวแน่นเป็นนิสัยแห่งตัวกูของกูนี่ให้มันจางลงอ่อนลง สูงสุดมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าสุญญตา ดูความว่างจากตัวตนของตน เพื่อตัวกูของกูในทุกระดับ ดูอยู่ด้วยความเป็นของว่างอยู่เสมอ เรียกว่าสุญญตานุปัสสนา สุญญตาภาวนาอะไรก็ตาม นี่มันสูงสุดถึงสุญญตาเท่านั้นนะ มันก็เพื่อจะเอาไฟเผาเชื้อแห่งตัวกูของกูให้มันหมดไป มันในลักษณะที่ว่าข่มขี่บ้าง บรรเทาบ้าง ป้องกันบ้าง ตัดอาหารมันเสียบ้าง หรือขุดรากมันเสียบ้าง กระทั่งในที่สุดเอาไฟเผาให้เป็นควัน เป็นอากาศไปเลยมันก็หมด นี่รวมความว่ามันเป็นวิธีอย่างนั้น ทั้งโดยตรง ทั้งโดยอ้อม ทั้งโดยพอปานกลางสถานประมาณหรือว่าโดยอย่างยิ่งเต็มที่ ก็สุดแท้แล้วแต่ว่ามันจะทำได้อย่างไร ที่เราจะต้องกระทำอยู่ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน มีเป้าหมายที่กำจัดอันนี้ และจะมีศีล มีสมาธิเข้ามาหาเองจะลากเข้ามาเอง ศีล สมาธิ หรืออะไรก็ตาม จะถูกปัญญาที่กระทำไว้ถูกต้องนี้ ลากเข้ามารวมอยู่ด้วยเสร็จ อาจจะมาในฐานะเป็น เป็นรากฐานก็มี เป็นหนุนส่งข้างหลังก็มี เป็นเบื้องหน้าก็มี แล้วแต่ที่จะใช้มันเป็นหน้าที่อะไร อะไร แม้ว่าเราไม่ตั้งใจจะใช้ไม่มีเจตนาจะใช้ธรรมชาติจัดของมันเอง มีศีล มีสมาธิ มีสติ มีอะไรเข้ามา มันก็ต่างคนต่างทำหน้าที่ ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง อะไรตามเรื่องของธรรมะนั้น ๆ แล้วธรรมะข้อเดียว อย่างเดียวมันยังแยกออกไปได้เป็นหลาย ๆชั้นหลายๆส่วน นี่คนเดียวทำหลายหน้าที่ อย่างสิ่งที่เรียกว่าสตินี้ทำหน้าที่ได้มากมายเหลือเกิน ข้างหน้า ข้างหลัง ข้างบน ข้างล่าง อดีต อนาคต ปัจจุบัน มันทำได้ เรื่องของสติ แต่ทุกอย่างต้องมารวมงานกันอยู่กับปัญญา ที่จะมองเห็นความจริง เรียกว่าเห็นทุกสิ่งตามที่เป็นจริงว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวเราของเรา หรือโดยเป็นตัวกูของกู แล้วแต่จะเรียกด้วยอารมณ์อันไหน ถ้ายังเป็นเพียงตัวเราของเรามันไม่ค่อยรุนแรง มีความทุกข์น้อยหน่อย ถ้าเป็นตัวกูของกูแล้วมันทุกข์เต็มที่ เหมือนกับไฟเผาคือตกนรกทั้งเป็น เป็นนรกกันขึ้นมาเวลานั้นนะ นี่ขอให้ทุกคนเอาไปพิจารณาดูเถอะ ว่าไอ้เรื่องตัวกูของกูนี้มันเป็นเรื่องทั้งหมดในพระพุทธศาสนาหรือมิใช่ ถ้ามองเห็นก็จะเห็นว่ามันใช่หรือมันจริงอย่างนั้น สมกับเป็นเรื่องที่เราจะต้องเอามาพูดกันเป็นประจำอย่างที่เรียกว่า ธรรมปาฏิโมกข์ จะได้พูดกันทุกวันพระ ทุกวันนี้ วันธรรมสวนะ วันพระ วันอุโบสถก็แล้วแต่จะเรียก อย่างวันนี้เป็นวันพระ ทำปาฏิโมกข์ทางวินัยอยู่เป็นประจำ ก็ถือโอกาสซ้อมปาฏิโมกข์ในส่วนธรรมะ เช่นเดียวกันด้วย ธรรมปาฏิโมกข์ นี้ ผมยังคิดว่ามันจะไม่เป็นที่รำคาญมากเหมือนกับวินัยปาฏิโมกข์ก็ได้ เพราะว่าวินัยปาฏิโมกข์เราต้องตรวจซ้ำอยู่นั่นทุกตัวอักษรตรวจซ้ำ แล้วยังสวดเป็นภาษาบาลี บางทีก็ บางองค์ก็ฟังไม่ค่อยถูกแล้วก็ต้องซ้ำ เราก็ยังทำได้นี่ เรายังทำกันได้ ขยันลงปาฏิโมกข์กันเป็นประจำทำกันได้ เรื่องธรรมปาฏิโมกข์มันน่าเบื่อน้อยกว่านั้นเพราะฉะนั้นก็ควรจะทำกันได้ ขอให้สนใจทำ ถ้าเผอิญว่าผมมิได้มาพูด ก็พูดกันเอง พูดเอาเอง คิดนึกเอาเอง สอบสวนทบทวนเอาเองก็ยังได้ เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์นี่จะต้องทำกันอยู่เสมอ ถ้าเก่งจริงก็จะต้องทำทุกวัน ทุกวัน การพิจารณาธาตุปัจจเวกขณ์เป็นต้นนั้นนะ ก็ทำปาฏิโมกข์ชนิดหนึ่ง ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน บางคนก็ขยันทั้งหัวค่ำหัวรุ่ง หัวค่ำหัวรุ่ง ตลอดทุกเวลาที่เราจะต้องเกี่ยวใจ(01.02.45)ทั้ง ๔ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช นี่ ต้องมีตัวปาฏิโมกข์วิ่งมาช่วยให้เกิดความรู้ทันมีสติป้องกันมีอะไรต่าง ๆ ณ วันนี้ก็พอกันที