แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมปาฏิโมกข์ของพวกเราที่นี่ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูไปตามเคย แล้วก็ได้พูดมามากมายหลายสิบครั้งแล้ว สำหรับวันนี้ก็จะ จะได้ทบทวนบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ สำหรับผู้ที่มาใหม่ ก็สังเกตเห็นว่ามีผู้มาใหม่นี่มากขึ้นหลายองค์ ก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้ได้โดยง่าย จึงจะต้องพูดที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้มาใหม่กันเสียครั้งหนึ่งโดยหัวข้อว่า ทั้งหมดนั้นสำคัญอยู่ที่ไม่รู้จักกำจัดผีแห่งตัวกู ทั้งหมดนั้นสำคัญอยู่ที่ไม่รู้จักกำจัดผีแห่งตัวกู ถ้าผู้ที่มาใหม่ลองฟังดูคงจะไม่รู้เรื่อง แต่ถึงผู้ที่อยู่เก่าก็ยังจะต้องทบทวนอยู่เสมอ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เป็นเรื่องสำหรับผู้มาใหม่ไปเสียทีเดียว ธรรมปาฏิโมกข์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกู ในทุกแง่ทุกมุม พูดกันเป็นร้อยๆครั้งก็ได้เพราะทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องอะไรในโลกนี้ เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องได้เรื่องเสียเรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องสันติภาพหรือเรื่องวิกฤตกาลอะไรก็มันเป็นเกี่ยวกับไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกูทั้งนั้น ขอให้มองให้เห็นให้เข้าใจอย่างซึมซาบว่าไอ้นี้ตัวเดียวเท่านั้น ที่เป็นปัญหาทั้งหมด พ้นจากอันนี้ไปได้มันก็เป็นเรื่องยอดสุดของธรรมะของพระพุทธศาสนานั่นเอง คนที่มาใหม่อย่าได้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปลีกย่อยหรือว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเรา เป็นเรื่องที่ไม่ต้องสนใจก็ยังได้ สำหรับผู้ที่มาใหม่ คิดว่าอาจจะมาที่สวนโมกข์นี้เพื่อศึกษาบ้าง เพื่อปฏิบัติธรรมบ้าง เพื่ออะไรบ้างหลายๆอย่าง แต่คงจะไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรมีแต่บอกให้รู้จักเรื่องตัวกูของกู ก็พยายามที่จะกำจัดมันลงไปเรื่อยๆ มันน้อยลงไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่ว่าบรรเทาลงไป ขุดราก มันลง เรื่อยๆไป กำจัดมันเรื่อยๆไปโดยวิธีนี้ มันจะน้อยลงๆ นั่นก็คือการก้าวหน้าในทางปฏิบัติธรรม ธรรมะนี่ อย่างอื่นไม่มีนะ จึงมาคิดว่าจะได้รู้อะไร มีความรู้มาก ได้ชื่อเสียง ได้ยกหูชูหางนี้ก็ยิ่งตรงกันข้าม คือยิ่งขาดทุน มันมีแต่เรื่องที่ลดลงไป ลดลงไปแห่งตัวกูของกู จึงจะเป็นเรื่องที่เรียกว่าได้กำไร หรือว่าก้าวหน้า ผู้ที่ไม่เคยฟังมาก่อนอาจจะไม่เข้าใจว่า ตัวกูของกูนี่มันเกิดเมื่อไร จะกำจัดกันเมื่อไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ขอให้สังเกตให้ดี ว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องประจำวันตลอดวันตลอดคืน แม้แต่ฝันก็ยังได้ ตัวกูในทางหนึ่งมันก็ยกหูชูหางไปตามเรื่อง โขมงโฉงเฉง อวดดิบอวดดี วางท่าก๋ากั่น นี่ก็เป็นทางหนึ่ง ไอ้ตัวกูที่มันบ้า เรียกว่าผีบ้าแห่งตัวกู นี่ความหมายนะ ไอ้ตัวกูอีกอันหนึ่งมานั่งกลัว นั่งเศร้าโศกมั่ง หดหู่ ท้อถอยอะไรอยู่ ไม่ยกหูชูหาง ก็ได้เหมือนกัน มันก็ยังเป็นตัวกู มันก็ยังเป็นผีบ้าชนิดหนึ่งนั่นแหละ สิงกันแล้วมันนั่งเศร้าอยู่นั่งโศกอยู่ นั่งกลัวอยู่วิตกกังวลอะไรอยู่ มันมีปัญหามาจากตัวกู ตัวกูสู้ไม่ได้ ตัวกูพ่ายแพ้ ตัวกูถูกกระทำ ตัวกูโชคร้ายไม่ได้อะไรตามใจไปทุกอย่าง มีความเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมีคนเขามาแกล้งมาว่า สู้เขาไม่ได้ต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้ เป็นต้น ถ้าพูดอย่างนี้ไม่ได้ยกหูชูหาง นั่งเศร้านั่งโศกนั่งกลัวอยู่ แต่มันก็ต้องการจะยกหูชูหาง นั่นแหละวันใดวันหนึ่ง หรือถ้าพูดให้ดีก็เพราะว่ามันไม่ได้ยกหูชูหางนะ มันจึงได้มานั่งเศร้าอยู่ ก็ต้องถือว่าไอ้ถูกสิงอยู่ด้วยผีตัวกูของกูนี่เหมือนกัน นี่ทางหนึ่งนะมันตรงกันข้ามมันอาจจะโง่มากก็ได้ เรื่องไม่ควรจะยกหูชูหางก็ยกหูชูหาง อวดดิบอวดดีอะไรไปตามเรื่อง เรื่องนี้ต้องรู้ว่าแม้มันจะดีจะถูกจะจริงก็ไม่ต้องยกหูชูหาง คนเรานั่นมันไม่จำเป็นจะต้องทำ เรื่องดีจริงได้จริงอะไรจริงมันก็ไม่ต้องยกหูชูหาง ถ้าเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าก็จะปกปิดด้วยซ้ำไป ไม่ให้รู้ว่าตัวเองนั้นมีดีอะไร ได้มรรค ผล นิพพาน อะไร ไม่อยากจะให้ใครรู้ว่าดี ว่าเก่ง มันยุ่งเปล่าๆ นี่ปุถุชน คนโง่คนพาล ไม่ต้องมีอะไรดีก็ยกหูชูหาง เอ็ดตะโรไปหมด เรื่องนิดหนึ่งก็เอาไปยกได้มาก ไม่มีเรื่องก็ยกได้มาก เพราะความสำคัญผิด ก็ความโง่ความหลง ขอให้ทุกองค์ที่มาใหม่โดยเฉพาะนะ นึกดูให้ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าที่นี่ไม่มีเรื่องอะไร ที่สวนโมกข์นี้ไม่มีเรื่องอะไร ไม่มีพูดกันเรื่องอะไร ไม่มีศึกษากันด้วยเรื่องอะไรอื่นนอกจากเรื่องนี้ เรื่องตัวกูของกู นี่ถ้าหากว่าจะมาเพื่อเอาประโยชน์จากสวนโมกข์โดยแท้จริงละก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้ ต้องไม่ประมาทในเรื่องนี้ ต้องให้ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้กลับไป เพราะที่นี่มันไม่ใช่ที่สำหรับจะมาปล่อยหูปล่อยหางยกหูชูหางอะไรอย่างนั้น ต้องไม่โขมงโฉงเฉง ว่าก็ต้องรู้จักสังเกต ศึกษาดูให้ดีๆว่าเขาทำกันอย่างไร ต้องการจะ ถ้าต้องการจะเล่าเรียนเป็นมหาเปรียญเป็นอะไร ให้มันใหญ่โตไปมันก็ไม่ใช่ที่นี่ เพราะว่าที่นี่มันไม่มี เพราะยังมีชื่อเสียงในทางอื่น ในทางเก่งในทางอะไรอย่างนี้มันก็ไม่มี เข้าใจผิดกันว่าที่นี่มีนั่นมีนี่ มีสอนอย่างนั้นมีสอนอย่างนี้ ได้มาสักครั้งหนึ่งแล้วก็พอจะเป็นเครื่องอวดอ้างอะไรได้ อย่างนี้ก็ยิ่งไม่ถูกใหญ่ มันเป็นเรื่องที่คนเขาสมมติกันเองว่าที่นี่เป็นอย่างนั้นที่นี่เป็นอย่างนี้ ดีเด่นอย่างนั้นอย่างนี้ มันว่าเอาเอง เราไม่ต้องการจะดีจะเด่นไอ้แบบนั้น ไม่ว่าใคร รวมทั้งผมเองด้วย ถ้ามันเป็นเรื่องของการยกหูชูหางละก็ ผิดหมด แล้วเขาก็เข้าใจว่ามีอะไรดีมีอะไรเด่น ทีนี้เรื่องของมันก็มีแต่ว่าจะต้องสังเกตดูอย่างละเอียดที่สุด ไม่ประมาทที่สุดเลยในการที่จะไม่รู้จักว่าตัวเองนั้นกำลังผีบ้ามันสิงอยู่ ในสองอย่างนั้นอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าพูดกันตรงๆก็ว่าบางคนเกิดมาในตระกูลที่บิดามารดาไม่มีวัฒนธรรม หรือบางทีก็เป็น มิจฉาทิฏฐิด้วยซ้ำไป มีกริยามารยาทหยาบ พูดคำหยาบ กริยาก็หยาบ อะไรก็หยาบ ก็ทำให้เด็กๆที่เป็นลูกหลานนั้นมันเห็นว่า อ้าวนี่มันเป็นอย่างนี้ก็คือธรรมดา อยากจะด่าก็ด่า อยากจะตีก็ตี ให้พักก็ไม่ได้ จะตบจะตีจะเอ็ดตะโรกันเสียเรื่อยจนเคยชิน มีอะไรก็ขว้างมีอะไรก็สาด จะเอานั่นเอานี่สาดหน้ามัน นี่ พ่อแม่พูดหรือทำอยู่ ไอ้ลูกมันก็เลยติดนิสัย นี่เรียกว่ามันออกจะเคราะห์ ร้ายหน่อย ที่เกิดในสกุลที่บิดามารดาไม่เป็นอุบาสกอุบาสิกาที่บังคับตัวเอง ตามแบบของพระพุทธศาสนาหรือของพระอริยเจ้า เราก็เลยกว่าจะโตนี่ก็ติดนิสัยมามาก ก้มไม่ลง จะต้องมีการเถียงมีการแย่งมีการต่อต้าน บางทีก็เป็นนิสัย จนถึงว่าผิดก็ต่อต้าน ถูกก็ต่อต้าน อะไรก็เป็นต่อต้านไปหมด ไม่ต้อง ไม่ต้องฟังว่ามันอะไรกันหรือควรจะทำอย่างไร ที่จริงก็คงจะฟังไม่ถูก เพราะไม่มีใครสอนกันที่บ้านไหนเรือนไหนเรื่องตัวกูของกู ยกหูชูหางให้บังคับว่าอย่าให้มันขึ้นมา จะมีแต่ในหมู่ เอ่อ หมู่คนที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา เป็นพุทธบริษัทมาอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เดิมๆมา ที่สืบกันมาหลายชั่ว หรือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษตามแบบของการศึกษาที่แท้จริง ก็มุ่งหมายตรงกันนะ คือบังคับไอ้ตัวกูของกู ความรู้สึกฝ่ายเลว ความรู้สึกฝ่ายต่ำ เขาเรียกอย่างนั้น สุภาพบุรุษต้องบังคับไว้ได้ ก็ไม่มีอะไรที่แสดงออกมาในลักษณะที่มัน สองอย่างนั้นนะ ที่มันเป็นสองอย่างที่ว่ายกหูชูหางบ้าง เศร้าอยู่บ้างโกรธอยู่บ้าง อะไรบ้าง ถ้าเรามันมีมาอย่างนี้มาก มีต้นทุนมาอย่างนี้มาก ก็เรียกว่าต้องลำบากหน่อยเพราะต้องบังคับมาก แต่ถ้าเรามาในบ้านเรือนที่มีวัฒนธรรมดี มีความเป็นสุภาพบุรุษพอมันก็เป็นอย่างนั้นมาแล้วมากเหมือนกัน เรื่องมันก็ไม่ค่อยมาก การบังคับตัวก็ไม่ค่อยมาก ไม่ต้องทำมากนะ แต่ถึงอย่างไรก็เถอะ ถ้าว่าจะศึกษากันจนกระทั่งให้มันหมดตัวกูของกูแล้วก็ยังอีกมากด้วยกันทั้งนั้น นี่พูดถึงว่าที่จะต้องบังคับ บังคับกันเป็นประจำวัน ไม่ให้โกรธ ไม่ให้พูดคำหยาบ ให้สำรวมในศีลระเบียบวินัยนี้ ต้องสามข้อนี้ อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร ที่สวดอยู่ทุกวันนี้ ไม่พูดร้าย ไม่กล่าวร้ายและก็ไม่กำจัด หรือว่าทำร้าย ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย ก็สำรวมในระเบียบปาฏิโมกข์ ส่วนนอกนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะ จะยากนัก เพราะว่าไอ้ความรวดเร็วรุนแรงของกิเลสนี่มันออกมาในลักษณะของความโกรธ เรื่องนิดหนึ่งก็โกรธ หรือบางทีไม่มีเรื่องก็โกรธ มันต้องโกรธมาก มันจึงจะทำร้ายได้ ไอ้จะพูดร้ายกับเขาได้นี่ เช่นภิกษุสามเณรจะด่ากันได้นี่มันต้องมีมาก มันต้องมีเรื่องมาก มันต้อง ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่มาก คือภิกษุสามเณรจะตีรันฟันแทงกันได้ซึ่งเราได้ยินข่าวในหนังสือพิมพ์บ่อยๆนั้นมันก็ต้องเป็นสิ่งที่มาก มากเกินไปแล้ว จนไม่เป็นภิกษุสามเณรแล้ว นี่พอโกรธขึ้นเท่านั้นแหละ นี่มันก็หมด หมดความเป็นคนของพระพุทธเจ้า บาลีมีอยู่สูตรหนึ่งเขาเรียกว่า กกจูปมสูตร ผมก็เคยเอามาเล่าให้ฟัง แต่บางคนก็ไม่เคยได้ยินก็ได้เพราะว่ามาใหม่อย่างที่ว่ามาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าโจรจับภิกษุนั่นนะ มัดแล้วก็เอาเลื่อยๆ ถ้าว่าเจ็บขึ้นมา ก็โกรธในใจโกรธประทุษร้าย นึกโกรธประทุษร้ายใน ในโจรนั้นว่าไม่หลุด ก็แล้วกันจะ ถ้าหลุดแล้วจะเอาให้ตายเลยอย่างนี้ คือมันโกรธนะเพราะมันเจ็บ เมื่อเลื่อยหนังขาด มันก็เจ็บพอประมาณ ถ้าโกรธก็ใช้คำว่าไม่ใช่คนของเรา คือไม่ได้ ไม่ได้ทำตามคำสั่งสอนของเรา ยิ่งเมื่อโจรเลื่อยลงไปถึงเนื้อขาด มันก็ยิ่งเจ็บมาก กระดูก ถึงกระดูกแล้วก็เป็นเยื่อในกระดูก ก็ยิ่งเจ็บมาก แม้อย่างนั้น ถ้าภิกษุมีความโกรธก็ยังชื่อว่าไม่ใช่คนของเรา ไม่ใช่ผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา คิดดูให้ดี เทียบเคียงดูให้ดี ฟังดู ถึงขนาดนั้นก็ยังให้โกรธไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรื่องเล็กๆน้อยๆ บางทีเรื่องที่ไม่มีเรื่องด้วยซ้ำไป เดินกระทบกันบ้าง เพียงแต่มองตากันบ้าง หรือว่าเขาห้ามว่าอย่าทำอย่างนั้นอย่าทำอย่างนี้ก็ไม่ได้แล้ว ก็โกรธซะแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่านั่นมันเป็นจิตประทุษร้ายต่อบุคคลนั้น ถึงขนาดที่เรียกว่าเป็นตัวกูของกูเดือดพล่านเป็นผีสิง ไม่อย่างนั้นมันก็ตบหน้ากันไม่ได้ เอาช้อนส้อมแทงกันไม่ได้ เอาน้ำแกงสาดกันไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น ก็ให้เข้าใจแหละ ฟังดู ว่ามีจิตประทุษร้ายเพียงนี้แหละมันก็ไม่ใช่คนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงวางมาตรฐานไว้นั้น ถึงขนาดเอาเลื่อยๆนะ ถูกเขาเอาเลื่อยๆ ก็โกรธไม่ได้ หมายความว่าประทุษร้าย จิตผิดปรกติ นึกประทุษร้ายไปในทางโกรธก็ไม่ได้ ถูกประทุษร้ายถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังโกรธไม่ได้ ฉะนั้นอันเรื่องที่มันไม่ถึงขนาดนั้นก็แปลว่ามันไม่ไหว มันไม่ควรจะต้องโกรธ นี่นอกจากจะโกรธคนด้วยกันนะ เพื่อนภิกษุสามเณรด้วยกันยังจะโกรธสัตว์ โกรธสิ่งของอีก ยุงก็โกรธแมลงวันก็..ก็โกรธนี่ ถ้ามันมาตอมมากัด สิ่งของบางทีมันไม่สะดวก เพราะมันไม่มีชีวิตนี่ เช่นปากกาใช้ไม่สะดวก นั่นก็เอาปากกาตำลงไปเลยให้เข็ดกันกับปากกาที่มันไม่มีชีวิตวิญญาณ นี่ถ้ามันเป็นอันธพาลถึงขนาดนี้แล้วก็ไม่มีทางที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ให้ผีบ้าสิง ผีบ้าแห่งตัวกูของกูสิงขนาดนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จะมาที่สวนโมกข์หรือไปที่ไหนมันก็ช่วยไม่ได้ สวนโมกข์นี่ไม่มีอำนาจอะไร ไม่มีปาฏิหาริย์อะไรที่จะช่วยขจัดกิเลสกันให้หมดไปได้ทันที นอกจากว่าผู้ที่มาที่สวนโมกข์น่าจะต้องศึกษาและพยายามตั้งใจที่จะกำจัดไอ้ผีบ้าแห่งตัวกูของกูนี่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปดูคนอื่นสิ ดูแต่ไอ้ที่มันอยู่ในใจของเราว่ามันเป็นอย่างไร คนอื่น ผิดถูกก็ช่างหัวเขาเถอะ ไอ้เราอย่าผิด อย่าให้มันผีบ้าสิงก็แล้วกัน ที่ถูกสอนถูกอบรมมาแต่เล็กๆว่า มันมาทำเราก่อนเราก็ต้องเอากับมัน นั่นมันอันธพาล เรียกว่าตาต่อตาฟันต่อฟันนะ บางทีก็เอามากกว่านั้นนะ เขาชกเราฟันหักซี่หนึ่ง เราจะชกเขาให้หักหมดทุกซี่นี่ มันมากกว่านั้น เพราะว่าไอ้ความเป็นภิกษุนี่มันอยู่ที่อย่างนี้ ที่อดกลั้น ที่ไม่โกรธ ที่ปกตินี่ เรียกความเป็นภิกษุ พอผิดปกติ เป็นเรื่องโกรธเรื่องอะไรขึ้นมาแล้วมันก็ไม่มีความเป็นภิกษุ เรียกว่าผีสิง ผีบ้าแห่งตัวกูของกูกำลังสิงจนกว่ามันจะออกไป ก็กลับมาปกติอีก อย่างนั้นที่นี่ก็ไม่มีอะไรนะที่ว่าจะบอกกัน จะเตือนกัน จะปฏิบัติกัน คือเรื่องตัวกูของกู ต้องรู้ ต้องพยายามปฏิบัติ เพื่อกำจัดเสียซึ่งตัวกูของกู ข้อปฏิบัตินี้ปฏิบัติได้ตั้งแต่ชั้นต้นชั้นต่ำที่สุด สูงขึ้นไปถึงขนาดกลางขนาดสูงสุด บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์ไปเลย หมายความว่าจะเป็นพระอรหันต์ได้ก็ต้องกำจัดไอ้กิเลสที่เรียกว่าตัวกูของกูนี่ได้ ได้หมด ได้ไม่มีเหลือทั้งรากเหง้า เขาเรียกว่าอัสมิมานะ อหังการ มมังการนี่ ล้วนแต่กำจัดได้หมดนี่ก็เป็นพระอรหันต์ กำจัดตัวกูของกูได้หมด จนพระอริยเจ้ารองๆลงมาก็กำจัดได้ตามส่วน ที่นี้ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าเป็น ภิกษุ ปุถุชนนี่ แต่ถ้าเป็นที่ดี ชั้นดี ก็กำจัดได้มากเหมือนกัน ควบคุมได้มากเหมือนกัน ที่ไม่กำจัดเลยก็เป็นอันธพาล แม้เป็นภิกษุเป็นสามเณรก็ยังคงเป็นอันธพาลเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่พยายามที่จะกำจัด ควบคุมไอ้กิเลสนี่เลย ไอ้เรื่องอื่นช่วยไม่ได้ จะมีความรู้ดี สอบได้อย่างนั้นอย่างนี้มาหรือว่าจะอะไรก็ตาม จะร่ำรวยยังไงจะมีชื่อเสียงยังไงก็ตามมันช่วยไม่ได้ ที่จะให้เป็นภิกษุที่ดีได้ มันจะเป็นภิกษุที่ดีได้ก็เพราะกำจัดไอ้ตัวนี้ได้มากหรือน้อย ฉะนั้นจึงพูดย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่เสมอไม่มีเรื่องอื่น สำหรับทุกคน ไม่มีเรื่องอื่น มีแต่เรื่องตัวกูของกู ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เด็ก ผู้ใหญ่ก็ตามใจ ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากเรื่องตัวกูของกู ไอ้เด็กตัวเล็กๆที่มันจะชกต่อยกันมันก็เรื่องตัวกูของกู หรือว่าที่มันจะไม่ช่วยเหลือกัน มันก็เรื่องตัวกูของกู มันเห็นแก่ตัวกูของกู มันก็ไม่ช่วย ช่วยเหลือผู้อื่นทั้งนั้นนะ นี่เรียกว่าที่ทำชั่วก็ตามที่ไม่ทำดีก็ตามนี่ มันก็เรื่องตัวกูของกู นี่ท่าจะทำดี ก็ทำดีเพื่อกำจัดอันนี้ กำจัดไอ้ตัวกูของกูให้หมดไป แม้แต่ทำดีก็ยัง ก็ยังเนื่องอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู หมดไปตามลำดับ หมดไปตามลำดับ ก็เป็นคนที่ดี เป็นบัณฑิต เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอริยเจ้าสูงสุด เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้มันก็เพราะว่ามันทำลายตัวกูเรื่อยไปจนหมด คนเขาจะคิดว่าเขาจะดีได้ โดยไม่ต้องอดทน โดยไม่ต้องกำ ควบคุมกำจัด ไอ้ตัวกูของกู ถ้าคิดอย่างนั้น ก็เลยไม่สนใจที่จะกำจัดตัวกูของกู นี่คือผิดอย่างยิ่ง ไปคิดดูใหม่ ไปขอให้..กลับไปคิดดูใหม่ ไปพิจารณาดูให้ดีใหม่ มันไม่มีทางอื่นที่จะเป็นพระเป็นเณรที่ถูกต้องขึ้น และก็ดียิ่งขึ้น มันไม่มีเรื่องอื่น เรื่องปฏิบัติทั้งหลายก็เป็นเรื่องเพื่อจะกำจัดตัวกูของกู นับตั้งแต่มีศรัทธา มาบวชนี่ก็เพื่อกำจัดตัวกูของกู มีการประพฤติปฏิบัติ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ทุกอย่างแล้วก็เพื่อกำจัดตัวกูของกู ฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่เคยรู้อย่างนี้ ไม่ได้ตั้งใจอย่างนี้ เมื่อบวชเข้ามานั่นแหละ มันผิดไปมากแล้วแหละ ให้ตั้งใจใหม่เถอะ ที่บวชเข้ามานั้นนะมันก็เพื่อจะกำจัดไอ้ตัวกูของกู ที่ทำให้เห็นแก่ตัว ที่ทำให้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ช่วยเหลือผู้อื่น มีกิเลส นั่นเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เจริญมากยิ่งขึ้นทุกที มันเป็นคำตอบหรือว่ามันเป็นเหตุผลที่เป็นกำปั้นทุบดิน เพราะว่าถ้าเราจะถามดูว่ามันเลวเพราะอะไรนะ ไปคิดดูเองที่เราเคยเลวมันเลวเพราะอะไร มันก็เลวเพราะว่ามันมีตัวกูของกูเกิดขึ้นแล้วเราไม่บังคับ เราไม่รู้จัก เราปล่อยให้ตัวกูของกูเป็นไปตามไอ้เรื่องของมัน คือเป็นผีเป็นกิเลส นับแต่เราทำผิดครั้งแรกๆ เด็กเล็กๆเพิ่งเกิดมาเท่าที่จะจำความได้เท่าไร ถ้าเราเลวลงไปนี่อย่างไร เมื่อไร เท่าไร มันก็เป็นเรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น จะถูกลงโทษก็ได้ ไม่ถูกลงโทษก็ได้มันแล้วแต่..แล้วแต่กรณี แต่ถ้าเลวมันก็เลวจริง มันเลวแน่เลวแท้ๆ ก็ไปทดสอบสอบสวนดูว่าทุกครั้งที่เราเลวนั้นมันเลวเพราะอะไร เพราะการที่ตัวกูของกูมันขึ้นมา ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วก็จะง่ายขึ้นบ้างที่จะสลดใจที่ว่าเรานี่มันมีอันนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกเรื่อยๆมาจนบัดนี้ จนเป็นเด็กเป็นวัยรุ่น เป็นพระ เป็นเณรเป็นพระนี่ จะเลวที่ไหนก็ตาม ถ้าจะผิดที่ไหน จะอันไหนก็สุดแท้ แม้แต่จะต้องอาบัติก็เรื่องตัวกูของกูทั้งนั้น ปัญหามันมีอย่างนี้ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่น ทีนี้ไปดูคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกก็เพื่อขจัดเรื่องนี้ทั้งนั้น ไม่มีเรื่องอื่น เราก็พูดกันมากแล้ว แม้แต่โดยรายละเอียด ก็อย่าให้เผลอ แม้แต่ว่าจะอาบน้ำ จะฉันอาหาร หรือจะไปบิณฑบาต จะสมาคมกับคนนั้นคนนี้ ระวังจะกลายเป็นเรื่องตัวกูของกู ถ้ามันมากนักก็เรียกว่ากิเลสหยาบนะ ทุกคนก็ไม่ชอบคนที่กิเลสหยาบ แต่แล้วตัวเองก็มักจะเป็นผู้มีกิเลสหยาบเสียเอง พูดคำหยาบบ้าง ทำหยาบบ้าง อะไรบ้าง แสดงกริยาหยาบบ้าง ทำอันตรายกันบ้างนี่มันเป็นกิเลสหยาบเสียเอง ทั้งที่เราก็ไม่ชอบกิเลสหยาบ ไม่ชอบให้มีใครมาว่าเราหรือดูถูกดูหมิ่นเราว่ากิเลสหยาบ แต่แล้วในที่สุดก็เป็นผู้มีกิเลสหยาบเสียเอง โดยไม่รู้สึกตัว ถ้าเขาจะมาช่วยแก้ไขให้ดีขึ้น ก็กลับโกรธเขาด่าเขาเลย ถ้าเป็นภิกษุบวชใหม่ ไม่เคยเข้าสู่ปวารณา กรรม สังฆกรรมที่ว่าให้ปวารณา ให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ มันก็รีบรู้ไปเถอะว่าภิกษุนั้นต้องมีการปวารณา วันออกพรรษา ไม่ทำปาฏิโมกข์ทำปวารณา เพื่อให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนเราได้ นี่ก็มุ่งหมายที่จะกำจัดไอ้ตัวกูของกู พระพุทธเจ้าท่านทรงมุ่งหมายอย่างนั้นว่าให้ช่วยว่ากล่าวตักเตือนกันและกัน แต่แม้ว่าภิกษุบางรูปจะเคยทำปวารณามาหลายครั้งแล้ว เพราะบวชหลายพรรษาแล้ว มันก็ไม่รู้อะไรอยู่ก็มี เพราะไม่สนใจว่าทำปวารณาทำไม ไปว่าๆๆๆพอครบๆก็เสร็จแล้ว เป็นปวารณา ครั้งหนึ่งแล้วอย่างนี้ก็มี อย่างนี้ปวารณานั้นก็ไม่ได้ประโยชน์ในการที่จะช่วยทำให้ได้สำนึก เพราะต่อไปนี้เราต้องเป็นผู้ที่ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ และเราจะไม่ปริปากเถียง แม้ผิดก็ไม่เถียง ถูกก็ไม่เถียง จะเอาไปคิดนึกดูแล้วทำตัวเสียใหม่ ที่ว่าปวารณานั้นคือปิดปากไม่ให้เถียง พระพุทธเจ้าท่านต้องประสงค์อย่างนี้ อย่างในบทปาฏิโมกข์ที่สวดทุกๆกึ่งเดือนนั่นนะ ก็มีบทที่แสดงความสำคัญของสิ่งนี้ว่าบริษัทของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองได้เพราะเหตุคือ การว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกันนั่นแหละ ยังกันและกันให้ออกจากอาบัติ ว่ากล่าวตักเตือนให้ประพฤติดีอยู่เสมอ ไม่ต้องอาบัติ นี่ช่วยกันว่ากล่าวซึ่งกันและกัน นี่ถ้าต้องอาบัติก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ได้ออกจากอาบัติ มันก็เป็นอันว่าไม่มี คือว่าไม่เป็นการสมควรที่จะทำตัวให้เป็นผู้ที่ใครๆว่ากล่าวไม่ได้ เพราะว่าตัวกูของกูมันเต็มปรี่มาแล้วแต่บ้าน ซึ่งใครต่อใครก็ว่ากล่าวไม่ได้ บางทีพ่อแม่ก็ว่ากล่าวไม่ได้ เดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นมากขึ้น เด็กรุ่นหลังนี้ไม่เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ยิ่งขึ้น นั้นเขาก็จะเป็นอันธพาลนะ.. หนักขึ้น ทั้งในอันธพาลทางวิญญาณและอันธพาลเปิดเผยออกมาโดยตรง นี่สำหรับเราที่บวชแล้ว มาบวชแล้วนี่ก็ ถ้าไม่รู้เรื่องนี้ ถ้าไม่สำนึกถึงข้อนี้และเพื่อจะกำจัดสิ่งนี้แล้วก็ไม่รู้ว่าจะบวชยังไง จะบวชทำไมหรือว่าอะไรมันจะเป็นการบวชขึ้นมาได้ นี่ผมขอร้องหรือท้าทายด้วย ให้คุณเอาไปคิดเถอะว่าจะบวชทำไมล่ะ จะเพื่อประโยชน์อะไร ถ้าไม่เพื่อกำจัดสิ่งนี้ มันมีอะไร ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เพื่อกำจัดสิ่งนี้ เพราะว่าไม่ๆ..ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ต้องมาบวช คิดจะบวชทำไม ถ้าไม่เพื่อจะบีบบังคับ กดขี่ บรรเทา กำจัด ไอ้เรื่องกิเลสตัวกูของกูนี้ ธรรมเนียมที่เขาให้คนหนุ่มๆบวชนี่ก็เพื่อประโยชน์อันนี้โดยตรง แต่ครั้งโบราณครั้งพุทธกาล ไม่ได้มีธรรมเนียมหรือความนิยมว่าคนหนุ่มแล้วจะต้องบวช แต่มาบัดนี้ โดยเฉพาะในประเทศไทยเรานี่ก็มีธรรมเนียมขึ้น และก็เป็นธรรมเนียมที่ดีด้วยว่าคนหนุ่มนี่ควรจะบวชเสียซักระยะหนึ่ง โดยเขาหวังว่าระยะที่บวชอยู่ระยะหนึ่งนี่จะได้รู้เรื่องนี้ไง คือเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องกิเลส เรื่องทางจิตนี่มากขึ้น ถ้าเป็นพระที่บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ก็บังคับไอ้ตัวกูของกูอยู่ทุกวัน ทุกคืนทุกเดือน จนกว่าจะสึกนะ อย่างน้อยมันก็รู้ฤทธิ์รู้เดชของการต่อสู้กันกับไอ้กิเลส ผีบ้าที่เรียกว่าตัวกูของกู นี่ถ้าว่าตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างนี้บวชซักสามเดือนสี่เดือนหรือปีหนึ่งก็พอ จะได้รู้จักบังคับตัวเอง ถ้าพูดไพเราะหน่อยก็ว่ารู้จักบังคับตัวเอง ก่อนนี้มันบังคับไม่ได้หรือไม่รู้จักบังคับ อย่างนั้นถ้าว่าคนหนุ่มบวชเสียพรรษาหนึ่งจริง บวชจริงก็มีประโยชน์จริงเหมือนกัน จะออกไปทำให้มีความราบรื่นมากกว่าที่ไม่เคยบวชนะ แต่ถ้าบวชเข้ามาแล้ว มันยิ่งยกหูชูหาง จองหองอีก นี่ยิ่งร้ายใหญ่เลย ยิ่งร้ายไปกว่าไม่ได้บวช เพราะเมื่อบวชมันก็มี เมื่อไม่บวชมันก็มีอยู่แล้ว พอบวชเข้ามาเพิ่มให้มันอีก ที่นี่จะสึกออกไปจะเป็นยังไง จะมีตัวกูของกูนี่ แก่จัดขึ้นสองเท่าสามเท่าก็ได้ นี่เราก็เห็นๆกันอยู่ว่า มีทันเห็นกันอยู่ การพูดกันอยู่การตำหนิกันอยู่ว่าบวชแล้วยิ่งเลวกว่าเมื่อไม่ได้บวชก็มี เพราะเมื่อบวชนี่ไม่พยายามที่จะกำจัดไอ้สิ่งนี้ ก็ไปทำอะไรให้พวกชาวบ้านชาวเมืองเขาเห็น เขาก็เลยสาปแช่งให้คนนี้บวชแล้วทั้งทีก็ยิ่งเลวกว่าเมื่อยังไม่ได้บวช มันก็อย่าไปโกรธเขาเลยเพราะว่าเมื่อเราบวชนั่นเราไม่สนใจเรื่องจะกำจัดกิเลสที่เรียกว่าตัวกูของกู แต่จะไปเพิ่มกิเลสเช่นนั้นซะอีก ได้เรียนอะไรสักนิดหนึ่งก็อวดดี รู้อะไรสักนิดหนึ่งก็อวดดี นี่มันก็เป็นเรื่องเพิ่มอยู่แล้ว ที่ว่ากูบวชแล้วเป็นพระแล้ว ใครมาว่ากูไม่ได้ ใครมาว่ากูสักนิดหนึ่งก็เอากับมันเลย นี่มันกลายเป็นอะไรไปคิดเถอะ มันยิ่งกว่าเพิ่มนะ ฉะนั้นขอให้รู้จักไอ้หัวใจ หรือใจความความมุ่งหมายของพระพุทธศาสนาที่มุ่งหมายจะให้ผู้ประพฤติปฏิบัติพรหมจรรย์นี้ กำจัดกิเลสตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา ด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง ไม่ประมาทอย่างยิ่งคือไม่เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไอ้เรื่องผิดเล็กน้อยนั่นแหละมันเป็นเรื่องผิดมาก ถ้าเป็นผิดเล็กน้อยทำไมจะต้องโกรธมาก ทำไมจะต้องเดือดดาลมากถ้ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็ไปสังเกตดู เรื่องที่เดือดดาลมากจนถึงฆ่ากันตายนั่นมาจากเรื่องเล็กน้อยนิดเดียวก็ได้ เรื่องเล็กนิดเดียวจนไม่มีความหมายอะไรนี่เพราะว่าไอ้ผีบ้าตัวกูของกู มันไม่ใช่เล็กน้อยแต่ว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นนะ มันทำให้เกิดขึ้นมาได้ มันก็ไม่มีเรื่องอะไรก็ทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาได้ ซึ่งแต่ก่อนไม่เกิดนะ เดี๋ยวนี้จิตใจของมนุษย์เลวลง มากทีเดียว ที่ไม่เคย..ไม่ควรจะเกิดเรื่องก็เกิด ถึงขนาดที่ว่ายิงกันเลยฆ่ากันเลยอะไรกันเลย เรื่องร้ายๆอย่างที่เป็นข่าวประจำวันในหนังสือพิมพ์ ก่อนนี้มันไม่ค่อยจะมี หรือบางยุคมันไม่มี ไม่จำเป็นที่ว่าเราจะต้องไปฆ่าเขา เพราะมันมีแต่ให้เสียหายมากขึ้น หรือว่าถ้าคู่รักเกิดไม่รักเราขึ้นมา เราก็ไปหาใหม่ได้โดยไม่ต้องไปฆ่ามัน เมื่อก่อนเขาไม่ทำอย่างนั้นนะคือเขาไม่ไปมัวฆ่ามัน เขาไปหาอื่นได้ เขาก็ยังมีอะไรดีที่จะไปหาอื่นได้ คนเดี๋ยวนี้เลวจนถึงกับว่ามีอะไรผิดใจนิดเดียว ไม่ต้องรู้แล้ว ฆ่ากันเลย แล้วตัวเองก็ยิงฆ่าตัวเองด้วยหรือว่าไม่ฆ่าตัวเองมันก็ถูกคนลงโทษ คำ..ที่ทำอย่างนั้นคุณว่า อะไร รู้จักกันตั้งแต่เกิด ไอ้ตัวกูของกูมันเดือดจัดยิ่งกว่าเป็นผีบ้าธรรมดา นี่มันเป็นเรื่องแห่งราคะ หรือว่ากิเลสประเภทราคะ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการก็เกิดโทสะ รวมหมดนั่นเป็นโมหะคือความโง่ การที่เขาทำอย่างนั้นนะ คือประกอบอยู่ในโลภะ โทสะ โมหะ โลภะอยากจะได้ในรูปของราคะ นี่ก็เป็นกิเลส เป็นผีบ้าอันหนึ่งแล้ว เพราะไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น ถ้า ถ้ามันมีกิเลสถึงขนาดนั้นมันเป็นความทุกข์หมด ไม่ใช่เป็นเรื่องปกตินะ ให้ได้อย่างใจในแง่ใดแง่หนึ่งมันก็โทสะขึ้นมา เป็นผีบ้าประเภทโทสะนะ จะเอาให้ตาย แล้วก็ทำไปด้วยความโง่คือโมหะ ก็ทำจริงๆด้วย เป็นโมหะตั้งแต่ไม่รู้จักที่จะไปโลภหรือไปมีราคะเข้า แล้วพอเกิดไม่ได้ตามที่โลภแล้วละก็ มันก็ยังโง่ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปโง่ ทำในทางที่ตรงกันข้าม คือมันยิ่งร้ายหนักขึ้นทุกทีๆ นั้นถ้าว่าไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ก็หมายความว่าใจคอปกติ เป็นอยู่ด้วยสติปัญญา ก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะอยากได้อย่างใจจะขาดหรือว่าเพียงแต่ตั้งเป้าหมายแล้วทำไปตามที่ควรจะทำโดยที่จิตใจไม่ต้องเกิดราคะ เกิดโลภะอะไรก็ยังได้ อย่างนี้มันไม่มีโลภะแล้วมันไม่รุนแรง เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็ไม่โกรธมันก็ไม่เสียใจ มันก็ไม่พาลโกรธใคร ทั้งหมดตลอดเวลานั่นมันก็ไม่เป็นโมหะ ที่เราเรียกกันว่าโลภะ โทสะ โมหะ ก็คือกริยาอาการแห่งตัวกูของกูเดือดขึ้นมาเหมือนกับผี ถ้าต้องใช้คำว่าผีบ้าเสียอีก ไม่ใช่ผีธรรมดานะ คนเราได้ปล่อยให้ไอ้ตัวกูของกูที่เป็นผีบ้าชนิดนี้ครอบงำมาเรื่อยๆๆๆตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนบัดนี้มันจึงละยาก ก็อย่างที่กล่าวแล้วว่า ถ้าเกิดใน..ได้โชคดีเกิดในตระกูลที่มีความเป็นสัมมาทิฏฐิดี ก็ถูกอบรมมาแต่เล็กๆไปในทางที่ดีมันก็ได้เปรียบ มันก็มีไอ้ที่เรียกว่าผีบ้านี้น้อย ก็อย่างเลวๆอย่างหยาบๆนั้นไม่มี ก็จะเหลือแต่กิเลสประเภทละเอียดสุขุมกว่านั้น ซึ่งค่อยละๆกันต่อๆไป จนกว่าจะหมดกิเลส เดี๋ยวนี้เรามันไม่มีโชคดีอย่างนั้น เกิดมาในตระกูลที่บางทีก็ผู้ใหญ่นั่นแหละ แสดงอาการเหล่านั้นให้ดู เด็กก็รับเอาไปเป็นนิสัยจนไม่รู้สึกตัว ก็ถือว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วไป ไอ้เรื่องข้างหลังก็แล้วไป จะเอาเป็นข้อแก้ตัวไม่ได้ มันมีแต่ว่าจะต้องทำให้ถูกให้ดี ให้เหมือนกับว่าเราได้เกิดใหม่นะในตระกูลของพระพุทธเจ้า ให้สมกับที่เขาเรียกว่าไอ้การบวชบรรพชานี่เป็น การเกิดครั้งที่สอง เกิดโดยธรรมวินัย เป็นลูกเป็นบุตรอะไรของพระพุทธเจ้า บวชแล้วเขาเรียกว่า สมณศากยปุตติยะ นั่น หรือเป็นพุทธชิโนรสเป็นอะไรก็สุดแท้ แล้วเขาไม่ได้จำกัดคนนั้นคนนี้ ก็ว่าภิกษุบวชก็แล้วถูกต้องแล้วก็เป็น สมณศากยปุตติยะ คือเป็นผู้นับเนื่องใน พระสมณศากยบุตร คือพระพุทธเจ้า ทั้งที่เขาเรียกตรงๆว่าพุทธชิโนรส เป็นโอรสของพระพุทธเจ้าผู้เป็นชินะอะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็แปลว่าตั้งต้นกันใหม่ เหมือนกับเกิดใหม่ ไอ้ที่มันผิดมันเลวมันอะไรมาแต่วันหลังครั้งเกิดทีแรกที่บ้านเรานั้นก็ให้มันเป็นอันว่ายกเลิกกันไป ที่ตั้งต้นเกิดใหม่ก็เหมือนกับตั้งหนึ่งกันไปใหม่ลบเป็นศูนย์ แล้วตั้งหนึ่งสองสามกันไปใหม่ ให้เป็นไปในทางดีคือทางบวก ให้มันมีบวกขึ้นไปเรื่อยๆๆ แล้วไม่มีอะไร นอกจากที่ว่ามันบรรเทา หรือกำจัดไอ้ตัวกูของกูลงไปได้เรื่อยๆ จะได้เท่าไรมันก็มี..มีดีขึ้นเท่านั้น คือบวกขึ้นก็เป็นบวกมากขึ้นเท่านั้น ไม่กำจัดอันนี้ได้มันก็เป็นลบ จนลบๆๆ คือเลวลงไปๆ ก็ไม่เห็นจะมีอะไรพูดนอกไปจากเรื่องนี้ เรื่องให้ตั้งหน้าตั้งตาเพียงอย่างเดียว ระมัดระวัง ป้องกันอย่าให้มันเกิด เกิดแล้วก็รีบละ รีบสลัดออกไป ไอ้ที่ว่าป้องกันอย่าให้ตัวกูของกูเกิดนี่ ต้องมีสติ พอไม่มีสติก็เป็นคนประมาท ประมาทก็เป็นคนโง่หรือคนตายแล้ว นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนั้น เย ปมตฺตา ยถา มตา ผู้ประมาทแล้วเท่ากับคนตายแล้ว ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย นั่นนะคือไม่มีสติ ที่ไม่มีสติก็เพราะอวดดี อวดดีว่าเราไม่มี..ไม่..เราไม่มีอะไรที่ต้องระวัง ฉันดีอยู่หมดแล้ว ฉันไม่มีอะไรที่ต้องระวังที่จะชั่ว นั่นคือคนที่ตายแล้ว มันถึงคิดอย่างนั้น รู้สึกอย่างนั้น ถ้าว่าอย่าง..ดีจริง ทำไมพอใครว่าเข้าแล้วโกรธล่ะหรือว่าไม่ได้อย่างใจแล้วโกรธล่ะ นี่เรียกว่าไม่มีสติเป็นผู้ประมาทอย่างยิ่ง ฉะนั้นต้องอย่าประมาทอย่างยิ่ง ต้องกลัว คือละอายอย่างยิ่ง อย่างนั้นจึงจะให้เกิดสติขึ้นมา ถ้าผิดลงไปแล้วต้องกลัวอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง ไม่ต้องมีใครเห็นก็กลัวอย่างยิ่ง ละอายอย่างยิ่ง เพราะกลัวและละอายนั้นจะช่วยให้ระวังมากขึ้น มันก็มีสติมากขึ้นคือไม่ประมาท สองสามคำนี่เอาไปทบทวนดูเถอะ สอบสวนทบทวนดู มีหิริ โอตตัปปะหรือไม่ ถ้ามีหิริ โอตตัปปะ มันก็มีสติหรือไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทมันก็เกิดไม่ได้นะ ตัวกูมันก็เกิดไม่ได้ กิเลสเกิดไม่ได้ เป็นโลภโกรธหลงไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าฝ่ายระวังก็ต้องระวังอย่างนี้ ป้องกันกันอย่างนี้ นี่ถ้าเกิดขึ้นแล้ว เผลอไปแล้วเกิดแล้ว กำลังบ้าจัดอยู่แล้ว อาละวาดไปแล้ว มันก็ต้องมีสตินะ ถ้าสตินั้นได้มาจากเพื่อนฝูงที่รักใคร่ เตือนสติคำหนึ่งก็เหมือนกัน เพื่อนที่เราเชื่อฟังนะแล้วก็ แล้วกันอย่าอย่างนั้นสิ แล้วก็ฟังก็ได้สติมาก็หยุดได้ หรือว่าจะมีสติของเราเอง มันพลุ่งขึ้นมาแล้วกำลังบ้าจัดอยู่ พอนึกได้ก็วูบลงได้เหมือนกัน อ้าว, เสียท่าแล้วนี่ ก็หยุดได้ ลงนั่งได้ หยุดได้ ละอายได้ ร้องไห้ได้ นี่ก็เรียกว่าสติเหมือนกัน มันเป็นการต้องการให้มีสติไปเสียทั้งหมดเลย ในการป้องกัน ในการรู้สึกตัว ในการแก้ไข ในการกลับตัวใหม่ แม้แต่จะนอนหลับก็ต้องหลับด้วยมีการ..การมีสติตั้งไว้อย่างแน่นหนาแล้วจึงจะหลับลงไป ถ้าคนอวดดีมันก็ มันก็อวดดี มันก็หลับลงไปด้วยการอวดดี โขมงโฉงเฉงเหนื่อยเข้ามันก็หลับไปด้วยการอวดดี ฉะนั้นจึงนอนท่าทางอย่างสัตว์เดรัจฉาน ไอ้คนที่ประมาท และอวดดี โขมงโฉงเฉง ไม่มีสติอย่างนั้น จะนอนลงไปเหมือนกับ หลับอยู่เหมือนกับท่านอนของสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าเขาไม่ได้ทำสติ ที่จะตั้งมือตั้งเท้าวางแขนวางขา ไว้อย่างไรตามแบบของวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนะ คิดดู เมื่อไม่ตั้งสติไว้นี่ เมื่อหลับแล้วมันก็เปลี่ยนได้ วิ่งได้อะไรได้ตามแบบของคนไม่มีสติ แต่ถ้ามีสติอธิษฐานจิตไว้มากๆ ไอ้แขนขามือตีนมันจะอยู่ในสภาพเดิมที่วางไว้ดีตั้งแต่ทีแรกเมื่อก่อนที่จะหลับนี่ ขอให้มองเห็นว่าแม้แต่หลับแล้วสตินี่มันก็ยังมีได้ มันตามไปคุ้มครองควบคุมอยู่ได้เพราะมีสติ เรียกว่ามีสติทั้งหลับทั้งตื่น ไอ้สตินี้จะมีได้เวลาหลับนั่นหมายความว่าจัดไว้ดีเมื่อ..เมื่อจะหลับ จะหลับเท่าไรจะหลับสามสี่ชั่วโมงก็ว่าตั้งแบบนี่ นาฬิกาเท่านี้จะตื่นเมื่อราวนั้นตลอดเวลานี้ จะมีสติ ถ้าเผลอไม่มีสติแล้วก็จะละอาย จะเสียใจ แต่ว่าไม่เป็นสมณสากยปุตติยะ สมชื่อนี้คือจะไม่ใช่เป็นพระ นอนอย่างไม่ใช่พระนี่ นี่จะเห็นว่า..จะเห็นได้ว่าสตินี่ต้องการในกรณีที่จะกำจัดไอ้ตัวกูของกู พระบาลีก็มีอยู่ว่า สติ สัพพัตถะ ปัตถิยา สติเป็นสิ่งที่ใครๆพึงปรารถนาเอามาใช้ในที่ทั้งปวง ในทุกกรณีต้องใช้สติ นี่หมายถึงว่าที่จะเป็นไปเพื่อความปลอดภัย เพื่อความดีเจริญ ที่จะดับทุกข์ได้ ฉะนั้นก็เราต้องมีสติอยู่ทุกอิริยาบถ แม้แต่เดินไปนี่ มันก็ต้องมีสติ ที่ว่าจะไม่ทำอะไรผิด ที่จะไม่เผลอให้กิเลสเกิดเมื่อกำลังเดินอยู่นั่น เดินไปบิณฑบาตหรือเดินไปตรงไหนก็ตาม ถ้าเดินด้วยสติแล้วละก็พวกกิเลสก็เกิดไม่ได้ ทีนี้สมมติว่าเดินไปโรงฉันนะ พอถึงโรงฉันท์แล้วมันก็ต้องมีสติ ที่ว่าจะมีอะไรเป็นอะไร จะไปเห็นใครเข้า จะไปเห็นของสิ่งใดเข้าก็อย่าให้มันเกิดกิเลส บางทีเห็นอาหารไม่ถูกปากก็เกิดกิเลสทั้งอาหารถูกปากก็เกิดกิเลส ได้มากก็เกิดกิเลส ได้น้อยก็เกิดกิเลสนะ มันเป็นเรื่องกิเลสไปเสียหมด เพราะว่าไม่มีสติ ไปๆมาๆก็ว่าไอ้สตินี่เป็นสิ่งที่จะป้องกันและกำจัด ทั้งป้องกันทั้งกำจัดทั้งแก้ไขไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกูของกู สติก็เป็นเครื่องมือว่าจะป้องกันแก้ไขหรือกำจัดไอ้ตัวกูของกูอยู่ ฉะนั้นจึงพูดเรื่องตัวกูของกูมาหลายปีแล้ว ปีหนึ่งหลายๆสิบครั้งแล้วเพราะเป็นเรื่องสำคัญอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เห็นว่าผู้มาใหม่ ไม่เคยได้ฟังมาเลย แต่ก่อนนู้น ก็จะฟังเรื่องที่พูดตรงนี้ไม่ถูก เรื่องที่พูดกันตรงนี้ทุกครั้งจากที่แล้วมาที่เรียกธรรมปาฏิโมกข์ แปลว่ากฎเกณฑ์ในทางฝ่ายธรรมะที่เราจะต้องเอามาพูดมาฟังมานั่นกันอยู่เป็นประจำ ประจำสัปดาห์หรือประจำปักษ์ก็สุดแท้ เช่นเดียวกับที่ว่าลงปาฏิโมกข์ทางวินัย ปาฏิโมกข์ทางวินัย พอถึงวันปาฏิโมกข์ก็ลงปาฏิโมกข์ทุกวันนะ ทุกวันปาฏิโมกข์นั่นก็ปาฏิโมกข์ทางวินัย นี่ก็เป็นระเบียบวินัยในเบื้องต้น เป็นสิกขาบทที่จะวางไว้สำหรับเป็นพื้นฐานที่ดี เป็นการปูพื้นฐานที่ดี สำหรับภิกษุจะเป็นภิกษุ ผู้กำจัดตัวกูของกูเสียได้ ง่ายไปตามลำดับ เรื่อยๆไปจนกว่าจะหมดสิ้น ในปาฏิโมกข์ทางวินัยก็เหมือนกับเป็นเรื่องพื้นฐาน ที่ทำไว้ดีสำหรับกำจัดตัวกูของกู วิธีนี้เราเรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์คู่กันกับวินัยปาฏิโมกข์ นี่ก็พูดถึงเรื่องจิตใจโดยตรง ก็คือกิเลสที่เรียกว่าอหังการ มมังการ หรืออัสมิมานะนี่โดยตรง มันเป็นตัวธรรมะ หรือเป็นหัวใจของธรรมะทั้งหมด ถ้ามีตัวนี้ก็เรียกว่าจมอยู่ในกองทุกข์ ถ้าไม่มีตัวนี้ก็เรียกว่าสิ้นความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นการที่ว่าจะมาพักที่สวนโมกข์เพื่อศึกษาเพื่อปฏิบัติอะไรบ้างนี่ ผมขอบอกเลยว่าไม่มีเรื่องอื่น มีแต่ขอให้ระวังเรื่องตัวกูของกูอย่างที่กล่าวมาแล้ว อย่าให้เกิดขึ้นเท่าที่จะระวังได้ เกิดขึ้นก็ให้รู้สึกให้เร็วเท่าที่จะเร็วได้ อย่าให้ทันไปมีเรื่องเลวขึ้นมา ให้สลัดออกไปได้ พอนึกได้ คำว่า อ้าว คำเดียวเท่านั้นแหละ มันก็หายไปแล้ว นี่เป็นเรื่องของผี เป็นอย่างนั้น เรื่องของผีถ้าว่าง่ายก็แสนจะง่าย พอรู้ว่าผีนะ หายไปทันที คือรู้ว่าอ้าว เท่านี้ หมายความว่า เรารู้ว่าอ้าว กิเลสมาแล้ว ไอ้ผีนี่มาแล้ว เท่านี้มันจะหยุด เปลี่ยนทันที เปลี่ยนไปสภาพเดิม นี่ถ้าไม่..ไม่นึกได้ ไม่มีสติ ที่จะอ้าว ก็ได้แต่เลยละก็เป็นผีไปตลอดเวลา นี่ก็หมายความว่า หัด อ้าวนี่ มีสตินี่ให้มันเร็ว เร็วขึ้น เร็วขึ้น การป้องกันก็ป้องกันไว้ดีที่สุด สุดความสามารถไม่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย นี่แหละป้องกันดีที่สุดด้วยสติ พอเผลอไปก็รีบอ้าวให้มันทันควัน เร็วๆ ทันควัน ถ้าเป็นผู้ที่ฝึกสติมาก่อนมันก็ไม่ยาก เพราะว่าผู้ที่ฝึกสติมาก่อนหมายความว่าจะไม่ทำอะไรลงไปก่อนที่จะมีสติเสียก่อน ว่าเราจะทำอะไร แม้แต่หัดแบบ ยุบหนอ พองหนอ ก็ใช้ได้ เพราะว่ามันต้องรู้ว่าอะไรเสียก่อนถึงจะทำอะไรต่อไปนะ นี่เรียกว่ามันต้องรู้สึกทันที ว่ามันได้พลาดไปแล้ว ถ้าเป็นเรื่องเสียทางวินัยก็ไปแสดงอาบัติเสีย ไม่ทำอีก เป็นเรื่องทางธรรมะก็เสียใจให้มาก มีหิริและโอตตัปปะเสีย เพื่อจะไม่กลับไปเป็นอย่างนั้นอีก ก็เรียกว่าบรรเทารากเหง้า ขุดรากเหง้าของกิเลส ตัวกูของกู ถ้าเราไม่รู้ ไม่รู้เรื่องนี้ ไม่ประสีประสา เป็นผู้โง่เง่าหลงใหลในเรื่องนี้ กิเลสมันก็เกิดๆๆๆๆ และเกิดทุกทีๆ มันก็เพิ่มอนุสัย เพิ่มสังโยชน์ทุกทีๆ กิเลสนั่นนะ กลายเป็นสังโยชน์ เป็นอนุสัย ได้และก็เป็นมากๆขึ้น ทีนี้มันก็ยาก คือความเคยชินที่จะเป็นอย่างนั้นมันมากไปแล้ว จึงว่าละกิเลส ละอาสวะ ละอนุสัยนี่มัน มันก็ยาก ละอาสวะ ละอนุสัยมันจะยิ่งยาก เพราะมันคือความเคยชิน แต่ถ้าว่าเราไม่ให้กิเลสเกิดอยู่เสมอ อาสวะ หรืออนุสัยมันก็ร่อยหรอไปเหมือนกัน คือความเคยชินที่จะมีกิเลสนั่นมันก็ร่อยหรอไปเหมือนกัน เพราะเราๆไม่..ไม่ทำให้เกิดความเคยชิน ถ้าเราไม่สนใจเรื่องนี้ เราปล่อยมันตามเรื่องมาเรื่อย ก็เกิดกิเลสที มันก็ชินทีหนึ่ง เกิดอีกทีมันก็ชินมากเข้า ชินมากเข้า ชินมากเข้า ละความชินนี่ยาก นี่เขาเรียกว่าอาสวะบ้าง อนุสัยบ้าง สังโยชน์บ้าง มันเป็นเรื้อรัง ฉะนั้นเราเป็นโรคอะไร เราไม่รักษามันปล่อยให้มันเรื้อรังนะ มันก็ทำลำบาก ถ้าป้องกันเสีย ไอ้ความเรื้อรังมันก็ไม่มี มันไม่เกิด ไม่เกิดโรคหรือว่าเกิดแล้วรักษาเสียมันก็ไม่มีการเรื้อรัง ขอให้ตั้งอกตั้งใจที่ว่ามาสวนโมกข์จะได้อะไรให้ถูกต้อง ไม่มีอะไรง่าย นอกจากบอกว่าศึกษาให้ดีเรื่องตัวกูของกู แล้วก็ป้องกันอย่าให้ตัวกูของกูเกิด ถ้าเกิดให้รีบรู้ทันควัน และก็เสียใจให้มากเพื่อมันจะเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนนิสัย ไม่เกิดหรือเกิดยากขึ้น ถ้าเป็นอันธพาล ไม่รู้จักอาย เป็นคนเก้อยาก อย่างพระพุทธเจ้าท่านเรียกนะ เป็นคนเก้อยาก เป็นอันธพาล ทุมมังกุ แปลว่าคนเก้อยาก คนหน้าด้าน คนละอายยาก แล้วเพื่อนก็เตือนไม่ได้ อันนี้ด้วยละก็ ไม่มีหวังหรอก มาจากศิษย์สวนโมกข์ก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ ฉะนั้นเราจะต้องมาเข้าใจกันเสียดีๆ เพราะว่าการเป็นภิกษุ สามเณรนี่เป็นเพื่อนกัน เป็นสหธรรมิก เป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน แม้แต่อุบาสก อุบาสิกาก็เรียกได้เหมือนกันว่าสหธรรมิก เพราะว่าต้องปฏิบัติธรรมร่วมกันนะ อย่างเดียวกัน เพียงแต่คนละชนิดเท่านั้น คนละระดับ มันก็ต้องช่วยกันนะ ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้ได้รู้ ให้ได้แก้ไขได้ ให้ได้ออกจากไอ้กิเลสนี้ได้ นี่ถ้าเป็นภิกษุต่อภิกษุนี่มันยิ่งเป็นไอ้เพื่อนกัน นี่ใกล้ชิดมากขึ้นไปอีก กว่าที่เป็นวงกว้างๆ ในระหว่างภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นั่นมันกว้างไป แต่นี่ภิกษุล้วนๆนี่ก็ยังมีศีล มีธรรมมีอะไรที่ ถ้าให้มันเข้มงวดเข้ามาอยู่ในขอบเขตที่ใกล้ชิดมากขึ้น อย่างนั้นจึงจะต้องช่วยกันยิ่งๆขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่าจะมาเป็นศัตรูกันหรือว่าจะมาทำให้มัน เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า จะมาช่วยกัน ช่วยกันคือทำให้ ศาสนาของพระพุทธเจ้ายังคงเป็นศาสนาอยู่ ก็อยู่ที่เนื้อที่ตัวของเราคือ คู่เรียนคู่ปฏิบัติคู่สั่งสอนนะ คงเป็นศาสนาอยู่ ข้อนี้เขาเรียกว่าให้ทำร่างกายนี้ให้เป็นวิหารของพระพุทธเจ้า แม้ว่าจะไม่มีคำพูดตรงๆอย่างนี้ ตามตัวหนังสือ แต่ใจความที่พูด หมาย หมายความอย่างนี้นั้นมันมี ร่างกายนี้ไม่ใช่ที่อยู่ของผี ตัวกูของกิเลส ควรจะทำให้ร่างกายนี้และ จิตใจนี้เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้ามีแล้วก็พระธรรมพระสงฆ์ก็มีแหล่ะ เมื่อใดมันว่างไปจากตัวกูของกู เมื่อนั้นนะเป็นความหมายแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขออย่าดูถูกดูหมิ่นไอ้ร่างกายนี้ เดี๋ยวจะว่าปฏิกูลบ้างอะไรบ้างแล้วก็ไม่เอาใจใส่ จะต้องทำร่างกายนี้ให้เป็นเหมือนกับกุฏิหรือที่อยู่ที่อาศัยของพระพุทธเจ้า ทุกๆองค์ทำเถอะ ไม่ต้องกลัว จะมีพระพุทธเจ้ามาอยู่ด้วยทุก..ทุกๆร่างกายที่มันมีความสะอาด สว่าง สงบ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าองค์เดียวแล้ว นิพพานแล้วจะมาอีกไม่ได้ นั่นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดอย่างนั้น ท่านไม่ได้ตรัสอย่างนั้น แม้ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมะใดที่แสดงแล้ว วินัยใดบัญญัติแล้ว นั่นเป็นศาสดาอยู่กับพวกเธอ หลังจากตถาคต ล่วงลับไปแล้วโดยร่างกายนี้ นั้นจึงว่าเมื่อใดมีธรรมมีวินัย เป็นความสะอาด สว่าง สงบ อยู่ในกายในใจ เมื่อนั้นมีพระพุทธเจ้าอยู่ในเรา นี่ขอให้ช่วยกันทำให้ร่างกายนี้มันเป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า นี่จะต้องมีหิริ โอตตัปปะเท่าไร มีสติเท่าไร มีความไม่ประมาทเท่าไร ไปคำนวณดูเอง ในศาสนาคริสเตียนเสียอีก ที่เขาจะมีประโยคที่เขียนไว้ชัดว่าร่างกายนี้เป็นโบสถ์วิหารของพระพุทธ เอ่อ ของพระเจ้า ของพระเจ้า ใช้คำว่าพระเจ้า ต้องทำให้เป็นอย่างนั้น ให้ ให้ตามความมุ่งหมายนั้น ให้ร่างกายนี้เหมือนกับโบสถ์วิหาร เป็นที่อยู่ ประทับอยู่ของพระพุทธเจ้า ซึ่งรวมทั้ง พระธรรม พระสงฆ์ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ไอ้ผีบ้าตัวกูของกูมันจะอยู่แทน เดี๋ยวนี้มันก็มาเป็นๆครั้งคราวใช่ไหม มาคราวใดพระพุทธเจ้าก็ไป หายไป หนีไป นี่ถ้าไม่ไล่ผีบ้านี่ออกไป มีความสะอาด สว่าง สงบขึ้นมาอีก ก็มีพระพุทธเจ้ากลับมาอีกนี่ มันคล้ายๆกับว่าเล่นซ่อนหากันอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันที่จะเจอะกันได้ นี่เราบวชนี้อุทิศพระพุทธเจ้า ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ แม้ อะไรก็ตามใจ ก็เลยให้มันจริงอย่างที่ว่าไง เพราะว่าเมื่อ เมื่อจะบวชก็ว่าอย่างนั้นทุกคนนะ เวลาที่บวช ขอบรรพชาขออุปสมบทมันก็ว่าอย่างนี้ แบบเก่าเขาก็ว่าเพื่อทำนิพพานให้แจ้งเลยนั่นนะ คือหมดตัวกูของกู การบวชนี้
เอาล่ะเป็นอันว่าผมได้พูดเรื่องตัวกูของกูย้อนกลับต้นมาใหม่ แต่ก็ไม่ใช่ต้นทีเดียว แต่ก็เป็นการย้อนกลับต้นมาสำหรับผู้ที่มาใหม่เพิ่มขึ้นหลายๆองค์นี้ จะได้เข้าใจได้ว่าเราพูดเรื่องธรรมปาฏิโมกข์กันที่ตรงนี้ ไม่หยุดไม่หย่อนนี้พูดเรื่องอะไร เพื่อจะได้รู้จักไอ้ปัญหาทั้งหมด ไอ้ความทุกข์ความยากลำบากทั้งหมดนี่ มันอยู่ที่ไหน มันตั้งต้นอยู่ที่มันไม่รู้จัก ไม่บังคับ ตัวกูของกู นี่ปัญหามาตั้งต้นที่นี่ มาตั้งแต่ทีแรก นี่ขอให้สนใจที่จะบังคับ ใช้คำว่าบังคับนี่กินความมาถึงป้องกัน แก้ไข กำจัด ให้ไปด้วยเลย เมื่อหลับก็ดี เมื่อตื่นก็ดี ก็ทุกอิริยาบถ เมื่อเดิน ยืน นั่ง นอน กิน อาบ ถ่าย ไปบิณฑบาต ไหว้พระสวดมนต์ อะไรก็ดี ทุกๆอิริยาบถนะ จะต้องมีสติ ควบคุมมันอย่าให้เกิดได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว แม้แต่จะนั่งทำวัตร ไหว้พระสวดมนต์อยู่นี่อาจจะเกิดตัวกูของกูขึ้นมาได้ นี่ถ้ามันมากนักแล้วมันก็จะขัดใจ ขัดคอ ทะเลาะวิวาทกันที่ตรงนั้นก็ได้นะที่นั่ง นั่งไหว้พระสวดมนต์อยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปนะมันเป็นได้ เป็นอันว่าปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่ไม่รู้จักกำจัดกิเลสที่เป็นตัวกูของกู ปัญหาทั้งหมดที่คุณต้องบวชก็ดี ที่คุณจะทำต่อไปก็ดี หรืออะไรต่อไปข้างหน้าก็ดี มันอยู่ที่นี่ ปัญหาทั้งหมดมันอยู่ที่นี่ กระทั่งย้อนหลังไปปัญหาเมื่อเด็กๆเล็กๆ ก็มันอยู่ที่นี่ อยู่ที่ไม่รู้จักกำจัด ป้องกันควบคุมตัวกูของกู สิ่งเดียวเท่านั้น เอาละเป็นอันว่าวันนี้นะพอกันที