แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๑๖ เป็นการบรรยายครั้งที่ ๒ ผมจะได้กล่าวต่อไปโดยหัวข้อความมุ่งหมายของวิชาธรรมะในศาสนา หัวข้อใหญ่ของเรามีอยู่ว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ แล้วก็ได้พูดมาแล้วเป็นครั้งแรกว่าควรจะรู้เป็นสิ่งแรกว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ
ทีนี้ก็จะได้กล่าวถึงคำว่า วิชาธรรม นั้นให้มันละเอียดออกไป จะกล่าวถึงความมุ่งหมายของวิชาธรรมะนี้ก่อน ถ้าจะกล่าวโดยสรุปที่สุดก็กล่าวได้ง่ายๆ อย่างกำปั้นทุบดินว่า วิชาชีพนี่มันก็เพื่อร่างกายรอด วิชาธรรม ธรรมะนี่ก็เพื่อวิญญาณรอด ถ้าผู้ใดเข้าใจความหมายของสิ่งทั้ง ๒ นี้ดีก็จะง่ายในการที่จะเข้าใจธรรมะหรือศาสนา คนโดยมากมักจะถือเสียว่ามีแต่เรื่องร่างกายหรือวัตถุ เอาเรื่องของจิต ของวิญญาณมาเป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายหรือวัตถุ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาก็ไม่พูดกันถึงเรื่องจิตหรือวิญญาณ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาที่ตรงไหนให้เป็นที่สำหรับเรื่องของธรรมะ มันมีแต่เรื่องของร่างกายไปเสียหมด การที่จะเอาตัวหนังสือเป็นเกณฑ์นั้นก็ไม่ค่อยจะได้ คำภาษาบาลีนี่ก็แปลก ทุกสิ่งเรียกว่า ธรรม หมด ธรรมะ หมด แม้จะเป็นเรื่องของร่างกายหรือวัตถุ ก็เรียกว่าวัตถุธรรมหรือรูปธรรม เรื่องของจิตก็เรียกว่า นามธรรม มโนธรรม ก็แล้วแต่ แล้วแต่จะเรียก คำว่า ธรรม ในความหมายชนิดนั้นมันหมายถึงทุกสิ่งไปหมด เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดว่าวิชาชีพกับวิชาธรรม คิดดูแล้วก็แยกออกเป็นเรื่อง ๒ เรื่อง เรื่องทางกาย กับ เรื่องทางจิต
สรุปแล้วก็เอาเรื่องวิชาชีพนี้เป็นเรื่องทางร่างกายให้ชีวิตรอดอยู่ แล้วก็เอาวิชาธรรมเป็นเรื่องของจิตหรือทางวิญญาณเพื่อให้มนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เพราะว่าแม้แต่จะมีชีวิตรอดอยู่ได้นั้นมันไม่พอหรืออาจจะไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ก็ได้ ในเรื่องที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้นั้นก็เป็นเรื่องสูงขึ้นไปจากร่างกาย กว่าร่างกาย เป็นเรื่องจิตหรือที่ผมมักจะเรียกว่าเรื่องทางวิญญาณ เพราะว่าคำว่าจิตนี่มันกำกวม จิตส่วนหนึ่งมันเนื่องอยู่กับร่างกายเช่น ระบบประสาท หรือที่เรียกกันในภาษาไทยว่าโรคจิตนี่ที่แท้มันก็ไม่ใช่โรคจิต มันเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาทที่ยังเนื่องกันอยู่กับร่างกายอยู่มาก ถ้าพูดว่าจิตเราเลยออกไปกว่านั้นคือ เป็นเรื่องจิตคือความรู้สึกคิดนึกเรื่องสติปัญญาโดยตรงไม่ใช่ระบบประสาทสำหรับสัมผัสหรือไม่ใช่มันสมอง เพราะนั้นขอให้เข้าใจคล้อยตามนี้ ว่าถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจล้วนๆ ผมก็จะเรียกว่าเรื่องฝ่ายวิญญาณ ต่อมามันเป็นเรื่องร่างกายหรือที่เกี่ยวกันกับร่างกายเป็นส่วนมากเราก็เรียกว่า เรื่องร่างกาย เกิดเป็นเรื่อง ๒ เรื่องขึ้นมา สำหรับศึกษาง่ายและปฏิบัติกันง่ายด้วยความสมบูรณ์ วิชาชีพเพื่อร่างกายรอด ได้สิ่งที่ดีที่สุดในทางกาย วิชาธรรมเพื่อจิตรอดหรือวิญญาณรอด ได้สิ่งที่ดีที่สุดในทางวิญญาณ นี่คือพื้นฐานทั่วๆ ไปสำหรับแยกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ออกเป็น ๒ เรื่อง เรื่องร่างกายกับเรื่องวิญญาณ จิตใจ
ทีนี้บางคนเขาไม่เอาอย่างนั้น บางพวกในโลกเขาไม่เอาอย่างนั้น เขาเอาเป็นเรื่องวัตถุร่างกายหมด เรื่องจิตเรื่องวิญญาณนี้เป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกาย มันก็ได้เหมือนกัน เขาพยายาม พยายามพิสูจน์ไปตามนั้น ก็หาวิธีอธิบายหรือแก้ปัญหาไปตามนั้น แต่ถ้าเมื่อกล่าวตามหลักพุทธศาสนาเราก็มีอย่างนี้ แยกออกเป็น ๒ เรื่อง ปัญหาทางร่างกายกับปัญหาทางจิตหรือทางวิญญาณ
ทีนี้ในครั้งที่แล้วมาเคยพูดกันถึงมนุษย์สมัยนี้สนใจแต่เรื่องทางจิต เอ่อ, สนใจแต่เรื่องทางกายเพราะว่ามันรู้สึกง่าย ก็เลยมุ่งหมายกันแต่เรื่องความเจริญทางวัตถุ ก็เกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่าความเจริญทางวัตถุขึ้นมา ดึงเอาจิตใจของมนุษย์ไปหมด ไปหายใจเป็นวัตถุหรือความสุขที่เกี่ยวกับวัตถุไปหมด เกิดพบวิชาที่จะทำอะไรได้ตามใจ รวดเร็ว สะดวก มันก็ได้ผลมากๆ อย่างที่เรียกว่าเทคโนโลยีแขนงนั้นแขนงนี้มีมากมายด้วยกัน พอมนุษย์เผลอไปนิดเดียวก็บูชาไอ้เทคโนโลยีอย่างกับเป็นพระเจ้าไปเลย แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ทางจิตหรือทางวิญญาณ ไม่ได้ทำให้วิชาชีพนี่เกิดมีความสำคัญยิ่งไปกว่าวิชาธรรมะ แล้วมันก็ไม่รู้สึก เข้าใจว่าวิชาชีพเรื่องทางฝ่ายร่างกายนี่อย่างเดียวก็พอไม่ต้องยุ่งกับเรื่องทางจิต ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย คือมนุษย์ไม่สนใจกับเรื่องทางจิตหรือทางวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่า ทางศาสนา วิชาธรรมะเป็นเรื่องของทางศาสนา คนก็ละทิ้งศาสนาโดยพฤตินัยที่เป็นอยู่จริง คนเลยละทิ้งเรื่องทางศาสนาที่แท้จริง เอาศาสนากันแต่ปาก หรือว่าอย่างดีที่สุดก็เอาศาสนากันแต่เพียงผิวนอกที่เป็นพิธีรีตอง มันก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้ ก็แก้ได้แต่เพียงหลอกๆ กันข้างนอก เดี๋ยวนี้ก็ยังทำพิธีทางศาสนากันแม้ในพวกที่ทิ้งพระเจ้าแล้ว ก็มีพระเจ้ากันแต่ทาง แต่ปาก ก็แต่พิธีรีตอง โลกมันจึงเป็นอย่างที่กำลังเป็นคือมันก้าวหน้าแต่ทางเปลือกหรือทางผิวนอก ส่วนทางจิตนั้นมันไม่ก้าวหน้าหรือมันอาจจะเน่าไปหมด คือหายไปหมด ผมเคยเปรียบเรื่องนี้ว่าเหมือนกับต้นไม้ที่ว่ามันกลวงเป็นโพรง ดูข้างนอกก็เป็นต้นไม้พุ่มใหญ่สวย แต่ความหมายของคำว่าไม้ คือแก่น ไม้นั้นมันไม่มี เพราะว่าข้างในมันกลวงเป็นโพรง มันหลอกคนได้แต่ที่ไกลๆ มองมาแต่ที่ไกล พอเข้าไปใกล้ก็มองเห็นแต่โพรง ขนาดที่คนเข้าไปอยู่ในนั้นเป็นบ้านเป็นเรือนได้ นี่มันจะดีอย่างมากก็เพียงเท่านี้ สำหรับวิชาวัตถุ หรือเทคโนโลยี เพื่อความเต็มเปี่ยมทั้งสองฝ่ายคือทั้งฝ่ายวัตถุและทั้งฝ่ายนามธรรม ฝ่ายจิตใจ เราจึงต้องมีเรื่อง ๒ เรื่อง ที่ทำให้เปรียบกันได้ว่า ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยสัตว์ ๒ ตัว จะเป็นควายหรือวัว หรือม้า หรืออะไร ก็เป็นสัตว์ ๒ ตัวที่มีสมรรถภาพกันคนละทางลากไป นี่คือเกิดเป็นเรื่องวิชาชีพหรือวิชาธรรมะขึ้นมาเคียงคู่กันไป แล้วพวกคุณเรียนในมหาวิทยาลัยก็ดูเอาเอง รู้เอาเองว่ามันมีเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัตถุเกี่ยวกับวิชาชีพ แม้จะเรียกว่าวิชาแขนงไหนโดยบริสุทธิ์ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ อะไรบริสุทธิ์ มันก็ในที่สุดมันก็ไปสุดอยู่ที่อาชีพ แม้จะเพื่อความเป็นนักปราชญ์ก็เป็นนักปราชญ์เพื่ออาชีพ หาได้ยากที่ว่าจะเป็นนักปราชญ์เพื่อวิชาโดยตรง ก็เป็นอันว่ามันก็ขาดอยู่สิ่งหนึ่งคือขาดวิชาธรรมะ อย่างที่เราเคยสังเกตในแง่ของประวัติ หรือประวัติศาสตร์ บางยุคเขาใช้วิชาศาสนาเข้าไปเป็นรากฐานของการศึกษาของคน เขาเรียนวิชาชีพเพียงเพื่อจำเป็นส่วนๆ นั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ค่อยๆ ริดรอน เรื่องธรรมะ เรื่องศาสนาออกไปจากวงการศึกษา แล้วเรื่องทางวัตถุมาใส่แทนให้มันก้าวหน้า ยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งๆ ขึ้นไปจนเต็มเนื้อที่หมด เวลาหมด เรื่องศาสนานั้นเขายกไว้ให้เป็นเรื่องส่วนบุคคล ใครเขาต้องการก็ไปหาเอาเองซิ เขามีข้อแก้ตัวดีที่สุดสำหรับเขาคือว่า มันมีหลายศาสนานะ จะเอาศาสนาไหนให้เข้ามาใส่ในหลักสูตรมันก็ไม่ได้ มันไม่เป็นประชาธิปไตยนี่ ก็เลยตัดส่วนที่เป็นศาสนาออกไป ใครถือศาสนาไหนก็ไปหาเอาเอง รวมแล้วที่สุดแต่รัฐบาลส่วนมากก็มักจะพูดว่ารัฐบาลนี่ไม่เป็นศาสนาไหน จะปล่อยไว้ให้เป็นเรื่องทั่วไปได้ทุกศาสนา อย่างนี้เป็นต้น มันก็ชวนให้ยุ่ง สับสนกัน แย่งชิงกัน ดึงกัน ไม่เหมือนแต่สมัย ไม่เหมือนสมัยที่เขาถือเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นหลักของประเทศชาติ เอาเข้ามาเป็นเรื่องหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าการศึกษา ขอให้สังเกตข้อนี้ไว้ด้วย มันก็จะพบว่าเหตุอะไรมันจึงเกิดปัญหามากขึ้น เกิดปัญหายุ่งยากลำบากมากขึ้นในทางจิตใจของมนุษย์เรา ที่จะว่าให้ต่างคนต่างไปหาเอาเป็นส่วนตัวนั้น เด็กๆ จะไปหาอย่างไรได้ เด็กๆ ก็โตขึ้นมาโดยที่ไม่ต้องมีศาสนา กว่าจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ไปหาศาสนาเอาเองเป็นเรื่องส่วนตัว ที่นี้เป็นผู้ใหญ่มันก็หมดเวลา ก็ไปเป็นทาสของเทคโนโลยีเสียหมด หวังความสุข สนุกสนาน สบาย สะดวกในทางวัตถุ ทางร่างกายหมด ก็เลยไปถือศาสนาวัตถุกันหมด สนใจแต่เรื่องกิน เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว เรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องเจริญไปในทางวัตถุ ระวังให้ดีไอ้วิชาเคหะศาสตร์ หรือวิชาอะไรทำนองนี้มันจะลากจิตใจของคนไปหมด เรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องสะดวก เรื่องสบาย จนมันเกินสัดส่วน จะเป็นเทวดาไปก็ได้ แต่แล้วก็ไม่แก้ปัญหาเรื่องความทุกข์ส่วนตัวบุคคลนั้นได้ อย่าเผยอไปพูดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องสันติภาพของมนุษย์ทั้งโลกเลย เพราะนั้นวิชาเทคนิคอะไรทำนองนี้มันก็ไม่แก้ปัญหาของโลกของมนุษย์ได้ ผมจึงขอเสนอแนะให้สนใจในเรื่อง ๒ เรื่องนี่ พร้อมๆ กันไป อย่าให้วัตถุมันก้าวหน้าจนท่วมทับเรื่องจิตใจไปเสียหมด หมายความให้ริบเอาเวลา เอาความเพียร เอาอะไรของมนุษย์ไปหมดเพื่อวัตถุอย่างเดียว
ทีนี้เราก็มาศึกษากันถึงความมุ่งหมายโดยตรงของสิ่งที่เรียกว่า วิชาธรรมะ ในส่วนที่เป็นศาสนา ไม่ใช่ธรรมะทางภาษาพูดภาษาบาลีซึ่งหมายถึงทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไร คำว่า ธรรมะ ในที่นี้หมายถึงส่วนที่เอามาอยู่ในรูปของการสอนและปฏิบัติ ธรรมะทั่วไปหมายถึงความจริงทั่วๆ ไปของธรรมชาติทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นก็เรียกว่าธรรมะได้ แต่มนุษย์จะเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดนั้นมันไม่ไหว ขอนี้ขอให้นึกคำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สิ่งที่ฉันรู้ มันเท่ากับใบไม้บนต้นไม้หมดทั้งป่า ส่วนสิ่งที่เอามาสอนนั้นเท่ากับใบไม้กำมือเดียว นี้ก็ว่าธรรมแท้ๆ มันยังเป็นอย่างนี้ ธรรมทั้งหมดนั่นมันก็มีมาก จนเอามาสอนกันไม่ไหวหรือไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ ส่วนที่จะเอามาสอนก็ที่จำเป็นที่ต้องรู้และต้องปฏิบัติ มิฉะนั้นจะรอดอยู่ไม่ได้ นี่ก็พูดว่าธรรมะแล้วมันมีมากเสียอย่างนี้ พอพูดว่าศาสนาแล้วก็มันจำกัดวงแคบเข้ามาเท่ากับใบไม้กำมือเดียวเมื่อเปรียบกับใบไม้ทั้งป่า นี่ว่าตามหลักพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองอย่างนั้น นี่เท่าที่จำเป็นจะต้องรู้และจะต้องปฏิบัติด้วย คำว่าจำเป็นก็บอกอยู่ในตัวแล้วว่ามันจำกัด คือเท่าที่มันจะดับทุกข์ได้ คือถ้าจะแก้ปัญหาของมนุษย์โดยเฉพาะหน้านี้ได้นี้ก็เรียกจำเป็น จึงไปรู้ขอบเขตเอาเองเฉพาะคนๆ ไป ตามหน้าที่การงาน อันนั้นส่วนหนึ่ง หรือส่วนที่อยู่ในโลกหรือเกี่ยวกับสังคม แต่ถ้าเกี่ยวกับบุคคลคนหนึ่งที่จะไปได้สุดทางที่มนุษย์จะไปได้มันก็ความจำเป็นก็ขยายตัวจนถึงกับว่าไปนิพพานได้ให้ถึงที่สุด สำหรับความมุ่งหมายนี่ก็ยังจะต้องดูกันเป็นส่วนๆ เพราะการเป็นอยู่ในโลกนี้มันก็เป็นเรื่องที่แบ่งได้เป็นสัดเป็นส่วน ผมจึงอยากจะแบ่งให้มันเป็นชั้นสุดยอด แล้วก็ชั้นทั่วๆ ไปและชั้นที่มันเป็นรากฐาน เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่งดูมันส่วนรากข้างล่าง ส่วนตรงกลางคือลำต้นหรือกิ่งก้านของมัน ชั้นสุดยอดมันก็อยู่ที่ดอก ที่ลูก นี่เป็นความมุ่งหมายของประโยชน์สุดยอด ชีวิตคนเรามันก็คล้ายๆ กับอย่างนั้นมันมีส่วนที่เป็นรากฐาน แล้วมีส่วนทั่วๆ ไป แล้วมีส่วนที่เป็นสูงสุด ถ้าพูดถึงศาสนาก็หมายความว่าเราเล็งกันถึงส่วนสูงสุดที่ทางวิญญาณ ทางจิตใจจนต้องเรียกว่า ปรมัตถธรรม หรือ ปรมัตถสภาวธรรม ปรมัตถ์ แปลว่า อย่างยิ่งหรือสุดยอด ปรมัตถและประโยชน์อันสุดยอด ทำไมจะต้องพูดถึงสิ่งนี้ก่อน ไม่พูดถึงรากฐานก่อน ก็เพราะเดี๋ยวนี้เราก็ยืนอยู่ที่รากฐาน เราควรจะเล็งถึงจุดหมายปลายทางให้มันสุดไว้ก่อน เราก็จะมุ่งหน้าไปทางนั้นได้อย่างถูกต้อง คนทั่วไปควรจะสนใจเรื่องนี้ เรื่องปรมัตถ์ เรื่องโลกุตระ เรื่องอะไรอย่างนี้ เพราะในฐานะที่เป็นจุดหมายปลายทาง ไม่นั้นไม่รู้จะเหไปทางไหน จะหันไปทางไหน แม้ว่ายังปฏิบัติไม่ได้ ก็มองเห็นในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางเป็นประโยชน์สูงสุดของมนุษย์อยู่ที่นั่น มันเป็นเรื่องของความลึกซึ้ง เรียกว่าธรรมชาติส่วนที่มันลึกซึ้งที่เข้าใจไม่ได้ง่ายๆ เองตามลำพังในขั้นเป็นอยู่ประจำวัน เรามีความทุกข์เราก็ไม่รู้ว่าจะแก้ความทุกข์กันอย่างไร เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันจะจบกันที่ไหน หรือเกิดมาทำไม นี่ก็ล้วนแต่ไม่รู้ ก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ เพราะว่าแก้ปัญหาในทางสูงสุดไม่ได้เพราะไม่รู้ นี่ปัญหาตรงนี้ตรงหน้าเฉพาะหน้านี้ก็แก้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไมหรือว่าจะไปกันที่ไหน เพราะนั้นเราจึงพูดถึงคำว่ายอดสุดกันก่อน คือปัญหาทางวิญญาณ เอาเป็นจุดหมายปลายทาง
ทีนี้มันก็เป็นการยากที่ว่าจะให้เด็กๆ เล็ก ๆ นี่จะไปรู้ว่าเราจะไปจบชีวิตในตอนแก่เฒ่าเข้าโรงนั้นอย่างไร หรือดูไม่อยากจะสนใจเพราะจะคิดว่าเป็นเรื่องเศร้า หรือบางทีก็จะคิดเลยไปว่าเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ถ้าให้เด็กๆ ไปคิดว่าคุณปู่ คุณตา คุณย่าจะจบชิวิตลงอย่างไร เขาคงจะหัวเราะ หรือว่าคนทั่วไปก็จะคิดว่าเป็นเรื่องบ้าบอก็ได้ ก็เลยไม่มีใครทำ ไม่มีเด็กคนไหนทำ ไม่มีการสอน แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องทางจิตใจว่ามันจะไปจบลงที่ไหน ทีนี้การที่ผมเอาเรื่องยอดสุดมาพูดเป็นเรื่องแรกก็จะได้รับการหัวเราะเยาะ แต่แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ ก็จะต้องพูดว่าเราจะไปที่ไหนกันอยู่นี่แหละ จะไปจบเรื่องลงที่ไหน มีแต่พูดกันนิดหน่อย ตามหลักใหญ่ๆ ของทางศาสนา ว่าชีวิตนี้มันจะต้องเป็นไปตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้ พอเกิดมาในระดับแรกๆ ต้นๆ ของชีวิต มันก็รู้จักในสิ่งที่รู้จักได้ง่ายที่สุด คือเรื่องกิน แล้วไม่อยากจะกินให้มันดีให้มันอร่อยมากขึ้น มันก็กลายเป็นเรื่องกาม ในภาษาไทยคำว่ากาม อาจจะมีความหมายแคบ เล็งไปเรื่องทางเพศ ภาษาบาลีก็เหมือนกันแต่ว่ากว้างกว่า เพื่อความอร่อยก็เรียกว่าเพื่อกาม แต่เท่าที่จำเป็นก็จะเรียกว่ามันไม่ใช่กาม ถ้าเรากินอาหารเพียงเพื่ออยู่ได้อย่างถูกต้องนี้ก็จะเรียกว่า มันกินอาหาร แต่จะกินให้เอร็ดอร่อยสาแก่ใจนี่ก็เรียกว่าเป็นเรื่องกามในทางลิ้น ก็มีเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทางตา ทางหู หางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าว่าทำเพื่อธรรมชาติรอดมันมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมชาติไม่ใช่เรื่องกาม แล้วทำให้มันเรื่อง กลายเป็นเรื่องเอร็ดอร่อยแล้วมันก็เป็นเรื่องกาม ชีวิตมันเริ่มต้นตั้งต้นด้วยเรื่องกาม พัวพันหลงใหลในเรื่องกาม ตอนนี้ก็เรียกว่าจิตมันอยู่ในระดับที่จะพัวพันอยู่ในกาม เรียกว่า กามาวจรภูมิ ภูมินี้แปลว่า ชั้นหรือลำดับ อาวจร ก็แปลว่ามันเที่ยว ลงไป คือว่าคอยแต่จะไปหา ที่นั่น ที่กามาวจรภูมิ หรือภูมิของจิตที่มีแต่จะตกแส่ไปในทางกาม แส่หาไปในทางกาม นี่คือระดับตั้งต้นของสัตว์ ตั้งแต่เกิดมา เป็นหนุ่ม เป็นสาว กำลังเป็นพ่อบ้านแม่เรือนด้วยซ้ำ
ทีนี้ต่อมาไอ้เรื่องกามมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ อวัยวะสำหรับทำหน้าที่เกี่ยวกับกามนี้มันก็เฉื่อยชาไป ก็เปลี่ยนสูงขึ้นไป เป็นเรื่องรูป คือเรื่องวัตถุล้วนๆ ที่ไม่ต้องเกี่ยวกับกามก็ได้ ตอนแรกเราก็มีเงินเพื่อซื้อหากาม พอมาตอนนี้ก็มีเงินเพื่อเป็นหลักทรัพย์เพื่อความอุ่นใจ เพื่อจะซื้อโรงเผาศพมากกกว่า ไอ้เงินแท้ๆ มันก็เป็นปัจจัยที่เปลี่ยนไป ทีแรกก็เป็นเรื่องสำหรับกาม ที่หลังก็จะเป็นเรื่องสำหรับรูปเช่น มีบ้านเรือน มีทรัพย์สมบัติ เครื่องเรือน มี เล่น ของที่มันเป็นวัตถุเหมือนอย่างที่เขาเล่นๆ กัน แม้แต่เล่นรูปภาพ เล่นต้นไม้ เล่นลายคราม เล่นเครื่องนั่น เครื่องนี่ นี่มันค่อยๆ ถอยห่างมาเป็นเรื่องของรูป ถ้าโดยมากก็เป็นเรื่องของคนแก่ ถ้าเป็นเรื่องของเด็กๆ ก็เช่น ชอบเล่นแสตมป์ สะสมรูปภาพอะไรต่างๆ นี่มันถอยมายังรูปล้วนๆ นี่เรียกว่า ชั้น รูปาวจร ชั้นที่จิตมันแส่ไปหาในเรื่องรูปล้วนๆ ที่ไม่เกี่ยวกับกาม
ถ้าอยู่มาอีกแล้วมันมีความก้าวหน้าที่ถูกต้อง นี่หมายความว่าบางคนอาจจะไม่ก้าวหน้าเลยก็ได้จนตายเข้าโลง เพราะตามธรรมชาติมันกำหนดมาพร้อมกับการก้าวหน้า แต่คนมาขวาง ขวางกระแสของธรรมชาติ เรื่องกามมาล่อกันเข้าไว้จนเข้าโลง มันก็ไม่รู้จักเบื่อในทางกามจึงได้แก่มนุษย์ส่วนนี้ แล้วมนุษย์ในเวลานี้เป็นส่วนมาก ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติอย่าเอาอะไรมาล่อ มาหลอกกันนักก็จิตมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ในที่สุดก็ไปหารูปหรือสิ่งที่ไม่มีรูป ถ้าต้องการความสุขก็ต้องการความสุขจากสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นเกียรติยศ ชื่อเสียง หรือว่าบุญกุศลในที่สุด นี่คนแก่ก็ไปจบลงที่ความหวังในบุญในกุศล หรือว่าอย่างต่ำๆ ก็แค่เกียรติยศชื่อเสียง นี่ก็ยังดีกว่าเรื่องกามหรือว่าเรื่องวัตถุ คือมันสูงกว่า มันละเอียด มันประณีตกว่า มันจึงเกิดมีเป็นเรื่อง กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ขึ้นมาในจิตใจของคนที่เปลี่ยนมา เปลี่ยนมา ตามธรรมชาติเป็น ๓ ขั้นอย่างนี้
นี่ถ้าจะมีอีกขั้นหนึ่งก็เรื่องออกไปพ้นเลยเรียกว่า โลกุตระ นี่ นี่ไม่ๆ ไม่เป็นเรื่องกาม เรื่องรูป เรื่องอรูป ออกไปจากสิ่งทั้ง ๓ เรื่อง เป็น โลกุตระ เป็น นิพพาน จะไปถึงหรือไม่ถึงก็ ก็แล้วแต่บุคคลนั้นๆ ยอดสุดมันมีอยู่อย่างนี้ ที่จบลงที่เหนือ ไอ้เหนือกาม เหนือรูป เหนืออรูป ก็เป็นนิพพาน ชีวิตที่ธรรมชาติจัดให้ มอบให้ มันเป็นอย่างนี้ แต่ตัวชีวิตหรือตัวคนนั้นมันไม่รู้สึก มันก็เอาไปตามความรู้สึกในขณะนั้น กำลังหลงกามหรือว่าบูชากาม อย่างนี้เป็นต้น นี่จะเป็นการดีหรือไม่ดีที่จะให้ นักเรียนหรือนิสิต นักศึกษา รู้ว่าเกิดมาทำไม จะไปจบลงที่ไหน เพราะว่าถ้าเอาตามความรู้สึกในปัจจุบันนี้ของเขาก็มันก็จะต้องเรียนให้ได้แล้วก็สอบได้แล้ว มันก็ไปหาอาชีพแล้วก็มีเงินมากแล้วก็กินดื่มร่าเริงกันเต็มที่ เพราะว่าพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้ วันนี้เราก็กินดื่มร่าเริงกันเต็มที่ ตามวิธีของวัตถุนิยม แต่ถ้าให้รู้ไว้ว่ามันไม่ใช่เท่านั้น ไอ้เรื่องกินดื่มร่าเริงเต็มที่ เพราะว่าวันนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้ นั่นมันเป็นเรื่องของคนบ้ากาม ขออภัยการใช้คำหยาบคายโสกกระโดกนี่มารวม มันมีประโยชน์อยู่เพราะมันเข้าใจได้เร็วๆ ทันทีไม่เสียเวลามาก เพราะนั้นอย่าหาว่าเป็นการใช้คำหยาบ เพราะคนมามัวบ้ากามอยู่ที่นี่ มันก็ไม่แน่ว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าหรือไม่ เพราะส่วนมากมันเดินไปไม่ได้ เพราะว่าโลกสมัยนี้มันมีวัตถุสำหรับกามมากขึ้นๆ ก็ผลิตมากขึ้นๆ แปลกนะ มากยิ่งขึ้นไปเลยไม่มีวันที่จะพอ คล้ายๆ เรารู้ว่าเราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แล้วก็ไม่ได้หลงกับมัน จะไปเกี่ยวข้องกับวัตถุ ก็เท่าที่จำเป็น เท่าที่จะเป็นอาหารได้ อย่าถึงกับว่าเป็นกามเลย จะไปเกี่ยวข้องกับการกิน กินเพื่อเป็นอาหารบำรุงชีวิตอยู่ อย่าไปหวังความเอร็ดอร่อย จนกลายเป็นกาม จะกินข้าวกินปลากินอาหารหรือจะไม่เป็นอาหาร จะไปเป็นของกินเล่นเอร็ดอร่อยอย่างซึ่งๆ ตามปกติแล้วก็แพง นี่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องกามในการกิน เดี๋ยวนี้ก็กำลังนิยมกันมาก บางทีนิสิตทั้งหลายคิดว่าจะหาเงินมาก มีอาชีพแล้วก็เที่ยวกินให้เอร็ดอร่อย ไปกินอาหารกลางวันต่างจังหวัดหรือว่าที่ไหนมีอะไรอร่อยก็ขับรถยนต์ไปนี่เพื่อกินอาหารอร่อยมื้อเดียวนั้น นี่คือเรื่องกาม ถ้าหมายมั่นปั้นมือไว้อย่างนี้แล้ว ผมคิดว่าไปคิดดูใหม่ดีกว่า เลิกหมายมั่นปั้นมืออย่างนั้นมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
ทีนี้เรื่องอื่นก็เหมือนกัน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ๖ อย่างนั้นให้มันเป็นเรื่องเป็นไปอย่างถูกต้อง ตามที่จำเป็น คือไม่เกิดความทุกข์ก็แล้วกัน ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นมาเพราะเรื่องนี้แล้วมันก็เป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ ในที่สุดมันมากไปแล้วมันก็ต้องฆ่าตัวตายเพราะเรื่องกาม การกินตามธรรมชาติไม่มีปัญหาถึงกับต้องฆ่าตัวตาย เพราะว่า นกกระจิบมันก็ยังไม่อดตาย อย่างที่พระเยซูกล่าวไว้ เรื่องกามนี้มันยากที่จะให้ได้เต็มตามความต้องการของมัน เพราะมันเป็นเรื่องที่ขยายตัวออกไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด นี่เรียกว่า ตัณหา สิ่งที่เรียกว่าตัณหาไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม ด้วยเหยื่อของตัณหา แต่ถ้าเรากินอย่างบำรุงร่างกายอยู่ได้ มันก็มีส่วนที่ทำให้พอก็ได้ทุกวันๆ นี้ก็พูดเสียเลยว่า ไอ้ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ มันก็หิว แต่ไม่ใช่หิวอาหาร แต่มันเป็นเรื่องหิวกาม นี่คือความหมายที่แท้จริงของคำว่า กิเลส หรือ ตัณหา ถ้าร่างกายหิวแท้ๆ มันก็ไม่เท่าไหร่ กินแล้วก็หายหิว แต่ถ้ากิเลสตัณหาหิว ยิ่งกินก็ยิ่งหิว เพราะอร่อยเท่านี้มันก็อยากจะอร่อยเท่านู้นมันออกไปได้เรื่อยไม่มีวันอิ่มวันพอ นี่เป็นอาการของความเป็นเปรตในร่างมนุษย์นี่ สวยๆ งามๆ ถือปริญญาบัตรก็ได้ คือมันหิวเรื่อยไม่มีวันอิ่มวันพอนี้ก็คือความหมายว่า เปรต เพราะว่าเปรตมีความหมายเป็นหิวด้วยตัณหา มันก็สร้างนรกขึ้นมาที่นี่ คือเดี๋ยวนี้ในจิตใจของคนเหล่านั้น อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า ผัสสายตนิกนรก นรกที่เป็นไปตามอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ๖ อย่างนี้ทำผิด เกิดความอยาก ความต้องการที่จะหยุดไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ มันก็ร้อนเป็นไฟอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกอย่างนี้แท้จริง แล้วก็เห็นได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ตกนรกอย่างนี้แล้วตายไปก็ไม่ตกนรกชนิดไหนหรอก เพราะนั้นไม่ต้องไปสนใจนรกก็ตายแล้ว แก้ไขที่นรกจริงๆ ที่อยู่ที่นี่ให้ได้ ก็ไม่มีนรกชนิดไหนอีก นั่นนะเราจะต้องรู้วิชาธรรมะ ในชั้นยอดไว้เป็นจุดหมายปลายทาง จะไม่ตกนรกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็จะได้สวรรค์ที่ชื่อว่า ผัสสายตนิกสวรรค์ ได้เหมือนกัน เมื่อไรมีความพอใจในการประพฤติ กระทำที่ถูกต้องของเรา เกิดความดีใจในความสำเร็จในการกระทำความดี พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เมื่อไรเมื่อนั้นก็เป็นสวรรค์ชนิดนี้ ซึ่งจะสร้างได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แต่ต้องด้วยความรู้วิชาธรรมะสุดยอด คือรู้ว่าเกิดมาทำไมในที่สุดหรือว่าทำให้มันได้ นี่คือความมุ่งหมายของธรรมะ ของวิชาธรรมะที่เป็นชั้นสุดยอด ให้มนุษย์ไม่มีความทุกข์เลยในทางจิต ทางวิญญาณ จะต้องไปถึงจุดนั้นถึงจะเรียกว่าได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เอาไว้เป็นยอดสุดของต้นไม้ ที่ลดลงมาเรียกว่าเป็นชั้นทั่วๆ ไป เพราะอันนี้มันเล็งไปถึงเรื่องของสังคมเพราะคนเราคนหนึ่งๆ นี่มันผูกพันกันอยู่กับสังคม เราก็เป็นหน่วยของสังคม เพราะนั้นก็ว่าสังคมก็รวมเราอยู่ด้วย มันผูกพันกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น ถ้าตามทางธรรมะหรือวิธีพูดจาในฝ่ายธรรมะหรือภาษาบาลีคำว่า สังคม นี้มันกว้างไปถึงว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉานหรือวัตถุสิ่งของที่มันเกี่ยวข้องกับเราก็เรียกว่าสังคมไปหมดและสิ่งนอกตัวเราแต่ว่ามันแวดล้อมอยู่กับเราก็เรียกว่าสังคมไปหมด ไม่จำเป็นจะต้องมุ่งหมายเฉพาะมนุษย์ด้วยกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่สิ่งที่เราจะต้องไปเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันก็ต้องเรียกว่าส่วนสังคม ก็เลยต้องทำให้ถูกในส่วนสังคมอีกทีหนึ่ง ก็มีธรรมะอยู่ส่วนหนึ่งสำหรับให้มีความถูกต้องในทางสังคม เดี๋ยวนี้เรามันเกิดบัญญัติคำขึ้นมาใช้แล้วให้ความหมายจำกัดหรือแพร่ไปตามความประสงค์อันนั้น เกิดความยุ่งยากลำบากขึ้นมาเกี่ยวกับคำพูดจา เดี๋ยวนี้ผมกำลังพูดว่าสังคมหรือสังคมนิยม แต่ก็ไม่ใช่สังคมหรือสังคมนิยมอย่างที่เขาพูดกันโดยมาก เพราะว่าวิชาธรรมะมันก็เป็นวิชาโดยตรงที่จะให้เราแก้ปัญหาส่วนที่มันเกี่ยวพันกันอยู่กับสังคม ไอ้เรื่องจะพูดว่าเราอยู่ในโลกคนเดียวไม่ได้นี้ก็รู้กันแล้ว ไม่ต้องพูด นี้เราก็ต้องอยู่ร่วมๆ กันมันก็ต้องมีอะไรที่ทำให้เกิดความถูกต้องหรือเรียบร้อยในการที่อยู่ร่วมกัน คำว่าอยู่ร่วมกันโดยสันติเป็นคำพูดที่ดีที่สุดถ้าใครจะพูดก็ตามใจ มันเป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายของสังคมเพราะว่าเราอยู่คนเดียวไม่ได้ ก็ต้องอยู่หลายคนก็ต้องอยู่ร่วมกันด้วยสันติ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ล้มละลาย การจะอยู่ร่วมกันด้วยสันติก็ต้องเล็งถึงประโยชน์ของสังคมเป็นใหญ่คือเป็นสังคมนิยม พอพูดว่าสังคมนิยม คนที่ยึดมั่นในคำว่าประชาธิปไตยก็หาว่าไอ้หมอนั่นเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว อย่างนี้ มันก็เลยพูดกันไม่ได้ พูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้ผมมุ่งหมายจะให้ถือเอาความหมายว่า สังคมนิยม ตามที่ธรรมชาติกำหนดไว้อย่างตายตัวหรือที่พระศาสดาทั้งหลายรู้ แล้วก็บัญญัติ บทบัญญัติในพุทธศาสนาไว้เป็นไปเพื่อสังคมนิยมทั้งนั้น ดูศาสนาพุทธ ศาสนาคริสเตียน ศาสนาอิสลาม บทบัญญัติ ส่วนพื้นฐานทั่วไปก็มีอยู่สำหรับมีสังคมที่ดีที่อยู่ร่วมกันด้วยสันติ ไม่ใช่ให้ต่างคนต่างเอา ใครมือยาวสาวเอา แต่ละคนเห็นแต่ประโยชน์ตัว ใครหาได้ด้วยกำลังสติปัญญาของตัวก็เรียกว่ายุติธรรมแล้ว ถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างนี้เป็นประชาธิปไตยแล้วก็จะเป็นประชาธิปไตยที่บ้าบอที่สุด คือทำความปั่นป่วนขึ้นในโลกนี้ ใครมีกำลังกายมาก ใครมีปัญญามาก ก็ทำไปแบบมือใครยาวสาวเอา มันจะเกิดความอยู่ร่วมกันด้วยสันติได้อย่างไร เมื่อมือใครยาวสาวเอาแล้วจะมีการอยู่ร่วมกันด้วยสันติได้อย่างไร ก็ต้องยื้อแย่งกัน ก็ต้องทำลายกันไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะเป็นประชาธิปไตยมันก็ต้องเป็นประชาธิปไตยที่เอาธรรมะเป็นตัวตน เอาความถูกต้องเป็นตัวตน อย่ามือยาวสาวเอา มันก็ไปเข้ารูปสังคมนิยมอีก มันควรจะเป็นประชาธิปไตยเพื่อสังคมนิยม หรือว่า สังคมนิยมของประชาธิปไตย ให้มันมีเห็นแก่ผู้อื่นไว้แล้วเป็นถูก เห็นแก่การอยู่ร่วมกันโดยสันติไว้แล้วก็เป็นถูก นี่ธรรมะส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนทั่วไปมันก็เล็งถึงสังคมอย่างนี้ ยกตัวอย่างในพุทธศาสนาดีกว่า ศาสนาอื่นก็มี วิญญาณในพุทธศาสนา ก็มีหลักเกณฑ์ที่ว่าลืมตัวเสีย เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ธรรมะมันก็ตกไปเป็นประโยชน์ของสังคมมากกว่า ส่วนตัวเราเอาเท่าที่จำเป็น ส่วนที่เกินอย่าเอา
พูดไปจากวินัยของภิกษุก่อน คุณบวชเข้ามาเป็นภิกษุ ถ้าบวชจริงเป็นภิกษุจริงเดี๋ยวนี้คุณก็มีทรัพย์สมบัติแต่บาตรกับจีวรเท่านั้น นอกนั้นไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สมบัติหรือทรัพย์สิทธิของตัว ถ้าจีวรก็จำกัดไว้ ๓ ผืน พอได้มาใหม่เป็นผืนที่ ๔ จะถือเอาเป็นของตัวไม่ได้ มันเป็น อาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ต้องเอาไปทำวิกัป วิกัป คือทำให้เป็นของส่วนกลาง เป็นของสงฆ์ก็ได้ หรือเป็นของคณะบุคคลในส่วนที่จำกัดเท่านั้นเท่านี้ก็ได้ ผืนที่ ๔ เอ่อ, ผืนที่ ๔ นั้นไม่ใช่ของพระองค์นั้นนะ มันเป็นของสงฆ์ หรือของสังคมสงฆ์ไป ได้บาตรมาอีกใบหนึ่งก็จะยึดถือไม่ได้ ถือสิทธิไม่ได้ มันเป็นอาบัติ ที่จะต้องสละบาตรนั้นออกไป หรือว่าจะเลือกเอาใบไหนไว้ก็เอาใบนั้นไว้ ไอ้ใบที่เหลือนั้นต้องสละออกไปจากสิทธิของตน นี่ถ้าภิกษุจะทำกุฏิอยู่เป็นส่วนตัวก็ ๗ คืบ ๑๒ คืบ คือ ๗ ฟุต หรือ ๑๒ ฟุต ยาวนะ เป็นอย่างมากนั่นละพอดี ถ้ามากกว่านั้นมันเกิน เกินแล้วก็เป็นอาบัติ ทำไม่ได้ นี่ว่าส่วนที่เหลือนั่นก็ต้องให้เป็นเรื่องของสงฆ์ ถ้าจะทำกุฏิหลังใหญ่มันก็ต้องเป็นของสงฆ์ ก็แปลว่าให้คนคนหนึ่งเอาไว้เท่าที่เหมาะสม หรือสมควร ส่วนเกินนั้นต้องเป็นของส่วนรวมหรือของสังคม เช่นในที่นี้ก็เป็นของสงฆ์ มีไว้สำหรับภิกษุโดยหลักวินัยด้วย แล้วก็โดยหลักธรรมะก็ยังเหมือนกันอีก คือถ้าใครเอามากเกินกว่าที่จำเป็นคนนั้นจะต้องมีความทุกข์ ความลำบากเกี่ยวกับส่วนนั้น
ทีนี้ฆราวาสก็เหมือนกัน ก็จะมีเท่าที่ฆราวาสควรจะมี พอเกินแล้วมันก็ทำความยุ่งยากลำบากเกิดเป็นทุกข์ หากว่าเป็นคนที่โลภเกินไปจนลามก มีคำกล่าวว่า อติโลโภ หิ ปาปโก ความจริงนั้นโลภเกินไปคือ บาป อยากได้ หรือหาหรือมีไว้เกินกว่าที่ควรจะมีก็เรียกว่า บาป คือ ลามก แน่นอนจะทำความยุ่งยากลำบากแล้วจะเป็นทุกข์ หรือจะได้ฆ่าแกงกันก็เพราะเหตุนี้ มนุษย์กำลังมีบาปในส่วนรวมส่วนใหญ่ของโลก เพราะมันโลภเกินไป มันก็ได้ฆ่าแกงกันเกิดสงครามไม่มีที่สิ้นสุด ทีนี้ว่ากันในบ้านเรือนในส่วนบุคคล ก็ดูว่าบ้านไหนมีเกิน บ้านนั้นจะเหมือนคนบ้า ในบ้านเรือนหลังไหนที่มันมีอะไรไว้เกินจำเป็นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเหมือนกับคนบ้ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นมันจะทำความยุ่งยากลำบากในทางเศรษฐกิจหลายซับหลายซ้อน ในที่สุดแต่จะเก็บรักษา ก็ต้องจ้างคนมา มันก็ต้องหาเงินมาจ้างลูกจ้างมากขึ้นไป ซึ่งมันไม่จำเป็น ยิ่งเห็นแก่ตัวจัด มันก็จะต้องทำคอรัปชั่น เพราะมันไม่พอใช้นี่ ก็เป็นเรื่องทำให้มันยุ่งและให้เป็นทุกข์ในที่สุดที่เกินไป
ทีนี้มาดูให้ต่ำสุดถึงสัตว์เดรัจฉาน นก หนู หรืออะไรก็ตามมัน มันไม่เอาส่วนเกินเลย ปาก ท้องมีเท่าไรก็ใส่ได้เท่านั้น ไม่มียุ้งฉางจะเก็บ แล้วก็วันนี้ก็เฉพาะวันนี้ ไม่ต้องเกินสำหรับพรุ่งนี้ มันก็เลยกินเท่าที่วันนี้จะต้องกิน ไอ้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็เป็นเรื่องของพรุ่งนี้ มะรืนนี้ แต่มนุษย์ไม่ใช่อย่างนั้น จะเอาส่วนเกิน เกินปากเกินท้อง ใส่ยุ้งใส่ฉาง เอาไว้ในธนาคาร แล้วก็ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มันเพื่อ เพื่อไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะเพื่อชาติหน้าด้วยก็ได้ ก็เรียกว่ารวบเอาส่วนเกินเอาไว้มันก็ต้องเป็นทุกข์ ทีนี้ปัญหาทางสังคมมันเกิดขึ้นเพราะว่าใครมีกำลัง ใครมีปัญญา ใครมีสมรรถภาพ เอา รวบเอาส่วนเกินเอาไว้มากเข้าๆ ไอ้ส่วน คนที่มันไม่มีสมรรถภาพอย่างนั้นมันก็จะขาดลงๆ ความทุกข์ยากในโลกตั้งต้นขึ้นเมื่อเกิดการแบ่งแยกกันเป็นคนจนและคนมั่งมี พวกคุณจะอ่านดูรู้ได้เองในเรื่องของประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยหินหรือก่อนสมัยหินเป็นต้นมา ก่อนที่เป็นมนุษย์ เป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ ครึ่งลิง ครึ่งคน ก็ตามแต่ ตอนนั้นยังไม่มีใครเอาส่วนเกิน เป็นอยู่เหมือนกับสัตว์ ไปเก็บของกินจากในป่าเฉพาะวันๆ ไม่มีใครมียุ้งมีฉาง ไม่มีใครเอาส่วนเกิน ก็คือว่าไม่มีใครมั่งมีหรือยากจนนั้นเอง ต่อมามันมีคนป่าบางคนมันมียุ้งมีฉาง แล้วมันมีแรงมาก มันฉลาดมาก ตัวมันก็โตกว่าเพื่อน มันก็ใช้สิ่งเหล่านี้ กอบโกยเอาส่วนเกินมาเป็นของตน มาสะสมไว้ ก็เกิดเป็นคนมั่งมีขึ้น คนป่ามั่งมี ไอ้คนป่าที่ยังจนอยู่มันก็ต้องกระทบกระเทือนจึงเกิดชิงมั่งมีหลายๆ คนเข้า ไอ้คนที่ไม่สามารถมันก็กระทบกระเทือนมาก คือเป็นคนจนขึ้นมา อันนี้ก็เป็นคนมั่งมีขึ้นมา โลกตั้งต้นมีปัญหาเมื่อคนแยกกันเป็นคนจนและมั่งมี นี่คือปัญหาสังคมได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะนั้นความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากปัญหาสังคมมากว่าปัญหาส่วนตัวบุคคล เพราะมันเป็นปัญหาสังคม ต่อมายังเกิดผู้รู้ ผู้ฉลาด เป็นหัวหน้า เป็นศาสดา ได้รับการสมรสให้แก้ปัญหาข้อนี้ นี่ก็คือ ครูบาอาจารย์ หรือกระทั่ง พระศาสดา เกิดขึ้นมาสั่งสอนว่าเราต้องถือธรรมะเป็นใหญ่ อย่าถือตัวเราเองเป็นใหญ่ก็แก้ปัญหาสังคมได้ตามลำดับ ทีนี้ต่อมาคนก็ไม่เชื่อศาสดา อาจารย์ เพราะกิเลสมันหนาขึ้น มันก็ย้อนกลับไปสภาพที่ว่าใครมือยาวสาวเอา ใครมีอำนาจเงิน อำนาจสติปัญญา อำนาจเครื่องมือ อำนาจอะไรก็ตามใจ มันก็สาวเอาๆ คนมั่งมีก็มั่งมีเตลิดเปิดเปิงไป คนจนสู้ไม่ไหวก็ลดลงไปเป็นคนจนที่จนยิ่งขึ้นไปอีก นี่ถ้าถือตามหลักของพระพุทธเจ้า ท่านก็วางหลักไว้อย่างนี้แล้วว่า พระองค์หนึ่งไม่ให้มีอะไรมากกว่าบาตร กับ จีวร หรือถ้าจะมีกุฏิของตัวก็ ๗ คืบ ๑๒ คืบ มันก็เหลือสำหรับคนอื่น แล้วยังสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทายกทายิกกาเมื่อถือตามพระพุทธเจ้าก็ไม่เอาไว้มากเกินกว่าที่จำเป็น ที่เหลือนั้นเอาไปไหน ก็ทำบุญทำทานอย่างที่เห็นกันอยู่ ถ้าเป็นเศรษฐีก็หมายความว่า เป็นผู้ที่สร้างวัดแข่งกัน สร้างโรงทานแข่งกัน เศรษฐีคนไหนมีโรงทานจำนวนมากกว่าคนอื่นก็ได้รับการยกย่องให้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศ คือ ชั้นเลข หมายเลขหนึ่ง แต่ถ้าว่าเศรษฐีเดี๋ยวนี้คือ พวกนายทุนนี่เขาไม่เคยคิดว่าจะสร้างวัดแข่งกัน จะสร้างโรงทานแข่งกัน เขาจะสร้างโรงงานอุตสาหกรรมแข่งกัน เพื่อเขาจะดูดเอามามากกว่าคนอื่นมากกว่า ระบบสังคมนิยมมันก็เปลี่ยนไปหมด ถ้าเราทำตามธรรมชาติกำหนดไว้ก็ก็จะมีหลักว่าส่วนเกินนั้นอย่าไปโกยเอามา ที่มันส่วน เป็นส่วนเกินอย่าไปโกยเอามา ดูฐานะให้รู้จักดีและก็ทำพอดี แสวงหาพอดี มีไว้ให้พอดี อะไรพอดี แม้จะเผื่อไว้บ้างมันก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าอย่าเผื่อไว้เกินไป นี่ก็เรียกว่าไม่เอาส่วนเกินแล้วสังคมก็อยู่กันได้ด้วยสันติ เพราะมันจะล้นไหลไปหาไอ้คนที่ยังจนอยู่หรือขาดอยู่ สังคมนิยมอย่างนี้ก็เป็นวิญญาณของพุทธศาสนา เพราะนั้นธรรมะมันจึงโผล่ขึ้นมาด้วยคำว่า เมตตา กรุณา มุทิตา ในแบบนั้นทั้งนั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาจะเอาไปทิ้งกันหมดแล้วในเรื่อง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือการให้ทานหรืออะไรก็ตามแต่ จะเอาไปทิ้งกันหมดแล้ว ถ้าจะให้ทานมันก็เป็นการซื้อคนอื่น การที่ว่าเอาเงินมาให้ เอาของมาให้ ก็เพราะว่าจะซื้อเราไปเป็นบ่าวของเขาก็ได้ ไปเป็นผู้ร่วมมือกับเขาในการแสวงหาประโยชน์ ส่วนใหญ่เป็นของเขาส่วนน้อยก็แบ่งปันกันนี่ เดี๋ยวนี้การให้ทานมันจะไม่มีในบ้านเมือง อย่างดีที่สุดก็ว่าจะลงทุนเอาไว้ ทำบุญเอาไว้ เผื่อตาย ชาติหน้าจะได้ไปกอบโกยเอาประโยชน์ อย่างนี้ทำบุญเหมือนกับฝากธนาคารเอาไว้เอาดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะแท้ ไม่ใช่ เมตตา กรุณา การให้ทานนั้นไม่ใช่ เมตตา กรุณา มันก็ผิดหลักที่จะทำให้สังคมอยู่ร่วมกันโดยสันติ นี่เรียกว่า ธรรมะ วิชาธรรมะในระดับทั่วไปนั้นเล็งถึงสังคม ให้สังคมรอด
ทีนี้ผมจะพูดอีกชั้นหนึ่งเรียกว่าระดับพื้นฐาน หรือรากฐานทั่วๆ ไป ก็หมายความว่า ธรรมะ พื้นฐาน รากฐานสำหรับสังคมด้วย สำหรับบุคคลหนึ่งๆ ด้วย ก็พอจะเข้าใจได้ว่าเราต้องมีธรรมะที่เป็นรากฐานอย่างไร เราคนหนึ่งจึงจะสงบสุขด้วยแล้วสังคมก็จะสงบสุขด้วย คนๆ หนึ่ง กับจิตใจของคนๆ หนึ่งนั้นมันเป็น เป็นวัตถุสำหรับจะศึกษาหรือแก้ปัญหา คนๆ หนึ่งขึ้นอยู่กับจิตใจของคนๆ หนึ่ง จิตใจของคนๆ หนึ่งต้องถูกต้อง คนๆ นั้นมันถึงจะเป็นคนที่ถูกต้อง นี่เราจึงมองลงมาถึงธรรมะระดับพื้นฐาน เช่นว่าจะเป็นชาวบ้านที่ดี เป็นคฤหัสถ์ที่ดี ธรรมะสำหรับฆราวาส สำหรับที่จะปฏิบัติมันก็มีอยู่ นับตั้งแต่ว่าจะเป็นสุภาพบุรุษที่ดี เป็นอารยชนที่ดี คนหนึ่งๆ คำว่าสุภาพบุรุษนี่ขออภัยนะว่า ในสมัยที่ผมเป็นเด็กๆ ผมได้ยินคำว่าสุภาพบุรุษ ก็เป็นคำที่มีค่ามาก รู้การศึกษาทั้งหมดเพื่อความเป็นสุภาพบุรุษ หรือเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องเป็นอารยชน ประเทศบางประเทศได้รับเกียรติถูกยกให้เป็นตัวอย่างของสุภาพบุรุษ ทีนี่เดี๋ยวนี้คำว่าสุภาพบุรุษไม่มีความหมายอย่างนั้นแล้ว ประโยคบางประโยคยังติดตาอยู่ว่าในเคมบริด ในออฟฟอร์ด นี่เพื่อจะศึกษาอบรมความเป็นสุภาพบุรุษ หมายความว่า มหาวิทยาลัยนั้น เพื่อสร้างสุภาพบุรุษ เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัย เพื่อสร้าง ลิงทโมน ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเพราะว่ายังยกพวกตีกัน หรือว่าทำอะไรชนิดป่าเถื่อนที่สุด ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเหลือนี่ มหาวิทยาลัยไหนทำอย่างนั้น มหาวิทยาลัยอื่นก็ตามก้นที่จะทำอย่างนั้นอีก ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ แม้แต่กิริยาวาจา การพูดจา การแสดงออกต่อครูบาอาจารย์ มันไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ พอคนนั้นโตขึ้นออกมาเป็นครูบาอาจารย์เสียเองก็นำฝูงกลายเป็นลิงทโมน ทั้งโลกจะเป็นอย่างนี้ ขอให้ไปสังเกตดู เรียกว่าหลักพื้นฐาน รากฐานคือ ความเป็นสุภาพบุรุษ หรือเป็นอารยชนนี้กำลังเสียไป วิชาธรรมะถูกเหยียบย่ำ พระเจ้าตายแล้ว บุญบาปไม่มี บิดามารดาไม่มี ครูบาอาจารย์ไม่มี คนเดี๋ยวนี้กำลังไม่มีบิดามารดา ในภาษาธรรมะเขาไม่ได้นับถือบิดามารดาอย่างบิดามารดา เพราะนั้นเป็นเรื่องจำเป็นว่าบิดามารดาก็ต้องเลี้ยงบุตรเพราะบิดามารดาอาศัยความสนุกสนานส่วนตัวทำให้เราเกิดมา นี่ก็ไม่เคารพอย่างบิดามารดา ไม่กตัญญู ไม่รักชนิดที่ว่าจะเอาอกเอาใจบิดามารดา ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เราไม่ถือว่าครูบาอาจารย์แล้วถือว่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสือให้เรา แต่ก่อนนี้เขามี บิดามารดา มีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ คือต้องเชื่อฟัง บิดามารดาก็เป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ลูบคลำแตะต้อง เสียไปไม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีความเป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ในความรู้สึก มันเปลี่ยนไปๆ คนไทยเรากำลังตามก้นฝรั่ง ซึ่งเขานำหน้าในการที่จะไม่มีบิดามารดา ครูบาอาจารย์นั่นนะมาก่อนแล้วเราไปตามก้นเขา ในมหาวิทยาลัยจึงมีแต่ลิงทโมนไม่มีสุภาพบุรุษ นี่รากฐานมันเสียไปหมดอย่างนี้ วิชาธรรมะในส่วนชั้นรากฐานแท้ๆ มันได้เสียไปอย่างนี้ มีความเป็นมนุษย์ไม่ได้ก็เป็นคนก็ยังไม่ได้ เป็นคนที่ไม่มีธรรมะอย่างคน ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่า วิชาธรรมะ จำเป็นสำหรับ จำเป็นสำหรับมนุษย์นี่ยิ่งกว่า วิชาชีพ วิชาชีพเพื่อร่างกายอยู่ได้ แต่วิชาธรรมะเพื่อวิญญาณอยู่ได้ เรียกว่าเพื่อความรอดด้วยกันทั้งนั้น แต่อันหนึ่งเป็นความรอดที่กายรอด อันหนึ่งมันเป็นความรอดที่จิตมันรอด กายรอด นี่คือสะดวก สบายดี มีอนามัยดีอันนี้ทางกายเรียกว่า กายรอด เขาก็ได้จากวิชาชีพ แต่ว่า จิตรอด นี่หมายความว่า ความทุกข์คลอบงำไม่ได้เลยโดยประการทั้งปวง นี่จิตรอดก็จะได้จากวิชาธรรมะ พอแล้วขอต่อรองอีกหน่อยว่า ไม่พูดว่าอันไหนจะเลิศไปได้แล้ว ก็ขอให้มันสัมพันธ์กันในลักษณะที่ว่าชีวิตนี้เทียมด้วยควาย ๒ ตัวก็แล้วกัน แต่ถ้าว่าส่วนตัวผมยิ่งเรียนเท่าไหร่ ยิ่งมีชีวิตมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งมองเห็นว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ มากขึ้นทุกทีจึงได้เอามาพูดอย่างนี้ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เอาไปคิดดูเอง แล้วถ้าจะต่อรองกันก็พูดเสียใหม่ว่า
วิชาชีพ สำหรับมนุษย์ได้สิ่งที่ดีที่สุดในทางฝ่ายร่างกาย นี่
วิชาธรรมะ มนุษย์ได้ดีที่สุดในทางฝ่ายจิตใจ
เมื่อได้ดีที่สุดทั้งฝ่ายร่างกายและจิตใจแล้วก็นับว่าควรจะพอแล้ว เป็นเรื่องของจุดหมายปลายทางแล้ว นี่วันนี้ตั้งใจจะพูดถึง ความมุ่งหมายของวิชาธรรมะ หรือเคียงคู่ขนานกันไปกับ ความมุ่งหมายของวิชาชีพ ทำให้สัมพันธ์กันไปเถอะ ก็ไม่เสียทีที่ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วพบกับพุทธศาสนา ได้บวชระหว่างปิดภาค เวลาก็หมดแล้วสำหรับการบรรยาย นาฬิกานกก็ตีแล้ว ก็พอกันทีในวันนี้