แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เมื่อวานนี้ ก็พูดถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ เมื่อวานนี้พูดโดยหัวข้อว่าธรรมะคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ในลักษณะที่จะป้องกันและแก้ไขไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น ความทุกข์ที่ยังไม่เกิดมันก็ใช้ธรรมะป้องกันไม่ให้เกิด ถ้าความทุกข์มันเกิดขึ้นแล้วก็ใช้ธรรมะแก้ไขให้หมดไป ดังนั้นธรรมะจึงจำเป็นสำหรับมนุษย์ หรือสัตว์ที่มีจิตใจสูงจนรู้จักความสุขหรือความทุกข์โดยแท้จริงยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ที่ธรรมเนียมให้คนหนุ่มมาบวชก็เพื่อว่าให้มีโอกาสได้ศึกษาหรือลองปฏิบัติธรรมะให้รู้จักธรรมะไว้ เป็นเครื่องราง หมายความว่าเครื่องคุ้มครองป้องกัน หรือแก้ไขด้วยก็ได้ ซึ่งความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นในกาลข้างหน้าโดยถือว่ายังอีกหลายปีกว่าจะถึงที่สุดของชีวิต นั้นเวลาเหล่านี้เราจะทำให้ดีทำให้ถูก จึงมาบวช แม้ว่าจะบวชชั่วคราวก็นับว่ามีอานิสงส์อย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่คุ้มกันหรือ ได้กำไรเกินค่า ในการที่เสียสละมาบวช เพราะได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ คือธรรมะ
ทีนี้วันนี้ก็จะได้พูดต่อไปโดยหัวข้อว่า พรหมจรรย์คือการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงสุด พรหมจรรย์คือการปฏิบัติธรรมะอย่างสูงสุดนี่เป็นหัวข้อสำหรับพูดวันนี้
เมื่อเรารู้ว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ประเสริฐสำหรับมนุษย์แต่มันไม่ได้หมายความว่ามันจะมีขึ้นมาได้ จะมีธรรมะขึ้นมาได้ตามที่เราต้องการ หรือแม้ว่าเราจะรู้อย่างยิ่งแล้วว่านี้ดีที่สุด อย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น เพียงแต่เท่าที่รู้นั้นธรรมะมันมีไม่ได้ มันต้องมีการกระทำให้สุดความสามารถอีกครั้งหนึ่ง ทีนี้การทำให้สุดความสามารถนั่นแหละคือตัวพรหมจรรย์ งั้นการปฏิบัติธรรมะโดยมากที่ทำๆ กันอยู่เวลานี้ไม่ถึงขนาดที่ควรจะเรียกว่าพรหมจรรย์ ทั้งพระทั้งเณรดูจะทำเล่นๆ หวัดๆ ตามสบาย ถึงแม้จะเอาจริงเอาจังบ้างก็ไม่ถึงขนาดที่เรียกว่าสูงสุดด้วยหมดกำลังชีวิตจิตใจ งั้นจึงยังมิใช่พรหมจรรย์ ทีนี้ไอ้คำว่าพรหมจรรย์นี้จะเป็นตัวปัญหาที่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างกันต่อไปอีก
ไอ้คำแรก คำว่าพรหมจรรย์ที่จะได้ยินเป็นคำแรกก็ดูจะได้แก่ คำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จงมาประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ ุเอหิ ภิกขุ พรัมม จริยัง จะระหิ ทุกขัสสะ อันตระกิริยายะ(นาทีที่ ๖.๐๘) ท่านจะว่าอย่างนี้ มาเถอะภิกษุ มาเป็นภิกษุเถิดเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อที่สุดของความทุกข์ คือท่านตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ไปเที่ยวสอนคน ถ้าคนนั้นเขาอยากบวชท่านก็ใช้คำอย่างนี้ เรียกมาประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ เป็นพิธีกรรมในการบวชคนเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้า ในตอนแรกๆ แต่ถ้าดูให้ดีให้กว้างออกไปก็จะพบว่า คำว่าพรหมจรรย์นี้มีอยู่แล้ว ก่อนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์นี้ เมื่อพูดว่าพระพุทธเจ้าต้องหมายว่าพระพุทธเจ้าองค์นี้ เดี๋ยวจะไปทำให้เรื่องมันเขวว่าพระพุทธเจ้าเคยมีมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยกี่พันองค์นั้นมันก็ยุ่งเปล่าๆ คำสำคัญๆ เป็นคำที่เขาใช้กันอยู่แล้วก่อนพระพุทธเจ้าเกิดทั้งนั้น แม้แต่คำว่าพรหมจรรย์นี่ มาประพฤติพรหมจรรย์ คนฟังนั้นฟังถูกทันทีว่าหมายถึงอะไรไม่ต้องอธิบายก็ได้เพราะเขาใช้กันอยู่แล้วสำหรับคำนี้ ทีนี้ก็ดูไอ้ตัวคำนั้น พรัมมะ (นาทีที่ ๘.๐๘) แปลว่าสูงสุด แปลว่าประเสริฐ ถ้าเป็น นามนาม ก็หมายถึง พรหม พวกพรหม พวกที่เป็นพรหม ถ้าเป็น คุณนามก็หมายถึงมันประเสริฐหรือสูงสุด จริยะหรือจรรย์นี้ก็คือประพฤติพรหมจริยะก็ประพฤติประเสริฐสูงสุด นี่มันบอกอยู่ในตัวว่า ต้องชั้นสุดชีวิตจิตใจด้วยกำลังชีวิตจิตใจทั้งหมดจึงจะเป็นพรหมจรรย์เดี๋ยวนี้พระเณรเรายังทำเล่นๆ อยากจะหัวเราะเสียมากกว่าที่จะสำรวมระวังให้เคร่งครัดมัธยัสถ์ มันไม่เป็นพรหมจรรย์
ที่ว่าพรหมจรรย์เป็นของมีอยู่ก่อนพุทธกาล ก็เพราะว่ามันมีในศาสนาอื่น มีในลัทธิอื่นหรือที่เขากล่าวไว้เป็นหลักกว้างทั่วไปในประเทศอินเดียเรียกว่าใช้ได้ทุกศาสนา ก็มีคำนี้ใช้แล้วว่าพรหมจารีย์ คนที่เป็นหนุ่มสาวก่อนแต่งงานลงมาถึงเป็นเด็กหรือตั้งแต่เด็กเล็กๆ ขึ้นไปถึงคนหนุ่มสาวก่อนแต่งงานนี้เขาเรียกว่าพรหมจารีย์ นี่คือผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ถัดจากนั้นก็เป็นพวกคฤหัสถ์ คือพ่อบ้านแม่เรือน ถัดนั้นขึ้นไปอีกก็เป็นพวกที่อยู่ป่าออกหาความสงบสุขที่ไม่เกี่ยวกับบ้านเรือน จากนั้นไปอีกก็คือพวกที่เที่ยวสั่งสอน
พรหมจารีย์ หมายถึงเด็ก ถึงหนุ่มสาวก่อนแต่งงานว่าเป็นบัญญัติของมนู นี้ดีมากเมื่อถือเอาตามตัวหนังสือแล้วก็ว่าตั้งแต่หนุ่มสาวลงมาถึงเด็กนี่ต้องเป็นผู้เคร่งครัดสุดชีวิตจิตใจในระเบียบข้อบังคับทั้งหลายที่ได้วางไว้ ต้องมีความอดกลั้นอดทนเป็นพื้นฐาน มีความเชื่อฟัง มีความอดกลั้นอดทน มีความตั้งใจจริงหรืออุทิศทั้งหมดเลย ชีวิตนี้ก็อุทิศได้จึงเป็นพรหมจรรย์ขึ้นมา ถ้าเด็กๆ เป็นอย่างนี้แล้วโลกนี้จะมีสันติสุข สันติภาพยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ ทีนี้เด็กๆ ก็ไม่มีอะไรจริง เรียนหนังสือก็ไม่จริง เล่นก็ไม่จริง แล้วก็เพ้อเจ้อไม่มีครูบาอาจารย์ ไม่มีบิดามารดา ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่มีผู้น้อยผู้เด็กหมายถึงเดี๋ยวนี้นะเลอะเทอะหมดแล้ว ไม่มีพรหมจารีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีพรหมจารีย์ตามแบบของชาวบ้านพรหมจารีย์ที่บัญญัติเฉพาะหญิงสาวที่จะรักษาความบริสุทธิ์ของเพศหญิงไว้ จนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายนี้เขาก็เรียกว่าพรหมจรรย์เหมือนกัน เป็นพรหมจรรย์อย่างหนึ่งในพรหมจรรย์หลายๆ อย่างแล้วก็หลายสิบอย่าง แปลว่าเขาต้องกระทำสุดชีวิตจิตใจจึงจะเป็นพรหมจรรย์ ผู้หญิงโปรดรักษาพรหมจรรย์นั่น หมายความว่าจะไม่มีแตะต้องผู้ชายอย่างนี้ ถ้าเขาทำลงไปเขาก็เสีย เสียสัจจาธิษฐานอันนั้น เรียกว่าเสียพรหมจรรย์ไม่ใช่เสียเรื่องทางเนื้อทางหนังเหมือนกับคนโง่ๆ เดี๋ยวนี้เข้าใจกัน คำว่าเสียพรหมจรรย์ของหญิงสาวก็คือเขาเสียไอ้การอธิษฐานจิตที่ตั้งไว้เป็นแบบฉบับไม่ให้ผิดพลาดได้นั้นแหละ มันได้เสียไป ไอ้เรื่องเนื้อหนังนั้นต่างหาก
ให้เอาเรื่องนี้มาเป็นหลักเกณฑ์สำหรับคำนวณดูว่าไอ้พรหมจรรย์มันหมายความว่าอะไร นี้ถ้าว่าชายหนุ่มจะปฏิบัติพรหมจรรย์บ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่า ในความหมายหรือกิริยาอาการอย่างเดียวกับหญิงสาว มันมีอย่างอื่นก็ได้ แต่ถ้าเขาประพฤติอย่างตึงเครียดเคร่งครัดอย่างเดียวกันก็เรียกว่าพรหมจรรย์ของชายหนุ่มก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไมเอามาไว้ให้แก่คนที่ยังก่อนแต่งงานเรียกว่า พวกพรหมจารีย์ ผมคิดว่าเขาต้องฉลาดมากไอ้คนโบราณนั้นนะ เพราะว่ามันจะได้จะเสียก็อยู่กันตรงนี้แหละ ระหว่างเกิดมากับจะไปเป็นหนุ่มเป็นสาวถึงที่สุดนี้ มันจะเลวจะดีจะวินาศหรือว่าจะเจริญมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ตรงนี้ ระยะนี้จะต้องทำให้ดีที่สุดต้องให้มุ่งหมายที่จะทำให้ดีที่สุดหลับหูหลับตาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นเลย ตั้งหน้าแต่จะทำให้ดีที่สุด แม้แต่การเล่าเรียนก็ได้ ถ้าเรามีขนบธรรมเนียมประเพณีให้เด็กบูชาการเล่าเรียนอย่างสุดชีวิตจิตใจความเป็นจริงก็เป็นพรหมจารีย์ส่วนนั้นได้ หรือเด็กหญิงหรือหญิงสาวจะสมาทานไอ้เรื่องเพศนั้นโดยเคร่งครัดก็ได้ ก็เป็นพรหมจรรย์ได้ หรือคนหนุ่มจะเคร่งครัดขนาดที่ไอ้คนหนุ่มสมัยปัจจุบันนี้ว่าโง่ว่าเชยว่าบ้าว่าอะไรก็ตามใจเถอะ นั่นจะเป็นพรหมจรรย์ที่สุดของคนหนุ่มที่จะเป็นคนที่ดีได้ต่อไปข้างหน้า
คุณเข้าใจความหมายของคำว่าพรหมจรรย์ในลักษณะอย่างนี้ก่อนสิ แล้วจะเข้าใจพรหมจรรย์ที่สูงขึ้นไป คราวนี้เป็นหนุ่มแล้วจะไปครองเรือนก็ต้องมีการตั้งใจที่จะปฏิบัติอะไรให้ดีที่สุดให้สุดความสามารถ มันก็เป็นพรหมจรรย์ไปอีกแบบหนึ่ง แต่ขอให้มันจริง อย่างสุดชีวิตจิตใจเท่านั้นแหละ ไม่ต้องเหมือนกันทุกคน คนหนึ่งก็ตั้งใจจะทำอย่างนี้ให้ดีที่สุดก็เป็นพรหมจรรย์ของเขา เขาจะเรียนรู้ให้ดีที่สุดอย่างไม่ไปมัวเล่นไพ่ หรือไม่ไปเข้าสังคม ไม่ไปอะไรอย่างคนสมัยนี้ แม่นั้นดีแต่ไปสังคม ลูกจะเป็นลิงทะโมนก็ช่างมัน นี่มันไม่มีพรหมจรรย์ กระทั่งว่าคนแก่คนเฒ่าจะทำอะไรให้ดีที่สุดก็เป็นพรหมจรรย์ของเขาไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้พูดถึงเพราะมันไม่ค่อยจะมีเรื่องที่จะต้องทำอะไรให้ที่สุด ไม่เหมือนกับว่าถ้าจะมาเป็นนักบวชมุ่งหมายจะบรรลุมรรคผลนิพพานก็ตาม หรือว่าในศาสนาอื่นเขามุ่งหมายจะไปเข้าถึงพระพรหม ถึงปรมาตมัน ถึงอะไรก็สุดแท้แต่แล้วแต่เขาจะถือลัทธิไหนศาสนาไหน นี่เขาจะต้องมีการกระทำหมดความสามารถของชีวิตจิตใจด้วยความอดกลั้นอดทนดีที่สุด นี่เรียกประพฤติพรหมจรรย์ คำว่าพรหมจรรย์มันจึงหมายถึง ทำดีที่สุดหมดความสามารถ สิ้นสุดของสติปัญญาอ้ที่จะทำได้ ทีนี้เอาคำนี้มาใช้กับการเป็นภิกษุ เพื่อภิกษุนี้จะทำที่สุดแห่งความทุกข์ให้ปรากฏคือทำนิพพานให้ปรากฏ ก็เลยเป็นพรหมจรรย์ในความหมายอันนี้ จะต้องปฏิบัติอะไรบ้างก็มีรายละเอียดอยู่ในเรื่องนั้นๆ แล้ว แต่ทีนี้เราจะพูดคำเดียวสรุปเป็นข้อเดียวคำเดียวนั้นก็คือทำลายกิเลส
คำว่าทำลายกิเลสนั้น คือตัวพรหมจรรย์ พยายามทำให้มันเป็นการกำจัดกิเลสอยู่ทั้งกลางวันกลางคืนทั้งหลับทั้งตื่นทั้งอะไรแล้วแต่ๆ จะพูดเถอะ ขอแต่ว่าทำสุดความสามารถหมดทั้งชีวิตจิตใจนี้ก็เป็นพรหมจรรย์ ต้องลองไปเทียบดูเอาเองว่ามันจะต้องการไอ้การพยายามเท่าไร ต้องการสติสัมปชัญญะเท่าไร ต้องการจิตที่เข้มแข็งเป็นสมาธิสักเท่าไรต้องการอะไรๆ ที่จะมาแวดล้อมอีกสักเท่าไร เพื่อที่จะให้เรามีชีวิตอยู่ในลักษณะที่มันเข่นฆ่ากิเลสอยู่ตลอดเวลา
สำหรับคำว่า เข่นฆ่ากิเลส หรือกำจัดกิเลสนี้ก็ยังมีความหมายที่พวกคุณที่พึ่งมาใหม่จะฟังทีเดียวไม่ออก หรือออกไม่หมดการกำจัดกิเลสนี้ก็หมายทั้งระบบใหญ่เลย แม้แต่การป้องกันไม่ให้กิเลสเกิดก็เรียกว่ากำจัดกิเลส กิเลสเกิดขึ้นแล้วกำจัดให้หมดไปเขาเรียกกำจัดกิเลสก็การเป็นอยู่ชนิดที่กิเลสเกิดไม่ได้นั้นแหละ เรียกว่ากำจัดกิเลสแล้วก็เป็นพรหมจรรย์ ฉะนั้นเราจะต้องอยู่มีความเป็นอยู่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องที่สุด ที่กิเลสเกิดไม่ได้ดังนั้นมันก็ต้องรู้ต่อไปถึงข้อว่ากิเลสเกิดมันจะเกิดอย่างไรเกิดทางไหน ทางเกิดก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีคู่กันอยู่กับรูป เสียงกลิ่น รส โผฐัพพะ ธรรมารมณ์ นั้นทางที่มันจะเกิด แล้วมันจะเกิดอย่างไร ถ้าเวลานั้นไม่มีสติสัมปชัญญะพอการกระทบทางตาหูเป็นต้นนี้ก็ต้องเกิดกิเลส เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะต้องระวังสุดความสามารถของตนในการที่จะระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียกอินทรีย์ ก็เรียกนี้ อย่าให้มันพลาดใน ใน ในที่เหล่านี้ ที่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ หมายความว่าอย่าให้เกิดความผิดพลาดได้จนกว่ากิเลสเกิด
ขอให้เปรียบเทียบด้วยการนึกถึงว่ามันมีคนที่ดีไม่ใช่คนเหลวไหลเมื่อได้รับมอบหมายให้เฝ้าระวังรักษาหน้าที่อะไร ระวังโจร ระวังขโมย เขาทำดีที่สุด ต้องขนาดนั้น หรือว่าถ้าเราจะทำของเราเอง เราระวังโจรขโมย ระวังเสือ ระวังอะไรจะมากัด ระวังดีที่สุด นั้นแหละจะต้องถึงขนาดนั้นเรียกว่าระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เกิดกิเลส ไม่ให้เสือหรือไม่ให้ขโมยจู่เข้ามาได้ แล้วก็ต้องด้วยความต่อสู้ดิ้นรนสุดความสามารถ เหมือนเราจะตาย เราก็ดิ้นรนให้รอดตาย เราถูกมัด เราจะดิ้นรนให้หลุด หรือว่าเราถูกจับกดลงไปในน้ำ เราดิ้นรนที่จะขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อหายใจได้ พรุ่งนี้ไปลองดูดิ หมุดหัวลงไปเองก็ได้ ให้เพื่อนจับกดลงไปก็ได้ แล้วความต้องการที่จะขึ้นมาเหนือน้ำมีมากน้อยเท่าไร นั่งอยู่ที่ตรงนี้ไม่รู้หรอก คาดคะเนก็ไม่ถึงขนาดแหละ ต้องไปลองดูจึงจะพบว่า แม้มันต้องการไอ้ความจริงมากถึงขนาดนั้น นี้แหละการประพฤติพรหมจรรย์เราต้องการความจริง ความต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ๑๐๐% เลยจึงจะเรียกว่าเป็นพรหมจรรย์ เดี๋ยวนี้เรายังไม่ได้ทำกันถึงอย่างนั้น ก็เลยเป็นพรหมจรรย์ที่ย่อหย่อน จนสิ่งที่ย่อหย่อนก็ไม่มีผลมาก มีบาลีมีภาษิตว่าไว้อย่างนี้แล้ว มันย่อหย่อน มันก็ไม่มีผลมาก
ทีนี้มันเกี่ยวอะไรกับพวกคุณ ที่มาบวช ๓ เดือน คุณก็ลองคิดดูเองสิว่าเมื่อเป็นเด็กๆ จนกระทั่งมาบวชนี้ก็ไม่เคยทำอะไร ชนิดที่เป็นการบังคับตัวเอง เฉียบขาดขนาดที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ใช่ไหม คอยแต่ชักชวนกันให้เหลวไหลเหลวไหล เหลาะแหละ แม้แต่ละสูบบุหรี่ก็ไม่ได้ ฉะนั้นใครเมื่อก่อนมาบวชนี้ ละการสูบบุหรี่ก็ไม่ได้ นั่นคือ ความเหลวไหลความเหลาะแหละความไม่จริงกับสิ่งนั้นเพียงเท่านี้มันก็พิสูจน์ได้แล้วว่า พรหมจรรย์มันไม่มี เพราะของเล็กน้อยเท่านี้มันก็ละไม่ได้มันจริงไม่ได้แล้วมันจะไปจริงกับเรื่องที่มากกว่านี้ไม่ได้ นี้ดีแต่ว่าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นหญิงสาวอาจจะมีเรื่องอะไรที่เปิดเผยไม่ได้มากกว่านี้ อ้าว, ทีนี้มาบวช ก็แปลว่า มาประพฤติพรหมจรรย์มันเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แม้เราไม่สมัคร แต่ว่ามหาชนก็ อุปโลกน์ให้ว่าพวกพระนี่คือพวกที่มาประพฤติพรหมจรรย์ นี่ก็ทางหนึ่งแล้ว ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้อย่างนี้ว่า การมาบวชในศาสนานี้คือการประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ งั้นเอาเป็นว่าเมื่อก่อนนี้เราไม่เคยมีพรหมจรรย์กัน เดี๋ยวนี้มาบวชแล้วก็ขอให้มีพรหมจรรย์คือระบบการปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเข้มแข็ง เฉียบขาด รุนแรง แก่ หรือต่อ กิเลส จะพูดให้ชัดกว่านั้นอีกก็คือว่าเดี๋ยวนี้เราจะเป็นผู้บังคับตัวเองให้เข้มแข็งเฉียบขาดให้เป็นพรหมจรรย์ ในระหว่างที่บวช ๓ เดือนนี่ก็มีการประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการบังคับตัวเอง บังคับตัวเอง คือบังคับจิต บังคับจิต คือบังคับกิเลสรู้ไว้เสียด้วย ถ้าเราพูดด้วยคำธรรมดาว่าบังคับตัวเอง ก็ไม่ใช่บังคับเนื้อหนังอะไร บังคับจิต ถ้าบังคับจิต ก็คือว่า บังคับจิตส่วนที่เป็นกิเลส จิตส่วนที่ไม่เป็นกิเลสจะไปบังคับมันทำไม นี่จะต้องบังคับจิตส่วนที่เป็นกิเลสนี้ ตลอดเวลาที่บวชหรือประพฤติพรหมจรรย์ นี้ถ้าทำจริงมันก็ได้ คือได้สมรรถภาพในการที่จะควบคุมหรือบังคับกิเลส คุณอยู่ต่อไปมันก็ไปข้างมรรค ผลนิพพาน ถ้าคุณสึกออกไปคุณก็ได้สิ่งที่ประเสริฐสุดที่จะไปบังคับตัวเอง เรื่องนี้มันเป็นไอ้คำสั่งสอนสากลไม่ต้องพูดกันอีกแล้วก็ได้ว่ามนุษย์นี่มันดีอยู่ได้ที่การบังคับตัวเองเป็นสุภาพบุรุษเป็นอะไรก็ตามที่จะเป็นคนมีประโยชน์แก่สังคมแก่โลกล้วนแต่เป็นคนที่ต้องบังคับตัวเองได้ทั้งนั้น งั้นถ้าเมื่อก่อนบวชเราไม่เคยประสีประสากับเรื่องนี้ นี้ระหว่างบวชนี่เราจงทำให้สุดความสามารถในการบังคับตัวเอง เรียกว่า เนื้อแท้ของพรหมจรรย์ ตัวแท้ของพรหมจรรย์นี้คือการบังคับตัวเอง คือบังคับจิต คือบังคับกิเลส ถ้ามีทางไหน โอกาสไหนช่องไหนที่จะบังคับได้ก็จงทำให้หมด อ้าวก็นับตั้งแต่ต้น นับตั้งต้นมาแต่ข้อที่ว่า ไม่สูบบุหรี่ เป็นเรื่องที่วัดกันหรือทดสอบกันในเบื้องต้น ว่าถ้าเพียงเท่านี้ก็ยังละไม่ได้แล้วป่วยการ อย่ามาสมัครเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพุทธศาสนาเลย เพราะมันยากกว่าการละบุหรี่อีก แต่ว่าการที่ละบุหรี่ได้ก็เป็น พรหมจรรย์ ระดับหนึ่งแล้วละ แม้จะเป็นส่วนน้อยมันก็เป็นระดับหนึ่งแล้ว เพราะว่าพิจารณาดูแล้วมันก็ยาก มากเหมือนกันสำหรับคนที่ติดแล้ว ของการที่คนที่ติดบุหรี่งอมแงมแล้วจะละบุหรี่ได้ก็ต้องอาศัย การปฏิบัติถึงขนาดที่เรียกพรหมจรรย์ด้วยเหมือนกันจึงจะละไปได้ งั้นเราจึงมีไอ้เครื่องวัดทดสอบหรือว่าสอบผ่านประตูแรกนี่ ก็คือเช่น การละบุหรี่ การละอะไรต่างๆ หรือการเป็นอยู่ที่มันสบายเกินไปอะไรต่างๆ นี่ ไว้ชุดหนึ่งก่อน การละบุหรี่เป็นต้นนี้ ยกเป็นตัวอย่าง มันแสดงความที่บังคับตัวไม่ได้ ในระดับที่ควรจะบังคับได้ มันแสดงความเป็นคนไม่มีเหตุผล เมื่อมันไม่มีประโยชน์ไปทำเข้ามันก็ไม่มีเหตุผลเท่านั้นแหละ ให้คนที่ไม่มีเหตุผลหรือไม่อยู่ในอำนาจของเหตุผลนี้จะประพฤติพรหมจรรย์ที่สูงขึ้นไปไม่ได้ จึงเป็นอันว่าทุกอย่างจะต้องทำ เป็นการตระเตรียมหรือเรียกว่าชั้นเตรียม ชั้นสอบผ่าน Entrance นี้จะต้องมี
นี้พอเข้ามาแล้ว ก็มีการเป็นอยู่อย่างของพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนไว้ว่าจะต้องเป็นอยู่อย่างไรสำหรับภิกษุนั้นนะ คือเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ที่ ที่สูงขึ้นไป แต่เป็นการเริ่มต้นของความเป็นภิกษุหรือพรหมจรรย์อย่างภิกษุ แล้วต้องมีการกิน กิน อยู่ การอะไรต่างๆ นี้ ก็เรียกว่าปัจจัย ๔ หรืออะไรก็ตามที่จะต้องอยู่ในสภาพที่ถูกต้องเป็นไปเพื่อขูดเกลานั้นนะ จำคำว่าขูดเกลาก็แล้วกัน เพราะถ้าเป็นพรหมจรรย์ต้องขูดเกลา ในระดับแรก ต้องขูดเกลาการตามใจตัวเองอย่างหยาบๆ จะกินดี จะนอนดี จะสบายอย่างจะอยู่ที่บ้านนั้น อันนั้นต้องออกไป ต้องขูดเกลาออกไปทีก่อน แล้วทีนี้สูงขึ้นมาก็ถึงเรื่องจะต้องปฏิบัติศีลอย่างไร จะต้องปฏิบัติสมาธิอย่างไร เป็นไปตามลำดับ หรือจะเรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นตัวพรหมจรรย์ ก็ได้ ถ้าเราชอบคำนี้ เราก็ไปศึกษาอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เข้าใจ แล้วมันจะขยายออกมาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วเป็นศีลทุกข้อ เป็นสมาธิทุกชนิด เป็นปัญญาความรู้ทุกชนิดได้เอง นั่นเป็นตัวพรหมจรรย์ เพราะว่าถ้าอยู่อย่างถูกต้อง ตามหลักของอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่มีทางที่กิเลสจะเกิดได้ นี่อย่างหนึ่งแล้ว แล้วกลับจะมีแต่จะมีแต่ทำให้กิเลสนี้ขาดปัจจัย ขาดอาหาร กิเลสจะขาดปัจจัย จะขาดอาหาร จะขาดความเคยชินในการที่จะเกิดกิเลสนี้ ยิ่งขึ้นทุกที อำนาจเคยชินที่จะเกิดกิเลสนี้จะร่อยหรอไปทุกที เพราะว่า อยู่อย่างถูกต้องตามหลักของอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น คือพรหมจรรย์ คือตัวพรหมจรรย์ นี้ขอให้เข้าใจต่อไปว่า ไม่ใช่ว่าจะเรียกแต่อริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างเดียว อื่นๆ ก็ได้ซึ่งมันเหมือนกัน มันต่างกันแต่ชื่อ แต่รวมความแล้วมันจะเหมือนกัน โดยใจความสำคัญก็คือ มันจะทำไม่ให้เกิดกิเลส จะป้องกันไม่ให้เกิดกิเลส แล้วอยู่โดยในสภาพที่ว่า ไอ้ อำนาจของกิเลสหรือว่าเชื้อของกิเลสหรืออะไรของกิเลส จะร่อยหรอไปทุกที ทุกที ทุกทีจนในที่สุดก็หมดไปได้ ถ้าหมดจริง หมดเด็ดขาด หมดตายตัวไม่กลับไปกลับมา ก็คือเป็นพระอรหันต์นั่นเอง นั้นการประพฤติพรหมจรรย์ก็มี วิมุตติหลุดพ้น จากกิเลสนั้นเป็นที่มุ่งหมาย ถ้าพรหมจรรย์นั้นสูงสุด ก็วิมุติหลุดพ้นสูงสุด คือเป็นพระอรหันต์ ถ้าพรหมจรรย์นั้นยังไม่สูงสุดแต่มันเป็นเรื่องของพรหมจรรย์โดยถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงระดับสูงสุดมันก็วิมุตติหลุดพ้นชนิดที่รองๆ ลงมา แต่เขาไม่ค่อยแบ่งแยกกันให้มากเรื่องมากราว จะพูดแต่ว่าการประพฤติพรหมจรรย์นี้มันก็เพื่อ วิมุตติ คำเดียวนี่ หลุดพ้น จาก ความทุกข์ เมื่อพูดว่าจากความทุกข์ มันก็ต้องจากกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นธรรมดา นี้คือพรหมจรรย์ ที่เราอาจจะมองเห็นได้หลายๆ แบบ หรือหลายๆระดับ แต่มันจะกี่แบบหรือกี่ระดับ หัวใจมันเหมือนกัน คืออยู่ที่ว่าจริง ประพฤติจริงอย่างสุดความสามารถ หมดกำลังใจ หมดกำลัง ทั้งหมดทั้งสิ้น ของทั้งกำลังกายกำลังใจ กำลังทั้งหมดนี้เรียกว่า พรหมจรรย์ เด็กๆ ก็ประพฤติพรหมจรรย์ไปตามเด็ก หญิงสาวก็ประพฤติพรหมจรรย์อย่างหญิงสาว ชายหนุ่มก็ประพฤติพรหมจรรย์อย่างชายหนุ่ม จนกว่าจะมาบวชพระบวชเณรก็ประพฤติพรหมจรรย์อย่างพระอย่างเณร จนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้าไปในที่สุด นั้นแหละคือธรรมะ ที่ประพฤติสูงสุดประพฤติอย่างสูงสุด ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ การประพฤติธรรมะอย่างสูงสุดของกำลังกาย ใจ ชีวิต อะไรทั้งหมดนี้ก็เรียกว่า พรหมจรรย์
นั้นโดยมากไม่ค่อยเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ ในที่บางแห่ง ลาบวช ๓ เดือนนี้ ก็ไปนอนเล่นหัวอยู่ที่วัด พักผ่อนหย่อนใจเสียสบายไปเลย เงินเดือนก็ได้ระหว่างบวช แล้วก็ได้เล่นหัว ได้พักผ่อน อะไรตามตามพอใจ อย่างนี้ก็เลยกล่าวได้ว่าไม่เป็นพรหมจรรย์เลย ไม่เป็นพรหมจรรย์ยิ่งไปเสียกว่าเมื่อยังไม่ได้บวชอีก ถ้าว่าเมื่อบวชรับราชการอยู่มีหน้าที่รับผิดชอบต้องบังคับตัวเองมาก ต้องทำอะไรให้ดีอยู่เสมอ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์ พอบวชเข้ามาแล้ว ปล่อยตามสบายเลย ไม่มีใครมาว่าอะไรเรา สรวลเสเฮฮากันไป กว่าจะสึกเงินเดือนก็ได้เต็มทั้ง ๓ เดือน ๔ เดือน อย่างนี้บวชแล้วยิ่งไม่เป็นพรหมจรรย์ ขอให้พิจารณาดูโดยซื่อตรงต่อตัวเองอย่างยุติธรรมไม่เข้าใครออกใคร ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่าใคร ไม่มีๆหน้าที่ที่ผมจะต้องไปว่าใคร แต่ว่ามีหน้าที่ ที่จะชี้แจง ให้ผู้อื่นได้ทราบได้เข้าใจ ในสิ่งที่ควรทราบควรเข้าใจตามที่ผมจะชี้แจงได้ ในฐานะที่เป็นผู้บวชก่อน หรือจะเรียกว่าเป็นผู้เกิดก่อน เกิดก่อนโดยทางร่างกายนี้ก็มี เกิดก่อนโดยทางการบวชในการประพฤติพรหมจรรย์นี้ก็เรียกว่าเกิดเหมือนกันอย่างนี้ก็มี งั้นคนที่เกิดก่อนก็ควรจะมีอะไร บ้าง สำหรับจะพูดให้คนเกิดทีหลังได้ยินได้ฟัง จึงไม่ถือว่ามีหน้าที่ที่จะต้องไปว่าใครด่าใครอะไรใคร ก็มีหน้าที่แต่เพียงว่าจะช่วยเหลือได้เท่าไรให้ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็จะทำอย่างงั้น งั้นจึงแนะให้เห็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเรื่อง ก็คือสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ บวชนี้คือประพฤติพรหมจรรย์ บวช ๓ เดือนก็ประพฤติพรหมจรรย์ ๓ เดือน บวชกี่ปีตลอดชีวิตนี่ก็ประพฤติพรหมจรรย์กี่ปี ประพฤติพรหมจรรย์จนตลอดชีวิต ข้อนี้ก็มันก็แล้วแต่ว่า มันมีความเหมาะสม เมื่อเราไม่มีความเหมาะสมที่จะบวชจนตลอดชีวิตก็สึกไปก็ได้ แต่ขออย่าให้มันขาดทุน อย่าให้มันเสียหายอย่าให้มันขาดทุน ให้มันได้ไอ้สิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ ที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ คือธรรมะนี่ออกไปให้พอ ก็จะได้เป็นมนุษย์ที่มีความทุกข์น้อยหรือก็ไม่มีความทุกข์เลยก็เรียกว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์
เราบวชแล้วเราจะปฏิเสธอะไรไม่ได้เพราะว่า ประชาชนทั้งหลายเขาก็อุปโลกน์ให้เราเป็นพระ เราจะเป็นหรือไม่เป็นเขาก็อุปโลกน์ให้เราเป็นพระเรื่อยไปเราก็ปฏิเสธไม่ได้ก็ต้องยอมเป็นพระให้ถูกต้องแล้วเป็นพระที่ดี นี้ทางฝ่ายธรรมะวินัยนี้เล่าก็ได้วางไว้แล้วอย่างนี้ ถ้าเมื่อประกาศตัวเข้ามาอย่างนี้ยอมรับสมาทานอย่างนี้ก็ต้องทำอย่างนี้ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันบิดพริ้วไม่ได้ งั้นเป็นอันว่าตลอดเวลาที่บวชนี้จะ ๓ เดือนหรือ ๔ เดือนหรือกี่เดือนก็สุดแท้ขอให้มันเป็นพรหมจรรย์ เป็นเนื้อเป็นตัว ถ้าผิดจากนี้ก็คือเหลวไหลไม่มีอะไร ที่น่าชื่นใจที่เรียกว่าได้รับ งั้นเรื่องการเป็นอยู่ กินอยู่ เป็นอยู่นี้ ขอให้มันเป็นไปอย่างเท่าที่มันจำเป็น ให้มันน้อยให้มันมีเรื่องน้อยให้มันมีเท่าที่จำเป็น มันก็เป็นพรหมจรรย์อยู่อันหนึ่งส่วนหนึ่งแล้ว ส่วนหนึ่งของพรหมจรรย์อยู่แล้ว กินง่าย อยู่ง่าย เป็นง่าย สันโดษ มักน้อย ในเรื่องปัจจัย ๔ นี่เป็นพรหมจรรย์อยู่ส่วนหนึ่งแล้ว
ทีนี้ส่วนที่สำคัญก็คือ นี่บังคับกายวาจาใจให้สูงขึ้นไปตามเรื่องของ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลก็คือ ระเบียบปฏิบัติเพื่อควบคุม กาย วาจา ไว้ให้ถูกต้อง สมาธิก็คือระเบียบปฏิบัติ ที่จะปรับปรุง รักษาจิต ไว้ให้เป็นจิตที่ดีที่สุด ปัญญาก็คือระเบียบปฏิบัติที่ทำให้เกิดความสว่างไสวยิ่งขึ้นไปในที่สิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้ คือเรื่องการดับทุกข์นั่นเอง เราจะไม่แจกออกเป็น ศีล ๑๐ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ อะไรให้มันลำบาก จะถือศีลเพียงตัวเดียวนะ คือบังคับตัวให้มีความถูกต้อง ที่กาย ที่วาจาปรากฏอยู่ก็แล้วกัน เรื่องจิตนี้ก็ยังไม่พูดถึง เพราะถ้าเพียงแต่ลำพังคิดในจิตนั้น ศีลไม่ถึงกับขาด แต่ถ้าทางกายทางวาจามันผิดไปแล้ว ก็เรียกว่า ศีลขาด ดังนั้นเรื่องศีลนี้ก็คือระบบปฏิบัติดำรงกาย และวาจา ไว้ให้อยู่ในความถูกต้องเรียกว่าศีล คุณจำได้เพียงเท่านี้ และเข้าใจเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว สำหรับที่จะมีศีล แล้วมันจะไม่ผิดศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ หรือศีลอะไรทั้งหมดทั้งสิ้นได้ เราคอยสะดุ้งไว้เสมอที่จะมีความผิดพลาด ทางกาย ทางวาจา คำว่ากายนี้มันหมายความมาก หมายทั้งเนื้อทั้งตัวทั้ง ปากทั้งท้อง ทั้งไอ้ ตา หู จมูก ลิ้น อะไรก็สุดแท้แต่ ที่มันเนื่องอยู่กับกาย นี้ก็ต้องระวังไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น ก็เป็นศีล คำว่าศีลนั้น ความหมายที่สั้นที่สุดก็คือว่า บังคับ หรือสำรวม หรือสังวร หรือควบคุม แล้วแต่จะใช้คำไหน เจตนาที่จะบังคับเอาไว้ให้ได้นี่คือศีล จะบังคับอะไรก็ได้ แต่ขอเป็นการบังคับที่ถูกต้องก็แล้วกัน แม้แต่บังคับ ร่างกายให้ถูกต้อง ก็เรียกว่าศีล บังคับจิตให้ดีก็เรียกว่าศีล ส่วนที่กลายเป็นการบังคับนั้นมันเป็นศีล ไอ้ส่วนที่จิตสงบนั้นมันเป็นสมาธิ หรือเราจะมีการพิจารณาทำปัญญา บังคับให้มันพิจารณาให้เกิดปัญญาไอ้ส่วนที่บังคับนี้ก็เป็นศีล แต่ปัญญาความรู้เกิดขึ้นนั้นเป็นปัญญา งั้นไม่ว่าจะไปทำอะไรเข้า ถ้าบังคับให้อยู่ในความถูกต้องอย่างสม่ำเสมออย่าให้ถอยหลังอย่าให้ละเลยนี้เป็นศีลหมด อย่างคุณบังคับตัวเอง ให้มาไหว้พระสวดมนต์ตอนเช้าตอนเย็น ส่วนที่บังคับให้มาได้นั้นแหละคือศีลเพราะมันเป็นการบังคับให้มาให้อยู่ ในร่องในรอยในระเบียบนี้เรียกว่าเป็นศีลหมด ทีนี้สวดมนต์มนต์มันก็เป็นสวดมนต์ไปสิ แต่ส่วนที่บังคับตัวให้สวดได้อยู่ให้มาให้อะไร บังคับส่วนนี้มันเป็นศีลทั้งนั้น นี่ศีลมันมีความหมายอย่างนี้ อย่างเดียวเท่านั้น ถ้าไปแจกรายละเอียดออกไปมันมากมาย เราเลยใช้วิธีเอาหัวใจของมันไว้ให้ได้ไอ้เรื่องปลีกย่อยมันก็ได้หมด หัวใจของมันคือบังคับตัวเองให้ได้ ในส่วนที่เกี่ยวกายวาจา นี้ก็เป็นพรหมจรรย์แล้ว พรหมจรรย์โดยตรง พรหมจรรย์ที่ถึงขนาด ที่จะพูดได้ว่ามีพรหมจรรย์คือศีล พรหมจรรย์ในส่วนศีล ที่เมื่อทำส่วนนี้ได้ ก็ง่ายที่จะทำพรหมจรรย์ในขั้นต่อไปคือส่วนสมาธิ สมาธินั้นมีวิธีทำกันมากมายยุ่งยาก จนเฝือไปหมด แต่เรื่องของมันก็มีอยู่ที่ว่า ทำจิตใจนี่ให้มันเหมาะสมที่สุด ควรทำจิตใจให้ขึ้นถึงระดับสูงสุดที่มันจะดีได้ โดยหลักใหญ่ๆ ก็ว่า มีจิตที่สะอาด กำลังไม่ถูกกิเลสรบกวน นี่เรียกว่าจิตบริสุทธิ์สะอาด แล้วก็มีจิตมั่นคง มั่นคง แน่วแน่ ตั้งมั่น จิตตั้งมั่น แล้วก็เป็นจิตที่พร้อม ที่ได้ที่ หรือว่าที่พร้อม ที่จะทำการงานทางจิต นี้ถ้าถือตามหลักทั่วไปเขาวางไว้อย่างนี้ จิตกำลังบริสุทธิ์ คือไม่เศร้าหมองไม่ขุ่นมัว ไม่เร้าร้อน ไม่วนเวียนอะไรนี้เรียกจิตบริสุทธิ์ แล้วจิตมั่นคงแน่วแน่ แล้วก็จิตนั้นว่องไวพร้อมที่จะทำหน้าที่ของมัน
งั้นคนที่ไปเข้าใจว่า พอเป็นสมาธิแล้วก็อยู่เงียบเหมือนท่อนไม้นั้นนะ มันคนหลับตาพูดมันไม่รู้เรื่องแล้วมันก็พูดเอาเอง ว่าสมาธิก็นั่งแข็ง ตัวแข็งเป็นท่อนไม้ไปเลย ไอ้นั้นมันเขาเรียกอีกอย่างหนึ่ง เขาเรียก สมาบัติ หรือการเข้าสมาบัติการหยุดอยู่ในสมาบัติ ตามที่ตัวจะพอใจ เป็นความสามารถหรือเป็นการพักผ่อนอีกแบบหนึ่งต่างหาก ที่ผู้ที่มีสมาธิจะสามารถทำได้ แต่ว่าลำพังสมาธินี้เขาหมายถึง จิตกำลังอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด ที่จิตมนุษย์มันจะดีได้อย่างไร ยังบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรรบกวน แน่วแน่มั่นคง แล้วก็ว่องไวในหน้าที่ของจิตนั้น งั้นไม่ต้องนั่งตัวแข็งเป็นท่อนไม้ วิ่งอยู่ก็ได้ หรือว่าทำงานอยู่ที่ออฟฟิตก็ได้ มีความเป็นสมาธิ คือจิตแจ่มใส สดชื่น เข้มแข็ง มั่นคง ว่องไว เฉียบขาด เต็มไปด้วยสติ สัมปชัญญะ ถือเป็นสมาธิ ก็ปฏิบัติหน้าที่ของตัวได้ดี นี้มันเป็นพรหมจรรย์ขึ้นมาอีกอันแล้ว ส่วนโน้นมันเป็น ศีล ปัญหาทางกาย ทางวาจา หมดแล้ว เดี๋ยวนี้มาเป็นสมาธิ ปัญหาทางจิตก็หมดอีก ที่เหลือไปอีกก็เป็นเรื่อง ทางความรู้ ความเข้าใจ ความรู้ ความแจ่มแจ้ง เรียกว่าปัญญา สำหรับจะรู้จักสิ่งที่มันรู้ได้ยาก ที่ยากที่จะรู้ก็เป็นหน้าที่ของปัญญา นี้ก็ต้องอบรมเป็นพิเศษโดยเฉพาะ อบรมให้เกิดปัญญา แต่ถ้าว่าศีลมันดีแล้ว มีกาย วาจา ดี แล้วสมาธิก็ดีแล้ว คือจิตพร้อมได้ที่แล้ว การอบรมปัญญาก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้โดยสะดวก บางทีจะใช้วิธีลัด หรือบางคนจะชอบใช้วิธีลัด คือทำในทางปัญญาให้ดี ให้จริง ให้สุดความสามารถเถอะ ไอ้ทางจิตมันพลอยดีเอง ไอ้ทางศีล กาย วาจา มันก็ผิดไม่ได้เองอย่างนี้ก็มี เขาไม่พูดให้มันมากเรื่อง ว่าอบรมปัญญา ในการทำลายกิเลสนั้นให้ถูกต้อง ให้จริงจัง มันก็มีสมาธิ มีศีลมารวมอยู่ในตัวด้วยเสร็จ อย่างนี้ก็ได้ แต่ดูจะมักง่ายเกินไปหรือทำให้เอาเปรียบ โดยไม่ทันรู้ตัวก็ได้ ที่นี้ก็ใช้วิธีใหม่ว่า จัดแจง ชำระ สะสาง มาตั้งแต่ต้น อย่างว่าจะปลูกเรือน นี่ทำพื้นที่ให้ดีก่อน แล้วจึงจะทำเสาเรือน ทำไอ้ฝาเรือน ทำไอ้หลังคาอะไรเข้าไป อย่างนี้มันดูมันจะดีกว่าที่ว่า จะทำพื้นดินนี้ทีหลัง จะยกเสาปลูกขึ้นไปก่อน หรือจะปลูกลงไปในหนองแล้วจะถมดินทีหลังนี้มันก็โกลาหลวุ่นวาย แต่มันก็ทำได้เหมือนกัน เหมือนการเข้ามาบวชในพุทธศาสนาตามระเบียบทำเนียมนี้ ก็เรื่องศีลนี้แหละก่อน แล้วก็เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ไปตามลำดับ แต่อย่าลืมว่าทีแรกที่มาบวชนี่ ปัญญาดึงเข้ามา ปัญญาอย่างน้อยๆ ปัญญาอย่างขั้นต้นมันดึงเข้ามาหาการบวช แล้วก็มามีศีล มีสมาธิ มีปัญญา แล้วก็กลับไปหา ศีล สมาธิ ปัญญา วนกันไปเป็นวงกลมอย่างนี้ เจริญงอกงามขึ้นไปทั้ง ๓ อย่างก็เลยเป็นพรหมจรรย์ที่ดี
ทีนี้อยากจะบอกให้ให้สังเกตว่า อย่ายึดถือเรื่องบวชหรือไม่บวช ให้มันแตกต่างกันจนตรงกันข้าม เพราะว่า อยู่ที่บ้านก็ต้องประพฤติพรหมจรรย์ แบบชาวบ้าน มาอยู่ที่วัดก็ต้องประพฤติพรหมจรรย์แบบที่วัด มันต่างกันตรงไหน มันต่างกันตรงที่ว่าที่วัดมันสะดวกกว่า หรือจะทำได้แนบเนียนกว่า สูงกว่า แต่แล้วก็ต้องทำสิ่งเดียวกันแหละ คือบังคับตัวเอง บังคับกิเลสอย่าให้เกิดความผิด อย่าให้เกิดความชั่ว อย่าให้เกิดความทุกข์ มันเหมือนกันอย่างนี้ จะเป็นพุทธบริษัท อุบาสก อุบาสิกา อยู่ที่บ้าน จะเป็นภิกษุ สามเณรอยู่ที่วัด มันไม่แน่นอนว่าใครจะดีกว่ากัน มันแน่นอนแต่ว่าใครประพฤติพรหมจรรย์ได้ดีกว่า คนนั้นก็ดีกว่า คือจริงกว่า พระ เณร ที่เหลวไหล มีสภาพจิตทรามกว่าอุบาสก อุบาสิกา ที่อยู่ที่บ้านก็ยังมี คุณไปดูเอาเองเถอะ นั้นเขาจะเอาไอ้รูปร่างข้างนอกเป็นหลัก วัดจิตใจนี้มันก็ไม่แน่ มันก็ต้องเอาไอ้จิตใจนั้นแหละเป็นหลัก ที่เขาจะมีระเบียบวินัยบัญญัติว่าเป็นชาวบ้าน แม้จะเป็น โสดา สิกิทาคา อะไรก็ต้องไหว้ภิกษุที่เป็นบรรพชิตแม้ว่าจะไม่เป็นโสดา คือเป็นปุถุชน นั่นเขาหมายถึงเพศ หมายถึงสัญลักษณ์ หมายถึงระดับ สถานะที่จัดไว้ ไม่ใช่เอาตัวคนอะไรเป็นหลัก คือได้จัดเป็นหลักไว้ว่า ระบบเป็นบรรพชิตประพฤติพรหมจรรย์นี้มันสูง มันเว้นมาก มันอะไรมาก มันอยู่ในพวกสูงไปเสียเลย เมื่ออยู่ในหมู่นั้นแล้วมันก็ได้รับสมมุติว่าเป็น หมู่นั้นไปเลย ถ้ายังอยู่ในเพศฆราวาสก็หมายความว่า อยู่กับลูกกับเมียอยู่กันไปตามเรื่อง แต่คนที่เขาไม่อยู่กับลูกกับเมียก็มี หรือว่าเขามีจิตใจดีกว่านั้นก็มี แต่เดี๋ยวนี้ได้ถูกบัญญัติแล้วว่า อยู่ที่บ้าน ครองเรือน มันก็อยู่กับพวกครองเรือนไป บัญญัติให้เป็นเพศที่ต่ำกว่าบรรพชิตเอาไว้ นี้โดยหลักส่วนใหญ่ แต่เดี๋ยวนี้ผมมาพูดเสียใหม่นะว่า เอาพรหมจรรย์เป็นหลักกันก็แล้วกัน ใครปฏิบัติพรหมจรรย์ ได้มากเท่าไรคนนั้นก็อริยบุคคลมากเท่านั้น อยู่บ้านก็ได้ อยู่วัดก็ได้ ประพฤติพรหมจรรย์ได้มากเท่าไร มีความเป็นอริยบุคคลมากเท่านั้น
ดังนั้นจึงไม่แปลกในข้อที่ว่าคุณมาบวช ๓ เดือนประพฤติเต็มที่ในพรหมจรรย์ มันก็มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากในเนื้อในตัวนี้ คือบังคับตัวเองได้มาก อันนี้ถ้าเอากลับไปได้จะวิเศษที่สุด เอากลับไปเมื่อสึกออกไปแล้วเอากลับไป เอากลับไปบ้านได้ด้วยวิเศษที่สุด ให้เป็นผู้ที่บังคับตัวเองได้ดีกว่าแต่ก่อน เรียกว่าก่อนแต่ที่จะบวชเราไม่สนใจหรือบังคับไม่ได้ ทีนี้มาฝึกบังคับกันเสียที่นี่ให้สุดเหวี่ยง เกิดนิสัยอันใหม่ บังคับตัวเองได้กลับออกไปก็เป็นผู้บังคับตัวเองได้ ไปทำอะไรได้ปลอดภัยกว่ากัน ประสบความสำเร็จกว่ากัน นี่รวมความแล้วก็คือว่า พรหมจรรย์คำเดียว เป็นคำที่กินความหมดในบรรดาสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะต้องประพฤติกระทำให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของตน
ดังนั้นขอให้ทุกคนมีพรหมจรรย์ เด็กตัวเล็กๆ ก็ให้เขามีพรหมจรรย์ ให้เชื่อฟังพ่อแม่อย่างเคร่งครัดทุกกระเบียดนิ้ว นี้ก็เป็นพรหมจรรย์ของเด็กทารกนั้น ให้เชื่อฟังครูบาอาจารย์ เคร่งครัดให้เคารพ ระเบียบ กฎข้อบังคับของโรงเรียนของอะไรเคร่งครัดนี้ก็เป็นพรหมจรรย์ของเขาทุกอย่าง กระทั่งเป็นสาวขึ้นมาก็ได้เคร่งครัดในพรหมจรรย์ทางเพศ หรือเป็นหนุ่มขึ้นมาก็ประพฤติเคร่งครัดพรหมจรรย์ในทางเพศก็ได้ที่มันเหมาะสำหรับคนหนุ่ม หรือเรื่องอะไรก็ตาม มันไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกันระหว่างหญิงกับชาย อย่าไปหลงตามไอ้คนบางคนที่ว่าจะให้ผู้หญิงกับผู้ชายทำอะไรเหมือนกัน นี้มันทำไม่ได้ เพราะธรรมชาติมันสร้างมาต่างกันแล้ว นี้ก็เป็นพ่อบ้านแม่เรือน ก็มีประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด เป็นพ่อที่ดีที่สุดของลูกมันก็เป็นประพฤติพรหมจรรย์ เป็นมารดาที่ดีที่สุดของลูกก็เป็นการประพฤติพรหมจรรย์ เรื่อยๆ ไป จนเป็นคนแก่ที่ดีที่สุด คนแก่หง่อมที่ดีที่สุด ที่เทวดาเห็นก็ต้องยกมือไหว้ มันก็เป็นพรหมจรรย์ของคนแก่ที่อยู่ที่บ้าน เดี๋ยวนี้มัน ปล่อยกันตามสบาย ไม่มีพรหมจรรย์ที่ตรงไหน ที่ระดับไหนหรือของใคร มันก็เลยเปะปะเปะปะ มนุษย์ก็ไม่มีความสงบสุข เพราะไม่มีพรหมจรรย์
พรหมจรรย์แปลว่า ประพฤติอย่างพรหม ประพฤติอย่างสูงสุด นี่เรื่องพรหมจรรย์เป็นอย่างนี้ พูดสืบต่อกันมาจากข้อความที่พูดเมื่อวาน พอเรามาบวช เพื่อให้รู้จักธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ จำเป็นสำหรับมนุษย์คือธรรมะ ทีนี้ธรรมะนั้น จะให้สำเร็จประโยชน์อย่างนั้นได้ ต้องเอาธรรมะนั้นแหละมาประพฤติ อย่างพรหมจรรย์ ประพฤติให้สุดความสามารถ อย่างที่เราประพฤติพรหมจรรย์ได้ ธรรมะนั้นจึงจะเป็นประโยชน์ได้ เอาหล่ะพอกันที เวลาที่กำหนดไว้ ก็มีเท่านี้