แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
บัดนี้ เอ้อ, บัดนี้จะได้พูดถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่นักเรียนทั้งหลายตามโอกาส เมื่อจะพูดกันถึงเรื่องเกี่ยวกับ เอ้อ, ธรรมะหรือศาสนา เรื่องแรกที่สุด มันก็จะต้องพูดถึง สิ่งที่เรียกว่า สรณะ ที่พึ่ง สิ่งที่เรียกว่า อ้า, สรณะนี้ ก็แปลว่า ที่ระลึก แต่ไม่ได้หมายความว่าระลึกถึงเฉยๆ หมายถึงว่าระลึกถึงแล้วก็รู้สึกว่าปลอดภัย จึงเรียกว่า มันเป็นที่พึ่งโดยการที่ระลึกถึง ก็เลย อ้า, ก็ปฏิบัติตาม คนนี้ก็อยู่ด้วยความเชื่อ ถ้าดูให้ดีแล้วก็จะเห็นว่า เอ้อ, แม้แต่สัตว์มันก็ต้องอยู่ด้วยความเชื่อว่ามันปลอดภัย ถ้ามันไม่ได้เชื่อว่าเดี๋ยวนี้ปลอดภัย มันก็นอน นอน นอนหลับไม่ได้ แต่ว่าสัตว์นี่มันคิดอะไรมากไม่ได้ แล้วไอ้เรื่องที่จะต้องกลัว ต้องวิตกนั้นมันมีน้อย ส่วนคนเรามันก็มีมาก เพราะว่ามันเจริญขึ้นมาตามลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ไอ้มันสมองจะคิดจะนึกมันมีสูงขึ้น สูงขึ้น เราจะจำหรือว่าจะรู้สึก จะคิดจะนึกก็ล้วนแต่สูงขึ้น สิ่งที่ทำให้กลัว ให้เป็นทุกข์มันมีมากขึ้นๆ ตามไป สิ่งที่จะเป็นความเชื่อก็ต้องสูงตามขึ้นไป พอเรารู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเราก็นอนไม่หลับ แม้แต่สัตว์ก็ดูเถิด ตัวเล็กๆ มันจะต้องเข้าไปหาที่ปลอดภัย จะอยู่ในซอกหินหรือว่าจะอยู่ที่ตรงไหน สัตว์เล็กๆต้องเข้าไปจนปลอดภัยจึงจะหยุดจึงจะนอน เพราะมีความเชื่อว่าปลอดภัย สิ่งนั้นก็เป็นสรณะของมัน มันจึงวิ่งลงไปในรู วิ่งลงไปในที่ที่หลบภัยได้ โดยความเชื่อขึ้นมาว่าปลอดภัย ทีนี้คนจะอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างไร จึงจะชื่อว่าปลอดภัย คืออยู่ในบ้านในเรือนก็คิดว่าปลอดภัย ชั้นหนึ่งแล้ว ทีนี้มันยังมีว่าอะไรต่อไปอีก ต้องคิดมากออกไป จึงมีเรื่องผีสางเทวดานี่ที่มันคิดมากออกไปที่ว่าจะไม่ปลอดภัย จะต้องทำกันอย่างไร ก็เลยหาวิธีที่จะทำให้ใจมันเชื่อว่าปลอดภัยกันมากขึ้นๆ มนุษย์ทีแรกก็ไม่ได้รู้เรื่องที่จะเชื่อผีสางเทวดา ต่อมามันกลัวสิ่งต่างๆที่น่ากลัวน่าอัศจรรย์ ก็เลยคิดต่อต่อต่อไปจนเกิดมีความเชื่อเรื่องผีสางเทวดา ก็เหลืออยู่เรื่อยๆมาจนบัดนี้ ในเมื่ออีกทางหนึ่งเขาก็มีความคิดไกลออกไป ถึงกับไม่เชื่อ คือไม่เชื่อว่าไอ้ที่พึ่งชนิดนั้นมันจะช่วยได้ ถึงที่สุดหรือจะช่วยได้จริง พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในสมัยที่คนก็ยังเชื่อว่ามีเทวดา มีอะไร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีบทสวดที่นำมาสวดกันอยู่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าว่า (บทสวด) (นาทีที่ 06.03) มันก็มีว่าเมื่อมนุษย์เกิดความกลัวขึ้นมาก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามบ้าง รุกขเจดีย์บ้าง เป็นต้น เป็นที่พึ่งเป็นสรณะนั้น (บทสวด)(นาทีที่ 06.34) นั่นไม่ใช่สรณะอันสูงสุด ไม่ใช่สรณะอันอุดมสูงสุด อันเกษม ก็เพียงแต่ยกเป็นตัวอย่างมาว่าเรื่องเชื่อ เรื่องต้นไม้ เรื่องผี เทวดา เรื่องภูเขา เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มากมากเหลือเกิน กระทั่งสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านตรัสว่าไม่ใช่ที่พึ่ง คือมันไม่ใช่สรณะ อย่างที่ว่า ที่สูงสุด หรือว่าเกษมคือปลอดภัยได้จริง มันจะเป็นที่พึ่งได้บ้างก็เพราะว่ามันเชื่อแล้วก็สบายใจ เป็นเรื่องไสยศาสตร์ คือดีกว่าที่ว่าไม่มีอะไรเสียเลย คนก็ถือกันมาก ถือกันกระทั่งบัดนี้ นี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสต่อไปว่า ถ้ายัง ถ้าว่าผู้ใดเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง คือรู้อริยสัจสี่ เห็นอริยสัจสี่ ที่มีอยู่ใน ที่เป็นความรู้อยู่ตลอดเวลา นี่คือที่พึ่งที่แท้จริง สรณะที่แท้จริง ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะเห็นอริยสัจสี่ อริยสัจทั้งสี่อยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นที่พึ่งที่แท้จริงที่สูงสุดที่เกษม นี้จึงเป็นอันว่าคนมนุษย์เรานี้ได้ตื่นขึ้นมา ถึงระดับสูงสุดตามพระพุทธเจ้า มีที่พึ่งที่แท้จริง ก่อนนี้มนุษย์ได้ตื่นขึ้นมาไม่ถึงครึ่งหรือว่านิดหน่อย คือตื่นอย่างงัวเงียอยู่ ตาก็จะยังไม่ลืมมากด้วยซ้ำไป ก็ถือต้นไม้ภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เป็นต้น เป็นของศักดิ์สิทธิ์ และก็ว่าพึ่งได้ ต่อมาก็ลืมตาถึงที่สุดคือตื่นนอน ลืมตาถึงที่สุด สว่างไสวเห็นตามพระพุทธเจ้า ว่ามันยังมีสิ่งที่พึ่งได้จริง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้เราก็ควรจะศึกษากันต่อไป เรื่องที่พึ่งที่พึ่งได้จริง ที่จริงไอ้ความเชื่อนั้น มันก็ทำให้สบายใจ หายกลัว หายกลัว หายหวั่นวิตก ถ้าว่าไอ้สิ่งที่เชื่อนั้นมันไม่จริง ความเชื่อนั้นมันก็ไปชั่วครู่ชั่วขณะหรือ หรือว่าเล็กน้อย เชื่อระดับเล็กน้อย ยังต้องกลัว ยังต้องเป็นทุกข์อยู่ ก็เรียกว่ายังจะต้องทำไปให้ถึงที่สุด เมื่อตะกี้ก็คงจะได้ยินได้ฟังพระสวดมนต์ว่า พระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้ระบุลงไปว่าชื่อนั้นชื่อนี้ เพราะว่ามี ถือว่ามีหลายองค์ด้วยกัน แต่ถ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถึงที่สุดนั้นก็เรียกว่าพระพุทธเจ้า ผู้รู้ รู้ไอ้สิ่งที่จริง ที่ถูกต้อง ที่จริง ที่ไม่หลอก ผู้ตื่นก็คือหลับ ก็คือตื่นจากหลับ ผู้ตื่นก็ตื่นจากหลับ คนธรรมดาสามัญยังหลับอยู่ด้วยความไม่รู้ อย่างนี้เขาเรียกว่าหลับด้วยอวิชชา ธรรมดาคนเรามันก็หลับด้วยทางร่างกาย ทางธรรมดานี้ถึงเวลานอนก็หลับ หลับ สว่างขึ้นก็ตื่น ตื่นขึ้นมา หลับตื่น หลับตื่น หลับตื่นอยู่อย่างนี้ นี่มันตื่นทางร่างกาย หลับทางร่างกายมันไม่เกี่ยวกัน หลับทางจิต ทางวิญญาณ หมายถึงหลับด้วยอวิชชา แม้จะตื่นเที่ยวเดินอยู่ มันก็ยังหลับอยู่ด้วยอวิชชา คือโง่ มันหลับด้วยความโง่ คือหลับในส่วนจิต ส่วนวิญญาณ หรือที่เรียก ที่ทางศาสนาก็เรียกว่าหลับ ถ้ามันยังลืมตาอยู่ เที่ยววิ่งอยู่ เที่ยวทำงานอยู่ ก็ยังเรียกว่าหลับ ถ้ามันยังโง่ โง่คือไม่รู้จักความจริงหรือสิ่งที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ้า,ก็คือสิ่งที่จะทำให้ดับทุกข์ได้จริง ไม่รู้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ตื่น พระพุทธะมีความหมายว่าตื่น คำเดียวกับ ตื่น ตื่นนอน ตรงนี้อยากจะบอกไว้เสียเลยว่าไอ้คำทางธรรม ทางศาสนา ทางธรรมะ คำพูดทางธรรม ทางศาสนา ทางธรรมะนี่ก็ยืมคำชาวบ้านไปใช้ทุกคำ แต่ว่ามันมาก อธิบายไม่ไหวตอนนี้ ยกตัวอย่างเช่นคำว่าตื่น ตื่นนอน เอาคำธรรมดาไปใช้ก็เป็นการตื่นจากนอนหลับด้วยกิเลส เมื่อใดเราหายโง่เด็ดขาดลงไปนั้นก็เรียกว่าตื่น พระพุทธเจ้าท่านเป็นมนุษย์คนแรกที่ตื่นจากหลับด้วยกิเลส ด้วยอวิชชา มาสอนคนอื่นให้รู้จักตื่นอย่างนั้นบ้าง นี้มีคำว่าผู้เบิกบาน ผู้รู้ ผู้ตื่น ก็ผู้เบิกบาน เป็น ๓ ความหมาย เบิกบานก็คล้าย ก็คล้าย ความหมายก็คล้ายกัน เดี๋ยวนี้มัน เมื่อก่อนนี้มันไม่เบิกบาน มันเหมือนกับหลับตาหรือปิดอยู่ มันก็ไม่มีความเบิกบาน ไม่มีความสดชื่น แจ่มใส พอมันตื่นจากอวิชชา กำจัดอวิชชาได้แล้ว สิ่งที่ทำให้มืดนั้นมันไม่มี มันก็เบิกบาน ก็สดชื่น ก็แจ่มใส คือไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นสรุปรวมสั้นๆ ก็คือว่า ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้ ถึงที่สุดแล้วก็เบิกบานอยู่ ซึ่งจะกลับโง่กลับมืดอะไรไม่ได้อีกต่อไป คือพระพุทธะ คือพระพุทธเจ้า คำนี้ไม่ใช่เป็นชื่อของบุคคล ชื่อนั้นชื่อนี้ เป็นคำนามธรรมดา เรียกบุคคล ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานว่าพุทธะ อย่างพระพุทธเจ้าองค์ที่แสดงธรรมะในศาสนาปัจจุบันนี้ก็เรียกว่า พระสิทธัตถะโคตม นี้เป็นชื่อส่วนตัวท่านนามสกุลของท่าน ชื่อว่าสิทธัตถะ นามสกุลว่าโคตม ส่วนที่เรียกว่าพุทธะหรือพุทธเจ้านั้นไม่ได้เล็งถึงข้อนั้น คือไม่ได้ ไม่ได้เล็งถึงคนนั้น ลูกหลานคนนี้ ก็เล็งถึงบุคคลใดก็ได้ ตื่นจากหลับคือกิเลส ตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็เรียกว่าเกิดใหม่ก็ได้ ไปเกิดใหม่โดยธรรม ที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า เกิดทีแรกเกิดจากบิดามารดาทางร่างกาย ต่อมาก็เกิดอีกครั้งหนึ่ง เกิดทางนามธรรม ทาง เกิดจากธรรม เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็สามารถที่จะทำให้ผู้อื่นเกิดทางธรรมนี้ ตาม ตาม ตามกันมา เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ถ้าเรารู้จักพระพุทธเจ้าจริง ก็อาจจะถือเอาเป็นที่พึ่งได้จริง ถ้ารู้จักน้อยก็ถือเอาเป็นที่พึ่งได้น้อย หรือยิ่งน้อย พระพุทธเจ้าคืออะไรก็ต้องรู้ เพราะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือมีจิตใจรู้ถึงที่สุด นั่นแหละคือพระพุทธเจ้าจริง บางทีก็เล็งถึงพระธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม แม้ไม่ได้เห็นร่างกายนี้แต่เห็นธรรม คือธรรมะที่ดับทุกข์ได้จริง ฉะนั้นเราจะเห็นพระพุทธเจ้าต้องเห็นธรรมะที่ดับทุกข์ได้จริง ไม่ได้เห็นชั้นนอกๆ เช่นเห็นพระพุทธรูปหรือว่าเห็นไอ้สิ่งที่แทนพระพุทธเจ้า โดยรูปโดยวัตถุ เช่นพระอะไรก็ตาม พระพุทธรูปบ้าง พระธาตุบ้าง อะไรบ้าง ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้แต่เห็นร่างกายนี้ก็ยังไม่ได้เห็นองค์จริง เหมือนเห็นธรรมะที่มีอยู่ในใจของท่าน จึงได้เรียกว่าเห็นท่านจริงๆ นี่คือข้อที่เราต้องศึกษาธรรมะและให้รู้ธรรมะ กระทั่งรู้ธรรมะที่มันมีอยู่ใน ในใจของเรา ไม่ใช่เพียงแต่ว่าจดท่องไว้ก็จะเรียกว่ารู้ธรรมะ นั้นมันก็ยังจำได้ เอาไปคิดให้เข้าใจมันก็ยังไม่ถึงที่สุด ต่อเมื่อปฏิบัติแล้วธรรมะมีอยู่ในใจ ปรากฏอยู่ในใจแก่ใจนั้น จึงจะเรียกว่าจริง รู้จักพระพุทธเจ้าจริง เป็นชั้นๆอย่างนี้ ความรู้ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ความทุกข์เป็นอย่างไรและดับทุกข์ไปแล้ว รู้ว่าทุกข์ก็ดับไปแล้ว เห็นทุกข์เอ้อ, ที่ดับไปแล้วจากใจนี่ชั้นสูงสุด ออกมาก็ถึงจิตถึงร่างกายของท่าน ต่อมาท่านก็ได้นิพพาน คือร่างกายนี้ก็ถูกเผา ก็เหลือสิ่งที่แทนอยู่ เช่น พระธาตุ เป็นต้น กระทั่งพระพุทธรูปปัจจุบันนี้ก็มีมาก สำหรับพระพุทธรูปนี้เพิ่งเกิดมี เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วตั้งหลายร้อยปี ๕๐๐ ๖๐๐ ปี จึงเกิดพระพุทธรูปขึ้นมา ทีแรกก็น้อยองค์ ต่อมาก็มากขึ้น จนเดี๋ยวนี้มันมากจนนับไม่ไหว เป็นองค์นิดๆๆๆ มาใช้เป็นวัตถุแขวนไว้ที่คอบ้าง ในที่สุดก็อย่าให้ลืมเรื่องนี้ ต่อมาบางคนก็คิดว่าโดยลำพังว่าแขวนนั้นเท่านั้นแหละ ก็จะคุ้มครองได้โดยไม่ต้องคิดถึงการปฏิบัติ หนักๆเข้าก็เอาไปแขวนสำหรับป้องกันไอ้ สิ่งที่เรียกว่ามันไม่เกี่ยวกันนะ เช่นว่า จะไปแขวนแล้วจะไม่ให้ใครฆ่าได้ ยิงได้ ฟัน อา, ฟันเข้าหรือยิงถูกอย่างนี้ เป็นต้น นี้มันก็เป็นเรื่องที่เลยไป เลยไปแล้ว แขวนพระพุทธรูปอย่างนี้ก็เพื่อจะให้นึกถึงพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่ทำผิด เมื่อไม่ ไม่ทำผิดก็ไม่มีใครฆ่า ก็ไม่มีใครยิง อย่างนี้ก็เรียกว่าจริง จะไปทำผิดให้เขาโกรธ ให้เขาเกลียด ให้ ให้เขาฆ่า ให้เขายิงก็คุ้มไม่ได้ เพราะไม่มีพระพุทธเจ้าจริง มีแต่อะไรอันหนึ่งซึ่งตนว่าเอาเองสมมุติว่าเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็เป็นกันมากขึ้น เราจึงได้เห็นคนที่ถูกฆ่านอนตายอยู่ก็มีพระพุทธรูปเล็กๆแขวนอยู่ที่คอเยอะแยะ ถ้าเขามีพระพุทธเจ้าจริงก็ต้องไม่ทำอะไรชนิดที่ทำให้เขาถูกฆ่า และความศักดิ์สิทธิ์มี ก็ต้องรู้ว่ามีที่ไหน อย่างนี้มันก็มีที่พระพุทธเจ้าจริง ทีนั้น นอกจากนั้นก็คือว่าทำให้ใจมันมั่น การมีอะไรเป็นเครื่องราง เป็นเครื่องอะไรอยู่ก็เพื่อให้ใจมันมั่น มีความเชื่อมั่น แล้วก็จะต่อสู้ด้วยความเชื่อมั่น อันนี้มันมีผลอีกทางหนึ่งมันไม่ได้ป้องกันไอ้ ความทุกข์หรืออะไรที่จะเกิดขึ้น ถ้าเชื่อมั่นและประพฤติธรรมะนี่มันก็ป้องกันได้ ไม่มีเหตุที่จะต้องให้ถูกฆ่า ถูกอะไรตาย ถ้ามีธรรมสูงสุด เป็นพระอรหันต์อยู่เหนือความตาย อยู่เหนือความเกิด อยู่เหนือความตายอย่างนี้ก็เรียกว่าอยู่เหนือความตาย นี่ เรื่องนี้ยากต้องเข้าใจ ต้องศึกษากันมาก เพราะพูดละเอียดไม่ได้ แต่ให้รู้ไว้เถอะว่า ถ้าว่ารู้ธรรมะจริง รู้ถึงขนาดว่ามิได้มีเราที่จะตายหรือแม้แต่จะเกิด หรือจะอยู่หรือจะตาย อย่างนี้เรียกว่าพ้นความตาย เป็นพระอรหันต์ ไม่รู้สึกว่ามีเกิดหรือมีตาย ทีนี้เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เรายังมีความรู้สึกเป็นเกิดเป็นตาย เป็นเกิดของเรา เป็นตายของเรา เราก็กลัวมาก อะไรจะมาช่วยให้ความกลัวนั้นหายไปได้ มันก็มีความเชื่อที่ถูกต้อง ถ้าความเชื่อยังไม่ถูกต้องมันก็หายไปได้บ้าง บางครั้งบางขณะหรือบางระดับ ต้องศึกษาให้เข้าถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ จะหยุดอยู่เพียงแค่พระพุทธรูปนี่ไม่ได้ ต้องเลยนั้นไปอีก พระพุทธรูป เป็นต้น นั้นเป็นสัญลักษณ์ของอะไร เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลผู้พ้นทุกข์ ท่านทำอย่างไร ท่านรู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความดับทุกข์ อะไรเป็นทางถึงความดับทุกข์ที่เรียกว่าอริยสัจ ๔ เขาจึงตรัสว่า คนใดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เห็นอริยสัจ๔ อยู่ นั้นแหละคือที่พึ่ง อริยสัจนั้นคือพระธรรม ธรรมะจริงๆ กฎความจริง ความจริงต่างๆที่รู้แล้วปฏิบัติได้ นี้ก็เป็นพระธรรม พระสงฆ์ก็เป็นเราเสียเอง คือเราเป็นผู้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คือความรู้ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร หรือจิตที่มันรู้เพราะอะไรเป็นอะไร พระธรรมคือความจริงที่ได้รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนั้น เหตุที่เกิดทุกข์เป็นอย่างนั้น ที่นี้เราก็อาจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริงได้ในระดับใดระดับหนึ่ง ศึกษาแล้วก็รู้ แล้วก็ปฏิบัติ อริยสัจ ๔เรื่องดับทุกข์ เวลานั้นก็จะมีความเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาในเรา มีพระพุทธเจ้าจริง ขึ้นมาในเรา ความทุกข์ก็เกิดขึ้นไม่ได้ นี่เราป้องกันความทุกข์จริงตามแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ไอ้จิตที่รู้ หรือตัวผู้รู้ที่มีขึ้นในเราในเวลานั้นก็เป็นพระพุทธเจ้า แม้แต่น้อยๆ ก็เป็นองค์น้อยๆ พระพุทธเจ้าจริงองค์น้อยๆ คือรู้เท่าไหนก็เป็นเท่านั้น ความจริงที่รู้ก็เป็นพระธรรม ไอ้ ไอ้ ไอ้กายวาจาใจที่ปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมอยู่ เรียกว่าเป็นพระสงฆ์ อย่างนี้เรียกว่าเรามีพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง อยู่ในเรา มันก็ป้องกันความทุกข์ได้ จึงพูดได้เลยพร้อมกันเลยว่ารู้ พระพุทธ พระธรรม รู้ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะนั่นคือรู้อริยสัจ ๔ อยู่ หมายถึงว่า รู้ว่าเป็นอย่างไร และก็ปฏิบัติอยู่ แล้วก็รู้ว่าปฏิบัติแล้ว มันได้ผลแล้ว จึงจะเรียกว่ารู้ เกี่ยวกับความรู้นี้ให้ช่วยจำไว้ว่ามันเป็น ๓ ชั้น เป็นอย่างน้อย รู้เพราะเรียน เพราะอ่าน เพราะท่อง เพราะจำอย่างนี้ก็เรียกว่ารู้ เป็นความรู้ ได้ยินได้ฟัง อ่านท่องจำไว้ได้ ทีนี้มาอีกทีหนึ่งก็รู้โดยเข้าใจ โดยทำความเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น มาคิดทบทวนใช้เหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ อ้าว, มันจริง มัน มันจริงไม่มีทางจะค้าน อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้เหมือนกัน แต่ลึกลงไปอีกคือเข้าใจ รู้อย่างเข้าใจ รู้ชั้นสูงสุดมันก็คือปฏิบัติ ปฏิบัติจนรู้ว่า อ้าว, มันมีอยู่อย่างนี้ กิเลสทุกข์ร้อนอย่างนี้ ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวร้อนอย่างนี้ เดี๋ยวก็สลายไป และกลายเป็นความเย็นไม่ทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้ อย่างนี้ไม่ต้องใช้เหตุผลแล้ว ที่จะไปใช้เหตุผลคำนวณอยู่ไม่ต้องแล้ว มันรู้จริงด้วยใจจริงอย่างนี้ อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้ รู้อย่างตรัสรู้ รู้แจ้งแทงตลอด เราเรียนจากหนังสือเรามีความรู้ เราคิดด้วยเหตุผล เรามีความเข้าใจและสิ่งนั้นปฏิบัติเสร็จแล้ว รู้แก่ใจจริงอยู่ก็เรียกว่า อย่างรู้แจ้งแทงตลอด เลยความเข้าใจไปอีก ที่ไม่ต้องอาศัยเหตุผลแต่อาศัยความจริงที่มีอยู่ในใจ ฉะนั้นแยกกันให้เด็ดขาดสิ ไอ้ความรู้จากหนังสือนั้นมันก็ตั้งอยู่บนความจำ มันอาศัยอยู่บนความจำ ความรู้ การเรียนหนังสือที่เราเรียนในโรงเรียน ทีนี้ความเข้าใจนี่มันตั้งอยู่บนเหตุผล ถ้าเหตุผลถูกก็ถูก เหตุผลผิดก็ผิดก็ได้ ไม่แน่ ความเข้าใจอยู่บนเหตุผล ไอ้ reasoning นี้ก็อยู่บน reason ทั้งหลาย ทีนี้พอ หลังจากนั้นมาปฏิบัติแล้วรู้แจ้งเห็นจริง อย่างนี้มันรู้จากความรู้สึก อย่างนี้ เขาเรียกให้มันสูงขึ้นไปอีกว่า realize realize ตั้งเหตุผลอยู่ ตั้งอยู่บนความรู้สึกจริง ๆ มีความรู้สึกที่เรียกว่า experience รู้สึกอยู่ในใจ แบบไม่ต้องเชื่อคนอื่น ก็เป็นทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ อย่างนี้มีแม้แต่ทุกแขนงความรู้ ถ้ายังไม่รู้จริงก็ยังไม่ถึงไอ้รู้แจ้งแทงตลอด อย่างว่าเด็กๆเกิดมาใหม่ๆไม่รู้เรื่องไฟ ผู้ใหญ่จะห้ามว่าอย่าไปจับไฟมันจะร้อน มันก็มีความรู้จากเขาบอกว่าไฟมันร้อน มันก็ดูๆไปอย่างนั้น ความเชื่อก็ไม่มากมาย นี่เรียกว่าได้ความรู้จากเขาบอกทางฟังว่าไฟมันร้อน รู้นิดเดียว มันก็ยังไม่ ไม่เป็นความรู้จริงที่สุด หรือว่าก็มีความเชื่อที่ถูก ต่อมาเด็กรู้จักสังเกตเห็นไฟเผาอะไรต่างๆไหม้ เผากระดาษไหม้ ไหม้หายไป ก็ใช้เหตุผล เป็นการใช้เหตุผลของตัวเอง ว่ามันคงจะร้อนจริง หรือเอามือไปจ่อใกล้ๆก็จะรู้ว่ามันร้อน เด็กก็เชื่อว่าไฟคงจะร้อนจริง ร้อนแน่ ก็กลัวมากขึ้น ก็เชื่อมากขึ้นว่ามันคงจะร้อนแน่ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด จนวันหนึ่งเขาไปจับเอาไฟเข้า ไปแตะเอาไฟเข้าด้วยเหตุใดก็ตาม เขาไปขยำดู มันก็เกิดความรู้สึกจริงๆขึ้นมา ไม่ต้องใช้เหตุผล ที่เรียกว่า realize หรือ experience เกิดขึ้นโดยแท้จริง ความรู้นั้นเป็น realization จริง จำไว้เลยว่าความรู้อย่างหนึ่งความเข้าใจอย่างหนึ่ง ความรู้สึกแจ้ง เห็นแจ้งแทงตลอดนี้อย่างหนึ่ง เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ก็เหมือนกัน หรือเกี่ยวกับความทุกข์ ความดับทุกข์นี่ก็เหมือนกัน ทีแรกได้ยินได้ฟัง ก็จดไว้จำไว้ พอใช้เหตุผลว่ามันจะต้องจริง เพราะว่ามีกิเลส มีอะไรขึ้นมาก็ทุกข์ ทีนี้ต่อมากิเลสที่เกิดขึ้นจริง และทำกิเลสให้หมดไป ไม่มีกิเลส หรือระหว่างที่ไม่มีกิเลสก็ไม่มีความทุกข์ ทำให้กิเลสหมดสิ้นเชิง ก็เลยไม่มีความทุกข์สิ้นเชิง ลองคิดดูอะไรเป็นที่พึ่ง อะไรที่เป็นที่พึ่ง ธรรมะเป็นที่พึ่ง อ้า, ก็ถูกเหมือนกัน ทีนี้ธรรมะที่รู้ๆ จากเรารู้ๆ จดๆจำๆ ไว้นี้ก็เป็นที่พึ่งได้หน่อยหนึ่ง ธรรมะที่ใช้เหตุผลเชื่อ เข้าใจยิ่งๆขึ้นไปก็ช่วยได้อีกมากหน่อยหนึ่ง ขึ้นไปถึงธรรมะจริง คือรู้จริง ปฏิบัติจริงปรากฏอยู่จริงจะช่วยได้มาก นี่ก็เรียกว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ ที่แท้จริงเป็นอย่างนี้ ทีนี้มันยังทำไม่ได้ ไอ้เรานี้จะทำอย่างนี้ทันทีไม่ได้ ลดลงไปลดลงไป ก็เลยไปถึงกับว่าไป ไป ไปถึงออกไปนอกวงของ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มี ก็ไปเชื่อต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ อะไรศักดิ์สิทธิ์ แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เทวดาศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นเลยออกไปนอกวงของพระพุทธเจ้าแล้ว อันนี้ก็โทษใครไม่ได้นัก เพราะว่าเด็กๆก็ไม่รู้ เกิดมาก็ถูกสอนให้ไหว้ผี ไหว้เทวดา ไหว้อะไรไปก่อน จนกว่าจะรู้จักไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือเมื่อไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไหว้แกนๆไปอย่างนั้นแหละ เชื่อแกนๆไปอย่างนั้นแหละ ไอ้ความกลัวที่มันกลัวผี กลัวอะไรมันมา มาแต่เดิมมันมาก่อนมันแน่นแฟ้นมาก เดี๋ญวก็ไปไหว้ผีไหว้เทวดา ไหว้จอมปลวกเพราะคิดว่าในนั้นมีเทวดามีผีมีอะไรก็สุดแท้ ภูเขาก็ไหว้ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ไหว้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ก็ไหว้ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไป ระดับนั้นยังไหว้ผีอยู่ เรียกว่ายังไหว้ผีอยู่ ยังมีสรณะในผีสางเทวดาอยู่ หรือสัญลักษณ์ แม้แต่สัญลักษณ์ทางผีสางเทวดาก็ไหว้ เอาไม้มาแกะเป็นรูปเทวดาแล้วก็ไหว้ที่ศาลเจ้า ก็มีกันแปลกๆ แบบจีนแบบไทย แบบแขก แบบไหนก็มีกันแปลกๆไป อย่างนี้ยังไม่ถึงสรณะที่แท้จริง คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันยังอยู่ทีแรก ไหว้ต้นไม้ ไหว้อะไรศักดิ์สิทธิ์ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไอ้ทางคนที่เขาขลาดเขากลัวนั้นเขาก็ทำไปได้ไป อธิบายกันได้ไป มีเทวดากี่ชั้นกี่นั่นกี่นี่ ให้เชื่อให้อ้อนวอน ต้องมีพระเจ้าที่เป็นเทวดา มันก็บรรเทาไปได้บ้าง ความทุกข์ มีความเชื่อบ้าง ความทุกข์ ความทุกข์ก็บรรเทาไปได้บ้างแต่ไม่จริง ไม่ถึงที่สุดต้องมาจริงคือจริง ความทุกข์เกิดมาจากอะไร ก็ทำลายสิ่งนั้นเสีย นั่นจริง ความทุกข์เกิดมาจากความโง่ก็ทำลายความโง่เสีย ความทุกข์เกิดมาจากความโลภก็ทำลายความโลภเสีย จากความโกรธก็ทำลายความโกรธเสีย ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดมาทีไรเป็นไฟทุกที ก็อย่าให้มันเกิดขึ้นมา จึงจะเรียกว่าถึงสรณะที่แท้จริง ให้ใช้ในทางที่ถูกคือดับทุกข์ ถึงจะแขวนเครื่องรางแล้วไปฆ่าเขาโดยไม่ให้เขาฆ่าเรานี้มันบ้า มันเป็นไปไม่ได้ ไอ้ข้างโน้นก็ไปแขวนเครื่องรางเหมือนกัน เพื่อจะมาฆ่าเราไม่ให้เราฆ่าเขา มันก็บ้ากันทั้งสองฝ่าย ส่วนที่เกี่ยวกับความกลัวนี้ก็ไหว้ ไหว้ศาลพระภูมิ มันได้อะไรบ้างก็คิดดูเถิด ให้มันได้แต่หลอกให้ ให้ ให้เชื่อไปพักๆ เรื่องนี้ เอ่อ, สุน สุนทรภู่ที่เป็นกวี เขาก็เขียนไว้ดี ชาวบ้านนอกคอกนาอยู่ป่าเขา ก็ไม่มีเจ้านายจึงต้องพึ่งผี นี่มันยังด่าอย่างยิ่ง ไม่มี ไม่มีเจ้านายหรืออะไรที่จะเป็นที่พึ่งได้ต้องพึ่งผีพึ่งสาง ฉะนั้นคนที่ดีกว่านั้นก็ยังพึ่งเจ้าพึ่งนายได้ ถ้าเจ้านายเป็นที่พึ่งได้จนถึงที่สุด ก็ต้องพึ่ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อไปให้ถึงที่สุด เขาก็ไม่ได้ตำหนิติเตียนอะไรมาก ไม่มี ไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นก็ต้องพึ่งผีไปก่อน พึ่งผีพึ่งสางนางไม้กันไปก่อน จะยังสบายใจบ้าง เห็นแล้วก็น่าสงสาร ที่เป็นมนุษย์ที่ยังล้าหลังก็หมายความว่า การที่จะย้อนกลับไปถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์นันมันยังล้าหลัง ยัง ยังอยู่ในสมัยโน้นนั่นแหละ ที่แรกๆที่รู้คิดนึกเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ในสมัยนี้ ที่เป็นสมัยที่มันรู้ด้วยเหตุผลด้วยอะไรดีกว่า มันก็เลยนั่งหัวเราะ ทำตัวเป็นนักเรียนนักศึกษารู้อะไรมีเหตุผล แต่ก็ไปถึงที่พึ่งอย่างคนสมัยที่ยังไม่มีความรู้ ไม่มีเหตุผล ไหว้ต้นไม้ ไหว้เทวดา ไหว้ผีสาง ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าอะไร ถูกทำให้เชื่อตั้งแต่ทีแรก แล้วก็เชื่อไปอย่างนั้น เชื่อหนักเข้าก็จะเห็นจริงได้เหมือนกัน ตาจะเห็นจริงได้ด้วยอำนาจมันหลอนได้ หรือจิตถูกครอบงำทำให้กลัว แล้วมันหายกลัวได้ คือมันหลอนกันได้ เช่น สมมุติว่าไอ้ ไอ้จอมปลวกนี้ศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้นี้ศักดิ์สิทธิ์ นี้มันเชื่อเต็มที่แล้ว พอเดินเฉียดไปเท่านั้นมันก็กลัวแล้ว เส้นประสาทเสียหมด ก็ทำให้ความรู้สึกเป็นไปได้ตามที่เขากลัว หรือเขาเชื่อกัน จะนั่นไม่ออกนั่นจะอะไรบ้างก็สุดแท้แต่ แม้แต่ที่จะต้องถ่ายเหมือนกับเป็นอหิวาต์อย่างนี้ก็ยังมี ที่เขาเล่านั้นก็เป็นเรื่องจริง เพราะเขาเชื่อจริงๆ ไอ้จิตใจนี้ถ้าลองเชื่ออย่างไรแล้วมันก็ไปอย่างนั้น มันบังคับร่างกายให้เป็นอย่างนั้นได้ ทำให้เราเห็นเป็นภาพผีสางเทวดาอย่างนั้นอย่างนี้ได้ ซึ่งมันไม่ใช่จริงอย่างนั้น แต่ว่าตามันเห็นอย่างนั้น เพราะว่าเรามันโง่ เรามันมีความเชื่อสำหรับที่จะเห็นอย่างนั้น นี้มันพ้นสมัยแล้ว ควรจะมีสติปัญญามีอะไรที่ถูกต้อง มีเส้นประสาทที่รักษาควบคุมไว้ได้ดี ไม่ต้องถูกหลอน ถ้าเส้นประสาทยังเป็นสิ่งที่รวนเรอ่อนแอ ถูกหลอนหลอนตัวเองได้ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ไหวแล้ว เป็นมนุษย์ที่ยัง ยังล้าหลังมาก แต่เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ เมื่อเป็นโรคเส้นประสาทแล้วมันก็ยากที่จะควบคุมความรู้สึกอะไรได้ ก็เห็นนั่นเห็นนี่ มันก็เป็นทุกข์ไปเพราะว่ามันตั้งต้นผิด เพราะว่าอ้า,ผู้ใหญ่สอนในเรื่องนี้ผิดก็ได้ สอนให้กลัวให้กลัวผี เอ้อ, ยิ่งกว่านั้นก็ยังสอนให้กลัวไอ้ของที่ไม่จำเป็นจะต้องกลัว กลัวกิ้งกือ กลัวตุ๊กแก มันไม่ต้องกลัวแต่ถูกสอนให้ต้องกลัวเสียแล้วมันก็กลัว แล้วก็สอนให้ถือเอ้อ, สิ่งที่เรียกว่าโชคลางทั้งนั้นน่ะ ถ้ามีจิ้งจกทัก อะ เอาละ ลางร้าย จะตายแล้ว ทำอะไรเข้าก็จะฉิบหายหมดแล้ว ก็ลองสังเกตดูจิ้งจกมันทักกี่ ๑๐ ครั้งไม่เห็นมันเป็นอะไร เว้นไว้เสียแต่จะไปทำผิดเข้า โดยที่โง่ ที่หลงเชื่อลาง อย่างว่าจะออกจากบ้านไปทำงาน พอจิ้งจกทักใจเสียเดินพลาดตกบันไดหัวแตกแล้วอย่างนี้ นั้นมันไม่ใช่จิ้งจกเป็นลางร้าย คนมันใจเสีย เส้นประสาทไม่ดี อย่างนี้จะมีมากแล้วก็สอนให้ถือลางอย่างนั้น ถือลางอย่างนี้ ถือลางอย่างโน้น ทีแรกมันอาจจะมีประโยชน์หรือถูกก็ให้ระวังๆ จิ้งจกทักให้ระวังไม่ได้ให้กลัวจนเส้นประสาทเสีย เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งก็ยังมีการถือลางอย่างนี้ ไม่เฉพาะพวกไทย ที่เรียกว่ายังล้าหลัง ส่วนนั้นก็ยังป่าเถื่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งหรือเป็นไทย ส่วนการศึกษาที่ใช้เหตุผลก็ไม่ค่อยใช้ในทางนี้ เรื่องดับทุกข์ ไปใช้ทางค้นคว้าหาวัตถุ ประดิษฐ์วัตถุทำวัตถุให้แปลก ให้นั่นขึ้นมามันก็เลยไปอีกทางหนึ่ง ความฉลาดนั้นก็ไม่มาดับทุกข์ได้ พอเห็นแก่ตัวมากขึ้นอยากได้อะไรมากขึ้น ก็มีความกลัวมากขึ้นคือกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ กลัวได้มาแล้วจะหายไป นี่เราก็อยากจะสอบไล่ได้ ก็กลัวสอบไล่ตก พอมีอะไรมาแสดงว่าจะตกก็กลัวว่า ถ้าจิ้งจกทักก็กลัวเขลาๆไป ก็เลยเสียกันหมด จิตใจเสียกันหมด ก็ไปเขียนผิดๆ ตกจริงๆได้เหมือนกัน นี่เรียกว่าผีอวิชชา ผีความโง่ ทำให้ อ้า, ทำให้ เสียหมด ฉะนั้นถ้าจะแขวนพระเครื่องก็ต้องเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ที่มีพระธรรมจริงๆ ว่าอย่ากลัว ว่าอย่าเส้นประสาทเสีย ว่าอย่าลืมไอ้, ความจริง อย่างนี้ก็จะได้ประโยชน์บ้าง คนสมัยก่อนก็ไม่ได้เคยแขวน ถ้าแขวนก็ต้องแขวนให้ถูกตามความประสงค์ ก็จะเป็นเครื่องช่วยเตือนให้มีสติ ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยถูกต้องอยู่เสมอ อย่าทำให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เป็นผี เป็นอะไรสิงอยู่ในนั้น จะคุ้มครองอย่างแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชนิดที่โง่เขลาไปเสีย อย่างนี้ จะจะจะ จะทำให้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียหมด ทำให้พระพุทธรูปที่เป็นสัญลักษณ์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พลอยกลายเป็นอื่นไป แล้วจะโทษใคร จนครั้งหนึ่งต้องมีคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ให้นักเรียนเข้าใจเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ให้ครูสอนให้ถูกต้อง ไม่ให้เชื่อเครื่องรางของขลัง ที่มันไกลออกไปจาก นอกไปจากพระ พระเครื่องเสียอีก เครื่องรางของขลังไปหลงเสียแล้วมันก็เลยอวดดี ไปทำผิดในการที่จะชกจะต่อยจะฆ่าจะฟันอย่างนี้ก็มี ก็เป็นความโง่ที่ถอยหลังออกไปหลาย หลายพันหลายหมื่นปี ถอยหลังออกไป ถ้าเราจะมีพระพุทธเล็กๆ แขวนคอหรืออะไรก็ต้องเป็นเครื่องเตือนว่าอย่าลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง คือความมีสติปัญญารอบรู้ คุมสติได้ดี ก็ทำอะไรถูกต้อง ที่นี้เครื่องรางบางอย่างไปในทางให้ได้ เพราะอยากจะได้ อยากจะได้เงิน อยากจะให้คนรักใคร่ ให้เงินให้ของ ให้อะไร ที่ให้คนรักก็เพื่อจะให้เขาให้อะไรทั้งนั้นแหละ ทีนี้ก็เป็นเครื่องรางแบบหนึ่งที่ทำให้เกิดเสน่ห์เกิดอะไรต่างๆ ก็มีความโง่อย่างเดียวกันอีก มีความ เป็นความเชื่อของคนที่ไร้ความสามารถ ครั้นเอามาแขวนเอามาทำเข้า มันจะแสดงว่าไอ้นี่มันไร้ความสามารถถึงที่สุดแหละ เหมือนเอาป้ายมาแขวนคอว่าไอ้คนโง่ที่สุด ไร้ความสามารถที่สุด ไม่มีสติปัญญาที่จะทำให้เกิดเป็นเงินเป็นประโยชน์ เป็นอะไรขึ้นมา ต้องไปเที่ยวหวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งว่าจะให้มันถูกล็อตเตอรี่อะไรต่างๆ อย่างนี้มันเป็นเรื่องโง่ถอยหลังไป ไม่ เอ้อ ไม่สมกับคำว่าผู้รู้ จะเป็นนักเรียนหรือจะเป็นผู้รู้ก็ตาม มันไม่ ไม่สมกันแล้ว ถ้าเป็นนักเรียนเป็นผู้รู้ต้องรู้จักทำให้มีความสามารถ แล้วก็ใช้ความสามารถทำในสิ่งที่เราต้องการขึ้นมาให้ได้ ที่นี้ก็ทำไม่ได้และไม่สนใจจะเรียนจะทำ มันก็ไปเอาลัดๆออกไป พึ่งผีพึ่งเทวดาไปนั่งไหว้นั่งอะไรอยู่ ยิ่งโง่มากขึ้นก็ยิ่งไม่ได้ นั่งร้องไห้อยู่ บางทีก็หัวเราะบ้าไปเลย ในเรื่องผิดๆ ก็เป็นอย่างนี้ เขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ ในทางธรรมนี้ถ้าว่ามิจฉาทิฏฐิ ก็หมายความว่าประณามเป็นที่สุด คือเป็นคำด่าที่สุด อย่าให้ใครมาว่าเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ ได้ ที่มีความเห็นผิด มีความรู้ผิด มีความเชื่อผิด เขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ รู้ก็รู้ผิด เชื่อก็เชื่อผิด เข้าใจก็เข้าใจผิด ผิดไปหมด มันก็เลยเป็นคำด่าอย่างยิ่งใน ในทางธรรม ด่าอะไรก็ไม่เจ็บปวดเท่ากับด่าว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ตรงกันข้ามก็คือสัมมาทิฏฐิ รู้จริง รู้ชอบ รู้ถูกต้อง รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พระพุทธเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร พระสงฆ์เป็นอย่างไร อริยสัจ ๔ เป็นอย่างไร ทำไมเราจึงต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อย่างนี้เป็นสัมมาทิฐิ รู้ถูกต้อง ถ้าตรงกันข้ามก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ รู้ผิดพลาด นี้เป็นหลักทั่วไป ใช้ได้แก่ทุกสิ่ง คือต้องรู้ถูกต้อง ในทุกกรณี จะเล่าเรียนหนังสือก็ดี จะทำการงานก็ดี แม้แต่บริหารร่างกาย เป็นอยู่ กินอยู่ อาบถ่าย อะไรก็ตาม ต้องทำให้มันถูกต้อง อย่าให้มันมีความผิดเจืออยู่ในนั้น มันจะโง่ขึ้น ความไม่รู้นี่เขาเรียกว่าอวิชชา และทำให้ทำผิดออกมาเป็น ความโลภ ความโกรธ ความหลง โลภก็คืออยากได้ด้วยอวิชชาคือโง่ ถ้าอยากได้ด้วยสติปัญญาเขาไม่เรียกว่าความโลภ ความต้องการด้วยสติปัญญาจะทำแต่พอดี และได้ผลมาตามที่ควรจะได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าความโลภ ถ้าอยากด้วยอวิชชาด้วยโง่ อยากจะได้ไม่มีขอบเขต ได้ อยากได้แม้ในที่ที่ไม่ควรได้ อย่างนี้ก็ได้มาสำหรับฆ่าตัวเอง ตัวได้มันอยากด้วยความโง่ โลภด้วยความโง่ นี้ความโลภมันจะต้องทำลายคนนั้นให้เป็นทุกข์ หรือให้ตายในที่สุด นี้เมื่อโลภอยากได้แล้วไม่ได้ตามที่อยากมันก็โกรธ โง่มากมันก็อยากมาก และเมื่อไม่ได้ตามอยากมันก็โกรธมาก มันก็เป็นไฟมาก เรียกว่าโทสะ ความโกรธ ความประทุษร้าย โลภะ ความอยาก โทสะความโกรธ ประทุษร้าย นี้โมหะมันก็โง่ในการที่จะทำเดี๋ยวนี้ ก็มาจากอวิชชา ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ล้วนแต่มาจากอวิชชา คือปราศจากความรู้ทั้งนั้น ทีนี้รู้ไหมว่าพอเราโลภไปทีหนึ่ง ไม่ใช่ ว่ามันเสร็จไปแค่นั้น มันจะทำให้ชิน เคยชินในการที่จะโลภเพิ่มขึ้น พอโกรธไปทีหนึ่งมันก็ไม่ใช่เท่านั้น มันเพิ่มไอ้ความเคยชินที่จะโกรธให้เก่งกว่านั้นมากขึ้นทุกทีที่โกรธ โง่ โง่ก็เหมือนกันแหละ พอโง่แล้วมันก็จะโง่เก่งกว่านั้น จะชินที่จะโง่ มันต้องแก้ไขส่วนที่เป็นโลภ เป็นโกรธ เป็นหลงทันทีนี้ ในทันทีนั้น เขาเรียกว่า กิเลส ทีนี้มันๆ พอมีกิเลสแล้ว มันมีการสะสมกิเลสไว้ในสันดานอย่างนั้น ส่วนนั้นก็เรียกว่า อาสวะ มันมีกิเลสและอาสวะ กิเลสคือสิ่งที่ออกมาเป็นกิเลส อาสวะคือความสะสม ความเคยชิน ของกิเลสนั้นไว้ในสันดาน คือพร้อมที่จะโลภง่าย พร้อมที่จะโกรธง่าย ที่จะหลงง่าย ยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ฉะนั้นตั้งแต่เกิดมานี่ รู้จักโลภโกรธกับหลงสร้างไว้มากจนประเดี๋ยวนี้มันพร้อมที่จะโลภ พร้อมที่จะโกรธ พร้อมที่จะหลง อย่างๆๆ อย่างเร็วเท่าสวิตช์ไฟฟ้า มันจึงไปรักไปโกรธไปเกลียดไปกลัวได้เหมือนกับเปิดสวิตช์ไฟฟ้า แผลบเดียวมันออกมาเป็นความโกรธ ความหลง ความกลัว ความอะไรไปเสียแล้ว ก็ ก็เรียกว่ามันก็แก้ไขยาก เลิกล้างยากอยู่เหมือนกัน ถ้าทำไม่ถูกวิธีก็ไม่มีทางจะเลิกล้างสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องทำให้ถูกวิธีคือ ธรรมะที่วางไว้แล้ว ที่เรียกกันว่า ศาสนา ถ้าปฏิบัติไปมันก็จะลดไอ้ สิ่งนี้ลง ลดลง ลดลง คือปฏิบัติไปก็คือไม่โลภ พอไม่โลภทีหนึ่ง ไอ้สิ่งที่ควรโลภ ไอ้ความเคยชินของความโลภมันก็ถูก ถูกตัดไปส่วนหนึง ลดลงไปส่วนหนึ่ง ลดลงไปส่วนหนึ่ง ความเคยชินที่เราจะทำผิดน่ะมันก็ลดลงไปทุกทีๆๆ จนไม่ทำผิด ก็เรียกว่าตัดกิเลส ตัดอาสวะลงไป จึงให้มีการทำชนิดที่ตรงกันข้าม เช่นว่า มีการโลภมากก็หยุดโลภแล้วก็แก้กันโดยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความโกรธเกิดขึ้นก็ระงับไว้ และแก้ไปด้วยความกรุณาสงสารเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความโง่เกิดขึ้นก็ทำให้ความจริงมันไม่โง่ขึ้นมาแทนเรื่อยๆ นี่ก็เรียกว่า ละกิเลสอยู่ด้วยความระมัดระวัง ด้วยสติสัมปชัญญะ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะช่วยมันทำไม่ทัน พอไปเห็นก็โลภ พอเห็นก็โกรธไปเสียแล้ว ถ้ามีสติสัมปชัญญะเหนี่ยวรั้งก็ว่าอย่างเพิ่ง พอเห็นเข้าก็คิดดูก่อน ในที่สุดก็ต้องไม่ไป ต้องไม่ไปโลภ ไปโกรธ ไปหลงอะไรได้ คือไม่รักบ้าง ไม่เกลียดบ้าง ไม่กลัวบ้าง ไม่ ไม่เสียใจบ้าง ถ้าปราศจากสติสัมปชัญญะแล้วมันก็ไปรวดเดียวถึงเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเกลียด ความกลัว ความอิจฉาริษยาอะไรไปเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงเป็นความจริงที่ต้องรู้ จะได้แก้ไขให้ความทุกข์มันหมดไปได้ โดยไม่ต้องไปนั่งไหว้ศาลพระภูมิอยู่ ยกศาลพระภูมิไว้ให้คนที่ยังไม่สามารถจะทำอย่างนี้ ไว้มีประโยชน์แก่คนที่ไม่อาจจะรู้ความจริงนี้ได้ ก็ไหว้ต้นไม้ ไหว้ภูเขา ไหว้ก้อนหินก่อน ที่บางบ้านอ้า, ที่กรุงเทพฯ เคยถามดูแล้ว คนที่เขามีปัญญา ความรู้ ความสามารถฉลาดเป็นพุทธบริษัทที่ดี เป็นคนคุ้นเคยกันพอสมควร ถามตรงๆ ได้ว่า มีศาลพระภูมิไว้ทำไม อ้าว, เขาบอกว่าถ้าไม่มีศาลพระภูมินี้ จ้างแม่ครัวไม่ได้ คิดดูสิ ยังมีผู้หญิงชั้นโง่ที่จะมารับจ้างเป็นแม่ครัวหรือซักผ้านี้ ต้องมีศาลพระภูมิให้เขาไหว้ เขาไม่รู้จะถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อะไร ถ้าเขาเกิดอะไรขึ้นมาเขาจะได้ไปไหว้ศาลพระภูมิ ให้ถูกล็อตเตอรี่บ้าง ให้หายกลัวบ้าง ลูกของเขาปวดหัวตัวร้อน เขาต้องไปไหว้ศาลพระภูมิให้ลูกของเขาหายปวดหัวตัวร้อน ให้แม่ครัวหรือคนซักผ้าชั้นนี้มันยังมีอยู่ เจ้าของบ้านเป็นคนมีสติปัญญา ไม่เชื่อเลยกับศาลพระภูมิ แต่ก็ยังต้องมีศาลพระภูมิไว้ให้คนที่จะจ้างมาเป็นแม่ครัว คนซักผ้า นี่ดูๆมันก็น่าหัว ในศาลพระภูมินั้นเต็มไปด้วยรังนกกระจอก น่าหัว ทำไมพระภูมิไม่ไล่นกกระจอกได้ อยู่ที่ศาลพระภูมิสุนัขไปถ่ายไปปัสสาวะใส่ ทำไมไม่ ไม่เป็นอะไรแก่สุนัขน่ะ นี่ มันเป็นเรื่องน่าหัวอย่างนี้ เราอย่า เราอย่าหล่นลงไปอยู่ในระดับนั้น จะมีไว้ดูสวยๆก็ได้ ไว้เลี้ยงนกกระจอกก็ได้ แต่ว่าไม่ใช่ต้องไปนั่งไหว้นั่งอะไรให้ถูกล็อตเตอรี่ บ้าง ให้หายปวดหัวบ้าง ได้นั้นได้นี้ มันก็เป็นที่แน่นอนว่าคนโง่มันยังไม่หมดไปจากโลกนี้ ฉะนั้นเราต้องรู้ว่าอะไรเป็นสัญลักษณ์มีไว้สำหรับคนโง่ ถ้าแขวนพระพุทธรูปที่คอก็ดูก็พอจะรู้ ถ้าแขวนมากจนคอจะหักก็ผิด พระพุทธเจ้าองค์เดียวนั้นแหละแล้วก็นิดเดียวก็ได้ เป็นความ เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า นี่ไม่รู้อะไรๆมารวมๆกัน กลมก็มี ยาวก็มี เป็นหลอดก็มี มันก็เลยไม่รู้ว่าอะไรกันแน่ คงจะไม่ใช่สัญลักษณ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียแล้ว ถ้าจะมีเป็นสัญลักษณ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ให้มี มีได้ และก็ให้มันจริง เพราะอย่างไรๆ ก็พอนึกได้บ้าง ให้มันหายกลัว นึกได้มีสติสัมปชัญญะมาใหม่ ก็เช่นเดียวกับที่เรามีพระพุทธรูป ถึงเวลาก็กราบไหว้บูชา เมื่อก่อนก็มีเพียงแค่นั้น เดี๋ยวนี้ก็มีพระแขวนไปด้วย ก็ให้สำเร็จตามความมุ่งหมายเทอญ ที่นี่ก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ มีอยู่เป็นชั้นๆ ชั้นลึกสุดอยู่ในใจเลยไม่ต้องแขวนพระพุทธรูปก็ยังได้ นี่อย่าง อย่างเป็นภิกษุ เป็นบรรพชิตจะไปแขวนพระเครื่องเข้าก็ยิ่งถูกล้อแน่ หัวกันใหญ่แล้ว หัวเราะใหญ่ เพราะว่า อ้า,มีหลักเกณฑ์ มีระเบียบที่วางไว้เสร็จแล้ว คือต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้อะไรที่เป็นพระพุทธเจ้าจริง ฉะนั้นเรื่องที่เป็นไสยศาสตร์หรือศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งหลายเขาไว้ในระยะเริ่มแรกที่ยังไม่มีอะไรดีกว่านั้น พอมีอะไรดีกว่านั้นแล้วก็ ก็เลิกไปได้ เลิกไปได้ เลิกไปได้ จนไม่ต้องมีวัตถุเหล่านี้ก็ได้ แต่ในใจมันมี มีของจริงอยู่ข้างใน ความดับทุกข์ด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้และก็เป็นอยู่ชนิดที่ระมัดระวังไม่ให้เกิดกิเลส กับความทุกข์ โดยสังเกตดูให้ดีว่า เมื่อจิตของเราไม่มีกิเลสแล้วก็สบาย เมื่อเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง มันก็ร้อน นั่งไม่ติด มันก็มีชัดๆอยู่แล้วว่าควรจะเข้าใจได้ เห็นแจ้งได้ว่า กิเลสนี้เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นความทุกข์ความร้อน มันเกิดมาจากอะไร ก็ป้องกันเสียสิ พอรู้เท่านั้นแหละ มันก็หายไป กิเลสมันเกิดมาจากความโง่ทั้งนั้นแหละ ความไม่รู้ พอรู้อ้าว, กิเลสมันก็หายไป ถ้าจะกลัวผีอะไรกันบ้างก็กลัวกิเลสนี้ถูกกว่าที่จะไปกลัวผีตามต้นไม้ ตามป่าช้า เศษกระดูก นี่จึงจะชื่อว่าเป็นนักเรียนนักศึกษา ยิ่งๆขึ้นไป กระทั่งเป็นผู้รู้อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า จะได้ตื่น จะได้เบิกบาน อย่างนี้ก็มีความรู้ ความตื่น ความเบิกบานไปตาม ตามสมควร ตามระดับ ดีกว่าเป็นคนไม่รู้ นอนหลับอยู่ แล้วก็หดหู่อยู่ โศกเศร้าอยู่ สิ่งที่เรียกว่าความไม่รู้ มันเป็นต้นเหตุของทุกสิ่งเลย ที่จะให้เกิดความทุกข์ กระทั่งให้ไปหลงใหลในไอ้ที่ว่าดี ว่ารวย ว่าสวย นั้นก็เป็นความไม่รู้ เพราะถ้าไปหลงใหลเข้าแล้ว มันก็เป็นทุกข์ ในความดี ความรวย ความสวย ความได้ ฉะนั้นอย่าไปหลงในอะไรก็แล้วแต่ ถ้าจะมีอะไรที่เราพอใจก็ไม่ต้องหลง ก็ไม่หลงในอะไรทั้งหมด เรียกว่าไม่ยึดถือยึดมั่น สำคัญเป็นตัวกู เป็นของกู ในอะไรทั้งหมด ให้จิตมันเป็นอิสระ พอเราไปหลงในอะไรเข้า จิตก็เป็นทาสในสิ่งนั้น ไปหลงในความดี ความได้ ความเด่น มันก็เป็นทาสของสิ่งนั้น มันก็หลงในความดี ความเด่น ก็ทำอะไรเพื่อความดีความเด่น ก็ไม่จริง ไม่ใช่ดับทุกข์ ฉะนั้นที่ทำอะไรกันเด่นๆดังๆมีเชื่อเสียงก็ดูให้ดีก่อน มันเป็นความโง่ชนิดหนึ่งก็ได้ เป็นความหลงในสิ่งนั้น เป็นทาสของสิ่งนั้น อุตส่าห์ลำบากเพื่อความดังความเด่นก็เป็นทาสของสิ่งนั้น นั้นมันก็ไม่ใช่ธรรมะ จึงเรียกว่าไม่เป็นทาสของอะไร อย่างนี้มันสูงแล้ว แต่มันก็ควรจะรู้ไว้ จะไม่เป็นทาสของความดี ไม่เป็นทาสของความชั่ว เป็นทาสของความชั่วไปทำตามอำนาจของความชั่ว ถ้าเป็นทาสของความดี ก็ทำความดีชนิดที่มันกลายเป็นความทุกข์ไปได้ นี้ทำด้วยสติปัญญาเป็นความถูกต้อง ไม่เกิดความทุกข์นั่นแหละถูก เดี๋ยวจะหาว่าพุทธศาสนาไม่สอนให้ทำดี เขาสอนให้ทำดีชนิดที่จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ หรือว่าจะทำก็ทำทีแรก ที่ว่าไม่ทำบาป (บทสวด)(นาทีที่ 57.11) ไม่ทำบาปทุกอย่าง (บทสวด) ทำความดีให้สมบูรณ์ (บทสวด) ทำจิตให้เป็นอิสระ ไม่ติดแน่นในความ ในผลของอะไร ทั้งความชั่วความดีอะไรก็ไม่ๆๆ ไม่ติดแน่นไม่ยึดมั่นไม่เป็นทาสของความดีความชั่วทีหนึ่งจึงจะเรียกว่า มีจิต เอ้อ, ชำระจิตให้บริสุทธิ์หมดเท่านั้นน่ะ เว้นความชั่ว ทำความดี และมีจิตบริสุทธิ์ เป็นอิสระเหนืออำนาจบีบคั้นของทั้งความชั่วและความดี นี่คือเป็นพระอริยะเจ้าที่สูงสุด ไม่มีทุกข์เลย ทีนี้ถ้าเราจะเว้นชั่วก็เว้นชั่วด้วยการเว้นชั่ว ไม่ต้องไปให้ผี เทวดาที่ไหนมาช่วยในเรื่องนี้ เราต้องเว้นเอง จะทำความดีก็ต้องทำเอง ผีเทวดาที่ไหนก็มาช่วยไม่ได้ ที่กำหนดว่าเวลานั้นเวลานี้ฤกษ์งามยามดีจึงจะทำดี อย่างนี้ยิ่งโง่เข้าไปอีก แล้วยิ่งไม่เป็นการทำความดี และก็จะไม่เป็นของตนด้วย มันก็เป็นของคนอื่นของผีสางเทวดา ถ้าเป็นพุทธบริษัทก็ถืออย่างพระพุทธเจ้าถือ ท่านสอนว่า เมื่อทำความดี เป็นเวลาที่ฤกษ์ดี โชคดี เมื่อเราทำความดีถูกต้องอยู่นั้นแหละเป็นเวลาที่ฤกษ์ดี ยามดี โชคดี พอทำความชั่วก็เป็นฤกษ์ร้าย ยามร้าย โชคร้าย อย่างนี้ จริงหรือไม่จริง ที่ไปนับดวงดาวอยู่บนสวรรค์เรียกว่าดวงดาวบันดาลให้เราไปตามอำนาจของดาวดาว นี่ก็คือคนโง่ อ้า, ชนิดหนึ่ง ไม่โง่มากถึงขนาดที่ว่าดูดาวก็ไม่เป็น แต่ว่าดูดาวเป็นแล้วเอามายึดถือเป็นเครื่องบันดาลโชคชะตาของเรานี้คือโง่ ส่วนหลังนี้มันโง่ พระพุทธ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสไว้ตรงๆ ว่า ไอ้โชคดีหรือความดี โชคดีมันก็ผ่านคนโง่ไป เพราะว่าคนโง่มัวนั่งนับดวงดาวอยู่ แม้แต่ว่านั่งนับคำนวณดวงดาวอยู่ โชคดีความดีก็ยังผ่านไปเสีย เพราะมันคนละเรื่อง มันดีอยู่ที่ทำนี้ พอทำดีก็โชคดี อะไรดีๆหมด กายวาจาใจดีก็คือโชคดี ฉะนั้นจึงอยู่ที่ความถูกต้อง ระมัดระวังให้ดีที่สุดให้ถูกต้องที่สุดที่จะทำอะไรกัน ก็ชื่อว่าโชคดียามดี มันก็รู้อยู่เองแหละ เวลาไหนที่ไม่ควรทำ อย่างจะทำนา จะปลูกต้นไม้มัวไปถือโชคถืออะไรอยู่มันก็ผิดหมดแหละ มันต้องเป็นฤดูกาลที่ถูกต้องและทำให้ถูกต้องแล้วมันก็ได้ แต่ว่าคนเขายังเชื่อมาก เขาไม่สบายใจเมื่อไม่ได้ทำตามความเชื่อ มันก็ ก็ผิดหมด เดี๋ยวนี้มีเครื่องมือที่จะทำนาให้ดีด้วยเครื่องจักรเครื่องอะไรนี้ มันก็ต้องตามเหตุผลของเครื่องจักร ของเวลาของฤดูกาลของไอ้เมล็ดพืชที่จะเอามาเพาะหว่าน เพราะเขาได้ค้นคว้าใหม่หมดแล้ว แม้แต่เมล็ดพืชนี้มันก็ออกผลเร็ว โตเร็ว ที่นี่ถ้าใช้ดวงดาวคำนวณบอกเวลาอยู่มันก็น่าหัว ทีนี้ไอ้เรื่องที่ว่าเป็นไสยศาสตร์อื่นๆ ยังมีอีกมาก ในที่สุดก็ควรจะนึกถึงข้อที่เรียกว่าการที่จะสมรสแต่งงาน ที่จะเลือกให้มีอะไรที่เขาเรียกว่า วันคืนเดือนปีตรงกันอย่างนี้นั้น มันก็อย่างเดียวกันอีกน่ะ มันต้องใช้สติปัญญาดูด้วยสายตาที่ว่าเป็นอย่างไร เป็นอย่างไร ถ้าว่าถือตามพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ต้องมีธาตุที่ตรงกัน มีธาตุแห่งจิตใจที่ตรงกัน เอ้อ, มีความเชื่อ มีสติปัญญา เอ้อ, มีความคิด มีจิต กำลังจิตในระดับที่มันคล้ายๆกัน มันไปด้วยกันได้ก็เรียกว่ามีธาตุที่เสมอกันอย่างนี้ ก็เป็นคู่แต่งงานสมรสที่จะสำเร็จประโยชน์ไปได้ นี้ก็ไปเชื่อไอ้ ตัวเลขดวงดาวอะไรนี่ บางครั้งก็หลับตาทำไปอย่างนั้นแหละ มันก็เป็นเรื่องไสยศาสตร์ เป็นเรื่องอะไรที่ไม่ใช่พุทธศาสนา ทีนี้เราก็ศึกษามีสติปัญญาก็รู้ว่า อย่างไรเรียกว่าที่มันจะมี สิ่งที่มันจะเข้ากันได้หรือเสมอกันโดยสติปัญญา โดยความรู้สึก โดยคิดนึก โดยระดับ โดยมันยากเป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องเห็นอยู่ รู้สึกอยู่ แต่โดยมากมันก็ไม่ค่อยเป็นไปอย่างนี้ มันเป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสครอบงำเสีย มันก็หลับหูหลับตาเสียอีก มันก็ไม่ดูอะไรอีก บางทีมันจะร้ายยิ่งไปกว่าที่จะดูฤกษ์ยามตามแบบไสยศาสตร์ไปก็ได้ ฉะนั้น ถ้าว่าจะเชื่อหรือปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ก็ต้องปฏิบัติโดยลักษณะที่ควบคุมสติสัมปชัญญะ ทำจิตใจให้ปกติอย่าให้เส้นประสาทกระสับกระส่าย อย่าให้ฟุ้งซ่าน อย่าให้งกเงิ่น ประหม่า ให้ใจคอปกติ มีสติปัญญา และรู้เลือก รู้คิด รู้ทำไปมันก็ถูกหมด นั่นแหละเป็นโชคที่ดี เป็นยามที่ดี เป็นฤกษ์ที่ดีอยู่ที่นั่น คือเมื่อไรมีธรรมะ มีความถูกต้อง เมื่อนั้นก็เป็นฤกษ์ดีโชคดี ยามดีที่สุดอยู่แล้ว ถ้ามันยังไม่ได้อีก ไม่สำเร็จตามความปรารถนาอีก มันเป็นเรื่องอื่น มันเป็นเรื่องแทรกแซงของกรรมของผลกรรมอันอื่น ซึ่งมาแทรกแซง อย่างนี้ดวงดาวก็ช่วยไม่ได้ ฤกษ์งามจากอะไร จากไสยศาสตร์ก็ช่วยไม่ได้ นี้คนก็ไม่รู้ ก็เลยเชื่อข้างโน้นบ้าง เชื่อข้างนี้บ้าง ตีกันยุ่งไปหมด ไม่ได้หลุดพ้นจากที่ว่าจะไปเป็นโรคเส้นประสาทอีก ไปศึกษากันให้ดี ให้ถูกด้วยความระมัดระวังก็จะต้องป้องกันได้แน่นอน จึงเรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิหรือความจริง ในชั้นแรกก็อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล จนไปสู่ความถูกต้อง เมื่อปฏิบัติแล้วก็รู้จริง เอาชนะความทุกข์ได้จริง อย่างนี้เราเรียกว่า พุทธบริษัท เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่หลับด้วยความโง่ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาอีกอันหนึ่งที่ว่า ถ้าฉลาดก็จะในทางของวัตถุ ของทางฝ่ายวัตถุ ฝ่ายร่างกายฝ่ายนั้นอะไร จะไปเป็นในเรื่องของกิเลสเสีย ต้องมีฉลาดในทางธรรมะด้วย คือเรื่องของจิตใจ ของเรื่องที่จะควบคุมกิเลสนี้ด้วย เดี๋ยวนี้ดูสิว่าโลกของเราทั้งหมดทั้งโลกนี้ โลกปัจจุบันนี้ที่เราอยู่กับเขาด้วยนี่มันฉลาดในทางวัตถุ มันทำให้หลงไปในเรื่องสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงามจนเฟ้อไปหมด เกินไปหมด ด้วยเรื่องที่จะบำรุงบำเรอเหล่านี้ ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้น โดยส่วนตัวก็มีความยุ่งยากลำบากด้วยปัญหาต่างๆ โดยส่วนใหญ่ก็รบราฆ่าฟันกัน นี้คือมันไม่ ไม่ฉลาดในธรรม ในทางศาสนา ที่จะรู้จักบังคับกิเลส ไปหลงไอ้ ไอ้เรื่องทางฝ่ายที่ยั่วยวน ก็บังคับสติสัมปชัญญะไม่ได้ แม้จะมีความรู้อยู่ก็เอามาใช้ไม่ได้ ทนไม่ได้ บังคับไม่ได้ นี้ต้องหัดกันเสียใหม่ ให้มันมีความรู้ ฉลาดในทางฝ่ายร่างกาย เป็นอยู่สบายผาสุกด้วย ฉลาดในทางฝ่ายจิต มีสติสัมปชัญญะ มีความรู้ทางธรรม บังคับจิตไม่ให้เป็นทุกข์ด้วย ให้มันไปในทางที่ถูกต้องพอดี มันก็ไม่มีความทุกข์อะไร ถ้าไม่มีทางฝ่ายธรรมะ แล้ว มีแต่ทางฝ่ายกายแล้วมันก็มีความทุกข์ ให้รวยเป็นมหาเศรษฐีก็มีปัญหาที่จะทุกข์ร้อน ให้มีเงินใช้วันละล้านบาท วันละล้านบาท ก็ยังมีความทุกข์ร้อน เป็นเรื่องที่ผิดในส่วนจิตใจ ให้มีอำนาจฆ่าคนได้ทั้งโลกมันก็ยังมีความทุกข์ร้อน มันต้องถูกในฝ่ายจิตใจด้วย ฉะนั้นอย่างมุ่งหวังกับทางวัตถุ เรื่องเงินเรื่องอะไรอย่างนี้อย่างเดียว ไอ้เงินนี้มันจะมาทำความทุกข์ให้ได้ ถ้าไม่มีธรรมะ ไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจถูกต้อง ยิ่งมีเงินมาก เอ่อ, ยิ่งมีความทุกข์มาก ก็คิดดู ไม่มีเงินเสียเลยยังจะดีกว่า ถ้าจะมีเงินมากขึ้นก็ต้องมีสติปัญญา มีความรู้เรื่องของธรรมะ ของความจริงให้มากขึ้น เงินจึงจะไม่มาทำให้ร้อน อย่างนี้คนที่มีทรัพย์ มีทรัพย์สมบัติมากกลับจะเป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นเรื่อง ทำลายชีวิตตัวเอง ฆ่าตัวตายนี้ก็มีอยู่มาก ก็ทำให้เรื่องคนอื่นพลอยเดือดร้อนก็มีอยู่มาก เพราะมันขาดความรู้ทางนี้ ฉะนั้นหนังสือก็เรียน เพื่อประโยชน์ทางอาชีพ ทางฝ่ายร่างกาย แต่ธรรมะก็ต้องเรียน เช่น มาที่นี้ก็เพื่อจะเรียนธรรมะไว้ส่วนหนึ่ง เรียนสักวันหนึ่งหรือแม้แต่สักชั่วโมงหนึ่งก็ปฏิบัติได้เป็นปีๆ เพราะเรื่องมันคนละแบบกับไอ้เรื่องที่เรียนหนังสือเรียนสอบไล่ในโรงเรียน นั้นมันมากเรื่องจำมากเรื่อง แต่ทางธรรมะนี้มันไม่มีกี่ข้อกี่คำ แต่ว่ามันยากที่ปฏิบัติที่ปฏิบัติได้นี้มันยาก พูดกันสักชั่วโมงหนึ่งก็ปฏิบัติได้หลายๆปี ฉะนั้นมันจำเป็นกว่าสำคัญกว่า ในชั้นแรกจะต้องบังคับจิตใจ อย่าให้หวั่นไหวไปตามสิ่งที่มากระทบยั่วทางตา ทางหู ทางจมูก ถ้าเราเผลอก็เป็นทาสมันทันที อะไรมาทางตาทางหู มันก็เรียกว่าอารมณ์ ก็เป็นทาสของอารมณ์นั้นทันที ก็เกิดกิเลสทำไปตามอำนาจของกิเลส มันก็ควรจะศึกษาจากที่มันเกิดกิเลสว่ามันมีความทุกข์ ต่อไปก็อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก ก็จะดีขึ้น ดีขึ้น อย่างนี้เรียกว่า พึ่งสติปัญญาความรู้ หรือความจริง หรือพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ ไม่พึ่งผีสางเทวดาเครื่องรางอะไรข้างนอก ซึ่งเราควรจะพ้นมันแล้ว ผ่านพ้นมันแล้ว มันเป็นของสำหรับคนที่ยังไม่มีความรู้ นี่ก็เรียกว่าช่วยตัวเอง เราต้องช่วยตัวเองจึงจะสำเร็จ พวกฝรั่งเขาก็เคยพูดข้อนี้ว่า ช่วยตัวเองแล้วพระเจ้าก็จะช่วยเรา แต่แล้วเขาก็ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่รู้จักช่วยตัวเองอยู่นั่นแหละ เราก็จะต้องรู้ว่า ตัวเองคืออะไร พระเจ้าคืออะไร การกระทำที่ดี ที่ถูกนั่นแหละคือพระธรรมนั่นแหละ คือพระเจ้า ก็ต้องมีพระธรรมอยู่ในจิต ประพฤติธรรมอยู่ที่กาย ที่วาจา มันก็ช่วยตัวเองได้ ช่วยตัวเองต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้ทีความทุกข์นี่เราทุกข์เอง ที่จะกำจัดความทุกข์ จะให้คนอื่นมาช่วยมันก็ไม่ถูกอยู่แล้ว มันผิดน่ะ ผิดอยู่แล้ว มันทุกข์ในใจเรา จะให้คนอื่นมาช่วยแก้ไขอย่างไรได้ ก็ต้องแก้ไขที่มันจะโดยตัวเราเอง ที่นี้เราแก้ไขไม่ถูก ก็มีอยู่หน่อยหนึ่งเท่านั้น เราก็ไปถามผู้รู้ เช่น พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องระวังอย่างนั้น ต้องป้องกันอย่างนั้น ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็แก้ไขอย่างนั้น คือนึกถึงสิ่งนั้น เห็น กลับมานึกถึงสิ่งนั้น มันก็หายโง่ เพราะความทุกข์มาจากความโง่ โง่ก็โง่ของเรา ถ้าเราทำทุกข์ให้แก่เรา เราก็ต้องแก้ไขของเรา อย่างนี้เรียกว่าถูกต้อง หรือจริงแล้วก็ยุติธรรมด้วย พยายามทำตนให้เป็นที่พึ่งแก่ตน โดยเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นตน มามีอยู่ในตน ในจิตใจของตน อย่างนี้ก็เรียกว่า ช่วยตน ต้องไปเอาสิ่งที่มันแก้กันได้มาใส่ตนโดยตน นี้ก็มีการปฏิบัติต่อไป วันนี้ก็ไม่พอที่จะพูดเรื่องระบบการปฏิบัติ ก็พูดแต่ว่าเรื่องสรณะ เรื่องสรณะ คือเป็นการปฏิบัติในส่วนระลึกไว้ให้ถูกต้อง ที่พึ่งที่ระลึกมีไว้ให้ถูกต้อง มันจะได้ปฏิบัติต่อไปจนกว่าจะจริงเต็มขึ้นมา สมบูรณ์เต็มรูป ขอให้มีสรณะในรูป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือรู้เห็นความจริงอยู่ ๔ อย่าง ว่าทุกข์เกิดมา ว่าทุกข์คืออะไร มาจากอะไร ดับคืออย่างไร และวิธีให้ถึงความดับนั้นคืออะไร ให้ทำอะไรทุกอย่างในชีวิตประจำวันนี้ให้มันเป็นไปเพื่อดับทุกข์ เรียนรู้ฉลาดขึ้น ใช้ความฉลาดเพื่อจะดับทุกข์ เพื่อจะแก้ปัญหา ในส่วนแรกก็เพื่อมี มีกินมีใช้ แล้วที่นี้ก็ยังมีความทุกข์ก็ต้องดับทุกข์ส่วนจิตใจอีก เป็นอันว่าวันนี้เราพูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่า สรณะ คือสิ่งที่ต้องระลึกประจำใจไว้เสมอ ไว้เป็นที่พึ่งได้ ถ้าเชื่อก็เชื่อในสิ่งที่เป็นสรณะที่แท้จริง ไม่ต้องเชื่อสิ่งที่หลอกๆ เล่นๆ สำหรับเด็ก ก็เรียกว่าเรื่องสรณะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีแก่ผู้ที่เห็นอริยสัจ ๔ อยู่ด้วยปัญญา ทุกข์เกิดมาจากอะไร ดับอย่างไร ก็เป็นอันว่า พอที่จะเป็นผู้มีสรณะที่จะช่วยได้ อย่างที่จะต้องทำพิธีทุกครั้งว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เวลาที่เราจะทำพิธีรับศีลอะไร ก็จะต้องมีอยู่บ่อยๆ พอ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ก็ต้องนึกถึงอันนี้ ธัมมัง ก็เหมือนกัน สังฆัง ก็เหมือนกัน ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ฉะนั้นพอกันที เวลา