แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย การบรรยายเกี่ยวกับการทำบุญล้ออายุในครั้งที่ ในตอนที่ ๒ นี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฆราวาส ดังที่ได้เคยบอกให้ทราบไปแล้วว่าจะพูดกันทีละคราว ตอนนี้จะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับชาวบ้าน เรื่องของบ้านเรือน สำหรับเรื่องเกี่ยวกับบรรพชิตนั้น จะไว้ในตอนอื่น
ที่เรียกว่าล้ออายุ ก็คือล้ออายุที่มันได้มีโอกาสได้เห็นอะไร ๆ ที่ว่าน่าเศร้า หรือน่าหัว หรือน่าสังเวช สำหรับเราจะได้เอาไปพิจารณากันดูให้ดี ๆ ว่าจะมีทางช่วยกันแก้ไขอะไรได้บ้างหรือไม่ ที่จริงถ้าทำกันจริง ๆ ด้วยสติปัญญาจริง ๆ มันก็คงจะแก้ไขได้มากเหมือนกัน แต่มันต้องมีแผนการมาก มีความพยายามมาก หรือถึงกับเรียกว่าลงทุนมากด้วยก็ได้
เดี๋ยวนี้มันไม่มีใครที่จะเป็นเจ้าของงาน นี่ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องที่โลกมันเป็นอย่างนี้ หรือแม้แต่ว่าบ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครรับผิดชอบโดยตรง แม้ว่ามีใครรับผิดชอบโดยตรง มันก็ยังติดขัดอยู่ตรงที่พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง เห็นกันไปคนละทางสองทาง
อย่างเดี๋ยวนี้ก็พอจะมองเห็นได้ว่ามันน่าหัว สอนลูกมันอย่างหนึ่ง สอนแม่มันอย่างหนึ่ง ใครเคยสังเกตเห็นข้อนี้บ้าง อาตมาสังเกตเห็น เพราะว่ามันมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสอนอยู่มาก ลูกกับแม่ผิดกันจนต้องสอนกันคนละอย่าง อย่างต้องสอนแม่ให้ทำบุญไปสวรรค์ ให้เชื่อว่าตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด ตายแล้วเกิด อย่างแน่นแฟ้น แล้วก็รีบทำบุญไปสวรรค์ แต่ถึงทีสอนลูก มัน ๆ ไม่เอา มันไม่เชื่อ มันไม่ยอมเชื่ออย่างนั้น มันต้องสอนอย่างอื่นที่จะให้เขาทำดี ให้ปลอดภัย กลายเป็นต้องสอนอย่างอื่น
ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือว่า สอนคนหนึ่งอย่างงมงาย แล้วก็สอนอีกคนหนึ่งอย่างที่จะเรียกว่าอะไรก็ยาก ก็คือว่าไม่งมงาย แต่แล้วผลมันก็ไม่ ๆ ค่อยจะเป็นไปอย่างที่เราต้องการ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนดี เจตนาดีด้วยกันทั้งคู่ ก็ยังต้องสอนแม่อย่างหนึ่ง สอนลูกอย่างหนึ่ง เพราะว่าแม่ไม่เคยเล่าเรียน ลูกเคยเล่าเรียน เป็นปริญญา เป็นอะไรมาอย่างนี้ คล้าย ๆ กับว่าเล่นตลกกัน พุทธศาสนาเดียวกันก็สอนคนนี้อย่างหนึ่ง คนหนึ่งอย่างหนึ่ง
นี่ก็เป็นความลำบากที่จะแก้ไขเรื่องศีลธรรม หรือเรื่องอะไรให้มันดีขึ้นได้ คล้าย ๆ สอนหนังสือ สอนด้วยหนังสือเล่มเดียวกันก็ไม่ได้ ออกประกาศแผ่นเดียวกันก็ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าหัว ถ้ามองให้ลึกลงไปมันก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แล้วก็เห็นว่าควรจะเอามาล้อ หรือไม่น่าล้อ ก็ลองคิดดูเอง
เมื่อของอย่างนี้มองไม่เห็น หรือว่าไม่เคยมองกันแล้วมันก็ยากที่ว่าจะแก้ไขสิ่งต่าง ๆ พระผู้เทศนาได้รับคำขอร้องให้เทศน์สั่งสอน มันก็ว่าไปเหมือนกับเครื่องจักร เด็กก็นั่งอยู่ตรงนี้ ผู้ใหญ่ก็นั่งอยู่ตรงนี้ คนมีการศึกษาก็นั่งอยู่ตรงนี้ คนไม่มีการศึกษาก็นั่งอยู่ตรงนี้ มันก็ยากที่จะพูดเรื่องเดียวกันให้ได้ประโยชน์ร่วมกันได้ นี่คือตัวอย่างของปัญหาสำหรับท่านทั้งหลายที่เป็นฆราวาส แล้วก็ยังเนื่องไปถึงพระผู้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
การสอนศีลธรรม สอนศาสนามันจึงไม่ได้ผลสมตามที่เราต้องการ ก็นับว่าเป็นข้อขัดข้องอันหนึ่ง แต่ว่าข้อขัดข้องอีกอันหนึ่งซึ่งมีกำลังมากก็คือว่าโลกมันกำลังหมุนไปในทางวัตถุนิยม บูชาวัตถุอย่างที่ได้กล่าวกันแล้วเมื่อตอนเช้า เรียกว่าวัตถุนิยมก็หมายความว่าไปหลงใหลในวัตถุจนติดแน่นแฟ้นเหมือนกับยาเสพติด แล้วฟังเรื่องอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง ความหลงใหลนี้มันก็ขยายตัวไปจนกระทั่งทั้งแม่ทั้งลูกก็เป็นวัตถุนิยมไปหมด
แม่บางคนก็มีวัตถุนิยมในเมืองสวรรค์ แม่บางคนก็มีวัตถุนิยมอย่างคนสมัยใหม่ ส่วนลูกนั้นไม่ต้องสงสัย มันก็มีวัตถุนิยมอย่างคนสมัยใหม่ เพราะว่ารับ เอ่อ, เพราะว่ารับการศึกษาอย่างสมัยใหม่นี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทีนี้สิ่งที่ต้องสนใจก็คือสิ่งที่เรียกว่าวัตถุนิยมนั่นเอง มันดึงดูดจิตใจของคนทีละน้อย ทีละน้อย โดยไม่รู้สึกตัว จนไปเป็นทาส มันไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็เรียกว่าเป็นทาสของวัตถุนิยมอย่างสนิทสนมแน่นแฟ้นสิ้นเชิง
เรื่องศาสนาก็ได้รับการกระทบกระเทือน มีคนนับถือวัตถุนิยมเป็นศาสนา ทีนี้ผู้ที่จะแก้ไข จะปฏิบัติธรรมะมันก็สู้ไม่ค่อยไหว ไปตามวัตถุนิยมลากไป ไอ้ที่เราเคยทำ เคยหาเงินไว้สำหรับทำบุญนั้น เดี๋ยวนี้มันก็เปลี่ยนเป็นว่าหาเงินไว้สำหรับวัตถุ เพื่อประโยชน์แก่วัตถุที่จะสะสมไว้ให้มาก อย่างนี้เป็นต้น หมายความว่าวัตถุนิยมมันใกล้เข้ามา เมื่อก่อนนี้เอาไปไว้ที่เมืองสวรรค์ต่อตายแล้ว เป็นวัตถุนิยมในเมืองสวรรค์ เดี๋ยวนี้มันมาอยู่ใกล้เต็มที แล้วมันก็แรงเสียด้วย การที่จะดึงจิตใจของคนออกมาจากกิเลสนั้นมันก็ยาก จะรักษาไว้อย่างเก่า มันก็ไม่ได้ จะเอากันอย่างใหม่นี้มันก็ไม่ไหว มันพิสูจน์เห็นอยู่แล้วอย่างที่ปรารภให้ฟังแล้ว
เดี๋ยวนี้เรามองไปข้างหน้า มันก็เกิดความรู้สึกว่าไอ้โลกนี้มันกำลังจะฉิบหาย หรือว่าจะเป็นมิคสัญญี แต่พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่คงไม่เป็นไร คือมันยังคงจะนานอีกหลายปี หลายสิบปี แต่ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว เดี๋ยวนี้ก็เริ่มลำบาก ยุ่งยากกันขึ้นมาแล้ว ไม่มีศีลธรรมที่จะคุ้มครองโลกไว้ได้ เพราะว่าศีลธรรมมันพ่ายแพ้แก่วัตถุนิยม หรืออารยธรรมเนื้อหนังที่เป็นของสมัยใหม่
เด็ก ๆ คลอดออกมาก็เป็นสมาชิกอารายธรรมสมัยใหม่ อารยธรรมเนื้อหนัง เป็นวัตถุนิยมไปหมด นี้จะโทษเด็ก ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเขาเกิดมาก็ต้องไปตามสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อมมันก็มีให้แต่เรื่องวัตถุนิยม ในโลกนี้มันกำลังเต็มไปด้วยไอ้วัตถุที่จะยึดจิตใจของคน
ทีนี้อย่างที่พูดมาแล้วเมื่อตอนเช้าว่าโลกกำลังไม่มีมารดา ใช้คำว่ามารดาสักหน่อย เพราะว่ามันจะได้แปลกจากคำว่าแม่ เพราะว่าแม่นี้กำลังเปลี่ยนแปลงมาก ถ้ายังเป็นมารดาอยู่คงจะเปลี่ยนแปลงน้อย เด็ก ๆ ก็ไม่ค่อยจะเรียกแม่ว่ามารดา เพราะสงวนไว้เป็นคำพิเศษสำหรับเรียกแม่อีกชนิดหนึ่ง ก็เลยเรียกว่าโลกกำลังไม่มีมารดา สังเกตเห็นว่าเหตุอื่นจะไม่ร้ายแรงเท่ากับข้อที่โลกไม่มีมารดา อาตมารู้สึกว่าไอ้โลกที่ไม่มีบิดายังไม่ร้ายเท่ากับโลกที่ไม่มีมารดา อาจจะผิดก็ได้ แต่ความรู้สึกมันรู้สึกอย่างนั้น เพราะว่าผู้ที่จะปั้นนิสัยของลูกเล็ก ๆ ที่คลอดออกมานั้น มันเป็นเรื่องของมารดาแทบทั้งนั้น
ก็ลองคิดดูว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่ตรงนี้ นึกถึงความหลังแล้วก็นึกตั้งแต่ข้อที่ว่าเราได้รับการถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ ที่มาเป็นเนื้อเป็นตัวของเราอยู่ในเวลานี้นั้น ได้รับถ่ายทอดจากมารดามาก หรือว่าจากบิดามาก ตามความรู้สึกของอาตมารู้สึกว่าจากมารดามากที่สุด คือว่าบิดาไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกันนั่นเอง มีหน้าที่ประกอบอาชีพ ส่วนมารดานั้น เกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา คืออยู่ที่บ้านมากกว่าบิดา จึงเห็นไปว่าโลกที่ไม่มีบิดานี้ยังอันตรายน้อยกว่าโลกที่ไม่มีมารดา
ทีนี้ความเป็นมารดานี่มันมีความสำคัญตรงที่ว่า ต้องปั้นนิสัยใจคออะไรต่าง ๆ ให้ถูกต้องตามทางธรรม ตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขาตั้งไว้ดีแล้ว เมื่อไม่มีเวลาหรือว่าไม่มีโอกาสมันก็ทำได้ยากยิ่งขึ้นทุกที
ความหมายของคำว่ามารดานี่ก็ค่อย ๆ หายไป มีคำว่าแม่ที่เต็มไปด้วยธุระการงานอะไรต่าง ๆ นี้มันมีมากขึ้น จนกระทั่งคำว่าแม่นี้ก็ค่อย ๆ หายไปจากโลกเหมือนกัน คือความเป็นแม่มีความหมายน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เป็นที่รักเป็นที่เคารพของลูกนั่นแหละ มันน้อยลงไป
พวกเด็กๆ คงจะฟังไม่ถูกที่เราจะบอกเขาว่า ยุคของ ยุคของฉันหรือยุคของพ่อแม่นี่ เขารักพ่อแม่กันมากกว่าในยุคเด็ก ๆ สมัยนี้เขารักพ่อแม่ นี่คงฟังไม่ถูก ประเดี๋ยวนี้เขามันมีการติดต่อกันอย่างแม่กับลูกนี้มันเปลี่ยนแปลงมากตามวัฒนธรรมสมัยใหม่ เอาไปไว้เสียที่โรงเรียน แม้กระทั่งโรงเรียนอนุบาล พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยง หรือว่าที่จริงแล้วไม่อยากจะเลี้ยง ขี้เกียจจะทนลำบากที่จะช่วยปั้นนิสัยเด็ก เลยตัดบทเอาไปฝากโรงเรียนกินนอนเลี้ยงบ้าง อะไรเลี้ยงบ้าง ก็ไปคิดดูเถอะว่ามันจะต่างกันอย่างไรกับที่ว่าจะเลี้ยงมาด้วยตนเอง
อย่างน้อยที่สุดในความกตัญญูกตเวทีจะหาได้ยากขึ้น หรือแทบจะไม่รู้จักว่าความกตัญญูกตเวทีนี่คืออะไรกันนัก ก็เป็นเหตุให้ไม่เชื่อหรือว่าไม่รัก หรือว่าไม่สมัครที่จะผูกพัน เป็นตายด้วยกันอย่างนี้
ทีนี้การศึกษาสมัยนี้ แม้ในโรงเรียนอนุบาลเขาก็ไม่ค่อยได้พูดถึงคำว่า "กตัญญูกตเวที" หรือว่า "พระเดชพระคุณ" ของบิดามารดา เพราะเขามีหน้าที่สอนหนังสือ สอนวิชาความรู้ให้ทันสมัย สอนภาษา สอนร้องเพลง สอนกระโดดโลดเต้นไปตามเรื่อง ถ้าความสนุกสนานเข้ามามาก ไอ้คุณธรรมที่ละเอียดนั้นมันก็เข้ามายาก
นี่สรุปความว่าแม่ไม่ได้ปั้นดวงวิญญาณของลูกมากมายเหมือนสมัยก่อน จะดีหรือร้าย จะได้ผลดีหรือผลร้ายก็ลองคิดดู แต่อาตมาสรุปความว่าโลกนี้ไม่มีแม่มากขึ้น แล้วก็ไม่มีมารดาคือแม่ชั้นที่ประกอบไปด้วยธรรมะสูงสุดนั้นก็ยิ่งขึ้น
แม่สมัยใหม่นี้เขาอยากจะเป็นผู้ชายอย่างที่พูดมาแล้วตอนเช้า อยากทำงานอย่างผู้ชาย อยากจะอวดฝีไม้ลายมือ อยากจะมีเกียรติยศชื่อเสียงยิ่งกว่าผู้ชาย นี่มันเป็นโรคที่ก่อเชื้อขึ้นในพวกฝรั่ง แล้วเราก็ไปตามเขา
ครั้งหนึ่งอาตมาไปอธิบายธรรมะด้วยภาพ คือสมุดภาพปริศนาธรรมที่มีรูปภาพ เอ่อ, เปรียบผู้หญิงซึ่งต้องมีผู้อื่นคุ้มครอง พวกสัตว์โลกเปรียบเหมือนผู้หญิงต้องมีธรรมะคุ้มครอง เพราะว่าผู้หญิงช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องมีสิ่งอื่นคุ้มครอง มีแหม่มฝรั่งคนหนึ่งยกขึ้นมาตั้งท่าชกมวยให้อาตมาดู ถ้าผู้หญิงนี้ก็ได้ ก็เข้มแข็งเหมือนกับผู้ชาย นี่เลยคิดว่าฝรั่งเขานำหน้าในเรื่องนี้ ในข้อที่ว่าผู้ชายทำอะไรได้เท่าผู้หญิง เราก็เลยนิ่ง ไม่ได้พูดกันให้มันมากความ
เดี๋ยวนี้เกิดนิยมให้ผู้หญิงทำอะไรได้เท่าผู้ชาย เก่งกว่าผู้ชาย เพราะเราพูดตามพระคัมภีร์ว่า ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าผู้หญิงเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ แหม่มคนนั้นตอบว่าก็คัมภีร์นี้ผู้ชายมันเขียน ว่าอย่างนี้ มีอะไรอีกมาก แต่ว่าคนสมัยนี้ไม่ยอมให้ทำหน้าที่ต่างกัน ให้ผู้หญิงทำหน้าที่มารดา ให้ผู้ชายทำหน้าที่บิดานี่ เขาไม่ชอบ เขาให้มันเหมือนกัน ทำให้เท่ากันนี่ โดยส่วนใหญ่จึงหันไปในทางที่จะทำงานกันอย่างผู้ชายยิ่งขึ้นทุกที ให้สังเกตดู
นี้ก็ยังดี ที่นี้อีกทางหนึ่งเขาจะไปเป็นผีเสื้อ มารดาละจากแม่ ละจากมารดาเป็นแม่ ละจากแม่ก็ไปเป็นผีเสื้อ คือแม่เขาไปแต่งตัวสวย ๆ ฉุยฉายเสียเองตามสโมสรตามอะไรต่าง ๆนี่ ที่อาตมาเรียกว่าผีเสื้อ อาตมาว่ามีเสื้อมาก แม่อายุมาก ๆ แล้วยังไปทำเสริมสวย ดูไม่ออกว่าคนแก่หรือคนหนุ่ม แล้วก็มีเสื้อมากก็เลยเรียกว่าผีเสื้อ แม่สมัยนี้เขาอยากเป็นผีเสื้ออยู่นั่นแหละที่เป็นเจ้าของเสื้อมาก ๆ
แม่นี้ชอบเคหะศิลป์มากกว่ามารดาศิลป์ เคหะศิลปะนี่เขาชอบ แต่มารดาศิลปะนี่ไม่ชอบ ศิลปะแห่งความเป็นมารดา ไม่ชอบ ยัดเยียดเอาไปฝากคนอื่นเลี้ยง ฝากโรงเรียนอนุบาลเลี้ยงต่าง ๆ ตัวก็มายุ่งอยู่กับเคหะศิลป์ ทำบ้านทำห้องให้หรูหรา ให้การกินหรูหรา ให้อะไรหรูหรา อย่างนี้เรียกกว่าเคหะศิลป์ซึ่งกำลังนิยม
ก็ดูว่ามีฝรั่งเป็นอาจารย์ เอาลูกไปฝากที่โรงเรียนอนุบาลเสียก็แล้วไป จะได้มายุ่งกับเรื่องสนุกสนาน เรื่องเคหะศิลป์ หรือเรื่องไปเที่ยวไปเตร่อะไรไปทางโน้นก็มี แม่ก็เลยเบื่องานบ้าน ชอบงานสังคม ก็เลยเป็นผู้นำในทางวัตถุนิยม ลูกออกมาจากโรงเรียนก็ตามไปได้ง่าย นี่เรียกว่าแม่ชั้นสูง ชั้นดี มีเกียรติ ชั้นมีการศึกษา ชั้นร่ำรวย กำลังเป็นอย่างนี้ คือไปเป็นผีเสื้อเสีย ไม่เป็นแม่ ทำให้โลกขาดแม่
แต่เขาเถียงว่านั่นแหละคือความเป็นแม่ ก็เป็นแม่ผีเสี้อ ให้ลูกมันได้เป็นผีเสื้อเที่ยวบินสวย ๆ ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แม้แต่การศึกษาเล่าเรียนก็เพื่อประดับความสวย ประดับความงาม ประดับให้มีเครดิตในทางที่จะได้ต่อรองกันเรื่องสวย เรื่องมีค่าในทางความสวยงาม ไม่มีความหมายในทางจิตใจ
ทีนี้ลองดูถึงแม่ที่ชั้นจน ๆ กันบ้าง จนเวลา จนความคิด กระทั่งความรู้ก็ไม่ค่อยมีที่จะอบรมลูก นี้ก็มีอยู่มากในประเทศที่เรียกกันว่าด้อยพัฒนาอย่างประเทศไทยเรา แม่มีงานมาก ก็จำเป็นอยู่เองที่ไม่ค่อยจะมีเวลาเอาใจใส่ลูก ปล่อยลูกไปตามลำพัง ไม่มีเงินไปฝากโรงเรียนอนุบาล ก็ปล่อยให้มันไปโตกันเองตามทุ่งนา ไปทำอะไรกันตามประสาเด็กที่ปล่อยปละละเลย เพราะว่ามี มีความยากจน แล้วจะโทษแม่โดยตรงมันก็ไม่ได้ แต่ว่าจะไม่โทษบ้างก็ไม่ได้ เพราะว่าเราก็ได้เคยเห็นแม่บางคนที่ยากจนก็ยังปลุกปั้น ดูแลเลี้ยงดู ชนิดที่เรียกว่าปลุกปั้นดวงวิญญาณของลูกให้ดีได้ก็มีอยู่มากเหมือนกัน แม่จน ๆ แล้วก็มีลูกมาก แล้วก็ทำงานอย่างสายตัวแทบจะขาด แล้วยังจะต้องอุ้มลูกไว้มือหนึ่ง ทำงานมือหนึ่ง แล้วต้องเลี้ยงดูลูก ดูแลลูก อีกหลาย ๆ คนนี้ มีคนทำสำเร็จก็มี
เดี๋ยวนี้เขามีความคิดกันไปทางอื่นแล้ว ไม่ ไม่ต่อสู้แบบนี้แล้ว คือไปทำให้มีบุตรน้อย ๆ น้อยคน คิดว่าการที่มีบุตรน้อยคนจะมีโอกาสอบรมบุตรได้ดีขึ้น มันก็เหลวทั้งนั้น เพราะว่าแม่มันยังเป็นผีเสื้ออยู่นั่นเอง มีบุตรสักคนหนึ่งก็เอาไปฝากอนุบาลอีกแหละ เป็นอันว่าเราไม่ได้เด็กที่มีดวงวิญญาณถูกต้องตามความหมายของความเป็นมนุษย์ เป็นอย่างนี้กันทั้งโลกมากขึ้น ๆ
ไม่มีใครคิด แล้วก็ไม่มีใครมองว่านี่เป็นต้นเหตุของการที่ทำให้มนุษย์เรามีความเป็นอันธพาลในทางวิญญาณ ซึ่งเป็นมูลเหตุให้พูดกันไม่รู้เรื่อง และให้เห็นแก่ตัวจัด เบียดเบียนกัน เอาเปรียบกัน อะไรกันจนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียนหรืออีกทางหนึ่งก็เต็มไปด้วยโลกที่ไม่มีระเบียบ ไม่มีหลักเกณฑ์ มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ
สมัยหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นิยมความเรียบร้อย ผู้ชายก็โกนหนวดโกนเคราเกลี้ยง ตัดผมตัดเผ้าดี สวมเสื้อผ้ากะทัดรัดเรียบร้อย ผู้หญิงก็ปกปิดร่างกายดี มีเสื้อยาว มีผ้านุ่งยาว พอสมัยต่อมา มันเปลี่ยนเป็นว่าผู้ชายนี่ก็ไม่อยากโกนหนวด ผมก็ไม่อยากจะตัด เสื้อผ้าก็แปลกประหลาด ผู้หญิงก็แทบจะไม่มีผ้าปิดกายนี่ ในที่ชุมนุมชนนี่มันเปลี่ยนอย่างนี้ คิดดูเถอะ มันเพราะว่าอะไร
เขาว่ามันดีขึ้น แต่อาตมาเห็นว่ามันดีในทางที่จะเสียเปรียบกิเลส เสียเปรียบพญามาร ฉะนั้นเราจะต้องคิดกันถึงข้อนี้ว่ามันเป็นมูลเหตุของไอ้ความทุกข์ยาก ความระส่ำระสายของโลกนี้หรือเปล่า ในเมื่อทำอะไร ๆ ก็ทำเพื่อจะให้ก้าวหน้าแต่ในทางกิเลสทั้งนั้น นี่แม่ไม่มีในโลก มีแต่คนคลอดอะไรออกมา ไม่มีแม่ ไม่มีมารดาที่จะปั้นดวงวิญญาณของลูกให้ถูกต้อง
อย่างนี้ก็เรียกว่ายิ่งกว่าใจดำ บิดามารดาชนิดนี้จริง ๆ ยิ่งกว่าที่จะเรียกว่าใจดำ ใจจืด แล้วก็ถ้าถือตามหลักธรรมะแล้วก็เรียกว่าเป็นศัตรู เป็นไพรี มารดาเป็นศัตรู บิดาเป็นไพรี คือปล่อยลูกไปในทางที่ให้เขาไปเป็นคนที่เสื่อมเสีย ทำลายตัวเขาเอง แม่พ่อนั้นเพียงแต่ปล่อยเท่านั้นแหละ แต่ลูกนี้ก็มีความเสียหาย แม่กับพ่อเลยตั้งอยู่ในฐานะเป็นศัตรู เป็นไพรี เป็นอะไรต่าง ๆ คือผู้ทำลายโลกแต่โดยไม่รู้สึกตัวสักนิด
นี่ลูกสมัยนี้จึงออกมาประหลาด ๆ มีโรคทางวิญญาณติดมาด้วยเสร็จ เพราะว่าเขาคลอดมาจากบิดามารดาที่ไม่มีความรู้เรื่องนี้ หรือว่าไม่ต้องการจะเลี้ยงลูก จะอบรมลูก แต่อยากจะมีลูก มีลูกแล้วก็ไปฝากอนุบาลเลี้ยง เขาคิดว่าคนที่รับจ้างเลี้ยงนั้นจะทำได้ดี อย่างนี้ก็ไม่ใช่ เขาก็รู้อยู่ แต่เนื่องจากว่าขี้เกียจ อยากจะไปเป็นผีเสื้อ ลูกก็ต้องเป็นโรคทางวิญญาณ มาแต่ คือมีเชื้อโรคทางวิญญาณเสร็จมาแต่ในท้อง มันก็เจริญงอกงามไปตามทางของโลก ในทางวิญญาณ โลกที่จะไม่มีความหมายของบิดามารดา หรือความหมายของลูก ไม่มีความรู้สึกกตัญญูกตเวที
ที่เสานั้นมีภาพเรื่องกตัญญูกตเวทีเขียน ว่าเด็กคนหนึ่งเขานอนถอดเสื้อให้ยุงมากัดเขา อย่าไปกัดแม่ซึ่งนอนเจ็บอยู่บนร้าน เพราะว่าไม่มีมุ้ง เพราะว่าเราเป็นคนจน ไม่มีมุ้ง ก็บอกชื่อเด็ก ชื่อแซ่ ชื่อสกุล วันเดือนปี พ.ศ. ตำบล หมู่บ้านอะไรไว้เสร็จ ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครเชื่อ หาว่าโกหก เป็นเรื่องโกหกเมคอัพ นี่คนสมัยนี้ก็คงจะไม่ยอมเชื่อ
แต่คนสมัยก่อนไม่ใช่เป็นของลึกลับหรือยากเย็นอะไร ที่วัฒนธรรมโบราณเขาสร้างสรรค์เด็กให้มันมีความกตัญญูกตเวทีถึงขนาดนั้น อย่างนี้เรียกว่าเด็กเขามีเชื้อโรคทางวิญญาณ หรือไม่มีเชื้อโรคทางวิญญาณ เป็นโรคประสาทแบบใหม่ติดตัวมาเสร็จในท่ามกลางวัฒนธรรมอย่างใหม่ การเรียกร้องแบบใหม่ที่เรียกร้องผิดไปจากสมัยเก่าจนเทียบกันไม่ได้ เด็กก็มีโรคประสาทแบบใหม่ติดมาเสร็จ
ถ้าเป็นสมัยเก่าเราจะได้ยินคำว่า "แล้วแต่แม่ ๆ" นี่ มากที่สุด แต่ถ้าสมัยนี้ก็ต้องให้ฉัน ต้องให้ฉัน ต้องตามใจฉันนี้ มันก็จะตรงกันข้ามอย่างนี้ เมื่อสมัยก่อนนี้ลูกก็ยอมรับ หรือว่าเป็นสถาบันที่ตายตัวไปว่าพ่อแม่มีบุญคุณแก่ลูก ลูกเป็นหนี้บุญคุณของพ่อแม่ นี่ร้อยเปอร์เซ็นต์มีความรู้สึกเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูกจึงหุบปาก เงียบไม่เถียง
เดี๋ยวนี้มันจะเริ่ม มันเปลี่ยนไป แล้วมันจะถึงขนาดตรงกันข้ามอยู่แล้ว แบบสมัยใหม่ แม่ก็ผีเสื้อ ลูกก็ผีเสื้อ มันไม่มีหละ คำที่เรียกว่า แล้วแต่แม่นี่ มันต้องแล้วแต่ฉัน แม่ต้องตามใจฉัน อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะแม่เกิดฉันมา หรือว่าฉันจะทำเกียรติยศให้วงศ์ตระกูล แม่ต้องเป็นหนี้บุญคุณของฉันนี่ อย่างนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องอาตมาเมคอัพขึ้นมาพูด มันมีมาแล้วจริงอย่างน้อยก็หนึ่งรายที่เขาได้ชี้ตัวให้ดูหรือเล่าให้ฟัง ที่ลูกสาวเขาจัดตัวเองว่าเป็นผู้มีบุญคุณต่อแม่ นี่เรียกว่าเป็นโรคทางวิญญาณของเด็ก เด็กรุ่นนี้เป็นโรคประสาทแบบใหม่ที่ทะเยอทะยานแต่เรื่องสวยงาม ความเป็นผีเสื้อ
ก็มีทางออกกันแปลก ๆ ที่ว่าเมื่อ เมื่อไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง หรือโรงเรียนช่วยไม่ได้ก็ไปโทษว่าไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น อาตมาอยู่ที่นี่แล้วก็มีพวกที่มาจากกรุงเทพฯ เป็นพระก็มี ไม่ใช่ก็มี มาถามถึงปัญหา แล้วก็ว่าทำไมจึงเดือดร้อนเป็นทุกข์นี่ เขามาที่นี่ เขาก็อ้างแต่ความคับใจ แล้วไปจำขี้ปากใครมาก็ไม่ทราบว่าไม่ได้รับการเลี้ยงดูแวดล้อมอย่างอบอุ่นจากบิดามารดาอย่างนี้ ดูสิมันไม่เคยได้ยิน มันก็เพิ่งจะเคยได้ยินเมื่อไม่กี่ปีมานี้
ประโยคที่ว่าไม่ได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่อย่างอบอุ่นนี่เฟ้อกันแล้ว มันมีความจริง มีส่วนจริงอยู่บ้างแต่มันไม่มากถึงขนาดที่พูดกัน เลยกลายเป็นข้อแก้ตัวสำหรับโทษบิดามารดา แล้วทางโรงเรียนจะโทษบิดามารดาก็โทษอย่างนี้ หรือว่ารัฐบาลก็ตาม จะโทษก็โทษบิดามารดาว่าอย่างนี้ ก็สนใจกันแต่เรื่องอย่างนี้ ก็คือเรื่องที่จะกล่าวข้อความนี้ว่าไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น
ไอ้ความเลี้ยงดูอย่างอบอุ่นนั้นมันมีปัญหามากทีเดียว ที่เลี้ยง ๆ ดูอย่างอบอุ่นแล้วกลายเป็นลูกชนิดจับพ่อแม่ใส่นรกก็มี ไปดูให้ดี ไม่รู้ว่าคำว่าอบอุ่นนั้นจะหมายความว่าอย่างไร ถ้าอบอุ่นอย่างมารดาของอาตมาก็คือก้านมะยม นั่นแหละความอบอุ่น อาตมาไม่ไปเป็นอันธพาลเพราะความไม่อบอุ่นนี่หรือเปล่า คิดดู
มันเป็นเรื่องที่กลับหน้ามือหลังมือกันมากขึ้นทุกที อย่างนี้ไม่เรียกว่ามารดา ไม่เรียกว่าแม่ แต่คนสมัยใหม่เขาก็เรียกว่านี้ คือมารดา นี่คือแม่ แม่เป็นผีเสื้อ แล้วก็ปั้นลูกให้เป็นผีเสื้อทั้งหญิงทั้งชาย วัฒนธรรมแม่ลูกเปลี่ยน ๆ ๆ ไป ไปเป็นรูปวัฒนธรรมอะไรก็ไม่ทราบ โลกไม่มีมารดา โลกไม่มีแม่ วัฒนธรรมไทยแต่โบราณนี่สลายตัว กำลังพังทลาย วัฒนธรรมไทยแท้จริงที่มีมาแต่โบราณนี่กำลังพังทลาย
เมื่อสิ่งนี้มันพังทลายไปแล้วก็ เด็กก็เป็นโรคเส้นประสาทมาแต่ในท้อง เป็นโรคทางวิญญาณ มีเชื้อมาแต่ในท้อง ออกมาก็พอดีกัน เติบโตเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องทางจิต ทางวิญญาณหรือทางธรรมะ หรือทางความสะอาด สว่าง สงบ ไปบูชาไอ้ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อย สวยงาม
เด็ก ๆ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าพ่อแม่นั้นคืออะไร เขารู้เหมือนกันตามความคิดนึกของเขาว่าพ่อแม่คืออะไร ก็คือพ่อแม่ที่ คือคนที่ต้องตามใจเขา นั่นนะคือพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่อย่างสมัยโบราณ เด็ก ๆ จะไม่ได้คิดอย่างนั้น คิดว่าเขาจะต้องตามใจพ่อแม่ ต้องพยายามทำให้พ่อแม่รัก แล้วก็ตามใจพ่อแม่ เชื่อฟังร้อยเปอร์เซ็นต์ เด็กสมัยนี้ไม่รู้สึกอย่างนั้น
เกี่ยวกับครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน เด็กสมัยนี้เขาไม่ได้มีครูบาอาจารย์ในความหมายแต่ ไม่มีความเคารพครูบาอาจารย์ เว้นไว้แต่ว่ามันจะช่วยเหลือ ถูกอกถูกใจกันส่วนตัว ขนบธรรมเนียมมันเสียไป เขามองดูครูบาอาจารย์คล้ายกับว่ากรรมกร รับจ้างสอนหนังสือ ในที่สุดก็ไม่รู้จักว่าตัวเองนั้นเป็นอะไร เด็ก ๆ เขาไม่รู้ว่าตัวเขาเองนั้นเป็นอะไร นอกจากความรู้สึกชั่วแล่น มันต้องการอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ไม่รู้ว่ามนุษย์คืออะไร มนุษย์นี้เกิดมาทำไม ทำเป็น ทำอย่างไรจึงจะเป็นมนุษย์
ที่ปัญหาที่ว่ามันกำลังเนื่องกันอยู่ทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ แง่ ทุก ๆ มุม เรากำลังจะมีเด็ก ๆ ยุวชนที่มีเชื้อโรคในทางวิญญาณติดมาเสร็จแต่อ้อนแต่ออก อ่อนแอไปในทางที่จะช่วยตัวเอง แล้วก็ไปเข้มแข็งในทางที่จะข่มเหงบิดามารดา ครูบาอาจารย์
สรุปความกันก็ได้ว่า ไอ้เรื่องความเสื่อมในส่วนศีลธรรมนี่ มันจะมีอะไรบ้าง นี่ทบทวนอีกทีว่า แม่ก็ไปเป็นผีเสื้อกันเสียหมด ให้ลูกใช้ ให้คนใช้หรือรับจ้างเลี้ยงลูก ให้โรงเรียนรับจ้างเลี้ยงลูกเป็นผู้เลี้ยงลูก เพราะว่าแม่เขาอยากจะไปเป็นผีเสื้อสวย ๆ
นี่พ่อทั้งหลายก็เกิดนิยมเอาเปรียบแม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ที่หวังอะไรในลูก ก็หวัง ๆ ไปตามความรู้สึกชั่วขณะ ตามธรรมเนียม ไม่ได้หวังว่าจะให้ลูกนี่เดินทางไปนิพพานสืบต่อจากที่ตนเองเดินไม่สำเร็จ เพราะไม่ได้มีมารดาไม่ได้มีภรรยาเพื่อว่าจะเป็นเพื่อนเดินทางไปนิพพาน ฉะนั้นพ่อไปเล่นกอล์ฟดีกว่ามานั่งดูแลกล่อมเกลานิสัยลูก ถ้าเขาร่ำรวยแล้วเขามีความสบายแล้วก็สมัครจะไปเล่นกอล์ฟมากกว่าที่จะมานั่งดูแลแวดล้อมนิสัยลูก ช่วยแม่อบรมลูก นี่พ่อ ที่ว่ายกตัวอย่างว่าเล่นกอล์ฟ ก็เพื่อจะให้มันขึ้นไปถึงพวกคนรวย คนที่ไม่ค่อยรวยก็ไปเล่นอย่างอื่นก็ได้
คนโบราณนี้เขามีความหวังมากว่าเรามีลูกนี่ก็เพื่อจะให้เป็นผู้ช่วยไม่ให้ตกนรก ไม่ให้พ่อแม่ตกนรก นับตั้งแต่ว่าจะได้บวชได้เรียน จะช่วยพ่อแม่อย่าให้ตกนรก แล้วพ่อแม่แก่เฒ่าแล้วลูกจะได้เลี้ยงประคบประหงมพ่อแม่อย่าให้เดือดร้อน นี่มันก็ไม่ตกนรกอย่างนี้ ตายไปก็ไม่ตกนรก เขามีลูกเขาต้องการกันอย่างนี้ เขาหวังกันอย่างนี้ นี่ทีนี้พ่อแม่สมัยใหม่ไม่เคยต้องการอย่างนี้ จึงให้การอบรมลูกไปในทางที่จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นนานาประการ
ที่รวมกันทั้งพ่อทั้งแม่ บางคนก็หวังรวยกันเป็นการใหญ่ ลูกจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน หาเงินไว้ให้มันมาก ๆ ก็แล้วกัน หามรดกมาไว้ให้มันมาก ๆ ก็แล้วกันนี่ ก็หาได้จริงเหมือนกัน แต่ลูกจะเป็นอย่างไรก็คิดดูเอง มันก็เป็นผู้ทำลายเงินที่พ่อแม่หาให้ มันมีรูรั่วทางฝ่ายลูกมากเกินไป มันมีรายรับในทางวัตถุ แต่มันมีรายจ่ายในทางวิญญาณ
อาตมาอยากจะขอร้องท่านทั้งหลายทุกคนให้ระวังเรื่องนี้ เดี๋ยวนี้โลกเรามันมีอย่างนี้เสียแล้ว มันมีรายรับเข้ามามากในทางวัตถุเงินทองข้าวของ มันมีรายจ่ายทางจิต ทางวิญญาณเลวทรามตกต่ำลงไปในทางวิญญาณ หาความสุขไม่ได้ แล้วทรัพย์สมบัตินั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากทำให้มันยุ่งยากลำบาก แล้วในที่สุดก็มันวินาศไปไม่มีเหลือ นี่มนุษย์ที่รู้จักแต่วัตถุนิยมมันเป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงพระเจ้าพระสงฆ์ที่จะช่วยดูแลเด็ก ๆ เยาวชนบ้าง ก็หมดฝีไม้ลายมือ ด้วยว่ามักจะเป็นเสียเองด้วย ก็เพราะว่ามันมาจากไอ้ชาวบ้านนั่นแหละ มาบวชเป็นพระเป็นเณร เป็นอะไรก็มาจากชาวบ้าน เที่ยวเอาผ้าเหลืองมาคลุมเข้านี่มันก็เปลี่ยนไม่ทันหรอก แล้วตัวเองก็ยกวิญญาณของตัวเองไม่ได้ ก็ยกวิญญาณของเด็ก ๆ ไม่ได้ แต่ว่านี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบรรพชิต เอาไว้พูดกันตอนอื่นดีกว่า
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องที่ว่าวัฒนธรรมประเพณี มันเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมืออย่างที่ว่ามาแล้ว ก่อนนี้เขาจะบังคับกิเลส เดี๋ยวนี้เขาจะยิ่งสนับสนุนกิเลส วัฒนธรรมเปลี่ยนเป็นในรูปนี้ ทีนี้ไปดูถึงรากฐานชั้นล่างสุด คือการศึกษามันก็เปลี่ยนหมุนไปตามวัตถุนิยม ติดกันไปสนิทเลย การศึกษาไม่ได้สอนให้รู้ว่านี้มันผิด เพราะว่าการศึกษามันจัดขึ้นโดยบุคคลที่ไม่รู้ว่านี้มันผิด คือไม่รู้ว่านี่จะเป็นการทำลายโลก เพียงแต่ว่าที่เขาจัดขึ้นนี่ มันให้ความเจริญทางวัตถุ หรูหรางดงามร่ำรวยทางวัตถุ แล้วก็ไม่รู้ว่านี่มันจะทำลายโลก ฉะนั้นการศึกษานี้ก็คุ้มครองโลกไม่ได้ ไม่ทำโลกให้มีสันติภาพได้ มีแต่เรื่องระส่ำระสาย หรือว่าเรื่องฆ่าแกงกันมากขึ้นเท่านั้นเอง
ถ้าพูดในวงแคบเฉพาะพุทธบริษัทไทยเราก็ ก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ ไปตามก้นเขา รักษาของเดิมไว้ไม่ได้ ก็ไปตามก้นเขา อย่างใหม่ ๆ ซึ่งเป็นพวกที่ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ความเป็นไทยนี้คืออะไร ก็เลยได้เป็นทาส ได้เป็นทาสของกิเลส ได้เป็นทาสของวัตถุนิยม แล้วในที่สุดวัตถุก็หมด ก็ได้เป็นทาส แม้แต่ทางเงินทองนี่ เป็นหนี้ มันก็หมดความเป็นไทย ถ้าเป็นหนี้เงินเขามากก็หมดความเป็นไทยเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามนุษย์ที่แท้จริงจะต้องเป็นอย่างไร เด็ก ๆ ไม่รู้ว่าจะถือเอาอะไรเป็นแบบฉบับ ถ้ามีแบบฉบับอย่างเก่า เด็ก ๆ ก็สั่นหัว ก็ไปถือเอาแบบฉบับอย่างใหม่ มันก็เป็นไปในเรื่องวัตถุนิยม เอาแต่ความรู้สึกที่เป็นสุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ไม่ต้องคำนึงถึงความผิดถูกนี้ การศึกษากำลังทำได้เพียงเท่านี้
อาตมาพูดอย่างนี้บ่อย คงมีคนโกรธนับเป็นสิบ ๆ คน แต่ก็ช่วยไม่ได้ มันรู้สึกอย่างนี้ มันก็ต้องพูดอย่างนี้ในวันที่กำหนดไว้สำหรับล้ออายุนี้ อาตมาถือว่ามีเสรีภาพที่สุด ใครจะมาเชือดคอเลยก็ได้ ก็จะพูดอย่างนี้เรื่อยไป
สิ่งที่นิยมบูชากันมากอย่างเวลานี้อย่างหนึ่งก็คือวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ทุกคนมองตาเดียวกันเลย วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า เบิ่งตามองหาว่ามันจะให้อะไรแก่เราต่อไป วิทยาศาสตร์ก้าวหน้านั้นคือก้าวหน้าในทางที่จะทำให้มนุษย์หมดความเป็นมนุษย์ เพราะว่าไปเป็นทาสของวัตถุ ไปหลงใหลในความสุขสนุกสนานทางวัตถุ ซึ่งทางศาสนาได้ตั้งข้อรังเกียจไว้อย่างมากมาย เขาเรียกว่า "อัสสาทะ" แปลว่ารสอร่อย ในลักษณะที่เป็นเหยื่อล่อ
พระพุทธเจ้าท่านจัดสิ่งที่เรียกว่าอัสสาทะนี่ไว้ในฐานะเป็นเหตุแห่งความเสื่อม แห่งความทุกข์ แห่งความวินาศในที่สุด ทุกอย่างมันมีอัสสาทะทั้งนั้น คือส่วนที่มันเป็นเสน่ห์ เป็นเหยื่อล่อให้คนหลง เราไปหลงในอะไรเข้าแล้วขอให้รู้เถอะว่านั้นน่ะคืออัสสาทะ สิ่งนั้นมันดึงไป แต่โดยใจความสำคัญส่วนใหญ่ก็คือเป็นเหยื่อ มันก็ไม่พ้นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แล้วระบุชัดยิ่งขึ้นไปก็คือระหว่างเพศ เป็นเรื่องระหว่างเพศ
ทีนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ก็ก้าวหน้าในทางที่จะสนับสนุนให้สำเร็จแก่ความต้องการในเรื่องนี้มากขึ้น เรื่องกามารมณ์หรือเรื่องเพศนี่ ได้รับความสนับสนุนจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทุกแง่ทุกมุม โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี แล้วจะไปพึ่งอะไรได้กับวิทยาศาสตร์ ที่ว่าจะทำโลกนี้ให้มีสันติภาพ
เรื่องสุข เรื่องทุกข์นี้มันเป็นเรื่องจิตใจ มันเป็นเรื่องวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องของวัตถุ วิทยาศาสตร์ก็ทำได้แต่เรื่องทางวัตถุ นี่ผู้ที่ก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ ก็ได้เปรียบที่จะล้วงกระเป๋าไอ้คนที่ล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ ปัญหามันก็เกิดเป็นอย่างอื่นงอกงามตามออกมาอีกมาก
นี่เรียกว่าสรุปความกันสักทีก็จะได้อย่างนี้ ว่าทำไมจึงเกิดความเสื่อมในทางศีลธรรมแก่อนุชนรุ่นหลัง รุ่นต่อไปในอนาคต แม่ไม่เป็นแม่ พ่อไม่เป็นพ่อ ทั้งพ่อทั้งแม่ไปหาความสุขส่วนตัว ไม่มองเห็นความสำคัญที่จะปั้นดวงวิญญาณของลูก ครูก็นำไปไม่ค่อยไหว เพราะว่าครูเป็นผู้เสพติดในวัตถุนิยมเสียเอง พระเจ้าพระสงฆ์ก็พลอยเป็นอย่างนั้น วัฒนธรรมก็เปลี่ยน การศึกษาก็ถูกพาไปในทาง ถูกพาไปตามความประสงค์ของบุคคลยุคปัจจุบันที่เป็นทาสของวัตถุ การศึกษาเป็นทาสของวัตถุเต็มตัว
วิทยาศาสตร์คือเครื่องก้าวหน้าก็ทำให้ก้าวหน้าไปในทางชนิดนั้น เป็นเรื่องที่ควรจะนึกและสังเวชแล้วก็ยิ้มแก้เก้อ ล้อ ๆ ไปอย่างนั้นแหละ ว่าเราได้เกิดมาในยุคนี้ ได้เห็นอย่างนี้ ได้ประสบกันอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ได้แต่รำพึงอยู่ว่า เมื่อไหร่ไอ้การศึกษานี้มันจะเป็นไปถูกทาง ทำไมไอ้หลักศีลธรรม หลักทางศาสนามันจะเข้ามาอยู่ในวัฒนธรรมประจำชาติ ประจำบ้านเรือน ถ้าการศึกษาจะมุ่งหมายให้ถูกเป้าหมาย คือสร้างศีลธรรมที่ดี สร้างความเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้นมา
แล้วก็ใช้เงินมากมายเหลือเกินในการศึกษานี่ จะไปสร้าง ไปเสริม ไปก้าวหน้าในเรื่องเปลือก เรื่องฝอยทั้งนั้น ไม่ได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ระดมทุ่มเทไปในทางที่จะให้มีศีลธรรมดี อย่างมีความรู้ดีนี่มันก็ไม่หมายความว่ามีศีลธรรมดี ทีนี้พอมีความรู้ดีก็ไปหาอย่างอื่น หาความสุขสนุกสนานกันซะอย่างอื่น ฉะนั้นควรจะเว้นในสิ่งที่มันไม่ส่งเสริมศีลธรรมนั้นเสียที ใช้เงินไปในทางที่ส่งเสริมศีลธรรมโดยตรงยิ่ง ๆ ขึ้นไป การศึกษามันจึงจะดี
เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งเขาว่าการเต้นรำดี การดนตรีดี การอะไรดีเป็นการศึกษา เป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่ง ก็ไปส่งเสริมเรื่องนี้ และเรื่องนั้นเรื่องโน้นจนไม่มีโอกาสที่จะได้ส่งเสริมเรื่องศีลธรรมโดยเฉพาะ เพราะว่าเขาไม่ชอบการบังคับตัวเอง เขาชอบการตามใจตัวเอง จะเอากันยังไง เมื่อคนมันชอบเสียอย่างนั้นแล้ว มันก็จัดไปตามความชอบ
การศึกษาก็สนับสนุนการตามใจตัวเอง ไม่มีการบังคับตัวเอง พอมันเข้าถึงขนาดที่ว่าเสพติดแล้ว ที่นี้ใครไปพูดไม่รู้เรื่องแล้ว ไปพูดให้บังคับตัวเองก็โกรธเอา เราจึงไม่สามารถจะอบรมสั่งสอนเด็ก ๆ นี่ให้หมุนกลับมาเคร่งครัดในระเบียบ ในวินัย อดกลั้น อดทน เสียสละ นี่ทำไม่ได้ พอมาบวชเป็นพระเป็นเณรเข้าอีก ก็ทำไม่ได้อีก นี่อาตมารู้ดีเรื่องนี้
เมื่อไหร่เราจะมีศีลธรรมเป็นเป้าหมายของครูบาอาจารย์ ของบิดามารดา ของพระเจ้าพระสงฆ์ มาอบรมยุวชนเด็ก ๆ นี่ให้มันมีศีลธรรม ชนิดที่เขาเรียกกันว่ายอมตายเพื่อความถูกต้อง เดี๋ยวนี้ถ้าใครเกิดยอมตายเพื่อความถูกต้องหละเขาว่าบ้า ไอ้คนบ้า บ้ายิ่งกว่าบ้า
มันมีคำประหลาด ๆ ของศาสนาคริสเตียนที่เรียกว่า "มาเทนดอม(นาทีที่ 57.55)" ยอมตายเพื่อความถูกต้อง ตายแล้วเขาตั้งให้เป็นผู้สำเร็จ ผู้วิเศษนี่ เดี๋ยวนี้ก็หาทำยายาก แล้วก็คนยิ่ง..ยิ่งคนสมัยนี้ยิ่งไม่เอา ได้มีเกียรติยศต่อตายแล้วก็ไม่เอา เมื่อยังเป็นอยู่ก็ไม่เอา ไม่มีใครต้องการ ก็ยอมตายเพื่อความถูกต้องนี่ แต่ถ้าสมัยก่อนก็เดี๋ยวจะหาว่า ๆ เอาเอง มันก็ต้องว่าไปตามที่เคยได้ยินได้ฟัง สมัยก่อนเขามีกันมากคนที่ยอมตายเพื่อความถูกต้อง
มันมีหลักธรรมะโบรมโบราณมาว่าเรายอมเสียสละอวัยวะเพื่อเอาชีวิตไว้ แต่เรายังยอมเสียสละชีวิตเพื่อเอาธรรมะไว้ ว่าอย่างนั้น ภาษิตอย่างนี้ คนเดี๋ยวนี้ก็จะโห่กันเลย ช่วยกันโห่เลยที่เราจะยอมตายเพื่อความถูกต้อง เพราะว่ามันพ้นสมัยแล้ว
ถ้าว่าในการศึกษาของเราไม่มีเป้าหมายในเรื่องศีลธรรมแล้วละก็ โลกนี้ก็ไม่มีศาสนา เป็นโลกที่ไม่มีศาสนา แล้วก็ดูเอาเองก็แล้วกันว่ามันจะเป็นอย่างไร
การศึกษาเดี๋ยวนี้ แสนจะประหลาด เด็กก็ต้องเรียนในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนมากขึ้น ไปขอดูหนังสือที่ลูกเด็ก ๆ เขาเรียนสิ เขาให้เรียนเรื่องเมืองนอกเมืองนาทั่วโลกแล้ว รู้จักประธานาธิบดีคนนั้นคนนี้ เมืองนั้นเมืองนี้ แม่น้ำนั้นแม่น้ำนี้ แล้วก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ในโลก ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าลูกใคร อยู่ที่ไหนนี่ก็มี ลองถามลูกหลานตัวเองดู เพื่อจะวัดดูว่าไอ้ที่เขาให้เรียนนี่คืออะไร
ไม่รู้ว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ในโลก แล้วจะไปรู้อะไรว่าเราจะต้องกตัญญูกตเวที เราจะต้องเชื่อฟัง เราจะต้องมีหิริโอตัปปะ แล้วก็ต้องมีอะไรต่าง ๆ นี่ไม่ได้เรียน แต่เขาไปรู้เรื่องต่างประเทศ เรื่องนอกโลก เรื่องอะไรมากมาย ซึ่งมันไม่จำเป็นเลย สำหรับคนเราที่จะอยู่กันอย่างผาสุกในทางจิตใจ ต้องรู้เรื่องนี้ก่อน แล้วต้องการจะมีความสุข มีความสงบสุข ชนะกิเลสได้ แล้วทำไมเราไม่เรียนเรื่องนี้ เราไปเรียนเรื่องอื่น ซึ่งมันยังไม่เกี่ยวกันเลย การศึกษาของมนุษย์ในโลก
อาตมาเคยเปิดดูไอ้หนังสือแบบเรียนชั้นประถม ขนาดชั้นอนุบาล ของพวกฝรั่ง มีเรียนเรื่องปรมาณู เรื่อง atomic bomb เด็กชั้นอนุบาลมีรูปภาพที่เข้าใจเรื่อง atomic bomb เรื่องปรมาณู เป็นหนังสือชั้นเด็ก สอนเรียน แรกเรียนแล้วก็เริ่มเรียนตั้งต้นด้วยเรื่องอย่างนี้ โดยเปรียบเทียบไอ้ของง่าย ๆ ธรรมดาให้เข้าใจความหมายของคำว่าปรมาณู ของคำว่าอิเลคตอน โปรตอน
ก็คงจะเหมือนกันอีกนะ เด็กเหล่านี้ก็ไม่รู้ว่าพระเยซูมีอยู่ในโลก พระเยซูได้สอนว่า รับใช้ผู้อื่นนั่นน่ะคือรับใช้พระเจ้า ให้เห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าตัวนี่ ถ้าเขาตบแก้มซ้ายแล้วให้เขาตบแก้มขวาด้วย เขาขโมยเสื้อผ้า เอาผ้าห่มไปให้เขาด้วย อย่าจับตัวเขาส่งศาล ไม่ฟ้องศาล ไม่รู้ แต่รู้เรื่องปรมาณู เข้าใจกฎเกณฑ์ความหมายอะไรของเรื่องปรมาณู ของลูกระเบิดปรมาณู โลกกำลังเป็นอย่างนี้ในเรื่องการศึกษา
ทีนี้ นอกจากการศึกษาเรื่องวิชาความรู้แล้วก็เป็นเรื่องกีฬา เป็นกีฬาชนิดที่เรียกว่าสร้างวิญญาณแห่งความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่..ไม่ใช่วิญญาณแห่งกีฬาแท้ ๆ ซึ่งทำลายความเห็นแก่ตัว กีฬาแท้ ๆ ต้องทำลายความเห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันมีกีฬาชนิดที่สร้างความเห็นแก่ตัว สร้างวิญญาณชาตินิยม พวกนิยม วัตถุนิยม คณะนิยม สร้างกีฬาเพื่อจะแข่งขันกันระหว่างชั้น หรือระหว่างโรงเรียนอะไรก็ตาม มันมีการทำให้เห็นแก่พวกตัว น้ำใจนักกีฬาเดี๋ยวนี้ก็คือ น้ำใจที่เห็นแก่พวกตัว ฆ่าผู้อื่นได้ เป็นน้ำใจนักกีฬาสมัยนี้
ถ้ามองดูที่หนังสือที่ให้เด็กเรียนก็เหมือนกันอีก แม้แต่หนังสือที่พิมพ์ขึ้นในตลาด ในโลกเวลานี้ เราก็สนใจเรื่องนี้มากเหมือนกัน หนังสือที่พิมพ์ขึ้นมากที่สุดก็เพราะมีคนต้องการมากที่สุด ก็ไปดูเถอะ มันก็ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับกามารมณ์โดยอ้อม หรือโดยตรงก็มีมากยิ่งขึ้น ในประเทศไทยเรานี่ก็ดูหนังสือที่ ที่มากที่สุดจะเป็นหนังสือเรื่องสนุกสนาน พาดพิงเรื่องกามารมณ์โดยตรงโดยอ้อมนะ
ขอร้องว่าอย่า อย่าฟังแต่ปาก ให้ไปเปิดไปพลิกดู หนังสือที่มี ๆ อยู่ จนเดี๋ยวนี้หนังสือที่ควรเอาไปเผาไฟเสียนั้น มันมีมากมายท่วมหัวแล้ว หนังสือที่ควรจะเก็บไว้มีไม่กี่เล่มหรอก ก็โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์รายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ก็ยิ่งดูเหอะ ไปดูเอาเองก็แล้วกัน แล้วจิตใจของผู้อ่านจะเป็นอย่างไร ใครพูดเรื่องกามารมณ์ด้วยวิธีศิลปะซ่อนไว้อย่างแนบเนียน แล้วก็คนนั้นก็มีชื่อเสียงเป็นนักประพันธ์เอกแล้ว
แล้วการสอนเรื่องเพศศึกษานี่ก็เหมือนกัน มันไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ มันเป็นเรื่องทำให้ตกหลุมพรางของพญามาร ถ้าเราสอนเรื่องเกี่ยวกับเพศแต่เด็ก ๆ นี่ เด็กจะรับเอาไว้แต่ส่วนที่มันมีความหมายเกี่ยวกับเพศ ส่วนวิชาแท้ ๆ มันไม่ได้รับเอา
ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ลองทำจิตใจให้เป็นธรรมะ เป็นธรรม เป็นยุติธรรม แล้วลองสังเกตตัวเองดูเถอะ ว่าเมื่อเด็ก ๆ อ่านหนังสือเรื่องที่มันเป็นวิชาความรู้ แม้แต่วิชาหมอ แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศนะ ไอ้ส่วนที่เกี่ยวกับเพศนี่จะติดอยู่ในความจำอย่างยิ่ง ลืมยาก ไอ้ส่วนที่เกี่ยวกับวิชาล้วน ๆ นี่มันไม่ค่อยอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องส่งเสริมไปโดยไม่รู้สึกตัว ให้ความสะดวกที่จะทำอย่างนั้น
แล้วครูผู้สอนก็เล่นไม่ซื่อ ผู้ที่ทำตำราเรื่องนี้ก็เป็นคนคดโกง ก็มุ่งจะขาย แล้วเด็กของเราก็เลยมึนเมาในเรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ไปตั้งแต่เล็ก มันก็ต้องเกิดเรื่องชิงสุกก่อนห่ามขึ้นเป็นธรรมดา นี่คือเรื่องที่จะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวง ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด ไอ้เรื่องเพศศึกษาที่ไปตามก้นฝรั่งมาอีกแขนงหนึ่งนี่ ถ้าควบคุมไม่ดีแล้วก็จะมีโทษทั้งนั้นเลย ไม่มีคุณ ทั้งครูทั้งศิษย์ก็จะติดยาเสพติดตัวนี้ จนกระทั่งว่าเขาโตขึ้นมาเป็นผู้จัดการศึกษาเสียเอง ก็จะยิ่งให้โอกาสแก่วิชาอย่างนี้มากขึ้น
เอ้า, ทีนี้ดูไปทางไอ้ความรู้สึกที่เคยเป็นปัญหาไม่รู้จบ เรื่องศิลปะนั่นน่ะ เป็นศิลปะหรือเป็นอนาจาร ไอ้สิ่งที่เคยเป็นอนาจารเมื่อแต่ก่อน เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ตาม เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอนาจาร เป็นศิลปะไปหมดแล้ว สิ่งลามกอนาจารกลายเป็นศิลปะที่ไม่ผิดกฎหมาย หรือว่าไม่ตำหนิติเตียนกันแล้ว จิตใจมันจะสูงขึ้นหรือมันจะต่ำลง
ในทางรูปภาพก็ดี ในทางตัวหนังสือหนังหาวรรณคดีก็ดี การประดับประดาบ้านเรือนก็ดี ศิลปินอื่น ๆ ก็ดีนี่ มันพยายามทำให้เรื่องลามกอนาจารนั่น กลายเป็นศิลปะ จัดมาตรฐานกันใหม่เป็นศิลปะหมด นี่ระบาดเข้ามาในวัดในวา ทำความยุ่งยากลำบาก พระเณรบางองค์ก็บอกว่ามันเป็นปฏิทิน แล้วก็ศิลปะ ที่จริงมันเป็นเรื่องลามกอนาจาร อยู่ที่ปฏิทินนั่น เขาว่าเป็นเรื่องศิลปะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังนะ จนไม่รู้จะป้องกันกันอย่างไรไหว วิทยุก็ดี โทรทัศน์ก็ดี ซ่อนลามกอนาจารไว้อย่างแนบเนียน ในความหมายของศิลปะ แล้วคนจะเป็นอย่างไร
นี่ไหน ๆ ก็ได้พูดกันแล้ว ก็พูดกันเรื่อยไปหละ เพราะมันมีวันเดียวในปีหนึ่งที่จะพูด อย่างที่เขาเรียกกันว่า อะไร "ระบาย" หมดเลย ไม่ได้เหลืออะไรไว้ เพราะว่ามันเป็น “วันล้อ"
ที่น่าหัวที่สุดที่ว่าการศึกษาสมัยนี้มันเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ มันให้กันอย่างไรจึง ทำไมลูกเด็ก ๆ ไปนิยมยาเสพติด แล้วที่ประหลาดที่สุดก็นักเรียนหญิง เด็กหญิง นักเรียนหญิงนี่กลับไปหลงใหลในยาเสพติด มันน่าจะเป็นนักเรียนชายอย่างเดียวมากกว่า จะเป็นเฮโรอีนหรือเป็นอะไรที่มันร้ายไปกว่านั้น จนทำให้หมดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไป เหลือแต่ความสบาย สบายบอกไม่ถูกนะ ให้การศึกษากันอย่างไร จึงไปหลงใหลในเรื่องยาเสพติด
ในประเทศที่ก้าวหน้า ที่เจริญแล้วก็มีปัญหาเรื่องนี้ เมื่อไม่กี่ปีนี้มันไม่มี ปัญหาเรื่องประชาชนชอบยาเสพติดขนาดร้ายแรงอย่างนี้ยังไม่มี เพิ่งมีเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเราก็ไปมองว่าให้การศึกษากันอย่างไรคนจึงโง่ขนาดเที่ยวไปหลงในยาเสพติด เป็นพระเจ้าไปเลย
โดยสรุปแล้วก็คือว่าไม่มีการศึกษาในทางฝ่ายจิต หรือฝ่ายวิญญาณ ให้การศึกษาแต่ฝ่ายเนื้อหนังร่างกายไปหมด จนมีคนพูดว่าพวกฝรั่งเขาพยายามจะทำยา ยาเม็ด กินเข้าไปแล้วจะรู้สึกสบายเหมือนกับไปนิพพาน เขาว่าอย่างนี้ นี้มันก็เป็นเรื่องสูบกัญชามากกว่า มีรสชาติของคนสูบกัญชาสูงสุด กินเข้าไปแล้วก็รู้สึกอย่างนั้น ก็เลยติดกันมาก ติดยาเสพติดกันมาก
การศึกษาให้กันอย่างไร คนจึงได้ คนในโลกจึงพลัดไปตกลงไปในเหวอันนี้ เหวในความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านเรียก ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจกลายเป็นเหว นอกนั้นก็ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว เรื่องผมเรื่องเผ้า เรื่องนิสัยที่เห็นแก่ตัว ทำขยะกันเต็มบ้านเต็มเมือง หาคนกวาดขยะไม่ได้ ต้องยกไว้ให้เทศบาลหรือผู้มีหน้าที่ เจ้าของบ้านกวาดขยะไม่ได้ เป็นเรื่องที่น่าหัว เมื่อก่อนนี้เราก็กวาดกันเองได้ เดี๋ยวนี้ต้องให้ภารโรงกวาด หรือว่าต้องให้เจ้าหน้าที่กวาด แล้วมันจะกวาดไหวเหรอ คนทุกคนไม่มีนิสัยรักความสะอาดเรียบร้อย มันก็ทำสกปรก ขยะมูลฝอยมากจนบ้านเมืองมันรก จนต้องออกกฎหมายบังคับลงโทษ คิดดูให้การศึกษากันอย่างไรจนคนไม่รักความสะอาด
เราเคยเป็นเด็กนักเรียนสมัยที่ต้องกวาดโรงเรียนเองกันทุกวัน และทำงานหนักมาก รื้อขนนั่นนี่ จัดโรงเรียนจัดของที่ว่ามันเกี่ยวกับโรงเรียน เดี๋ยวนี้เขามอบไว้ที่ภารโรง นั่นแหละคือทำให้เด็กเสียนิสัย เด็กจับไม้กวาดไม่ได้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของภารโรง เด็กมันก็ยืนชี้นิ้วให้ภารโรงกวาด อย่างนี้อาตมาเห็นว่ามันเป็นการศึกษาที่หลับตา ไม่สร้างนิสัยที่ดีให้แก่เด็ก ๆ เลย
นี่ก็เป็นเรื่องที่ว่าน่าสมเพช สังเวชการศึกษาของโลกในสมัยปัจจุบันนี้ ทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิทุกอย่างทุกประการ ว่าเราไม่มีหน้าที่กวาด ต้องภารโรงกวาด อย่างนี้อาตมาถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว โดยที่แท้เราก็ต้องกวาดกันทุกคน เพราะว่าเราเป็นผู้ทำให้มันรกขึ้นมา แล้วเรายังควรจะช่วยกวาดให้ผู้อื่นด้วย นี่เป็นมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่เรื่องกวาดขยะบ้านเรือน นิสัยอย่างนี้มันมากขึ้น ๆ บ้านเรือนของส่วนตัวมันก็จะรก มันก็ต้องจ้างคน ก็ต้องหาเงินมากขึ้นไปอีก มันก็ยุ่งต่อ ๆ ๆ กันไปเป็นลำดับ
เอาอย่างนี้ก็มองอีกทางหนึ่งว่า คนเหล่านี้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาในลักษณะอย่างนี้ เขามองเห็นศาสนาเป็นอะไรไป มองเห็นธรรมะเป็นอะไรไป เอาของจริงเป็นหลักก็แล้วกัน มองดูคนสมัยนี้ที่ได้รับการศึกษาอย่างใหม่นี้ อย่างใหม่เอี่ยมนี้ เขามองเห็นธรรมะกันในรูปไหนกัน
ส่วนใหญ่ก็มองเห็นธรรมะเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ ถ้ามาประพฤติธรรมะแล้วมันถ่วงความเจริญ ไม่ก้าวหน้า ไม่ได้สนุกสนาน หรือว่าจะทำให้ยากจน ถึงกับว่าศาสนานี่จะทำให้คนสันโดษ ไม่ก้าวหน้า ล้าหลัง ทำให้ยากจน นี่มันเป็นเรื่อง "ตู่" อย่างหลับหูหลับตา เป็นเรื่องใส่ไคล้แก่พระธรรม ให้พระธรรมกลายเป็นของน่ารังเกียจไป ก็ดูคนที่สนใจในพระธรรมหรือในพระศาสนาโดยจิตใจแท้จริง มันมีกี่คน นอกนั้นมีแต่คนระแวงหรือเกลียด ว่าธรรมะหรือศาสนาจะทำให้เขาไม่ทันเพื่อน ถ้าใครมาวัดบ่อย ๆ ก็จะไม่ทันเพื่อน จะเสียเปรียบเพื่อน แม้แต่ที่จะไปหาหอยหาปลาของคนยากจน ไม่ได้รู้ว่าไอ้ธรรมะศาสนานี่มันจะช่วยปัดเป่าความทุกข์ข้างใน ในเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ
เรื่องการอาชีพนั้นต้องทำแน่ แต่แล้วจะมีอะไรมารับประกันว่าจะไม่ให้จิตใจมันเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมาในการประกอบอาชีพนั้น นั่นแหละคือประโยชน์ของธรรมะของศาสนา เราจะต้องทำอะไรไปตามหน้าที่ที่ธรรมชาติบังคับให้มนุษย์ต้องทำ ซึ่งมันจะต้องเกิดความทุกข์ ความเจ็บปวด ความทุกข์ทนอะไรขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา แล้วอะไรจะช่วยแก้ไขในส่วนนี้ ต้องธรรมะที่ถูกต้อง รู้จักคิดรู้จักนึกในทางที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่นให้มาหนักอยู่ในจิตในใจ ให้เกิดความทุกข์ นี่เขาไม่มองเห็นประโยชน์อันสูงสุดของพระธรรม มองแต่เงินแต่ของ แต่การได้วัตถุกันเสียหมด เลิกพูดเสียทีที่ว่าอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อนแล้วจึงจะมาศึกษาธรรมะ
จะพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองที่ตรงนี้ ว่าที่กรุงเทพฯ นั่นแหละที่เป็นมาก พูดกับคนที่มาจากกรุงเทพฯ ด้วย ก็ที่มาจากกรุงเทพฯ มาฟังอาตมาพูด ว่าที่กรุงเทพฯ เป็นมากในข้อที่ว่าอิ่มปากอิ่มท้องเสียก่อน จึงจะมาสนใจธรรมะ สนใจศาสนากัน ที่บ้านนอกไม่ค่อยคิดอย่างนี้ ยิ่งในป่า ในบ้านนอกยิ่งไม่ค่อยคิดอย่างนี้ อย่างน้อยก็หวังพึ่งธรรมะ หวังพึ่งศาสนาอยู่ในใจ ไม่ตั้งข้อรังเกียจธรรมะว่าเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ เพราะฉะนั้นคนที่กรุงเทพฯ จึงสนใจเรื่องหากินมากกว่าที่จะสนใจพระธรรม
ถ้าเกิดความทุกข์ความร้อนขึ้นมา ก็ไปหาผีสางเทวดา พระภูมิเจ้าที่ หมอดู หมออะไรต่าง ๆ ไปโน่น ไม่หันมาหาธรรมะที่จะช่วยดับความทุกข์ในใจ หรือพูดว่าความโง่ยังมีอยู่ที่กรุงเทพฯ มากกว่าที่ในป่าในดง โดยไปหาเรื่องพระธรรมว่าทำให้คนยากจน และสนใจเรื่องปากเรื่องท้องก่อนแต่ที่จะสนใจพระธรรม
อย่าใส่ไคล้พระธรรมกันนักเลย ท่านผู้เห็นแก่ปากแก่ท้องทั้งหลายเอ๋ย อยากจะพูดอย่างนี้ ขออภัยให้โอกาสวันนี้ที่เป็นอิสระหน่อย พระธรรมนั้นป้องกันอย่างยิ่งป้องกันความยากจน แต่กลับไปเห็นว่าทำให้ยากจน ช่วยไปดูกันให้ดี ๆ อย่าให้กลับตาลปัตรกันอย่างนี้ พระธรรมนั้นป้องกันความยากจน
พระพุทธเจ้าได้สอนไว้โดยเฉพาะเลย เกี่ยวกับฆราวาสด้วยว่าจะไม่จนได้อย่างไร สอนเรื่องสัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ สอนเรื่องฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา กระทั่งเรื่องโพชฌงค์ สำหรับไปนิพพานนี่ ก็เอามาใช้เป็นเครื่องป้องกันความยากจนในทางทรัพย์สมบัติก็ได้ พูดแล้วไม่มีใครเชื่อ แต่มันก็ต้องอธิบายกันยืดยาวเหมือนกัน
“โพชฌงค์” องค์แห่งความตรัสรู้แล้วทำให้ไปนิพพาน ก็เอามาใช้ป้องกันความยากจนตามบ้านตามเรือนนี้ได้ ในเมื่อรู้ความหมายให้ถูกต้อง
โพชฌงค์ข้อ 1 มีสติ นึก รอบรู้ ทั่วถึงทุกสิ่งทุกอย่าง และธรรมวิทยะ เลือกเอามาให้ถูกต้องว่าเราควรจะใช้ข้อไหน แล้วก็มีวิริยะพากเพียรในข้อนั้น แล้วมีปีติปราโมทย์หล่อเลี้ยงความพากเพียรไว้ อย่าให้มันถอยหลังเสีย มันก็เป็นปรัสธิ (นาทีที่ 81.39) เข้ารูปเข้ารอยสงบระงับลง มันก็เป็นสมาธิ คือแน่วแน่ เป็นกำลังทางจิตใจที่แน่วแน่ แล้วมีอุเบกขา ไม่ต้องร้อนรนในจิตใจ ปล่อยไปมันก็ก้าวไปตามลำดับ ๆ จนถึงที่สุดสมความประสงค์
นี่เป็นหลักปฏิบัติสำหรับไปนิพพาน แต่เอามาใช้สำหรับอยู่ในบ้านในเรือน โดยความเป็นผาสุกก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออุเบกขา เมื่อเราได้ทำสิ่งต่าง ๆ เข้ารูปเข้ารอยถูกต้องแล้ว มันก็ต้องรอกันบ้าง อย่า อย่าหิวจนนอนไม่หลับ คือรอไมได้ นั่นน่ะจะเป็นโรคเส้นประสาทหรือจะเป็นโรคจิต ถ้าเรียกทางธรรมะ เขาเรียกความหิวนี้ว่าเป็นอาการของเปรต
ถ้าเราหิว มันไม่มี ไม่มีความหมาย หิวอย่างทะเยอทะยานแล้วก็เรียกว่ามีอาการของเปรต คือหิวท่าเดียว ธรรมะมันป้องกันไปหมดแหละ ป้องกันไม่ให้เป็นเปรต แล้วก็ช่วยให้ประสบความสำเร็จ ในการงานชนิดไหนก็ได้ นี่เรียกว่ามันป้องกันความยากจนก็ได้ หรือป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ ในเมื่อเราต้องประกอบอาชีพการงาน ถ้าจนอยู่ก็จะหายจนเร็วขึ้นเพราะการปฏิบัติธรรมะถูกต้อง
มีธรรมะแม้จะจนทรัพย์สักหน่อย นั่นแหละคือมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีมีเงินมากแต่ขาดธรรมะ มันก็หิวเป็นเปรต ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ แล้วจะเรียกว่ามันสบายอย่างไร มีจิตใจอย่างมหาเศรษฐีได้อย่างไร มันต้องรู้พอ รู้อิ่ม และถ้ามีเงินมากด้วย แล้วก็มีธรรมะด้วยมันก็เป็นมหาเศรษฐีอย่างยิ่ง แต่แม้ว่าจะยากจนทรัพย์บ้าง แต่ถ้ามีธรรมะเต็มเปี่ยม มันก็ยังเป็นมหาเศรษฐีอยู่ทางหนึ่ง คือในทางวิญญาณ มีความสุข มีความพอใจ ไม่มีความทุกข์เลย
นี่พระพุทธศาสนาต้องการจะให้บุคคลทั้งหลายรู้จักธรรมในเรื่องนี้ก่อน คืออย่าให้เป็นทุกข์ได้ นอกนั้นก็ค่อยแก้ไขไป แก้ไขไป แต่ส่วนภายในแท้จริงอย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาได้ นี่ขอให้พยายามกันให้อย่างยิ่งในข้อนี้ จะถูกตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอย่าได้มีความทุกข์เลย คนจนก็อย่ามีความทุกข์เลย คนมั่งมีก็อย่ามีความทุกข์เลย คนกลาง ๆ ก็อย่ามีความทุกข์เลย เพราะมันมีธรรมะที่แน่นอนที่สุด ที่จะป้องกันไม่ให้รู้สึกเป็นทุกข์
เมื่อเราจนเราก็หัวเราะความจนแล้วก็ทำงานทำการไปสิ ไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่เท่าไหร่ความจนมันก็จะหายไป มันจะเกิดอุบัติเหตุวิบัติอะไรแทรกแซงเข้ามา มันก็เป็นชั่วขณะเท่านั้น ไม่เท่าไหร่มันก็หายไปอีก เราก็หัวเราะได้เรื่อย ต่อสู้ความจนขึ้นมา จนพ้นจากความจน นั่นแหละคือประพฤติธรรมะ ถ้าไปทุกข์ไปร้อนหรือไปร้องไห้ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่มีธรรมะ คือถ้าเกิดกลับตาลปัตรว่าไม่เอาแล้ว ขโมยดีกว่า ทำคอรัปชั่นดีกว่า อย่างนี้ก็ยิ่งไม่มีธรรมะหนักขึ้นไปอีก ในที่สุดมันก็วินาศ ถึงความวินาศ
ขอให้ถือว่าธรรมะมีแล้วก็จะเป็นผู้ชนะความจน ชนะความโง่ ชนะทุกอย่างที่จะต้องชนะ ถือว่ามันจะช่วยให้หัวเราะได้ ไม่มีความทุกข์ ไม่ใช่หัวเราะแก้เก้อ หัวเราะเพราะว่ารู้จริง เห็นจริงเข้าใจจริง ๆ แล้วก็หัวเราะได้ กระทั่งหัวเราะความตาย หัวเราะเยาะความตาย นี่ประโยชน์อันแท้จริงของธรรมะมันมีถึงอย่างนี้ ไม่ให้จนทรัพย์ แล้วก็ไม่ให้จนความสุขทางจิตทางวิญญาณ คือว่าทางวัตถุก็ไม่จน ทางวิญญาณก็ไม่จน ธรรมะจริงต้องเป็นอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มันกำลังระส่ำระสายปนเปกันไปหมด ดูทางร่างกายก็ไม่สมประกอบ แสดงว่าสุขภาพไม่ดี มันมีวิตกกังวล นอนไม่ค่อยหลับ แล้วทรัพย์สมบัติก็ใช้ไม่เป็น ในทางจิตทางวิญญาณก็ไม่หาความสงบสุขได้ บางทีไปทำผิด ๆ ถูก ๆ สับสนปนเปกันหมด ตั้งใจว่าจะให้เกิดผลทางวิญญาณ มันก็ไม่เกิด ในทางวัตถุมันก็เสียไป นี่เรียกว่าทำผิดหมด ก็เลยไม่มีใครจะถือคำแนะนำของบุคคลนั้นว่าธรรมะนี้ดี เพราะมันพิสูจน์ว่าคนนั้น ผู้พูดนั้นก็เอาชนะอะไรไม่ได้
นี้ขอให้ระวังเป็นพิเศษว่าคนแก่ ๆ ที่จะดึงลูกหลานไปในทางของธรรมะนั้น พยายามทำให้ตัวมีธรรมะ แล้วเด็ก ๆ มันจะเดินตามเอง จะง่าย ถ้าพ่อแม่ไม่รู้ว่าธรรมะอย่างไร ตั้งตัวอย่างไร แล้วจะให้เด็กมีธรรมะ มีธรรมะก็พูดแต่ปาก เด็กมันก็เดินไม่ถูก เรื่องนี้ก็นึกถึงนิทานแม่ปูลูกปูที่เล่ากันเป็นของธรรมดาไปแล้ว
ทีนี้อีกทางหนึ่งซึ่งมันกลับกันอยู่ คือลูกเกิดไปรู้ธรรมะ เข้าใจ เข้าถึงธรรมะเข้า แล้วพ่อแม่ยังงมงายอยู่ตามเดิม ไอ้ลูกนั้นมันอยากให้พ่อแม่มีธรรมะ มันก็ลำบากอีก เหมือนกับเข็นครกขึ้นภูเขา แต่เรื่องมันไม่ยาก ให้ลูกนั่นแหละ อย่าเพิ่งไปสอนพ่อแม่ด้วยปาก ให้สอนโดยทำให้ดูดีกว่า ไอ้ตัวลูกนั่นแหละก็ปฏิบัติธรรมะให้ดี ให้ตำตาพ่อแม่ ที่ไม่ชอบธรรมะอยู่เสมอ นี่มันก็จะทำให้เกิดความสนใจ ถ้ามีเวลาก็พูดกันก็พูด นี่ก็จะดึงพ่อแม่แก่เฒ่า ไม่รู้จักธรรมะ มาหาธรรมะ รู้จักธรรมะได้โดยลูก มันมีอยู่สองกรณีอย่างนี้ บางทีพ่อแม่ต้องดึงลูก บางทีลูกต้องดึงพ่อแม่ มันแล้วแต่ว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไร
ในที่สุดอานุภาพของธรรมะจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ อย่าไปโทษธรรมะ อย่าจัดธรรมะไว้เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่วยตัวเองไม่ได้ ไอ้เราต่างหาก ไม่ ๆ ๆ ถึงธรรมะ ไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่รู้จักใช้ธรรมะให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง
ศัตรูของธรรมะเดี๋ยวนี้มีมากขึ้นในโลก อาตมาพูดประโยคอย่างนี้ก็เพื่อให้มันลืมยาก ทีนี้ศัตรูของธรรมะมันมีมาก หนาแน่นขึ้นมาในโลก แต่มันก็ไม่ ไม่เสียหาย หรือไม่ขาดทุนแก่ธรรมะ มันไปเสียหายหรือขาดทุนแก่บุคคลที่อยู่ในโลก ที่จะใช้ธรรมะเป็นเครื่องแก้ปัญหา
ไอ้ตัวธรรมะจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไรก็ไม่ทราบ มันขาดทุนไม่ได้ มันมีกำไรไม่ได้ คือมันไม่รู้จักได้ ไม่รู้จักเสียกับใคร มันเป็นกฎเกณฑ์ที่ตายตัวอย่างนั้นแหละ อย่างนี้เขาพูดกันก็ถูกว่าไอ้ตัวธรรมะจริง ตัวศาสนาจริงนั้นไม่ได้เสื่อมหรือมันไม่ได้เจริญ ธรรมะจริง ๆ มันเสื่อมหรือมันเจริญไม่ได้ แต่ที่ตัวบุคคลผู้ที่ปฏิบัติธรรมะนั่น มันเสื่อมหรือเจริญได้ หมายความว่ามันมีธรรมะน้อยหรือมีธรรมะมาก หรือมันไม่มีธรรมะเลย มันอยู่ที่ตัวบุคคลต่างหาก แต่คำพูดของเรามันไปหลอกลวงตัวเอง ตัวผู้พูด พูดว่าธรรมะเสื่อม ธรรมะเจริญ ศาสนาเสื่อม ศาสนาเจริญ ศีลธรรมเสื่อม ศีลธรรมเจริญ อย่างนี้ฟังผิดก็ได้ มันอยู่ที่คนที่ปฏิบัติธรรมะ มันเสื่อมหรือว่ามันเจริญ
ทีนี้เรามันไปหลงศัตรูของธรรมะที่มีมากขึ้นในโลกนี้ ก็คือวัตถุนิยมนี่สอนลูกเด็ก ๆ ให้พูดเป็นกันสักที ว่าวัตถุนิยมเป็นศัตรูของธรรมะ แล้วมองไม่เห็นไอ้ของที่น่าหัวอันหนึ่งว่า ไอ้เทวดากับเปรตนั่นน่ะมันเหมือนกัน คนชอบเทวดา ไม่อยากเป็นเปรต เกลียดเปรต แต่ถ้าบอกว่าไอ้เทวดากับเปรตนี่มันเหมือนกัน คือมันหมายถึงความหิว ถ้ามีความหิวมาก ความอยากมาก ดิ้นรน เร่าร้อนเพราะความหิว นั่นมันเป็นเปรต
นี่พวกเทวดา มันก็มีความหิว มีความต้องการมาก มันดีหน่อยเดียวที่เผอิญมันได้ มันมีโอกาสที่จะได้ตามต้องการนี่ สมมติว่าเป็นลูกของคนมีเงินมาก มีรถยนต์ขี่ มีอะไรมาก จะแต่งตัวให้สวย ๆ อย่างไรก็ได้ จะไปเที่ยวที่ไหน ไปน้ำตก ไปทะเลก็ได้ ไปอะไรก็ได้ แต่ว่าความหิวในจิตใจมันไม่ได้หยุด มันหิวกระหายอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นในความหิวนั้นมีความเป็นเปรต
ในการที่แต่งตัวสวยงาม มีเงินใช้มาก ทำอะไรได้ตามความพอใจอยู่นั้น ก็เรียกว่าเป็นเทวดา ถ้าเราไปดูที่ชายหาด ชายทะเลตากอากาศ บางคนจะรู้สึกว่าเต็มไปด้วยเทวดา สวย ๆ งาม ๆ แต่ถ้าดูในจิตใจของเขาแล้วมันเป็นเปรต มันหิวกระหายด้วยกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องเพศเรื่องกามารมณ์ มันเป็นเปรต แต่รูปร่างข้างนอกเราไปหลงว่าเป็นเทวดา นี่คือความที่ไม่รู้จักธรรมะ ไปเห็นเทวดาเป็นเปรต เห็นเปรตเป็นเทวดา กลับกันเสีย
ตรงที่ตรงไหน เป็นที่ที่เขาไปหาความสำรวยสำราญกันมากนี่ดูให้ดีเถอะ มีแต่ฝูงเปรตอยู่ข้างในร่างของเทวดา มันหิวกระหายทนอยู่ไม่ได้ ต้องเอาเงินไปถลุง ถ้าจะต้องไปทำบุญทำทาน สงเคราะห์คนยากจนอนาถา ไม่ยอม จะเอาเงินนั้นไปใช้เพื่อความเป็นเปรตในร่างเทวดาตามชายหาด ตามน้ำตก ตามอะไรต่าง ๆ ที่มันมี เห็นอยู่แล้วไปดูรูปหนังสือพิมพ์ที่ถ่ายมา แล้วก็มองดูให้ออกว่ามันเป็นเปรตหรือมันเป็นเทวดา จิตใจแคบ เห็นแก่ตัว เงินนั้นใช้เพื่อสงเคราะห์คนจนไม่ได้ ใช้เพื่อความอยาก กิเลสตัณหาของตนได้ หิวไม่มีที่สิ้นสุด ได้อย่างนี้แล้วจะเอาอย่างนั้น ได้อย่างนั้นแล้วจะเอาอย่างโน้น เที่ยวเมืองนี้แล้วเที่ยวเมืองโน้น เที่ยวประเทศนี้ แล้วจะเที่ยวประเทศโน้น ด้วยความหิว
ความหิวต้องเป็นเปรตเสมอ แล้วจะต้องเห็นแก่ตัว แล้วก็จะต้องทำไปในลักษณะที่จะเพาะเชื้อคอมมิวนิสต์ขึ้นมาในหมู่คณะนั้นเอง ในประเทศนั้นเอง เพราะถ้ามีคนเห็นแก่ตัวมาก ไม่มีใครเห็นแก่คนอื่นหรือคนยากจนแล้ว มันจะเพาะเชื้อที่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ขึ้นมาในประเทศนั้นเอง ไม่ต้องรับมาจากไหน นี่โทษของความที่ไม่มีธรรมะ แล้วก็เห็นแก่ตัว ไม่รู้จักเห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ
นี่ไม่ใช่เรื่องด่า เป็นเรื่องบอกให้ดูความจริงอะไรบางอย่างที่กำลังจะเป็นอันตราย เป็นพิษสงอันร้ายกาจขึ้นมา อย่าไปหลงสำคัญผิด และอย่าไปเป็นเทวดาชนิดนั้นเสียเอง ไปเที่ยวหัวเราะอยู่ กลับมาถึงบ้านก็นอนเป็นทุกข์ ไฟไหม้ในใจอยู่ อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นเทวดาชนิดไหนกัน
ไอ้คำเปรียบเทียบ ๔ อย่างของอบายนั้น ควรจะจำกันไว้ ถ้าร้อนก็เป็นสัตว์นรก ถ้าหิวก็เป็นเปรต ถ้าโง่ก็เป็นเดรัจฉาน ถ้ากลัวก็เป็นอสุรกาย สิ่งที่เราเรียกว่าอบาย มีอยู่ ๔อย่างดังนี้ นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ร้อนใจคือสัตว์นรก โง่คือสัตว์เดรัจฉาน หิวคือเปรต ขี้ขลาดคืออสุรกาย ขอให้ทุกคนอย่าได้เป็นอย่างนี้ ด้วยอำนาจของธรรมะ มีธรรมะเพียงพอที่จะขจัดความรู้สึกอย่างนี้ออกไป เดี๋ยวนี้มันกระหายทางวัตถุนิยม คือเรื่องวัตถุ เรื่องเนื้อเรื่องหนังไปเรื่อยนั่นล่ะจะได้เป็นเปรต ไปเรื่อย ไม่มีหยุดไม่มีหย่อน
มันพูดลำบาก ถ้าเป็นอย่างสมัยเมื่อสักร้อยปีมาแล้ว คนจะได้ไปเที่ยวน้ำตกหรือชายทะเลสักหนหนึ่งค่อนข้างยาก แม้เป็นคนรวยเขาก็ยังไม่ค่อยไป เป็นเจ้านายเขาก็ยังไม่ค่อยไป เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปรวยกันนักหนาอะไร ก็อยากจะไปเที่ยวไอ้ที่อย่างนั้น ไปทุกเดือน ทุกอาทิตย์หรือทุกวันได้ก็ยิ่งดี มันเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้ อย่างสมัยอาตมาเป็นเด็ก ๆ นี้จะได้ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจสักทีหนึ่ง ก็ตั้งเดือนหนึ่งหรือตั้งหลายเดือน เดี๋ยวนี้เขาจะไปกันทุกวัน ทุกสัปดาห์อย่างน้อย คนหนุ่ม ๆ สมัยนี้เป็นอย่างนี้ โลกมันเปลี่ยนมากไปในทางที่ให้เป็นทาสของวัตถุนิยมยิ่งขึ้น
ในที่สุดก็พอจะเข้าใจได้ว่า ในโลกชนิดนี้มันหาสันติภาพไม่ได้ ไม่มีใครรู้จักสันติภาพ ไม่มีใครต้องการสันติภาพ ทุกคนต้องการความสุขทางเนื้อทางหนังส่วนตัว แล้วก็คิดว่านั่นแหละยอดปรารถนา คนอื่นจะเป็นอย่างไรไม่รู้ โลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เขามีเงิน มีอำนาจ มีอะไร เขาก็ใช้กับตัวเขาได้รับสิ่งที่กิเลสของเขาต้องการ เรียกว่าความสุข แต่มันเป็นความสุขร้อน สุขเผาลน ไม่ใช่สุขเย็น เดี๋ยวนุ่งผ้ากันบ้าง เดี๋ยวนิยมไม่นุ่งผ้ากันบ้าง เดี๋ยวก็จะกลับนิยมมานุ่งผ้ากันอีกก็ได้ ที่เขาไม่นุ่งผ้ากันน่ะ เขาก็คงคิดว่ามันเป็นความสุข เขาต้องการความสุข แต่ในที่สุดมันก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นความสุข มันก็หันกลับมานุ่งผ้าอีก
นี่มันเสียเวลา ด้วยอำนาจที่ว่าไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ความทุกข์คืออะไร ความสุขคืออะไร ธรรมะคืออะไร กิเลสคืออะไร ล้วนแต่ไม่รู้ ขอให้มีธรรมะเป็นหลัก มีคำว่าธรรมะเป็นหลัก และมีการปฏิบัติธรรมะเป็นหลัก มีผลของธรรมะเป็นหลัก
ถ้าบ้านใครมีศาลพระภูมิ ไปเรียกเสียใหม่ว่าเรือนพระธรรม การที่ไปเรียกว่าศาลพระภูมินั้นมันติดยี่ห้อว่าเป็นคนโง่ คนไม่รู้ ไม่รู้จักที่พึ่งอันแท้จริง ศาลพระภูมินั้น ไปเรียกเสียใหม่ว่าศาลพระธรรม เรือนพระธรรม ให้พระธรรมนี้มันเป็นหลักอยู่ที่บ้านเรือน จะใช้ชื่อว่าพระภูมิก็ได้ เพราะว่าภูมินี้แปลว่าแผ่นดิน
แผ่นดินนี้แปลว่ารากฐาน พื้นฐานอันล่างสุดสำหรับรองรับ หรือเรามีธรรมะนั่นแหละเป็นเหมือนแผ่นดิน มีธรรมะเป็นเหมือนกับเครื่องรองรับเหมือนแผ่นดิน ทีนี้ศาลนี้ก็คือศาลพระธรรม แต่ให้มีความหมายอย่างเดียวกับแผ่นดิน เรียกว่าศาลพระภูมิ แต่อย่าถือความหมายเหมือนกับที่เขาถือ ๆ กัน
ศาลพระภูมิเป็นที่อยู่ของผี ของอะไรอย่างหนึ่ง แต่เป็นผีที่ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ นกกระจอกมาขี้รดก็ไม่ทำอะไร สุนัขมาเยี่ยวรดก็ไม่เห็นทำอะไร แล้วก็จะไปพึ่งผีอย่างนั้นได้อย่างไร ก็ต้องพึ่งพระธรรม เป็นศาลของพระธรรมคือความถูกต้อง
ทำศาลพระภูมิไว้สวยใหญ่กันทั้งนั้น ไปเรียกชื่อเสียใหม่ว่าศาลพระธรรมหรือเรือนพระธรรม ให้จิตใจมันเปลี่ยนไปว่าเราจะยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ผีหรือเทวดาอะไรชนิดนั้น ไม่ต้องเซ่นด้วยข้าวปลาอาหาร แต่ต้องเซ่นด้วยการปฏิบัติชอบด้วยกายวาจาใจของเราเอง ถ้าจะเซ่นพระธรรมก็ต้องเซ่นอย่างนั้น แล้วก็มีเรือนสวย ๆ ให้บ้านนี้มันมีเรือนพระธรรมก็แล้วกัน เมื่อรังเกียจที่จะไว้บนเรือนก็ไว้ที่ศาลภูมิข้างล่างเรียกว่าศาลพระธรรม เป็นวัตถุสะดุดตาอันหนึ่ง ที่ให้รู้ว่าเรามีเรือนพระธรรม หรือว่าคนต่างประเทศเขามาเห็นเรือนนี้ ถามว่านี่อะไร ก็บอกว่าเรือนพระธรรม ถ้าคนอื่นเรียกว่าศาลพระภูมิ เราก็แปลความหมายเสียใหม่ พระภูมิคือพื้นฐานที่จะช่วยไม่ให้ตกจมลงไปได้ นั่นคือพระธรรม
อาตมาอยากจะขอร้องอย่างนี้ ไม่ต้องรื้อทิ้งเพราะว่าซื้อมาแพง ก็เพราะว่ามันสวยดีอยู่แล้ว ก็ให้ความหมายที่ถูกต้องว่ามันเป็นเรือนพระธรรม ที่พูดนี้ก็หมายความว่าต้องการให้อะไร ๆ มันไปรวมอยู่ที่พระธรรมทั้งหมด ข้างนอก ข้างใน ข้างซ้าย ข้างขวา ข้างบน ข้างล่าง ให้มันรวมอยู่ที่คำว่า “พระธรรม” คำเดียว แต่ว่าที่สำคัญที่สุดก็คือที่กาย ที่วาจา ที่ใจแหละจะต้องมีพระธรรม
ไอ้ข้างนอกไม่มีพระธรรมจะได้ช่วยกันทั้งข้างนอก ข้างใน ทั้งทางตา ทางหู ให้ได้เห็นได้ยินเป็นเรื่องของพระธรรมไปหมด มันก็ดี ทีนี้เราอาจจะทำได้ โดยใช้ความเจริญ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ที่เขาใช้เพื่อเชือดคอตัวเอง เราเอามาใช้เพื่อจะเป็นประโยชน์แก่พระธรรมที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ ไอ้พวกที่เขาก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ หลงใหลอย่างวัตถุนั้น เขาก็มีไอ้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะทำลายเขา เชือดคอเขาให้ตายไปเลย นี่เราเอามาใช้หรือว่ายืมมาใช้ในลักษณะที่ตรงกันข้าม
ทั้งเครื่องมือสมัยใหม่ วิเศษอะไรต่าง ๆ นานา อย่างที่ใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้ เช่นไมโครโฟนนี้ ไม่ใช้ร้องเพลงบ้า ๆ บอ ๆ ใช้สำหรับพูดเรื่องพระธรรม เครื่องบันทึกเสียงนี่ ไม่เอาไปบันทึกเพลงสำหรับเต้นรำกันแล้ว เอามาบันทึกพระธรรม นี่ยกตัวอย่างว่าอะไรก็ตามที่มันเป็นความก้าวหน้าของสมัยใหม่นี้ เอามาใช้เพื่อประโยชน์แก่พระธรรม จะได้คุ้มครองสัตว์โลก คนอื่น คนอื่นเขาไม่ใช้ ไอ้เราก็จะใช้ เพราะว่าเรารู้จักใช้
เมื่อมีพระธรรมแล้วมันก็ไม่มีทุกข์ มันคุ้มครองได้หมด นี่อาตมาเอาชีวิตเป็นเดิมพันยืนยันอย่างนี้ ไม่เชื่อก็มาปรับเอาอาตมา ว่าพระธรรมนี้อย่างเดียวเท่านั้นแหละที่จะคุ้มครองได้ จะช่วยได้ อย่างอื่นไม่มี แต่ต้องเป็นพระธรรมที่ถูกต้อง รู้ถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พระธรรมอย่างยิ่ง พระธรรมอย่างสูงสุดนั่นก็คือ พระธรรมที่ทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร โดยความเป็นตัวกูของกู พระธรรม ๘๔,๐๐๐ ธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ ข้อ ๘๔,๐๐๐ เรื่อง
สรุปแล้วเหลือเป็นใจความสั้น ๆ เพียงประโยคเดียวว่าไม่อะไรที่ควรยืดมั่นถือมั่น เป็นตัวกูของกู แล้วจิตก็ไม่ได้ยึดมั่นอะไรเป็นตัวกูของกู มันก็เป็นความสงบสุขลงไปทันที ความทุกข์ทั้งหลายหายไปหมด เพราะไม่ได้ยึดมั่นอะไรโดยความเป็นตัวกูของกู ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความหิวเป็นเปรต ไม่เกิดอะไรทุกอย่างที่เป็นความทุกข์ นี่เรียกว่าธรรมะที่แท้จริง ช่วยได้ถึงอย่างนี้ ไม่มีตัวกูของกู ไม่มีตัวตนของตน
ถามว่าถ้าอย่างนั้นมีอะไร มันก็มี “อิทัปปัจจยตา” นี่เป็นคำใหม่ บางคนฟังไม่รู้เรื่องว่าอะไร แต่ว่ารู้ หลายคนก็รู้เรื่องขึ้น เพราะอิทัปปัจจยตาคือธรรมชาติอันแท้จริง เป็นกฎตายตัวว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เป็นเพียงธรรมชาติที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ ไม่อาจจะถือเอาเป็นเป็นตัวกูของกู หรือเป็นตัวตนของตน จึงมีแต่อิทัปปัจจยตา เรื่องนี้พูดกันเป็นเรื่องใหญ่สิบกว่าครั้ง เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่พูดอีก แต่ใจความมันอยู่ที่ว่าให้เห็นเป็นธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อมีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น นี่เรียกว่าพระธรรม หัวใจของพระธรรม
ถ้าใครมีหัวใจของพระธรรม คนนั้นไม่มีความทุกข์ ยกตัวอย่างว่าอะไรมันมาให้กลัว ก็ไม่วี้ดว้าย โวยวาย ตายแล้ว ไล่มันไปว่าอิทัปปัจจยตา มันออกมาในลักษณะอย่างนั้น มันเป็นอิทัปปัจจยตา มีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงออกมา แล้วก็ดูก็น่ากลัวสำหรับคนโง่ ไม่น่ากลัวสำหรับคนที่รู้จัก
สิ่งใดที่มายั่วให้รัก ก็โพล่งออกไปว่าอิทัปปัจจยตา สิ่งใดมายั่วให้โกรธ ก็โพล่งออกไปว่าอิทัปปัจจยตา ถึงจะมาทำให้กลัว ก็อิทัปปัจจยตา ไม่มีอะไร อิทัปปัจจยตา คำเดียวเป็นธรรมะอันศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ป้องกันได้หมด คุ้มครองได้หมด ไล่ผีได้ทุกชนิด
ถ้าเราเจ็บปวดขึ้นมา เป็นไข้ไม่สบาย ร้องครางโอยจะตายแล้ว โอยตายแล้วนี่มันคนโง่ คนฉลาดมันจะโพล่งออกไปว่าอิทัปปัจจยตา แล้วมันหายเจ็บ มันบรรเทาเจ็บ มันหายเจ็บ อิทัปปัจจยตา เพราะความที่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ จึงเกิดขึ้น อย่างนี้เราเป็นไข้ไม่สบายเจ็บป่วย มองเห็นอิทัปปัจจยตา มันก็ระงับลง เย็นลง ไม่นอนครางอยู่ว่าโอ๊ย ๆ จะตายแล้วบ้าง อะไรบ้าง ไปบนบานผีสางเทวดาช่วยที ๆ บางทีก็ตายเลย เพราะไปรดน้ำมนต์
ตกใจก็ร้องว้ายกันทั้งนั้นแหละ นี่ธรรมชาติ ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ ใครบ้างที่ว่าพอตกใจจะร้องว่าอิทัปปัจจยตาแทนที่จะร้องว่าว้าย ถ้ายังร้องว้ายอยู่ ยังเป็นพุทธบริษัทนิดเดียวหรือไม่เป็นเลยก็ได้ ถ้าอุทานออกไปว่าอิทัปปัจจยตานี่เป็นพุทธบริษัทเต็มตัวเลย เสียใจก็เหมือนกัน มันก็ไม่ต้องมาร้องไห้อยู่ มันอิทัปปัจจยตา แล้วก็หายเสียใจ หายร้องไห้
ทุกอย่างจะพอใจก็ดี จะผิดหวังก็ดี ฟังข่าวร้ายก็ดี ได้ข่าวดีก็ดี ถ้าปากมันโพล่งออกไปว่าอิทัปปัจจยตา แล้วคนนั้นเป็นพุทธบริษัทสูงสุด นี่อาตมาเอามาพูดให้เป็นที่รู้จักกันเสียทีว่าสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดของพระพุทธเจ้าที่ประทานให้แก่เราทั้งหลายนั้นคือสิ่งที่เรียกว่า “อิทัปปัจจยตา” ถ้าเป็นความรู้ก็รู้ว่ามันเป็นอิทัปปัจจยตา ถ้าปฏิบัติก็คือความไม่ยึดมั่นถือมัน เป็นตัวกูของกู พอมีสิ่งนี้แล้วก็หมดปัญหา คนเราจะไม่มีความทุกข์ ถึงจนก็แก้จนได้โดยกฎอิทัปปัจจยตา คือทำให้มันถูกวิธีเข้า มันก็แก้จนได้ ร่ำรวยขึ้นมาด้วยอิทัปปัจจยตา
ทีนี้คนที่มันทำผิด กลับจนลงไปก็เพราะว่าใช้อิทัปปัจจยตาฝ่ายผิด อิทัปปัจจยตาฝ่ายเสื่อม ใช้อิทัปปัจจยตาฝ่ายเจริญก็เจริญ ใช้อิทัปปัจจยตาฝ่ายหลุดพ้นว่างไปเลย มันก็หลุดพ้นว่างไปเลย นี่ที่ศาลพระภูมิควรจะเขียนไว้ว่าอิทัปปัจจยตาด้วย เพราะว่าเราให้เป็นเรือนของพระธรรม
ขอร้องให้ช่วยกันใช้คำว่าอิทัปปัจจยตามากขึ้น ๆ แทนคำว่าว้าย ว่าโว้ย ว่าตายแล้ว ว่าร้องไห้อยู่ฮือ ๆ นี่พอกันที มันน่าสังเวช น่าสมเพชที่ว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของปูย่าตายายที่เป็นพุทธบริษัท ไม่รู้จักปลงว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
คนโบราณเขาก็ยังพูดน่าฟัง พอมีอะไรเกิดขึ้นก็ว่าคุณพระช่วยบ้าง หรือบางทีก็พูดว่ามันสิ้นกรรมไปที ถ้าคนมันจะตายก็แล้วไม่เห็นว่าแปลกประหลาด ไม่นั่งร้องไห้เหมือนคนเดี๋ยวนี้ แต่ที่ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นให้ทันสมัยกว่านั้น อาตมาก็เสนอคำว่าอิทัปปัจจยตาคำเดียว จะใช้ได้หมดทุกกรณี ความทุกข์ก็ใช้ได้ในกรณีที่มีความทุกข์ ในกรณีที่ความสุขก็หัวเราะเยาะอิทัปปัจจยตา การได้ การเสีย การอะไรทุกอย่างมันตะเพิดกลับออกไปด้วยอิทัปปัจจยตา ไม่มีอะไรเข้ามากระทบกระเทือนจิตใจของเรานี่
ความที่เรายังเป็นพุทธบริษัทกันน้อยเกินไป นี่มันน่าสมเพช น่าเวทนา น่าสงสาร จึงเอามาล้อในวันนี้ ใครจะฟังเป็นคำด่า ไม่ถูก มันเป็นคำล้อให้นึกได้ แล้วมันก็จะละอายขึ้นมา มันก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในจิตใจของบุคคลนั้น อิทัปปัจจยตาคือหัวใจของพระธรรมที่แท้จริง
โลกนี้มันเต็มไปด้วยอนิจจัง มันจะ มันจะขบกัดเราเรื่อยไป เพราะโลกนี้มันเต็มไปด้วยอนิจจัง หลอกลวง มันจะขบกัดเราเรื่อยไป เราต้องมีของดีป้องกันไม่ให้มันขบกัดเราได้
ความเป็นอนิจจังนี่น่าใจหายนะ มันเปลี่ยนมาก เปลี่ยนขนาดหนัก ที่ดินวัดนี้เมื่อก่อนนี้ไร่ละ ๕ บาท ซื้อที่ดินสร้างวัดนี้ไร่ละ ๕ บาท เดี๋ยวนี้คุณคิดดูว่ามันไร่ละเท่าไร เขามาจะขอซื้อ ถ้าขายได้ มันเปลี่ยนชั่วไม่กี่ปี ๒๐ กว่าปี ๓๐ กว่าปีนี่เปลี่ยนขนาดนี้
เคยอ่านพบว่าไอ้เกาะแมนฮัตตัน ที่เป็นที่ตั้งของมหานครนิวยอร์คนี่ ทีแรกเขาขายกัน ๒๔ เหรียญเท่านั้นนะ ทั้งเกาะนั้น ๒๔ ดอลล่าร์ พวกคนป่าขายให้พวกฝรั่ง เดี๋ยวนี้มหานครนิวยอร์คมีราคาเท่าไหร่ ตัวเลขไหนมาเขียนไหว นี่ความเปลี่ยนแปลง เป็นอนิจจัง ถ้าโง่ก็ไปหลงบูชาว่าวิเศษแล้วโว้ย เดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่แล้วโว้ย เพราะเราไปหลงกันในรูปนั้น มันก็เป็นมืด เป็นความมืด เป็นความบอด เป็นความหลง ในสิ่งที่เป็นอนิจจัง เพราะฉะนั้นมันจึงขบกัดเอา ทำให้วิตกกังวล ทำให้กลัว ทำให้อยาก ทำให้ระส่ำระสายอยู่ในจิตใจ
อาตมาเคยจำได้ว่าสมัยที่ยังไม่ได้บวชนั้น มันมีคำพูดตายตัวว่า ไอ้ทองคำหนักบาทหนึ่งจะมีราคาเท่ากับข้าวเกวียนหนึ่งเสมอ สมัยนั้นมีราคา ๒๕ บาท ข้าวเกวียนหนึ่งก็ ๒๕ บาท ทองคำบาทหนึ่งก็ ๒๕ บาท ต่อมาข้าวเกวียนหนึ่ง ๔๐ บาท ทองคำก็ขึ้นเป็น ๔๐ บาท ๕๐ บาท ๖๐ บาท ตาม ๆ กันมา มันเป็นบังเอิญหรือว่ามันเป็นความสมดุลอะไรของมันอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้มันก็ยังคล้าย ๆ อย่างนั้นอยู่ แต่บางทีก็ผิดกว่ากันมาก ทองคำบาทหนึ่งเป็นเงินบาทมากมาย
ความไม่เที่ยง เราก็ไปหลอกว่าเราจนลงบ้าง เรารวยขึ้นแล้วบ้าง อะไรบ้าง นี่มันน่าหัว เป็นความมืดความบอด อย่าให้ไอ้เรื่องอนิจจังนี่มันมาครอบงำ แล้วทำให้หลงไป รู้จักอนิจจัง รู้จักทุกขัง รู้จักอนัตตา ซึ่งความหมายแท้จริงก็คืออิทัปปัจจยตา ก็เป็นพุทธบริษัทมากขึ้น
นี่ในที่สุดนี้ก็อยากจะขอร้องว่า ให้ระวังให้ดี ๆ อย่าทำอะไรสะเพร่า ๆ เราไปกวาดไยแมงมุมทิ้งหยากไย่นี่ ที่จริงมันไปทำลายเพื่อนบ้านที่ดีที่สุด คือแมลงมุม มันช่วยดักยุง ยุงมาติดแล้วมันกินเสีย ถ้าเรากวาดใยแมงมุมออกหมด เราก็ต้องซื้อยากันยุง เพราะยุงมันชุม ถ้าเรามีใยแมงมุมเต็มไปหมด มันก็ช่วยจับยุงกิน คิดดูสิ มันหลอกลวงหรือว่ามันจริง หรือว่ามัน มันกลับกันอยู่อย่างไร นี่เราทำลายเพื่อนบ้านที่ดี กวาดหยากไย่ใยแมงมุมไปเสีย
หรือว่าถ้ามีดบาดมือ เราไม่มียาอะไรเลย สมัยก่อนเราก็ใช้ใยแมงมุมนี่พัน มันมีกรดอะไรชนิดหนึ่งฆ่าเชื้อ ถ้าใยแมงมุมในครัวไฟด้วยก็ยิ่งดี มีกรดอะไรชนิดหนึ่งฆ่าเชื้อไม่ให้แผลเป็นหนอง เราไปทำลายใยแมงมุม เพราะมันสกปรกรกรุงรัง เป็นคน เป็นบ้านที่ป่าเถื่อน ปล่อยให้ใยแมงมุมรุงรังไปหมด แต่ว่าอีกทางหนึ่งมันเป็นเพื่อนบ้านที่ดี
ที่นี้ความหลอกลวงของไอ้ปรากฏการณ์ทั้งหลายนี้ อย่าได้หลอกลวงเราเลย เราเป็นชาวบ้าน เราเป็นฆราวาส รู้จักทำให้มันถูกต้อง แต่ว่าถ้าเราจะต้องทำลงไป เราก็รู้ว่านี่เราจะได้ทำอะไรลงไป ถ้าเรากวาดใยแมงมุมทิ้ง ก็แปลว่าเราได้ทำลายเพื่อนบ้านที่ดีที่คอยปราบยุงให้เรา นี่มันเป็นตัวอย่างทั้งนั้น สำหรับเราจะเปรียบเทียบ ไม่ใช่สอนให้ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ลงไปอย่างที่ว่าปากพูด
ถ้าเรามีความละเอียดลออในการสังเกต หรือความเห็นอกเห็นใจสิ่งที่มีชีวิตด้วยกันก็จะดีมาก เพราะว่าไอ้ธรรมะนี้มันมุ่งหมายที่จะให้มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ทีนี้อาตมาก็ยกตัวอย่างหยากไย่แมงมุม ที่มันน่าเกลียดที่มันรุงรัง ถ้าเรารักแมงมุมได้ เราก็คงจะรักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้
มีเจตนารมณ์ของพระธรรมอยู่ที่ว่า “อย่าเห็นแก่ตัว” ถ้าจะเห็นบ้างก็เห็นแก่ผู้อื่นก่อนดีกว่า หรือถ้าเห็นทั้งแก่ตัวทั้งแก่ผู้อื่น มันก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าเห็นแก่ตัวนี่มันดึงไปในทางเรื่องของกิเลสไปเสียทุกที มันเป็นทางที่สะดวกหรืออะไรอย่างหนึ่งที่จะไปในทางกิเลส แม้จะเห็นแก่ตัวอย่างดี มันก็ยังเป็นเรื่องของความทุกข์ ไม่เห็นแก่ตัวเลยมันก็ไม่มีความทุกข์เลย ก็เป็นนิพพานได้
ทีนี้การเห็นแก่ผู้อื่นมันช่วยให้เห็นแก่ตัวน้อยลงหรือไม่เห็นแก่ตัว นี่มุ่งหมายว่าจะให้เห็นแก่ผู้อื่นไว้ก่อนนี่จะไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามีส่วนที่จะเจียดออกไปได้เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้วก็จะทำลายความเห็นแก่ตัวเสมอ ให้มีความมุ่งหมาย มั่นหมายไว้ตลอดกาลเลยว่าเราจะไปจบลงด้วยความ ด้วยการทำประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะว่าไม่เท่าไหร่ประโยชน์ส่วนของเรามันก็จะจบลง ชีวิตที่เหลือจะทำประโยชน์ผู้อื่น เดี๋ยวนี้เรายังไม่อยากจะรอ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะทำ ถ้าเราสามารถจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ก็ทำไปบ้างก็แล้วกัน เจียดประโยชน์ที่จะได้แก่ตัวนั้นไปให้แก่ผู้อื่นซะบ้าง
ถ้าลูกเด็ก ๆ มันได้รับการสั่งสอนอย่างนี้ แล้วมันจะมีศีลธรรมดี คือไม่เห็นแก่ตัว แล้วเรื่องอื่นมันพูดง่าย เช่นเด็ก ๆ ถ้าได้เงินไป ๑ บาท ใน ๑ วันไปโรงเรียน สมมติว่าเขาจะเจียดออกมา ๑๐ สตางค์ให้เพื่อน มันก็ไม่เห็นว่าเดือดร้อนอะไร แต่มันเป็นการฝึกนิสัยให้เห็นแก่ผู้อื่น แต่แล้วเราก็ไม่ได้สอนให้เด็ก ๆ เขาทำ แล้วเด็ก ๆ มันส่วนมากมันก็ไม่อยากทำ ถ้าเด็กคนไหนเกิดทำขึ้นมาเองอย่างนี้ เด็กคนนั้นพิเศษแล้ว อุตส่าห์เจียดเงิน ๑๐ สตางค์จาก ๑ บาทที่พ่อแม่ให้ไปกินขนม ให้คนอื่นได้ ให้โรงเรียนได้ เด็กคนนี้มีอุปนิสัยที่สูงกว่าธรรมดาแล้ว คือมันใกล้พระธรรมมากขึ้นไปแล้ว เห็นแก่ผู้อื่นแล้ว
นี่เราก็จะจบความหมายของพระธรรมลงไปด้วยคำว่า ไม่เห็นแก่ตัว จนกระทั่งไม่มีตัว ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู กิเลสเกิดไม่ได้ เพราะความรู้สึกอันนี้ ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุนิยม เมื่อไม่เป็นทาสของวัตถุนิยมแล้ว มารดาทั้งหลายก็คงเป็นมารดา ไม่เป็นแม่ ไม่ไปเป็นผีเสื้อกันทั้งแม่ทั้งลูก ทำให้โลกนี้ไม่มีมารดา หรือไม่มีแม่ แล้วก็เป็นเรื่องที่ทำโลกนี้ให้ลุกเป็นไฟได้แน่นอน
นี่การพูดจากันตอนนี้คราวนี้นั้น พูดเรื่องโลกไม่มีแม่ โลกเสื่อมศีลธรรมเพราะการศึกษาไม่ถูกต้อง คือขาดพระธรรม ขอให้ทำโลกให้มีพระธรรม แม้แต่บ้านเรือนขอให้มีพระธรรม ถ้ามีศาลพระภูมิอยู่แล้วให้รีบไปแปลงเป็นเรือนพระธรรมเสีย จะได้เข้ารูปกัน
อาตมารู้สึกว่าเหนื่อย ก็ขอยุติล้อใครก็ไม่รู้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน สำหรับตอนนี้ ตอนค่ำค่อยพูดกันใหม่