แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องธรรมปาฏิโมกข์ประจำวันธรรมสวนะอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูไปตามเคย อย่างที่ได้บอกให้ทราบแล้วว่าทำไมจึงต้องพูดแต่เรื่องตัวกู-ของกู เพราะว่าปัญหาทั้งหมดนี้มันมาจากตัวกูหรือของกู จึงคอยเตือนไว้เรื่อยเพื่อไม่ให้ลืมเสีย ปัญหาทั้งหมดก็คือความทุกข์ ไม่ว่าของคนชาติไหนภาษาไหน ยุคไหนสมัยไหนก็ตามใจ
ทีนี้ความทุกข์ก็มิได้มาจากอื่น มาจากความคิดผิด เห็นผิด สำคัญผิด เป็นความรู้สึกที่ประกอบอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ทีนี้ปัญหาต่อไปที่จะดับทุกข์คือต้องดับตัวกู-ของกู ที่ครั้งสุดท้ายที่พูดนี้ก็พูดถึงเรื่องกิเลส หรือความยึดมั่นถือมั่นนั้น เป็นของหลอกลวง ไม่จริง จึงใช้คำว่าเป็นผี เพราะว่ามิได้มีอยู่จริง มีการปรุงแต่งกันในทางจิตใจ เพราะตาเห็นรูป เป็นต้น จนเกิดความรู้สึกที่เป็นความอยาก เกิดตัณหาอุปาทานยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู-ของกู นี้มันเป็นกิเลส มีความหมายอย่างเดียวกับผี คือหลอกให้หลง หลอกให้เป็นทุกข์ ดังนั้นกายนี้ก็เลยเป็นเหมือนกับโลกของผีไป โครงร่างนี้ที่ประกอบกันอยู่เป็นร่างกายนี้ ก็กลายเป็นโลกผี บ้านผีเมืองผีไป เพราะว่ามันเกิดผีขึ้นในจิตใจ ในกายนี้
ข้อนี้ต้องไม่ลืมที่ได้เคยเอาพระพุทธภาษิตมาบอกให้ฟังว่า พระพุทธเจ้าท่านเรียก ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้ว่าสมุฎ คือเป็นที่ตกอยู่ ที่ตั้งอยู่ ที่อาศัยอยู่ของสัตว์โลก พร้อมทั้งเทวดา มนุษยโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก กี่โลกก็ตาม อยู่ในสมุฎคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฟังดูก็ยังเข้าใจยาก แทนที่จะพูดว่าข้างนอกเป็นโลก กลับพูดว่าข้างในตัวคนเป็นโลกเสียเอง และชี้ระบุไปที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็ยิ่งยาก ยิ่งกว่ายาก แต่ถ้าจะพูดว่าอยู่ที่ระบบ หรือกระแสของการปรุงแต่งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จะฟังง่าย เพราะที่ตรงนั้นมันเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ แห่งสัมผัส แห่งเวทนา ตัณหา อุปาทาน ทำให้เกิดความคิดว่านั่นนี่ขึ้นมาได้เป็นตัวฉัน เป็นของฉันขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นเมื่อพูดอย่างลึกซึ้งที่สุด ก็เลยพูดว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้คือโลก คือสมุฎก็ได้ และที่บางแห่งที่น่าประหลาดที่สุดสำหรับคนสมัยนี้ก็คือว่า เรียกว่าบ้านร้าง หรือสุญญาคาร แปลว่าบ้านร้าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทั่งสิ่งที่มันเกิดมาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บ้านว่างบ้านร้างก็หมายความว่ามิได้มีตัวคนอยู่จริง ไม่ได้มีมนุษย์อยู่จริง มันก็มีแต่ผีทั้งนั้นแหละที่อยู่ มันไม่น่าจะกลัวผีกันที่อื่น ควรจะกลัวผีกันที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อถูกปรุงแต่งเป็นไปในรูปของความยึดมั่นถือมั่น
ครั้งที่แล้วได้พูดให้ฟังแล้วว่า กิเลสนั่นแหละคือผี พอเกิดกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาในคน คนนั้นก็เป็นคนผี หมายความว่าร่างกายนี้ถูกกิเลสสิง แล้วมันก็เป็นคนผี เพียงเท่านี้ก็ควรจะกลัวกันหรือว่าหยุดกันได้ พอกิเลสเกิดขึ้น คนก็ไม่ใช่คนแล้ว กลายเป็นผี เป็นคนผี หรือคนผีสิง อย่างดีที่สุดก็คือคนผีสิง ร่างกายนี้เป็นบ้านผีสิง และด้วยเหตุที่เรียกว่าโลก ก็กลายเป็นโลกผีสิง
ทีนี้เราก็ยังมีหลักสำหรับพูดว่า ถ้าในที่ไหนหรือว่าในโลกไหน ในภาษาธรรมดา มันมีอะไรมาก เราก็เรียกโลกนั้นตามชื่อของสิ่งนั้น ๆ โลกมนุษย์ โลกสัตว์ แม้แต่โลกของปลา โลกของสัตว์บางชนิดที่มันมีมากที่นั่นเกินไป มีอะไรที่ไหนมากก็เรียกว่าโลกของสิ่งนั้น เรียกว่าโลกมนุษย์ก็คือว่ามนุษย์มันมาก เพราะมันมากไปด้วยมนุษย์ ทีนี้ถ้าว่ามนุษย์มันมิได้มี มันไม่มาก มันมีแต่คนผีสิง แล้วโลกนี้มันก็เป็นโลกของคนผีสิง คือเป็นโลกของผีอยู่โดยแท้จริง แต่เราก็ยังเรียกว่าโลกของมนุษย์อยู่นี่ คือโลกนี้ ๆ ในปัจจุบันนี้ ก็เรียกว่าโลกของมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันก็เอาตามที่พูดเอาเองว่ามนุษย์ หมายถึงข้างนอก พื้นแผ่นดินข้างนอก ตัวโลกนี้ ถ้าคนทุกคนเป็นมนุษย์จะเรียกว่าโลกมนุษย์ก็ได้ แต่ถ้าทุกคนหรือแทบทั้งหมดเป็นคนผีสิง มันก็ไม่ใช่โลกมนุษย์ มันก็เป็นโลกคนผีสิง คือโลกของผี ทีนี้เขาไม่ยอม เขาไม่ยอมให้เรียกว่าผี ก็ตามใจ
เดี๋ยวนี้อยากจะให้มองให้เห็นว่ากิเลสนั้นคือผี ใครมีกิเลสเมื่อไรก็เป็นคนผีเมื่อนั้น คนผีสิงเมื่อนั้น ว่างจากกิเลสได้เมื่อไรเท่าไรก็เป็นคน ซึ่งไม่ใช่ผี ไม่ใช่คนผีสิงเท่านั้น จะเรียกว่าคนที่มีกิเลส มันก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันยังไม่ถูก คนที่มันหลง มันไม่รู้จริง มันไปยึดเอาสิ่งมายาว่าเป็นตัวตน เอาขันธ์ทั้งห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ตาม หรือตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจก็ตาม ว่าเป็นตัวตน แล้วไม่ได้มีจิตใจอย่างคน มีจิตใจอย่างผู้ไม่รู้อะไร หรือผู้ถูกหลอก แล้วสิ่งนั้นเป็นตัวการ กิเลสนั้นนะมันหลอก มันหลอกคนนั้นอีกทีหนึ่ง เลยเป็นผีกันพอดี กิเลสก็เป็นผีอยู่แล้ว มีสิงอยู่ในใครคนนั้นก็เป็นผีไปพักหนึ่ง ชั่วเวลาที่กิเลสสิง ถ้ามันมากขึ้น ไม่ค่อยสร่าง ถ้าเป็นกันมากคนขึ้น โลกนี้ก็เป็นโลกของคนที่ผีสิง หมายความว่าในร่างกายที่มีผีสิงอยู่เป็นส่วนมาก ส่วนที่ไม่เป็นอย่างนั้นมันน้อยเกินไป เพราะฉะนั้นเลยต้องเรียกว่าเป็นโลกที่ผีสิง มันออกไปจากข้างใน คือร่างกายนี้ต้องถูกผีสิงก่อน คือกิเลสขนาดที่หลอกลวงมากยิ่งกว่าผี แต่คนก็ไม่เห็น แล้วก็ไม่กลัวผีชนิดนี้ ไปกลัวผีเศษกระดูกหรือก้างปลาอะไรทำนองนี้ แต่ผีที่แท้จริงไม่ได้รู้จัก แล้วก็ไม่ได้กลัว ก็เลยไม่คิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านผีสิงแล้ว
ร่ายกายร่างนี้โครงนี้ มันกำลังเป็นบ้านที่ผีสิง คืออวิชชาเป็นบ่อเกิด แล้วออกมาในรูปของความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู-ของกู ซึ่งมันไม่จริงทั้งนั้น ถ้าผีมันเกิดขึ้นเต็มรูป มันก็อยู่ในความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู ไม่อย่างนั้น ถ้ายังไม่ถึงนั้นก็เป็นรูปของอวิชชา หรือโลภะ โทสะ โมหะก็ตาม มันเป็นความอย่างนั้นความอย่างนี้อยู่ก่อน พอความอยากสิงใจ มันก็เป็นความรู้สึกว่ากูอยาก อะไรจะเอามาเป็นของกู นี้ถือว่าตัวกู-ของกูนี้ไม่ได้มีตัวจริง แต่ว่าเป็นผี ความโลภเป็นผี คือไม่มีตัวจริง ถ้ามีในใครคนนั้นก็กลายเป็นคนผี
ทีนี้ความโลภนั่นแหละจะทำให้เกิดความโกรธ ความโกรธมันมาจากความไม่ได้ตามที่ต้องการจะได้ มันอยากก่อน แล้วไม่ได้ตามอยากมันก็โกรธ หรือว่าที่อะไร ๆ มันไม่เป็นไปตามที่อยาก ที่ต้องการ มันก็เกิดความโกรธขึ้นมา เป็นผีตัวที่สอง ผีความอยากทำให้เกิดผีตัวที่สองคือความโกรธ ถ้ามันไม่ได้หรือมันยังสงสัยอยู่ว่าจะได้ แม้แต่สงสัยอยู่ว่าควรจะเอาหรือไม่เอา มันก็เป็นความหลง เป็นโมหะ ก็เป็นผีอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน เพราะว่าล้วนแต่หลอกกันทั้งนั้น คือสิ่งที่โลภ สิ่งที่โกรธ สิ่งที่หลง ที่ทำให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง หรือความโลภ ความโกรธ ความหลงเอง ก็เป็นผีทั้งนั้น
ถ้าพิจารณาอยู่อย่างนี้ บางทีอาจจะเกิดกลัวได้ง่าย กลัวผี กลัวกิเลส ก็อาจจะหัวเราะเยาะผีที่ป่าช้า ที่เคยกลัวมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ผีเลย แล้วก็เป็นผีหลอกๆ ยิ่งไปกว่าผีนี้อีก กว่าผีที่กำลังยึดครองอยู่ในตัวคนเสียอีก ผีที่ป่าช้าเกิดได้ก็เพราะความโง่ของคน ตัวความโง่ของคนที่มีอยู่ในคน มันเป็นผียิ่งกว่าผีที่อยู่ที่ป่าช้า ที่สมมุติกันว่าอยู่ที่ป่าช้า ที่จริงผีจะอยู่ในป่าช้าอย่างไรได้ มันต้องอยู่ในจิตใจของคนที่คิดว่ามีผี ที่กลัวผี นอกนั้นเป็นมันวัตถุ เช่นเครื่องหมาย เช่นโครงกระดูก เช่นศพ มันไม่ใช่ผี เขาเรียกกันถูกแล้ว เขาเรียกว่าซากผี ผีจริง ๆ ไม่ใช่ตัวซากนั้น เพราะมันเป็นนามธรรม อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้จัก แล้วก็ไปกลัวซากผีว่าผี ผีอยู่ที่นั่นมันก็ไปสร้างผีที่ตรงนั้นด้วยความโง่ของตัว
เพราะฉะนั้นควรจะถือว่าผีที่กลัวที่ป่าช้า ก็เป็นผีที่สร้างมาจากข้างใน โดยทางมโน ทางจิตอะไรที่เต็มไปด้วยอวิชชา นับตั้งแต่ตาเห็นซากผีนอนอยู่ในป่าช้า สร้างการเห็นขึ้นมาทางตา สร้างการสัมผัสภาพนั้นแล้ว เกิดสัญญาโง่ ๆ เขลาๆ ความจำผิด ๆ นั้น เรียนมาผิด ๆ สำคัญมาผิด ๆ ก็ว่าผีละโว้ย ก็เลยกลัว กระทั่งเศษกระดูกสักนิดหนึ่งก็ว่าผี ไม่ต้องเต็มทั้งโครง โง่เท่าไรก็สร้างผีได้มากเท่านั้น ก็เลยเป็นอันว่าร่างกายนี้ ทั้งรูปทั้งใจ ทั้งร่างกายและจิตใจ มันเป็นบ้านผีเรือนผีไปหมด ในหลาย ๆ ความหมาย หลายประการ ข้างในก็เป็นผี แถมสร้างผีข้างนอกเข้ามาใส่เข้าไว้อีก มีความโง่ อวิชชา ทำความโลภ โกรธ หลงขึ้นมาเรื่อย ๆ ก็เป็นเรื่องผีทั้งนั้น ปั่นป่วนวนเวียนกันอยู่ในนี้ มันหาความสุขไม่ได้ ถ้าคนทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก เป็นกันอย่างนี้แล้ว จะไม่ให้เรียกว่าโลกของผีอย่างไร
ผมพูดเขาก็มักจะหาว่าด่าบ้าง อะไรบ้าง หรือแกล้งด่า ที่จริงก็ต้องการจะให้เห็นกันง่าย ๆ ให้กลัวกันให้มาก ๆ ในทางที่มันควรจะกลัว คือกลัวความโง่ ตัวกู-ของกูนั่นแหละคือผีที่สุดแล้ว มาจากอวิชชา แล้วทำไมไม่กลัว มันเกิดรักและยึดถือมาก ยึดถือตัวกู ยึดถือของกู รักมากอะไรมาก นั่นคือการรักผีถึงที่สุดชีวิตจิตใจแล้วไม่กลัว ไม่ละอาย ไม่ขยะแขยง จะว่าผีหลอกสักนิดหนึ่งก็ไม่เท่าอันนี้ มันไม่จริง ผีข้างนอกน่ะ แต่ผีข้างในนี้มันยิ่งกว่าหลอก ทั้งหลอกทั้งทำอันตราย ทั้งทำให้ตกนรก เพราะว่ามันสร้างนรกขึ้นมาในจิตใจ ที่ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ รู้สึกคิดนึกได้ นรกก็ที่นั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ สวรรค์ก็ที่นั้น ทำให้ดีมันก็ไม่มีความทุกข์ ทำไม่ดีมันก็มีความทุกข์ หมายความว่าทำผิด เกิดตัวกู-ของกูขึ้นมาชนิดหนึ่ง ร้อนมากก็เป็นนรก ถ้ากำลังหลงใหลสนุกสนานกันสักพักหนึ่ง มันก็เป็นเพียงสวรรค์ที่หลอกลวงกันพักหนึ่ง ก็เรียกว่าเป็นผีได้เหมือนกัน แม้ภาษาเด็ก ๆ ก็เรียกเทวดาว่าผีได้ จัดเทวดาไว้ในพวกผี เพราะไม่มีตัวที่เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นก้อนเป็นอะไร กลายเป็นผีชั้นดีชั้นเลว ชั้นให้สุขให้ทุกข์
จึงอยากจะให้มองกันในแง่ที่ว่า โลกนี้จะเป็นโลกของผี เป็นอบาย หรือว่าจะเป็นโลกของคนของมนุษย์ หรือว่าจะเป็นโลกของเทวดา คือไม่ค่อยมีความทุกข์ เอาแต่สนุกสนาน หรือว่าจะเป็นโลกของพระอริยเจ้า ไม่มีความทุกข์เลย ในที่สุดก็ได้จนเหนือโลกไป พ้นโลกไป
ทีนี้มันเนื่องจากว่าคนในโลกนี้มันไม่ได้เกิดกิเลสอยู่ตลอดเวลา เกิดบางเวลา เกิดเมื่อไหนก็เป็นผีเมื่อนั้น จึงเกิดไม่พร้อมกัน คนนั้นเกิด คนนี้ไม่เกิด แล้วก็เกิดไม่ค่อยจะเหมือนกัน แต่ว่าครั้นมาถึงสมัยหนึ่ง หรือเวลาหนึ่ง ถิ่นหนึ่ง อาจจะเหมือน ๆ กัน เช่นโลกสมัยนี้ปัจจุบันนี้ คนส่วนมากที่สุดจะมีตัวกู-ของกู เห็นได้ที่ว่ารู้จักเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมาก เป็นทุกข์เป็นร้อนนอนไม่หลับ จนเป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้น นี้ก็คือความเห็นแก่ตัว เมื่อเป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้นก็ต้องถือว่า มันเป็นกิเลสมากขึ้น เป็นผีมากขึ้นกว่าที่ไม่เป็น เบียดเบียนกันเป็นอันธพาลมากขึ้น ก็แปลว่าโลกนี้มันเป็นผีมากขึ้นส่วนใหญ่ มันยังมีเรื่องหลงใหลในเรื่องที่เรียกกันว่าอนาจาร เป็นเรื่องสกปรกอนาจารลามก แล้วแต่จะใช้คำที่มันไปในทางอนาจาร เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ นี่ก็ยิ่งเป็นผีอีกด้านหนึ่งมากขึ้น ๆ
ทุกคนจะต้องดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตน กำลังสร้างผีชนิดไหนขึ้นมา สร้างเทวดาชนิดไหนขึ้นมา อันไหนมีมากก็ต้องเรียกว่าโลกนี้เป็นโลกของคนพวกนั้น หรือว่าของผีพวกนั้นไปเสียเลย เพราะมันมีมากกว่าอย่างอื่น ตรงไหนมีสัตว์ชนิดไหนมากที่สุด เรายังเรียกที่ตรงนั้นว่าโลกของสัตว์ชนิดนั้นไปเสีย อย่างนี้ก็มี โลกของคนป่า โลกของคนเมือง โลกของคนเจริญ โลกของคนป่าเถื่อน มันก็แล้วแต่ว่าใครมันอยู่ที่นั่นมาก
ทีนี้เดี๋ยวนี้ โลกนี้ทั้งโลกกันเลย มันเป็นที่อยู่ของคนชนิดไหนมาก ก็เคยแนะให้พิจารณากันแล้วว่า มันเป็นโลกของคนที่เป็นวัตถุนิยม มันมากขึ้น โลกของคนที่ไม่รู้เรื่องทางจิตทางวิญญาณหรือทางธรรม ไปรู้แต่เรื่องทางวัตถุ จนหลงใหลในวัตถุ ที่เขาเรียกว่าวัตถุนิยม หมายถึงเรื่องทางกาย ไม่ใช่ทางจิตใจโดยตรง ทางกายที่ได้รับความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยเพลิดเพลินทางกาย นี่เรียกว่าวัตถุนิยม ไปหลงกันหนักเข้าก็เรียกว่าเป็นลัทธิวัตถุนิยม มองแวบเดียวก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้สนใจกันแต่เรื่องวัตถุ แล้วมีการผลิตวัตถุมากยิ่งขึ้นทุกที ที่ไม่เคยมากอย่างนี้ วัตถุก็ล้วนแต่ยั่วให้มี ให้ได้มาเป็นตัวกู-ของกู ได้มาแล้วตัวกู-ของกูก็ยกหูชูหางสูงขึ้นไป
ก่อนนี้ไม่มีปัญหามากเพราะว่าไม่ได้ผลิตสิ่งอย่างนี้ขึ้นมามาก อยู่ง่าย ๆ ก็ได้ ถ้ามีอย่างนี้ขึ้นมาเรียกว่าเป็นส่วนเกินแล้ว บ้าแล้ว ไม่พอดีแล้ว คือมันเกินไปแล้ว แต่มาถึงสมัยนี้ที่เป็นสมัยวัตถุนิยม เพียงเท่านี้ก็ว่ายังไม่พอ มีตึกหลายหลัง มีรถยนต์หลายคัน มีอะไรอีกหลายเยอะแยะก็ว่ายังไม่พอ ยังไม่พอดี ไม่มีที่เกิน ยังไม่มี ถ้าเป็นส่วนสมัยโบราณนู้นเขาก็เกินแล้ว ไม่ต้องก็ได้ วัตถุที่ทำให้เกิดความโลภ เกิดความกำหนัด เกิดความยึดมั่นถือมั่น นี้ก็เรียกว่ามันเป็นอันตราย คือทำให้เกิดกิเลส ให้เกิดร้อน ให้เกิดเป็นทุกข์ แล้วก็หลงใหลเหมือนกับผี พวกที่บูชาวัตถุนิยมก็ต้องเรียกว่า ผีวัตถุนิยมมันสิง
ทีนี้มันกำลังยกเว้นใครที่ไหนบ้าง ทั้งโลก โลกฝรั่งนำหน้า โลกไทยตามก้น เขาไปกันอย่างไรเราก็จะเป็นกันอย่างนั้น ผีตามก้น หรือผีนำหน้ามันก็มี ก็เลยเป็นผีกันเป็นหางเป็นแถวเป็นฝูงกันไปทั้งโลก ผีวัตถุนิยม เราก็ไม่ได้โยนให้เป็นความผิดของใคร มันเป็นความผิดของแต่ละคนที่ไม่รู้เรื่องพระธรรมของพระอริยเจ้า หรือของพระพุทธศาสนา จึงไม่มีธรรมะคุ้มครอง ร่างกายนี้ก็ถูกผียึดเอาไป ผีเข้าสิงแทน
ขอให้นึกถึงคำว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้เป็นบ้านว่าง หรือเรือนว่าง บ้านว่าง โดยเนื้อแท้มันยังเป็นบ้านว่าง ทีนี้ผีจะเข้าครอง หรือว่าคนมนุษย์จะเข้าครอง ความเป็นมนุษย์จะเข้าครองหรือความเป็นผีจะเข้าครอง ถ้ากิเลสเข้าครอง บ้านนี้คือร่างกายนี้ก็เป็นบ้านผี ถ้าธรรมะคือไม่มีกิเลสเข้าครอง แต่มีสติปัญญาครอง ก็เป็นบ้านคนบ้านมนุษย์ไป ระวังให้ดี ร่างกายนี้ที่พูดว่ากู ๆ หรือว่าของกูนี้ ถ้ามันมีความรู้สึกเป็นกู เป็นของกูแล้ว กิเลสเข้าครองเป็นผีทั้งนั้น ไม่มีตัวกู-ของกูชนิดไหนที่ไม่ใช่กิเลส หรือไม่ใช่ผี แม้จะเป็นผีอย่างสวยงาม เป็นผีชนิดเทวดาก็ยังเรียกว่าเป็นผี อย่างที่พูดไปแล้ว ไม่มีกิเลสเข้าครองมันก็กลายเป็นเรื่องของธรรมะ เป็นเรื่องของพระอริยเจ้าในขั้นต้น ๆ จนกระทั่งสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็ยังมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในส่วนที่มันว่างนั้น มันครองอยู่ด้วยสติปัญญา ด้วยความบริสุทธิ์สะอาด ก็เลยไม่ใช่เป็นบ้านผีแน่ มันไม่มีโอกาสที่กิเลส หรือเชื้อของกิเลสอะไรก็ตามจะเกิดขึ้นมาได้อีกแล้ว
ทีนี้เรามาดูกันถึงพวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ แล้วก็ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ในขั้นต้นๆ มันจะเป็นอะไรถ้าไม่เป็นตัวกู-ของกูชนิดผีที่เลว หรือผีที่สวยที่สนุกสนาน จะเรียกว่าดีก็ได้ แต่มันดีตามแบบผี พระอริยเจ้านั้นกำลังจะไปพ้นจากเลวและจากดี คือเหนือดี เป็นพระอรหันต์ก็คือเหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์อะไรหมดเลย ถ้าหากว่าในแผ่นดินนี้มันมีบุคคลที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์มาก ก็ควรจะเรียกว่าโลกของพระอรหันต์ได้ โลกนี้งดงามเป็นที่อยู่ของพระอรหันต์ ของบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ก็ได้ แต่พระอรหันต์เองนั้นจะไม่รู้สึกอย่างนั้น จะไม่ยึดถือว่าอะไรเป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา ทีนี้พูดตามสมมุติชาวบ้านพูดว่ามันก็เป็นโลกของพระอรหันต์ เพราะเต็มไปด้วยพระอรหันต์ หรือเต็มไปด้วยพระอริยเจ้า เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยผู้ที่มีอะไรเป็นตัวกู-ของกู ตัวกู-ของกูอย่างเลวคือสัตว์นรกหรืออันธพาล ตัวกูธรรมดาก็เป็นเหมือนมนุษย์ธรรมดา ตัวกูอย่างดีก็เป็นเทวดาหรือว่าเป็นพรหมก็ตามเถอะ ถ้ามันยังมีตัวกู-ของกูอยู่ก็ต้องเรียกว่ามันยังไม่จริง คือไม่ใช่ของจริง ไม่ใช่สิ่งจริง บาลีก็เรียกว่ามุสา
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีกิเลส เราก็คือคนโกหกที่สุดเลย เมื่อใดกิเลสชนิดใดชนิดหนึ่ง อุปาทานชนิดใดชนิดหนึ่งเกิดขึ้น นั้นน่ะคือมุสาโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้ คือจิตมันก็ไปสำคัญเอาว่านี้ตัวกู นี้ของกู คิดก็มุสา พูดก็มุสาทำก็มุสา เพราะว่าความรู้สึกคิดนึกนี้มันเป็นสังขตธรรม คือเป็นสังขารเกิดขึ้นในจิตใจ มันเป็นไม่ใช่ของจริงก็เรียกว่ามุสา นี้ในบาลีมีเรียกแต่ว่าพวกอสังขต เช่นนิพพาน โดยตรงนี้เป็นไม่มุสา นี้คือจริง ไม่มีการสำคัญว่าตัวกู ว่าของกู ไม่มีการปรุงแต่งให้ไหลไปตามกระแสของกิเลส นี้ถึงจะเรียกว่าจริง คือไม่มุสา ที่นี้จิตที่มันคิดไปปรุงไป ไหลไปตามกระแสของกิเลส จนเกิดเป็นตัวกู-ของกูขึ้นมา นี่มุสาถึงที่สุด จนกว่าเมื่อไรความคิดความรู้สึกว่าตัวกู-ของกูระงับไป ก็กลับไปเป็นเรือนว่างอีกทีหนึ่ง ถ้าเป็นพระอริยเจ้าไปได้ก็ดี จะเป็นจริงขึ้น ๆ ทีนี้มันไม่เป็นนี่ มันเป็นว่างมุสาพักหนึ่ง เดี๋ยวก็ปรุงมุสาขึ้นมาอีก ก็เป็นคนมุสา คือผี คือหลอก ไม่จริง
ถ้าหากว่าในโลกเรามันมีแต่คนอย่างนี้ ก็ต้องเรียกว่าโลกนี้ว่ามันโลกของคนผี หรือคนผีสิง ไม่ใช่โลกมนุษย์ เพราะฉะนั้นมันจึงมีแต่ความหลอกลวง มีแต่ความหวาดกลัวเต็มไปทุกหนทุกแห่ง ถ้าคนในโลกแต่ละคนต้องทนอยู่ด้วยความหวาดกลัวยิ่งขึ้น ๆ ก็หมายความว่าโลกนี้มันเป็นโลกของผียิ่งขึ้น ๆ จนจะอยู่ไม่ไหวแล้ว ถ้าจะเป็นคนจะต้องอยู่ไม่ไหว ยิ่งถ้าเป็นมนุษย์ที่ดีก็จะยิ่งอยู่ลำบาก จะต้องแยกกันอยู่ ถ้าเอาพื้นดินเนื้อที่เป็นเครื่องแบ่งเครื่องวัด มันก็แยกกันไม่ได้ อยู่ร่วมโลกกัน แต่ถ้าว่าเอาจิตใจเป็นหลัก ในการแยกการแบ่งนี้มันแบ่งกันได้ คือเราอย่าให้มีจิตใจเหมือนเขา ชนิดที่เราเห็นว่ามันเป็นตัวกู-ของกู จิตใจมันก็แยกออกมาเสียแล้ว ตัวนี้ ร่างกายนี้ โครงร่างนี้ มันก็ไม่ได้ถูกผีสิง ก็ถูกธรรมะสิง ถูกมนุษย์ที่ดีสิง มันก็แยกออกมา ถ้าแยกออกมานี้มันก็มาในทางของธรรมะที่ไม่เป็นตัวกู-ของกู เมื่อไม่เป็นตัวกู-ของกูแล้วจะกลัวอะไรเล่า ใครจะมาฆ่าให้ตายได้เล่า ต่อเมื่อมันมีความรู้สึกว่าตัวกู-ของกู จึงจะมีใครมาฆ่าให้มันตายได้ หรือมันกลัวคนจะมาฆ่าให้ตาย เป็นต้น คนที่ไม่มีความยึดถือว่าตัวกู-ของกูนี้มันยิ่งกว่าตายแล้ว ยิ่งกว่าตายเสร็จแล้ว คือมันไม่มีอยู่ตลอดเวลา นี่คือพระอรหันต์ ไม่มีตัวกู-ของกูอยู่ตลอดเวลา ท่านอยู่เหนือความตายจึงไม่กลัวตาย จึงไม่อะไรกันไปตามแบบของพระอรหันต์
ทีนี้แม้คนที่ไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่มีทางอย่างอื่นหรอกที่จะไม่ต้องเป็นทุกข์ ที่จะไม่ต้องกลัวตาย มันก็ต้องทำชนิดที่ไม่มีตัวกูสำหรับที่จะตาย มันจะมีคำสอนว่า ให้ปฏิบัติในทางที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวกู ว่าของกูเสียแต่เดี๋ยวนี้ อย่าให้เพิ่งเข้าโลงเลย ก่อนแต่จะเข้าโลงนี้ ให้มันไม่มีตัวกู-ของกูเสียก่อน นี่เราใช้คำเพื่อจะจำให้ง่ายๆ ว่า ตายเสียก่อนตาย อย่าให้ตัวกูมีเลย ก่อนที่ร่างกายจะเข้าโลงนี้ อย่าให้มีจิตใจที่เป็นตัวกู เป็นผีเลย ตายเสียก่อนตายแล้วก็จะไม่มีความทุกข์ เรื่องความกลัวเรื่องอะไรก็ตาม จะไม่ต้องการอะไรด้วยกิเลส ตัณหา อวิชชา ต้องการด้วยสติปัญญา แล้วก็ไม่ต้องโกรธ เพราะเมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ มันก็ไม่โกรธ ก็ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะมันมีวิชชา ความรู้แจ้งตลอดเวลา จึงไม่เป็นทุกข์เพราะความกลัว หรือว่าเพราะความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความอิจฉาริษยา มันเกิดไม่ได้ มันเข้ามาไม่ได้
นี่คนที่ไม่มีตัวกู-ของกู คือตายเสียแล้วจากตัวกู-ของกู ตั้งแต่ร่างกายยังไม่ทันตายนี้ มันเหลืออะไรอยู่ มันก็คือเหลือบ้านที่มีสติปัญญา หรือธรรมะเข้าไปครองอยู่ ไม่ใช่ผี หมายความว่าร่างกายนี้ไม่มีผีสิงแล้ว มีแต่สติปัญญาที่เป็นธรรมะ ถึงขนาดอยู่ในพวกของฝ่ายพระอริยเจ้าแล้ว แล้วก็เรียกว่า หรือกล่าวได้ว่า หรือมันมีเหตุผลที่จะกล่าวได้ว่า มันแยกออกมาอยู่กันคนละโลก เมื่อจิตใจมันเปลี่ยนจริง มันก็เป็นการแยกออกมาจริง แม้ว่าจะอยู่ร่วมแผ่นดินกันนี้ หรือว่าจะร่วมบ้านร่วมเมืองร่วมจังหวัด หรือร่วมเรือนกันก็ได้ ในเมื่อจิตใจมันไม่อาจจะเป็นไปทำนองเดียวกันได้ มันก็เหมือนกับแยกกันอยู่ ที่จะให้แยกกันโดยร่างกาย โดยแผ่นดินนั้น มันก็ไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เป็นการแยก มันต้องเป็นการแยกโดยจิตใจ ที่ไปคนละแบบคนละทาง จนกระทั่งว่าแบบของเขาไม่มาทำให้เราเป็นทุกข์ได้ก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันมีแต่ความกลัวว่าจะมีใครมาฆ่าให้ตาย หรือมีอะไรมาทำให้เจ็บ ให้ไข้ให้ป่วยให้ตาย หรือว่ามาเบียดเบียนอันตราย มันเป็นเรื่องอาณาจักรของความกลัว เขาเรียกกันอย่างนั้น ยิ่งพวกที่อยู่ในภาวะสงคราม มันจะยิ่งกลัวจนไม่รู้จะกลัวกันยังไง
ทีนี้มันก็มีธรรมะ หรือพระธรรม หรือปฏิบัติธรรมทางเดียวที่จะแยกออกมาเสียจากอย่างนั้น จากโลกอย่างนั้น จากแผ่นดินอย่างนั้นโดยจิตใจ ก็เลยไม่กลัว คือตายแล้วตั้งแต่ก่อนตาย พูดนี้ง่ายแต่ว่าทำนั้นยากแน่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่มีทางอื่นที่จะระงับความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดมาจากตัวกู-ของกู รวมถึงความกลัว นี้เป็นข้อใหญ่ ทางอื่นก็มันออกมาไม่ได้ มันก็ต้องเป็นทุกข์ เพราะมันออกมาไม่ได้จากแดนของความทุกข์ หรือกิเลส
มันมีทางธรรมะทางเดียว ที่จะถอยออกมาเสียจากโลกของผี คือโลกของกิเลส โลกของตัวกู-ของกู โลกของความยึดมั่นถือมั่น ถอยออกมาเสียได้โดยจิตใจ มาอยู่อีกโลกหนึ่งซึ่งสะอาดสว่างสงบยิ่งขึ้น ๆ เท่าที่มันจะถอยออกมาได้มากเท่าไร นี้ว่าจิตใจมันสูงขึ้น ๆ เป็นมนุษย์จริง ๆ ถ้าไม่ทำอย่างนี้มันก็จมอยู่ที่นั่น และมันอาจจะจมลงมากกว่าอีกก็ได้ เพราะว่าโอกาสที่จะจมมีมาก มันมีสิ่งที่จะทำอันตราย หลอกล่อยั่วยวนนี้มันมาก พอมันเผลอมันก็จมลงยิ่งไปกว่าเดิม
ถ้ามันถอยขึ้นมาเสียได้ อยู่ระดับที่ว่าปลอดภัยแน่ ไม่กลับตกอีก ก็จะเรียกว่าพระโสดาบัน คือผู้แรกถึงกระแสแห่งนิพพาน ความรู้สึกของจิตใจมันสูงชนิดที่จะกลับตกไปสู่ความทุกข์แบบนั้นไม่ได้อีก แต่ว่าอย่างนี้ก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางของฝ่ายสูง อย่างนี้เขาเรียกว่าพระโสดาบัน มันแรกถึงต้นทางของที่จะไปทางสูงสุดหลุดพ้น ไปได้อีก ต่อไปอีกก็เป็นพระสกิทาคา พระอนาคาไป พอถึงปลายทางก็เป็นพระอรหันต์ คือการที่จิตมันถอยออกมาเสียจากโลกของผีสิง โลกผีสิง มาสู่โลกที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี คือโลกไม่มีผี ไม่มีผีสิง คือโลกแห่งความสะอาดสว่างสงบ ในทางจิตทางวิญญาณมากขึ้น ๆ จนถึงที่สุดเป็นพระอรหันต์ ก็เรียกว่าเหนือโลก
ถ้าจะเรียกว่าโลกพระอริยเจ้านี้ก็เป็นเรื่องสมมุติ เพราะว่าพระอริยเจ้าต้องการจะถอยมาจากโลก ถอยมาเสียจากสิ่งที่เรียกว่าโลก เพราะว่าโลกนี้เป็นสิ่งที่หลอกลวง หรือแตกแน่ ทำลายแน่ เป็นทุกข์แน่ คำนี้มันแปลว่าแตกแน่ ทำลายแน่ ทุกข์แน่ โลกที่แท้จริงที่สุดนั้นอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ระวังให้ดี โลกแผ่นดินนั้นมันก็ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไปรับเอาโลกแผ่นดิน หรือว่าโลกสิ่งต่าง ๆ เข้ามาข้างในในลักษณะอย่างไร เป็นเรื่องสร้างโลกกันใหม่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ สร้างอะไรเอาก็ได้ตามชอบใจของกิเลส หรือว่าถ้ามีปัญญาก็เรียกว่าตามชอบใจของปัญญา
ใครจะเป็นคนไหน จะเป็นกิเลสหรือจะเป็นปัญญา จะเป็นอะไรได้โดยวิธีใด ก็เป็นเรื่องของปัญญา คือว่าถูกเข้าก็เข็ดหลาบ เข็ดหลาบก็เริ่มสนใจที่จะระวังไม่ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้พลัดตกไปอย่างนั้น นี้เป็นหน้าที่ของจิตเองที่ธรรมดายังไม่เป็นอะไร พอไปมีความทุกข์เข้ามันก็เกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ เข็ดหลาบต่อความทุกข์ ไม่กล้าคิดไปทำนองนั้นอีก ทีนี้เผลอบ่อย ๆ มันก็มีสติเหนี่ยวรั้งไว้ ความรู้เรื่องสติปัญญาต้องมาก่อน รู้ว่าจะต้องเอาอย่างนี้แล้ว จะต้องถอยอย่างนี้แล้ว หรือจะต้องลอยขึ้นไปอย่างนี้แล้วก็ตามใจ แล้วแต่จะเรียกจะพูด มันเผลอตกลงมาบ่อย ๆ จมไปบ่อย ๆ ต้องมีสติให้พอ นานเข้าก็มันเปลี่ยนนิสัย เพราะร่างกายนี้ ก็จิตดวงนี้ ก็ว่าบ้านว่างบ้านร้างอย่างพระพุทธเจ้าท่านตรัสนี่ ใครมาอยู่ครองได้บ่อย ๆ นั้นจะเป็นเจ้าของ ถ้าสติปัญญาเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็เป็นพระอริยเจ้ามาอยู่บ่อย ๆ เข้า มันก็ดีไป ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ ทีนี้จะมากันอย่างไร จะทำกันอย่างไร โดยรายละเอียดนั้นมันละเอียดมาก พูดกันหลายชั่วโมงแล้วเรื่องปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น จะช่วยอธิบายเรื่องนี้ มันปรุงขึ้นมาอย่างไร กลายเป็นผีมีความทุกข์ มันปรุงขึ้นมาอย่างไร กลายเป็นพระไม่มีความทุกข์ จิตมันได้อย่างนั้น ระวังด้วยสติอย่างไร จึงจะไม่เกิดปรุงชนิดที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นมา
ทีนี้เมื่อคนหนึ่งมันเป็นอย่างนี้ มันทำได้อย่างนี้ แล้วก็สอนให้เข้าใจกันมาก ๆ ขึ้น มันก็คงจะมากขึ้น ๆ จนว่าส่วนมากของคนทั้งโลกนี้ มันกลัวความทุกข์ กลัวผีแบบนี้ กลัวผีตัวกู-ของกู คือความเห็นแก่ตัว หรือกิเลสกันแบบนี้ โลกนี้มันก็จะกลายกลับเป็นอย่างอื่น คือกลายเป็นโลกของคนที่ไม่เห็นแก่ตัวได้ในเวลาอันสมควร นี้จะไม่เป็นผี จะไม่เป็นโลกผีได้ก็เพราะเหตุนี้
ทีนี้ถ้ามันเห็นแก่ตัว ๆ เข้มงวดกวดขันมาก มันจะเป็นผีที่เลวที่สุด พวกโลกนี้ เป็นโลกของผีชั้นเลวที่สุด กระทั่งว่าไม่รับผิดชอบอะไร ที่จะฆ่ากันทำลายกันอย่างแต่ละฝ่ายไม่มีค่า ไม่มีคุณค่าไม่มีความหมาย เหมือนกับตบยุง เหมือนกับฆ่าปูฆ่าปลาขึ้นมา ไม่ได้คิดนึกอะไรกันมาก เพราะเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ก็เรียกว่าโลกผีถึงที่สุด อาละวาดที่สุด สมัยที่เรียกว่ามิคสัญญี หรือเป็นสัตถันตรกัปป์ อย่างที่เรียกไว้ในคัมภีร์ที่ได้เคยเอามาพูดให้ฟังแล้ว เป็นกัปป์หรือเป็นยุคชนิดที่นิยมการใช้อาวุธ ใช้อาวุธเป็นเครื่องเผด็จหรือบันดาลอะไรทุกอย่างเลย นี่ก็เรียกว่ามิคสัญญี ยุคสัตถันตรกัปป์ แล้วแต่จะเรียกอันไหน นี่โลกผีอาละวาดถึงที่สุด บ้าคลั่งถึงที่สุด เพราะความเห็นแก่ตัวอย่างเดียว คือตัวกู-ของกูอย่างเดียว เพราะฉะนั้นคุณก็ไปมองดูเอาเองว่าโลกนี้ ปัจจุบันนี้ กำลังเป็นโลกของผี หรือเป็นโลกของอะไรกันแน่ แต่ผมมองเห็นว่ามันง่าย ๆ ถ้ามีตัวกู-ของกูอาละวาด จัดไปหมดว่าเป็นผีบ้า เป็นโลกของผีบ้า ผีธรรมดามันก็เลวร้ายพออยู่แล้ว มันบ้าเข้าอีก มันจะเลวร้ายเท่าไร
เวลานี้เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ มีจิตใจเป็นอย่างอื่น หรือว่าระงับไปจากตัวกู-ของกู หรือว่ากลัวความเกิดขึ้นแห่งตัวกู-ของกู นี้มันก็เรียกว่าอยู่คนละโลกอยู่แล้ว ดูสิ คือไม่มีปัญหาทางจิตทางวิญญาณ เหมือนกับพวกที่เขากำลังอยู่ในโลกของตัวกู-ของกู ของผี นี่พระมาบวชอย่างนี้ โอกาสมันมีมากที่จะอยู่ด้วยความว่างจากผี มันมีได้ง่ายมาก ชาวบ้านก็น่าเห็นใจ มันลำบากยุ่งยาก มันมีแต่สิ่งที่จะทำให้เกิดนั่นนี่ขึ้นมา จนเป็นตัวกู-ของกูจนได้ แล้วก็ไม่มีทางอย่างอื่น ไม่มีช่องโอกาสอันอื่นที่จะรอดจากความทุกข์นี้ได้ นอกจากทำลาย ต่อสู้หรือทำลายกันไปตามเรื่อง ผีหรือกิเลสจะค่อย ๆ เบาบางไป ปล่อยให้กิเลสเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ผีมันก็เข้มข้นขึ้นครั้งหนึ่ง นี่โดยหลักที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า มันมีราคะครั้งหนึ่งก็เกิดราคานุสัยเพิ่มขึ้นครั้งหนึ่ง เกิดความโกรธครั้งหนึ่งก็มีปฏิฆานุสัยเพิ่มขึ้นครั้งหนึ่ง หรือว่าเกิดโมหะอทุกขมสุขเวทนาก็ตาม มันก็เพิ่มอวิชชานุสัยครั้งหนึ่ง
พูดให้ชัดให้ชาวบ้านฟังง่ายก็ว่า ไปรักเข้าครั้งหนึ่ง คือว่ารักทางโง่ ทางกามอารมณ์ ทางอวิชชา ไปรักเข้าครั้งหนึ่ง ก็จะเพิ่มนิสัยแห่งความรัก คือราคานุสัย ก็จะเป็นผีแบบนั้นเข้มข้นขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง เพิ่มขึ้นทีละหน่วย ๆ ไปโกรธไปเกลียดใครเข้า ไปพยาบาทใครเข้าทีหนึ่ง ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่มันจะเพิ่มปฏิฆานุสัย คือเชื้อที่จะเคยชินสำหรับจะโกรธ จะมาก จะรุนแรงขึ้น พูดตรง ๆ ก็ได้ว่าเราไปรักครั้งหนึ่ง ความเคยชินที่จะรักนี้จะเพิ่มขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง ไปโกรธเขาครั้งหนึ่ง ความเคยชินที่จะโกรธมันจะไปเพิ่มขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง ที่ไปโง่ไปหลงครั้งหนึ่งก็จะไปเพิ่มความโง่ อวิชชานี้ขึ้น ที่เป็นอนุสัย เคยชินขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง ที่ว่าโกรธกี่ครั้ง รักกี่ครั้ง เกลียดกี่ครั้ง กลัวกี่ครั้งอะไรก็ครั้ง มันก็มีแต่เพิ่ม หมายความว่าความเป็นผีชนิดที่มันจะมั่นคง มันจะมากขึ้น ๆ ก็เรียกให้อาหารเลี้ยงผีไว้ ผีมันก็ยิ่งแข็งแรง ยิ่งหนักแน่น ยิ่งเหนียวแน่น ยิ่งทำลายยาก
ระวังอย่าให้มันไปโกรธเข้า ไปเกลียดเข้า ไปกลัวเข้า ไปรักเข้า ไปหลงเข้า มันก็เป็นการลดอาหารผีลงแต่ละวัน ๆ ผีก็คงจะผอมลง ๆ แล้วเหือดแห้งหายไปในที่สุด ก็มีเหลืออยู่แต่ธรรมะหรือสติปัญญา ในที่สุดก็มีแต่คนที่มิใช่ผี เป็นคนเป็นมนุษย์ที่ดี โลกนี้ก็จะเป็นโลกมนุษย์ขึ้นมา
อย่าลืมว่าจิตนี้ไว หรือกลับกลอก เคยเรียนบาลีมาแล้วก็ ผันทะนัง จะปะลัง จิตตัง มันเป็นสิ่งที่รวดเร็วว่องไวกลับกลอก ยากที่จะบังคับได้ ทุนนิวาระยัง ทุกขะหัง มันยากที่จะควบคุมได้ ยากที่จะบังคับได้ มันเป็นลักษณะของจิต แต่มิได้หมายความว่ามันจะเป็นผีหรือเป็นคนมาแต่เดิม มันมีลักษณะอย่างนั้นเอง มันรู้สึกเร็ว มันอะไรได้เร็ว เปลี่ยนได้เร็ว ก็ต้องมีวิธีทำชนิดที่ให้จิตนั้นมันเป็นไปแต่ในทางที่ดี จะเอาใครที่ไหนมาทำ มันก็ต้องเอาความเจ็บปวดนั่นแหละ ให้มันชิมดู มันก็หลาบ มันก็จำ มันก็เข็ดหลาบ มันไม่กล้าปล่อยให้ไปในทางที่จะผิดหรือเจ็บปวด มันเป็นความรู้สึกได้เองของสิ่งที่เรียกว่าจิต รู้สึกได้ คิดนึกได้ จำได้ แล้วก็เก็บความจำอะไรไว้ได้ คนจึงรู้อะไรมากขึ้นไปในทางที่จะดีขี้น หรือว่าจะดับทุกข์ได้
ก็ลองคิดดูทีว่าพระพุทธเจ้านั้นใครสอน มันก็ความทุกข์นั่นแหละสอน หรือว่าบางอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็เรียนมาจากคนอื่นทีแรก ๆ แล้วครูของท่านน่ะใครสอน มันก็เรื่องความทุกข์ทั้งนั้น เพราะเราเชื่อได้ว่าทีแรกมันเป็นคนป่าที่ไม่รู้อะไร แล้วอะไรมันสอนล่ะ ที่ค่อย ๆ ละสภาพความเป็นคนป่ามาเป็นคนบ้านเมืองนี้ มันความทุกข์ทั้งนั้นละ สอน อยู่อย่างนี้มันทุกข์ทนไม่ไหว มันก็ดิ้นรนแก้ไข จนอยู่บ้านอยู่เรือน จนรู้จักทำอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเดี๋ยวนี้ นี่มันเป็นเรื่องร่างกาย มีวิวัฒนาการมาด้วยความทุกข์มันสอน
ทีนี้ทางจิตก็เหมือนกัน พอไปรักเข้ามันก็เป็นไฟ พอไปโกรธเข้ามันก็เป็นไฟ ไปโง่เข้าก็เป็นไฟ หรือเป็นทุกข์เป็นเครื่องเสียดแทง เป็นเครื่องผูกพันเป็นเครื่องห่อหุ้ม แล้วแต่ว่ามันเป็นกรณีอย่างไร ความเจ็บปวดนี้ทำให้รู้จักเข็ดหลาบ ความเข็ดหลาบนี้มันเป็นปัญญา ให้มีสติควบคุมอย่าให้เผลอ มีหิริโอตัปปะ ละอายและกลัว ในเมื่อมันทำผิด ถ้ามีอย่างนี้มันก็ดีขึ้น ๆ เอง แปลว่าธรรมะนี้มันจะเปลี่ยนได้ ที่จากเป็นอกุศลมาเป็นกุศลได้ จากผิดมาเป็นถูกได้ จากชั่วมาเป็นดีได้ เพราะความเจ็บปวดทำให้เกิดความเข็ดหลาบ เข็ดหลาบก็หาทางที่จะไม่ต้องเป็นอย่างนั้น นี้ก็คือปัญญา
เรื่องปฏิจจสมุปบาท ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น ตั้งต้นตั้งแต่โง่จนเกิดทุกข์ พอทุกข์แล้วก็หาทางออก เกิดศรัทธา เกิดการแสวงหาหนทางที่จะไปนิพพาน ที่จะลุถึงนิพพาน ถ้าความทุกข์ไม่บีบคั้น แล้วใครคนไหนมันจะต้องการนิพพาน นี่ว่ากันตามแท้จริง ถ้าความทุกข์ไม่บีบคั้น เราจะหาเงินไปทำไม เรียกว่าเรื่องปากเรื่องท้อง หรือจะหาทรัพย์สมบัติ หากำลังไปทำไม ถ้าความทุกข์ไม่บีบคั้น ความทุกข์ทางกายบีบคั้นก็หาทางแก้ที่ทางกาย ถ้าความทุกข์ทางจิตทางวิญญาณบีบคั้น ก็หาเครื่องแก้ทุกข์ทางจิตทางวิญญาณ นี่เรื่องธรรมะ กระทั่งออกไปพ้นกองทุกข์นี้ ก็เรียกว่านิพพาน แล้วก็ล้วนแต่ไม่อยู่ที่ไหน อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่อาศัยอยู่ที่ร่างกายที่ยาวประมาณสักวาหนึ่ง ของคนที่ยังเป็น ๆ คนตายแล้วไม่ต้องพูด เพราะมันทำอะไรไม่ได้ มันแก้ไขไม่ได้ หลังจากตายแล้วอย่าเพ่อพูด
ทำยังเป็น ๆ อยู่นี่ให้ถูกต้องให้ดี ทำไปเกิดใหม่อีกมันต้องดีแน่ ในเมื่อมีการทำที่นี้เดี๋ยวนี้ถูกต้อง เมื่อเป็น ๆ ทำให้ถูกต้อง ทำถึงที่สุดเสีย ไม่มีความทุกข์เสีย ตายแล้วใครจะเป็นคนทำใครจะบังคับได้ ใครจะไปอะไรก็ยังไม่แน่ทั้งนั้น จะพูดว่าเกิดอีกหรือไม่เกิดอีกก็ไม่ถูกทั้งนั้นแหละ มันผิดทั้งนั้นเพราะว่าเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้มีอยู่จริง มันมีแต่ผีนี่ มีแต่กิเลส หรือการปรุงตามกิเลส ส่วนใหญ่มีแต่ผี ไม่ใช่เราที่แท้จริง จัดการสู้รบกันที่ตรงนี้แหละ ให้อดทนเหมือนเห้งเจียในเรื่องไซอิ๋ว มันต่อสู้ไม่รู้จักกี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้งไม่มีทางจะพลาดหรือว่ายอมแพ้แต่ทีแรก หนังสือไซอิ๋วมันไม่ใช่เป็นเรื่องโง่ ๆ มันเป็นเรื่องสอนให้อดทน ให้หัดไหวพริบ และที่ดีที่สุดเรื่องหลุดพ้นตอนปลาย เห้งเจียอ่านพระไตรปิฎกที่เป็นกระดาษเปล่าได้ พระถังซัมจั๋งเองก็ยังอ่านไม่ได้ คิดดู ต้องการพระไตรปิฎกที่เป็นตัวหนังสืออย่างนี้ เป็นต้น พระไตรปิฎกที่แท้จริงที่เขาให้ทีแรกเป็นกระดาษที่ว่าง ที่ไม่มีหนังสือ ไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าอ่านหนังสือแบบนี้บ้าง ก็ให้มันรู้ว่าเขามุ่งหมายจะสอนอะไรแก่คนชั้นต่ำสุด แม้แต่เด็ก ๆ ให้มีความอดทนต่อสู้ไม่ยอมแพ้ และมีความเฉลียวฉลาดด้วย แล้วในที่สุดไปจบที่ความว่าง
พระไตรปิฎกที่ไม่มีหนังสือ ไม่มีตัวหนังสือมีแต่กระดาษเปล่านั้นแหละ พระไตรปิฎกที่แท้จริง พระไตรปิฏกที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือยังไม่ใช่พระไตรปิฎกที่แท้จริง แต่คนทั้งหลายไม่รู้ไม่เอา เห้งเจีย ลิงสัปดนนั้นมันกลับอ่านออก คิดดูสิ นี่มันเป็นเรื่องที่น่าหัว ที่เขาแต่งธรรมะทั่ว ๆ ไป เรื่องชั้นลึกไว้ในนิยายอ่านเล่นเรื่องไซอิ๋ว ผมทีแรกก็ไม่สนใจ พอไปเปิดดูใบท้าย ๆ อ้าว มันก็เป็นเรื่องสอนธรรมะโดยทางปริศนา เหมือนที่เขาเขียนภาพในนี้
ทำให้จิตมันอยู่ด้วยความว่างจากตัวกู-ของกู ก็คือไม่มีผี จิตนี้ไม่ถูกผียึดครอง มันว่างจากตัวกู-ของกู พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความตาย ทำอย่างไรความตายจะไม่ครอบงำ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุญญะโต โลกัง อะเวกขัสสุ โมฆะราชะ สะทา สะโต ก็ที่เรียนนักธรรมก็ท่องได้กันทั้งนั้น แต่มันคงจะท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ไม่เห็นเป็นว่าว่าง ว่างจากตัวกู-ของกู มันก็มีตัวกู-ของกูให้ความตายครอบงำย่ำยีเล่นเรื่อย นี่ก็เป็นเหยื่อของกิเลส ของผี ของอะไรอยู่เรื่อย
เพราะฉะนั้นเป็นอันว่า วันนี้เราพูดกันโดยหัวข้อว่า โลกธรรมดานี้มันเป็นโลกของผี โลกที่ปล่อยไปตามกระแสแห่งการปรุงแต่งของกิเลส ของบุคคลผู้ไม่รู้ นี้เป็นโลกของผี เดี๋ยวผีนั้นเข้ามา เดี๋ยวผีนี้เข้ามา แล้วแต่จะชื่ออะไรตามชื่อของกิเลสทั้งหลาย เป็นผีตัวโต ๆ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นผีตัวเล็ก ๆ ที่แยกออกไปมากมาย ทั้งหมดนี้ก็มาจากอวิชชา คือความไม่รู้ ออกมาเป็นตัณหาอุปาทาน และผีทุกชนิดเห็นแก่ตัว เป็นเรื่องของการเห็นแก่ตัวเหมือนกันหมด เรียกว่าโลกนี้ โลกชนิดนี้เป็นโลกของผี ก็ถือว่าโลกนี้เป็นโลกของผี ต่อเมื่อไรเป็นโลกุตตระก็จะพ้นจากผี พ้นจากความเป็นโลกผี ถ้าขึ้นชื่อว่าโลกียะก็ถือไว้ได้เลยก็จัดไว้ได้เลยว่าเป็นโลกของผี เว้นแต่จะเป็นโลกุตตระ จะพ้นความเป็นโลกของผี
ผมคนเดียวเขาก็ด่าผมคนเดียว คุณไม่ต้องกลัว แต่ช่วยไปคิดไปนึกให้มันมาก ให้มันเข้าใจ ให้มันดับทุกข์ส่วนตัวได้เป็นคน ๆ ไป ช่วยกันทำให้บ้านเมืองนี้โลกนี้ ไม่เป็นโลกของผีอีกต่อไป ตั้งจิตไว้ถูก ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่ที่สิงสถิตย์ของผี ร่างกายนี้เป็นที่สิงสถิตย์ของคน ของมนุษย์ที่ดี ทีนี้พอกลับขึ้นไปบนกุฏิ ไปนั่งไปนอนในกุฏินั้นก็คงจะไม่ใช่กุฏิของผี เพราะว่าพระหรือเณรองค์ที่พาขึ้นไปนั้นมีจิตใจที่ถูกต้อง วัดนี้ก็จะไม่กลายเป็นวัดของผีได้ ถ้าทุกคนไม่เป็นผี ช่วยกันรับผิดชอบหน่อย ถ้าเผลอเมื่อไรผีก็เข้ายึดครอง แม้แต่ว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา ร่างกายหรือที่ใดของเรา กระทั่งบ้านเรือน กุฏิที่เราอาศัยอยู่ มันจะกลายเป็นเรื่องผี เรื่องของผีเรื่องอะไรหมด เผลอนิดเดียว
นี้คือข้อที่ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แล้วก็ประมาทไม่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วพระพุทธเจ้าคงจะไม่ตรัสแล้วตรัสเล่า สอนแล้วสอนเล่าว่าอย่าประมาทเลย ๆ มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ทำง่ายๆ ไม่ใช่ตัวทำได้ง่ายๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้และไม่มีการทำ อย่าว่าจะทำได้ หรือทำยากทำง่าย มันไม่มีการทำ ต้องตั้งต้นมาจากความทุกข์ ถ้ามีปัญหาต้องแก้ความทุกข์นั้น โดยค้นให้พบว่า อ้าว, มันมาจากการยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู-ของกู ในแง่ใดแง่หนึ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง ปริยายใดปริยายหนึ่ง ก็รีบแก้ไขในส่วนนั้น จึงจะมีการตั้งต้นของความรู้ ของการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
ให้ชีวิตร่างกายสังขารกลุ่มนี้มันเป็นที่ตั้งที่สถิตย์ของพระธรรม คือของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่จะทำให้มีพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริงอยู่ในจิตใจนี้ อยู่ในตัวนี้ร่างกายนี้ ไม่ใช่ว่าเอาพระเครื่องมาแขวนกันแล้วมันจะเป็นร่างกายของพระพุทธเจ้าได้ มันต้องทำให้ถูกตามความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระเครื่องเป็นสัญลักษณ์อีกทีหนึ่ง เป็นเพียงสัญลักษณ์คอยเตือนใจ เราท่องสวดมนต์ท่องอะไรก็เหมือนกัน เพียงแต่ท่องมันก็ยังไม่แก้ได้ มันต้องปฏิบัติให้ถูกตามที่ท่องด้วย แล้วเกิดเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาเอง ความรู้ที่ถูกต้องเป็นพระพุทธเจ้า จิตที่มันรู้ มันเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระธรรม พระสงฆ์อะไรได้ในตัวมันเอง ในตัวจิตเอง ให้อบรมจิตเป็นไปในทางที่สะอาดสว่างสงบ โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง อาศัยความเข็ดหลาบเป็นเดิมพัน ใครโดนความทุกข์เข้ามาก คนนั้นก็จะมีเดิมพันมาก คือจะเอาจริงหน่อย นอกนั้นก็ไม่ค่อยจะเอาจริงนัก โลเลอยู่ มันยังมีการหลอกของกิเลสได้อยู่ ก็เลยจะต้องทนอยู่ในโลกที่มันเป็นโลกของผีต่อไป
อวิชชาคือผี จำไว้เถอะ ยังอยู่ใต้อำนาจของอวิชชา ก็ยังอยู่ใต้อำนาจของผี ในโลกของผีอยู่เรื่อยไป ถ้าจะให้มันเร็วเข้าก็รีบเถอะ รีบคิดรีบนึก รีบพิจารณาศึกษาความทุกข์ที่มาจากกิเลส ที่มาจากอวิชชา ถ้าเร็วกว่านั้นอีกก็ชักชวนเพื่อนฝูงมาช่วยกันคิดกันนึกกันสังเกต ให้มันรู้เร็ว ๆ ทำอะไรมีเพื่อนนี้ก็เร็วกว่าที่ไม่มีเพื่อน แม้แต่เป็นสามีภรรยากัน ก็ขอให้เป็นไปในลักษณะที่ช่วยกันแก้ไขความทุกข์ได้เร็ว ๆ อย่ามาเพิ่มความทุกข์ให้มันมากขึ้นส่วนหนึ่งต่างหาก ช่วยกันเพิ่มความทุกข์ให้แก่กันอย่างนี้ มันเป็นผัวผี เป็นผัวผีเมียผีมันก็ต้องแย่แล้ว มันต้องเป็นคู่ที่ช่วยกันแก้ไขให้ไม่มีความทุกข์ หรือว่าภัย นี้เรียกว่าเป็นมนุษย์ คือใจสูงขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้น สงบขึ้น เรียกว่ามนุษย์ นี้ก็จะเป็นมนุษย์ แล้วก็จะพ้นจากความเป็นมนุษย์ธรรมดา เป็นมนุษย์อริยเจ้า หรือไม่เป็นมนุษย์อะไรเลย คือว่ามันสูงเหนือความที่ควรอยากว่าเป็นอะไร
นี้การที่จะอยู่ร่วมโลกกับผีต้องทำอย่างนี้ โลกนี้กำลังเป็นโลกของผี เมื่อเรายังแยกออกไปไม่ได้ เราจะต่อสู้อย่างไร ป้องกันอย่างไร กว่าจะแยกออกไปได้แม้จะโดยทางจิตใจ เอาละพอที