แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ คนไหนที่จะพูดกับผม เอามาสิ เอาเพื่อนมาสิ เพื่อนที่จะกลับวันนี้กี่คนเอามาสิ เณรด้วย ต้องการเณรด้วย เณรที่เพิ่งมา หรือเณรที่ 2 ชุดน่ะ องค์ที่จะกลับน่ะมาใกล้ๆนี้ มานั่งแถวหน้า
วันนี้เราพูดกันถึงเรื่องว่า ควรจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการทำสมาธิ ชนิดที่พอเหมาะกับเด็กนักเรียน นักศึกษาหรือนิสิต มันก็ต้องรับรู้บ้าง เกี่ยวกับสมาธินี่ ขอให้เข้าใจว่ามันเหมือนกับสิ่งสารพัดนึกในทางเรื่องของจิตใจ เขาเรียกว่าสิ่งสารพัดนึกในเรื่องทางจิตใจ เช่นเดียวกับว่าเงินเนี่ยมันเป็นสารพัดนึกทางวัตถุ แต่ถ้าเรื่องทางจิตใจก็เป็นเรื่องสมาธิเนี่ย จะเป็นเรื่องสารพัดนึกที่เราจะใช้อะไรก็ได้ ถ้ามันเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ในทางจิตใจแล้วไปคู่กันกับร่างกายแล้วไปใช้บังคับร่างกายได้อีกต่อหนึ่ง เนื่องจากไอ้ความสุขนี่มันเป็นเรื่องทางจิตใจ ร่างกาย ทางร่างกายขึ้นอยู่กับจิตใจเป็นส่วนใหญ่ นี่เขาค้นคว้าจนพบเรื่องไอ้เรื่องที่เกี่ยวกับสมาธิ มันคือเป็นอุบายที่จะใช้จิตใจให้เป็นประโยชน์ที่สุดที่จะเป็นได้ นี่เขาเรียกว่าสมาธิภาวนา คือการทำจิตให้เจริญด้วยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ ถ้าเป็นเรื่องทางโลกๆ เช่นเป็นนักเรียนนี่เราก็ต้องการจิตที่มันดี ที่เจริญ จิตที่เจริญ เช่น จำเก่ง นึกเร็ว เช่นตัดสินใจเร็ว อะไรทำนองนี้ ไม่หวั่นไหวง่าย สุขุมรอบคอบ คือไม่ประหม่า ไม่สะทกสะท้าน นี่แม้จะเป็นนักเรียนมันก็ยังมีประโยชน์อย่างนี้ นี่ถ้าเป็นนักรบ นักสู้ นักต่อสู้ นักรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมัยโบราณที่เขารบกันด้วยอาวุธสั้น ตัวต่อตัวยิ่งต้องมีจิต..ยิ่งต้องการจิตที่มันดี ถ้าจิตไม่ดีมันก็แพ้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว จะต้องมีจิตที่แคล่วคล่องว่องไวไหวพริบทุกอย่าง การอบรมจิตนี่มีประโยชน์ในทุกด้าน คือว่าไม่มีอะไรหรอกที่ว่าจะไม่..จะไม่ต้องการใช้จิตที่ดีให้เป็นประโยชน์น่ะ ช่วยกันจำไว้อย่างนี้ เราอาจจะบังคับร่างกายได้ด้วยจิต บังคับร่างกายโดยผ่านทางจิต หรือบางทีก็สวนกลับมาถ้าบังคับร่างกายได้มันก็บังคับจิตใจส่วนที่เกี่ยวเนื่องอยู่กับจิตได้เหมือนกัน มันก็เกี่ยวกันอยู่ แต่ว่าส่วนใหญ่มันก็เกี่ยวกับจิต คนที่มีกำลังใจสูงก็ทำอะไรได้มาก มีกำลังใจเข้มแข็งก็ทำได้ทน และต่อสู้ได้ดี เดี๋ยวนี้เราอย่าเอาให้มากถึงขนาดนั้น เพราะว่าเรากำลังเป็นเด็ก ไม่ว่าเด็กนักเรียนอย่างเณร เณรตัวเล็กนี่เรียนชั้นไหน..หา..ตัวเล็กกว่าเพื่อนนี่เรียนชั้นไหน (เณร : ขึ้น ป.7 ปีนี้) ขึ้น ป.7 ปีนี้ ก็สงสัยว่ามา..มาเพื่อจะมาหาความรู้อะไรที่นี่ แล้วก็นี่ล่ะคนที่ 2 นี่ล่ะ (เณร: ป.4 ขึ้น ป.5 ครับ) ป.4 ขึ้น ป.5 แล้วนี่ล่ะ (เณร: ป.6 ขึ้น ป.7) แล้วคุณล่ะ (เณร: มศ.4 ขึ้น มศ.5) นี่ มศ.4 มศ.5 ไกลกันอยู่ ไม่เคยสอบไล่ตกเลย? เคยสอบไล่ตกมั๊ย..ไม่เคยทั้งนั้น? การเล่าเรียนต้องการร่างกายดี ต้องการอนามัยดี ต้องการจิตใจดี ทีนี้เราก็เพียงแต่ว่ามุ่งหมายให้ประโยชน์ในการศึกษา ไม่ได้ทำสมาธิเพื่อให้มรรคผลนิพพาน แต่มันก็เป็นประโยชน์ เป็นการทำร่องรอยที่ดีไว้ ทีนี้ว่าบวชเณร บวชพระกันทั้งทีก็ควรต้องรู้จักการทำสมาธิบ้าง ก็เลย..วันนี้จะพูดเรื่องสมาธิบ้าง เนื่องจากชุดหนึ่งเขาจะกลับ ก็ควรจะได้ฟังเรื่องนี้บ้าง วันนี้จึงเปลี่ยนเป็นเรื่องสมาธิ ทำการอธิบายเรื่องสมาธิ
สมาธิที่ง่าย ที่ไม่มีอันตราย ที่สะดวก นี่เรียกว่า “อาณาปานสติ” ก็จะเล่าเรื่องให้ฟังหลักอาณาปานสติเสียก่อน เราก็หายใจกันอยู่ทุกคนตลอดเวลา ฉะนั้นจึงสะดวกที่ว่าเราจะทำสมาธิโดยอาศัยการหายใจเป็นหลักหรือเป็นบทเรียน เป็นการฝึกให้การหายใจมันดีที่สุดด้วย เพื่อให้ร่างกายเราสบาย เมื่อการหายใจดีที่สุดร่างกายเราสบาย นี่เป็นเรื่องที่ควรจะรู้ได้เองทุกคน คราวนี้การหายใจที่ถูกต้องตามวิธีนี้มันยังมีผลในทางจิตส่วนหนึ่ง การทำสมาธิที่เรียกกันว่า “วิปัสสนาธุระ” นี้มีอยู่ 2 ตอน ตอนที่ทำจิตให้เป็นสมาธินี้ตอนนึง ตอนทำจิตให้เห็นแจ้งความจริงเรียกว่าต้องการจะเห็นแจ้งตอนนึง อย่าเอาไปปนกัน ตอนแรกนี้เขาเรียกว่า “สมาธิ” หรือว่า “สมถะ” โดยตรง ทำจิตให้มันสงบ ให้มันดี ในการที่จะทำหน้าที่ของจิต แค่นี้เท่านี้ก่อน และพอถึงตอนที่ให้จิตพิจารณาความจริงจนรู้ความจริงแล้วก็อีกตอนนึง ทีนี้เขาเรียกว่า “วิปัสสนา” หรือ “สมาธิภาวนา” อีกชั้นนึง ทีนี้เราจะพูดกันในตอนแรกนี้ที่ว่าทำจิตให้เป็นสมาธิที่จะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ได้ในตอนหลัง สามารถอธิบายตามหลักที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์มันยืดยาด ยืดยาว ซับซ้อน จะปรับปรุงเอามาให้พอเหมาะสมกับที่สามเณรก็จะจำได้ สบายใจได้ ถ้าให้เป็นสมาธิก็คือจิตสงบที่ลมหายใจครั้งแรก ทุกครั้งที่หายใจ ครั้งต่อไปก็ใช้อย่างอื่นแทนกำหนดอยู่ทุกครั้งที่ลมหายใจ ยังหายใจอยู่แต่เอาเป็นว่ากำหนดลมหายใจได้ก็สมกันแล้ว นี่ก็จะเรียกว่า จะขอเรียกให้ฟังง่ายๆว่าวิ่งตามลม ลมหายใจเข้าก็เอาสติความรู้สึกของเราวิ่งตามเข้าไป ลมหายใจออกมาก็กำหนดวิ่งตามออกมา สมมติหรือทำ แสร้งทำ เหมือนกับว่าไอ้ลมหายใจนี่ที่วิ่งเข้าวิ่งออกๆนี่เป็นตัวอะไรสักตัวนึง แล้วจิตหรือสติของเราก็เหมือนกับเราเด็กวิ่งตามมันเรื่อย อย่างนี้ก็เรียกว่าวิ่งไล่ไปเรื่อย เข้าออกๆๆ พอจะเข้าใจได้หรือจำง่าย เรารู้อยู่แล้วว่าเราหายใจ หายใจเข้าหายใจออกๆ เหมือนการไล่ตามด้วยสติ กำหนดด้วยสติ เหมือนมีเด็กคนนึงไล่ตามสัตว์ วิ่งไปวิ่งมา วิ่งไปสุดนู้นก็กลับมาทางนี้ วิ่งมาสุดนี้ก็กลับไปทางนู้น วิ่งตามกันอยู่อย่างนี้ อย่าให้ขาดตอนได้ นี่ก็อันดับแรก ทำได้ก็เก่งไม่หยอกแล้วนะ ถ้าวิ่งตามเข้าไปเนี่ยบางทีไม่ทันถึงจุดทางนู้น สมมติว่าที่สุดอยู่ตรงนู้น ความคิดมันหนีไปที่อื่นแล้ว มันก็รู้สึกอยู่ที่กับสิ่งอื่นแล้ว ในช่วงเวลาที่เราหายใจเข้าไปประมาณ 1 วินาที ถ้าจะช้าที่สุดก็ราว 2..3 วินาที หายใจเข้าไปครั้งนึง หายใจออกครั้งนึง 2..3 วินาที 4..5 วินาที แล้วแต่จะหายใจช้าหรือหายใจเร็ว หายใจเร็วก็สั้น หายใจช้าก็ยาว ต้องสมมติให้เก่งหน่อยว่าลมหายใจนี่เหมือนกับสัตว์ชนิดหนึ่ง ตั้งต้นวิ่งจากปลายจมูกนี้วิ่งเข้าไปตามไอ้หลอดลม ผ่านลงไป สมมติ..สมมตินะว่ามีท่อลงไปถึงสะดือ เราเอาความสะเทือนเป็นหลัก เราไม่เอาความจริง..ข้อเท็จจริงของร่างกาย เรื่องปอด เรื่องอะไรนี่ไม่สนใจทั้งนั้น ให้ทำเหมือนกับว่ามันมีปล่อง..ปล่องสำหรับลมจะวิ่งไปวิ่งมาจากจมูกถึงสะดือ จากสะดือมาถึงจมูก ให้มันวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่อย่างนั้น เอาความกระเทือนนี้เป็นหลัก ความกระเทือนที่มันแสดงออกนี่ ให้เรารู้สึกได้ที่หลอดลม ลำคอ แล้วก็ที่ท้อง ความกระเพื่อมของมัน วิ่งตามจนทำให้ได้เสียก่อน จะกินเวลาสักเท่าไหร่ก็สุดแท้ 1 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ พยายามทำบ่อยๆ นี่เรียกว่าวิ่งตาม โดยความมุ่งหมายเพื่อจะทำให้มันเป็นสมาธิ ให้จิตเป็นสมาธิ ทีนี้ว่ามีผลพลอยได้ ทีนี้เราจะขจัดอารมณ์ร้ายๆ ความคิดที่ไม่ดีออกไปได้ด้วยการทำอย่างนี้ เช่นเราโกรธใครมา เรามานั่งทำอย่างนี้มันก็หายโกรธ หรือว่าเราเหนื่อยมา ไปทำอะไรเหนื่อยมา เรามานั่งทำอย่างนี้สิมันจะหายเหนื่อย หรือบางทีว่าเราหนวกหูไอ้สิ่งแวดล้อมข้างๆ เราลองทำอย่างนี้สิ มันจะไม่หนวกหู มันจะไม่ได้ยินไอ้ที่เขาทำอะไรหนวกหู ทีนี้คนเขลาๆก็ว่า เอ้า! ก็มันหนวกหู ทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องอ่อนแอเกินไป แล้วเรื่องการทำเพื่อแก้หนวก เพื่อที่จะไล่ความหนวกหูออกไป เขาบอกหนวกหูน่ะมันทำไม่ได้ คนมายาสาไถแล้วไม่จริง ส่งจิตเข้าไปข้างในแล้วหายใจให้มันแรงเข้า จนมีเสียงเกิดขึ้นจากการหายใจซู่ซ่าๆแล้วก็ฟังด้วย สติกำหนดด้วย หูฟังด้วย ก็ได้ยินข้างใน ไม่ได้ยินเสียงข้างนอก ตอนนี้ให้ทดลอง เมื่อกลับไปกรุงเทพคราวนี้เมื่อนั่งในรถไฟเราทำไม่รู้ไม่ชี้สมมติเราหลับตาเหมือนกับง่วงนอน ถ้าเรากำหนดอย่างที่ว่านี่จะไม่ได้ยินเสียงรถไฟ เสียงคนพูดเสียงอะไร ทำได้ แม้แต่เสียงที่มันดังอยู่ใต้ถุนรถดังก๊อกๆๆๆๆนี้ก็ไม่ได้ยินก็ได้ แต่ก็เสียงใต้ถุนรถที่ดังก๊อกๆๆๆมันสม่ำเสมอดี ลองเอาเสียงนั้นเป็นอารมณ์เสียทีหนึ่งก่อนก็ได้ แทนที่ไล่ลมหายใจเอาเสียงก๊อกๆๆใต้ถุนรถมากำหนดอยู่ที่นั่นก็ได้ แต่เราต้องการให้กำหนดลมหายใจ แล้วทีนี้เรื่องวิ่งตามนี้จะพูดกันอย่างเดียวมันก็ท่าจะเหลือน้อย ลองทำดูเลย มีคนสัปหงก ได้ยินด้วยหรอ..หา..ที่พูดนี่ได้ยินด้วยหรอ เราต้องนั่งตัวตรง หลังโก่งนั้นไม่ได้ หายใจไม่คล่อง แล้วก็นั่งขัดสมาธิด้วย นั่งขัดสมาธิด้วย..นี่นั่งขัดสมาธิแล้วหรอ..หืม..ออกขาให้เห็นซิ..ออกให้เห็นขาซิ เห็นเท้าซิ เอาเท้าออกมาให้เห็นซิ เอาเท้าออกมาให้เห็น เอาผ้าเข้าไปเสีย ตรงกลางๆ (นาทีที่ 18:23) นั่นให้ห่างกันหน่อย เบียดกันนัก นั่งขัดสมาธิสิ ให้เห็นเท้า 2 เท้าสิ แถวหน้านี่ทั้งหมดเนี่ยลองพยายามทำ ออกขา(นาทีที่ 18:45)ให้เห็น ก็จะดูว่าขามันถูกหรือไม่ถูก ถ้ามันเหยียดขาออกมา เหยียดขาออกมาแล้วชักกลับเข้าไป ทางซ้ายก่อน ทางขวาทีหลัง ...(นาทีที่ 19:04)เคยทำทั้งนั้นเลย ก้มอย่างนี้ไม่ได้ หายใจไม่คล่อง ยืดตรงๆ..อีก ยืดให้ตรงอีกสิ มันยัง(นาทีที่ 19:15)ก้ม
เอ้า! พูดเรื่องนั่งก่อน เราเป็นคนไทยแล้วก็ได้รับวัฒนธรรมอินเดียมาหลายสิบชั่วคนแล้ว การนั่งขัดสมาธิได้ไม่ใช่ฝรั่งไม่ใช่จีน พวกฝรั่งเขาขัดสมาธิไม่ได้ …(นาทีที่ 19:42) นั่งชนิดที่แน่นแฟ้นแล้วก็สะดวกแก่การหายใจ แน่นแฟ้นนี่หมายความว่าไม่ได้ล้ม นี่เราเอาขาซ้ายเข้ามาก่อนที่จะเอาขาขวามาทีหลังมันก็ทับอยู่บนขาซ้ายนี่ อยากให้เห็นขาอย่างนี้ ...(นาทีที่ 20:08) เอาอันนี้ขึ้นมาไว้บนนี้อีกทีนึง นี่..อันนี้ขึ้นมาไว้บนนี้อีกทีนึง ให้มันไม่มีอะไรที่..ไม่มีกระดูกที่ถูกพื้น นี่ตาตุ่มมันถูกพื้น ต้องเอาอันนั้นขึ้นมาไว้ข้างบน ยกขึ้นมาไว้ข้างบนอีกทีสิ อันนั้นยกขึ้นมาไว้ข้างบนนี้ นี่..มันไม่มีตาตุ่มที่ถูกพื้น ไม่มีตาตุ่มอันไหนเหลืออยู่สำหรับถูกพื้น กระดูกเข่ามันก็ไม่ถูกพื้น ก็เรียกว่ามันไม่เจ็บ ฉะนั้นจะนั่งสมาธิสักกี่ปีๆตาตุ่มมันก็ไม่เกิดสะเก็ดเพราะมันไม่เคยถูกกับพื้น เพราะมันมีเหมือนกับของรองนั่งที่ดีอยู่แล้วคือกล้ามเนื้อทั้งหลายนี้ กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อแข้งนี้มันช่วยรองให้ เราไม่มีกระดูกที่ถูกพื้น ทีนี้เราตั้งให้มันตัวตรงเพื่อให้หายใจมันได้สะดวก อยากให้ตัวตรงก็ต้อง..ต้องดัดนี่ ดันไอ้เข่านี่ออกไป นี่เอาขึ้นมาบนนี้แล้วทีนี้ก็ทำอย่างนี้ มันก็ตรง ถ้ามัวงอขาอยู่มันก็ยังไม่หมดหรอก ...(นาทีที่ 21:43) ชั้นแรกนี่เหยียดให้มันตรงก่อนสิ นี่ทำอย่างนี้สิ ให้ตัวมันตรงกระดูกสันหลังมันเหยียดหมด นี้ก็หายใจได้ เนี่ยปล่อยตามสบาย ...(นาทีที่ 22:03) หลังมันจะงอ ดันเข้าไปอีก เหยียดอีก
ทีนี้หายใจให้..เอ่อ ให้...(นาที่ที่ 22:16) 2..3 ครั้ง 4..5 ครั้ง หายใจยาวสุดเหวี่ยง เข้าและออก หายใจยาวสุดเหวี่ยง ไม่ต้องหลับตาหรอก อยากจะแนะว่าเวลาหลับตาคนแรกหัดนี่มันชวนง่วงเร็วเกิน นัยน์ตามันร้อน ลมมันก็พัด ลูกตาคน...(นาทีที่ 22:47)มันไม่ร้อน พวกโยคีเขาก็ลืมตาทั้งนั้นหละ เขาจะต้องตั้งต้นจากการลืมตาทั้งนั้น ทำเหมือนจะดูปลายจมูกซิ เบิ่งตาให้มากที่สุดเลย ทำเหมือนจะดูจมูกให้เห็น จะต้องเบิ่งตาดูเหมือนจะดูจมูกให้เห็นอย่างนั้นแหละ มันไม่เห็น มันเห็นชัดแต่ว่าเราพยายามที่จะดูจมูก เพื่อว่าอย่าให้ตาของเรามันไปดูสิ่งอื่นที่อื่น อย่างนี้มันกันง่วงนอน ดูจมูกสิ ลืมตาสิ ทำไมล่ะนี่ เจ็บปวดอะไรนักล่ะห๊ะ อย่าเพิ่งซ้อนมือก็ได้ อย่าเพิ่งซ้อนมือ อยากให้มืออยู่เฉยๆตามสบาย ไปซ้อนมือ มือมันร้อนขึ้นมาอีก ไม่ต้องซ้อนมือ เอาไว้บนหัวเข่าทั้ง 2 มือนี้ ก็ทำพยายามจะดูปลายจมูก แล้วหายใจเข้าให้ยาวที่สุด หายใจออกให้ยาวที่สุด ช้าๆที่สุด เป็นการทดลองดูก่อน เอาสิ ไหนลองหายใจให้มันยาวให้มันได้ยินซิ ไม่ต้องละอายสิ ไม่ต้องละอาย หายใจยาว ยาวจนท้องแฟบ หายใจเข้ายาวจนท้องแฟบ ทำเร็วนักนี่ อย่ารีบสิ ทำช้า ทีแรกมันท้องมัน..มันหายใจเข้านี่ท้องมันใหญ่อยู่ เราหายใจให้เข้าไปอีกปอดมัน..มันกางออก ท้องของเรามันก็แฟบ นี่เห็นมั๊ยหายใจเข้าสุดเหวี่ยงจนท้องแฟบ จริงมั๊ย ลองดูสิ นี่มันบานที่นี่ ไอ้ตรงนี้มันแคบเข้าไป หายใจเข้าเต็มที่ท้องมันแฟบ ทีนี้หายใจออกให้สุดความสามารถ สุดเหวี่ยงอีก ทีนี้ปอดมันจะแฟบ แล้วท้องมันจะต้องช่วยเนื้อที่ให้ปอด แล้วท้องมันก็ป่องออกไป ถ้าเราหายใจตามธรรมดา หายใจเข้าท้อง..ท้องพองขึ้นมา หายใจออกท้องยุบนี้มันก็จริงแต่มัน..อย่างนั้นไม่ใช่ยาวที่สุด ไม่ใช่เข้าที่สุดหรือออกที่สุด ทีนี้เราปล่อยตามสบาย รู้ว่ายาวที่สุด ยาวที่สุด ออก..ออกยาวที่สุด เข้ายาวที่สุดอย่างไร แล้วปล่อยตามสบายดูบ้าง เพียงเท่านี้ก็กินเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวันกว่าจะรู้จักการหายใจ รู้เท่าทันการหายใจ รู้ธรรมชาติของการหายใจ ไม่ใช่ทำเดี๋ยวนี้รู้เดี๋ยวนี้ ทีนี้ก็เอาเป็นว่าวิ่งตามลมหายใจมันบางครั้งมันก็สั้น บางครั้งมันก็ยาว มันแล้วแต่อารมณ์ของเรา ทีนี้เมื่อเราวิ่งตามอยู่เราก็รู้สิว่าทีนี้หายใจสั้นกว่าที่แล้วมาหรือหายใจยาวกว่าที่แล้วมา เดี๋ยวนี้จิตของเรายังไม่เป็นสมาธิ ยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อารมณ์มันไม่คงที่ มันอารมณ์ดี..หายใจยาว อารมณ์ละเอียด..หายใจยาว แต่ถ้าอารมณ์มันเกิดหยาบขึ้นมามันก็หายใจสั้น แล้วก็เป็นนักเลง สังเกตดูการหายใจว่ามันสั้นหรือยาว มันยาวแค่ไหนมันสั้นเท่าไรหายใจเข้าออกอยู่สติมันก็วิ่งตามอยู่ ไม่ต้องกระดุกกระดิกแล้ว อยู่นิ่งๆ หายใจเข้าหายใจออกๆ ออกแล้วพุงกาง(นาทีที่ 26:59) ถ้าวิ่งตามไม่ถนัดก็หายใจให้แรงเข้าอีก ยังไม่ค่อยถนัดอีกหายใจให้มีเสียงเข้าอีก ...(นาทีที่ 27:14) หายใจให้ดังเหมือนกับนกหวีด สอนให้ทำดู ดังเหมือนกับนกหวีด เนี่ยหายใจให้มันดังซู๊ดๆ เข้าหรือออกๆ เพื่อว่าเราจะจำง่าย จะสังเกตง่ายว่าเข้าหรือออก เข้าถึงไหนแล้ว สุดหรือยัง ออกมาหรือยัง ฉะนั้นไม่ต้องละอาย หายใจให้มันยาวมันมีเสียง แล้วตานี้ก็พยายามจะดูปลายจมูกไว้เรื่อยเพื่อป้องกันไม่ให้มันง่วง แล้วจะหัดบังคับประสาทได้มากด้วยว่าเราได้ลืมตา เราไม่ดูอะไรก็ได้ เราลืมตาอยู่เราไม่ดูอะไรก็ได้ เห็นมั๊ยว่ามันไม่สม่ำเสมอ มันไม่เท่ากันทุกที เห็นมั๊ยมันยังไม่เท่ากันทุกที บางทีลึก บางทีตื้น บางทีสั้น บางทียาว มันก็รู้อยู่ได้เองว่าเรามันยังเหลวไหล หายใจก็ยังไม่สม่ำเสมอ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ร่างกายก็ยังไม่เรียบร้อย ความร้อนในร่างกายก็ยังไม่เรียบร้อย เอาสิ! เณรตัวเล็กหายใจ..หลังตรงหน่อยสิ ขัดสมาธิกว้างหน่อย ยืดตัวตรงๆอีก แล้วก็ไม่ต้องดูใคร ดูปลายจมูกอย่างเดียว หายใจเข้าจนสุดแล้วหายใจออกมา สมมติเหมือนกับวิ่งเปรี้ยวก็ได้ ข้างนอกอยู่ที่จะงอยจมูกที่ตรงนี้ ที่มันกระทบตรงนี้ แล้วข้างในสมมติที่สะดือ แล้วหายใจวิ่งพันอยู่ที่ 2 จุดนี้ แล้วก็วิ่งตามเรื่อย เดี๋ยวก็ค่อยมีความรู้ว่าหายใจอย่างไร สั้นคืออย่างไร ยาวคืออย่างไร หยาบคืออย่างไร ละเอียดคืออย่างไร นี่ใครรู้บ้างหายใจหยาบๆคืออย่างไร หายใจละเอียดกว่าคือยังไง ละเอียดอีกคือยังไง เนี่ยข้อแรกที่สุด ขั้นแรกที่สุด นั่งให้เป็น หายใจให้..กระดูกสันหลังให้มันเหยียดตรง ถ้าจมูกไม่เรียบร้อยแก้ไขได้ด้วยการสูดน้ำล้างบ่อยๆ แล้วหัดเพ่งดูจมูกเพื่อให้ตาไม่เห็นอะไร แล้วหัดฟังลมหายใจจนหูไม่ได้ยินอะไร ฉะนั้นขั้นแรกช่วยให้หายใจให้มันยาวหน่อย พอจะมี(นาทีที่ 30:22)มันฟังของมันง่าย หูมันฟังลมหายใจมันง่ายหน่อย ตาที่ลืมอยู่ก็ไม่เห็นอะไร หูที่ยังดีอยู่นี้ก็ไม่ได้ยินอะไร ต้องไปฟังลมหายใจหมด
ทีนี้มันเป็นสมาธิยังไง เป็นสมาธิตรงที่ว่าเดี๋ยวนี้จะเรียกว่าจิตก็ได้ จะเรียกว่าสติก็ได้ จะเรียกอย่างโง่ที่สุดว่าเราก็ได้ สติหรือจิตหรือเรานี่มันกำหนดอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าเราจะใช้คำว่าเรามันก็จะฟังยาก ใช้คำว่าสติ ทีนี้สติของเราวิ่งตามลมหายใจ ผูกติดอยู่กับลมหายใจ ลมหายใจเข้า..เข้าไปด้วย ลมหายใจออก..ออกมาด้วยแต่ถ้าพ้นปลายจมูกแล้วไม่ต้องนะ ไม่ต้องสนใจว่ามันจะไปไหน หยุดกันแค่นั้น ทีนี้ระวังให้ดีมันมีระยะอยู่ระยะหนึ่งซึ่งมันอาจจะหนีไปได้ คือระยะที่เราว่าสุดแล้วจะเปลี่ยนกลับเป็นอย่างอื่น ตอนนั้นมันมีที่ว่าง มันมี..จิตมันผูกติดไปกับลมหายใจ พอสุดยังไม่ทันจะออกตอนนั้นมีที่ว่างที่มันจะหนีไปเสีย ที่นี้หายใจออก ตามมาๆๆ พอหายใจออกสุด พอเรียกกลับนี่มันมีโอกาสที่จะหนีอีกครั้ง หัวท้ายมีโอกาสที่สติมันจะไม่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ จึงจะหนีไปเสีย เราต้องระวังตรงนี้ให้ดี นี่เรามีเวลาเพียงชั่วโมงเดียว คืนเดียวนี้มัน..มันได้แต่บอกวิธีเท่านั้นแหละ ซ้อมอะไรกันมากก็ไม่ได้ นี่ให้วิ่งตาม วิ่งตามไปเรื่อยๆ เพื่อให้รู้เรื่องยาว เรื่องสั้น เรื่องหยาบ เรื่องละเอียด ระงับเรื่องกระสับกระส่ายหยาบ การหายใจของเรากระสับกระส่ายหรือระงับดี หยาบหรือว่าละเอียดดี ยาวหรือว่าสั้น ยาว..ยาวกี่มากน้อย ยาวมากยาวน้อย สั้นมากสั้นน้อย ศึกษาธรรมชาติล้วนๆของลมหายใจจนเข้าใจดีในการทำบทเรียนอันแรก ต่อไปนี้เราจะต้องจัดการกับมัน ผลักออกไปๆๆ หยาบทำให้ละเอียด ลมหายใจที่หยาบจะต้องพยายามทำให้ละเอียดให้จงได้ แล้วที่มันสั้นทำให้มันยาวจนได้ เรารู้อยู่ว่าลมหายใจสั้นนั้นอารมณ์ไม่ดี จิตใจพอไม่ดี อารมณ์ไม่ดี ถ้าลมหายใจยาวนั้นอารมณ์มันดี ทีนี้เราจะแก้อารมณ์เสีย อารมณ์ร้าย อารมณ์โกรธ อารมณ์อะไรต่างๆเนี่ยด้วยการหายใจนี้ก็ได้ เช่นโกรธใครมา มันหายใจสั้นชิดๆๆๆ เรามานั่งสำรวมทำการหายใจให้ละเอียดให้ยาว ปล่อยให้เค้าหายไปหมด อารมณ์ร้ายๆมันก็หายไปหมด หรือแม้ที่สุดแต่ว่าจะเขียนหนังสือที่ยากๆสักหน้า 2 หน้านี่ทำอย่างนี้ก่อนสิ แล้วจึงค่อยลงมือเขียน จะมีระบบประสาทดีกว่า จะมีอะไรๆดีกว่า เขียนได้ดีกว่าเสมอ สมมติจะสอบไล่นี่ เราลองทำสมาธิง่ายๆอย่างนี้ 2..3 นาที 4..5 นาทีก่อนแล้วก็ใจคอปกติ จะสอบไล่ได้ดีกว่า ดีกว่าไป...(นาทีที่ 34:41) ไปอะไรกันเสียอย่างที่เห็นๆกันอยู่
ถ้าเราทำการศึกษาวิ่งตามอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ไม่เท่าไหร่เราจะรู้ว่า ไม่ใช่ในวันแรกนะ ไม่ใช่ในวันแรกหรือวันที่สองที่จะรู้ได้ดี ต้องหลายๆวัน จะรู้มากขึ้นๆๆว่าลมหายใจยาวเป็นอย่างไร ลมหายใจสั้นเป็นอย่างไร ลมหายใจหยาบเป็นอย่างไร ลมหายใจละเอียดเป็นอย่างไร แล้วรู้ต่อไปว่าลมหายใจยาวนั้นใจคอเป็นอย่างไร ลมหายใจสั้นใจคออารมณ์ของเราเป็นอย่างไร ลมหายใจหยาบใจคอของเราเป็นอย่างไร ลมหายใจละเอียดใจคอของเราเป็นอย่างไร กระทั่งรู้ว่าเมื่อลมหายใจของเรายาว ยาวเรียบร้อย ยาวละเอียดสม่ำเสมอนี่เนื้อตัวของเราเป็นอย่างไร ความร้อนอุณหภูมิร่างกายเป็นอย่างไร ค่อยๆรู้ขึ้น มันเนื่องกันอยู่ ถ้าลมหายใจเป็นอย่างร่างกายเป็นอย่างนั้น เมื่อลมหายใจเปลี่ยนไปร่างกายจะเปลี่ยนไปได้ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ทีนี้ลมหายใจมันหยาบนี่ร่างกายมันก็หยาบ เช่น ฉีดโลหิตแรง เป็นต้น เมื่อมีความร้อนสูง เป็นต้น ถ้าเราทำให้ลมหายใจมันละเอียดลง ไอ้ร่างกายมันก็ละเอียดลง การฉีดโลหิตของร่างกายมันก็จะอ่อนลง ความดันโลหิตมันจะอ่อนลง เราสามารถที่จะบังคับให้ความดันโลหิตได้ด้วยการจัดระบบการหายใจให้มันละเอียด เช่นว่าเรามันมีแผลเลือดมากนี้ถ้าเราทำลมหายใจให้ละเอียดได้ ไอ้เลือดมันก็จะออกน้อยเข้า ก็เหมือนการฉีดดันเลือดออกมามันเบาเข้า ฉะนั้นคนที่เขา..สมมติว่าเป็นวัณโรค โลหิตออกนี่ แล้วเขาหายใจเป็นอย่างวิธีนี้ทำให้เลือดมันจะออกน้อยหรือมันจะไม่ออกก็ได้ การหายใจมันเนื่องกันอยู่กับระบบทุกระบบ ของประสาท ของร่างกาย ของกล้ามเนื้อที่สำคัญๆ เราใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือทำให้เนื้อตัวเย็นลงได้ด้วยการหายใจให้มันละเอียดลงๆ ให้ยาวๆ ให้ละเอียดลง หรืออาจจะแก้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ได้ กระทั่งแก้ปวดหัวก็ได้แม้จะไม่ชะงัดแต่มันก็บรรเทาได้มาก ถ้าทำเก่งอาจจะชะงัดได้ มันก็ให้เลือดมันหยุดไปฉีดไปดันให้ปวดหัว นี่เขาเรียกว่าถ้าลมหายใจระงับไอ้ร่างกายมันก็ระงับ การฉีดโลหิต ความดันโลหิตก็ระงับลง ความร้อนมันก็ระงับลง ความกระวนกระวายที่รู้สึกกระวนกระวายในกายมันก็ลดลง นี่เป็นสมาธิในขั้นต้นเท่านั้นเอง ได้ประโยชน์อย่างนี้ สมมติว่าเดินไกล เดินทางไกลไปด้วยกัน เหนื่อยไปด้วยกันทุกคน พอหยุดพักเราทำอย่างนี้เราจะหายเหนื่อยก่อนเขา ก่อนเขาหมดแหละ จะหายเหนื่อยก่อนคนที่ไปนั่งหอบอ้าปากอยู่ เรามาทำอย่างนี้มันมีประโยชน์ในทางร่างกายๆหลายๆอย่าง ถ้าเราไม่มีทางที่จะหาความพอใจสบายใจได้อย่างอื่นเราทำอย่างนี้กระทั่งลมหายใจละเอียดเข้าๆเดี๋ยวก็รู้สึกสบายเป็นสุข ก็ระงับความกระวนกระวายที่ไม่ได้ไปเที่ยว ไม่ได้ไปอบายมุขอะไรกับเขา ทีนี้จิตยังไม่เป็นสมาธิถึงที่สุด จิตเริ่มเตรียมจะเป็นสมาธิ กำหนดลมหายใจเข้าอยู่ออกอยู่ๆๆนี้ เป็นการกระทำที่เตรียมเพื่อให้เป็นสมาธิยังไม่ทันจะเป็นสมาธิถึงขนาดสูงสุด
เอ้า! ถาม(นาทีที่ 39:51)ตัวเล็กดีกว่า เดี๋ยวจะหลับไปอีก เมื่อเรากำหนดลมหายใจยาว เข้าออกอยู่อย่างนี้ อะไรเป็นผู้กำหนด อะไรถูกกำหนด หืม..ตัวเล็กนี่ อะไรเป็นผู้กำหนด อะไรที่ถูกกำหนด ได้ไหม..ตอบได้ไหม เอ้า..เธอตอบได้ไหม เมื่อเราให้จิตหรือสติของเราวิ่งตามลมเข้าออกๆๆๆอยู่อย่างนี้ อะไรเป็นผู้กำหนด อะไรเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด ตอบได้ไหม อ้าวไม่กล้านี่ ตอบได้แล้วไม่กล้าตอบนี่ ไม่ต้องกลัวสิ ผิดก็ไม่มีใครถูกหรอก ลองตอบซิ เอ้า!เณร ที่ 3 นี่ อะไรเป็นผู้กำหนด แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด (เณร: ลมเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด) ลมเป็นสิ่งที่ถูกกำหนด ลมหายใจที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่น่ะคือสิ่งที่ถูกกำหนด แล้วอะไรเป็นผู้กำหนดลม (เณร: ความนึกคิดครับ) ฉันไม่ได้พูดความนึกคิด ตะกี้ว่ายังไง หือ...อะไร ถูกเหมือนกันนะความนึกคิดแต่เราไม่เรียกความนึกคิด เรียกอะไร (เณร: จิตครับ) จิตก็ได้ แล้วถ้าไม่เรียกจิต เรียกอะไรได้อีก เรียกดีกว่าจิต (เณร: เรา) หา (เณร: เรา) ไม่เอา เราไม่เอา สติ นี่แสดงว่าไม่คุ้นเคยกับคำว่าสติ สติ ความระลึกนึกกำหนดอยู่ เขาเรียกว่าสติ สติเป็นผู้กำหนด สติของเราเป็นผู้กำหนด สิ่งที่ถูกกำหนดนั้นคือลมหายใจ ลมหายใจกำลังทำอะไรอยู่...หา ลมหายใจมันกำลังทำอะไรอยู่ ว่ายังไง เอ้า!เณรที่ 2...หือ ลมหายใจกำลังทำอะไรอยู่ ชักจะไม่เชื่อ..(นาทีที่ 42:11)แล้วเว้ย ตอบคำถามง่ายๆอย่างนี้ไม่ได้ หือ (เณร: ลมเข้าออก) กำลังเข้าออกอยู่ ลมหายใจมันกำลังแล่นเข้าออกๆอยู่ ฉะนั้นสติของเรากำหนดอยู่ที่ลมหายใจนั้น ลมหายใจนั้นเรียกว่าสิ่งที่ถูกกำหนด ผู้กำหนดได้ชื่อเสียว่าสติ...สติ ทีนี้สิ่งที่ถูกกำหนดน่ะเขามีคำเรียกเฉพาะ เขาเรียกว่า “อารมณ์” อารมณ์ เดี๋ยวนี้ลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกเนี่ยกำลังเป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ถูกกำหนดโดยสติ สติกำหนดลมอยู่ ลมนั้นชื่อว่าอารมณ์ ถ้าเราจะทำให้เหมือนกับว่าดูเห็นได้ด้วยตา ก็จะเป็นมด(นาทีที่ 42:06)มากขึ้นไปอีก เมื่อลมมันวิ่งอยู่อย่างนี้ ลมนั้นจะเรียกว่านิมิตก็ได้ ถ้าเพียงแต่ถูกกำหนดก็เรียกว่าอารมณ์ แต่ถ้าสมมติว่าจะทำเหมือนกับเราเห็นได้ด้วยตา เห็นมันวิ่งอยู่ๆ วิ่งเข้าอยู่ออกอยู่ คลานอยู่เนี่ย สิ่งที่เห็นเขาเรียกว่านิมิต เห็นด้วยตาข้างใน เพราะว่าเราหลับตาอยู่ หรือว่าเราดูปลายจมูกอยู่ แต่ในจิตรู้สึกอยู่ ก็เหมือนกับเห็นอยู่ สิ่งนั้นก็เรียกว่าเห็นถูกเห็นอยู่ก็เป็นนิมิตก็ได้ คนที่ทำสมาธิด้วยการลืมตาไปตั้งแต่ต้นเนี่ยจะได้เปรียบคนที่ทำสมาธิด้วยการหลับตาไปตั้งแต่ต้น เพราะว่ามัน อย่างที่ว่าทีแรกแล้วว่ามันชวนให้ง่วงนอนบ้าง มันร้อนนัยน์ตาบ้าง แต่ว่าที่ไปตอนปลายๆนู่นได้เปรียบกันตรงที่ว่าเขาจะสามารถกำหนดอะไรได้หลายอย่างพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นเขาจะสามารถกำหนดองค์ฌานได้เร็ว ได้ก่อนกว่าๆคนที่ถือแบบหลับตาตั้งแต่ต้น นี่เราเรียกขั้นนี้ว่า “ขั้นวิ่งตาม” สติวิ่งตามลม ลมถูกวิ่งตาม ลมกำลังเข้าออกอยู่ๆ ก็มีอยู่ระยะหัวระยะท้ายนั่นแหละที่จะเปิดโอกาสให้สติมันหนีเพราะมันนิ่ง ตอนนั้นมันนิ่ง ถ้าหายใจเข้าครืดอยู่มันก็กำหนดง่าย พอไปจนสุดจนจะกลับตอนนั้นมันนิ่ง มันมีที่ว่าง มันเป็นที่ว่าง มันจะหนีก็หนีตอนนั้นแหละ ฉะนั้นต้องระวังตอนนั้นหน่อย ก็ขอให้มันสุด กำหนดให้มันสุดแล้วก็ออกมาเลย สุดแล้วเข้าไปเลย จนกว่าจิตนี้มันจะเข้ารูปเข้ารอยกันกับการบังคับของเรา คือทำได้ ทำได้ สะดวก...(นาทีที่ 45:28) เข้ารูปเข้ารอย ทีนี้เราจะเผลอบ้างมันก็จะไม่ไปแล้ว เราไม่ยอมเผลอ ไอ้ตอนหัวท้ายนี่ ตอนหลังเราจะเผลอบ้างมันก็ไม่ไป คือไม่ไปไหน มันพร้อมที่จะกำหนดอยู่ เข้ากำหนด ถ้าสุดขวานั้นมันจะว่างอยู่นิดนึงจะหยุดอยู่นิดนึงก็ไม่เป็นไร พอออกอีกกำหนดอีก เข้าอีกกำหนดอีก ออกอีกกำหนดอีก ตรงหัวท้ายมันก็พลอยเป็นของที่ว่าไม่ขาดตอนไปด้วย นี่เรียกว่าได้ขั้นตอนหนึ่งแล้ว วิ่งตามได้ เป็นผู้วิ่งตามลมได้ ถ้าไม่เข้าใจก็ถามมาสิ ขั้นตอนหนึ่งน่ะ ฉันจะพูดขั้นตอนสองต่อไป ขั้นตอนหนึ่งวิ่งตามประพฤติ เข้าออกประพฤติเพื่อจะรู้ว่ายาวอย่างไร สั้นอย่างไร มีข้อเท็จจริงอย่างไร เมื่อกายเป็นอย่างไรลมเป็นอย่างไร เมื่อลมเป็นอย่างไรกายเป็นอย่างไร มันคอยเฝ้าดูอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา มันต้องใช้เวลานานหน่อย หลายอาทิตย์ จนรู้กันดีลมหายใจยาวก็รู้จัก ลมหายใจสั้นก็รู้จัก ข้อเท็จจริงทั้งหลายเกี่ยวกับลมระหว่างกายกับลมเรายังรู้จัก จิตใจด้วยก็รู้จัก เราเรียกว่าเป็นอาณาปานสติ เมื่อหายใจเข้ายาวหายใจออกยาวก็รู้ว่าหายใจเข้ายาวออกยาว หายใจเข้าสั้นออกสั้นก็รู้หายใจเข้าสั้นออกสั้น เรารู้กาย คือเรื่องเกี่ยวกับลมทั้งปวงว่าเป็นอย่างไร หายใจออกหายใจเข้าอยู่
ทีนี้ขั้นที่ 2 ต่อไปก็ไม่วิ่งตามแล้ว ตอน 2 ไม่วิ่งตามแล้ว เฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง คือจะไม่วิ่งตามอย่างที่ว่าเมื่อกี้ ไม่โล้ชิงช้าแบบนั้นแล้ว แต่จะเฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เอ้า!เณรนี้ไม่ง่วง เณรนี้เริ่มง่วงแล้ว ควรจะเฝ้าดูอยู่ที่จุดไหนดี...หืม เมื่อเราจะไม่วิ่งตามอยู่อย่างนี้ ไม่วิ่งตาม แต่จะเฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เราควรจะเลือกเฝ้าดูที่ตรงไหนดี หือ...ว่าซิ ลองออกความเห็นซิ ที่สะดือดีหรือที่จมูกดี หือ...ว่ายังไง เธอมีความเห็นยังไง (เณร: ที่จมูก) ที่จมูกดี ดีกว่าที่สะดือ คนมีจุดอยู่ 2 จุดนะ ที่สะดือจุดนึง ที่จมูกจุดนึง ทำไมที่จมูกดี ทำไมที่จมูกดีกว่าที่สะดือ เอ้า! เณรองค์เล็กออกความเห็นสิว่าทำไมเฝ้าดูที่ปลายจมูกนี้ดีกว่าที่จะมาเฝ้าดูที่สะดือ หือ...เพราะอะไร ออกความเห็นซิ นี่ไม่ค่อยได้คิดนี่ เอ้า! เธอ คนที่ 2 ออกความเห็นว่ายังไง เอ้า! เจ้าของทำตอบ ทีแรกทำไมถึงดี (เณร: เพราะลมเข้าออก...นาทีที่ 49:07) รู้สึกตรงนั้นมันง่าย ตรงนั้นมันสะดวก เพราะว่ามันเหมือนกับประตูใช่มั๊ย เพราะที่ตรงนั้นมันเหมือนกับประตู ระวังที่ประตูมันก็พอกัน เข้าไปแล้วก็ช่างมันสิ ออกไปแล้วก็ช่างมันสิ มันก็ดูอยู่ที่ประตูเพราะมันผ่านประตู ถ้าเราทำไอ้ตอน 1 ได้นะ ให้วิ่งตามได้อย่างอยู่ในอำนาจของเราแล้ว มาถึงชั้นนี้มันก็ไม่หนีไปไหนแล้ว เราอาจจะเฝ้าอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งนั่นแหละ แล้วนอกนั้นมันก็ไม่หนีไปไหน เพราะว่าเราได้มีชัยชนะเหนือลม เหนือสิ่งเหลวไหลของจิตเนี่ยมากพอสมควรแล้ว ทีนี้เราก็มาเฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งได้ คือที่ลมกระทบที่ปลายจมูก สมมติอีกเหมือนกัน สมมติว่าลมกระทบที่ตรงไหนเท่าที่เราจะนึกเห็นหรือรู้สึกได้ว่ามันกระทบที่ตรงไหน ก็ยึดเอาตรงจุดนั้นแหละ เมื่อจมูกมี 2 รู ทำยังไงทีนี้ นี่ตรงนี้ ตรงที่มันจะพบกันระหว่าง 2 รู นี่ตรงนี้ สมมติเข้าสิ ตรงนั้น พอมันหายใจซูดไปทั้ง 2 รูนี่ มันต้องมีส่วนที่รู้สึกพร้อมกันได้ทั้ง 2 ข้างที่ตรงนี้ ที่ตรงสุดโง้งของจมูก เนี่ยเรียกว่าประตู กำหนดอยู่ที่ประตู เมื่อมันเข้าไปกว่าจะหมดมันต้องผ่านประตูอยู่เรื่อย จริงมั๊ย พอหายใจเข้านี่กว่ามันจะหมดการหายใจเข้ามันต้องผ่านประตูอยู่เรื่อยจนกว่ามันจะสุดนิดหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามันจะทิ้งระยะยาวมาก ว่างอยู่มาก เมื่อหายใจเข้ามันก็ผ่านประตูจนกว่าจะหมดก็หยุดนิดหนึ่ง พอเริ่มออก พอเริ่มออกก็ผ่านประตู มันเริ่มผ่านประตูอีก เราก็กำหนดได้ที่ตรงประตูนั่นแหละ เกือบทั้งหมดของการหายใจมันจะว่างอยู่นิดหนึ่งตรงที่จวนจะเข้า จวนจะกลับจะหมุนกลับออก หมุนกลับเข้า ตรงนั้นแหละ เหมือนกันอีก เดี๋ยวนี้เราขี้เกียจวิ่งตาม เราเฝ้าดูอยู่ที่ประตูจุดใดจุดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าเราขี้เกียจอย่างคนเหลวไหล เราหมายความว่าไม่จำเป็นจะต้องวิ่งตาม เฝ้าดูอยู่ที่ตรงนั้นดีกว่า ทำไมจึงดีกว่า เพราะมันเป็นการกำหนดที่ละเอียดกว่า เก่งกว่า ฉลาดกว่า ประณีตกว่า ถ้าเราทำได้ก็หมายความว่าเราเก่งกว่า เก่งกว่าเดิม สุขุมละเอียดประณีตขึ้นกว่าเดิม ไปเฝ้าดูอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนกับคล้ายๆกับว่าตรงนั้นมันมีแผลอ่อนๆ เนื้ออ่อนๆ ลมมากระทบนิดเดียวก็รู้สึกแรง ทำความรู้สึกอย่างนั้น เอ้า! เดี๋ยวถามเณรองค์เล็กอีกว่า เดี๋ยวนี้จิตมันกำหนดอะไรที่ตรงไหน หือ...เดี๋ยวนี้มันกำหนดที่ตรงนี้แล้ว เมื่อก่อนมันกำหนดที่ลมหายใจที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ เดี๋ยวนี้จิตมันเปลี่ยนมากำหนดอยู่ที่จุดหนึ่งที่ปลายจมูก เรียกว่าอารมณ์มันมาอยู่ที่ตรงนั้นแล้ว ในขั้นแรกตอนหนึ่งอารมณ์อยู่ที่ลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกตลอดสาย ทีนี้อารมณ์เปลี่ยนมาอยู่ที่จุดเล็กๆจุดหนึ่งที่ปลายจมูกแล้ว หรือเขาจะเรียกว่านิมิต เห็นด้วยตาข้างในว่านิมิตมาอยู่ที่ปลายจมูกแล้ว มันเปลี่ยนแล้ว จุดที่จะถูกกำหนดน่ะมันเปลี่ยนจากลมที่วิ่งไปวิ่งมา มาอยู่ตรงที่ประตู เรียกว่าประตู จุดนี้นิดหนึ่งที่ปลายจมูกนั้น นิมิตก็เปลี่ยนแล้ว แต่ว่าผู้กำหนดยังไม่เปลี่ยนใช่มั๊ย หือ...เรียกว่าอะไรผู้กำหนด (เณร: เรียกว่าสติ) นี้จำได้แล้วเมื่อกี้ตอบไม่ถูกเพราะจำไม่ได้ ค่อยยังชั่วที่จำได้ ผู้กำหนดเรียกว่าสติ สิ่งที่ถูกกำหนดเรียกว่าอะไร (เณร: อารมณ์) อือ...อารมณ์ คงจะใช้ได้ เรียกว่าความจำหรือว่าความเข้าใจไม่ช้า ถ้าสมมติว่าเป็นสิ่งที่เห็นด้วยตานี่เรียกว่าอะไร อารมณ์นั่นน่ะถ้าสมมติว่าเป็นสิ่งที่เห็นด้วยตาจะเรียกว่าอะไร หือ...เรียกว่าอะไร บอกซิ...นิมิต นี่ไม่จำคำว่านิมิตไปด้วย ถ้าสมมติเราเห็นด้วยตา เราเรียกว่านิมิต ถ้าเรากำหนดด้วยรู้สึกอย่างนี้เขาเรียกว่าอารมณ์ ความกว้าง เขาเรียกว่าอารมณ์ ทีแรกเรามีนิมิตที่อารมณ์ที่ลมหายใจที่ซูดซาดเข้าออกอยู่ เดี๋ยวนี้เรามีอารมณ์หรือนิมิตอยู่ที่จุดเล็กๆจุดหนึ่งที่ปลายจมูกที่ทั้ง 2 ข้างมากระทบกัน ลมหายใจกระทบที่ตรงนั้น เมื่อเรากำหนดที่ตรงนั้นก็คือกำหนดที่ที่ลมหายใจกระทบ เป็นอันว่าทั้งลมหายใจและทั้งเนื้อที่มันถูกกระทบ นี่ต้องเข้าใจอย่างนี้สิ เมื่อเรากำหนดที่จุดจุดนั้นก็หมายความว่ากำหนดเข้าไปที่ตรงที่ลมมันกระทบ เพราะตรงนั้นมันต้องมีทั้งลมและทั้งเนื้อที่ถูกกระทบ นี่สมมติได้ง่ายๆว่าเหมือนกับเป็นแผลอ่อนอยู่ที่ตรงนั้น ลมผ่านเข้ามามันก็รู้สึกวูบวาบที่ตรงนั้น เนี่ยตรงเนี๊ยะถ้าเราทำได้ดีก็เราเรียกว่าสอบได้ ป.2 แล้ว เป็นบทเรียนที่เฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง เราก็ทำสำเร็จ คือผ่านได้ ทีนี้ ป.3 มันจะยากขึ้นไป เหมือนกับที่ตรงนั้นเราจะสร้างนิมิตชนิดที่ไม่ใช่ลมตามธรรมดา ไม่ใช่เนื้อตามธรรมดา จะสร้างนิมิตที่เห็นได้ด้วยตาที่เขาเรียกว่า มโนภาพ เดี๋ยวนี้เราดู...เห็นหลอดไฟฟ้านี่นะ เห็น...ดูหลอดไฟฟ้า ก็เราเห็นหลอดไฟฟ้าหรือดวงหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่ถ้าว่าเราหลับตาเสีย เราก็ยังเห็นหลอดไฟฟ้าอย่างเดียวกันนั้นอีกโชติช่วงอยู่นั่นอีก นี้มันกลายเป็นของคนละอย่างแล้ว ไอ้หลอดไฟฟ้านั้นมันเป็นหลอดไฟฟ้าจริงๆ แต่พอหลับตาแล้วยังเห็นอีก ไอ้ภาพหลอดไฟฟ้าที่เราเห็นนั้นมันไม่ใช่หลอดไฟฟ้าจริง เขาเรียกว่าเป็นมโนภาพ ฉะนั้น ป.3 นี่เราจะไม่กำหนดไอ้ที่ลมมันกระทบจุดนั้นแล้ว เราจะทำมโนภาพอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นที่จุดนั้น ถ้าเธอจะสามารถเอาไอ้หลอดไฟที่เห็นในมโนภาพเนี่ยไปใส่ไว้ที่ตรงนั้นก็ได้เหมือนกัน มันมีผลเหมือนกัน หรือว่าเคยเห็นภาพอะไรที่มันติดตาเป็นมโนภาพได้ง่ายมากๆ คือเคยชินอยู่บ่อยๆแล้วมันทำได้ง่ายๆ เราลองเอามาใส่ไว้ที่ตรงนั้นก็ได้ มันจะง่ายกว่าที่ว่าเราจะสร้างเอาใหม่ให้เป็นมโนภาพ เป็นดวงขาว ดวงเขียว ดวงแดง หรือว่าเป็นรูปร่างเหมือนกับก้อนฝ้าย สำลี หรือว่าก้อนเมฆ หรือว่าเหมือนกับหยดน้ำค้าง หรือเหมือนกับเพชรเม็ดหนึ่งอยู่ที่ตรงจุดนั้น ทำได้อย่างใดก็เอาแค่นั้นก็เอาอย่างนั้นดีกว่า นี่จะพูดเมื่อสำเร็จแล้วนะ ก็คือว่าเราหลับตาอยู่อย่างนี้ ลมหายใจก็กำหนดผ่านก็ไปผ่านมาอยู่ตรงนี้ ไอ้จุดนั้นมันเกิดมีอะไรช่วงโชติขึ้นมาเป็นมโนภาพ ไม่ใช่ภาพจริง เป็นภาพดวงแก้วดวงเล็กๆก็ได้ ดวงอาทิตย์เล็กๆก็ได้ ดวงจันทร์เล็กๆก็ได้ หรือวาวๆเหมือนกับหยดน้ำค้างที่บนใบไม้ตอนเช้าก็ได้ หรือเหมือนกับใยแมงมุม กรอบแสงอยู่กลางแดดก็ได้ แล้วแต่ว่าไอ้คนคนนั้นมันจะสร้างมโนภาพอะไรขึ้นมาได้โดยง่าย ตอนนี้มันเรื่องก็ชักจะยากขึ้นแต่ว่ามันก็สนุกมากขึ้น เพราะว่าเก่งมากขึ้น จิตต้องเป็นสมาธิให้มากขึ้น สติก็แข็งแรงมากขึ้น นี่ก็เรียกว่าสร้างมโนภาพขึ้นที่จุดๆนั้น
ป.1 ชั้น 1 วิ่งตาม ป.2 ก็เฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ทีนี้ ป.3 ก็สร้างมโนภาพขึ้นที่จุดนั้น จำได้มั๊ย เอ้า! ว่าดูซิ ป.1 (เณร: วิ่งตาม) ขั้นที่ 1 วิ่งตามลม ขั้นที่ 2 (เณร: ขั้นที่ 2 ดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง) เฝ้าสิ เฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง (เณร: ขั้นที่ 3 สร้างมโนภาพขึ้นที่จุดนั้น) สร้างภาพมโนภาพที่เหมาะสมขึ้นมาที่จุดนั้น เข้าใจได้เร็วเหมือนกันนะ ไม่เสียที อุตส่าห์มาถึงนี่ ถ้าเราทำสำเร็จในขั้นที่ 2 คือเฝ้าดูได้ที่ตรงนั้น การหายใจออกอยู่ต้องมีเรื่อยนะ มันคงหายใจออกอยู่นะ รู้สึกอยู่ได้ด้วยนะ ไม่ใช่ไม่รู้สึก นี่คนเขาไม่เชื่อว่าเรารู้สึก พอเราหายใจออกเข้าอยู่ก็รู้สึก แต่ตาของเรามองเห็นในจุดๆนั้นเราก็เห็น กำหนดที่จุดๆนั้นก็กำหนดอยู่ คำว่าหายใจออกเข้าๆต้องมีตลอดเวลา แล้วก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาทุกขั้นๆ ขั้นที่1 วิ่งตาม นี่เรียกว่ามันทุลักทุเลหน่อย วิ่งตามๆๆ เข้าออกๆ ถ้าทำได้จนสำเร็จ ชนะ...ชนะความเหลวไหล ชนะความไม่เป็นสมาธิได้ วิ่งตามได้ จิตไม่พลาดจากลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ พอขั้นที่ 2 ไม่ทำอย่างนั้น เฝ้าดูอยู่ที่จุดๆหนึ่งที่เหมาะสมที่สุด คือที่จะงอยจมูก ก็ทำได้อีก ทีนี้มันเก่งขึ้น ไม่ใช่เท่าเดิม ไม่ใช่เลวลง หรือไม่ใช่เท่าเดิม มันเก่งขึ้น แต่ว่าสภาพของผู้นั้นหรือว่าจิตนั้นก็เก่งขึ้น ความเป็นสมาธิคงจะนับว่าเป็นสมาธิขั้นที่สูงขึ้นไป ทีนี้ถ้าเราทำไอ้มโนภาพให้อยู่ที่จุดนั้นได้นานตามที่เราต้องการได้นี่เรียกว่ายิ่งเก่งขึ้นอีก พอเป็นสมาธิได้มากยิ่งขึ้นอีก สติก็ดีกว่าเดิมอีก ความประณีตสุขุมมันก็มีมากขึ้นกว่าเดิมอีก ความระงับของร่างกาย ของไอ้การฉีดโลหิตอะไรก็ตามมันก็น้อยลงกว่าเดิมอีก คือสงบระงับยิ่งกว่าเดิมอีก พูดสรุปว่า ไอ้ ป.2 ว่าสงบกว่า ป.1 ป.3 มันก็สงบกว่า ป.2 อยู่อย่างนี้จำง่ายมั๊ย ไปทบทวนให้เข้าใจเอาเอง
ทีนี้ ป.4 ลองทายสิว่า ป.4 นี่ทำอะไร หือ...เราจะบังคับมโนภาพนั้นให้เปลี่ยนแปลงตามความน้อมจิตของเรา พูดสั้นๆว่าเราจะบังคับไอ้มโนภาพนั้นให้เปลี่ยนตามความประสงค์ของเรา เมื่อตะกี้ว่าเราเอาหลอดไฟฟ้าไปใส่ไว้ตรงนั้นแต่หลับตาไอ้หลอดไฟฟ้าติดอยู่ที่ตรงนี้ นี่บางทีจะง่ายสำหรับบางคน หรือภาพไหนก็ได้ที่ว่ามัน...เราหาได้ง่ายๆสำหรับเรา แบบที่เขาพูดกันไว้แต่โบราณว่าไม่มีหลอดไฟฟ้าจะพูดว่าหลอดไฟฟ้าอย่างไรได้ ตั้งพันกว่าปีแล้วจะพูดถึงหลอดไฟฟ้าได้ยังไง ก็ต้องมีอะไรชนิดที่มันหาดูได้ ติดตาได้ง่ายในสมัยนั้น ก็เหมือนกับว่า ก็มีก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งมาลอยติดอยู่ที่ตรงนี้ จะว่าก้อนเมฆเล็กๆก็ได้ จะหมอกก็ได้ น้ำค้างก็ได้ เอาละสมมติว่าเราเห็นไฟเล็กๆดวงหนึ่งคล้ายๆกับว่าดวงจันทร์เล็กๆนิดหนึ่งมาอยู่ที่ตรงนี้ ถ้านิ้วมือเป็นมโนภาพที่อยู่นิ่งๆ นี่ ป.3 ทีนี้ ป.4 เราจะบังคับมัน คือว่าเราต้องรู้จักทำให้มันแนบเนียนสุขุมที่สุดแหละ เหมือนกับมันล้มละลาย มันกระจาย ความประคับประคอง ไอ้ความเห็น ทำไว้ดีที่สุด ค่อยๆน้อมจิตไปอย่างละเอียดว่าให้มันเปลี่ยนรูป ให้มันใหญ่ๆๆๆๆออกไป หรือให้มันกลับเล็กๆๆๆลงมา นี่ หัดทำอย่างนี้ซิ ไม่ใช่ทำให้มีฤทธิ์มีเดช ทำบทเรียนให้เราเป็นผู้บังคับจิตได้ดีกว่าเดิม อย่าไปทำว่ามันจะมีฤทธิ์มีเดช เดี๋ยวบ้า เดี๋ยวเป็นบ้า ตอนนี้ไม่รับผิดชอบนะ จะไปหวังจะมีฤทธิ์มีเดช มันก็เป็นเจตนาลามก ไม่บริสุทธิ์เสียตั้งแต่เดิมแล้ว ถ้าเราเห็นว่าจะต้องรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่ของจริง จริงเพียงแค่ว่าเราบังคับมันให้เห็น ทีนี้ถ้าบังคับให้มันเปลี่ยน เปลี่ยนอย่างนั้น เปลี่ยนอย่างนี้ ก็หมายความว่าเราก็เก่งกว่าที่ไม่สามารถบังคับให้เปลี่ยน เป็นดวงเหลืองๆเล็กๆ แล้วก็ใหญ่ๆๆ แล้วกลับเล็กๆๆลงมาอีก ให้เปลี่ยนสีเหลืองเป็นสีเขียว สีแดง น้อมไปได้ ถ้าจะเป็นนักเลงให้มากจนถึงที่สุดก็ลองน้อมมันไปให้มันมาก ไอ้ทุกอย่างทุกชนิด ให้มันเปลี่ยนรูปร่าง เปลี่ยนขนาดก็ได้ เปลี่ยนสีก็ได้ เปลี่ยนอิริยาบถให้มันลอยออกไปๆๆ ให้มันกลับมาๆ ให้มันลอยไปข้างซ้าย ให้มันลอยไปข้างขวา เปลี่ยนอิริยาบถอย่างนี้ก็ได้ หรือบังคับให้มันเปลี่ยนตามที่เราต้องการ เพราะว่ามันเป็นเพียงมโนภาพที่เห็นด้วยตาที่ข้างในของความรู้สึก เอ้า! ถ้าความรู้สึกเปลี่ยนมันก็เปลี่ยน ถ้าน้อมจิตให้มันเปลี่ยน ความรู้สึกเปลี่ยนมันก็เปลี่ยน อย่าเพิ่งเข้าใจว่าเรามันมีฤทธิ์เดชสร้างอะไรได้ แต่เพียงเราสร้างความสามารถให้แก่จิตใจ ให้มันเห็นอยู่อย่างนี้ก็ได้ ให้มันเปลี่ยนอย่างนี้ก็ได้ เนี่ย ป.4 เปลี่ยนอารมณ์หรือนิมิตได้ตามต้องการ
ง่วงนอนไปนอนก่อนก็ได้ ยังไม่ถึง ป.5 เอ้า! ก็พูดรวบรัดว่าถ้าทำอย่างนี้ได้ก็จบ ป.4 นี่เหลือ ป.5 นิดเดียว ต้องซ้อมอย่างนั้นแหละ ให้นั่นยาม นี่ก็เหลือไว้อันหนึ่ง ที่อยู่นิ่งๆ นี่เราชอบไอ้ดวงเหลืองๆนิ่งๆอยู่นี้ แล้วมันรู้สึกอยู่ด้วยอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนอะไรกันได้ เดี๋ยวนี้ไม่อยากเปลี่ยนแล้ว ก็เลย...ลมหายใจเข้าออกที่เรารู้สึกอยู่ รู้สึกอยู่ว่ามีการหายใจเข้าออกเป็นจังหวะอยู่อย่างนั้น นิมิตที่เป็นดวงเล็กๆมันก็เห็นอยู่ ทีนี้ความรู้สึกที่เราจะน้อมไป เพื่อว่าเดี๋ยวนี้จิตกำลังจับอยู่ที่อารมณ์นั้น เขาเรียกว่า “วิตก” นี่ก็รู้สึกอยู่ ทีนี้จิตกำลังรู้จักไอ้อารมณ์นั้นอย่างละเอียดลออทั่วถึง เหมือนกับว่าไปลูบคลำอยู่ นี่ก็เรียกว่า “วิจารณ์” นี่ก็ปรากฏอยู่ ตอนนั้นเรารู้สึกพอใจว่าเราทำสำเร็จ เราประสบความสำเร็จ เราชนะมันได้ นี่เรียกว่า “ปีติ” นี่ก็รู้สึกอยู่ รู้สึกสบายชอบกล สบายบอกไม่ถูก เรียกว่า “ความสุข” นี่ก็รู้สึกอยู่ แล้วความที่เดี๋ยวนี้จิตก็รวมจุดอยู่ที่อารมณ์นั้นไม่ไปที่ไหน ก็เรียกว่า “เอกัคตา” นี่ก็รู้สึกอยู่ แล้วค่อยๆทำให้มันรู้สึกไปทีละอย่างๆ ไม่อาจทำให้ครบทั้ง 5 อย่างรวดเดียวได้ แต่ว่าเราพยายามสอดส่องดู พิจารณาดู เราจะเห็นว่ามันครบอยู่ทั้ง 5 อย่าง อย่างนี้เขาเรียกว่า ทำองค์ฌานทั้ง 5 ให้เกิดขึ้น ทำองค์แห่งฌานทั้ง 5 ให้เกิดขึ้น องค์แห่งฌานทั้ง 5 คือ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา “วิตก” คือความรู้สึกที่รู้สึกอยู่ว่าเดี๋ยวนี้จิตเกาะอยู่ที่อารมณ์นั้น “วิจารณ์” คือความที่จิตมันซึมซาบทั่วถึงเคล้าเคลียอยู่อารมณ์นั้น “ปีติ” คือความที่เราพอใจเราทำสำเร็จ “สุข” เรารู้สึกเป็นสุขชนิดหนึ่ง เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันระงับๆๆๆเย็นเยือกไปหมด ดูว่าจิตไม่ได้ฟุ้งซ่านไปทางไหนเลย มีจุดแหลมอยู่ที่นั่น เหมือนกับเราเอาไอ้ปลายแหลมของวงเวียนจรดลงไปที่กระดาษที่จุดนั้น นี่เขาเรียกว่า “เอกัคตา” ฟังยังยากเลย สามารถจำได้มั๊ย คำ 5 คำนี้ หือ...วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา จำได้มั๊ย วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา จำได้มั๊ย คอยฟังให้ดีจะว่าอีกที วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา จำได้มั๊ย คนนี้จำได้มั๊ย ปีติ...วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา อันที่ 1 วิตก อันที่ 2 วิจารณ์ อันที่ 3 ปีติ อันที่ 4 สุข อันที่ 5 เอกัคตา จำได้แล้ว ลองว่าซิ 5 อัน เอาไปนอนว่า เอากลับไปกรุงเทพ อย่าไปลืมสิที่กุฏิ วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา วิตกคืออะไร หา...วิตกคืออะไร คนเล็กนี่ลองว่าซิ วิตกคืออะไร (เณร: ความไม่สบายใจ) อืม นั่นน่ะความวิตกของเธอ แต่วิตกของไอ้คนที่เค้าทำสมาธิเนี่ย “วิตก” คือการที่จิตมันเกาะลงไปที่อารมณ์ มันกำหนดลงไปที่อารมณ์ เขาเรียกว่า วิตก ฝึกคิด หรือฝึก ในภาษาสมาธินี้คือความที่จิตหรือสติเกาะอยู่ที่อารมณ์ นี่เขาเรียกว่าวิตก ทีนี้ “วิจารณ์” เนี่ย คือความที่จิตมันรู้สึกอย่างละเอียดลอออย่างทั่วถึงต่ออารมณ์นั้น ทีนี้ “ปีติ” ล่ะคืออะไร คืออะไร คืออะไรว่าซิ ปีติก็รู้จักกันทุกคนนี่ ใครๆก็เรียกว่าปีติ มีปีติ คือ พอใจ ปีตินี่ถ้าว่ามันมากนัก มันรู้สึกขนลุกขนพอง รู้สึกซาบซ่าน รู้สึกคล้ายๆว่าจะลอยไปอย่างนั้นแหละ ปีติ คือความพอใจว่าเราทำได้สำเร็จ ทีนี้ “สุข” ก็คือสบาย สุขจนสบาย เพราะว่าเดี๋ยวนี้อะไรมันระงับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลมหายใจระงับ กายระงับ ความร้อนระงับ ความกระสับกระส่ายในร่างกายระงับ อะไรก็ระงับเลยเป็นสุขที่สุด เมื่อใจคอของเราสบายดี อารมณ์ดี อะไรดี เราจะรู้สึกเป็นสุขที่สุดน่ะ คือคล้ายๆกันนี้ ทีนี้ “เอกัคตา” มียอดอันเดียว คือจิตไม่ฟุ้งซ่านไปที่ไหนแต่เกาะที่จุดนั้นเพียงจุดเดียว เรียกว่าเอกัคตา คงจะยากสำหรับเด็กๆ ก็ไม่ต้องการจะสอนให้ทำถึงนี่หรอก แต่บอก ป.5 เผื่อบางคน ผู้ใหญ่ พระทำได้ สำหรับเณรก็คงจะต้องเป็นเณรพิเศษจึงจะทำได้ นี่เขาเรียกว่าองค์ของฌานมีอยู่ 5 องค์ ป.5 เรียกว่าทำความกำหนดองค์ฌานทั้ง 5 ให้ปรากฏชัดออกมา เขาเรียกว่าได้บรรลุฌานทีแรก ฌานที่ 1 คือ ปฐมฌาน มากเกินไปแล้วสำหรับคนธรรมดานี้ ไม่ต้องพูดถึงที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 กันแล้ว เพียงแต่ปฐมฌานนี้ก็เกินใช้แล้ว หรือว่าเฉียดๆปฐมฌานนี่ก็เกินใช้แล้ว เพียงแต่เราทำมโนภาพที่จุดนั้นให้ได้มันก็...ก็มันก็เฉียดฌาน มันก็มีสมรรถภาพทางจิตมากพอ หรือบังคับให้มโนภาพนั้นเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนสี เปลี่ยนรูปอะไรตามชอบใจนี่ เดี๋ยวนี้เราเป็นผู้ฝึกจิตมาก ชนะจิตมาก ควบคุมจิตได้มากนี่ เราไม่ต้องการใช้ไอ้สิ่งที่เห็นนั้นหรอก แต่เราต้องการใช้จิตเดี๋ยวนี้ที่เราฝึกดีแล้วมีสมรรถภาพมากแล้วในการเรียนหนังสือก็ได้ ในการจำอะไรก็ได้ ในการต่อสู้ก็ได้ ในการข่มอารมณ์ก็ได้ ในการห้ามเลือดก็ได้ อะไรก็ได้อย่างที่ว่ามาแล้วทีแรก ถ้าร่างกายมันระงับมีผลอย่างไรบ้าง เนี่ยทำจิตให้เป็นสมาธิมันเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นคนที่จิตดีมาก ฝึกไว้ได้ดีมาก ไม่เหมือนก่อน ความที่จะไปรักอะไรมันก็ไม่ค่อยเป็นไป ความที่จะไปโกรธอะไรมันก็ไม่ค่อยจะเป็นไป ความที่จะไปเกลียดอะไรมันก็ไม่ค่อยจะเป็นไป มันมั่นคง มันสงบ เขาเรียกว่าจิตมันบริสุทธิ์ดี มันมั่นคงดี มันว่องไวแต่ที่จะทำหน้าที่ คิดนึกอย่างดี ไม่ไปทำไอ้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ เขาเรียกว่าจิตนี้ฝึกดีแล้ว เป็นจิตที่ฝึกดีแล้ว ใครจะใช้ประโยชน์อะไรก็เอา ถ้าจะใช้เพื่อละกิเลสไปบรรลุมรรคผลนิพพานก็ทำต่อไปทางวิปัสสนาให้เห็นความไม่เที่ยง ที่จริงก็อาจจะอธิบายความไม่เที่ยงชนิดที่คนที่อยู่ที่บ้านเรือนจะพอทำได้กันได้ แต่ว่าเวลามันก็หมดแล้ว แล้วเรื่องมันก็จะมากไป ฉะนั้นยังไม่พูด เพื่อจะทำจิตให้เป็นสมาธินี้ เปรียบเทียบเหมือนกับว่าเรามี 5 ชั้น เอ้า! ฟังให้ดีสิ ก่อนที่จะไปนอน ข้อ 1 วิ่งตาม ข้อ 2 อะไร...ลืมแล้ว เฝ้าสิ เฝ้าดูอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่ง ทีนี้ ป.3 ล่ะ ทำภาพ มโนภาพ ภาพติดตาให้เกิดขึ้นที่จุดนั้น ทำมโนภาพชนิดใดชนิดหนึ่งตามที่มันเหมาะแก่เราให้เกิดขึ้นที่จุดที่เฝ้าดูนั้น เรียกว่าสร้างมโนภาพขึ้นที่จุดนั้น ทีนี้ ป.4 ล่ะบังคับมโนภาพนั้นได้แล้วแต่ว่าต้องการอย่างไร แสดงความสามารถของการบังคับจิตได้ดีมาก ทีนี้ ป.5 หือ...ทำความรู้สึกในองค์แห่งฌานให้ปรากฏ ทำความรู้สึกในองค์แห่งฌานที่มีอยู่ 5 องค์ให้ปรากฏ เลข 5 มันเผอิญไปซ้อนอยู่ด้วย ในชั้น ป.5 เนี่ยทำไอ้องค์ฌานทั้ง 5 ให้ชัดในความรู้สึกว่า วิตกคืออย่างนั้น วิจารณ์คืออย่างนั้น ปีติคืออย่างนั้น สุขคืออย่างนั้น เอกัคตาคืออย่างนั้น ป.1 คืออะไร ว่าใหม่ ป.1 เรียงคำพูดให้ชัด เรียงคำพูดให้ดีที่สุด ป.1 “วิ่งตาม” คือวิ่งตามลมหายใจ ป.2 พูดแค่เพียง 2 คำก็พอ “เฝ้าดู” ป.1 วิ่งตาม ป.2 เฝ้าดู แล้ว ป.3 ล่ะ “สร้างมโนภาพขึ้นมาที่จุดนั้น” ทีนี้ ป.4 ล่ะให้เปลี่ยนสิ อย่าว่ายืดยาวนัก “เปลี่ยนมโนภาพ” มันก็สั้นดี ป.5 องค์ฌาน ทำความรู้สึกในองค์ฌานทั้ง 5 “รู้สึกในองค์ฌานทั้ง 5” วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา เดี๋ยวนี้ไม่ยอมให้ใช้คำพูดยวบยาบเนิบนาบแล้ว พูดให้สั้นที่สุด ป.1 ว่าอะไร ป.1 เอาแค่ 2 พยางค์เถอะ ป.1...หือ (เณร: วิ่งตาม) ป.1 วิ่งตาม ป.2 (เณร: เฝ้าดู) อืม! ป.3 (เณร: สร้างมโนภาพ) เอาสร้างออกซิ (เณร: เปลี่ยนมโนภาพ) ไม่เอา! เกินไป ป.3 (เณร: มโนภาพ) อือ...มโนภาพ ป.3 มโนภาพ ป.4 (เณร: เปลี่ยนมโนภาพ) อืม...ป.5 (เณร: สร้างฌานทั้ง 5) อืม...ไม่ใช่ฌานทั้ง 5 องค์ฌาน องค์ฌานทั้ง 5 ปรากฏ...องค์ฌานทั้ง 5 ปรากฏ
ป.1 (เณร: ไล่ตาม) เปลี่ยนอีกแล้ว อย่าเปลี่ยนสิ ป.1 (เณร: วิ่งตาม) ป.2 (เณร: เฝ้าดู) ป.3 (เณร: มโนภาพ) ป.4 (เณร: เปลี่ยนมโนภาพ) ป.5 (เณร: สร้างองค์ฌานทั้ง 5) ให้ปรากฏ องค์ฌานปรากฏ ทำองค์ฌานให้ปรากฏ จะทิ้งไว้ตรงนี้หรือเอาไปถึงกุฏิ จำไปที่กุฏิแล้วเอาไปจดไว้ไปที่กรุงเทพ เด็กๆก็ได้จะฝึกสมาธิโดย ป.1 เอาจิตหรือสติเป็นผู้กำหนดวิ่งตามลม ลมที่วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ถูกกำหนด จนรู้จักลมยาวลมสั้น ลมหยาบลมละเอียด ลมประณีต ลม...กระทั่งที่มีอิทธิพลของลมที่มีต่อร่างกายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นี่ ป.1 ทีนี้ ข้อ 2 ก็ไม่ต้องวิ่งตามแล้ว เฝ้าดู ป.3 ก็มโนภาพโผล่ขึ้นมา ป.4 ก็บังคับมโนภาพตามใจชอบ ป.5 ก็ทำองค์ฌานให้ปรากฏทั้ง 5 องค์ คำว่า ป.1 นี้อย่าเอา ป.1 เหมือนอย่างในโรงเรียนเลย เขาเรียกปฏิบัติขั้นที่ 1 ปฏิบัติขั้นที่ 2 ปฏิบัติขั้นที่ 3 ปฏิบัติขั้นที่ 4 ปฏิบัติขั้นที่ 5 ของการทำจิตให้เป็นสมาธิ ไม่ใช่ ป. ประถม 1 ประถม 2 ประถม 3 เดี๋ยวมัน...เค้าจะหัวเราะน่ะสิ ป.นี้คือการปฏิบัติสมาธิ ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 ก็เท่านั้นแหละ เป็นสมาธิที่สุดแล้ว อย่างยิ่งแล้ว ใครจะเอาสมาธิไปใช้เพื่อประโยชน์อะไรก็สุดแท้ นับตั้งแต่ว่าเดี๋ยวนี้เราจะไม่ผอมอย่างนี้แล้ว ถ้าทำสมาธิได้อย่างนี้ ไม่ผอมอย่างนี้ มันมีการหายใจดี เลือดลมดี อนามัยดี ไม่ผอมอย่างเดี๋ยวนี้ มีเวลาไปทำหน่อยนะ เอามั๊ย จะเอามั๊ย จะลองหัดมั๊ย มันไม่เสียหายอะไร ไม่ต้องเสียสตางค์ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องเปลือง ไม่ต้องทำความยุ่งยากลำบากแก่ใคร ไปทำดูสิมันจะอ้วนขึ้น แล้วความจำก็จะดีขึ้น การสอบไล่ การเรียนจะดีขึ้นหมด โมโหโทโสนี่ลดลงไป เรียกว่ากิเลสมันเกิดยากขึ้นเพราะเรามีจิตเป็นสมาธิ ความเป็นสมาธินี่เขาให้คำจำกัดความไว้ว่า หนึ่ง มันบริสุทธิ์ สอง มันมั่นคง สาม มันว่องไว จิตบริสุทธิ์ จิตมั่นคง จิตว่องไว 3 อย่าง เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เอาไปใช้อะไรก็ได้ ร่างกายดีขึ้น การศึกษาเล่าเรียนดีขึ้น จิตใจก็ดีขึ้น นี่ผลของสมาธิ นี่คุณบอกวันนี้ว่าคืนนี้ควรจะพูดเรื่องสมาธิ ผมก็พูดแล้ว สำหรับผู้ที่จะกลับไปก่อน ถ้าสมมติว่าเอาความรู้อันนี้ไปได้ แล้วไปปฏิบัติได้ก็เรียกว่าไม่เสียหลาย ไม่เสียทีที่มาที่นี่ ขอให้มันเป็นอย่างนั้น สู้อุตส่าห์มาลำบาก ฝึกอดทนอะไรต่างๆนี่ขออย่าให้มันเป็นหมันเปล่า ขอให้มันสำเร็จประโยชน์เกินค่า ทีนี้การบรรยายเรื่องอื่นเราก็ฟังตามสมควรแล้ว ทีนี้ตอนสุดท้ายนี้เราก็พูดกันเรื่องสมาธิซึ่งเป็นการปฏิบัติโดยตรง ปฏิบัติแล้วจะช่วยให้เราสามารถมีจิตใจชนิดที่แก้ปัญหาต่างๆอย่างที่บรรยายมาแล้วตั้งหลายครั้งได้ นั้นเป็นวิชา เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ ถ้าจะปฏิบัติให้ได้ จะเอามันให้ได้ มันก็ต้องบังคับ ฝึกฝนจิตใจอย่างนี้ ให้ได้จิตใจชนิดนี้มา แล้วก็จะทำการแก้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับการที่เราจะมีชีวิตชนิดที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะมีกันได้ เพียงเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับปิดภาคเรียนแล้วบวช แล้วมาศึกษาอะไรกันบ้างที่นี่ช่วงระหว่างปิดภาคเรียน นี่ขอให้ชุดที่จะกลับไปก่อนวันพรุ่งนี้ได้สิ่งนี้ไปแล้วมีความก้าวหน้า เรียกว่าเจริญ ได้รับผลประโยชน์ ในการเจริญก็เป็นที่พอใจแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของผมหรอก เป็นเรื่องของทุกคน เป็นเรื่องของประเทศชาติ ศาสนา ที่มนุษย์จะต้องเป็นกันอย่างนี้ มันจึงจะได้ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เอาละวันนี้พอที ปิดประชุม