แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย การบรรยายซึ่งเป็นการถวายความรู้รอบตัวในวันนี้ เป็นวันสุดท้าย สำหรับผมที่จะบรรยายได้ ก็อยากจะกล่าวเรื่องที่เป็นการสรุปความมากกว่า หรือว่าจะเป็นเรื่องทั่วๆไปเบ็ดเตล็ดก็ได้ แต่เป็นการสรุปความ
การที่เรามีกิจการเรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาธุระ หรือวิปัสสนาจารย์มานี้ ทว่าโดยที่แท้แล้ว ถูกต้องที่สุด เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ของมนุษย์ในโลกปัจจุบันเวลานี้ แต่เดี๋ยวนี้มันมีข้อที่เป็นปัญหาหรือว่าน่าจะเกรงกันอยู่บ้างก็คือว่า เรายังไม่เข้าใจในสิ่งที่กระทำนี้อย่างเพียงพอ คำว่าวิปัสสนาแปลว่าเห็นแจ้ง แล้วมันก็มีความหมายทั่วไป ถ้าเป็นพุทธบริษัทมันก็ต้องเห็นแจ้ง ไม่ฉะนั้นก็ไม่เป็นพุทธบริษัท แม้ชาวบ้านก็ต้องมีการเห็นแจ้งในสิ่งที่บรรพชิตจะต้องเห็นแจ้ง แล้วแต่จะใช้คำว่าอะไร ถ้าเป็นเรื่องอริยสัจ มันก็ชาวบ้านก็ต้องเห็นแจ้งในเรื่องอริยสัจ บรรพชิตก็ต้องเห็นแจ้งจะอยู่บ้านหรืออยู่ป่าก็จะเป็นเรื่องเห็นแจ้งอริยสัจ บางคนก็จะพูดว่าเห็นแจ้งนาม รูป โดยเป็นไตรลักษณ์ ก็เป็นเรื่องเห็นแจ้ง ซึ่งชาวบ้านก็ต้องเห็นแจ้ง บรรพชิตก็ต้องเห็นแจ้ง นี้เป็นข้อที่ว่ากิจการของวิปัสสนานี้มันควรจะเหมาะสมเข้ากันได้กับสถานการณ์ของคนทุกคน แม้ว่าในยุคปรกติหรือว่าในยุคที่มันลำบากยากเข็ญ อย่างที่ว่าเผชิญหน้ากับความตายอย่างนี้ ดูคนโดยมากจะแยก แยกแยะไอ้เรื่องชนิดนี้ออกไปเสียเป็นเรื่องเฉพาะมากเกินไป คล้ายๆกับว่าพวกวิปัสสนากับพวกวิปัสสนาไปเสียโดยไม่ต้อง ไม่ต้องเนื่องหรือไม่ต้องอะไรกะใคร แต่ข้อเท็จจริงนั้นมันต้องวิปัสสนากันทุกคน กระทั่งลูกเด็กๆ เพิ่งคลอดออกมาพอจะรู้ความนี้มันก็ต้องวิปัสสนา ยังมีสูตรที่กล่าวไว้อย่างน่าสนใจหรือว่าน่าสะดุด เพราะทารก มีพุทธภาษิตว่าเพราะทารกนั้นมันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ จึงได้ยินดีในอารมณ์หรือในเวทนาที่มากระทบ เมื่อนึกถึงคำนี้แล้ว เราหมาย หมายความว่าแม้เด็กๆ ก็จะต้องมีความรู้เรื่องเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ แม้ว่าจะไม่เรียกชื่ออย่างนั้น คือรู้เรื่องว่าทำยังไงจึงจะไม่เป็นทุกข์ ในกรณีนี้ สูตรนี้หมายถึงเด็กทารก คล้ายๆกับว่ายังไม่หย่านม เมื่อผมอ่านพบเข้าที่แรกก็นึกสะดุด หรือที่เรียกว่าสะดุ้งว่าทำไมใช้คำอย่างนี้กับเด็กทารก เป็นอันว่าเรื่องวิปัสสนานี้มันควรจะมีได้แม้แก่เด็กทารก ปัญหามันก็เหลืออยู่แต่ว่ามันจะเท่ากันไม่ได้ จะระดับเดียวกันหรือว่าคำพูดอย่างเดียวกันมันไม่ได้ แต่ทุกคนจะต้องรู้เรื่องนี้ ในฐานะที่จะให้มีความทุกข์น้อยหรือไม่มีความทุกข์เลย ดังนั้นพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายควรจะสามารถแจกจ่ายวิปัสสนาในแง่ของความรู้หรือการปฏิบัติก็ตามให้แก่คนทุกระดับ แม้แต่กับเด็กๆที่ไม่ทันจะหย่านม แล้วก็เป็นเด็กขึ้นมา หรือเป็นวัยรุ่นขึ้นมา จนกระทั่งเป็นหนุ่มสาวขึ้นมา ถ้าว่าเรื่องนี้อยู่ในโครงการแล้วก็นับว่าดีแล้ว ถูกต้องโดยเหตุผลในพระบาลีแล้ว ถ้ายังไม่เคยมีก็ควรจะคิดว่าจะต้องปรับปรุงให้เรื่องการเห็นแจ้งในสิ่งที่ควรจะเห็นแจ้งนี้ได้มีหรือได้เป็นไปในหมู่มนุษย์ นับตั้งแต่เด็ก เล็กๆขึ้นมาจนถึงคนแก่ คนชรา และคนที่กำลังจะตาย คือเราจะสนใจกันแต่เรื่องที่มีขอบเขตจำกัด อย่างที่ทำกันมาเป็นระเบียบเป็นประเพณีนี้ ผมคิดว่ายังไม่พอ พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสเช่นนั้น ด้วยความหมายอย่างไรก็ไม่ทราบแน่เหมือนกัน ว่าเพราะว่าไอ้เด็กทารกนั้น มันไม่มีความรู้เรื่องเจโตวิมุต ปัญญาวิมุต มันจึงความยินดีในเวทนานั้น ยินดีในเวทนาที่เขาได้รับเป็นครั้งแรก อาตมาดูแล้วเด็กตัวโตมันก็อย่างนั้น คนหนุ่มสาวก็อย่างนั้น ผู้ใหญ่ก็อย่างนั้น คนแก่คนเฒ่ามันก็อย่างนั้น เพราะว่ามันไม่รู้ ไม่มีความรู้ในเรื่องเจโตวิมุต ปัญญาวิมุต มันจึงได้ยินดีในเวทนานั้น นี้คำว่ายินดีในเวทนานั้น ก็คงจะมีความหมายจำกัดอยู่เหมือนกันว่ายินดีด้วยลักษณะอย่างไร แต่ว่าสุนัขหรือแมวได้รับสุขเวทนา มันมีความยินดีและยึดมั่นในเวทนานั้นด้วยหรือเปล่า นี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาดูด้วย ทีนี้คนเมื่อได้รับเวทนาแล้วยินดีในเวทนานั้น มันมีอะไรเท่ากันกับที่ว่าสุนัขและแมวเป็นต้น มันได้รับเวทนาแล้วมันยินดี หรือมันไม่ยินดี นี้เป็นเรื่องละเอียดของการที่จะเข้าใจธรรมะ บางคนอาจจะโพล่งออกไปว่ามัน มันก็คงยินดีเหมือนกัน เหมือนคน แม้ว่าจะน้อยกว่า แต่ถ้าพิจารณาดูตามพระบาลีทั้งหลายแล้วก็ ดูจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ความยินดีในสิ่งนั้น ในเวทนานั้น ของสัตว์เช่นสุนัขและแมวเป็นต้น ไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าฉันทราคะ ขอให้จำคำนี้ไว้เป็นพิเศษ ในฐานะเป็นคำที่ใช้มากและยืนยันมาก ว่าฉันทราคะนี้ อะไรมันอยู่ที่ฉันทราคะ แล้วคำนี้เราเรียนกันมาศึกษากันมาในความหมายที่แคบ ไม่เต็มตามความหมายของคำๆนี้ ในกรณีที่เกี่ยวกับความทุกข์หรือตามหลักธรรม ยิ่ง ๆๆๆ สอบสวนค้นคว้ามันยิ่งพบไอ้ความยุ่งยากลำบากเกี่ยวกับคำนี้มากขึ้น เช่นตรัสกับผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่ง ว่ามีจะถามว่ามีฉันทราคะในลูกบ้านไหม ถ้ามีฉันทราคะในลูกบ้านก็เป็นทุกข์ ฉันทราคะอย่างนี้แปลว่าห่วงนั้นเอง ห่วง เช่นผู้ใหญ่บ้านเป็นห่วงลูกบ้าน ลูกบ้านไม่ได้อะไรแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ นี้ก็ใช้คำว่าฉันทราคะด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เป็นเรื่องกิเลสเกี่ยวกับเพศเกี่ยวกับอะไรโดยตรง ความห่วงใยที่ผู้บังคับบัญชาจะมีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ถ้าถึงขนาดที่ทำให้ผู้บังคับบัญชาเป็นทุกข์ก็ใช้คำว่าฉันทราคะด้วย มนุษย์เรามีฉันทราคะในเงิน ในทอง ในทรัพย์สมบัติ ในวัวควายไร่นา กระทั่งมีฉันทราคะในความรู้สึกเกี่ยวกับเพศ เกี่ยวกับเวทนาเป็นต้น แล้วมีคำที่สรุปความทั้งหมดเป็นหลักของพุทธศาสนา อยู่ในคำสั้นๆเพียงคำว่าฉันทราคะ การนำออกเสียซึ่งฉันทราคะ อย่างพระสารีบุตรสอบความรู้สึกหรือกำชับกำชาภิกษุในอาณัติในความรับผิดชอบของท่าน ก็ใช้คำๆนี้ คือว่าถ้าว่าคนที่ฉลาดใช้คำว่าคนฉลาด เขาถามพวกเธอว่าพระศาสดาของพวกเธอ มีการกล่าวอย่างไร สอนอย่างไร สอนอย่างไร กล่าวอย่างไร ขอก็ให้ตอบว่า ฉนฺทราค วิริยะขาญี พระศาสดาของข้าพเจ้ามีปรกติกล่าวซึ่งการนำออกเสียซึ่งฉันทราคะ นี้เป็นบทแรกเป็นบทร่วมทั้งหมดว่า พระศาสดาเป็นผู้มีปรกติสอนคือกล่าวให้นำออกซึ่งฉันทราคะ นี้พอเราถามต่อไปว่า นำออกซึ่งฉันทราคะในอะไร ก็ตอบว่าในรูป ในเวทนา ในสังขาร ในวิญญาณคือขันธ์ ๕ นั่นเอง ถ้าเขาถามอีกว่าเพราะเหตุใดจึงทำอย่างนั้น เพราะว่าผู้ที่ ก็ตอบว่า เพราะว่าผู้ที่นำฉันทราคะออกไม่ได้ ในรูป ในเวทนาเป็นต้นแล้วก็ย่อมจะมีความทุกข์ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจะเกิดขึ้น อย่างนี้ก็เป็นหลักหนึ่ง ซึ่งจะสอนคนทั่วไปให้นำออกซึ่งฉันทราคะและก็ในขันธ์ ๕ เป็นธรรมสรุปความแล้วก็พระศาสดาทรงสอนหรือว่ากล่าวอยู่เป็นปรกติซึ่งการนำออกซึ่งฉันทราคะที่มีอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ ที่นี้คิดดูก็ว่าคนเหล่านั้นรู้จักขันธ์ ๕ หรือเปล่า เด็กๆมันจะรู้จักขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อไร เกิดเป็นเพียงขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ เกิดเมื่อไร กลายเป็นอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ แล้วที่ว่านำฉันทราคะที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ มันขันธ์ ๕ ชนิดไหน ถ้าเป็นขันธ์ ๕ ปรกติ มันก็ไม่ได้มีฉันทราคะในขันธ์ ๕ ก็ไม่รู้จะนำออกซึ่งอะไร ก็ได้แต่ป้องกันไม่ให้เกิดฉันทราคะขึ้นในขันธ์ทั้ง ๕ แต่ถ้าว่ามันได้เกิดเป็นอุปาทานขันธ์มาแล้วอย่างนี้ก็ได้ ให้นำออกเสียซึ่งฉันทราคะในขันธ์ ๕ ที่กำลังมีอุปาทาน แต่ว่าคำพูดคำนี้อาจจะไปไกลไปกว่านั้น สอนการนำออกเสียซึ่งฉันทราคะในขันธ์ ๕ นี้คือสอนให้รู้อยู่เป็นปรกติ และสามารถป้องกันไม่ให้เกิดฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ ได้ตลอดกาล นั้นแหละคือสอนการนำออกเสียได้ซึ่งฉันทราคะในขันธ์ ๕ นี่เป็นหลักที่ตายตัว ที่เราจะปฏิบัติอย่างไร จะเอาไปสอนอย่างไรได้อย่างไร เท่าไหร่ ที่ไหน เมื่อไหร่นี้มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความรู้หรือความสามารถหรือการใช้ดุลยพินิจของตัวเอง สมมุติว่าจะเข้าไปในหมู่บ้านนี้ จะสอนพุทธศาสนาแก่คนในหมู่บ้านนี้ จะลงมือพูดว่าอย่างไร จะตั้งต้นพูดว่าอย่างไรจึงจะเป็นไปตามนี้ สอนให้เขานำฉันทราคะออกเสียได้ในขันธ์ทั้ง ๕ ผมคิดว่าไป จะต้องไปตั้งต้นไปพูดกันเรื่องขันธ์ ๕ มากกว่า ไม่เหมือนในครั้งพุทธกาล ซึ่งคนทั่วไปที่เป็นนักศึกษาอยู่บ้าง นักสนใจธรรมะอยู่บ้าง ก็รู้ในสิ่งที่เรียกว่าขันธ์ ๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นผู้ที่จะออกบวช ขวนขวายความรู้ก็รู้จักกันดี อย่างในอนัตตลักขณสูตร แสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่าพระพุทธองค์ตรัสคำแรกก็เอยขึ้นมาว่า รูปเป็นอนัตตา เวทนาอนัตตานี้ ถ้าแต่ภิกษุปัญจวัคคีย์เขาไม่รู้อยู่ก่อนว่ารูปคืออะไร เวทนาคืออะไร สัญญาคืออะไรก็ไม่ ไม่ ไม่มีความหมาย คือฟังไม่ถูก ย่อมแสดงว่าประชาชนขณะที่นักศึกษาสนใจธรรมะธรรมโมเกี่ยวกับจิตวิญญาณอยู่บ้างแล้วก็ต้องรู้เรื่องนี้กันอยู่แล้ว เพราะว่าเขาจะต้องพูด ต้องถาม ต้องใช้คำพูดกันอยู่แล้ว อย่างสมัยนี้ถ้าพูดว่าดินน้ำลมไฟก็พอจะเข้าใจได้คือ ธาตุทั้ง ๔ แต่พอพูดว่าขันธ์ทั้ง ๕ ก็งงไปหมด ในครั้งพุทธกาลคงจะดีกว่านี้ คือพูดถึงขันธ์ ๕ ก็ฟังกันถูก รู้เรื่องว่าอะไร และยิ่งกว่านั้นเขาก็เคย เขาจะเคยยึดเอาขันธ์ใดขันธ์หนึ่งเป็นอัตตาเป็นตัวตนอยู่ด้วยพอดีกัน พระองค์ก็ไปปฏิเสธได้โดยง่ายก็เขารู้จักขันธ์ ๕ อยู่แล้วก็บอกขันธ์ ๕ แต่ละอันไม่มีอันไหนที่จะเป็นอัตตาได้เลย นี่คือหัวใจของพุทธศาสนา การนำออกเสียซึ่งฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ นี่พูดให้ชัดลงไปในแง่ของการปฏิบัติ สำหรับคำว่าหัวใจของพุทธศาสนานั้น อย่าได้ไปยึดมั่นถือมั่นเอาประโยคนั้น เอาประโยคนี้ ประโยคใด ประโยคหนึ่งไปยืนยันว่านี้เป็นหัวใจแล้วอันอื่นไม่ใช่ แล้วเถียงกัน แล้วก็ทะเลาะวิวาทกัน ต้องแล้วแต่ว่าจะกล่าวในแง่ของปริยัติหรือปฏิบัติหรือของอะไร มันก็ใช้ได้ทั้งนั้น เช่นบ้างคนจะไปยึดว่าไม่ทำความชั่ว ทำแต่กุศล ทำจิตให้ผ่องแผ่ว นี้เป็นพุทธศาสนาอย่างนี้ มันก็อยู่ที่จิตที่ผ่องแผ่ว แล้วคนที่ไม่มีฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ นั้นคือคนที่มีจิตที่ผ่องแผ่วที่สุด แล้วคนนั้นย่อมไม่ทำบาป คนนั้นย่อมเคลื่อนไหวไปในทางที่เป็นกุศลอยู่โดยอัตโนมัติ โดยไม่เจตนาก็ได้ ก็เลยถูก ทำจิตให้ผ่องแผ่วเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา แต่มันยังไม่รู้ว่าทำอย่างไร เดี๋ยวนี้มันพูดชัดไปเลยว่าให้นำฉันทราคะออกจากขันธ์ ๕ นั่นคือทำจิตให้ผ่องแผ่ว นั่นคือหัวใจของพุทธศาสนา รู้อริยสัจทั้ง ๔ จะสรุปรวมอยู่ในคำๆนี้เลย เพราะว่าเราตั้งหน้าตั้งหน้าแต่เพียรนำฉันทราคะออกมาเสียที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ ออกมาเสีย มันก็เป็นการปฏิบัติใน ใน ในเรื่องของอริยสัจอยู่อย่างสมบรูณ์ เพราะตัณหามันไม่เกิดได้ ไม่มีความทุกข์ มันก็หมด เรื่องมันจบกัน และการที่นำฉันทราคะในขันธ์ ๕ ออกเสียนั้นแหละคืออริยมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วนอยู่ในตัว คิดดูให้ดี เพราะคนชนิดนี้ก็รู้ถูกต้องอยู่แล้ว ใฝ่ฝันถูกต้องอยู่แล้ว พูดจามันทำการงาน มันก็ถูกต้องของมันเอง สำหรับข้อที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่ประโยชน์นี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนาก็อย่างเดียวกันอีก คือไม่มีฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ คือสิ่งทั้งปวง เมื่อไม่มีฉันทราคะในสิ่งทั้งปวงก็เรียกว่าไม่ยึดมั่นในสิ่งทั้งปวง ไม่ได้ฝั่งใจ ไม่ได้ปักใจเข้าไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดความเป็นตัวเป็นตน คือด้วยฉันทราคะ ดังนี้ขอให้เข้าใจด้วยคำว่าฉันทราคะ มันประหลาดที่สุด จะไปในแง่ของกามก็ได้ ในรูปก็ได้ ในอรูปก็ได้ คำว่าราคะนั้นไม่ได้แต่กามราคะอย่างเดียว เป็นรูปราคะ อรูปราคะก็มีก็ชื่ออยู่ เรียกว่าฉันทราคะในรูป ฉันทราคะในอรูป ซึ่งสูงขึ้นไปมากกว่าฉันทราคะในกาม ชาวบ้านทั่วๆไปในเมืองไทยพอได้ยินคำว่าราคะก็มุ่งหมายแต่กามราคะ เพราะรู้เพียงเท่านั้น และที่ไม่รู้หรือรู้แบบผิดๆ ก็ว่าขันธ์ ๕ นี้ ไม่รู้หรือรู้ผิดๆ กระผมลองถามคนทั่วไป ชาวบ้านทั่วไปถึงเรื่องขันธ์ ๕ ก็มักจะพูดว่ากำลังมีขันธ์ ๕ อยู่ทุกคน ฉันหรือผมกำลังมีขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ นี้แสดงว่าไม่รู้เรื่องขันธ์ ๕ หรือรู้ผิด คนเราจะมีขันธ์ ๕ ตลอดเวลาไม่ได้ เหมือนที่เคยปรารภกันแล้วในครั้งการบรรยายในครั้งแรกๆ เกิดต่อเมื่อมีการสัมผัส แล้วมันเกิดกันคนละที คนละที คนละที ต่อกันมา มีพร้อมกันในคราวเดียวทั้ง ๕ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ประชาชนของเราใช้คำว่าของเรา คือประเทศไทยเรา ที่เรารับผิดชอบ ยังไม่รู้เรื่องขันธ์ ๕ การสอนวิปัสสนาตั้งต้นสอนเรื่องขันธ์ ๕ ให้เข้าใจ แม้จะใช้คำว่านาม รูป เพียง ๒ คำ มันต้องขยายออกเป็นขันธ์ ๕ อยู่ดี ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตั้งอยู่เท่าไร และดับไปอย่างไร ไอ้เรื่องสมาธิภาวนาที่เป็นไปเพื่อการสิ้นอาสวะที่ได้บรรยายแล้วในครั้งตอนหลัง ตอนท้ายๆ ผมจึงถวายความเห็นหรือความรู้สึกในที่นี้ว่าจะต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ประชาชนในความรับผิดชอบของเรารู้เรื่องขันธ์ ๕ รู้จักขันธ์ ๕ กันเสียที เขาคงจะคิดว่า เอ้า, มาสอน กอ ขอ กอ กา กันอีกแล้ว เขาก็รู้แล้วเป็นต้น ผมอยากจะพูดว่า ไม่รู้ แม้แต่พวกนักธรรมเอกมันก็ยังรู้ผิด ถ้าคนที่สอบนักธรรมเอกได้แล้วคนไหนยังมาพูดว่ามีขันธ์ ๕ อยู่ตลอดเวลา คนๆหนึ่งแยกออกมาเป็นขันธ์ ๕ได้เมื่อไหร่ก็ได้นี้ ผมว่าไม่ถูกและผิดอย่างยิ่ง สำหรับเขาจะคิดว่ายังไงก็ตามใจ นี้ไม่ใช่พูดดูหมิ่นดูแคลนอะไรกัน บอกว่ามันเป็นเรื่องที่หน้าหัว ที่ว่าจะต้องไปปรับปรุงกันใหม่กระทั่วให้รู้ขันธ์ ๕ ว่ามันคืออะไร ในเมื่อคนแม้ว่าคนที่เป็นนักธรรมเอกหรือเปรียญแล้วยังรู้เรื่องขันธ์ ๕ อย่างนี้ก็ไม่เห็นทางไหนที่มันจะศึกษาพุทธศาสนาได้ การที่จะถอนหรือนำออกเสียซึ่งฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ นั้น เมื่อถอนไม่ได้มันก็ไม่มีความหมายอะไร คือไม่มี ไม่มีพุทธศาสนา หรือไม่มีการปฏิบัติในพุทธศาสนา นี่ไม่ใช่ผมจะพูดด้วยเจตนาไม่ซื่อหรือว่าอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่มี คือว่าพูดในลักษณะที่ว่าเราต้องรับผิดชอบร่วมกัน แล้วก็รู้สึกเป็นห่วงที่ว่าประชาชนของเราไม่รู้จักแม้แต่ขันธ์ ๕ ในพระพุทธศาสนามีหลักอยู่แต่เพียงว่า จงนำฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ ออกเสีย แล้วพอได้ยินคำว่าราคะหรือฉันทราคะก็เป็นเรื่องกามารมณ์ไปหมด อย่างนี้ก็ตายเลย เพราะว่าในขันธ์ทั้ง ๕ นั้น มันเป็นเรื่องกามารมย์ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ คือเป็นชั้นรูป ชั้นอรูปไปก็ได้ ให้เขารู้ว่าคำว่าราคะนั้นมันมีเป็นกามราคะ และมีรูปราคะและมีอรูปราคะ แต่เนื่องจากว่าคนธรรมดาสามัญรู้จักแต่กามราคะเท่านั้น เขาจึงเข้าใจคำว่าราคะไปในแง่ของกามรมย์หรือเรื่องเพศไปเสียหมด และรูปราคะ อรูปราคะนี้ก็ไปละกันต่อเมื่อจะเป็นพระอรหันต์โน่น แม้จะเป็นพระอนาคามีก็ยังมีราคะประเภทนี้อยู่อย่างนี้เป็นต้น ถ้าสอนคราวเดียวว่าละฉันทราคะในเบญจขันธ์เสีย มันคือการสอนทีเดียวหมด ตั้งแต่เพื่อเป็นคนที่ดี จนกระทั่งไปเป็นพระโสดาสติทานาคา อนาคาอรหันต์เลย ประโยคนี้ประโยคเดียวใช้ได้ตลอดสาย ตั้งแต่ปุถุชนถึงพระอรหันต์เลย ด้วยคำว่านำฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ ออกเสีย ถ้ามันทำได้บ้าง ยังน้อยเกินไปก็เป็นปุถุชนที่ดีไปได้ ทำมากขึ้นไปก็เป็นพระอริยเจ้าประเภทเสขะบุคคล กระทั่งออกได้หมดก็เป็นอเสขะบุคคล จึงของถวายให้ถือไว้เป็นหลักว่าใช้คำว่านำฉันทราคะในขันธ์ ๕ออกเสียเท่านี้คำเดียวเท่านี้ เรียกว่าคำเดียวเท่านั้น เป็นหลักทั้งหมดที่จะสอนและจะปฏิบัติ หรือว่าได้ผลของการปฏิบัติด้วย ถ้าว่าสอนก็ไปสอนให้รู้เรื่องขันธ์ ๕ หรือราคะที่มีอยู่ในขันธ์ ๕ เมื่อไร อย่างไร และปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อมีสติ ป้องกันระวังรักษาไถ่ถอนฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ เสีย พอได้ผลมาก็เป็นการถอนได้แล้ว การบรรลุผลขั้นใดขั้นหนึ่ง ถ้าสิ้นเชิงก็เป็นพระอรหันต์ด้วยคำๆเดียวใช้กันได้หมด ฉันทราคะนี่ใช้ได้ทั้งในกามาราคะและรูปราคะและอรูปราคะ ใช้ได้ทั้งในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ แล้วแต่เรื่องมันจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใดในระดับไหน ถ้าเป็นระดับชาวบ้านทั่วๆไป มันก็เป็นเรื่องในกามราคะมากกว่า ถ้ามันเป็นเรื่องของเด็กๆที่ไม่รู้เรื่องกามราคะเลย มันก็ต้องเป็นราคะชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นรูปราคะ อรูปราคะ อย่างน้อยๆ อย่างอ่อนๆ อย่างเริ่มแรกก็ได้ ข้อนี้อย่าได้ไปเข้าใจว่าต้องหมดกามราคะ แล้วจึงจะเกิดรูปราคะ และเกิดอรูปราคะเป็นต้น ให้เข้าใจมันมีราคะ มันไปมีในกามก็ได้ ในรูปก็ได้ ในอรูปก็ได้ แต่ทำไมไม่พูดแก่พวกปุถุชนธรรมดาก็เพราะมันยังมีปัญหาอื่นที่ขว้างหน้าอยู่ คือปัญหาที่กำลังเดือดร้อนเป็นทุกข์ขว้างหน้าอยู่ คือเรื่องของกามารมณ์ หมดเรื่องกามารมณ์แล้วถึงจะเหลือที่ละเอียดกว่า คือรูปราคะ อรูปราคะเป็นต้น มันเหมือนกับมีแผลใหญ่ๆอยู่แล้ว มันต้อง ก็ต้องจัดการที่แผลใหญ่นั้นก่อน พอหายไปแล้วมันจึงมีแผลเล็กๆ เหลืออยู่ แผลเล็กๆอีกเหลืออยู่ จัดการไปตามลำดับ แผลอันไหนมันร้อนมาก เจ็บมาก ปวดมาก ต้องจัดการอันนั้นก่อน หรือว่าเมื่อเราเป็นอหิวาตกโรค พร้อมกับที่เป็นวัณโรคอยู่ เราก็ต้องจัดอหิวาตกโรคก่อนเพราะมันจะตาย ไอ้วัณโรคไว้ที่หลังก็ได้ กิเลสนี้ก็เหมือน มันจะต้องจัดการก่อน กำลังแผดเผามาก อันตรายมาก จึงมีลำดับว่างไว้เป็นกามะราคะ รูปราคะ อรูปราคะ แต่มิใช่ว่ามันจะค่อยๆ เกิดตามมาหรือเกิดมาใหม่ มันก็มีอยู่แล้วในสันดาล เด็กๆอาจจะมีรูปาราคะได้ คือในวัตถุที่ไม่เกี่ยวกับกาม เช่นของเล่น ของสวยงาม เป็นทาง ทางรูป เหมือนที่เขาเอาอะไรมาแขวนเป็นปลาตะเพียนสานด้วยใบตาลหรืออะไรก็ตามที่ ที่เด็กมันนอนแล้วมันดูเห็น มันก็เพ่งในฐานะรูปเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับกาม ถ้าพอใจยินดี มันก็มีกิเลสประเภทนี้ ประเภทที่เรียกว่ารูปราคะได้ แต่เราไม่สนใจ และก็ไม่คิดว่าอย่างนั้นด้วยซ้ำไป เข้าใจไว้ต่อเมื่อว่ามันละกามราคะแล้วจึงจะสนใจเรื่องรูปราคะหรือจะเกิดขึ้น สำหรับอรูปราคะก็เหมือนกันอีก คือเป็นนามธรรมล้วน ถ้ามันสนใจในความคิดนึกอะไรอย่างหนึ่งซึ่งมิใช่กามแล้วมันสบายใจ แล้วใฝ่ฝันอยู่อย่างนั้น มันก็ต้องเรียกว่าเป็นอรูปราคะด้วยเหมือนกัน คือเป็นนามธรรม เอาเป็นว่าขอให้เข้าใจคำว่าราคะให้ตรง แล้วให้มันทุกขนาดไปเลย คือเป็นกามะราคะ รูปราคะ อรูปราคะ แล้วยังให้มีทุกขนาด เช่นกามราคะทุกขนาด รูปราคะทุกขนาด อรูปราคะทุกขนาด แล้วคนเราก็มีอยู่แล้ว คำว่ารูปราคะไม่จำเป็นจะต้องหมายถึงความสุข ที่เกิดมาจากรูปฌาน หรืออรูปราคะหมายถึงกำหนัดในความสุขที่เกิดจากอรูปฌาน โดยตรง โดยเจาะจงอย่างนั้น มันต้องได้สักอย่าง ต้องเป็นได้ทุกอย่าง ถ้ามันมีรูปก็เรียกว่ารูปราคะ ถ้าไม่มีรูปก็อรูปราคะ ทางเป็นในทางเพศก็เรียกว่ากามราคะ เดี๋ยวนี้คนในโลกมีปัญหามากเกี่ยวกับกามราคะ พอพูดเท่านี้ก็พอจะมองเห็นได้ ว่าเดี๋ยวนี้เขามีวัตถุแห่งกามารมณ์มาก และประดิษฐ์ขึ้นมาก และยั่วมากส่งเสริมมากอย่างมากอะไรมาก มากเหลือเกิน เต็มไปหมด จนเกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับเพศเต็มไปทั้งโลก ไม่ใช้เฉพาะแต่เมืองไทย ได้อ่านหนังสือพิมพ์แต่เมืองไทยก็คิดว่ามีแต่เมืองไทย เมืองนอกก็มีเท่ากันพอกัน ดังนี้เรียกว่าสิ่งที่เรียกว่ากามราคะกำลังระบาด ครอบคลุมโลกอยู่อย่างเต็มที่ในเวลานี้ ดังนั้นจึงมีน้อยคนที่จะไปมัวหลงยินดีอยู่แต่เรื่องรูปล้วนๆ จะมีบ้างก็พวกศิลปิน ที่บ้าหรือหลงไปในเรื่องของรูป สี เสียง แสงอะไรอย่างนี้ แต่แล้วก็มักจะเนื่องกันกับกามารมณ์ ถ้าไม่เนื่องกับกามารมณ์ก็เรียกว่าเป็นรูปไปได้ ทีนี้มีคนชอบเล่นของ คนมีเงินมากชอบเล่นของเป่า ของแพง มาซื้อไปจากฝ่ายบ้านเรา คือทวีปเอเชีย เอาไปยังเมืองฝรั่ง เป็นวัตถุเก่าๆ ซื้อปราสาทไปทั้งหลัง ก็เพื่อไปอวดความมีรูปธรรม รูปวัตถุชนิดนี้ นี่ก็เรียกว่าหลงมากในเรื่องรูปราคะ ผมเคยอธิบายอย่างนี้ก็มีคนหัวเราะเยาะ และก็ไม่ ไม่ ไม่ต้องเปลี่ยนคำอธิบาย คนมันหลงเลี้ยงสัตว์ หลงในการเลี้ยงสัตว์ความสวยงาม หรือเลี้ยงสัตว์เสียงเพราะนี้ มันไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ แต่มันเป็นไปในทางรูปราคะเป็นต้น อาจารย์บางคนตีเด็กๆเกือบตาย เพราะทำปั้นชาแตก เพราะปั้นชาใบนั้นพิเศษ คิดดูสิ มันอะไรราคะ มันเป็นเรื่องรูปราคะไม่เกี่ยวกับกามราคะ ความยึดมั่นมาก กำหนัดมากใน ด้วยรูปราคะ ในสิ่งนั้นในสังขารนั้น ดังนี้ก็เป็นของธรรมดาสามัญ มี มีตลอดเวลากระทั่งเดี๋ยวก็มีมาก เช่นว่าคนใช้เขาไปทำแจกันลายครามสูงสุดแตกลงมาใบหนึ่งนี้ มันก็เกิดเรื่องเหมือนกับบ้านจะทลาย เพราะอำนาจแห่งอะไร นี่คือความยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจแห่งรูปราคะ กำลังเป็นปัญหาอยู่ในโลกปัจจุบันแท้ๆ ในบ้าน ในเรือนของคนปัจจุบันนี้แท้ๆ สำหรับอรูปราคะก็มากเหมือนกัน ไม่มีรูปก็เรียกว่าอรูป เช่นเกียรติยศชื่อเสียง ความใฝ่ฝันอะไรต่างๆ แม้แต่ความสุขที่เกิดมาแต่ความยินดีในบุญในกุศล อันนี้ก็ระวังให้ดี มันเป็นเรื่องของอรูปราคะเมื่อไหร่ก็ได้ มันสูงขึ้นไปละเอียดขึ้นไป ทำให้นอนไม่หลับได้ คนเรานอนไม่หลับเพราะปัญหาเกี่ยวกับความดี เกี่ยวกับอยากดี หรือว่าได้ดีแล้วก็นอนไม่หลับอย่างนี้เป็นต้น มันมีลักษณะเป็นอรูปทั้งนั้น อย่าเอาไปไว้เสียที่พรหมโลกเลย ให้มันเป็นปัญหาอยู่ในมนุษย์โลกนี้แหละ ทั้งรูปราคะ อรูปราคะ และกามราคะซึ่งมีมากที่สุดในหมู่มนุษย์ ถ้าเราช่วยให้ประชาชนเข้าใจสิ่งเหล่านี้ นี่ผมคิดว่าเป็นการสอนวิปัสสนา ที่เขาเรียกกันว่าประยุกต์ที่สุดเลย ประยุกต์ก็หมายความว่าตรงกับเรื่องที่กำลังเป็นอยู่จริง และเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้จริง และก็เป็นเรื่องให้ผลกันจริงๆ โดยเฉพาะต่อสถานการณ์การที่กำลังมีอยู่จริง นี่เขาเรียกว่าประยุกต์จริง เดี๋ยวนี้ก็มีเรื่องอย่างนี้ในโลกอยู่ และเขาสอนวิปัสสนาให้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ สิ่งที่เรียกว่าวิปัสสนานี้ก็จะเป็นของประยุกต์ขึ้นมาจริงๆ สำเร็จประโยชน์จริง เพียงแต่ว่ามันเป็น เป็นชั้นสูงสุดในเรื่องฝ่ายจิตใจ วิญญาณเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้เขามีความเจริญเรื่องวัตถุทางเทคโนโลยี ประยุกต์ได้มาก เขาจึงมีความเจริญ มีไปโลกพระจันทร์ก็ได้ ดังนั้นเรื่องวิชาความรู้นั้นมันประยุกต์ถึงที่สุดแต่ว่าในเรื่องวัตถุ เดี๋ยวนี้ในเรื่องจิตใจ กำลังจะเป็นบ้ากันอยู่ทั้งโลกแล้ว สถิติคนเป็นโลกเส้นประสาทนี้เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในปีหนึ่งๆ ก็หมายถึงเป็นบ้ามากขึ้น ฆ่าตัวตายมากขึ้น นี้เป็นปัญหาที่มีอยู่จริง ถ้ากิจการใดมันช่วยแก้ปัญหานี้ได้นั้นคือประยุกต์ที่สุด ทีนี้วิปัสสนาจะเป็นสิ่งที่ประยุกต์ที่สุด ถ้าทำถูกต้องในยุคปัจจุบันนี้คือจะช่วยแก้ไขให้คนหยุดบ้ากันเสียที หยุด หยุดบ้ากันเสียให้มาก เป็นโรคเส้นประสาทน้อยเข้า เป็นโรคจิตน้อยเข้า ฆ่าตัวตายน้อยเข้า ด้วยวิธีการของพระพุทธเจ้า ซึ่งเหมือนกับเป็นยาสูงสุด คือยาทางวิญญาณเป็นยาแก้โรคในทางวิญญาณ สัพพโลกะ ทิกิจจะโก (นาทีที่๔๑.๔๕) พระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นแพทย์ผู้รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง พระอรหันต์องค์หนึ่งพูดยืนยันอย่างนั้น คือพระพุทธเจ้าท่านมีความเป็นหมอ และก็มียารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง และยานี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำที่ได้พูดแล้วพูดอีกว่า ฉนฺทราควินโย เพราะว่าพระศาสดาของเราเป็น ฉนฺทราควินยกฺขายี มีปกติกล่าวแต่การนำออกเสียซึ่งฉันทราคะในขันธ์ทั้ง ๕ ทีนี้คำว่า ฉนฺทราควินโย คือยาที่พระพุทธองค์ประทานไว้ว่าเอาไปใช้ เอาไปรักษากันทั้งโลก ทั่วโลก แล้วก็จะแก้โรคทางวิญญาณของโลกได้ พวกที่กำลังร้อนอยู่ด้วยกามราคะ มันก็แก้ได้ ที่ร้อนอยู่ด้วยรูปราคะหรืออรูปราคะก็ตาม มันแก้ได้ เดี๋ยวนี้ถ้าว่าเขาไม่ คือว่าน้อยคนที่ว่าไม่หลงในกามราคะเรื่องกาม ก็ไปหลงในเรื่องรูปมีนั้นมีนี่ มีๆมาก มีวัตถุมาก และถ้ามียังเหลือต่อไปอีกว่าหลงเรื่องเกียรติ เกียรตินี้ต้องจัดเป็นอรูป เขาไม่ยอม แม้ว่าจะเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ยอม แม้จะมีเหตุผล เขาควรจะยอมเขาก็ไม่ยอม เพราะเขายึดในเกียรติ เขากลัวจะเสียหน้า เรื่องกลัวจะเสียหน้านี้ทำให้สงครามในโลกเป็นมหาสงคราม ฆ่าฟันตายเป็นหมื่นเป็นแสนอยู่ในเวลานี้ นานมาแล้วจนกระทั่งเวลานี้ ความที่กลัวจะเสียหน้า คือยึดมั่นในเกียรติมาก ยอมไม่ได้ จนกระทั่งกล้าทำผิด พิสูจน์แล้วว่าทำผิดก็ยอมไม่ได้เพราะกลัวจะเสียหน้า นี้ก็เป็นโรคของประเทศที่มีอำนาจมาก มีกำลังมากกว่าประเทศอื่น มันก็เป็นโรคนี้ โรคเสียเกียรติ โรคกลัวเสียเกียรติ ถ้านำราคะในอรูปชนิดนี้ออกเสียได้ โลกที่ก็สงบ มีสันติภาพ ที่นี้พวกที่บ้าวัตถุ บ้ารวยด้วยวัตถุ ก็ถ้าละโรคนี้เสียได้ โลกนี้ก็มีเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันกักตุนหรือเอาไปเป็นของตัวมันมากเกินไป ย่ำยี่คนอื่นทางเศรษฐกิจได้ นี้ถ้าว่ารู้จักบรรเทากามราคะ คือเรื่องกามารมณ์เสีย ไอ้โลกนี้ก็สะอาดขึ้นมาทันที ก็ไม่มีเรื่องเหมือนกับที่กับปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ นี้อาจทำให้โลกนี้เป็นโลกของพระศรีอารย์ได้ในเวลาอันสั้นที่สุด ถ้ากลับตัวพร้อมกันได้ก็เป็นโลกพระศรีอารย์ พรึบขึ้นมาทันที ในพริบตาเดียวได้ นำออกเสียซึ่งฉันทราคะชนิดที่เป็นกาม ชนิดที่เป็นรูป ชนิดที่เป็นอรูป ในขันธ์ทั้งหลาย ๕ โลกนี้จะกลายเป็นโลกพระศรีอารย์ขึ้นมาทันที นี่คือความเป็นประยุกต์ที่สุดของพระพุทธศาสนาที่อาจจะช่วยโลกในยุคปัจจุบันนี้ได้ ทีนี้มันไม่มองเห็นว่าใครจะทำได้นอกจากผู้ที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสาวกของพระพุทธองค์ ก็คือภิกษุทั้งหลายนี้ ดังนั้นการที่จะเรียกตัวเองว่าพระวิปัสสนาจารย์นั้น ดูให้ดี ๆ มันมีหน้าที่อยู่ที่ตรงไหน ให้มันตรงจุด ผมเห็นว่ามันไม่มีที่อื่น ไม่มีไอ้เรื่องที่จะต้องไปยึดมั่นถือมั่นทำไปอย่างงมงาย ยึดมั่นถือมั่นอย่างอื่น มันต้องเป็นเรื่องที่กระทำลงไปตรงจุดเหมือนกับหมอรักษาโรคนี้ให้กินยาถูกต้อง หรือว่าผ่าตัดให้มันตรงกับเรื่องที่มันจะต้องผ่าตัดลงไป มันต้องเป็นเรื่องตรงจุดอย่างนี้ แล้วพุทธศาสนาก็จะมีประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง โดยผ่านน้ำมือของพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลาย
ทีนี้เราก็มานึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธองค์ได้ตรัสว่าไป ไป ไป ไปให้ทั่วโลกนี้ อย่าไปทางเดียวกัน ๒ คน แม้เราก็จะไปด้วยเหมือนกัน นึกดู ท่านต้องการเท่าไร เรียกว่าพอช่วยตัวเองได้แล้วก็ส่งไป ส่งไปเผยแผ่วิชานี้ หรือว่าวิธีการที่จะดับทุกข์อันนี้ที่เรียกว่าพรหมจรรย์ ซึ่งในที่นี้เราเรียกว่ามันเป็นยารักษาโรคของโลกที่กำลังเป็นโรค เน่าไปหมดแล้วด้วยกามราคะ ก็ลำบากอยู่มากอย่างที่เรียกว่าคลุมไปทั้งโลกด้วยรูปราคะ อรูปาราคะ กระทั่งมันคลุมเข้ามาถึงพวกพุทธบริษัทเอง คือพุทธบริษัทเองก็เป็นโรคนี้เสียด้วย กระทั่งอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ สามเณร แล้วมันจะมีอะไรเหลือที่ไหนที่จะเป็นที่พึ่งได้ อย่างนี้ก็ต้องตั้งต้นไล่ออกไปจากในวัด ไล่ฉันทราคะใน ๓ ชนิดนี้ในขันธ์ทั้ง ๕ ออกไปจากในวัด ที่ว่าในวัดก็รู้เรื่องขันธ์ ๕ ดี และก็รู้เรื่องกามราคะ รูปราคะ อรูปราคะถูกต้อง แล้วก็เริ่มไล่ออก โดยวิธีการที่เรียกเหมือนกับว่าเป็นการฉีดยา หรือว่าเป็นการชะล้าง หรือเป็นการผ่าตัดอะไรก็ตาม ให้มันถอยออกไป ถอยออกไป ถอยออกไปจากในวัด ถอยออกไปจากในวัดแล้วก็ไปเหลืออยู่ที่หมู่บ้านก็ตาม ไปล้าง ไปกวาดล้างกันที่หมู่บ้าน ชำระชะล้างกันออกไปทั่วประเทศหรือทั่วโลกนั่นแหละ จึงจะเป็นอย่างที่ท่านพระพุทธเจ้าท่านประสงค์ และจงไปเพื่อประโยชน์แก่โลก พร้อมทั้งเทวะโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ แสดงธรรมให้ไพเราะเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย สมบูรณ์ทั้งอรรถ พยัญชนะ นี่อย่างมงาย หลับหูหลับตา ตีความผิดไปจากความจริง จงไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก พร้อมเทวะโลก มารโลก พรหมโลก ให้พวกมนุษย์โลก สัตว์โลก มนุษย์โลกนี้คือทั่วไปไม่ว่าชนิดไหน ไม่ว่าคนชนิดไหน ใช้ได้ทั่วไป ทีนี้คำว่าเทวะโลกหมายถึงพวกบ้ากาม ที่มันมีอยู่ในโลกในเวลานี้คือในเทวะโลก ก็ต้องช่วยไป ไปช่วยแก้ไขเรื่องนี้ และถ้าว่ามารโลกก็คือบ้ากามสูงสุด เพราะรู้กันอยู่ว่าเป็นวสวัตตี ปรนิมมิตวสวัตตี ที่ภพนั้นและก็มีพญามารชื่อปรนิมมิตวสวัตตี หรือสวัตตีมาร กามรมย์สูงสุดอยู่ที่ชั้น สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี นั่นแหละคือมารโลก คือกามารมณ์สูงสุด ที่นี้พรหมโลกนี้มันก็คือคนที่บ้ารูป บ้าอรูป อยู่ด้วยรูปราคะ อรูปราคะในโลกนี้ ในโลกที่เห็นๆกันอยู่นี้ พวกไหนมันบ้าไปทางรูปราคะ อรูปราคะนั้นมันเป็นพวกพรหมโลก ดังนั้นจงไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก พร้อมทั้งเทวะโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ หมายความว่าแม้คนที่อ้างตัวว่าเป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์ มันก็ยังบ้าอยู่ด้วยราคะประเภทใดประเภทหนึ่ง ถ้าไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสว่าในโลกนี้พร้อมทั้งหมู่สัตว์และสมณะพราหมณ์ สมณะและพราหมณ์ สมณะคือนักบวชทั่วไป ในกรณีอย่างนี้คำว่าสมณะหมายถึงนักบวชทั่วไป คำว่าพราหมณ์หมายถึงครูบาอาจารย์ที่อยู่ตามบ้านเรือน ดังนั้นขอร้องว่าจงไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก พร้อมทั้งเทวะโลก พร้อมทั้งมารโลก พร้อมทั้งพรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะและพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ก็หมดกันเท่านั้น ในหมู่คนเหล่านี้เขากำลังเป็นโรคเสียดแทงอยู่ด้วยกามราคะบ้าง รูปราคะบ้าง อรูปราคะบ้าง และวัตถุแห่งโลกคือขันธ์ทั้ง ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขณะใด ขณะไหนเป็นขันธ์ไหน เมื่อมีสัมผัสทางอายตนะก็เกิดรูปขันธ์ขึ้นมาหลังจากสัมผัสแล้วก็เกิดเวทนาขันธ์ขึ้นมาก เกิดเวทนาแล้วสำคัญมั่นหมายในเวทนานั้นอย่างไรก็เรียกว่าสัญญาขันธ์เกิดขึ้น สัญญาขันธ์ลงไปอย่างไรแล้ว มีความสำคัญมั่นหมายอย่างไรแล้ว มันก็สังขารขันธ์ คิด นึก วิตก วิจารณ์ มีตัณหาอุปาทานไปตามเรื่อง นี่ก็เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ แล้วเป็นเรื่องวิญญาณขันธ์คือจิตที่รู้สึกอยู่ตอนนั้น ตอนนี้ ตอนไหนก็ตามรู้สึกอารมณ์อยู่ก็เรียกว่าวิญญาณขันธ์ ราคะนี้มันไปจับที่รูปขันธ์ หรือเวทนาขันธ์ สัญญาณขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์เป็นขณะ บางขณะ แล้วแต่ว่ากำลังมีขันธ์อะไร เป็นที่ตั้งแห่งกามราคะหรือรูปราคะ หรืออรูปราคะ ถ้ามันหยุดนิ่งอยู่ในลักษณะอย่างนั้นก็ว่าเป็นสมาบัติ ถึงขนาดที่เป็นสมาบัติคือมีรูปราคะในสิ่งนั้น แน่วแน่อยู่ถึงขนาดเป็นสมาบัติ แต่ว่าชาวบ้านทั่วไปไม่เป็นอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้ เขาก็หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องกามราคะ นี่เรียกว่าสัตว์โลกทั้งปวงกำลังเป็นโรคถูกเสียดแทงอยู่ตามความหมายของคำว่าโรค นี่คำว่าโรคแปลว่าเสียดแทง นั้นคนกำลังเป็นโรคคือเสียดแทงอยู่ ด้วยโรคกามราคะบ้าง รูปราคะบ้าง อรูปราคะบ้าง ดังนี้ก็มีที่เกิด ที่ตั้ง หรือสมุฏฐานที่รูปบ้าง เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง วิญญาณบ้าง สลับกันไป ว่อนอยู่ตลอดเวลาในวันหนึ่งๆ ก็มีผลออกมาความทุกข์ ทรมานตัวเอง และก็เป็นทุกข์แก่คนข้างเคียง คือมันประกอบกรรมที่ทำให้ผู้อื่นพลอยเดือดร้อนด้วย ไอ้โรคนี้มันระบาดถึงคนอื่น ก็เป็นอันว่าทั้งโลกนี้กำลังเป็นโรค เน่าเฟะอะไรหมดเลย ทั้งโลกเลย หรือว่าบ้างชนิดก็ว่าควันกลุ้มไปเลย หรือว่าบ้างชนิดมันก็มืดแสนที่จะมืดไปเลย นี่เป็นโรค มีอาการเป็นราคะ เป็นโทสะ เป็นโมหะ แล้วจะมีกองทัพของนายแพทย์ที่ไหน ที่จะไปกวาดล้างโรคเหล่านี้ได้ มันก็เห็นอยู่แต่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยากจะทำงานในหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์ จะเป็นการประกาศตัวหรือไม่ประกาศตัวก็ตามใจ แต่ว่าเมื่อเราสมัครทำหน้าที่อันนี้ มันก็เท่ากับจะสมัครรับหน้าที่เป็นหมอลูกน้องของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นนายแพทย์ใหญ่ต่อกันไปทั่วโลก เพื่อกวาดล้างโรคในโลกให้ค่อยจางไป เบาบางไป ให้เป็นโลกที่กำลังสดใสขึ้นมา สะอาด สว่าง สงบขึ้นมาเท่านั้นเอง นี่คิดดูให้ดีว่าหน้าที่ของพระวิปัสสนาจารย์โดยตรงคือย่างนี้ และปัญหาก็คืออย่างที่ว่า ไอ้โลกทั้งโลกมันกำลังเป็นโรค และตัวโรคในที่นี้ก็คือราคะในกาม ในรูปบ้าง ในอรูปบ้าง แล้วกำลังเป็นอยู่จริงไม่ต้องสันนิษฐานเลย เห็นได้ชัดๆเลยว่าเป็นอยู่จริงอย่างนั้นๆ ที่ตรงนั้น ที่ตรงนี้ ที่มุมนั้น มุมนี้ของโลก โลกกำลังมีโรคอย่างนี้ นี่ขอให้มองให้เห็นอย่างนี้ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรง เป็นภาระที่พุทธองค์ทรงมอบหมาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ ถ้าปฏิเสธก็แปลว่าไม่รับนับถือพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละ มันก็หมด ก็ไม่มีอะไรเหลือ และเมื่อไม่ปฏิเสธ มันก็ต้องทำตามหน้าที่ ให้มีการกวาดล้าง ชำระชะล้างไอ้โรคในโลกนี้ตามที่พระพุทธองค์ทรงมุ่งหมายว่าจงไป ไป ไป ไปเพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก พร้อมทั้งเทวะโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์และสมณะพราหมณ์ ที่จริงเมื่อคิดดูแล้วมันก็ไม่มีอะไรน่าชื่นใจยิ่งไปกว่าการงานอันนี้ ผมก็ตาม ใครก็ตามไปคิดดูเถอะว่ามันไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจยิ่งไปกว่าการงานอันนี้ คือช่วยกันชำระโรคให้มันหมดจากโลก ที่กำลังเสียดแทงโลก เผารนโลกอยู่
ทีนี้ข้อสุดท้ายที่ต้องนึกก็คือว่าสัตว์โลกทั้งหลายไม่ยอมรับว่าตัวเป็นโรค เข้าใจว่าตัวไม่เป็นโรคอยู่เรื่อย มันไม่เหมือนโรคทางกาย มันเจ็บปวด มันเห็นชัด ไปหาหมอที่โรงพยาบาล ก็ตรวจกันง่าย รู้กันง่าย เจ้าของเองก็ยอมรับว่าเป็นโรค เจ็บปวดเหลือเกินช่วยที ช่วยที หมอก็จัดการไปตามนั้นโดยตรง มันก็หายไปได้ แต่ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณแบบนี้ คนเป็นโรคมันก็ไม่รู้ว่าเป็นโรค และบ้างที่มันกลับเห็นว่าไม่ใช่โรค กลับดีใจ กลับยินดี กลับพอใจที่จะเป็นโรคนั้นเสียอีก แล้วหมอไหนจะรักษาได้ มันเพิ่มความยากลำบากให้มากทีเดียว เพราะว่าเราต้องไปบอก ไปแนะ ไปเห็นที่ร้อนเร่าๆ อยู่นั้นมันเป็นโรค ดูให้ดีมันกำลังเป็นโรค ต้องยินดีให้เขารักษา ให้เขาช่วยรักษา การรักษานี้ก็ต้องปฏิบัติเองเสียด้วย ก็ยิ่งลำบากยิ่งมีปัญหามากขึ้น แต่มันไม่มีทางอื่น มันไม่มีทางอื่นที่จะเป็นไปได้นอกจากทางนี้ จึงมีหลักอีกอันหนึ่งเพิ่มเข้ามาเป็นว่าความเมตตา ถ้าพระวิปัสสนาจารย์ไม่มีกำลังแห่งเมตตาพอแล้วก็คงเปิดหนีหมดแน่ เพราะมันลำบากนี่ ไอ้การจะไปปะทะกันเข้ากับคนที่เป็นโรคกิเลสแล้วเขาไม่ยอมรับ มันก็ลำบาก ถ้าเมตตาไม่พอ อดทนไม่พอมันก็ทำไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยเครื่องมืออุปกรณ์เบ็ดเตล็ดต่างๆอีกหลายอย่างคือเมตตา เมตตาบริสุทธิ์ แล้วก็ต้องอดทน ถ้ามันไม่อดทนมันก็เมตตาไปไม่ได้ มันลำบากมันต้องอดทน นั้นเป็นการถูกต้องแล้วที่มาฝึกหัดการอดทนที่สวนโมกข์นี้ หรือที่ไหนก็ตามแต่ จึงเป็นการฝึกหัดให้อดทน โดยจิตใจมันภาวนาถึงพระพุทธองค์อยู่เสมอว่าเป็นความประสงค์ของพระพุทธองค์ นั้นความอดทนจึงทำได้โดยง่ายแล้วฝึกไป ฝึกไป มันมีความอดทน ถ้าอดทนในเรื่องนี้ มันก็ไปใช้กันได้ในเรื่องอื่น แม้ว่าเราอดทนหนาว ร้อนนี้ได้ มันก็ไปอดทนหนาว ร้อนในคราวที่จะช่วยคนจริงๆได้ เดี๋ยวนี้มาฝึกอดทน ความหนาวร้อนความเหน็ดเหนื่อย ความลำบาก หรือว่าความบีบคั้นของกิเลสก็ตาม เราก็ทนได้ อยากจะกินอร่อยๆ มันก็ไม่ได้กิน มันก็บีบคั้น มันอดทนได้นี้ ก็เรียกว่าฝึกความอดทนต่อการบีบคั้นของกิเลส อดทนมีพอๆรักษาความตั้งใจจริงไว้ได้คือมีเมตตา กรุณาอยู่ได้ แล้วก็ไปทำหน้าที่อันนั้นได้ ดังนั้นขอให้มีอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดนี้ อุปกรณ์ปกิณกะเบ็ดเตล็ดต่างๆนี้ครบถ้วนด้วย ก็มีเครื่องมืออันสำคัญโดยตรงด้วยคือวิปัสสนา เหมือนกับหยูกยา เครื่องมือโดยตรง และยังมีอุปกรณ์เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ช่วยเกี่ยวกับการรักษาโรคนั้นอีกมากมายหลายอย่าง ไปรู้เอาเองแล้วกัน นี่ก็จะเป็นเหมือนกับว่ากองทัพหมอ อยากจะเรียกอย่างนั้นมากกว่าที่จะเรียกว่ากองทัพธรรม ฟังยาก กองทัพธรรมที่ไปปราบอธรรม นี่เรียกว่ากองทัพหมอของพระพุทธเจ้าที่ไปรักษาโรคของสัตว์โลกที่เป็นโรคในทางวิญญาณนี้มันเห็นชัด เห็นง่าย ก็คือไปปราบอธรรมนั้นเอง เพราะสิ่งเหล่านั้นคืออธรรม เอาธรรมไปปราบ แต่มันยังเลือนๆชอบกล สู้เป็นหมอกันไม่ได้ วิปัสสนาจารย์นี่จะเหมือนหมอ ก็มีหยูกมียา มีเครื่องมือ มีสมรรถภาพ มีความรู้ มีความอดทน มีความอะไรครบทุกอย่าง และก็ทำหน้าที่ตรงตามที่พระพุทธองค์ประสงค์ ผมยอมแพ้ ผมทำหน้าที่ทางไปรษณีย์อยู่อย่างนี้แหละ แต่ว่าท่านวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายยังได้เปรียบกว่า ที่ว่าจะไปด้วยตัวจริง เดินไปด้วยเท้า ด้วยมือจริงๆ ไปแตะต้องคนเหล่านั้นจริงๆ ไม่ได้ทำทางไปรษณีย์อย่างผม ผมขออนุโมทนา ของถวายความเคารพ ไอ้ถวายคำคิดเห็นนี้ก็เป็นเรื่องส่วนหนึ่งต่างหาก ที่ว่าเคยสังเกตเห็นมาอย่างไร ได้ถวายให้เกิดความรู้ความเข้าใจแจ่มแจ้ง ไปใช้ให้สำเร็จประโยชน์สมตามความประสงค์ที่พระพุทธองค์ประสงค์ นี้ก็สำเร็จได้ด้วยความกตัญญูกตเวที ถ้ายังมีความกตัญญูกตเวทีในพระพุทธองค์ ก็มีกำลังใจขึงขังขึ้นมาได้ ทนได้ อะไรได้ตลอดชีวิต
นี่เรียกว่าผมขอถวายความรู้เป็นวันสุดท้าย ในความมุ่งหมายทั่วๆไป กว้างๆ และก็สรุปหลักธรรมะสั้นๆหลักธรรมะทั้งให้เหลือสั้นๆเป็นคำเดียวว่า ฉนฺทราควินโย การนำออกเสียซึ่งฉันทราคะ เพราะว่าพระศาสดาของเราเป็น ฉนฺทราควินยกฺขายี เป็นผู้มีปรกติกล่าวแต่การนำออกเสียซึ่งฉันทราคะ กล่าวคือฉันทราคะในรูป ในเวทนา ใสสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ที่ว่าสัตว์ทั้งหลายมันเข้าไปตะขุบเอา ยึดมั่น ถือมั่นเอาด้วยกามราคะบ้าง รูปราคะบ้าง อรูปราคะบ้าง เรื่องมีเท่านี้ ขอให้เอาไปทำให้เป็นความจริงขึ้นมาจากคำพูด ก็ให้มันเป็นการกระทำจริงๆขึ้นมา แล้วก็มีผลจริงขึ้นมา นี่เป็นการบรรยายครั้งสุดท้าย ขอถวายความเคารพ ความอนุโมทนาในการกระทำ และหวังว่าขอให้ความตั้งใจนี้จงเป็นผลสำเร็จด้วยการที่เรายังมีความจงรักภักดีในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และตั้งหน้าทำหน้าที่ของตน ตามที่มาถึงเข้าอย่างไรให้ประสบผลนั้นสำเร็จตามความปรารถนา จงทิพา ราตรีเทอญ.