แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๑๖ วันนี้เป็นวันแรกของการบรรยาย ผมจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ และผมก็คิดว่าพวกคุณก็คงจะเข้าใจอย่างนั้น หรือกำลังสงสัยว่าจะเป็นอย่างนั้น จึงได้มาที่นี่เพื่อจะอบรมวิชาธรรมะ บางคนอาจจะคิดว่าวิชาชีพเรียนกันเป็นปีๆ วิชาธรรมะเรียนกัน ๒-๓ ชั่วโมงต่อปี ข้อนี้ขอให้ทราบว่าวิชาธรรมะนั้นถ้าเข้าใจเรียนชั่วโมงเดียวก็ปฏิบัติได้จนตาย ก็ไม่หมด ไม่ยุ่งยากมากมายเหมือนวิชาชีพ แต่ความสำคัญนั้นอยู่ที่จะต้องมองเห็นคือรู้ความจริงในข้อที่ว่าวิชาธรรม ธรรมะนี่สำคัญกว่าวิชาชีพ สำหรับวิชาชีพนี้ผมมิได้หมายถึงวิชาชีพคืออาชีวศึกษาโดยตรง แม้วิชาหนังสือล้วนๆ มันก็เป็นวิชาชีพเพราะว่าคนเรียนสิ่งเหล่านั้นเพื่อจะได้ประโยชน์เพื่อการอาชีพทั้งนั้น ไม่ว่าวิชาใดในโลกนี้มันเป็นวิชาชีพไปหมด เพียงแต่ว่ามันเป็นโดยตื้นๆ หรือเป็นโดยลึกซึ้งเท่านั้นเอง ขอให้สนใจในข้อที่ว่าวิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพให้ยิ่งขึ้นไป
สิ่งแรกที่จะต้องนึกถึง เข้าใจว่าควรจะเป็นการนึกถึงหรือความระมัดระวังในข้อที่ว่า รู้น้อยก็คิดว่ารู้มากแล้วก็ทะนงตัว อย่างโคลงโบรงโบราณมีใจความว่า รู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ กลกบเกิดอยู่ในบ่อจ้อย อย่างนี้เป็นต้น เราจะสังเกตเห็นเด็กๆ ตัวเล็กๆ เขาก็คิดว่าเขารู้มากก็อยากจะอวด พอโตเป็นวัยรุ่น แม้จะเป็นวัยรุ่นในมหาวิทยาลัย ก็คิดว่ารู้มาก แต่ถ้าว่ากันตรงๆ จริงๆ ไม่กลัวจะโกรธแล้วก็อยากจะพูดว่า วัยรุ่นเหล่านี้รู้จักชีวิตทั้งหมดเท่ากับเขียดรู้จักรอยควาย คุณจะต้องมีจิตใจที่ไม่ถูกกักขัง แล้วก็ระลึกนึกรู้ไปถึงไอ้ชีวิตทั้งหมด หรือว่าไอ้โลกทั้งหมดมากไปกว่าที่เราเรียนในหนังสือเรียน แล้วสิ่งที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นมันยังกว้างกว่านั้นมาก เรากำลังพูดกันทุกวันเสาร์ในตอนนี้ ในข้อที่ว่าธรรมะนี้เป็นไกรวัลย์ ไกร-วัน-ละ-ยะ นะคือว่ามันเต็มทั่วไปหมด ไม่มีขอบเขต มันไม่จำกัดเขตทั้งโดยเวลาและโดยเนื้อที่ ทั้งไทม์ (time) ทั้งสเปซ (space) นี่ สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมันไม่ถูกจำกัด ไม่จำกัด มันกว้างจนไม่มีปากจะพูด แล้วเราก็รู้เท่าไหร่ก็คิดดู นั่นจะรู้อาการที่เรียกว่าเหมือนกับเขียดรู้เรื่องในรอยควายที่เขากำลังนอนอยู่ และเราก็รู้เรื่องเกี่ยวกับธรรมะที่จำเป็นแก่ชีวิต หรือจะเรียกว่ารู้จักชีวิตก็ได้ รู้น้อยเท่ากับเขียดตัวเล็กๆ รู้จักรอยควายนี่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นการดูถูกลบหลู่กันซึ่งหน้า เพียงแต่ขอร้องให้เหลือบตามองให้มากไปกว่าที่แล้วๆ มา กลัวว่าจะเป็นอย่างเขียดรู้จักรอยควาย ซึ่งเป็นคำพูดสำหรับคนไทยเรามาแต่เดิม หรือว่ากบรู้แต่เรื่องสระเล็กๆ ที่มันอาศัยอยู่นั้น ถ้าข้อนี้เป็นความจริงแล้วก็ จะต้องสนใจให้มากไปกว่านั้น เด็กก็รู้แต่เรื่องของเด็ก คนวัยรุ่นก็รู้แต่เรื่องของคนวัยรุ่น อย่างมากก็เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ สำหรับชีวิตนี้เขาแบ่งไว้เป็นระยะๆ แรกเริ่มเดิมทีเด็กๆ ก็รู้แต่เรื่องกิน โตขึ้นมาก็รู้เรื่องกาม เลยนั้นไปก็คงจะไปหลงอยู่ที่เรื่องเกียรติ ไม่พ้นจากนั้นไปได้ แต่ว่าไอ้สิ่งที่มนุษย์เราควรจะรู้นั้นมันยังมี สิ่งที่พ้นไปจากนั้น ภาษาวัดๆ เขาใช้คำที่พวกคุณไม่เคยได้ยินหรือฟังยาก แต่ก็ควรจะพยายามฟังไว้บ้างแม้ว่ามันจะประหลาด แปลกประหลาด แปลกหู คือชีวิตของคนเรานี้ตามธรรมดาสามัญมันก็จะเป็นไปในทำนองว่า ตอนแรกก็รู้แต่เรื่องกามารมณ์หรือกาม พอใจแต่อย่างนี้ มุ่งหมายอย่างนี้ ยังอุตส่าห์เรียนเพื่อให้มีรายได้มาก ใช้รายได้นั้นไปเพื่อความพอใจ ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกามารมณ์ จริงไม่จริงก็ลองสอบสวนตัวเองดู ความเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่า กามาวจรภูมิ คือคนที่มีจิตใจชนิดที่จะไหลตกไปสู่สิ่งที่เรียกว่ากามหรือกามารมณ์ เท่านั้นแหละ โดยเฉพาะจะเห็นอยู่ในพวกวัยรุ่นทั้งหญิงทั้งชาย หายใจเป็นสิ่งนี้ เรียนก็เพื่อสิ่งนี้ ทำงานก็เพื่อสิ่งนี้ เมื่อเป็นไปหนักเข้าตามลำดับ ตามลำดับมันก็มีเบื่อเหมือนกัน หรือบางเวลามันก็มีเบื่อเหมือนกัน ก็ไปสนใจเรื่องวัตถุบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ แม้แต่ศิลปวัตถุ เป็นต้น แต่เป็นสิ่งที่ยังมีรูปร่างรูปบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็เรียกว่าไอ้พวก รูปาวจรหรือรูปาวจรภูมิ จิตใจของเขามุ่งไปหาความพอใจกับสิ่งที่เป็นเพียงรูปธรรมบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ ซึ่งมันก็มีน้อยคนหรือถ้ามีในคนเดียวกัน ในวัยเดียวกันนั้นมันก็มีเวลาที่จะสนใจอย่างนั้นน้อย ถ้าสูงไปอีก เบื่อนี้อีก ก็ไปยังเรื่องที่ไม่มีรูป สิ่งที่ไม่มีรูป เช่น เกียรติยศ เป็นต้น มันไม่มีรูป หรือบุญกุศล เป็นต้น มันไม่มีรูป ก็ได้เรียกว่าพวก อรูปาวจรภูมิ จิตใจของเขาจะวิ่งตกหาไปในสิ่งนี้ เช่น คุณย่าคุณยายของเราก็สนใจในเรื่องบุญเรื่องกุศล หรือถ้าไม่นั้นก็สนใจเรื่องเกียรติเรื่องอะไรที่ไม่ใช่รูป ถ้าว่ามันยังฉลาดกว่านั้นอีก มันก็จะสนใจไปยังสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งสุดท้าย คือพ้นไปเสียจากสิ่งเหล่านี้ให้หมด เมื่อปะกับความเป็นอิสระความว่างของจิตใจนี่เขาเรียกว่า โลกุตระภูมิ แปลว่า อยู่เหนือโลก มีจิตใจที่อยากจะดิ้นรนออกไปอยู่เหนือโลก สูงกว่าโลกอะไร นี่ภาษาวัดต้องฟังยากๆ อย่างนี้ แต่ที่แท้มันก็แสดงข้อเท็จจริงที่แท้จริงอย่างยิ่งในชีวิตของคน
กามาวจรภูมิ จิตใจคอยจะพลัดตกลงไปในกาม
รูปาวจรภูมิ จิตใจก็คอยแต่จะวิ่งไปหาไอ้รูปบริสุทธิ์ เป็นที่พอใจ ไม่มีเรื่องกาม
อรูปาวจรภูมิ ก็ไปเรื่องที่ไม่มีรูป ไม่ใช่รูป เช่นเกียรติ เช่นบุญกุศล
โลกุตระภูมิ ก็มันอยากจะออกไปพ้นจากโลก เหนือการบีบคั้นโดยประการทั้งปวงของโลก
เมื่อทั้งหมดมันมีอยู่เท่านี้ แล้วพวกมหาวิทยาลัยรู้เท่าไหร่ วัยรุ่นในมหาวิทยาลัยรู้เท่าไหร่ กระผมจะพูดว่ารู้เท่าที่เขียดรู้เรื่องรอยควายของตัวนี้ คุณจะว่าจริงหรือไม่จริง หรือจะโกรธหรือไม่โกรธ นี่ถ้าเห็นว่าจริง มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องพยายามต่อไปให้มันมากกว่ารอยควาย คือหนองน้ำเล็กๆ สำหรับเขียดหรือกบ ถ้าอย่างนี้ก็เรียกว่าถูกแล้วที่เราจะมาอบรมวิชาความรู้ทางธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้บ้าง ในส่วนรู้มันก็จะได้รู้จากสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นมันกว้างออกไป ที่ในส่วนการปฏิบัติก็จะมีโอกาสฝึกฝนสิ่งที่เรียกว่าการบังคับตัวเอง หรือการเคารพนับถือตัวเองอะไรก็ตามให้มันมากขึ้น ตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณต้องมานั่งกันตรงนี้ตั้งแต่ตี ๔ บางคนก็ไม่ค่อยอยากจะทำ ต้องบังคับตัวเองมันจึงจะตื่นได้อย่างนี้ แล้วมา มาประชุมกันที่นี่ในเวลาที่ยังอยากจะนอนอยู่ได้ ก็เป็นเรื่องฝึกการบังคับตัวเอง ซึ่งไม่ค่อยมีโอกาสจะฝึก อยู่ที่กรุงเทพฯ ก็ฝึกได้ แล้วมันก็ไม่ฝึก เพราะมันไม่มีความจำเป็นหรือไม่มีระเบียบหรือข้อตกลงที่ว่าจะฝึก แม้ตกลงมันก็ทำลายข้อตกลงเสีย เพราะนั้นขอให้ถือเป็นโอกาสสำหรับการฝึกทุกอย่างที่ควรจะฝึกเช่น การบังคับตัวเอง เมื่อเราฝึกได้ นอนไม่สายอย่างนี้ มันก็ควรจะเคารพตัวเองบ้างว่าเราก็มีการทำอะไรได้เหมือนกัน นี่จะเป็นสิ่งที่มีผลคุ้มค่าสำหรับพวกที่จะบวชระหว่างปิดภาคเรียน หาโอกาสมาอบรมอะไรกันที่นี่ แทนที่จะไปทำงานสนุกสนานอย่างอื่น ไปพัฒนา ไปหาความเพลิดเพลินหรือประโยชน์อย่างอื่น เพราะนั้นการมาเพื่อรับการอบรมที่นี่หรือเพื่อหาประโยชน์ในลักษณะอย่างนี้ มันก็จะมีอยู่สัก ๒ อย่างนี่แหละ ที่จะได้ศึกษาวิชาธรรมะซึ่งสำคัญกว่าวิชาอาชีพ นี่เป็นเรื่องการศึกษา แล้วก็ฝึกการบังคับตัวเองรวมความอยู่ในคำๆ เดียว บังคับตัวเองทุกอย่างที่จะทำได้ ด้วยความอดกลั้นอดทน นี่ก็เป็นการปฏิบัติ จึงมีทั้งการศึกษาและการปฏิบัติ แม้จะอบรมให้ทนต่อดินฟ้าอากาศ ต่อความเป็นอยู่อย่างที่เรียกว่าง่ายที่สุด ซึ่งมนุษย์ไม่ค่อยจะชอบกันแล้วเดี๋ยวนี้ คือมนุษย์เดี๋ยวนี้ไม่ชอบการเป็นอยู่อย่างง่าย อย่างธรรมดาสามัญ คือเรียกว่าเป็นอยู่อย่างต่ำๆ แต่ให้จิตใจมันสูง เขากลับไปชอบเป็นอยู่อย่างที่เขาเรียกว่าสูงแล้วจิตใจมันก็ต่ำ วูบวาบลงมาโดยไม่รู้สึกตัว คือต่ำลงมาเป็นทาสของวัตถุ ของวัตถุนิยม หรือความสุขสนุกสนานทางเนื้อทางหนัง อย่างนี้เราเรียกว่าจิตใจต่ำ แม้การเป็นอยู่กินอยู่จะสูงอย่างพวกเทวดา มนุษย์สมัยนี้เป็นซะอย่างนั้น ถ้ามนุษย์อย่างสมัยพระพุทธเจ้าก็นิยมการเป็นอยู่อย่างต่ำๆ อย่างที่นี่เราสมมติเรียกกันว่า กินข้าวจานแมวอาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างทาส อย่างนี้เป็นต้น โดยมุ่งหมายให้จิตใจมันสูงเหนือสิ่งต่างๆ ที่เป็นที่หลงใหลของคน เราพูดได้เลยว่า วัฒนธรรมไทยเดิมๆ ของเราเป็นอย่างนี้ แล้ววัฒนธรรมใหม่ๆ ของพวกตะวันตก พวกฝรั่งมันเป็นอย่างโน้น คือไปบูชาฝ่ายวัตถุ ในเมื่อคนไทยเราแต่โบราณบูชาฝ่ายจิตหรือฝ่ายวิญญาณ เดี๋ยวนี้คุณกำลังจะเป็นอะไรก็สุดแท้ แต่ว่าเมื่อมาที่นี่หรือมาพักอยู่ที่นี่ มันไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่น นอกจากจะเป็นไปตามหลักการเดิม วิธีเดิมๆ ของคนไทยที่ได้รับมาจากพุทธศาสนา มุ่งหมายที่จะเป็นอยู่อย่างต่ำ โดยการกำจัดกิเลสเพื่อจะมีจิตใจมันสูง จะผิดหรือจะถูกก็ค่อยพิสูจน์กันในวันหลังๆ ขอให้พยายามทำต่อไปก่อนตามนี้ กระผมก็คิดว่าคงจะรู้จัก รู้สึกต่อข้อเท็จจริงที่ว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ
ทีนี้ก็จะได้พูดต่อไปถึงข้อที่ว่า แม้ว่าชีวิตนี้มันจะต้องประกอบอยู่ด้วยสิ่งทั้ง ๒ นี้ คือ วิชาธรรมกับวิชาชีพ เพราะว่าเรามีทั้งส่วนจิตใจและส่วนร่างกาย จะต้องทำให้ถูกทั้ง ๒ ทาง เมื่อชีวิตนี้มันมีลักษณะเหมือนกับว่ามันลากไปด้วยวัวหรือควายหรือม้า หรืออะไรก็ตาม ๒ ตัว แต่เป็นคนละอย่างต่างชนิดกัน แต่แม้ใน ๒ ตัวนั้นก็จะต้องมีตัวหนึ่งที่ดีกว่า ไม่ใช่เหมือนกันหรือเท่ากัน หรือเหมือนกันหรือทำหน้าที่อย่างเดียวกันทั้ง ๒ ตัว ถ้ามันหน้าที่อย่างเดียวกันทั้ง ๒ ตัว มันได้เพียงเพิ่มกำลัง มันไม่ได้เพิ่มความถูกต้อง หรือสมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ ผมอยากจะเล่าให้ฟังหรือว่าเตือนไว้สักอย่างหนึ่งอย่าให้มัน อย่าให้มันสูญหายไปเสีย คือว่าการไถนาของปู่ย่าตายายของเราสมัยโน้นไถนาด้วยควาย แล้วควายนั้น ๒ ตัว ตัวหนึ่งมีความรู้สึกดีมากคือเป็นตัวที่รู้ อีกตัวหนึ่งเป็นตัวที่มีกำลังหรือเป็นแรง มันมีตัวรู้กับตัวแรง ๒ ตัวลากไถไป เจ้าของก็พูดกับตัวเดียว ตัว ตัวที่มีความรู้ อาจจะเป็นควายที่ผอมหรือแก่ เป็นควายตัวเมียแก่ๆ ก็ได้ เป็นตัวที่รู้ อีกตัวหนึ่ง ไอ้ตัวหนุ่มๆ อ้วนพีมีกำลังนี่ มันเป็นแรง คำสั่งมันออกไปแก่ไอ้ตัวที่รู้ ให้หยุดหรือให้เดินหรือให้ดันไปทางไหนไอ้ตัวนั้นมันทำ อีกตัวหนึ่งเขาเรียกว่าตัวปลายแล้วมันโง่ก็ได้ หูหนวก ตาบอดไปก็ได้ แต่มันมีแรง ถ้าตัวหนึ่งหยุด ตัวหนึ่งมันยังเดินอยู่มันก็เลี้ยวทั้งนั้นแหละ เรียกว่ามันทำหน้าที่ต่างกัน ตัวหนึ่งมันรู้ฟังคำสั่งเจ้าของ ตัวหนึ่งมีแต่แรงมากๆไว้ก็พอ จนกว่ามันจะถูกฝึกให้กลายเป็นตัวรู้ เรียกว่าตัวต้น อีกตัวหนึ่งเป็นตัวปลาย ถ้ามีควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่งเป็นตัวรู้ ตัวหนึ่งเป็นตัวแรง ทีนี้ต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นตัวเดียว ต่อมามันก็เปลี่ยนไปเป็นรถแทรกเตอร์ มันก็เลยไม่ต้องรู้เรื่องนี้กัน เพราะนั้นขอให้รู้ว่าชีวิตนี้มันจะต้องมีลักษณะเหมือนกับว่าเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ตัวรู้กับตัวแรง วิชาธรรมะ ทางธรรม ทางศาสนานี้มันเป็นตัวรู้ตัวมันสมองตัวแสงสว่าง ส่วนตัวแรงนั้นมันเป็นวิชาชีพ คือวิชาเทคโนโลยีทุกแขนงที่เรากำลังหลงใหลบูชากันนัก เตลิดเปิดเปิงไปเลย เป็นเรื่องวัตถุมากขึ้นๆ จนหลงใหล เพราะว่ามันไม่ทำให้เป็นชีวิตที่เทียมด้วยควาย ๒ ตัว เดี๋ยวนี้เราเป็นพุทธบริษัทแล้วก็มีหลัก มีหลักเกณฑ์ที่จะให้ชีวิตนี้มันเทียมด้วยควาย ๒ ตัว เป็นวิชาธรรมะกับวิชาชีพนี่คู่กัน แต่แม้ว่ามันจะเทียมด้วยควาย ๒ ตัว เรามองไปในแง่ที่ว่าวิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ วิชาชีพมันเป็นเรื่องของร่างกาย วิชาธรรมเป็นเรื่องของจิตคือวิญญาณ แต่ก็ไม่เอาเปรียบขนาดนี้แล้ว แต่จะชี้ให้เห็นว่าไอ้วิชาธรรมนั้นมันควบคุมหมด คือควบคุมแม้แต่วิชาชีพ ถ้าเราไม่มีธรรมะพอก็จะมีการศึกษาวิชาชีพด้วยความเป็นทุกข์ หรือแม้เรากำลังปฏิบัติอาชีพ ประกอบอาชีพอยู่ ถ้าไม่มีวิชาธรรมะเข้ามาช่วยขนาบอยู่ด้วย การปฏิบัตินั้นจะเป็นทุกข์ จะมีจิตใจที่เป็นทุกข์ แม้ว่าเราได้เงินได้ผลประโยชน์จากอาชีพมาแล้วมากินมาใช้อยู่แท้ๆ ถ้าเราไม่มีวิชาธรรมะกำกับอยู่ การกินเข้าไปนั่นแหละ ขออภัยใช้คำหยาบๆ โสกกระโดก มันจะเป็นทุกข์ การกินเข้าไปนั่นแหละจะเป็นทุกข์ ถ้ามันปราศจากวิชาธรรมะ ถ้ายังไม่เชื่อก็ได้ ขอให้สังเกตดูต่อไปในโอกาสข้างหน้า ว่าถ้าปราศจากธรรมะ วิชาธรรมะที่ถูกต้องแล้วทุกอย่างมันจะเป็น เป็นทุกข์ไปหมด จะไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์หรือเรื่องเกียรติเรื่องอะไรก็จะเป็นทุกข์ไปหมด เว้นไว้แต่ธรรมะคือความถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ถ้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยแล้วมันก็ไม่เป็นทุกข์ อาศัยข้อนี้ต่างหากที่พูดว่าวิชาธรรม ธรรมะนี่สำคัญกว่าวิชาชีพ ทั้งที่ว่าเราจะแบ่งกันว่าวิชาชีพมันเป็นเรื่องของร่างกาย วิชาธรรมะเป็นเรื่องของจิตใจ แต่โดยเหตุที่จิตใจมันสำคัญกว่า เป็นตัวนำ เป็นแสงสว่าง มันก็จะได้นำร่างกายไปถูกทาง คือนำวิชาชีพไปถูกทาง ความรู้ สติปัญญาอะไรต่างๆ นี้มันเป็นเรื่องของวิชาธรรมะทั้งนั้น แล้วทุกอย่างทำให้แก่สิ่งที่เรียกว่าชีวิต ซึ่งยังเป็นของลึกลับ มืดมนเกินไปสำหรับคนวัยรุ่น ยังไม่รู้ว่าชีวิตนี้คืออะไร เพราะนั้นก็จะต้องเชื่อฟังกันบ้าง เมื่อยังเป็นบุตร หรือยังเป็นเด็กๆ อยู่ก็ต้องเชื่อฟังบิดามารดา จะมาตรัสรู้เสียเองแล้วนำหน้าบิดามารดาอย่างนี้มันก็วิตถารผิดนะ แล้วก็กำลังเป็นอยู่ด้วยในเวลานี้ มันมีความผิดพลาดอะไรอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการศึกษาหรือวัฒนธรรมอะไรก็ตาม บุตรเริ่มไม่เชื่อฟังบิดามารดามากขึ้น ทะนงตัวว่าเรียนมากกว่าอะไรกว่า ก็จริงในข้อนั้นมันเรียนมากกว่า แต่เป็นเรื่องวิชาชีพเป็นเรื่องเกี่ยวกับร่างกาย ถ้าเป็นวิชาธรรมะแล้ว บิดามารดาเขามีอยู่โดยสายเลือดในเลือดในเนื้อออกมาจากไอ้วัฒนธรรมของชาวไทยที่เป็นพุทธบริษัทมาไม่รู้กี่ร้อยปีแล้วหรือกี่พัน สักพันสองพันปีมาแล้วก็ได้ เขาจึงไม่ต้องเรียนจากหนังสือก็ได้ แต่มันเรียนมาโดยการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ทางสายโลหิต มีจิตใจที่ประกอบไปด้วยธรรมะได้ เพราะนั้นอย่าเพิ่งคิดว่าเรียนวิชาเทคโนโลยีอะไรต่างๆ ดีแล้วจะรู้จนถึงกับสอนบิดามารดาได้ มันก็จะได้แต่หาเงินหากินหาอะไรทำนองนั้น แต่เรื่องเกี่ยวกับจิตใจนั้นบิดามารดาที่ยังไม่เคยได้เรียนอะไรเขายังมีอะไรมากกว่าเรา เพราะมันติดมาโดยไม่รู้ตัว นั่นมันจะช่วยแก้ปัญหาได้ ทีนี้เดี๋ยวนี้มาถึงสมัยนี้มันเปลี่ยนเร็วมาก คนทั้งหลายก็ก้าวหน้าตามเทคโนโลยีมาก แล้วก็จะลืมไอ้สิ่งที่สำคัญกว่า สำคัญที่สุด นี่เรียกว่ามันจะเกิดช่องว่างขึ้นสำหรับให้ทำผิดสำหรับคนวัยรุ่นสมัยนี้ แล้วก็มีพวกหนึ่งซึ่งทำผิดมาก โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เรากำลังจะไปตามก้นเขานะ ขออภัยที่พูดเพื่อประหยัดเวลา จึงใช้คำโสกกระโดกอย่างนี้ เพราะนั้นจะใช้เวลามากเกินไป คนไทยเรากำลังจะไปตามก้นฝรั่ง เพราะเขาก้าวหน้าเรื่องเทคโนโลยี เขาแทบจะสร้างคนขึ้นมาโดยวิทยาศาสตร์ได้ อย่างนี้เป็นต้น เรากำลังจะไปตามก้นเขา เพราะเขาหาเงินได้ดี หาวัตถุได้ดี เราก็ไปหลงนัก แล้วก็ไปตามก้นเขา แต่ก็ต้องไปดูถึงผลที่จะได้รับในขั้นสุดท้ายแล้วก็คือ ความที่ว่าโลกนี้มันจะปั่นป่วน ยุ่งยาก ลำบาก เอาเปรียบกันมากขึ้น ทำลายกันมากขึ้น ก็มีเท่านั้นเอง เมื่อไปหลงใหลในรสอร่อยทางเนื้อหนัง แล้วคนก็จะเห็นแก่ตัวมากขึ้น แล้วก็จะฆ่ากันง่ายๆ มากขึ้น ไอ้ยุคที่เรียกว่าจะฆ่ากันอย่างฆ่าเนื้อฆ่าปลา สิ่งต่างๆ สำเร็จได้ด้วยการใช้อาวุธนั่นนะจะมาถึง ข้อนี้เขากล่าวเอาไว้ในพระคัมภีร์ตั้งสองสามพันปีมาแล้ว ยุคหนึ่งที่การใช้อาวุธเพื่อความสำเร็จตามความต้องการนั้นเขาเรียกว่า สัตถันตรกัปป์ มีพูดถึงไว้แล้ว ว่ายุคหนึ่งจะมาถึง ยุคนั้นจะมาถึงในโอกาสหนึ่ง คือโอกาสที่คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น ก็มึนเมาในเรื่องทางวัตถุมากขึ้น โน้นนะมันมีช่องว่างให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น เรารู้ไว้เป็นการล่วงหน้าก็จะช่วยป้องกันได้ คืออุดมันได้ เพื่อให้มันเกิดความเต็มทั้ง ๒ ทาง ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ
ทีนี้ก็อยากจะพูดให้ชัดขึ้นไปอีกหน่อยถึงข้อที่ว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ พอเห็นลู่ทางแล้วก็จะได้สนใจ วิชาธรรมมันคือความรู้ที่ปฏิบัติให้ถูกต้องไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติอันลึกซึ้ง เพื่ออย่าให้ความทุกข์เกิดขึ้นมาในทุกๆ ประการ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินี่มันกว้างขวาง ลึกซึ้ง ลึกลับจนเข้าใจไม่ได้ เหลืออยู่อีกมาก อย่าไปตามก้นฝรั่งถึงกับไปคิดว่าฝรั่งรู้เรื่องธรรมชาติหมด สามารถจะใช้ธรรมชาติได้ทั้งหมด ควบคุมธรรมชาติได้ทั้งหมด นั่นมันธรรมชาติฝ่ายวัตถุที่เกี่ยวกับวัตถุ ธรรมชาติอันลึกซึ้งกว่านั้นคือเรื่องทางจิตใจ มันเป็นความทุกข์ยากลำบากซึ่งไม่ใช่วัตถุ เขาก็แก้ไม่ได้ด้วยวัตถุ ความโง่ของคนสมัยนี้ก็คือว่าจะจัดโลกให้มีสันติภาพด้วยการจัดในทางฝ่ายวัตถุ นี่เป็นความโง่เขลาหลายร้อยหลายพันเปอร์เซ็นต์ เรื่องความทุกข์หรือความไม่มีสันติภาพนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจของคน มีต้นตอมาจากจิตใจ แล้วก็เป็นจิตใจที่ไม่รู้ถูกต้องตามที่เป็นจริงเกี่ยวกับธรรมชาติ มันจึงกำจัดความทุกข์ไม่ได้ โลกมันยุ่งมากขึ้น มีปัญหามากขึ้น มีความทุกข์มากขึ้น เพราะทำผิดเกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติ นี่พูดอย่างนี้มันคล้ายกับพูดอย่างเอาเปรียบหรือเอากำปั้นทุบดิน มันไม่มีทางจะผิด แต่มันก็ต้องพูดอย่างนี้แหละ เพราะมันมีความจริงลึกอยู่มาก เราไม่รู้เรื่องของธรรมชาติ เราเอาชนะธรรมชาติไม่ได้อยู่อีกมาก ธรรมชาติมันจึงหลอกลวงให้เราสร้างแต่ปัจจัยแห่งความยุ่งยากลำบาก เดือดร้อนขึ้นมา เราฉลาดในทางวัตถุ ทางเทคโนโลยี แล้วธรรมชาติมันก็หลอกให้เราสร้างไอ้เรื่องนี้ขึ้นมาท่วมท้น ให้โลกนี้มันเต็มไปด้วยความยุ่งยากลำบากมากขึ้นและเร็วขึ้น เพราะนั้นความเจริญในทางวัตถุนี้ก็คือสิ่งที่จะนำมาซึ่งความยุ่งยากลำบากมากขึ้น ความทุกข์ที่ เอ่อ, ความทุกข์ ความยุ่งยากลำบากที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อนนั้นมันจะมีขึ้นแล้วแปลกมากขึ้น แล้วก็มัวแต่แก้กันจนตายก็มัน ก็ไม่สิ้นสุด แต่เมื่อหวังแต่กามารมณ์แล้วมันก็บริโภคกามารมณ์ไปพราง แก้ปัญหาไปพราง ไม่สำเร็จก็ไม่มีใครรับผิดชอบ จนกระทั่งโง่หนักเข้ามันก็บูชากามารมณ์เป็นพระเจ้า เมื่อไม่ได้สิ่งนี้ก็เหมือนกับว่าชีวิตนี้ไม่ได้อะไร แล้วก็มาสมัครฆ่าตัวตายอย่างโง่เขลาที่สุด วัยรุ่นที่เป็นผู้หญิงมีการฆ่าตัวตายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมันเข้าใจผิดอย่างนี้ ซึ่งสมัยปู่ย่าตายายเขาไม่เคยฆ่าตัวตายกันด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ แล้วคนวัยรุ่นก็หาว่าปู่ย่าตายายมันโง่นี่ มันไม่รู้จักฆ่าตัวตายเพราะความผิดหวังเรื่องกามารมณ์นิดเดียวเหมือนคนสมัยนี้ ปู่ย่าตายายมันโง่ มันจะคิดอย่างนี้เพราะมันไม่รู้จักสิ่งที่ลึกกว่า ที่ดีกว่า ที่สำคัญกว่า ไอ้วิชาธรรมะนั้นมันเป็นวิชาให้รู้โดยถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาโดยประการทั้งปวง กระทั่งว่าแม้ความเจ็บ ความใคร่ ความตายจะมาถึงก็ไม่เป็นทุกข์ แก้ไขก็แก้ไขไป แล้วก็ไม่มีความรู้สึกที่เป็นทุกข์ เพราะนั้นความไม่ได้สมหวังในเรื่องเนื้อหนังกามารมณ์นี่เป็นของหัวเราะ สำหรับหัวเราะเยาะเล่น ไม่ใช่เอามาเป็นทุกข์ หรือเอามาเป็นเหตุสำหรับฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตัวเองตาย เหมือนอย่างที่มันมีมากขึ้นๆ ในสมัยนี้ ที่วิชาชีพนี่มันเป็นส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งน้อยๆ ของเรื่องของธรรมชาติ หรือเรียกว่าวิชาความรู้เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติก็ได้เหมือนกัน แต่มันเพื่อปากเพื่อท้อง มันเพื่อการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องนะวิชาชีพ พระเยซูแนะให้ดูว่าแม้แต่นกกระจิบมันยังไม่อดตาย ก็เพื่อให้คนรู้กันซะบ้างว่านกกระจิบซึ่งเป็นสัตว์ที่ไร้สมรรถภาพที่สุด มันยังไม่อดตายนี่ แล้วใครเลี้ยงมัน ก็ยังมีธรรมชาติเลี้ยง พระเจ้าเลี้ยง แล้วคนมันดีกว่านั้นมากทำไมไปกลัวเรื่องอดตาย จนถึงกับไม่สนใจเรื่องที่สำคัญกว่า กลับไปสนใจเรื่องปากเรื่องท้องหมด จนไม่มีโอกาสหรือเวลาที่จะไปสนใจกับเรื่องที่สำคัญกว่า ข้อนี้ทำให้ไม่รู้ว่าวิชาชีพมัน มันนิดเดียว เมื่อไปเปรียบกับวิชาธรรม วิชาธรรมะ ถึงกำลังจะพูดว่าวิชาธรรมนี่มันสำคัญกว่าวิชาชีพ
ที่นี้เราจะดูให้ลึกก็จะยิ่งเห็นว่าวิชาธรรม วิชาธรรมะนี่มันจำเป็นยิ่งกว่าวิชาชีพ มีคนพูดกันมากขึ้นว่า ถ้ายังหิวอยู่ก็ศึกษาธรรมะไม่ได้ หรือว่าคนที่ยังหิวปาก หิวอยู่ไม่อิ่มปากอิ่มท้อง ก็ยังไม่ควรจะไปสนใจกับธรรมะ นั่นมันเป็นคนโง่พูด แล้วโง่แล้วยังหลับตาพูดเสียอีก ว่าถ้ายังหิวอยู่ ยังไม่อิ่มปากอิ่มท้อง แล้วยังไม่ถูกต้องที่จะไปสนใจเรื่องธรรมะ ถ้าใครกำลังคิดอยู่อย่างนี้ก็ขอได้คิดใหม่ ไอ้ธรรมะนั้นจำเป็นตลอดสาย เมื่อยังไม่มีอะไรจะกินก็ต้องการธรรมะ เมื่อจะหามาเพื่อมีกินก็ต้องการธรรมะ กินก็ต้องการธรรมะ อิ่มแล้วก็ยังต้องการธรรมะ อิ่มมากๆ แล้วก็ยังต้องการธรรมะต่อไปอีก เมื่อหิวอยู่ก็ต้องมีธรรมะสำหรับที่จะหยุดอำนาจบีบคั้นของความหิวเสีย แล้วก็มีธรรมะสำหรับไปประกอบกิจการงาน เพื่อจะให้ไม่ต้องหิว ถ้าขาดธรรมะแล้วจะทำผิดหมด หิวก็หิวไม่เป็น หาก็หาไม่เป็น กินก็กินไม่เป็น อิ่มก็อิ่มไม่เป็น มันจะเป็นความทุกข์ ยุ่งยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งไปหมด นี่ธรรมะมันจึงจำเป็นในทุกกระเบียดนิ้วของพฤติ เป็นไปในชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ยังไม่เชื่อก็ได้ แต่ขอให้พยายามมอง สังเกต ศึกษาไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งดูถูกสิ่งที่เรียกว่าธรรมะเลย ให้รู้ว่าธรรมะมันเป็นกฎของธรรมชาติ แล้วเป็นตัวธรรมชาติเองด้วย เนื้อหนังของเรานี่ก็คือธรรมชาติ โดยทางบาลี ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ธรรม ชนิดหนึ่ง แล้วกฎของธรรมชาติที่มันทำให้เราต้องเกิดมาในโลกนี้ เกิดมาจากท้องบิดามารดา เติบโตขึ้นทุกวันๆ จนเล่าเรียน จนเป็นอย่างนี้ มานั่งอยู่ที่นี่ เป็นไปโดยกฎของธรรมชาติ มันก็คือธรรมะ ตัวธรรมะแท้ๆ คือกฎของธรรมชาติ เรียกว่าสัจจะของธรรมชาติ ควบคุม บันดาล บังคับ ปรุงแต่งสิ่งเหล่านี้ให้เป็นมา เนื้อตัวมันก็เป็นธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติรวมอยู่ด้วย มันเป็นธรรมะแล้วมันหลีกไหวเหรอ มันจะหลีกไปพ้นที่ไหน ที่จะหลีกออกไปจากธรรมะหรืออำนาจของธรรมะ มันเป็นธรรมะอยู่ในเนื้อในตัว เพราะนั้นจึงต้องรู้จากสิ่งนี้ ส่วนวิชาชีพก็เป็นธรรมะอันหนึ่ง แต่เมื่อเอาไปฝากไว้กับเรื่องทางร่างกาย มันก็เป็นเรื่องของร่างกาย แล้วมันเป็นส่วนน้อยที่สุด มีความสำคัญน้อยที่สุด เพื่อให้ร่างกายตั้งอยู่ได้ ขนาดที่เรียกว่านกกระจิบก็ไม่อดตาย แต่เดี๋ยวนี้คนเรามันโง่ มันมีอวิชชา มีตัณหา มีอุปาทาน ละโมบโลภลาภในเรื่องกามารมณ์ มีความต้องการวิชาชีพมากขึ้น ต้องการผลจากไอ้วัตถุนี่มากขึ้น จึงไปบูชาสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด โดยลืมไปว่าเนื้อตัวนี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นตัวธรรมะทั้งนั้น พอทำผิดแล้วก็ มันก็มีความทุกข์ ให้อิ่มเอิบอยู่ด้วยกามารมณ์อย่างไร มันก็เป็นความบ้าชนิดหนึ่ง เป็นความทุกข์ที่ซ่อนเร้นชนิดหนึ่ง มันเผาเหมือนกับไฟ คนนั้นก็ยังไม่รู้สึก นี่เพราะเราขาดความรู้เรื่องธรรมะ เพราะไปบูชาไฟ หรือว่าบูชากงจักรในฐานะมันเป็นดอกบัว ผลก็คือได้ฆ่าตัวตายหรือฆ่าผู้อื่นตายอย่างง่ายๆ ขอให้มองเห็นข้อเท็จจริงที่สำคัญอีกข้อหนึ่ง คือธรรมะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ปรากฏออกมาได้อย่างไร ธรรมะนี่หลายความหมาย ตัวธรรมชาติแท้ๆ ภาษาบาลีก็เรียกว่าธรรมะ รูปธรรม นามธรรมในร่างกาย จิตใจแท้ๆ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อันนี้ก็เรียกว่าธรรมะ อากาศ วิญญาณนี่ก็เรียกว่าธรรมะ ตัวธรรม ธรรมะในฐานะที่เป็นธรรมชาติ นี่ก็มีอยู่ตลอดเวลา ทีนี้กฎของสิ่งนี้มันก็มีอยู่ตลอดเวลาแล้วมีอยู่ก่อนสิ่งใดหมด สิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งใดหมดคือกฎของธรรมชาติ พวกที่ถือพระเจ้า เขาเรียกว่าพระเจ้า จึงถือว่าพระเจ้ามีอยู่ก่อนสิ่งใดหมด แล้วคำพูดที่ค่อยๆ เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้นก็เช่น คัมภีร์ของพวกที่ถือพระเจ้าในตอนหลัง เป็นคัมภีร์ของคริสเตียน คัมภีร์ใหม่แห่งคัมภีร์โยฮันประโยคแรกว่า “At the beginning the word was” the word คือคำพูดนี่อยู่ก่อนสิ่งใดหมด อยู่ตั้งแต่แรกตั้งแต่ต้นมา ทีนี้คนไม่ค่อยเข้าใจว่าคำว่า the word นั้นคืออะไร นั่นนะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นผู้พูด เป็นผู้บัญญัติ the word นั้นของธรรมชาติ the word ของธรรมชาตินั้นนะคือพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น คนก็คิดว่าพระเจ้าหนวดขาว ถือไม้เท้ามีอยู่ก่อนใคร นี่มันคือกฎของธรรมชาติ นี่อย่างนี้ก็ตรงกับหลักพุทธศาสนาที่ว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นนะมันมีอยู่ก่อนสิ่งใด คือกฎของธรรมชาติ สิ่งต่างๆ จึงมาตามกฎของธรรมชาติ กระทั่งเกิดเป็นโลกนี้ เป็นสากล จักรวาล กี่จักรวาลก็ตามใจ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อะไรเกิดขึ้น กระทั่งเกิดสิ่งที่มีชีวิตนี่มันมาตามกฏของธรรมชาติ อย่างนี้ถือว่ามันมีอยู่ก่อน ก็ต้องรู้จักเหมือนกัน แต่นี่ธรรมะอีกแขนงหนึ่งคือหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องนี่ก็หมายความว่า เมื่อสิ่งที่มีชีวิตได้เกิดขึ้น วิวัฒนาการจนกระทั่งเป็นคน มันสมองมันก็สูงขึ้น มันรู้จักคิดนึกมากขึ้น กระทำแปลกออกไป มันก็เกิดปัญหาที่แปลกออกไป ขึ้นชื่อว่าปัญหาแล้วทำความยุ่งยากทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรู้ ความฉลาดที่ทันกัน เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านั้น เพราะนั้นมนุษย์ในสมัยที่มันก้าวหน้ามาเป็นลำดับนี่ ก็พบไอ้เครื่องแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นมาตามลำดับ ตามลำดับ ก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั่นเอง ตัวธรรมะในแง่ของการปฏิบัติ คือ ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนั้น ต้องปฏิบัติอย่างนั้น แทนที่จะแก้ปัญหาอย่างนั้น ในเรื่องทางวัตถุมันก็แก้ปัญหาได้มากขึ้น เช่นก่อนนี้มันก็ไปเก็บของกินจากป่า หมดเข้าก็ต้องเพาะปลูก เมื่อมีปัญญามากขึ้นก็รู้จักทำเครื่องทุ่นแรง เช่นไถสำหรับไถนาตามแบบโบราณนั้นนะก่อนนี้มันก็ไม่รู้จักใช้ มันก็ปลูกพืชพันธ์ธัญญาหาญได้น้อย ต่อมามันก็รู้จักใช้ นี่ก็เรียกว่ามันก้าวหน้ามาเรื่อย แม้ในทางวัตถุ จนกระทั่งถึงยุคถึงสมัยที่ฉลาด ที่ทำให้มีกินมีใช้สบายไปหมดแล้ว มันก็ยังมีความทุกข์หรือปัญหาเหลืออยู่ในทางจิตใจ มันจะกี่หมื่นปีมาแล้วหรือกี่พันปีมาแล้วก็ไม่มีกำหนดแน่ แต่มันพูดได้โดยหลักของเหตุผลแบบไดอะเลคตริคก็ได้ เด็กๆ เราพูดกันนะมันมีเหตุผลชนิดที่ผู้ฟังมองเห็นได้ทันที มนุษย์มันทนอยู่ไม่ได้ที่จะถูกบีบคั้นด้วยปัญหาเหล่านั้นมันก็หาทางออกเรื่อยๆ มา เรื่อยๆ มา จึงพบทางออกอยู่ในรูปของศีลธรรม อยู่ในรูปของธรรมะที่ลึกซึ้งสูงสุดยิ่งๆ ขึ้นไป คือคนพวกหนึ่งในสมัยนั้นเห็นว่า นี่โอ้,นี่มันอยู่สบาย กินสบายกันหมดทุกคนแล้ว มันก็ยังมีความรู้สึกที่เป็นปัญหา ที่เป็นทุกข์ มันก็ ก็คิดว่าเราออกไปหาทางแก้ปัญหานี้ดีกว่า มนุษย์พวกนี้ก็เลยออกไปหาโอกาสที่จะช่วยทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนั้นได้โดยง่าย ก็คือไปนั่งอยู่คนเดียวในป่า ไปคิดค้นเพื่อแก้ปัญหาต่อไป นี่วรรณะครูบาอาจารย์จึงเกิดขึ้น ที่เรียกว่าวรรณะพราหมณ์ เมื่อก่อนนี้ก็เป็นชาวบ้าน รู้แต่หาใส่ปากใส่ท้อง ถึงยุคถึงสมัยที่อิ่มปากอิ่มท้องแล้ว มันก็พบว่าความทุกข์ยังเหลืออยู่อีกแยะในทางจิตใจ ไม่พบความพอใจ คนพวกนี้ก็ออกไปค้นหาไอ้สิ่งนี้ เกิดวรรณะ เอ่อ, สมณะพราหมณ์ขึ้นมา วิวัฒนาการเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดพระพุทธเจ้า นี่ไม่ต้องมีเหตุผลชนิดที่เรียกว่าบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ หรือบันทึกอยู่ในก้อนหินนะ มันเป็นเหตุผลตามวิธีไดอะเลคตริคที่เรามองก็เห็น ว่ามนุษย์มันทนอยู่ไม่ได้เมื่อเกิดปัญหา มันก็ออกไป ออกไปจนพบไอ้ทางแก้ปัญหา จึงเกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะมากขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนแก้ปัญหาหมด หมดคือไม่ทุกข์เลย นี่ฝีไม้ลายมือของบุคคลประเภทพระพุทธเจ้า ซึ่งจะมีกี่องค์กี่ยุคกี่สมัยมันก็พูดยาก พูดได้แต่เพียงว่าถ้าเป็นพระพุทธเจ้าต้องถึงขนาดที่แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เพราะนั้นธรรมะนั้นจึงสูงสุด จนกระทั่งบัดนี้ไม่มีใครพิสูจน์ว่ายังมีอะไรที่ดีกว่านั้นหรือสูงสุดกว่านั้น แต่แล้วมันก็น่าหัวที่ว่าไอ้ที่ดี สูงสุดนั้นมันไม่มีใครต้องการ มันเป็นยุคเป็นสมัยด้วยเหตุใดก็ตาม จิตของคนมันวกกลับไปหาไอ้ความสูงสุดทางวัตถุ มันจึงไปมุ่งมาดปรารถนา พึ่งไอ้วิชาเทคโนโลยี ไปนั่นไปนี่ ทำนั่นทำนี่ ให้ได้รับความพอใจ ยังคงยึดอยู่กับวัตถุหรือกามารมณ์อยู่เรื่อยไป วิชาธรรมะจึงถูกละเลย ขออภัยที่จะพูดว่าพวกคุณทั้งหลายนี่เกิดมาในยุคในสมัยที่ธรรมะกำลังถูกละเลย แล้วคุณจะได้ไปตามก้นไอ้พวกที่ละเลยธรรมะ ปัญหามันจะเกิดขึ้นอย่างไรก็คอยดูกัน มันจะมีความยุ่งยากแม้ในการเรียน แม้ในการสอบไล่ ในการปฏิบัติ เป็นอยู่ทุกอย่างเป็นลำดับๆ ไป กว่าจะเข้าใจสิ่งนี้มันจึงจะสลัดปัญหาเหล่านั้นออกไปได้ ที่พูดนี้ก็ต้องการจะให้มองย้อนหลัง พอจะเข้าใจได้ว่าธรรมะนั่นมันเกิดขึ้นมาสำหรับบำบัดปัญหาทุกอย่างมาตามลำดับ ตามลำดับ จนกระทั่งสูงสุด เพราะคนเริ่มต่อสู้ ต่อสู้สูงขึ้นมาตามลำดับเพื่อจะขจัดปัญหาต่างๆ ออกไป รู้แต่เพียงทำมาหากิน ตั้งแต่ยุคโบราณนู้น สมัยหิน สมัยโลหะอะไรก็ตาม มันก็รู้ว่ากินแล้วมันก็ยังไม่ ไม่ ไม่ใช่ได้สิ่งที่ดีที่สุด มันยังทะเยอทะยานค้นหาต่อไป เกิดลัทธิศาสนานั่นนี่ขึ้นมา
สรุปความอีกทีหนึ่งก็ว่า เพียงแต่รู้จักหากิน เป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ สมบูรณ์แล้วมันก็ยังไม่สูง ถึงกับความหมายของคำว่า มนุษย์ มนุษย์มันจะมีใจสูง ก็สูงไปให้มันสุดเท่าที่จะสูงได้ เขาก็เกิดนึกระแวงสงสัยขึ้นมาเองว่านี่มันยังไม่สูงเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ จึงค้นต่อไป ค้นต่อไป จึงเกิดผู้รู้ หรือเกิดบุคคลที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าขึ้นมาในที่สุด ก็ได้สิ่งๆ หนึ่งซึ่งเป็นที่พอใจว่ามันแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แล้วก็สูงถึงกับว่ามันเต็มตามความหมายของคำว่ามนุษย์ มนุษย์ เขาจะเรียกมนุษย์กันในภาษาอื่นว่าอย่างไรก็ตามใจเขา แต่คำว่ามนุษย์ในทุกภาษาจะต้องหมายความว่ามันมีจิตใจสูงสุดของสิ่งที่มันมีชีวิต เป็นผู้ เป็นสัตว์ที่มีจิตใจสูงสุดในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตที่มีความรู้สึกคิดนึก คือสัตว์ที่มีความรู้สึกนั้นนะมนุษย์ต้องสูงสุด นี่มันจะเป็นมนุษย์ในความหมายที่สูงสุดได้ก็เพราะอย่างนี้ นี่เรียกว่าเรามองดูกันให้ตลอดสาย คร่าวๆ ย่อๆ เสียทีหนึ่งก่อนว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคืออะไร ตั้งต้นมาแต่โดยภาษาบาลีก็ว่าไอ้ปรากฏการณ์ทั้งหลายตามธรรมชาตินี้ก็เรียกว่าธรรมะหรือธรรม คือตัวธรรมชาตินั่นเอง แล้วก็มารู้จักลึกไปกว่านั้นคือกฎของธรรมชาติ นี่คือตัวธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้ง อันนี้เราจะพบต้นตอของไอ้ธรรมชาติว่ามีอยู่ก่อนสิ่งใดคือกฎของธรรมชาติ ทีนี้พอมาพบกันมากเข้ามันก็มีปัญหาเกิดขึ้น สำหรับปฏิบัติอย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ตอนนี้ก็พบธรรมะในฐานะที่เป็นตัวการปฏิบัติ เพื่อขจัดความทุกข์หรือปัญหาเหล่านั้นออกไป นี่ธรรมะมาอยู่แคบเข้าในรูปของการปฏิบัติ ส่วนอันสุดท้ายคือผลจากการปฏิบัติ เป็นความสุข ความพอใจ เป็นมรรคผลนิพพาน นี้ก็เรียกว่าธรรมะเหมือนกัน นี่มันไม่สำคัญมันขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ ถ้าการปฏิบัติครบถ้วน ถูกต้องและครบถ้วน มันก็มีสิ่งที่เรียกว่ามรรคผลนิพพานเกิดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติก็ได้ ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องพยายามให้มันเกิด เราพยายามแต่เพียงปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ คือกฎของธรรมะ ก็โดยใช้ไอ้ร่างกาย เนื้อหนัง ชีวิตจิตใจนี้เป็นตัวยืนโรงอยู่เพื่อการปฏิบัติ นี่คำว่าธรรมะมันมากอย่างนี้ ความหมายมันมากอย่างนี้ คือตัวธรรมชาติก็ได้ ตัวกฎของธรรมชาติก็ได้ ตัวหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามกฎของธรรมชาตินั้นก็ได้ แล้วก็ตัวผลที่เกิดมาจากการปฏิบัตินั้นก็ได้ เรียกว่าธรรมะหมด นี่เราเรียกว่าวิชาธรรมะที่สำคัญกว่าวิชาชีพ เพราะวิชาชีพมันเป็นแขนงน้อยแขนงหนึ่งไอ้ของ ไอ้ธรรมะที่เป็นตัวการปฏิบัติ เราเพียงปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ แล้วก็มีชีวิตอยู่ได้ ไม่ตาย มันมีเท่านั้นเอง ส่วนวิชาธรรมะอย่างอื่นมันมีมากมายมหาศาล หลายร้อยหลายพันเท่าของไอ้สิ่งที่เรียกว่าวิชาชีพ คือการปฏิบัติเพื่อให้รอดตายหรือสบายอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เราเกิดมาในโลกนี้ เป็นเด็กเล่าเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยอย่างนี้ เรามุ่งมาดอะไร ก็มุ่งมาดอย่างที่มุ่งมาดกันอยู่นะไม่ต้องพูดเดี๋ยวจะว่ากระทบกระเทือน ก็เป็นเรื่องแถลงที่จะเป็นไปในทางวัตถุ ให้ได้สิ่งที่ตัวหวังจะได้ เป็นที่พอใจ มีความสุขสนุกสนานทางวัตถุ ทางร่างกาย ทางเนื้อหนัง ต่อให้ไปเรียนวิชาปรัชญามาจากเมืองนอกให้จบหมด กลับมาเมืองไทยก็เพื่อสอนเอาเงิน เอาเงินมาใช้บำรุงเนื้อหนัง ไม่ใช่เรียนวิชาปรัชญามาเพื่อจะแก้ปัญหาทางจิตใจให้ลุล่วงไปอย่างพระพุทธเจ้า ก็แปลว่าวิชาความรู้ทั้งหลายมัน มัน มันหล่นลงมา มันตกลงมาเป็นทาสของความต้องการทางวัตถุ ทางกาย ทางเนื้อหนังหมด นี่คนในโลกจึงรู้จักแต่เทคโนโลยีสำหรับให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาเชื่อแน่ว่ามันจะช่วยบำรุงบำเรอความสุขทางเนื้อทางหนัง นี่เราจะกำลังไปตามก้นคนพวกนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเป็นคนไทย เป็นอิสระ และเป็นพุทธบริษัท คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้ลืมตา ถ้าคุณชอบคำว่า พุทธะ หรือ พุทธบริษัท ก็อย่าลืมว่าคำว่า พุทธะ นั้นแปลว่า ตื่นนอน มันมาจากคำธรรมดา ธรรมดาสามัญคือการตื่นนอน ไอ้ตรงนี้ถ้ายังไม่ทราบก็บอกให้ทราบซะเลย จะได้ถือเป็นหลักตลอดกาลไปเลยว่า คำพูดทางธรรม ภาษาธรรมะพูดในวัด ในภาษาธรรมะนี่ในศาสนานี่ ยืมมาจากคำชาวบ้านตามกลางถนนหนทาง ในทุ่งในนา ในไร่ในนาทั้งนั้นนะ ทุกคำเลย ไม่ได้บัญญัติคำขึ้นใหม่ เพียงแต่ให้ความหมายใหม่ เช่นคำว่าร้อน ก็ร้อนนี่ ร้อน ไฟ ฟืน อะไรต่างๆ ก็มาเป็นชื่อของกิเลส เผาให้ร้อน ราคะเป็นของร้อน โทสะเป็นของร้อน โมหะเป็นของร้อน ไอ้เย็นที่มันไม่เผาไม่ไหม้นั้นนะเอามาใช้เป็นชื่อของคำว่า นิพพาน ส่วนคำว่านิพพานในตัวมาใช้นิพพานในศาสนา ทุกคำไปเลย ถนนหนทางที่วัว ควาย ช้าง ม้าเดินเรียกว่ามรรค มรรคหรือมัคคะ มารคะ มรรคา นี่เอามาใช้เป็นชื่อของการปฏิบัติเพื่อไปนิพพาน เช่น อริยมรรค อัฏฐังคิกมรรค มรรคนั้นคำเดียว ทุกคำเลย เอาคำชาวบ้านนั่นมาใช้เป็นคำศาสนา ไม่ได้ตั้งคำขึ้นใหม่ เพราะว่าถ้าตั้งคำขึ้นใหม่ไม่มีใครรู้ มันไม่ยุ่งยากไม่ลำบากนะ เดี๋ยวนี้ที่ว่าตั้งคำขึ้นใหม่แล้วก็ไม่รู้ จะภาษาวิทยาศาสตร์ ภาษากฎหมาย ภาษาการเมือง ตั้งคำขึ้นใหม่เอาคำบาลีสันสกฤตมาตั้ง เรียนแต่เรื่องคำนี่ก็เกือบตายก็ยังไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างสมัยนู้นโบราณนู้นก็เอาคำที่ชาวบ้านรู้อยู่แล้วมาใช้พูด พูดอย่างคำว่าเย็นนี่มันก็รู้ทันที ว่าร้อนมันก็รู้ทันที แต่มันสูงขึ้นไปลึกขึ้นมาทางจิตทางวิญญาณ คำว่าว่านิพพานแปลว่าเย็น ทีนี้คำว่าพุทธะแปลว่าตื่นนอน ถ้ายังหลับอยู่มันหมายความว่าอะไรคุณก็รู้อยู่แล้วนี่ พอตื่นนอนขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร อย่างนี้มันก็ตื่นจากนอนหลับใหญ่ของกิเลสเป็นพุทธะ บุคคลเกิดขึ้นมาในโลกคือคนตื่นนอน นอกนั้นเป็นคนหลับอยู่ ถ้าเราอยากจะเป็นพุทธะหรือพุทธบริษัทเราก็ต้องตื่นนอน อย่าไปโง่ไปหลงไอ้วิชาชีพเพียงเพื่อความเป็นอยู่ได้ของชีวิตนี้ แล้วต้องหลงไอ้วิชาธรรมะที่จะแก้ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์ได้ บูชาวิชาธรรม วิชาธรรมะดีกว่าที่จะไปบูชาวิชาชีพ แต่เอานะเป็นอันว่ายอมให้ว่าไอ้ชีวิตนี่ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว แล้วก็อย่าไปให้เกียรติแก่ควายตัวหนึ่งเท่ากับควายอีกตัวหนึ่ง หรือจะกลับกันเสียให้เกียรติไอ้ควายตัวโง่นั่นนะยิ่งกว่าควายตัวที่ฉลาด เราควรจะบูชาวิชาธรรมะนี่ยิ่งกว่าวิชาชีพด้วยเหตุผลอย่างนี้
นี่ก็เป็นวันแรก วันตั้งต้นที่เราจะพูดกันถึงสิ่งที่จะมีประโยชน์และจำเป็นที่สุดสำหรับมนุษย์ ให้สมกับที่คุณก็อุตส่าห์มาด้วยความหวังหรือว่าจะตามคนอื่นก็ตามใจว่ามาที่สวนโมกข์นี่ก็เพื่อจะศึกษาหาความรู้ทางธรรมะกันบ้าง ก็ต้องรู้จักข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานทั่วไปเสียก่อนว่ามนุษย์นี้เป็นอย่างไร มันมีปัญหาอย่างไร ความจริงเป็นอย่างไร แต่แล้วไอ้ความที่มันชอบหรือว่าบูชากันในวันนี้มันเป็นอย่างไร คนสมัยนี้ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าสนใจแต่วิชาชีพ ตัวเป็นเกรียว เวลาแทบจะไม่พอ ถึงกับวิ่งกันนะ ถ้าเราได้ยินได้ฟังว่าพวกฝรั่งที่เมืองนอกเขาเดินกันไม่ค่อยเป็นนะ เขาจะวิ่ง กระทั่งวิ่งด้วยเครื่องมือ เช่นเรือบิน เช่นอะไรต่างๆ นี่ก็เป็นเรื่องวิ่ง เรื่องเหาะ เวลาไม่พอแทบจะไม่ทันอยู่แล้วก็เพราะว่า บูชาวัตถุ วิชาอาชีพหรือวิชาชีพ เขากลัว กลัวจน กลัวไม่มีอะไรจะกิน แม้ตัวตายก็กลัวแต่ทางว่าร่างกายมันจะตาย แต่ว่าตายทางจิตใจเขาไม่รู้และไม่กลัว ตายทางจิตใจคือหมดความเป็นมนุษย์นั่นแหละคือตาย ความตายในความหมายของทางศาสนาเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ไม่ว่าศาสนาไหน ตายคือหมดความหมายความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง อย่างนี้พวกคนที่เจริญอยู่ในโลกเทคโนโลยีไม่กลัว ไม่กลัวตายในทางนี้ กลัวตายในทางร่างกาย เขากลัวว่าแม้เป็นอยู่เพราะไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีเงิน ไม่มีกามารมณ์ ไม่มีอะไรต่างๆ นี่ เขาก็กลัวมาก เขาก็ดิ้นรนต่อสู้ป้องกันแต่สิ่งเหล่านี้ ก็เลยเปลี่ยนศาสนาเสีย เอาเทคโนโลยีมาเป็นศาสนาเสีย ไปดูจะมองเห็นข้อนี้มากขึ้น เอาวิชาชีพมาเป็นศาสนา คนหนึ่งเขามาเล่าให้ฟัง เขาเป็นเพื่อนกับคนญี่ปุ่น พอคุ้นเคยกันดีเขาก็ถามถึงศาสนาว่าคุณนับถือศาสนาอะไร ญี่ปุ่นก็นั่ง เขาก็บอกตรงๆ ไม่ใช่ประชดประชันอะไร ตามความรู้สึกของเขา เขาถือศาสนาฮิตาชิ เขาทำงานอยู่กับบริษัทฮิตาชิ ไล่เขาออกเมื่อไรเขาเป็นอันว่าหมดที่พึ่ง เขานับถือศาสนาฮิตาชิ เขาทำงานอยู่กับบริษัทฮิตาชิ อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็พูดจริงหรือความรู้สึกจริงๆ สิ่งอื่นตัดออกไปก่อนจะต้องเอาสิ่งนี้ก่อน นี่คือที่ผมเรียกว่าเอาเทคโนโลยีมาเป็นศาสนา ถือศาสนาเทคโนโลยีกันหมดแล้ว เราก็กำลังจะไปตามก้นเขาด้วย แต่แล้วธรรมชาติคงไม่ยอม ธรรมชาติแท้จริงคือพระเจ้านั้นไม่ยอมให้ใครทำอะไรบ้าๆ บอๆ อย่างนี้ ถ้าใครฝืนกฎฝืนคำสั่งพระเจ้าก็ลงโทษมันให้มีความทุกข์ เดี๋ยวนี้โลกทั้งหมดนี่ที่หมุนไปบูชาเทคโนโลยีเป็นพระเจ้านี่ ก็จะถูกพระเจ้าที่แท้จริงลงโทษ ให้ไม่มีเวลาพักผ่อนให้ไม่มีเวลาเป็นสุข ร้อนระอุกันไปทั้งหลับทั้งตื่น ดูพวกที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็แล้วกัน เพราะนั้นขอให้มองให้เห็นเป็นทุน เป็นต้นทุนตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีนี้ คือเห็นว่าวิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ โดยหัวข้อที่ได้ตั้งไว้สำหรับการพูดในวันนี้ว่า วิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ เพราะมัน มันขึ้นโดยตรงอยู่กับตัวพระเจ้า คือกฎของธรรมชาติ คือตัวพระธรรม ซึ่งเป็นตัวศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในอันหนึ่งซึ่งแม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็เคารพพระธรรม ไปอ่านดูจะพบข้อความนี้ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เคารพพระธรรม ในฐานะที่เป็นกฎแห่งความจริงแล้วของธรรมชาติ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้น ธรรมชาติมันมีอยู่อย่างนั้น เป็นความลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ค้นพบสิ่งนี้แล้วก็เอามาดับทุกข์ของส่วนตัวท่าน แล้วก็เปิดเผย แจกแจง จำแนกให้คนอื่นได้รู้ได้ทำตาม นี่มนุษย์จึงปลอดภัยเพราะเหตุนี้ บูชาธรรม ถือธรรมเป็นที่พึ่ง ก็เพื่อความสงบสุขหรือสันติภาพอันแท้จริง ถ้าไปหลงเอากามารมณ์เป็นพระเจ้า มันก็เลยนั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า ฆ่าตัวเองตาย ฆ่าคนอื่นตายอย่างไม่มีความหมาย แล้วมันก็เลวกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันยังไม่ทำถึงอย่างนั้น นี่เดี๋ยวนี้คนเรามายิงครูบาอาจารย์กันแล้วใช่ไหม คือเตรียมปืนไปจะยิงครูบาอาจารย์ว่าถ้าให้ฉันสอบไล่ตกฉันก็จะยิงแก นี่เริ่มมีขึ้นในวิทยาลัยบางแห่งแล้ว ฆ่าบิดามารดาก็มีแล้ว เพียงแต่ว่าบันดาลโทสะขึ้นมาก็ตกที่มารดาที่แก่เฒ่า ชราแล้วอย่างนี้ก็มีขึ้นมาแล้ว เพราะว่ามันไปบูชาเนื้อหนัง ความสุข ความสนุกสนานในทางเนื้อทางหนัง ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของเทคโนโลยีทางวัตถุสมัยนี้ จนกว่ามันจะถึงยุคที่มันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เดี๋ยวนี้เราอยู่ในยุคที่ว่าเทคโนโลยีเข้ามาครองตำแหน่งของพระเจ้า ของศาสนา ของพระธรรม ระวังให้ดี คนอื่นเป็นเราไม่เป็นก็ยังทำได้ คือมันมีทางที่จะแยกออกมาได้ในเรื่องทางจิตใจนี่ ไม่ได้ผูกพันติดเนื่องกันไปหมดเหมือนทางร่างกาย แม้ว่าเราจะอยู่ในโลกที่มันจะถูกล้างไปด้วยระเบิดมหาประลัยอะไรก็ตาม แต่จิตใจของเราไม่ถูก ก็แยกออกมาได้ ด้วยมันมีจิตใจอย่างที่อยู่เหนือความตายได้ ประโยชน์ของธรรมะในชั้นสูงสุดเป็นอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เอาเป็นแต่เพียงว่าให้มันแก้ปัญหาทุกอย่างไปเลยก็แล้วกัน นับตั้งแต่เกิดมามีธรรมะสำหรับเป็นเด็ก มีธรรมะสำหรับเป็นวัยรุ่น มีธรรมะสำหรับเรียน มีธรรมะสำหรับสอบไล่ มีธรรมะสำหรับประกอบกิจการอาชีพ มีธรรมะสำหรับจะดำเนินชีวิตครอบครัว แล้วก็มีธรรมะสำหรับจะไปเลยกว่านั้นไปอีกในยามแก่ชรา อย่าได้ไปโง่ตามคนที่พูดกันขึ้นหนาหูว่า ถ้ายังหิวอยู่ยังไม่อิ่มปากอิ่มท้องแล้วอย่าเพิ่งไปสนใจกับธรรมะเลย นั้นมันคนโง่ หลับตาพูด เราจะเป็นคนลืมตาแล้วก็มองเห็นตามที่เป็นจริงว่าวิชาธรรมสำคัญกว่าวิชาชีพ
เวลาที่กำหนดไว้สำหรับบรรยายก็หมดแล้ว นาฬิกานกออกมาตรงเวลาเสมอ เป็นอันว่ายุติการบรรยายสำหรับวันนี้ไว้เท่านี้ก่อน