แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ของการบรรยายสำหรับภิกษุบวชใหม่ ผมก็เห็นว่าควรจะเป็นเรื่องแรก หรือเรื่องเบื้องต้นที่สุด ที่เป็นเรื่องที่ควรจะเอามาพูดกัน มันจะได้สะดวกแก่การที่จะเข้าใจและศึกษาต่อไปตามลำดับ เอ้อ, อย่างนี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็นึกว่าไม่มีอะไรจะเป็นเรื่องแรกยิ่งไปกว่าเรื่องธรรมะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ และวันนี้จะพูดเรื่องธรรมะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์เป็นหัวข้อเรื่อง ที่พวกคุณอยากจะบวชก็ย่อมแสดงอยู่แล้วว่ามันยังรู้สึกว่าตัวเองยังขาดอะไรอยู่ ควรจะได้อะไรมาเพิ่มเติม แม้ว่ายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ถึงแม้ว่าจะคิดว่ามันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีมาแต่กาลก่อนที่ให้คนหนุ่มบวช ด้วยคงจะเชื่อว่ามันคงมีดีแน่ มีอะไรดีแน่ แม้เรายังไม่รู้ว่าดีอย่างไร เราก็ควรจะลอง แล้วจึงมาบวชดูทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะได้อะไร บางคนก็บวชเพื่อให้พ่อแม่สบายใจเป็นบุญเป็นกุศลแก่บิดามารดาอย่างนี้ก็มี แต่ในที่สุดถ้าบวชเข้ามาแล้วมันก็ต้องมาศึกษาเกี่ยวข้องกับธรรมะอยู่นั่นเองเพราะเรื่องอื่นมันไม่มี จึงเป็นอันว่าการบวชนี้ก็เพื่อจะมาหาสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งที่เรียกกันว่าธรรมะ
ที่ได้เรียกว่าธรรมะไปเสียจนชินจนชา มันก็เลยไม่รู้เหมือนกันว่าธรรมะนี้คืออะไรกันแน่ ยิ่งมาเรียนบาลีเข้าก็ยิ่งรู้ว่าธรรมะนี้คือทุกสิ่งก็เลยอ้อ เวียนหัว คืองงไปหมดว่าทุกสิ่งก็ไม่ไหวนะ แล้วเราก็รู้ว่าธรรมะมีความหมายคือทุกสิ่งก็จริง แต่ธรรมะที่เราควรจะรู้จะมีนั้นมัน มันจำกัดๆ อยู่ตรงที่ว่าต้องเป็นธรรมะที่จะมีประโยชน์แก่เรา บางคนอาจจะคิดว่าขึ้นชื่อว่าสิ่งแต่ละสิ่งย่อมมีคุณค่า ย่อมมีประโยชน์ไม่ยกเว้นสิ่งใดเลยอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่าถ้าสำหรับเรา แล้วเรา ไม่ต้องการทุกอย่าง ไม่ต้องการทุกสิ่ง เราต้องการแต่ที่เป็นประโยชน์แก่เรา ก็เหลือแต่ธรรมะที่จะเป็นประโยชน์แก่เราก็เหลือน้อยเข้า อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมที่ตถาคตรู้ปริมาณเท่ากับใบไม้ทั้งป่า เอามาสอนพวกเธอก็เท่ากับใบไม้กำมือเดียว นี้ย่อมแสดงอยู่ว่ามนุษย์ไม่ต้องรู้อะไรหมด แล้วก็ไม่ต้องรู้อะไรมากเกินกว่าที่จำเป็น กำมือเดียวคือเท่าที่จำเป็น ที่ว่าจำเป็นนี่คืออะไร คือที่จะช่วยดับทุกข์ของคนๆ นั้นได้ก็มีเท่านั้นเอง แต่ว่าคำว่าดับทุกข์นี่มันมีความหมายกำกวม คือให้ว่าหมายความว่าแม้ที่จะเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ทุกข์ไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้นก็ต้องรวมอยู่ในคำว่าดับทุกข์ด้วยเหมือนกัน ถ้าจะสรุปให้เป็นคำสั้นๆ ก็ว่าเพื่ออยากจะทราบเรื่องที่จะทำให้การมีชีวิตอยู่นี้ไม่ประกอบด้วยความทุกข์ ขอให้คุณมุ่งหมายเพียงความมุ่งหมายข้อนี้ เราต้องการจะไม่ให้ความเป็นอยู่หรือมีชีวิตอยู่นี่เป็นความทุกข์ขึ้นมา ถ้ามีความทุกข์โดยที่แก้ไขไม่ได้มันก็เป็นเรื่องที่จะต้องถือว่าการได้มีชีวิตนี้เป็นบาปเป็นกรรมเป็นความเลวที่สุดที่ได้มาเป็นคนนี่ เพราะว่าความทุกข์มันแก้ไขไม่ได้ ท่านให้ความเกิดมาเป็นคนเป็นของดีมันก็ต้องได้ไอ้สิ่งที่ดี คือไม่มีความทุกข์ ถ้าปล่อยไปตามประสาคนมันก็มีความทุกข์ เพราะไม่รู้ เดี๋ยวนี้เกิดมาแล้วถ้าจะเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ที่เรียกว่ามีโชคดีก็ต้องมีสิ่งที่ดีคือไม่มีความทุกข์ ความเป็นมนุษย์จะๆ ถือว่าเป็นการได้ลาภอันประเสริฐนั้นมันไม่ได้อยู่ที่การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มันต้องหมายเลยไปถึงว่าได้เป็นมนุษย์ที่มีธรรมะอย่างมนุษย์แล้วก็ไม่มีความทุกข์
เดี๋ยวนี้เราก็เกิดมาในโลกนี้แล้ว โดยที่ว่าไม่รู้ว่าใครมันรับผิดชอบ ก่อนแต่เราเกิดมาหรือเราอยู่ในท้องแม่เราก็ไม่ได้อยากเกิด เกิดมาแล้วนี้เราก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนกัน นี่มันเป็นเรื่องที่ว่าไม่มีใครรับผิดชอบ แต่ในที่สุดถ้าความทุกข์มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแก่เรานี่ ที่สมมติเรียกว่าเรานี่ คือจิตใจของเรา ร่างกายของเรา อะไรคนหนึ่งๆ รวมเรียกกันว่าเราโดยสมมตินี่มันมีความทุกข์มันจึงมีปัญหา แต่ว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่มีความทุกข์ที่ปรากฏชัดเจน โดยเฉพาะที่นั่งอยู่ที่ตรงนี้เวลานี้มันหาความทุกข์ไม่ได้เพราะจิตมันกำลังไม่ได้ทำอะไรไปในทางที่จะเป็นทุกข์ มันก็เลยเป็นผู้ที่ไม่มีปัญหา แต่แล้วเราก็ไม่สามารถที่จะมีจิตใจอย่างที่นั่งอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ได้ตลอดไป คือมันก็จะมีความคิดอย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้น หรือมีการประสบกันเข้ากับอารมณ์อย่างนั้นอย่างนี้เกิดขึ้น แล้วก็มีปัญหาขึ้นมาคือ ความทุกข์ ทีนี้เมื่อใดจิตไปโง่เข้าสำหรับที่จะยึดถือในสิ่งที่มันเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนี่ โดยความเป็นเรื่องเป็นราวเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาละก็ ต้องมีความทุกข์แน่ นี่เราจะมีความรู้อะไรที่จะป้องกันได้ เมื่อเรายังเด็กๆ อยู่แทบจะไม่มีเรื่องที่ทำให้ต้องเป็นทุกข์หรือหนักอกหนักใจ แม้แต่เมื่อเราเป็นไข้ เมื่อเราเล็กๆ เป็นไข้เราก็ไม่รู้สึกทุกข์ ร้อนเราก็บ่นว่าร้อน พ่อแม่ก็มาช่วยแก้ไขเยียวยาให้ ให้หายไข้หายเจ็บ ไอ้เราเล็กๆ นอนเจ็บอยู่เราก็ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ เว้นไว้แต่มันเป็นเรื่องเจ็บปวดมันก็ปวดเท่านั้น อย่างนี้ไม่ใช่ตัวความทุกข์แท้ ตัวความทุกข์แท้มันก็ไปอยู่ที่จิตใจของพ่อแม่ที่เห็นลูกเล็กๆ นอนป่วยอยู่ ก็ลองคิดดูว่าไอ้ลูกเล็กๆ มันเจ็บเป็นไข้มันกลับไม่เป็นทุกข์ ตัวร้อนนิดหน่อยก็นอนคลุมผ้าอยู่ แต่ความทุกข์มันไปอยู่ที่พ่อแม่ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลย นี่ก็เพราะว่าจิตใจของพ่อแม่ได้สัมผัสกันเข้ากับอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือคือลูก แล้วก็ลูกก็เจ็บไข้ แล้วลูกก็จะตาย เมื่อสิ่งนี้ได้ปรากฏแก่แม่ สมมติว่าแก่แม่ ความเป็นแม่ก็เกิดขึ้นในจิตใจของแม่ นี่เป็นตัวกูผู้เป็นแม่ขึ้นมา ก่อนนี้ไม่เคยรู้เรื่องเป็นแม่ ไม่นึกเรื่องเป็นแม่ ต่อเมื่อมันมีอะไรมาทำให้กระทบกระทั่งจึงจะเกิดความรู้สึกว่าเป็นแม่ของลูก และมีลูกเป็นของเรา ความรู้สึกเป็นตัวกูเป็นของกูก็เกิดขึ้น ทั้งที่ใจไม่ได้รู้สึกว่าจะเรียกมันว่าแม่หรือลูกอะไร แต่ความหมายมันเต็มที่ ความรู้สึกว่าตัวเป็นแม่ จะครอบงำจิตใจโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้สึกว่ากูเป็นแม่ แต่มันเป็นแม่เสียยิ่งกว่าเป็นแม่ ลูกนั้นก็เหมือนกันเกิดเป็นลูกขึ้นมาทันที ว่าเป็นลูกของกูขึ้นมาทันที เมื่อลูกสบายดีเที่ยววิ่งเต้นอยู่ก็ไม่รู้สึกว่าลูกของกู ถึงจะรู้สึกบ้างก็นิดหน่อยไม่มีปัญหาอะไร พอลูกจะตายขึ้นมานี่ความเป็นตัวกูก็เข้มข้นขึ้น ความเป็นลูกของกูก็เข้มข้นขึ้น อย่างนี้ก็เรียกว่าความยึดถือได้เกิดขึ้นแล้ว ความกลัวลูกจะตายได้เกิดขึ้นแล้ว ความอยากไม่ให้ลูกตายได้เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแก่จิตใจ ทีแรกก็จะเป็นเพียงความอยากไม่ให้ลูกตาย แต่พอความอยากนั้นมันเกิดขึ้นเต็มที่มันก็เป็นความรู้สึกว่ากู แม่ นั่นลูก แล้วก็เป็นทุกข์อยู่ จนกว่าลูกมันจะหาย ความเป็นแม่ความเป็นลูกก็หายไปอีก หายไปด้วยกันคือไม่มีความทุกข์เพราะว่ามันไม่ได้ยึดถือ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ตายตัวเป็นหลักว่า ความทุกข์ ก็คือความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น อะไรก็ได้ ถ้าเป็นที่ตั้งความยึดมั่นถือมั่นด้วยความเป็นตัวกูและเป็นของกูแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ ที่พูดว่าเป็นเบญจขันธ์เป็นขันธ์๕ นั่นก็เป็นเรื่องพูดไปตามวิธีพูด เป็นความรู้เป็นวิชาเป็นอะไร สำหรับพูด แต่โดยเนื้อแท้แล้วในตัวอย่างนี้ก็เห็นว่า ตัวกูและลูกของกูไม่ต้องรู้เรื่องขันธ์๕ก็ได้ แม้แต่คนครั้งพุทธกาลก็ไม่ได้รู้เรื่องขันธ์๕ สักกี่คน แต่ที่รู้จริงๆ คือเรื่องทุกข์ เมื่อเกิดตัวกู เมื่อเกิดของกูขึ้นมาแล้วก็เป็นทุกข์
เมื่อเด็กๆ มันก็ไม่ค่อยจะเกิดหรือเกิดได้น้อยมากที่จะเกิดความยึดมั่นเป็นตัวกูของกูนี่ แล้วก็เกิดแวบๆวอมแวมเอง แต่แล้วมันก็จะมากขึ้นๆ ตามความเจริญของอายุ ความยึดถือก็จะมากขึ้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนก็จะยึดถือเรื่องได้เรื่องตกในการสอบไล่ มันก็เริ่มมีมากขึ้น เมื่อไปทำอาชีพมันก็มายึดถือเรื่องดีมากดีน้อยได้มากได้น้อย มันก็มีความทุกข์เพิ่มขึ้น ทีพอไปเป็นพ่อบ้านไปแต่งงานมีภรรยาเข้าก็มีช่องที่จะยึดถือมากขึ้น เป็นพ่อบ้านแม่เรือนมีลูกมีหลานก็มีช่องทางที่ยึดถือมากขึ้น มันจึงมีความระทมทุกข์อย่างที่เรียกว่าทนทรมานนี้เพิ่มมากขึ้นๆ นี่เราศึกษาได้จากบิดามารดาของเราหรือว่าคนที่เราเห็นๆ กันอยู่ว่าเขามีความทุกข์อย่างไร ฉะนั้นสิ่งแรกที่จะต้องรู้จัก ก็คือสิ่งที่เรียกว่าความยึดถือ ความยึดมั่นถือมั่น ถ้าไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นแล้วความทุกข์มีไม่ได้ ความรักก็เรื่องยึดมั่นถือมั่น ความโกรธก็เรื่องยึดมั่นถือมั่น ความโง่ก็เรื่องยึดมั่นถือมั่น อยู่ในรูปของความกลัวความเศร้าความอะไรต่างๆ ก็เรื่องยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น
ฉะนั้นที่มาบวชนี้โดยเนื้อแท้นั้นไม่มีอะไรนอกจากจะมาเรียนให้รู้เรื่องความ เรื่องวิธีการที่จะแก้ไขหรือป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ คำพูดนั้นพูดไว้ง่ายมาก นิดเดียว สองสามคำน่ะ พูดว่ายินดียินร้ายสองคำเท่านั้นล่ะ แต่ความหมายมันมาก เพราะว่าถ้ายินดีหรือยินร้ายแล้วก็หมายความว่าได้ยึดมั่นถือมั่นเข้าแล้วเป็นแน่นอน เมื่อเด็กๆ ก็ไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าเป็นความทุกข์หนัก มันยินดียินร้ายเด็กๆ นี่ มันก็เป็นเด็กไปตามตัวเด็ก พอเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาดูสิมันก็มีถึงขนาดที่จะฆ่าตัวตายได้ ยิ่งสมัยนี้การศึกษาธรรมะไม่พอ คนวัยรุ่นก็ฆ่าตัวตายได้ทั้งที่ยังไม่ควร คนเป็นหนุ่มเป็นสาวเต็มที่นี่เรื่องที่ฆ่าตัวตายมันก็มีมากขึ้น กระทั่งเป็นบิดามารดาทุกข์หนักขนาดที่ต้องควรฆ่าตัวตายมันมากขึ้น แต่ถ้ามีความรู้อะไรบางอย่างมาช่วยไว้ไม่ต้องฆ่าตัวตาย ถ้าเป็นสมัยก่อน เป็นวัฒนธรรมอยู่ในสายเลือดเพราะมันสอนกันอยู่ตำตาอยู่เสมอว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่น เขาพูดอย่างนั้น หมายความว่าเขาก็สอนกันไม่ให้ไปยึดถือกับมันให้มากนัก ให้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปตามเรื่องของมัน อย่าไปนั่งร้องไห้อยู่ หรืออย่าไปนั่งโกรธอยู่ หรือย่าไปนั่งเศร้าอยู่ อย่าไปนั่งกลัวอยู่ เพราะฉะนั้นคนโบราณเขาจึงมีการฆ่าตัวตายน้อยกว่าคนสมัยนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวสมัยนี้มันหุนหัน มันๆไม่มีธรรมะในสายเลือดเหลืออยู่มากเหมือนคนโบราณ สติสัมปชัญญะหรือความ สติปัญญาอะไรที่จะเอาชนะอารมณ์เหล่านี้มันไม่พอ ยิ่งอ่านหนังสือพิมพ์ยุคนี้เข้าด้วยก็ยิ่งน่าเวทนาสงสาร คือสิ่งนั้นไม่ควรถึงกับฆ่าตัวตาย มันก็ฆ่าตัวตายกันได้ง่ายๆ ถ้าเป็นคนหนุ่มสาวสมัยก่อนนะมันก็จะหัวเราะเยาะได้ด้วยซ้ำไป ว่าทำไมคนสมัยนี้เรียนมากกลับหัวเราะเยาะไม่ได้ กลับมีเรื่องฆ่าตัวตาย อาจารย์สาวยิงอาจารย์หนุ่มตายหรืออาจารย์แก่ตายซึ่งมันมากขึ้นๆ ทำไมจึงมีความโง่มากถึงขนาดที่ว่านี้คือเรื่องทั้งหมดนี้คือเรื่องสูงสุดในชีวิต ไม่ได้แล้วก็ต้องตายเสียดีกว่า ทำไมโง่กันถึงขนาดนี้ ซึ่งสมัยก่อนเขาไม่เคยโง่กันถึงขนาดนี้ เขารู้จักเห็นเป็นเรื่องธรรมดาหรือเป็นเรื่องเล่นๆ ไปเสียก็มี หัวเราะเยาะได้ไปเสียก็มี ลองคิดดู
การศึกษาเจริญไปแต่ในทางอื่น ไม่เจริญมาในทางของธรรมะที่จะดับความทุกข์ ฉะนั้นจึงยิ่งมีความทุกข์ชนิดที่แปลกๆๆ ออกไปจากที่เคยมีมาแต่ก่อน เมื่อมีอารมณ์แปลกๆ ขึ้นมาในยุคนี้ ความคิดความนึกก็เปลี่ยนไป ความยึดมั่นถือมั่นก็เปลี่ยนไป แต่ว่ามันก็ไม่เปลี่ยนไปไหน ได้มากมายนอกจากจะไปมีความทุกข์ แต่ก็แปลกตรงที่ว่าที่เขาไม่เคยเป็นทุกข์มันก็มาเป็นทุกข์ ที่ไม่ควรจะเป็นทุกข์มันก็ไปโง่ว่าเป็นทุกข์ นี่มันมากขึ้น นี่เราอย่าได้ไปรวมอยู่ในพวกนั้นเลย ควรจะรวมอยู่ในบุคคลประเภทที่เป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้จริงหรือที่คุณพูดเมื่อวันบวชน่ะ เอสาหังภันเต สุจิระปรินิพพุตัมปิ ตังภควันตัง สะระนังคัจฉามิ นี่ ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง การพูดนี้เป็นพูดจริงแล้วก็จะดีมาก ที่พวกเราสมัครปลีกตัวออกมาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านี่ เราจะไม่ไปรวมอยู่ในพวกคนโง่ โง่มากถึงขนาดที่ว่าอะไรก็อึดอัดขัดใจไปหมด ยินดียินร้ายๆๆ อยู่แต่อย่างนั้น นี้ก็เรียกว่าดี หรือมีโชคดีที่ได้เข้ามาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเสียแต่เนิ่นๆ อย่างนี้ คงจะมีประโยชน์ถ้าการบวชการมีประเพณีให้คนหนุ่มบวชนี้จะต้องมีประโยชน์ ถ้าเขารู้จักทำให้มันจริง ไม่ต้องรอต่อเฒ่าต่อแก่ผ่านโลกไปแล้วจึงจะไปบวช นั้นมันประโยชน์อย่างอื่นเป็นประโยชน์ที่สูงขึ้นไปอีก
เดี๋ยวนี้มัน เป็นคนหนุ่มยังจะต้องเผชิญโลกเผชิญชีวิตแล้วแต่จะเรียก แล้วจะมีอะไรเป็นเครื่องรับประกันว่าจะมีความทุกข์น้อยหรือไม่มีความทุกข์ ถ้ามีความทุกข์ก็สามารถ มันก็กล่าวได้ว่าเป็นผู้พ่ายแพ้อย่าไปเข้าใจให้มันเขวไปทางอื่น ถ้าเกิดความทุกข์ขึ้นแล้วก็ต้องถือว่าเป็นผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้อะไรก็ได้ พ่ายแพ้อารมณ์ก็ได้ พ่ายแพ้กิเลสก็ได้ หรือพ่ายแพ้คนด้วยกันก็ได้ ที่เป็นคู่แข่งขันเป็นคู่อะไรก็ตามใจมัน เป็นการพ่ายแพ้หมด ถ้าความทุกข์ได้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีโชคดี คือได้รู้อะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ไม่เป็นผู้พ่ายแพ้ ถ้าได้อย่างนี้ต่างหากจึงจะเรียกว่าการได้มาเป็นมนุษย์นี้เรียกว่าเป็นโชคดี หรือเป็นลาภอันประเสริฐหรือแล้วแต่เขาจะพูดกัน ถ้าไม่ได้อย่างนี้การได้มาเป็นได้เกิดมาเป็นมนุษย์นี่คือบาป บาปกรรม หรือโชคร้ายอะไรมากกว่า เพราะฉะนั้นในระหว่างที่เราบวชเข้ามาก็ต้องได้สิ่ง ต้องได้เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นสำหรับเรา พูดอย่างสมมติคือสำหรับเรานะ หรือจะพูดกลางๆ ว่าสำหรับมนุษย์ จะต้องรู้ ต้องได้สิ่งที่จำเป็นที่มนุษย์จะต้องมี หรือมนุษย์จะต้องรู้ มันเหมือนกันไอ้รู้นั่นก็คือมี มีนั่นก็คือรู้ สำหรับธรรมะนี่มันมีความหมายอย่างนั้น เพราะว่ารู้นั่นหมายถึงรู้จักธรรมะที่มีอยู่ในเรา จะไปรู้ธรรมะที่ในหนังสือนั่นไม่ได้ ต้องรู้ธรรมะที่มีอยู่ในเรา เดี๋ยวนี้เราๆ มีแต่ธรรมะในหนังสือก็เลยไม่มีธรรมะที่แท้จริงในตัวเรา อย่าให้ธรรมะอยู่แต่ในหนังสือ หรืออยู่แต่ในสมุดโน้ต ให้อยู่ที่สติปัญญาที่เจริญงอกงามยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งขึ้นทุกที ทุกวันๆ ที่เรามาบวช ครั้งแรกก็คงจะสลัวๆ อยู่มากไม่รู้ว่าอะไรคือธรรมะ อยู่กันที่ตรงไหนดี อย่างไรนี่ แต่ถ้าว่าตั้งอกตั้งใจเอ่อสังเกตศึกษาแล้วก็ค่อยๆ รู้ขึ้นเป็นแน่นอน จนกระทั่งรู้ชัดลงไปว่าไอ้ธรรมะนี้จำเป็นแน่ จำเป็นสำหรับคนที่มีชีวิตอยู่แล้วไม่ต้องการความทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมะมันจึงมีความจำเป็นยิ่งกว่าสิ่งใด มันป้องกันความทุกข์หรือกำจัดความทุกข์ได้ ถ้าเรามีเงินแล้วมีความทุกข์ก็ไม่มีความหมาย เรามีทรัพย์สมบัติอำนาจวาสนาอะไรก็ตาม ถ้ามีความทุกข์มันก็ไม่มีความหมาย ให้ได้คู่ครองที่ดีวิเศษอย่างไรถ้ามันมีความทุกข์มันก็ไม่มีความหมาย ก็ให้รู้ไว้เถิดว่าการที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้โดยผิดวิธีนั้นจะต้องมีความทุกข์ จะไปเกี่ยวข้องกับเงิน กับทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา กับบุตรภรรยาอะไรก็ตาม ถ้าผิดวิธีจะต้องมีความทุกข์ ขนาดเป็นบ้าไปพักหนึ่ง แม้จะไม่บ้าตลอดกาลมันก็คือบ้านั่นเอง แล้วก็มีความทุกข์ไปพักหนึ่ง
ทีนี้เราก็มาใคร่ครวญดูให้ดีๆ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นปัญหาเฉพาะหน้ามีปัญหาเฉพาะหน้าอยู่อย่างนี้จะผ่านไปได้อย่างไร นี่ขอให้ผู้ที่ตั้งใจจะบวชพรรษาเดียวนั้นรู้จักสิ่งเหล่านี้ ธรรมะสำหรับคนแก่ คนที่จะไปนิพพานกันโดยเด็ดขาดนั้นมันอีกระดับหนึ่งยังไม่ต้องนึกถึงก็ได้ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องเดียวกันมันก็อยู่คนละระดับ แต่มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันมันก็ยังอยู่คนละระดับ นี่พูดสำหรับระดับปัจจุบันเฉพาะหน้า เราก็มีความทุกข์ไปตามแบบของคนที่มีอายุน้อยหรือว่ายังหนุ่มหรือยังยึดมั่นถือมั่น ด้วยอำนาจอวิชชาอย่างรวดเร็วรุนแรงผลุนผลัน บางคนอาจจะคิดหาทางออกแก้ตัวให้ตัวเองว่าผิดซะบ้างก็ดีจะได้รู้รสของความผิด ของความชั่ว ของความบาป นั่นมันก็ถูก การพูดอย่างนั้นมันก็ถูก แต่มันไม่ใช่ถูกแท้หรือถูกหมด เราควรจะมีความทุกข์บ้างก็แต่ในขนาดที่พอจะถอยหลังออกมาได้ ไม่ถึงกับวินาศไปเลย หรือไม่ต้องถึงกะว่าให้มันพิกลพิการเป็นโรคประสาทเป็นโรคจิตไปเลย บังคับจิตได้ สลัดความทุกข์ออกไปได้มันก็ดี มันก็มีความรู้ มีความรู้จักความทุกข์นั่นเอง นี่ว่าเอาความทุกข์มาในอัตราที่พอเหมาะสมมาสอนให้ฉลาดขึ้นอย่างนี้ถูก แต่ถ้าความทุกข์มาทำให้ป่นปี้วินาศไปเลยมันก็ไม่ดี หรือว่ามันจะมาทำให้เสียเวลามากมันก็ไม่ดี นั้นทีนี้เราจะถือหลักว่าเอาความทุกข์เป็นบทเรียน ส่วนความทุกข์นั้นมันเกิดได้เอง แล้วเราจะเอาวิชาความรู้ที่ไหนมาสำหรับใช้ความทุกข์นั้นเป็นบทเรียน ถ้าลำพังความทุกข์ล้วนๆ มันก็กัดเอาๆๆ เราก็ตายไปวินาศเลย เราต้องมีความรู้มาอีกอันหนึ่งสำหรับมาใช้ความทุกข์นั้นให้เป็นบทเรียน สมมติว่าคุณบวชแล้วไม่เหลวไหล ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ถูกตรงตามเรื่องราวก็จะได้ความรู้นี้เพิ่มขึ้น สำหรับไปเผชิญหน้ากับความทุกข์ แล้วก็จะชนะความทุกข์แล้วก็จะได้ความทุกข์นั่นแหละเป็นบทเรียน ความทุกข์นี้ก็เป็นครูได้ คนโบราณเขาก็พูดไว้ถูกแล้วว่าความผิดก็เป็นครูความถูกก็เป็นครู แล้วความผิดนี่สอนจริงกว่าคือว่ามันทำให้เจ็บปวด ความทุกข์นี่สอนดีกว่าความสุข ความสุขไม่ค่อยสอนอะไร ความทุกข์จะสอนมาก แต่ถ้าเราไม่มีธรรมะอะไรอยู่บ้างเราก็ไม่อาจจะเรียนจากความทุกข์มันจะกลายเป็นบ้าไปเลย มันก็เลยกลายเป็นไม่ได้สอน ไม่ใช่สอนไม่ใช่เรียนละทีนี้ กลายเป็นเสวยความทุกข์เป็นบ้าไปเลยก็เรียกว่าตกนรกชนิดหนึ่งไปเลยจนตายจนตลอดชีวิต อย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรที่ตรงไหนที่จะพูดได้ว่าการเกิดมาเป็นมนุษย์นี้เป็นลาภอันประเสริฐ เพราะมันเกิดมาเป็นคนบ้าจนตายหรือว่าไร้ค่าไปจนตายเพราะไม่มีธรรมะเป็นเครื่องปะทะเอาไว้ นั้นขอให้ย้อนดู มีจิตใจระลึกถอยหลังย้อนไปดูตั้งแต่เรายังเล็กๆ แล้วเกิดมามันมีอะไรบ้าง มันก็มีความทุกข์แต่ไม่ร้ายกาจถึงกับทำให้เราเป็นบ้าหรือเสียคนหรือว่าหมดกันเท่านั้น เรามีความผิดเล็กๆ น้อยๆ มีความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ในประสบการณ์ที่ผ่านมานี่ทำให้เราฉลาดขึ้นๆ ที่เป็นหลักใหญ่ที่สุดก็คือว่าเราจะไม่ไปแหย่เข้าที่นั่นอีก เพราะตรงนั้นมันเป็นไฟ ถูกไฟแล้วมันร้อน แล้วมันก็ไม่ไปแหย่เข้าที่ตรงนั้นอีก นี่คือเราฉลาดขึ้นๆ จึงเป็นเนื้อเป็นตัวขึ้นมาได้จนบัดนี้ถึงบัดนี้อย่างที่เรียกว่าหวุดหวิดๆ มันหวุดหวิดจะตายทางวิญญาณ คือจะเสียคนนั่น อยู่มากครั้งทีเดียว แต่ว่าสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้แห่งการหลบหลีกนี่มันยังมีอยู่มันจึงเอาตัวรอดมาได้
สำหรับบทเรียนเล็กๆ บทเรียนที่ไม่ยาก บทเรียนสำหรับเด็กๆ มันไม่ยาก หรือบทเรียนสำหรับวัยรุ่นซึ่งก็ยังไม่ค่อยที่จะยาก แต่ว่าต่อไปนี้ที่จะเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวกำลังเป็นผู้ว่า เป็นพ่อบ้านแม่เรือน กระทั่งเป็นผู้บังคับบัญชาคนจำนวนมากบทเรียนนี้ไม่ง่ายแล้ว มันจะไม่ง่ายอย่างเมื่อเด็กๆ หรือว่าเป็นขนาดวัยรุ่นแล้ว นี่ความจำเป็นที่ต้องมีธรรมะมันก็มากขึ้น มิฉะนั้นจะดำเนินกิจการไปไม่ได้แม้ในส่วนของตัว ไม่ต้องพูดถึงการที่จะไปปกครองควบคุมผู้อื่นซึ่งมันยากยิ่งขึ้นไปอีก การปกครองคนนั้นมันลำบากเหลือประมาณ มันยากกว่าการปกครองสัตว์ ก็เรียกว่ามันเป็นปัญหาอีกส่วนหนึ่งซึ่งรออยู่ข้างหน้า เพราะว่าถ้าเราไปมีครอบครัวมีอะไรเข้า มันก็มีการปกครองที่ขยายออกไป มีกิจการงานกว้างขวางก็มีคนอยู่ในบังคับบัญชารับผิดชอบมากขึ้น ปัญหายากขึ้นทุกที ถ้าไม่มีใจคอปกติมั่นคงแล้วมันก็จะมีแต่ผลเสีย มันไม่มีอะไรที่จะทำให้ปกติหรือมั่นคงหรือต่อสู้ได้ ไม่มีอะไร นอกจากธรรมะ หรือว่าไอ้สิ่งนั้น เขาเอามาเรียกมันว่าธรรมะ วิธีการที่จะเอาชนะอุปสรรคปัญหาได้ เอามาเรียกเสียใหม่ให้ชื่อเสียว่าธรรมะ เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงใหลฟั่นเฟือนเกี่ยวกับคำว่าธรรมะจนไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน จนอยู่ในพระไตรปิฎกหรืออยู่บนฟ้าบนสวรรค์ ที่ไหนก็ไม่รู้ ธรรมะต้องอยู่ที่สิ่งที่สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ไม่ว่าปัญหาชนิดไหน ทีนี้เมื่อเราไปมีปัญหาชนิดไหนเข้าระดับไหนก็ตามมากน้อยเท่าไรก็ตามตื้นลึกเท่าไรก็ตาม สิ่งใดที่มันแก้ปัญหานี้ได้สิ่งนั้นคือธรรมะที่เราจะต้องการอย่างยิ่ง ถ้ามันเป็นเรื่องโลกๆ เราเรียนได้ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยเป็นความรู้พื้นฐานทั่วไป แต่ถ้าเป็นความรู้ชั้นลึก ชั้นจิตใจ ชั้นวิญญาณส่วนลึกแล้วมันไม่มีสอนในโรงเรียนในมหาวิทยาลัยไหนก็ไม่มีสอน มันก็เลยต้องมาหาวิทยาลัยที่มีสอนก็คือธรรมะนั่นเอง ระบบธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่จะสอนในส่วนนี้ที่ไม่มีสอนในมหาวิทยาลัยธรรมดาสามัญ เดี๋ยวนี้ถ้าเรื่องธรรมดาสามัญก็เป็นเรื่องโลกไปหมดไม่มีเรื่องธรรมะเลย จะไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ก็ไปได้แต่เรื่องทางวัตถุมา เรื่องวิชาชีพมา ได้ความเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งในการประกอบการงานมา แต่ว่าขาดอยู่อีกสิ่งหนึ่งซึ่งขาดอย่างน่าใจหายคือความรู้ที่ว่าทำอย่างไรความทุกข์จึงจะไม่เกิดขึ้น ในเมื่อเราจะปฏิบัติหน้าที่การงานนั้นๆ อย่างเราไปเรียนสำเร็จวิชาชีพ วิชา technician technic อะไรชั้นสูงสุดมาที่มีประโยชน์แล้วก็ทำได้จริงนี่ แล้วพอมาประกอบเข้ามันก็มีปัญหาอย่างอื่นทางจิต ทางวิญญาณเกิดขึ้น นับตั้งแต่ว่ามันบังคับตัวเองไม่ได้ บังคับโทสะไม่ได้ บังคับอะไรก็ไม่ได้ กระทั่งบังคับคน ลูกน้อง หรือผู้ร่วมมือก็ไม่ได้ เมื่อบังคับตัวเองไม่ได้ก็หมายความว่าบังคับกิเลสไม่ได้ บังคับจิตไม่ได้ มันก็ไปอาละวาดออกมา มันก็เลยยุ่งกันหมด ก็แปลว่าปะทะกันไปหมด หรือว่าบังคับตัวเองไม่ได้มันก็มีกิเลสอย่างอื่นเกิดขึ้นสำหรับคดโกงมันก็คดโกงไป นี่เพราะว่าเขาไม่ได้อบรมกันในเรื่องนั้น เพราะฉะนั้นคนที่เฉลียวฉลาดก็ยังคดโกงก็เห็นแก่ตัวนี่ก็เรียกว่ามันขาดธรรมะในส่วนสำคัญอย่างนี้ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขาถือกันว่าได้แล้วก็เป็นดี ได้เงินได้อะไรมากแล้วก็เป็นดี ก็ไอ้ธรรมะก็เปลี่ยนไปสำหรับคนประเภทนั้น ว่าได้นั่นแหละเป็นธรรมะ ไอ้โลกมันก็เลยเปลี่ยนเป็นโลกของการเบียดเบียน เป็นโลกของการโกหกพกลมอะไรต่างๆ เป็นโลกที่ไม่มีธรรมะ ก็เป็นโลกที่มีปัญหามากขึ้น ทีนี้ปัญหาก็มาเกิดแก่เราคนเดียวนี่มากขึ้นว่า เราจะอยู่ในโลกชนิดนี้ได้อย่างไร ถ้าคนในโลกเกือบจะทั้งหมดนั่นเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้เป็นธรรมะ เห็นแก่กิเลสเป็นธรรมะ แล้วเราจะอยู่ในโลกนี้กับเขาได้อย่างไร เราจะผสมโรงกับเขาไปด้วยอย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเราไม่ต้องการจะทำอย่างนั้นเราก็มีทางออก คือธรรมะอีกนั่นแหละที่จะช่วยให้เรามีการปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ไม่ต้องเป็นไปตามนั้น หรือว่าความทุกข์มันจะประดังกันเข้ามาจะให้เราเป็นทุกข์เราก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะเรามีการต่อสู้ที่ถูกต้อง การรับหน้าอารมณ์เหล่านั้นอย่างถูกต้องเราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ อะไรก็ไม่ต้องเป็นทุกข์กันเลย แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ จะต้องยากจน จะต้องตายก็ไม่มีความทุกข์เลย ถึงแม้จะตายก็ตายไปอย่างที่ไม่มีความทุกข์เลย จะไม่ต้องกลัวถ้ามีธรรมะแล้วไม่ต้องเป็นอย่างนั้น มันมีทางให้เป็นไปได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์หรือว่าต้องตาย นี่สมมติเอาว่าถ้ามันจะต้องตายหรือว่ามันจะต้องตายด้วยอุบัติเหตุอะไรต่างๆ ก็ไม่มีความทุกข์
ถ้าเป็นว่าธรรมะนี่แก้ปัญหาเรื่องความทุกข์หมดสิ้นไม่มีส่วนเหลือก็คิดดูเองสิว่ามัน มันมีค่าสักกี่มากน้อย สิ่งที่จะแก้ปัญหาได้หมดจดสิ้นเชิงหรือดับความทุกข์ได้ทุกอย่างโดยสิ้นเชิง นี่มันมีค่าสักกี่มากน้อย แต่ถ้าเราไม่มองเห็นแล้วเราก็จะไม่รู้สึกว่ามีค่าเราก็ไม่ต้องการธรรมะเหมือนกัน เหมือนคนโดยมากเขาไม่ต้องการธรรมะ เขาต้องการแต่เงิน เขาต้องการแต่อารมณ์สำหรับบำรุงบำเรอ เขาก็พูดว่าเขาพอใจแล้วเขาสบายแล้วไม่มีความทุกข์แล้ว ก็คอยดูไปก็แล้วกัน ถ้าดูเป็นก็จะเห็นว่ามันจมหรือแช่อยู่ในนรกชนิดหนึ่งทีเดียว คนที่เขาพูดอย่างนั้น แล้วเผอิญว่าเขาไม่มีความทุกข์จริงก็ต้องหมายความว่าเขายังมีความรู้ทางธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่งช่วยประคับประคองอยู่ หรือถ้าคนพาล คนคดโกง คนคอร์รัปชั่น คนอะไรก็ตามเขายังไม่รู้สึกเป็นทุกข์ก็เพราะว่ามันมีเหตุหลายอย่าง เพราะยังโง่เกินไปก็ได้ ไม่เห็นความทุกข์เป็นความทุกข์ก็ได้ แต่ถ้าดูแล้วเห็นๆ กันอยู่นี่เขาซ่อนนรกเอาไว้ในจิตใจตลอดเวลา มีความทนทรมานอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ตีหน้าเป็นอย่างอื่นอย่างนี้มากกว่า คนที่เห็นแก่ตัวจะไม่มีความยึดมั่นถือมั่นนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อมีความยึดมั่นถือมั่นแล้วจะไม่มีความทุกข์นั้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นเขาก็ซ่อนนรกของเขาเก็บไว้เงียบไหม้อยู่ในจิตใจ แล้วไม่เท่าไหร่มันก็ออกมาให้เห็น นี่คุณก็ลองคิดหาข้อค้านข้อแย้ง ไปดูเองก็แล้วกันว่ายังมีส่วนไหนที่มันจะแย้งได้ในหลักเกณฑ์ที่ว่า ไอ้ความทุกข์เกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่น ถ้ายังมีอวิชชามีความโง่อยู่ต้องยึดมั่นถือมั่นไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพราะมัน มันละเอียดมากแล้วมันทุกชั้นทุกระดับ ชั้นที่ลึกซึ้งมันเกือบจะไม่มองออกว่าเป็นความทุกข์ มันก็จะไม่มองออกว่าเป็นกิเลส ความเคยชินนี้ก็ทำให้ไม่รู้สึกตามที่เป็นจริง เช่นเรานอนจมแช่อยู่ในของสกปรกเป็นนิสัยอย่างนี้ เราก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นของสกปรกอย่างนี้เป็นต้น จมแช่ในความทุกข์ระดับนั้นมันก็เลยไม่รู้ว่าเป็นความทุกข์ ลองเหลือบตาไปดูว่า ครอบครัวหนึ่งพ่อบ้านนั้นก็ขี้เมาโหดร้ายทารุณไม่มีธรรมะเลย แม่บ้านนั้นก็มีความบกพร่องทุกอย่างทุกประการ แล้วลูกบ้านก็มีการเป็นไปตามเหตุการณ์นั้นๆ เราไปบอกเขาว่าคุณมีความทุกข์นี่เขาไม่เชื่อ ยิ่งพ่อบ้านขี้เมาแล้วยิ่งไม่ยอมเชื่อว่าฉันมีความทุกข์ ไม่กลัว แล้วก็ไม่อยากจะละไอ้สภาพอย่างนั้น อย่างนี้มีตัวอย่างถมไป ในประเทศไทยเรานี่ก็ยิ่งมากขึ้นๆ ตามความเจริญแผนใหม่ซึ่งรู้จักแต่เรื่องทางวัตถุ ไม่เคารพธรรมะ ไม่กลัวบาปกลัวกรรมมันจะมีมากขึ้น เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีความทุกข์ ความที่เขาเมามายนั่นก็ถือเป็นความสุข หรือที่ต้องเป็นอย่างนั้นจิตใจของเขาก็เมามายอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมให้เกิด ไม่ยอมรับว่ามันเป็นความทุกข์ อย่างนี้คนอย่างเราๆ ก็มองเห็นว่าเป็นความทุกข์เรารับไม่ไหวที่จะรับเอาระบบนี้มาเป็นความถูกต้อง นี้เรารับไม่ไหวแน่ ก็ไม่ต้องพูดถึงก็ได้
เดี๋ยวนี้ที่เรียกว่าอยู่ในระดับดี ระดับผู้มีการศึกษามีอะไรดีนี่ มันยังมีความทุกข์ซ่อนอยู่ที่ตรงไหน ควรจะดูไปยังสิ่งที่มันเห็นได้ง่ายๆ เช่นเรามันบังคับตัวเองไม่ได้ บังคับความโกรธไม่ได้ อันนี้อันที่จะเห็นง่าย เคยเอาชนะความโกรธได้อย่างไรเท่าไรเมื่อไรไปสอบไปทดสอบดูให้ดี จะพบว่าเรานี้ไม่ควรจะได้รับคะแนนหรือว่าได้รับการยกย่องอะไรเรามันยังโกรธง่าย เรายังบังคับจิตใจไม่ได้เพราะว่าเราตามใจตัวเอง ทีนี้มาถึงเรื่องของความรักมันก็เหมือนกันอีกน่ะ ความกำหนัดความรักก็บังคับไม่ได้ มันก็เลยอยู่แต่เรื่องยินดียินร้าย ยินดียินร้าย ภาษาไทยเรียกว่ายินดียินร้าย คล้ายๆ กับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไปศึกษาเอาเองว่ามันมีความยินดี รักใคร่ กำหนัด หลงใหลเกิดขึ้น แล้วเมื่อมันยินร้ายโกรธเคืองเป็นไฟติดอยู่ในอกในใจ ไปศึกษาจากไอ้ตัวจริงนั้นถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย นั้นเป็นเรื่องของสิ่งที่ปรากฏแล้ว ไอ้สิ่งที่ยังซ่อนอยู่ข้างใต้นั้น คือต้นเหตุอันแท้จริงของมันยังมีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งเข้าใจยากยิ่งขึ้นไปอีก การที่ว่าคนเราจะมีความสงบเย็น มีจิตใจเย็น สงบเย็น หรือจะพูดให้เต็มที่ก็ว่ามีความสะอาด สว่าง สงบนี่มันยาก ถ้าเมื่อเห็นว่ามันยังไม่มีก็ควรจะติดตามปัญหาอันนี้ไปให้พบ เพราะว่ามันจะต้อง ต้องได้สิ่งนี้เป็นพื้นฐานก่อน จะรวยหรือจะจนหรือว่าจะเป็นอะไรก็ตามใจขอให้ได้ความที่มีจิตใจปกติเยือกเย็นไม่เป็นทุกข์นี่เป็นพื้นฐานก่อน ถ้ารวยมันก็สะดวก ความสุขมันก็มีมากไปกว่าความสงบเย็นในจิตใจ เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่มีทรัพย์สมบัติมากนักแต่เมื่อเขามีความสงบเย็นในจิตใจก็เรียกว่าเขาไม่ได้ขาดอะไรที่ควรจะได้ ไอ้คนที่เป็นเศรษฐีอยู่สุขอยู่วิมานอะไรก็ตามใจนั่น ก็ถ้ามันเห็นในจิตใจมันไม่สงบเย็นได้ก็เรียกว่าเขายังขาดไอ้สิ่งที่มนุษย์ควรจะได้ มันจะไม่หลงใหลในเรื่องข้างนอกที่มาหลอกๆ กันอย่างนี้ สนใจเรื่องข้างในแท้จริงคือจิตใจนั้นปกติมันสงบระงับมันเยือกเย็นหรือเปล่า บางคนเขาไปถือเสียว่ามันเย็นไม่ได้ สมัครร้อนไปเลย ถ้าอย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแน่ เมื่อ เขาสมัครร้อน แต่แล้วในที่สุดเขาก็ทนกันไม่ได้สักเท่าไหร่ ก็ต้องฉิบหายไปทางใดทางหนึ่ง คือฉิบหายทางจิตใจ เป็นโรคทางจิตใจหรือว่าฉิบหายออกมาเป็นเสียชื่อเสียงเป็นอะไรก็ได้ มันเป็นเรื่องวินาศแน่ ถ้าสมัครเอาไอ้กิเลสหรือความร้อนเข้าไว้ จึงมีคำพูดแปลกๆ ที่คนโบราณเขาได้พูดไว้ ว่ากลางวันมันก็เป็นสัตว์นรกหรือกลางคืนเป็นเทวดา หรือกลางวันเป็นเทวดากลางคืนเป็นสัตว์นรก กลับกันอยู่ได้อย่างนี้ เมื่อในคนหนึ่งมีความรู้สึกไปตามสิ่งแวดล้อมเฉพาะเรื่องเฉพาะขณะให้ร้อนก็ร้อนให้เย็นก็เย็น มันก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่อย่างนี้ แต่ว่าเมื่อส่วนใหญ่มันเป็นอย่างไรเราก็ถือว่านั่นแหละเป็นมาตรฐานของคนนั้น มันจึงจัดได้ว่านี่เป็นมนุษย์นี่เป็นเทวดานี่เป็นพรหม มีจิตใจเย็นมากไม่ค่อยจะรู้จักร้อน นี่เป็นสัตว์นรก นี่เป็นเดรัจฉาน นี่เป็นเปรต นี่เป็นอสูรกายนี่ ซึ่งมันร้อนคนละแบบและหลายๆ แบบกัน
ในชั้นนี้ก็เอากันแต่เพียงว่าร้อนหรือทุกข์นี่ก็เป็นนรก ถ้าสบายก็เริ่มเป็นสวรรค์ แต่มิได้หมายความว่าในสวรรค์นั้นไม่มีความทุกข์อย่างละเอียดซ่อนอยู่หรือเหลืออยู่ แต่นี่ยังไม่เป็นไร เอาไว้แก้ ค่อยคิดกันข้างหน้า กลัวแต่ว่าชั่วโมงนี้เป็นเทวดา ชั่วโมงนี้มันเป็นสัตว์นรก นี่ผมไม่ได้พูดอย่างที่เรียกว่าไม่มีหลักฐาน ให้ทุกคนไปดูตัวเองโดยเฉพาะเมื่อยังไม่ได้มาบวชนี้ บางชั่วโมงเป็นนรก บางชั่วโมงเป็นสวรรค์ บางชั่วโมงก็เป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือจะเป็นครบหมดในๆ ในบรรดาสิ่งที่มนุษย์รู้จัก รูปๆ รูปภาพดีอยู่รูปหนึ่งที่ในตึกนั้นน่ะ รูปแรกของภาพปริศนาธรรม คือนก ๘ ชนิดต่างๆ กัน ติดอยู่ในข่ายของแมงมุมในใยแมงมุม รูปแรกไปดู นกนั้นไม่เหมือนกัน ๘ นี่ผมสันนิษฐานซึ่งเชื่อว่าไม่ผิด แปด สี่ สี่แรกก็คือนรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย อบายมี๔ เขยิบขึ้นมาเป็นมนุษย์ เขยิบขึ้นไปอีก ๓ เป็นสวรรค์ สวรรค์กามาวจร สวรรค์รูปาวจร สวรรค์อรูปาวจร เป็น ๘ พอดี ทั้งหมดติดอยู่ในข่ายแมงมุม หมายความว่ามันต้องมีความทุกข์ไปตามแบบของตนๆ ด้วยกันทั้งนั้น นี่มันลึกไปแล้ว ก็คนเขาอยากไปสวรรค์ วิเศษที่สุดเป็นสุขคติ แต่ภาพนี้เขาถือเป็นจมอยู่ในกองทุกข์ในวัฏสงสารเหมือนกันหมด บางเวลาเราก็มีความร้อนเหมือนถูกเผานี่เป็นสัตว์นรก บางเวลาเราก็โง่จนอยากจะทุบหัวตัวเองนี่เป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชั่วโมงเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชั่วโมงเราก็หิวกระหายทะเยอทะยานนี่เราก็เป็นเปรต บางชั่วโมงเราก็ขี้ขลาดเป็นอสูรกาย กลัวไม่มีเหตุผล กลัวจนไม่มีเหตุผลนี่ นี่เราก็มีได้ในชีวิตประจำวันหรือผ่านมาแล้วด้วยซ้ำไป บางเวลาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ มีสติสัมปชัญญะพอตัว อดทน เหน็ดเหนื่อยอาบเหงื่อทนทำงานตามปกติ บางเวลาก็ไปยุ่งกับกามารมณ์ เพศ ชั่วโมงนี้ก็เป็นสวรรค์กามาวจร ทำอย่างนั้นทั้งวันทั้งคืนมันทำไม่ได้มันก็ไปหาความพักผ่อนอยู่นิ่งๆ คล้ายๆ กับเป็นรูปาวจร บางทีก็ให้นิ่งไปกว่านั้นอีกมันก็เป็นอรูปาวจร หรือว่าไปหลงใหลเสียในเกียรติยศ ชื่อเสียงซึ่งไม่ใช่รูปธรรมนี่ประเดี๋ยวพักหนึ่ง ชั่วโมงนั้นก็เหมือนกับว่าเป็นพวกอรูปาวจร สวรรค์ชั้นอรูปาวจร นี่เราอย่าดูถูกความคิดนึกของคนโบราณ เขามองเห็นอะไรมาก ครบถ้วน เขาจึงวางหลักเกณฑ์ไว้อย่างนี้ แล้วเราดูสิว่าเราเป็นอย่างไร เราอาจจะเป็นนกครบทั้ง ๘ ชนิด แล้วติดอยู่ในข่ายคือวนอยู่นี่ วนอยู่ในวันหนึ่งคืนหนึ่ง วนอยู่นี่ใน ๘ ชนิดนั้น คงจะมองเห็นได้ไม่ยาก อายุก็หลายวันแล้ว ชั่วโมงนี้เป็นอย่างนี้ ชั่วโมงนี้เป็นอย่างนี้ ชั่วโมงนี้เป็นอย่างนี้ จับเอาแต่หลักใหญ่ๆ ๘ ชนิดนั้นก็ครบพอดี แต่ถ้าเราพอใจหลงใหลในส่วนที่ว่าเป็นสวรรค์ก็ได้ เขาก็ไม่ตำหนิ แต่ขอให้มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือยุติธรรม ไม่คดโกง เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่อยากจะอยู่ในสวรรค์ กระทั่งว่าเพลิดเพลินหลงใหลไปอย่างเทวดาในสวรรค์อย่างที่เขาพูดกันนี่มันก็เขาไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดนะ แต่ก็ต้องจัดไว้ว่าเป็นคนโง่อยู่นั่นแหละ อยู่ในข่ายของอวิชชาอยู่นั่นเอง แต่ไม่ถือว่าเป็นความผิดที่จับตัวมาลงโทษ เทวดาก็มีโอกาสที่จะเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงอยู่ในสวรรค์ทั้งที่รู้ว่าในมนุษยโลกนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มันก็ไม่อยากลงมาเกิดในมนุษยโลกนี้ นี่ถ้าเราจะพูดกันในภพนี้ก็หมายความว่าเราไปลุ่มหลงในกามารมณ์ ทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องลุ่มหลงเราก็ไม่อยากจะหยุดมันให้มีใจคอปกติอย่างปกติอย่างธรรมดาสามัญ ก็เป็นปัญหาที่เกิดอยู่จริงหรือต่อสู้กันอยู่ ไม่เอาชนะได้ก็พ่ายแพ้แก่กามารมณ์
นี่ที่ผมพูดนี้มันเป็นเพียงตัวอย่างให้รู้ว่าเราเป็นมนุษย์มันคือเป็นอย่างไร มันเป็นอะไร มันมี มีข้อเท็จจริงอย่างไรมีปัญหาอย่างไร เราจึงจะค่อยมีความรู้แจ่มแจ้งขึ้นมาว่าไอ้การมาบวชนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่มองเห็นปัญหาคือไม่มองเห็นตัวความทุกข์ที่เป็นตัวปัญหาก็เรียกว่ามันจะไม่มองเห็นอะไรเลย แม้การมาบวชนี้ก็จะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ หลับหูหลับตาเข้ามาเท่านั้นเอง เอาล่ะสมมติว่าหลับหูหลับตาเข้ามา ก็จะขอให้สนใจสักหน่อยว่าที่เขาทำกันมาแต่โบราณหรือว่าเดี๋ยวนี้ก็ตามมันมุ่งหมายอะไรกันแน่ที่จะมาบวชนี้ ที่ตอนแรกผมก็บอกแล้วว่าเพื่อให้ได้สิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์คือธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าใครไม่มีปัญหาไม่ต้องการอะไรคนนั้นก็ไม่ต้องการธรรมะ ไม่ต้องมีธรรมะๆก็ไม่มีประโยชน์สำหรับคนที่ไม่มีปัญหา ทีนี้เรามีปัญหาคือมีความทุกข์ งั้นเราก็ต้องการสิ่งที่จะดับความทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมะจึงมีประโยชน์แก่เรา เราจึงมาบวชเพื่อให้เข้า เข้าถึงตัวธรรมะคือรู้ธรรมะนั่นแหละให้มากขึ้น เป็นฆราวาสไม่ๆ สะดวกหรือบางทีก็ทำไม่ได้เลยก็มีที่จะเข้าถึงตัวธรรมะบางอย่าง เพราะฉะนั้นมาบวชก็เพื่อหาโอกาส หาความสะดวก จะได้มีการสัมผัสกันกับธรรมะ เรียกว่าธรรมะสัมผัสก็ได้ ก็มีชีวิตอย่างนักบวช ทีนี้มันก็เป็นการเลื่อนชั้นขึ้นไปภายในจิตใจชนิดที่สว่างไสวแจ่มใส มีความหมายของความเป็นมนุษย์น่ะมากขึ้น คำว่ามนุษย์นั่นต้องเอาความหมายว่ามันมีจิตใจสูงๆๆ จนไม่มีความทุกข์ จนไม่มีปัญหามันจึงจะเรียกว่ามนุษย์ เดี๋ยวนี้เรายังไม่เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นะ เป็นมนุษย์อย่างปลอบๆ ตัวเองหรือว่าเขาให้ๆ เกิด เขาพูดว่าเราเป็นมนุษย์มีจิตใจสูง เราก็เกิดเงื่อนๆ เงื่อนงำสำหรับที่จะเดินต่อไปนั่นไปถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์ คำนี้มันพอแล้วคำว่าใจสูงนี่ ถ้าสูงจริงมันก็เหนือความทุกข์เหนือกิเลส เป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมเขาเรียกว่าพระอรหันต์ เท่านั้นที่จะเป็นมนุษย์ที่เต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ นอกนั้นเป็นมนุษย์ที่ยังพร่องอยู่ พร่องอยู่ มีความเป็นมนุษย์บ้างแต่มันยังไม่เต็ม ถ้าลดจากนี้ไปก็เป็นคนที่ไม่ใช่มนุษย์ คือเป็นอันธพาลเกินไป มีจิตใจสูงขึ้นมาๆ ก็เริ่มมีความเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นมากขึ้นๆ เต็มเปี่ยมเมื่อไหร่ก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ มีจิตใจสูงสุด ความทุกข์เกิดไม่ได้ ความทุกข์ครอบงำไม่ได้ กิเลสครอบงำไม่ได้ นี่เรียกว่าได้รับผลสูงสุดของธรรมะแล้ว ธรรมะคือเครื่องแก้ปัญหาทั้งหลาย ผู้ที่เป็นพระอรหันต์เขาได้รับถึงระดับสูงสุดจึงไม่มีปัญหาเหลืออยู่ เมื่อเขาพอใจในความสุขชนิดนี้เขาก็จัดระบบการครองชีวิตไปอีกแบบหนึ่ง ไม่ต้องอยู่ตึก ไม่ต้องอยู่วิมานอย่างที่พระอรหันต์ทั้งหลายเที่ยวเดินท่อมๆ อยู่เพื่อประโยชน์แก่คนอื่นหรือว่าเพื่อความสะดวกสบายสำหรับร่างกายนี้ที่มันยังไม่ตายไม่แตกดับนี่ก็ได้เหมือนกัน ก็เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ ลดลงไปอยู่ในระดับที่พอดีสำหรับการกินการอยู่การนอนการอะไรต่างๆ ไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน ไม่ต้องเป็นอยู่อย่างที่คนสมัยนี้ที่เขาเป็นอยู่ที่เรียกว่า วิ ที่พัฒนาการอะไรกันมากมายในเรื่องเคหะสถาน เรื่องโภชนาการ เรื่องการขับกล่อมอะไรต่างๆ นี้ ทีนี้ว่าเรายังไม่อยากเป็นพระอรหันต์ก็ไม่ผิดอะไร อยากเป็นชาวบ้านก็ได้ แต่ไม่ยกเว้นอย่างเดียวเท่านั้นแหละ คือว่าต้องไม่มีความทุกข์ตามแบบนั้นๆ ถ้าเป็นชาวบ้านมันก็มีเรื่องให้ทุกข์ มีความทุกข์มาก มันต้องมีธรรมะเพื่อแก้ความทุกข์ชนิดนั้นตามแบบของชาวบ้าน ถ้าจะเป็นนักบวชมันก็มีปัญหาที่ละเอียดลึกลงไปก็แก้ปัญหาให้ลึกลงไป ถ้าเป็นพระอรหันต์ก็หมดปัญหา ธรรมะมันจำกัดอยู่ที่ตรงนี้ที่ว่าจะดับความทุกข์หรือว่าจะแก้ปัญหา ใครอยากจะอยู่ด้วยปัญหาชนิดไหนก็ต้องมีเครื่องแก้ปัญหาชนิดนั้นให้พอกัน ถ้าไม่อย่างนั้นจะต้องตกนรกตาดำๆ เป็นๆ อย่างนี้จะต้องตกนรก แต่นรกมันก็ดี ที่ว่าจะๆ สอนให้อยากขึ้นมาเร็วๆ ได้เหมือนกัน ถ้าคนมันมีธรรมะอยู่บ้างมันคงไม่ตกตลอดกาล มันดิ้นรนที่จะขึ้นมา อย่าตกกันให้มากนัก มีธรรมะคุ้มครองอย่าต้องไปตกนรกหรืออย่าตกให้มันมากนัก ให้มันพอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีธรรมะเป็นพื้นฐาน นี่ศึกษาไว้ให้พอในระหว่างที่บวชชั่วคราว
๓ เดือนนี่ก็ไม่ใช่เล็กน้อย ถ้าศึกษาเป็นคือใช้เวลาให้เป็นนี่ ๓ เดือนไม่ใช่เล็กน้อย อาจจะรู้ธรรมะปฏิบัติธรรมะผ่านธรรมะอะไรได้มากๆ เหมือนกัน พอที่จะกลับออกไปเป็นฆราวาสที่ผิดแปลกแตกต่างไปอย่างคนละคนทีเดียว เช่นเมื่อก่อนมีความทุกข์ง่ายเต็มไปด้วยปัญหามันจะมีความทุกข์น้อย มันจะมีปัญหาน้อย มันจะบังคับตัวเองได้ มันจะบังคับผู้อื่นได้ นี่คือข้อแรกเรื่องแรกที่จะพูด พวกคุณที่สมัครบวช ๓ เดือน ถ้าเราบวชนี้เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ในชั้นนี้คือธรรมะที่จะเป็นเครื่องแก้ปัญหาทั้งปวงของมนุษย์ ธรรมะอื่นยังไม่สนใจก็ได้ ธรรมะที่จะเป็นเครื่องขจัดปัญหาของมนุษย์โดยตรง ให้มีความเป็นมนุษย์ได้ก็แล้วกัน ต่อไปนี้เราก็มีเรื่องที่จะต้องศึกษาว่าอะไรทำให้ไม่เป็นมนุษย์ อะไรที่เรียกว่ากิเลส กลุ่มที่เรียกว่ากิเลสนี่มีอย่างไรบ้าง แล้วมันจะเกิดขึ้นอย่างไร จะครอบงำเราอย่างไร เราก็ต้องเรียนต้องรู้กันเสียในคราวนี้ ที่จริงมันก็มีอยู่แล้วในตัว เกิดอยู่แล้วในตัว เกิดดับๆ อยู่แล้วในใจแต่เราไม่รู้จัก ไม่รู้จักในที่นี้ก็หมายความว่าไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร จะแก้ไขอย่างไร จะป้องกันอย่างไร เพราะไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือกิเลส อะไรคือความทุกข์
เอาละวันนี้เราพูดถึงความมุ่งหมาย สิ่งที่มุ่งหมายหรือจุดที่มุ่งหมายคือธรรมะ ที่จะเป็นเครื่องแก้ปัญหาของมนุษย์ จะได้เข้าใจสิ่งนี้แล้วจะได้มีเป้าหมายสำหรับที่เราจะเพ่งเล็งให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้มันใกล้เข้าไปทุกที วันนี้ตั้งต้นแต่เพียงว่าเรามีธรรมะชนิดนั้นเป็นเป้าหมาย พรุ่งนี้ มะรืนนี้เราก็จะได้พูดเรื่องที่มันใกล้เป้าหมายเข้าไป นี่คือเรื่องที่ผมตั้งใจว่าจะบรรยายเพื่อเป็นประโยชน์แก่คุณที่บวชใหม่ วันนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน