แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๖ วันนี้เป็นวันแรกของการบรรยายสำหรับท่านที่ ๆ เป็นคณะกลุ่มธรรมศาสตร์ มาเพื่อรับการอบรมศึกษาธรรมะบางอย่าง นั้นจึงคิดว่าจะเริ่มการบรรยายชุดนี้ในวันนี้เป็นชุด ๑ สำหรับในวันนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดอะไรมากเป็นการทำความเข้าใจทั่วๆ ไปมากกว่าที่จะพูดเรื่องใดโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอให้สนใจฟังให้ดีเป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำพูดแต่
ถ้าเราเข้าใจคำพูด มันก็เป็นอันว่าเข้าใจถึงเนื้อหาได้ด้วย เรื่องคำพูดนี่สำคัญตรงที่ว่ามันเปลี่ยนไปตามยุค
ตามสมัยไปตามถิ่นที่ ทำให้เกิดความสับสน บางทีก็กำกวม เช่น คำในประเทศอินเดียซึ่งเป็นต้นตอของ
พุทธศาสนา คำเดียวกันนั้นพอมาถึงเมืองไทยมันก็เปลี่ยนความหมายอย่างนี้เป็นต้น กระทั่งว่ามา
เมืองไทยแล้วตอนแรกๆ ก็มีความหมายอย่างหนึ่ง มาบัดนี้ก็มีความหมายที่เปลี่ยนไปไม่น้อย เราควรจะทราบข้อเท็จจริงอันนี้ ซึ่งก็เป็นอุปสรรคอยู่มากในการที่จะเข้าใจธรรมะ ถ้าพูดโดยธรรมชาติแท้ๆ ไอ้ธรรมะหรือปรัชญาก็ตามนี่ มันเข้าใจไม่ได้หรือเข้าใจไม่ได้ง่ายก็เพราะว่าคำพูดของมนุษย์ที่มีอยู่ในเวลานี้มันไม่พอ ที่จะใช้กับความหมายอันหนึ่งๆ ซึ่งมันพบใหม่ ในวงของธรรมะของศาสนาของปรัชญา แม้ในยุคแรกยุคดึกดำบรรพ์มันก็เป็นอย่างนั้น กระทั่งมาบัดนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น ยังอยู่ในสภาพอย่างนั้น แง่คิดทางปรัชญาทางธรรมะที่พบใหม่ คำพูดมีไม่พอที่จะบรรยาย และอีกอย่างหนึ่ง เดี๋ยวนี้เรามีความลำบากมากก็ด้วยเรื่องคำพูด แม้ในภาษาไทยพูดไทยกับคนไทยนี่ก็ยังอธิบายธรรมะให้เป็นที่เข้าใจไม่ได้ เพราะว่าคนๆ หนึ่งมักจะมีการถือเอาความหมายของคำๆ หนึ่งกว้างแคบสูงต่ำกว่ากันอยู่ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นเราจึงมีการเถียงกันด้วยคำพูด ถ้ายิ่งไปพูดให้ชาวต่างประเทศฟังนั้นก็ยิ่งลำบาก อธิบายธรรมะให้ชาวต่างประเทศฟังก็ยิ่งลำบากหลายเท่า จากการที่จะพูดกันด้วยภาษาไทยกับคนไทย ถ้าอย่างไรก็ทำความเข้าใจให้เป็นที่ชัดเจนกันเสียว่าเกี่ยวกับภาษานี่มันมีอยู่อย่างนี้ บางทีก็ช่วยได้มาก ถ้าเข้าใจไอ้ความหมายของคำๆ นั้นถูกต้องมาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมที ฉะนั้นในวันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องนี้เป็นส่วนสำคัญ การบวชในระหว่างปิดภาค มันก็ต้องถือโอกาสมาทำการศึกษาหรืออบรมอะไรบ้างที่นี่ เพื่อประโยชน์อะไร เพื่อจะได้อะไร ผมคิดว่าก็เป็นปัญหาด้วยเหมือนกัน ที่หวังว่าจะได้นั้นบางทีมันอาจจะน้อยมากกว่าที่ควรจะได้ก็ได้ นี่กระทั่งนิดเดียวก็ได้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ ว่าการที่จะหาความรู้จากสถานที่นี้ จะหาความรู้เพื่อประโยชน์อะไร ถ้าเพื่อประกอบการศึกษาที่จะศึกษาต่อไปในมหาวิทยาลัย อย่างนี้มันก็ได้ และบางบางท่านอาจจะคิดว่ามันก็ได้เท่านั้นก็พอแล้ว แต่ที่จริงมันควรจะได้มากกว่านั้นมาก คือการศึกษาธรรมะนี้มันเพื่อประโยชน์แก่บุคคลนั้นจนตลอดชีวิตในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการมีชีวิต แม้ว่าจะไม่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ตาม ยังมีความจำเป็นและความเหมาะสมที่จะศึกษาธรรมะอยู่นั่นแหละ ทีนี้มักจะเห็นกันเสียว่าไอ้ธรรมะนี่มันเป็นเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่จะเอาไปประกอบเรื่องอื่นให้ทำกิจการอันอื่นให้ได้ดี ฉะนั้นจะเห็นว่าไอ้เรื่องธรรมะนี่เป็นเรื่องใหญ่ของคนเราทั้งหมด ส่วนการศึกษาอย่างอื่นเพื่อประกอบเรื่องของธรรมะ นี่ขอลองคิดลองคิดดูให้ดีๆ เรียกว่าเรียนธรรมศาสตร์นี่ เป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่สุดก็เรียนธรรมะประกอบ หรือว่าเรียนธรรมศาสตร์เพื่อประกอบเป็นส่วนประกอบน้อยๆ ส่วนหนึ่งของเรื่องธรรมะ คือเรื่องชีวิตทั้งหมดจะอยู่ไปจนกว่าจะตาย ไม่มีปัญหามากไม่มีที่สิ้นสุด เคยสังเกตเห็นบางคนหวังผลนิดเดียวจากธรรมะ มันก็เป็นที่น่าเสียดายเวลาไม่ทราบว่าคือเขาไม่ทราบว่าปัญหาทั้งหมดนั่นมันคืออะไร ปัญหาทั้งหมดของคนเราคนหนึ่งๆ ตลอดชีวิตชาติหนึ่งนี่มันคืออะไร หรืออะไรจะเป็นสิ่งที่จะช่วยทำลายปัญหานั้นหรือจะช่วยแก้ปัญหานั้น ฉะนั้นเราจะต้องพูดกันตรงๆ คือว่าผมก็นิยมพูดตรงๆ เพื่อประหยัดเวลา เพื่อเข้าใจง่าย เพื่อฟังง่ายตรงไปตรงมา จึงพูดถ้อยคำที่คนบางคนเขาฟังแล้วเขาหาว่าผมดูถูกดูหมิ่นลบหลู่หรือพูดหยาบคาย ไอ้เรื่องนี้ดูจะช่วยไม่ได้เสียแล้ว ไอ้เรื่องที่พูดตรงๆ นี่ก็ฟังดูบางทีก็หยาบคาย เดี๋ยวนี้เรามันมีเวลาน้อยมันมีเรื่องมาก ไม่รู้ว่าบางทีมันจะได้มีการทำอย่างชนิดที่ยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดมากเกินไป ยากที่จะถอนออกได้ มันจะปลุกให้ตื่นนอนอย่างนี้ เพียงแต่ไปสะกิดๆ มันก็ไม่ตื่นไปทุบมันสักสองสามตึงมันก็ไม่ตื่น ถึงขนาดที่จะต้องถลกหนังหัวออกเท่ากับ ๒ นิ้วจึงจะตื่น นี่ขอให้ ๆ อภัยด้วยในการที่การพูดจานี้มันอาจจะฟังแล้วมันไม่น่าฟัง มีรุนแรงไปบ้าง ขอให้ถือว่ามันเป็นการพูดกันระหว่างเพื่อนมนุษย์ที่มีความเห็นอกเห็นใจหรือทุกข์ร้อนแทนกัน อย่างนี้จะดีหรือว่าผู้ฟังสมควรจะฟังในลักษณะที่เรียกว่าเรากำลังมีปัญหามากมายเหลือเกินในความเป็นมนุษย์นี้ จะต้องรีบรวบรวมหาไอ้สิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ให้เป็นที่ยุติกันเสียทีว่ามนุษย์นี้มันมีปัญหาเรื่อยๆ มา จะพูดกันอย่างว่ามนุษยชาติซึ่งมีอายุมาหลายหมื่นปีแล้วมันก็มีปัญหา ตั้งแต่เริ่มมีมนุษยชาติจนกระทั่งบัดนี้ปัญหายิ่งมากปัญหาของมนุษยชาติ ทีนี้มนุษย์คนเดียวก็มีปัญหาตั้งแต่แรกเกิดมา จนกระทั่งบัดนี้ ก็มีปัญหาส่วนตัวมนุษย์คนนั้นมากขึ้นๆ โดยเฉพาะมนุษย์ที่เกิดในยุคปัจจุบันนี้มีปัญหามากอย่างยิ่ง แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าเราเกิดขึ้นมาในโลกหรือลืมตาขึ้นมาในโลกในยุคที่มันมีอะไรรุนแรงมาก ใช้คำว่ารุนแรงๆ ไปในทุกๆ ทางทุกๆ แง่ทุกๆ มุม ผมสังเกตุด้วยตนเองรู้สึกของตนเองว่า เมื่อสัก ๕๐ ปีมาแล้ว เท่าที่ผมยังจำความได้ดี ปัญหาของคนไม่มากอย่างนี้ในช่วง ๕๐ ปี เดี๋ยวนี้มันมีปัญหามาก พอเกิดมาเท่านั้นแหละ มันเริ่มมีปัญหามากกว่ายุคโน้นมาก เมื่อช่วง ๕๐ ปีมันเป็นอย่างนี้ แล้วมันต้องร้อยๆ ปีพันๆ ปีมันจะต่างกันอย่างไร หรือว่าต่อไปข้างหน้าอีกสักร้อยปีคนจะมีปัญหามาก คล้ายๆ กับว่าพอเกิดมาก็จะเป็นบ้า เดี๋ยวนี้มันก็จะน้องๆ เป็นบ้าแล้วกระมัง พอเกิดออกมานี่ มันมีปัญหารอบด้านจนหัวหมุน ก็มีโรคเส้นประสาทอ่อนๆ กันอยู่ทุกคน อาการอย่างนี้มันไม่มีเมื่อสัก ๕๐ ปีมานี้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเอามาหัวเราะกันเล่น มันเป็นเรื่องจริง และเป็นตัวปัญหาจริงๆ ที่เกิดแก่มนุษย์เรา มนุษย์มันมีปัญหาเป็นพื้นฐานเป็นรากฐานอยู่แล้ว ทีนี้มันกลับมาก มากๆ มากขึ้น มันต้องการไอ้สิ่งที่จะตัดปัญหา ที่เป็นเครื่องมือสำหรับตัดปัญหาเหล่านั้น จึงพยายามที่จะศึกษาหรืออบรมในสิ่งที่เรียกว่าธรรมะ ควรจะเชื่อได้เลยไม่ต้องสงสัยว่าธรรมะนั่นแหละคือ เครื่องมือที่จะตัดปัญหาของมนุษย์ทุกชนิดทุกระดับทุกยุคทุกสมัย นี่เราทุกคนนี่กำลังเป็นมนุษย์แล้วก็มีปัญหาก็ต้องการเครื่องมือที่จะตัดปัญหาต่างๆ เหล่านั้นจึงได้ขวนขวายมาศึกษาและอบรมธรรมะ เท่าที่พูดนี้ตรงกับความจริงแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก คือเป็นสิ่งที่ผมพอจะสนองความต้องการได้ ฉะนั้นเราจะพูดกันถึงสิ่งที่จะช่วยตัดปัญหา ให้นึกถึงคำว่า ตัด คำว่า ตัด ก็ต้องมีคมมันจึงจะตัดได้ สิ่งที่มีคมเขาเรียกว่า ศาสตรา คำว่า อาวุธ แปลว่า สิ่งที่ใช้ฆ่าฟันกันทำลายชีวิตกัน ถ้าไม่มีคมเขาใช้คำว่า ทัณฑ ถ้ามันมีคมใช้ว่าศาสตรา อย่างทัณฑนี่เป็นไม้พลอง ตะบองหรือแม้แต่จะขว้างไปหรือแม้แต่ลูกปืนที่มันจะยิงไป มันรวมอยู่ในคำว่า ที่ไม่มีคม แต่มันมีความเร็วเป็นคม มันก็จัดไปจัดไว้ในพวกที่ไม่ได้มีคมอย่างคมมีด ถ้ามีคมอย่างคมมีดก็เรียกว่าศาสตรา คำว่า ศาสตร์ นั้นแปลว่าเครื่องตัดโดยตรงโดยเฉพาะส่วนไม้พลองตะบองนั่นตัดไม่ได้ แต่มันใช้เป็นอาวุธอย่างอื่นได้ แล้วมันแก้ปัญหาที่ได้ผลเหมือนกันก็ได้ ถ้าคำว่า ศาสตร์ แล้วก็หมายถึงว่าที่มันมีคม ฉะนั้นศาสตร์ทั้งหลายที่เราใช้กันอยู่นี้มันก็เป็นคำเดียวกับคำว่า ศาสตรา ที่แปลว่า ของมีคม คุณพูดว่าธรรมศาสตร์นี้เข้าใจกันว่าอย่างไร คงจะเข้าใจกันว่า วิชาธรรมะหรือวิชาอันหนึ่งซึ่งเนื่องด้วยธรรมะ เอาคำว่า ศาสตร์ นั้นเป็นเพียง วิชชา นี่ก็เสียความหมายเดิมไปเป็นอันมาก คำว่า ศาสตร์ ต้องแปลว่าตัด ไอ้สิ่งที่จะต้องตัด คำว่าศาสตร์ นี้ในฝ่ายคัมภีร์มหายานเขาใช้เรียกไอ้ข้อความประเภทคำอธิบายที่เรียกว่า อรรถกถา พวก commentary ทั้งหลายจะถูกเรียกว่า ศาสตร์ ถ้าว่าตัวบทแท้ๆ จะเรียกว่า สูตร คำอธิบายของสูตรจะเรียกว่าศาสตร์ เพราะว่าสูตร ทำให้เกิดความสงสัยเข้าใจยาก มันก็มีคำอธิบายที่จะตัดความสงสัยนี้ได้ ก็เรียกว่าศาสตร์ ต่อท้ายด้วยคำว่า ศาสตร์ เช่น วิชญัปติมาตรตาสิทธิศาสตร์ คำอธิบายของสูตรชื่อนั้นซึ่งมันยากมันเข้าใจยาก คำว่า ศาสตร์ หมายถึง อรรถกถา อย่างนี้มันก็ไม่ได้ทิ้งความหมายเดิมมันดู มันของมีคมที่จะตัดความสงสัยความไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวสูตรนั้นๆ นี้ถือเอาความหมายเดิมก็แล้วกันว่า ศาสตร์ นี้มันหมายถึงของมีคม วันนี้ผมอยากจะพูดโดยหัวข้อว่า ธรรมศาสตร์ นี้มีค่าเท่ากับ ปัญญาวุธ มีค่าเท่ากับปัญญาวุธ ในพุทธศาสนาเรามีคำอยู่คำหนึ่งเรียกว่า อาวุธคือปัญญา ปัญญาวุธะ นี่อาวุธคือปัญญา ความหมายเหมือนกันเลย คำว่า ธรรมศาสตร์ ถ้าอธิบายความหมายของคำว่า ศาสตร์ ตามตัวหนังสือตามความหมายเดิมแท้ ธรรมะ ศาสตร์แปลว่า ศาสตรา คือ ธรรมะ หรือธรรมะที่ถูกใช้เป็นศาสตราเพื่อจะตัดไอ้สิ่งที่ควรจะตัดคือความโง่ ความสงสัย ความเป็นปัญหาอะไรต่างๆ ส่วนธรรมาวุธ อาวุธคือธรรมะนี่มันกว้างออกไป เหมือนกับที่พูดเมื่อสักครู่นี้ว่าอาวุธนี้มีคมก็ตายหรือไปทำใครตายล่ะจึงจะเรียกว่าอาวุธได้ แต่ศาสตร์ จะหมายเฉพาะที่มันมีคมเฉียบเหมือนกับมีด บางทีเราจะให้ความหมายให้มันกว้างออกไปจึงใช้คำว่าอาวุธ ๆ คือปัญญาๆ คืออาวุธ อย่างมีบาลีว่า โยเทธัมมารัน จะปัญญาอุเทนะ ท่านจงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา ปัญญาวุธ อาวุธคือปัญญา มีคำมีความหมายกว้างกว่าที่เรียกว่าธรรมศาสตร์ ศาสตราคือธรรมะ นี่มันแคบเข้ามา แล้วมันชัดในขอบเขตที่จำกัดแล้วมันจะคมเฉียบ จะตัดความโง่ความสงสัยกันอย่างเฉียบขาดลงไป ลองฟังให้ดีว่าจะได้ประโยชน์อะไร ธรรมศาสตร์มีค่าเท่ากับปัญญาวุธ ๆ ใช้สำหรับทุกคนที่จะตัดแต่สิ่งที่จะต้องตัด แต่ถ้ามันใช้เครื่องมือคมๆ อย่างเฉียบๆนี้จะใช้คำว่า ศาสตรา แต่ปัญญาศาสตรานี้ยังไม่เคยได้ยิน อาตมาได้ยินแต่คำว่าธรรมศาสตร์ แล้วนึกถึง ก็ทำให้เข้าใจว่ามันมีความหมายตรงกันมาก ลองฟังให้ดีถ้ามันจะเกี่ยวข้องกับมนุษย์อย่างไร ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่ามนุษย์มีปัญหาๆ ของมนุษย์มันมีคือปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาเราก็ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องเรียนอะไร ไม่ต้องลำบากยุ่งยากอะไรอย่างที่กำลังลำบากกันอยู่เดี๋ยวนี้ ๆ มันมีปัญหาที่ทำให้นิ่งอยู่ไม่ได้ปัญหานั้นมันบีบคั้นมันรบกวน กระทั่งมันเผาลนจึงต้องหาสิ่งซึ่งจะมาทำลายปัญหาเสียตัดปัญหาเสีย ถ้าใครจะคิดว่าธรรมศาสตร์เป็นเพียงวิชาที่จัดไว้เป็นหลักสูตร มีเพียงแขนงเท่านั้นๆ เท่านั้นแขนงนี่ก็เป็นเรื่องธรรมศาสตร์อย่างในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้นแหละ ไม่ใช่ในความหมายที่กว้างตามตัวหนังสือนั้น เป็นศาสตราที่ใช้ตัดปัญหาทุกชนิดซึ่งไม่ได้มีเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้ ปัญหาของมนุษย์ทุกชนิดควรจะถูกตัดลงไปด้วยศาสตราคือธรรมะ เอาธรรมะมาเป็นศาสตราของมีคมก็ตัดปัญหาทุกชนิด นี่ ความหมายของคำว่า ธรรมศาสตร์ นี่มันกว้างขวางก็สูงสุดก็อย่างนี้ แต่เมื่อถูกจำกัดให้แคบเข้ามาในความมุ่งหมายอะไรที่บางแห่ง หรือสถาบันบางแห่งนี่มันก็ได้เหมือนกัน แต่เราควรจะรู้ไว้ว่าไอ้คำนี้ของเรามันวิเศษ มันมีความหมายสูงมีอุดมคติสูง ผมจะคิดว่ามันควรจะเทียบกันกับคำว่า ปัญญาวุธ ที่เป็นหลักใช้ในทางธรรมะในทางศาสนาโดยเฉพาะก็คือพุทธศาสนา ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงคำว่า ปัญหา ให้ชัดเจนออกไปอีกสักหน่อย ดังที่ได้กล่าวแล้วว่าวันนี้ เราจะไม่พูดอะไรกันมาก นอกจากจะพูดถึงเรื่องถ้อยคำ ปรับปรุงถ้อยคำให้มันตรงกันเสียก่อน จะพูดกันง่าย คำว่า ปัญหา มันไม่ใช่เป็นแต่เพียงคำถาม ปัญหามันไม่ใช่ question ปัญหามันเป็น problem มันไม่ใช่เพียงแต่คำถามและคำตอบ นั่นมันเป็นเรื่องคำพูดอย่างเดียว ปัญหามันเกิดขึ้นได้ทุกอย่างทุกทาง เช่น ไม่มีข้าวจะกิน มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแล้วจะทำอะไรกินหรือมันเกิดวิกฤตการณ์อย่างใดๆ ขึ้นมาก็เรียกว่าเป็นปัญหาทั้งนั้นที่ต้องแก้ต้องสะสาง เป็นการตอบด้วยการกระทำเป็นการถามด้วยการกระทำไม่ใช่ด้วยคำพูด สิ่งที่บีบคั้นทำให้มนุษย์ทนอยู่ไม่ได้ ต้องขวนขวายดิ้นรนแก้ไขนั้นคือปัญหา ฉะนั้นขอให้หลับตามองให้กว้างขวางที่สุด ให้เห็นปัญหาทุกยุคทุกสมัยของมนุษย์และทุกทาง เช่น ปัญหาทางกาย ปัญหาทางจิต ปัญหาทางวิญญาณนี่ส่วนบุคคล แล้วก็เป็นปัญหาทางสังคม ส่วนสังคม ทางส่วนบุคคลและส่วนสังคม มันก็แยกได้หลายๆ ชั้นหลายๆ ระดับ นี้มันยังมีเวลาหรือสมัย สมัยที่ก่อนประวัติศาสตร์เราไม่มีหลักฐานเป็นตัวหนังสือ แล้วก็มีร่องรอย มีเหตุผลที่พอให้ทราบได้ว่ามันจะต้องเป็นอย่างไร เช่น คนสมัยหินเขาได้ทิ้งอะไรไว้ในแผ่นดิน พอให้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร เขาอยู่กันอย่างไรเอามารวบรวมศึกษาดูพอให้รู้ว่าเขาเป็นอย่างไร อยู่กันอย่างไร มีปัญหาอย่างไร ทีนี้จะถอยออกไปอีกก็มีปัญหาซึ่งไกลออกไปอีก แต่มันจะไปใกล้ปัญหาของสัตว์เดรัจฉานมากขึ้นทุกที ความคิดที่ว่าไอ้คนเกิดทีหลังสัตว์เดรัจฉาน นี่มันเป็นสิ่งที่เชื่อแน่ได้ ฉะนั้นถ้าปัญหาคนแรกๆ ที่มันยังใกล้ๆ กับสัตว์เดรัจฉาน มันก็ต้องมีปัญหาคล้ายๆ กับปัญหาของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งมันยังน้อยมากหรือง่ายมากหรือต่ำมาก ต่อมามันจึงเจริญ คนเจริญไกลจากสัตว์เดรัจฉานเข้ามาทุกที ปัญหามันก็เปลี่ยน สมัยที่เรียกว่าก่อนมีวัฒนธรรมหรือภูมิธรรมขนาดที่ทำไถๆ นาได้ นี้ควรจะเป็นจุดหนึ่งที่แบ่งความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ต่างกันมาก คือมนุษย์ยังไม่รู้จักผลิตด้วยตนเอง ยังต้องเก็บของที่มีอยู่ตามธรรมชาติกิน นี่มันก็ไปฝ่ายนี้
ต่อมามันรู้จักผลิต จึงรู้จักทำไถๆ นา เป็นต้น คนมนุษย์รู้จักผลิต ไม่ต้องพึ่งธรรมชาติล้วนๆ มันก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแล้ว จึงเรียกว่าเรามาตั้งต้นวัฒนธรรมกันที่รู้จักผลิตพืชผลในการใช้วัตถุเครื่องมือ เช่นไถสำหรับไถนา เป็นต้น ก็ลองคำนวณสิ ปัญหาจะต่างกันอย่างไร คนพวกนั้นมีมือเฉยๆ ไม่มีเครื่องมือไม่รู้จักเครื่องมืออะไรนักนอกจากว่าก้อนหิน ต่อมารู้จักทำไถๆ นาแล้วก็ต้องต่างกันลิบ มันสมองก็ต่างกันลิบแล้ว ปัญหาก็เปลี่ยนไปมันฉลาดขึ้นมันก็รู้จักทำให้รอดชีวิต เป็นมากขึ้นง่ายขึ้นคนมันก็มากขึ้นๆ ปัญหามันก็ยิ่งเปลี่ยน มนุษย์รู้จักเพาะปลูกด้วยสติปัญญาความสามารถของตน มันก็ทิ้งสัตว์เดรัจฉานไกลเลย แต่แล้วปัญหาทางสังคมมันก็ต้องเกิดขึ้น คุณเดาเอาเองก็ได้ว่ามันจะต้องมีอะไรบ้างเพราะมันมีการผลิตแล้วมันก็ต้องมีการได้ ซึ่งทำให้มีคนรวย ก็มีคนจน ก่อนนี้เราไปเก็บในป่ามากินด้วยกันเสมอกันหมดไม่มีคนรวยคนจน นี่คนบางคนมันฉลาด ทำเครื่องมือได้ผลิตได้มันก็เป็นคนมีขึ้นมา บางคนมันยังล้าหลังทำไปตาม (นาทีที่ 33.50)ก็เกิดเป็นคนจน ปัญหาทางสังคมมันเกิดๆ มีความแตกต่างระหว่างคนเป็นปัญหากระทั่งบัดนี้ จนบัดนี้ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้วมันก็ยังเป็นปัญหาเดียวกัน ไอ้คนมันต่างกันจนว่า มี มั่งมีมาก จนๆมาก ก็เป็นมาอย่างนี้ เรียกว่ารู้จักทำมาหากินเป็นยุคหนึ่ง เรื่องทางจิตใจยังไม่ค่อยมีการค้นคว้าจนกว่าจะมีคนค้นคว้าไกลออกไปทางจิตใจ เป็นวัฒนธรรมทางจิตใจขึ้นมา แต่ความก้าวหน้าทางวัตถุนี้มันจะต้องรุนเร็วรวดเร็วรุนแรงมาก เพราะใครๆ มันก็ชอบและมันทำได้ง่าย แต่แล้วในที่สุด มีคนบางคนหรือบางพวกเห็นว่านี่มันก็ยังไม่ใช่ความสงบสุข มีกินมีใช้มีบ้านมีเรือน กระทั่งมีที่อยู่อาศัยเป็นที่พอใจแล้วมีกฎหมายแล้ว สมมติว่ามีผู้ที่ฉลาดเฉลียวมีการปกครองแล้ว มีระบบการปกครองและมีผู้ปกครองแล้วก็จะคิดว่าปัญหาหมดมันก็ไม่ได้ คนมันยังมีปัญหาในจิตใจอีก มีความกลัว มีความสงสัย มีความนอนสะดุ้งกลัว วิตกกังวลนอนไม่หลับ นอนหลับยาก นี่ก็เป็นปัญหาอันหนึ่งแล้วจึงมีคนหลีกออกไปอยู่ในที่สงบสงัดไปค้นอยู่คนเดียว เพื่อค้นเรื่องทางจิตใจ มันก็เกิดปัญหาทางจิตใจเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ทีแรกมันยังไม่มีเพราะว่ามันยังไม่รู้จักทำกินให้เป็นเรื่องที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนา เกิดทำมาหากินเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดีแล้ว มันหมดปัญหาทางนั้นแล้วเกิดปัญหาทางจิตใจเข้ามาแทน คนบางคนทนไม่ได้ก็ออกไปหาคำตอบ จนไปพบคำตอบทางจิตใจว่าถ้าใครรู้สึกร้อนใจอย่างนั้นอย่างนี้ก็จงทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันเกิดระบบเป็นศาสนาขึ้นมา ถ้าถือตามเรื่องราวที่เขาเชื่อกันในประเทศอินเดีย ก็มีว่าคนพวกนี้เป็นฤๅษีมุนีโยคีอะไรก็ตามซึ่งออกไปจากบ้านไปอยู่ในป่าในดงไปนั่งนึกนั่งคิด เพราะเขาเป็นคนผ่านโลกมามากแล้ว อายุมากแล้ว เขาคิดออกๆ แล้วก็รวบรวมเข้าไว้เป็นข้อๆ ตอนหลังมีคนไปหาเพื่อจะได้รับประโยชน์อันนี้บ้างหรือว่าเขาก็อยากให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่นก็บอกให้เป็นข้อๆ ก็เรียกว่า มนต์ ยุคที่เรียกว่า มนต์ มันเกิดขึ้นมาที่จะเป็นต้นตอของศาสนาทั้งหลาย ต่อมามันจำยากเลยผูกเป็นคำกลอนเป็นอะไรขึ้นมาก็เรียกว่า มนต์ ใครไปหาฤๅษี ๆ ก็ให้มนต์เป็นคำสอนข้อหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมากที่จะมาใช้แก้ปัญหาทางจิตใจคนเรา จนกระทั่งมันๆ ขยายตัวออกไปจนถึงเรื่องที่ไม่จำเป็น เรื่องที่ไม่ควรจะเรียกว่าสำคัญมันก็มี จึงมีมนต์เป็นมนต์ขึ้นมาเสีย แต่นั่นอย่าไปคิดเลย เอาแต่เรื่องที่มันจำเป็นที่สุดที่มนุษย์จะต้องรู้ แล้วจะได้สบายใจ ก็ได้มนต์กันมาจากฤๅษีทั้งหลาย ครั้นนานมาหลายชั่วคนหลาย มนต์นี้มันก็มาก มากเข้าๆ มันก็ถูกร้อยกรองให้ดีขึ้นโดยครูบาอาจารย์ที่ในบ้านในเมืองก็ได้หรือว่าที่ในป่าก็ได้ ก็เรียกกันว่า เวทย์ หรือพระเวทย์ หรือไตรที่เรียกกันว่าไตรเพทย์ เป็นความรู้เป็น collection ใหญ่มากที่ได้มาจากฤๅษีต่างๆ หลายยุคหลายนั่นมาแล้วจึงเกิดสิ่งที่เรียกกันว่าเวทย์ เป็นสติปัญญาของมนุษย์ นี่ยุคนี้มันก็มีอยู่ แต่มนุษย์ได้แก้ปัญหาทางจิตใจได้ไม่น้อย ครั้นต่อมายุคใกล้ๆ พระพุทธเจ้าเกิดนี่ เขาทำได้ดีกว่านั้นคือมักจะมองจากข้างในมากขึ้น ก่อนนี้มักจะมองข้างนอกก็มองออกไปข้างนอกไปพบเวทย์พบมนต์ที่เนื่องด้วยดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ด้วยเทวดาด้วยอะไรต่างๆ นั้นมันข้างนอก แต่มันก็ยังดีกว่าไม่มีนะ เพราะว่ามันสามารถๆ ที่จะแก้ความทุกข์ร้อนในจิตใจของคนได้เหมือนกัน แต่มันไม่เด็ดขาด ระเบียบปฏิบัติเหล่านั้นมันก็ทำให้สบายใจได้บ้าง แต่ไม่เด็ดขาด ต่อมาถึงยุคที่เรียกว่ายุคเกิดศาสนาอันแท้จริง เช่น พุทธศาสนา เป็นต้น ยุคนี้เขามองข้างในกันทั้งนั้นแหละ มันก็เกิดไอ้ความรู้เรื่องข้างใน เรื่องกิเลส เรื่องอะไรที่เกิดอยู่ข้างในเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ มันก็เกิดพระศาสดาชนิดนี้ขึ้นในยุคที่พอจะเรียกได้ว่ายุคพุทธกาลนั่นแหละ คัมภีร์พระเวทย์คัมภีร์อะไรทั้งหลายเหล่านั้นมันก็ถูกเอามาวิพากษ์วิจารณ์กันใหม่ ปรับปรุงกันใหม่ ที่มันใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไป ที่มันใช้ได้ก็เอามาเป็นตัวบทสำหรับพิจารณา แล้วก็น้อมเข้ามาข้างในเรื่อย เป็นยุคที่ประหลาดยุคหนึ่งในโลก ในอินเดียเขานิยมเรียกยุคนี้ว่ายุคอุปนิสสย คือเข้าไปนั่งใกล้อาจารย์ หรือเข้าไปนั่งใกล้ความจริง เข้าไปนั่งใกล้สัจจะ อย่างไรก็แล้วแต่จะแปล แต่ว่ายุคนี้เป็นยุคที่มองย้อนเข้าไปข้างใน เหมือนมองเข้าไปในจิตใจ สิ่งที่เกิดอยู่ในจิตใจจนรู้เรื่องในจิตใจ นี่พระพุทธเจ้าเกิดในยุคนี้ พระศาสดาอื่นศาสนาอื่นๆ ในยุคเดียวกันก็เกิดขึ้นในยุคนี้ และที่น่าสนใจหรือว่าน่าประหลาดใจบ้างก็คือมันไม่ได้เกิดแต่ที่ในประเทศอินเดีย ทางในประเทศจีน ตะวันออกสุดก็เกิดเหลาจื๊อนี่ขึ้นมา ซึ่งมีคำสอนฉลาดคมคายลึกซึ้งแบบมองจากข้างใน คำสอนขงจื๊อบางบทเหมือนหรือเท่ากันกับพระพุทธเจ้าก็มี มุ่งไปในทางจะไม่ให้ยึดถือด้วยความโง่ในสิ่งต่างๆ ที่แวดล้อมอยู่รอบๆ ตัวเรา คำสอนของขงจื๊อก็เป็นอย่างนี้ เอ้า,ของเหลาจื๊อก็เป็นแบบนี้ยังพ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า ไปทางตะวันตกไปทางโน้นก็มีบางคนเริ่มมองข้างในรู้เรื่องข้างใน เช่นศาสดาคนหนึ่งชื่อฮีรักครีตัส (นาทีที่ 43.18 ) ที่สอนลัทธิแพนตาเร (นาทีที่ 43.22) ซึ่งแปลว่าทุกอย่างไหล แพนตะ-ทุกอย่าง เร-ไหล คือสอนเรื่องอนิจจังอย่างละเอียดอย่างรุนแรง สอนอนิจจังเท่ากับในพุทธศาสนานะ คนนี้ก็พ้องสมัยพ้องศตวรรษกันกับพระพุทธเจ้าก็เรียกว่ายุคเดียวกันได้ แล้วมีคนอื่นอีกในเปอร์เชียในอะไรต่างๆ ก็เป็นที่น่าประหลาดว่าในยุคนั้นทำไมมันทั่วทั้งโลก มันเกิดมองข้างในแล้วก็พบความรู้อันนี้ ที่จะแก้ปัญหาให้มันลึกยิ่งขึ้นไปอีก แก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ปัญหาที่ลึกมันจะแก้ได้อีก นี่เรียกว่าเป็นยุคเกิดพระศาสดาเกิดศาสนา ก็พอจะกล่าวได้ว่า ๒ ถึง ๓ พันปีมานี่มาแล้ว เอา ๒,๕๐๐ นี่เป็นหลักดีกว่า ๒,๕๐๐ ปีมาแล้วเป็นจุดศูนย์กลางของยุคที่มนุษย์เริ่มมองด้านใน มีความรู้สติปัญญามากจนสามารถจะตัดไอ้ปัญหาในชั้นสูงสุด คือปัญหาทางจิตทางวิญญาณได้ นี่ปัญหามันได้เปลี่ยนมาอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศาสตร์หรือปัญญา คือเป็นอาวุธนี่ มันก็เจริญก้าวหน้ามาอย่างนี้ จะเรียกว่าศาสตร์ก็ได้ จะเรียกปัญญาก็ได้ มันสูงตามขึ้นมา ๆ ทันกันไอ้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วมนุษย์ไปค้นคว้าแก้ไขจนตัดไปได้ทำลายไปได้ นี่ดูไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศาสตร์หรือปัญหาที่คู่กันมา ปัญหาเป็นสิ่งที่จะถูกตัด ศาสตร์เป็นสิ่งที่จะตัดหรือเครื่องมือสำหรับจะตัด นี่ปัญหาทางวัตถุมันก็ตัดได้มาก ปัญหาทางจิตใจก็ตัดได้มาก ปัญหาทางสังคมมันก็ตัดได้มาก ปัญหาทางวัตถุ เช่นว่าเมื่อก่อนนี้มันก็ไม่ทำอะไรได้นอกจากไปเก็บกินในป่าของเกิดอยู่เอง เดี๋ยวนี้ก็ทำนาทำสิทธิ์ อะไรได้ ปัญหาทางวัตถุนับตั้งแต่รู้จักไถๆ นา ทำไถไถนา ปัญหาทางจิตใจคือมันไม่ฉลาดพอกับหน้าที่การงานที่มันก้าวหน้า ก็รู้จักอบรมจิตให้เป็นสมาธิให้เป็นจิตที่มีสมรรถภาพสูงกว่าระดับธรรมดามาก มันก็ได้เกิดขึ้นในระบบของพวกโยคีมุนีอะไรต่างๆ อบรมให้จิตมันสูงขึ้น กำลังจิตที่ไม่เคยพอมันก็พอขึ้นมา มันจึงเรียนเก่ง จำเก่ง วินิจฉัยเก่ง ตัดสินเก่ง ถ้าแยกเป็นปัญหาอีกทางหนึ่งเรียกว่าปัญหาทางวิญญาณ คือความรู้ความเข้าใจในความลึกซึ้งของธรรมชาติก็รู้มากขึ้น จนรู้ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตาของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามหลักธรรมะ เรียกว่าความรู้ทางจิตทางวิญญาณในชั้นสูง ก็รู้ก็แก้ปัญหาเหล่านี้ได้ แล้วมันน่าอัศจรรย์อยู่หน่อยที่ว่าปัญหาทางสังคมมันก็แก้ได้ ไม่ใช่ว่าทางส่วนตัวปัจเจกชนเจริญแล้วทางสังคมมันจะไม่ตามมามันก็ฉลาดขึ้น ฉะนั้นคนในยุคพระพุทธเจ้านั้นก็มีความเฉลียวฉลาดพอที่จะป้องกันปัญหาทางสังคมไม่ให้เกิดขึ้น คือเขายังรักษาไอ้ระบบธรรมชาติไว้ได้ สปิริตหรือเจตนารมณ์ตามธรรมชาติที่มันมีความสงบสันติภาพ มันรักษาไว้ได้คือ ข้อที่ไม่มีใครจะประพฤติเลวทรามถึงขนาดที่จะเอาเปรียบผู้อื่น ความเลวทรามในการเอาเปรียบผู้อื่นนั้นมันเป็นการทำความยุ่งยากทำวิกฤตการณ์ให้เกิดขึ้นเป็นปัญหาทางสังคม ก็เล่ามาได้เลยว่าทีแรกมนุษย์เก็บกินในป่าไม่มีใครเอามาส่วนเกินได้ เพราะมันไม่มีปัญญาที่จะมาทำยุ้งทำฉางใส่ไว้เป็นส่วนเกิน ครั้นยุคต่อมามันมีมนุษย์ที่อุตริ มีปัญญารู้จักเก็บมาใส่ยุ้งใส่ฉาง มันก็เป็นคนรวยขึ้นมา คนอื่นมันก็จน มันก็เกิดแย่งชิงกัน ก็เลยต้องมีระเบียบมีอะไรทำให้เกิดขึ้นมาว่าเราจะไม่เอาเปรียบกันอย่างนั้น นี้ต่อมารู้จักผลิตในไร่ในนาอะไรมากๆ มายก็เกิดขโมย มันก็ต้องประชุมกัน นี่ผมเล่าไปตามที่มีอยู่ในพระสูตรในพระบาลีในพระสุตตันตปิฎก สมมติให้มีหัวหน้าที่จะป้องกันความทำผิดอย่างนี้ เป็นลักเป็นขโมย หัวหน้านั้นมีอำนาจก็ได้รับสมมติให้เป็นพระยาสมมติราษฎร์ กำจัดขโมย กำจัดอะไรที่มันไม่น่าปรารถนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเอาส่วนเกินถ้ายังคงรักใคร่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันอยู่ในความเป็นอย่างนี้มันเกิดเป็นสถาบันขึ้นในตัวมันเอง ไม่ใช่ทางวัตถุคือทางจิตใจ ในจิตใจของทุกคนยอมรับในข้อนี้ว่า ไม่เอาส่วนเกิน ไม่เอาเปรียบผู้อื่นนั้นแหละเป็นบุญเป็นกุศล ฉะนั้นในครั้งพระพุทธกาล เราจึงได้เห็นการแก้ปัญหาสังคมโดยอัตโนมัติ เรียกว่าไม่ทำให้เกิดคนรวยชนิดที่เห็นแก่ตัวข้างเดียว มันเกิดคนรวยที่เห็นแก่คนจน ซึ่งเดี๋ยวนี้คงจะหาดูไม่ได้นะแต่นี่ว่าความจริงสมัยโน้น ผู้ที่เป็นเศรษฐี คือผู้ที่มีทรัพย์สมบัติมากมีบริวารมาก มีข้าทาสมาก เกิดถ้าได้อะไรมามันก็มาทำประโยชน์สังคม เช่น ตั้งโรงทานแข่งกัน สัญลักษณ์ของเศรษฐีคือการตั้งโรงทานแข่งกัน หรือว่าสร้างวัดแข่งกัน มันแสดงน้ำใจที่ผิดกัน ฉะนั้นพวกทาสเหล่านั้นมันไม่อยากจะจากเศรษฐีนั้นไป เพราะมันรักอย่างคนเหมือนอย่างเป็นลูกเป็นหลานมันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มันก็ได้ประโยชน์อะไรมามันก็ไปตั้งโรงทานแข่งกัน แล้วทำไมมันจะไม่เลี้ยงล่ะคนในบ้านข้าทาสในบ้าน มันจึงมีความรักใคร่ผูกพันเหมือนกับพ่อเลี้ยงรักลูกน้อง มันผิดกับความหมายคำว่า เศรษฐี สมัยนี้ หรือนายทุนสมัยนี้มันจะเอาข้างตัวท่าเดียวให้มากขึ้นๆ ไม่เคยตั้งโรงทานแข่งกัน พวกนายทุนสมัยนี้นะไม่เคยตั้งโรงทานแข่งกัน ถ้าเศรษฐีสมัยโน้นคือคนที่ตั้งโรงทานแข่งกัน นี่มันแก้ปัญหาสังคมได้โดยอัตโนมัติ นี่เราดูว่าสติปัญญาความรู้ของมนุษย์นี้มันได้เจริญมาๆ มันเป็นศาสตร์ ศาสตราที่จะตัดปัญหาต่างๆได้ ในลักษณะอย่างนี้ จะใช้ธรรมะเป็นหลัก นั่นแหละคือตัวธรรมศาสตร์แท้ ถ้าคุณอ่านหนังสือปะรำปะราเรื่องมนูธรรมสาส์น ผู้บัญญัติมนูธรรมศาสตร์ จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ทันที คือเขาเอาธรรมะนั้นแหละเป็นศาสตร์ เรื่องนี้มันก็เป็นชื่อบอกชื่อแล้วว่าเป็นอินเดีย รับมาจากอินเดีย มนูธรรมสาส์น แล้วก็บัญญัติมนูธรรมศาสตร์ ทุกคำมันเป็นภาษาอินเดีย โบรมโบราณนมนานก่อนพุทธกาล แต่ขอร้องให้สนใจคำว่า ธรรม นั้นสักหน่อยว่ามันคืออะไร แล้วพอมันมาเป็นศาสตร์เข้าเป็นของมีคมเข้ามันเป็นอย่างไร มันตัดปัญหาต่างๆได้อย่างไร ถ้าเรายังคงประพฤติกันอยู่ไอ้ตามแบบของมนูธรรมสาสตร์ โลกไม่เป็นอย่างนี้แน่ ยังมีความรักใคร่เมตตากรุณา แล้วทุกคนยึดมั่นอยู่แต่ในธรรม เดี๋ยวนี้มันก็ทิ้งกันหมดแล้ว แม้แต่อินเดียเองก็ไม่เห็นร่องรอยกัน มันมาหมุนมาหาวัตถุก็เลยขึ้นมายุคนี้ยุคใหม่ที่ว่า วัตถุพัฒนา พัฒนาวัตถุคือยุคปัจจุบันนี้ มันเป็นวัตถุพัฒนายิ่งสูงสุดนะ ค่อยๆ เป็นมาหลายสิบปีหลายร้อยปีแล้วก็ได้ แต่มันกำลังสูงสุดอยู่เรื่องวัตถุ เห็นแก่วัตถุบูชา วัตถุพัฒนาวัตถุ เรื่องจิตใจไม่ต้องนึกถึงกันแล้ว เรื่องวัตถุนั้นเป็นเรื่องทางกาย แล้วก็เพ่งเล็งเอาความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเป็นของสูงสุด เดี๋ยวนี้คนกำลังเป็นอย่างนี้กันทั้งโลกมากขึ้นๆ บูชาความสุขทางเนื้อหนังมากขึ้น มันก็ต้องทิ้งธรรมศาสตร์นั้นไป ทิ้งธรรมะในฐานะที่เป็นศาสตร์นั้นไปๆๆ จนเอาอะไรมาเป็นศาสตร์ก็ลองดูกันเองสิ แล้วมันมีอะไรจะแก้ปัญหาของคนสมัยนี้ได้ ปัญหาที่โลกไม่มีสันติภาพในเวลานี้อะไรจะแก้ได้ หรือปัญหาที่ปลีกย่อยลงมานี่ อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง ที่กรุงเทพฯ เป็นอย่างไรคุณก็เห็นอยู่ อะไรจะแก้อะไรจะเป็นศาสตร์ที่จะตัดปัญหานี้ออกไป เพราะเดี๋ยวนี้บูชากามารมณ์ โสเภณีทางวิญญาณเต็มไปทั้งโลก คือสตรีเพศที่แต่งกายอย่างยั่วเย้าที่สุดเต็มไปทั้งโลก ทำจิตใจของมนุษย์ให้หันเหไปทางวัตถุอย่างนี้ อะไรจะมาเป็นศาสตร์หรืออาวุธที่คมจะตัดปัญหาที่เกิดขึ้นจากโสเภณีทางวิญญาณซึ่งครอบงำโลกเวลานี้ยิ่งขึ้นๆ ทำกันอย่างไรก็ไม่ทราบ ไปๆมาๆ ก็ให้สตรีเพศ นี่เปิดเผยอวัยวะที่เป็นเครื่องยั่วยวนมากขึ้นๆ จนมีปัญหาทางสังคม มีอาชญากรรมทางเพศเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง ถ้าเอาหนังสือพิมพ์มาเปรียบเทียบกัน คือหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในปัจจุบันนี้ปีนี้ ไปเทียบกันดูกับหนังสือพิมพ์เมื่อสัก ๑๒ ปี ๑๕ ปีมาแล้ว คุณจะเห็นว่าไอ้ข่าวพาดหัวมันต่างกันลิบ เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยเรื่องอันธพาลเรื่องกามารมณ์ทั้งหน้า หน้าในหน้านอกหน้าหลังเต็มไปหมด พร้อมทั้งรูปภาพด้วย แต่หนังสือพิมพ์เมื่อ ๑๐ กว่าปีมาแล้วไม่มีอย่างนี้ มันมีพาดหัวด้วยสารคดีหรือข่าวที่มันเป็นสาระน่าชื่นใจ นี่มันแสดงว่าโลกได้เปลี่ยนมาอย่างไร แล้วก็อารยธรรมเนื้อหนังมันเจริญรุ่งเรืองอย่างไร เอามาจากไหน ปัญหามันจะเกิดขึ้นอย่างไรในยุคที่เรียกว่าวัตถุมันพัฒนา ถ้าเกิดเศรษฐีขึ้นมา ก็เศรษฐีที่จะเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ถ้าคนจนมันก็จนอย่างยิ่งมันก็ต้องทำลายเศรษฐี ถ้าใช้ระบบโบราณ เศรษฐีมันแข่งกันสร้างโรงทานนี่ คนจนมันได้รับการเลี้ยงดู มันก็ไม่เกิดปัญหาอันนี้ขึ้น สังคมนิยมประเภทคอมมูนิสต์หรืออะไรที่ยิ่งกว่านั้นมันก็มีไม่ได้ เพราะมันมีการป้องกันอยู่โดยอัตโนมัติ นั่นแหละคือผลของธรรมศาสตร์ ศาสตร์ที่เป็นธรรมะ ธรรมะที่เป็นศาสตร์ อาวุธที่มีคมคือธรรมะมันตัดปัญหาเหล่านี้ออกไป มนุษย์มันก็เลยอยู่กันเป็นผาสุก ทีนี้มันเริ่มสิ้นสุด เริ่มจางลงๆ ของไอ้ยุคที่นิยมจิตวิญญาณ นิยมจิตใจที่วิญญาณเป็นใหญ่จางไปๆ มานิยมวัตถุเป็นใหญ่มากขึ้นๆ ไม่กี่ร้อยปีความก้าวหน้าทางวัตถุนั้นมันเหมือนกับวิ่ง จะไปดวงจันทร์ได้ นี่ก็ต้องเรียกว่าความเจริญทางวัตถุนี่มันเหมือนกับวิ่ง ก็ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้คนเราหาประโยชน์ความสุขทางเนื้อทางหนังจากวัตถุกันทั้งนั้น จนไม่มีใครฟังใครไม่มีใครละอายใคร ไม่มีใครเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ใคร นี่คุณจะไปขอความเมตตากรุณาจากใครเดี๋ยวนี้ เมื่อเขาทิ้งธรรมะกันเสียหมดแล้ว พุทธศาสนาก็ถูกทอดทิ้งว่าที่จริง ถือกันแต่ปากเป็นส่วนมาก ทัศนคติอย่างนี้อื้อฉาวเป็นการใหญ่ว่าพระเจ้าตายแล้ว การถือว่าพระเจ้าตายแล้วนี่เป็นของจริงหรือไม่ ถูกหรือไม่ ก็ถูกนำไปวิจารณ์กันวิพากษ์กันในที่ประชุมของผู้มีสติปัญญา มันก็มีคนที่เห็นว่าพระเจ้าตายแล้วจริงๆ คือไม่จำเป็นนะ คำว่าพระเจ้าหรือสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้านี่มันมองผิด ที่แท้ธรรมะนั่นแหละคือพระเจ้า พระเจ้าตายไม่ได้ และพระเจ้ายังจำเป็นอยู่เสมอเลยแหละ ถ้าพระเจ้าไม่จำเป็นหรือตายไปแล้วก็หมายความว่ามันไม่มีธรรมะแล้วในโลก แล้วก็จะไม่มีธรรมศาสตร์คืออาวุธที่คมที่สุดอันได้แก่ธรรมะ สำหรับจะตัดปัญหายุ่งยากทั้งหลายทั้งปวง เดี๋ยวนี้ธรรมศาสตร์จะเหลือแต่ชื่อแล้วใช่ไหม เอามาเป็นชื่อของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระวังให้ดีมันจะเหลือแต่ชื่อ มันจะไม่มีธรรมะที่แท้จริงที่จะตัดปัญหายุ่งยากของมนุษย์ได้ ทั้งโดยส่วนบุคคลและส่วนของสังคม ถ้ายังมีอยู่จริงธรรมะยังมีอยู่จริงไม่ได้ตาย พระเจ้าก็ไม่ได้ตาย ก็ยังมีสิ่งที่มีอำนาจตัดปัญหาสังคมได้ แล้วมนุษย์จะอยู่กันผาสุกไม่มีไอ้เรื่องน่าเกลียดน่าชังน่ากลัวเหมือนกับพาดหัวเต็มไปในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่วางขายอยู่ นี้ขอให้เข้าใจคำว่า ปัญหาของมนุษย์ ๆมีปัญหา และมนุษย์ต้องการเครื่องมือที่จะตัด เครื่องมือนั้นเราเรียกว่า ของมีคม คือ ศาสตร์ นี่ผมได้พูดทีแรกแล้วว่าวันนี้ไม่พูดอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน คือพูดแต่เรื่องคำพูดที่เป็นคำสำคัญๆ ที่เกิดความกำกวมกันขึ้น สิ่งที่เรียกว่า ธรรม เปลี่ยนความหมายกลายเป็นวัตถุจนกลายเป็นอำนาจเป็นธรรมอะไรเป็นธรรม ถ้ามีสิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์กันจริงๆ ก็เป็นเครื่องบอกว่ามนุษย์นี้ปลอดภัย ไอ้โลกนี้จะปลอดภัย มนุษยชาติจะปลอดภัย ถ้าเรามีธรรมศาสตร์นี้อยู่จริง ของมีคมคือธรรมะที่จะตัดปัญหาทุกชนิดได้ นี่ถ้าคุณจะเรียนแต่เพียงแต่เรียนๆๆ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เหมือนๆ กับที่เรียนในมหาวิทยาลัยอื่นๆ มันก็ตัดปัญหาเล็กๆ น้อยๆได้ ไม่ได้ตัดปัญหาส่วนใหญ่ส่วนลึกของมนุษย์ทั้งหมดได้ เมื่อเราเรียนรู้วิชาอะไรโดยเฉพาะ มันก็ตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในเมื่อเราไม่มีวิชาอันนั้น เช่น วิชากฎหมาย มันก็ตัดปัญหาได้บ้างสำหรับมนุษย์ที่จะอยู่กันอย่างไม่รักใคร่กัน ถ้ามนุษย์มันเกิดรักใคร่เป็นคนเดียวกัน กฎหมายก็เป็นหมัน ไม่มีใครต้องเอาเปรียบใคร ทีนี้ก็สำหรับแก้ปัญหาส่วนน้อยเพราะขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน นี่มันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าไม่ใช่แน่นอนถูกต้องหรือยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์ ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานขึ้นอยู่กับมันสมองของผู้พิพากษา ยังเป็นเด็กก็มี ผู้ใหญ่ก็มี มีศาลชั้นต้นชั้นกลางอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์นั้นยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันต้องมีรากฐานที่ดีที่ถูกต้อง คือจิตใจของมนุษย์ทุกคนนะ มันบูชาความถูกต้องรักความถูกต้อง ความจริงคือสิ่งที่เรียกว่าธรรม ก็ชวนกันศึกษาสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรมกันให้มากๆ อันนี้จะกลายมาเป็นธรรมศาสตร์สำหรับตัดปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ เพียงแต่เรียนบัญชีที่ธรรมศาสตร์มันก็เป็นธรรมศาสตร์ที่ตัดปัญหาได้กี่มากน้อย ก็เป็นเรื่องที่ว่าทำบัญชีไม่เป็นก็ทำเป็นเท่านั้น แต่ถ้าเป็นธรรมศาสตร์แท้จริงมันต้องแก้ปัญหาทั้งหมดของมนุษย์เรา ซึ่งมีรากฐานรวมอยู่ที่สิ่งๆ เดียวคือความเห็นแก่ตัว ซึ่งมันค่อยมีมากขึ้นๆ ตามความเจริญของมนุษย์ ทบทวนดูอีกสักนิดเดียวก็พอ เมื่อมนุษย์ยังคล้ายสัตว์ ความเห็นแก่ตัวก็มีน้อยมากเหมือนกับสัตว์ พอสูงขึ้นมารู้จักกอบโกย เอามาใส่ยุ้งใส่ฉาง ต่อมารู้จักผลิตนั่นผลิตนี่ มีเครื่องทุ่นแรงผลิตมากก็รวยมากก็กอบโกยมาก พวกหนึ่งก็ยังจนอยู่ ปัญหาก็เกิดขึ้นรบราฆ่าฟันกัน มันตั้งต้นมาจากความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ จนกระทั่งบัดนี้ถ้าคนเราหมดความเห็นแก่ตัวโลกนี้ก็เป็นสันติภาพ มีสันติภาพเป็นโลกพระศรีอาริย์ ในได้ในพริบตาเดียวก็ได้ ขอให้หมดความเห็นแก่ตัวพร้อมกันทุกคนในพริบตาเดียว โลกนี้มันก็เป็นโลกพระศรีอาริย์ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรักผู้อื่น มุ่งจะกอบโกยเอามาเป็นของตัวไม่มีพอ ได้เท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ ฉะนั้นเรามามองกันข้อนี้แหละคือทำลายความเห็นแก่ตัวเสียให้ได้ ความรู้ข้อนั้นแหละคือธรรมศาสตร์อันแท้จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ จะทำให้ไม่ต้องมีกฎหมาย ไม่ต้องมีคุกตาราง ไม่ต้องมีอะไรที่ไม่น่าปรารถนา และไม่ต้องมีอะไรที่น่าเกลียดน่าชัง ที่เรียกว่าอันธพาลเต็มไปทั้งเมืองหลวง ตามถนนหนทางมันก็ไม่มี ที่ไหนๆ มันก็ไม่มี ถ้าสิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์มี แล้วมันครองโลก ถ้าสิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์มีอยู่ในโลกและครองโลกๆ ก็เป็นโลกพระศรีอาริย์ที่แท้จริง ไม่ใช่โลกพระศรีอาริย์อย่างที่พวกคอมมูนิสต์เขาเอามาโฆษณาชวนเชื่อ ถ้าโลกพระศรีอาริย์แท้จริงของพวกธรรมศาสตร์ ก็ต้องจริงอย่างว่า ไม่มีใครเห็นแก่ตัวไม่มีนายทุนไม่มีกรรมกร ไม่มีการยื้อแย่ง ไม่มีผู้ที่กอบโกยส่วนเกิน นี่เด็กๆ ของเราก็จะเจียดเงินที่พ่อแม่ให้ ๕๐สตางค์นั่นนะ เอาไปให้เพื่อนสัก ๑๐ สตางค์ก็ทำได้ ถ้าธรรมศาสตร์มันครอบงำจิตใจของเด็กคนนั้น ถ้าได้เงินมา ๕๐ สตางค์ต่อวัน มากินอาหารกลางวัน เขาอาจจะเจียดให้มันเป็นส่วนเกินเสียสัก ๑๐ สตางค์ ส่วนพอดีของเขา ๔๐ สตางค์ ไอ้ ๑๐ สตางค์นั้นเอาไปให้เพื่อน ทีนี้เด็กคนไหนมันทำละ อย่างน้อยก็เป็นเด็กพิเศษที่เป็นหนี้บุญคุณกับเพื่อนมันรักเพื่อนเป็นพิเศษ มันไม่มีการทำเรียกว่าเป็นระดับทั่วไป ยังต้องการอีกๆ ๕๐ สตางค์ไม่พอ ต้องการบาท ๒ บาท ๓ บาทก็ยังไม่พอ ได้สองสามบาทแล้วก็ไม่อาจจะเจียดให้เพื่อนสักบาทหนึ่ง นี่ไม่มีส่วนเกินที่จะเจียดให้เพื่อนได้ นี่เรียกว่าเรามันเห็นแก่ตัว ถ้าก้มหน้าก้มตาอย่างหลับหูหลับตาเพื่อเห็นแก่ตัวรุกออกไปๆๆ ไม่มีส่วนที่ว่าเกินแล้ว สำหรับเรานี้เกินแล้วเอาให้เพื่อนบ้างเถอะไอ้นี่มันไม่มี ถ้าเป็นอย่างโบราณ มันมี คนโบราณเขามีส่วนที่เจียด ๆ ให้ผู้อื่น เจียดให้ส่วนรวม เช่นว่าเขาสละเวลามาทำงานที่วัดให้วัดอย่างโบราณนะ หรือว่าเจียดทรัพย์สมบัติให้วัด หรือว่าให้แก่ประชาชนสงเคราะห์ ผมได้เห็นกับตาได้ยินกับหูเอง นี่คนแก่ๆ สมัยที่ผมเป็นเด็ก เขาปลูกถั่วปลูกพืชผลอะไรหย่อนเมล็ดลงไปในดิน เขาดำลงไปเม็ดหนึ่งเขาก็ว่าคาถาคำหนึ่ง เขาจะเรียกว่าคาถาอะไรสักอย่างว่า เขาว่า นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน แล้วก็หยิบมาเม็ดหนึ่ง จิ้มลงไปในหลุมนี้ นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน จิ้มลงไปในหลุมนั้น นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน ฉะนั้นเมื่อเขาปลูกแล้วมันได้พืชผลขึ้นมาแล้วเป็นแตงโมเป็นสับปะรดอะไรสุดแท้ เขาไม่เคยโกรธขโมยหรือไม่เคยโกรธไอ้สัตว์ที่มาเจาะมากิน จิตใจของเขาจะเป็นอย่างไร ไม่ต้องไปซื้อปืนมาก็เมื่อทุกคนมันทำอย่างนี้กันหมดแล้วบ้านเมืองมันจะเป็นอย่างไร บ้านไหนๆ ก็นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน กันไปทั้งหมดทุกไร่ทุกนา มันก็รักใคร่กลมกลืนกันเป็นพี่น้องกันโดยทางธรรมประตูไม่ต้องใส่กุญแจประตูบ้านประตูเรือนไม่ต้องใส่กุญแจงับๆ ไว้ก็ไปได้ ไปนาไปอะไรได้ บอกเพื่อนฝูงข้างบ้านว่าช่วยดูบ้านด้วยเถอะไม่มีกุญแจ นั่นนะความที่ว่ามันมีธรรมศาสตร์ตัดปัญหา ความเห็นแก่ตัวความคดโกงความขโมยอะไรได้มากขนาดนั้น นี่คุณดู ไอ้คำว่าธรรมศาสตร์ นั้น มันมีคมเฉียบถึงขนาดนี้ ตัดสิ่งที่ไม่เป็นธรรมได้ ทำให้เราจับยึดถือคำว่า ธรรมศาสตร์เป็นหลักกัน เพราะว่าเดี๋ยวนี้คุณมีพวกธรรมศาสตร์ที่มาใหม่นี้ ผมเลยถือโอกาสพูดไอ้คำที่คุณจะลืมมันไม่ได้ จะจำมันได้แม่นยำ สรุปว่า มนุษย์นี้มันมีปัญหามาแต่อ้อนแต่ออกกัน หรือว่าถ้าพูดอย่างมนุษยชาติแล้วว่า มนุษย์มีปัญหาตั้งแต่มนุษย์เริ่มเป็นมนุษย์ ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว และต้องการเครื่องตัดปัญหา นั้นคือของมีคมที่เรียกว่าศาสตร์และต้องมาจากธรรมะ ต้องอยู่ในรูปของธรรมะ แล้วก็เรียกว่า ศาสตร์ เรียกว่าธรรมศาสตร์ มนุษย์จะต้อง มนุษย์ต้องการธรรมศาสตร์เป็นเครื่องตัดปัญหาของมนุษย์ เดี๋ยวนี้ยังไม่มี ยังไม่ค่อยรู้จัก แล้วต้องอุตส่าห์มาศึกษาเล่าเรียน ถ้าจะมาหาประโยชน์อะไรจากที่นี่บ้าง ก็ผมคิดว่าไม่มีอะไรดีกว่าที่มาศึกษาอบรมพูดจากันแต่เรื่องที่มันจะเป็นธรรมศาสตร์ในความหมายอย่างนี้ได้โดยแท้จริง แล้วเราจะพูดกันต่อๆ ไปในวันหลัง เพื่อให้มันได้สิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์กลับมาใช้เป็นประโยชน์ได้จริงสมตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระศาสดาของพวกเราที่เราบวชคราวนี้ ทุกคนนี่ที่นั่งกันอยู่นี่ ก็บวชเพื่ออุทิศพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านมีของให้เราก็คือ ธรรมศาสตร์ แต่บางทีท่านก็เรียกว่า ปัญญาวุธ อาวุธคือปัญญา พวกเธอจงรบมารด้วยอาวุธคือ ปัญญา คำว่า มาร นี้ อย่าเข้าใจว่าเป็นยักษ์เป็นมารเป็นตัวเป็นตนเป็นคนจะเป็นคนโง่ที่สุดในโลก พอพูดว่า มาร ก็ได้ยินอย่างคำนี้แล้วก็คิดว่ามันมีหน้าตาเป็นยักษ์มีเขี้ยวยาวมีอะไรอย่างในนิยาย คำว่า มาร มันไม่ใช่อย่างนั้น เป็นความรู้สึกในจิตใจของมนุษย์ที่จะทำลายมนุษย์นั้นเขาเรียกว่ามาร จงรบมาร จนชนะมาร จงทำลายมารเสียให้หมดด้วยอาวุธคือปัญญา ปัญญาวุธก็คือสิ่งที่เรียกว่าธรรมศาสตร์ ไม่มีความแตกต่างอะไรกัน เอาละเป็นว่าอันเราจะยึดถือเอาคำนี้เป็นหลักสำหรับศึกษา สำหรับทำความเข้าใจในการบรรยายครั้งต่อๆ ไป ครั้งนี้ก็พอสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติการบรรยายครั้งแรกนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้