แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งแรกของการบรรยายในวันนี้ อยากจะพูดโดยหัวข้อตามพระพุทธภาษิตที่ว่า จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ. การบังคับฝึกฝนจิตนั่นแหละดี ทั้งนี้เพราะเหตุว่าได้เป็นที่เข้าใจกันแล้วว่าการบรรยายคราวนี้มีเวลาน้อย และส่วนใหญ่ก็ต้องการจะเป็นเรื่องฝึกฝนจิต อบรมจิต ตลอดถึงการทำสมาธิอย่างง่ายๆ การที่จะลงมือทำสมาธิทันทีนั้นทำไม่ได้ ควรจะได้ทราบเรื่องที่เกี่ยวข้องกันเป็นเบื้องต้นเสียก่อน ดังนั้น จึงเห็นว่าจะเป็นการเหมาะสมที่จะพูดถึงเรื่องเบื้องต้นที่เกี่ยวกับการฝึกฝนจิต
พระพุทธภาษิตนี้ก็มีใจความชัดว่า ไอ้การฝึกฝนอบรมจิตนั่นแหละดี ก็ฟังดูเอาก็แล้วกัน ซึ่งเป็นการบอกอยู่ในตัวแล้วว่า เพียงแต่เรียนๆ รู้ๆ พูดๆ กันนั้นมันไม่สำเร็จประโยชน์นัก มันเป็นเรื่องอื่น คนละเรื่องต่าง ต่างกันจากเรื่องบังคับจิต การเรียนนั้นถ้าพูดถึงสมัยนี้ก็เรียกว่ามากหรือเฟ้อ คือ เกินมาก แล้วก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้ดีขึ้น ดังนั้น พวกที่จะเป็นครูก็ต้องนึกถึงข้อนี้ด้วย เพราะพวกครูนี้ไม่ใช่พวกที่จะเพียงแต่ว่าให้คน สอนให้คนรู้หนังสือ มันต้องรวมอยู่ในความหมายที่ว่าช่วยกันทำให้โลกนี้มีสันติภาพด้วยเหมือนกัน มันเตรียมคนสำหรับจะเป็นคน(ของ)โลกซึ่งจะช่วยทำให้โลกนี้มีสันติภาพ มันต้องชะเง้อมองไปยังจุดหมายปลายทาง คือสันติภาพของโลกด้วยกันทั้งนั้น
อาตมาเคยให้ความหมายหรือคำจำกัดความสำหรับคำว่า ครู นี้ ว่า(คือ)ผู้ที่จะยกฐานะทางวิญญาณของมนุษย์ให้มันสูงขึ้น คำอธิบายเรื่องนี้ไปหาได้จากหนังสือต่างๆซึ่งมีมากมาย แต่อยากจะเน้นถึงใจความนี้อยู่บ่อยๆ ว่าครูนั้นไม่ใช่เพียงแต่ให้รู้หนังสือ มันเป็นเรื่องยกสถานะทางวิญญาณให้สูงขึ้น นั่นเป็นใจความสำคัญ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าครูนี้ก็เปลี่ยน ยืมมาใช้เพียงแต่ให้รู้หนังสือเสียเป็นส่วนมาก ไม่เหมือนสมัยโบราณ ทั้งในประเทศที่มีคำว่าครูนี้ใช้อยู่ก่อน
คำว่าครูในอินเดียในสมัยโบราณโน้นไม่จำเป็นจะต้องสอนหนังสือก็ได้ (แต่)จะมีวิธีทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นการทำให้จิตใจสูงยิ่งขึ้นไป หรือว่ารู้หนังสือแล้วจิตใจมันยังไม่สูงก็เป็นหน้าที่จะไปหาครู ศึกษาอบรมอย่างนั้นอย่างนี้ให้มีจิตใจสูงขึ้นไป แล้วอีกทีหนึ่งก็เป็นผู้ให้ ที่จะให้คำปรึกษาแก่บุคคลผู้มีหน้าที่สำคัญๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่น พระเจ้าแผ่นดิน เขาก็มีผู้ช่วยอย่างอื่น เขาก็จะมีผู้ช่วยชนิดที่เรียกว่าผู้นำในทางวิญญาณ เป็นมัคคุเทศก์ หรือเป็นไกด์ คอยให้คำตอบเมื่อปัญหามันเกี่ยวกับทางจิตใจหรือทางวิญญาณเกิดขึ้น เป็นตำแหน่งสูงสุดแต่ว่าเป็นเรื่องทางฝ่ายจิตหรือฝ่ายวิญญาณ นี่คำว่าครูมากันอย่างนี้
ประชาชนชาวบ้านเดี๋ยวนี้ต้องการมีจิตใจสูง จึง(จะ)ไม่มีความทุกข์ เรื่องรู้หนังสือหรือไม่รู้หนังสือ มีศิลปะหรือไม่มีศิลปะในการหากินไม่ ไม่ได้สำคัญนัก มันมีปัญหาสำคัญเหลืออยู่ คือว่าแม้จะมีอย่างนั้นแล้วก็มีความทุกข์ในจิตใจ ทำจิตใจให้ถูกต้องไม่ได้ จึงไปหาบุคคลประเภทครูเพื่อเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ความหมายส่วนใหญ่ว่าอย่างนี้ ส่วนผู้สอนหนังสือ สอนศิลปะ ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกว่าอาชีพนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใช้คำอย่างอื่นก็มี ใช้คำว่าอาจารย์ ใช้คำอุปัชฌาย์ก็มี ผู้สอนวิชาชีพ (ก็มี)
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ถูกไว้ ถูกเรียกว่าครู ว่าบรมครู ซึ่งไม่เคยสอนหนังสือ แต่ว่าสอนเรื่องทางจิตใจให้บุคคลแก้ปัญหาในทางจิตใจ(ได้)ถูกต้อง จะได้ไม่มีความทุกข์
คำว่าครูนี้ ธรรมดาก็คือคำว่าครุ ครุ ครุศาสตร์ แต่มีคำที่คู่กันอีกคำหนึ่งซึ่งมาแปลเป็นภาษาไทยก็มักจะแปลกัน เอาแปลว่าครู คือคำว่า สัตถา ในภาษาบาลี มาเป็น ศาสดา ในภาษาไทยซึ่งยืมมาจากสันสกฤต
ศาสดา สัตถาในรูปของภาษาบาลีก็คือผู้มีอาวุธที่จะตัดปัญหาทางจิตทางใจ พระพุทธเจ้าถูกเขาเรียกว่า สัตถา ผู้มีอาวุธตัดปัญหาเกี่ยวกับทางใจ ไม่ใช่ผู้สอน ทีนี้พอเราได้ยินคำว่าศาสดาก็มักจะไปเข้าใจเอาเองว่าสอนหนังสือ คือสอนวิชาโดยวิธีสอนด้วยปาก คำว่าพระศาสดา ผู้สั่งสอนนี้ก็เป็นผู้แนะ ทำให้ทำการประพฤติปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเอาชนะกิเลสได้ เรื่องทางจิตทางวิญญาณมันไม่ใช่วัตถุก็ไม่ต้องผ่านทางการสอน ในการสอนนี้ ก็ผ่านไปทางการพูดจา ทั้งการทำตัวอย่างให้ดู เป็นอันสรุปความว่า ครูคือผู้ที่จะยกสถานะทางวิญญาณให้สูงขึ้น
เมื่อมีคำว่าวิญญาณหรือจิตเข้ามา มันก็ต้องจัดการที่วิญญาณหรือจิต เพราะฉะนั้นเรื่องมันจึงต้องพูดถึงการฝึกฝนจิตหรืออบรมจิต มันถึงจะตรงกับคำว่าเรื่องของครู ของศาสดา แล้วผลสุดท้ายก็เพื่อสันติสุขหรือสันติภาพ ส่วนบุคคลก็มักจะเรียกกันสันติ หรือ สันติสุข ส่วนรวมกันทั้งโลกเราชอบเรียกกันว่าสันติภาพ เหล่านี้เป็นคำใหม่ๆ ซึ่งพูดกันจนเป็นธรรมเนียมไป เพราะฉะนั้นครูต้องเตรียมวิญญาณของเด็กให้ดีสำหรับเป็นพลเมืองผู้ใหญ่ที่ดี สำหรับช่วยกันทำประเทศชาติให้มีสันติสุข สันติภาพ แล้วจะได้ร่วมกันทั้งโลก เขามีสันติสุข หรือสันติภาพ แต่ว่าอย่างน้อยที่สุด คนหนึ่งๆ ต้องเอาชนะเรื่องนี้ได้ คือมีสันติสุขหรือสันติภาพแม้คนๆเดียว ดังนี้ มันก็เลยจัดเป็นปูชนียบุคคลเพราะทำหน้าที่สูงสุดให้ประโยชน์สูงสุด (11.31)
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาของเราที่ว่า(ครู)ทำหน้าที่ ไม่ใช่ว่าสอนหนังสือ หรือสอนวิชาชีพ ก็ยังต้องนึกถึงความหมายเดิมอยู่นั่นแหละ เราสอนเด็กๆให้รู้แต่หนังสือแล้ว มันจะล้มละลาย
เดี๋ยวนี้เพราะเหตุที่ว่าเรียนกันแต่หนังสือสอนกันให้รู้หนังสือ ไม่มีการบังคับจิต ผู้ที่รู้หนังสือรู้อะไรมากเหล่านั้นบังคับจิตไม่ได้ ก็เลยตีกันในโรงเรียน ในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าละอายที่สุดและไม่เคยมีมาก่อน มหาวิทยาลัยในประเทศเราเขาไม่เคยตีกันมาก่อน เพิ่งมาตีกันเมื่อเร็วๆนี้ คือเมื่อเรียนหนังสืออย่างเดียวหนักขึ้นๆ เรียนวิชาทั่วไปมากขึ้น หรือเรียนเทคโนโลยีเกี่ยวกับอาชีพอย่างเดียวมากขึ้น เรื่องบังคับจิตใจ เรื่องศาสนาเป็นต้นไม่ได้สอน ฉะนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่ให้คนที่ไม่รู้การบังคับจิตนี้จะไม่ตีกัน
นี่ก็เพราะว่าเราไปเปลี่ยนมัน เปลี่ยนวิถีทางของการศึกษา หรือเปลี่ยนระบบของการศึกษาโดยไม่รู้สึกตัว แล้วมันก็เลยเปลี่ยนมาก เปลี่ยนหนักขึ้น คือหนักลงไปถึงวัฒนธรรมประจำชาติ ในบ้านเรือนในครอบครัวมันก็เปลี่ยน แล้วพอรุ่นนี้โตขึ้นเป็นพ่อบ้านแม่บ้านมันก็ต้องต่างกันมากจากยุคที่พ่อบ้านแม่บ้านเขาอยู่ในระบบของวัฒนธรรมดั้งเดิม (ซึ่ง)มันคือระบบวัฒนธรรมไทยที่มีรากฐานอยู่บนศาสนาโดยตรง โดยไม่รู้สึกตัว จึงต้องสังเกตดูกันให้ละเอียดสักหน่อยว่า ทำไมเด็กรุ่นนี้จึงว่ายากสอนยาก จับตัวยากเหมือนกับปลาไหล แล้วพอเรียนมากเข้าๆก็ชอบการกระทบกระแทกหรือว่าตีกัน แล้วพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง นี่เพราะมันสูญเสียไอ้วัฒนธรรมประจำชาติไทยซึ่งเนื่องอยู่ด้วยศาสนา
เมื่อสมัยโบราณ เรามองมันไกลนัก มันก็มองยาก แต่มองกันในสมัยใกล้ๆนี้ก็ครึ่งศตวรรษตรงนี้ ประมาณห้าหกสิบปีมานี้จะพบว่า ในบ้านเรือนมันมีวัฒนธรรมประจำชาติไทยซึ่งมีรากฐานอยู่บนพุทธศาสนาโดยเฉพาะ ซึ่งเขาทำไว้ดีมาหลายชั่วคนแล้ว หลายร้อยปีแล้ว มีความละมุนละไม มีความอดกลั้นอดทน เห็นการเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งเลวร้าย กลัวบาปอย่างยิ่งโดยไม่ต้องมีเหตุผล จะยอมให้เรียกว่ากลัวบาปอย่างงมงายก็แล้วกัน แล้วก็เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ คนเฒ่าคนแก่
นี่ขออภัยที่ว่านักศึกษาบางคนยังอายุน้อยไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ พูดไม่ได้ดูถูกนะ บอกความจริงให้รู้ว่าถ้าอายุน้อยเพียงเท่านี้เริ่มจะไม่เห็นแล้ว ต้องอายุห้าหกสิบปีจึงจะเริ่มเห็นไอ้วัฒนธรรมนั้น วัฒนธรรมเชื่อฟังเคารพคนเฒ่าคนแก่ ใช้คำอย่างนั้นมากกว่า รวมทั้งบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ตลอดถึงคนแก่ทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรา แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนแก่เราต้องแสดงความเคารพ
เมื่อการศึกษายังอยู่ในวัดไม่ถูกแยกออกมาจากวัด ไอ้เรื่องอย่างนี้เป็นมาก เป็นรุนแรงมาก เมื่ออาตมาเองยังเป็นเด็กก็เรียนเป็นอย่างเด็กวัด ต้องไหว้คนเฒ่าคนแก่ที่เดินผ่านมาในวัด กำลังทำงานตอนเย็นๆในวัด ขุดร่องสวนครัว ปลูกผักสวนครัวเพื่อจะได้กินกันในวัดนั้น ทั้งภิกษุ สามเณร และเด็กๆ เองด้วย ตอนเย็นต้องทำทุกวัน ถ้ามีคนแก่เดินผ่านมาในวัด กลางวัดนั้น ก็ต้องทิ้งจอบวิ่งไปไหว้คนแก่นั้นเสียทีหนึ่งก่อนแล้วจึงมาทำต่อ บางทีก็กระอักกระอ่วนเพราะว่าคนแก่คนนั้นเป็นคนบ้า คือใครๆ ก็สมมติว่าเป็นคนบ้าอยู่ที่นอกนา แต่ก็เป็นคนแก่ก็ต้องไหว้เหมือนกัน ไม่ใช่บ้าอาละวาดนะแต่ว่าเป็นคนที่เป็นคนไม่ปกติ เพราะถ้าไม่ไหว้ไม่ไหว้คนแก่ก็ถูกตี
(ที)นี้ขอให้นึกดู เปรียบเทียบกันดูว่าไอ้คนที่ไหว้คนแก่หรือบิดามารดา ครูบาอาจารย์ อยู่เป็นนิสัยจะมีจิตใจอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ไม่ยอมไหว้ ที่แม้แต่บิดามารดาก็ไม่ยอมไหว้ ครูบาอาจารย์ก็ไม่ยอมไหว้ ไม่ยอมไหว้ครูบาอาจารย์ บางทีชวนกันนินทาครูบาอาจารย์ นี่พอมาถึงอย่างนี้แล้วมันก็ต้อง ก็ลองเปรียบเทียบกันดูนะว่ามันต่างกันอย่างไร วัฒนธรรมโบราณมันเป็นอย่างนั้น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความเมตตา ความกรุณา ความอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเคารพคนที่แก่กว่า แน่นแฟ้นมาก อบรมโดยไม่มีการสอนในชั้นเรียน แต่อบรมอย่างนี้หมายความว่าอบรมตลอดเวลา อย่างกับว่าทำสวนครัวอยู่ คนแก่ผ่านมากลางวัดก็ต้องทิ้งจอบมาไหว้ นี่คือชั้นเรียนของเราที่จะให้มีวัฒนธรรมอย่างไทย อย่างชาวพุทธ วัฒนธรรมไทยที่มีพุทธศาสนาเป็นรากฐาน
ฉะนั้นเด็กๆกลัวครูยิ่งกว่ากลัวพ่อแม่ จะเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ยิ่งกว่าพ่อแม่ ให้แฟชั่น ใช้เรียกครูว่าไอ้ ว่าอี ลับหลังไม่มี ไม่ค่อยได้ยินเลย เพิ่งได้ยินในตอนหลังๆนี้ มันไม่มี นั่นแหละจึงเป็นคำตอบว่าทำไมเด็กสมัยนั้นจึงไม่ดื้อดึง ไม่อันธพาลในโรงเรียน ไม่ตีกันในโรงเรียน ไม่ทำให้พ่อแม่น้ำตาไหลบ่อยๆเหมือนเด็กสมัยนี้ ไม่มีอะไรที่จะมาให้เห็นชัดเป็นสิ่งของ เป็นวัตถุ เพราะมันอยู่ในรูปของจิตใจ อยู่ในรูปของวัฒนธรรมทางจิตใจ ทีนี้ก็อยากจะให้สังเกตดูว่า นั่นแหละคือการบังคับจิตอย่างยิ่ง เมื่อพวกเด็กๆสมัยนี้ไม่ถูกบังคับให้ไหว้คนแก่ เพราะจิตของเขาไม่เคยถูกบังคับ แต่ว่าจิตของพวกเรารุ่นนั้นถูกบังคับ ถูกฝึกฝนให้ไหว้คนแก่ ให้อดกลั้นอดทน ให้ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อส่วนรวม เด็กวัดจะต้องทำงานหลายชั่วโมงในวันหนึ่ง ตอนเย็นๆ เรียนหนังสือก็ไม่มากมายอะไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องเร่งรีบอะไร คือว่าปล่อยไปตาม ตามสบาย ก็ไม่ได้ต้องการจะไปสอบเอาปริญญาอะไรกันที่ไหน เอาพอรู้หนังสือ แต่มีการอบรมไอ้ความเชื่อฟังนี้มากที่สุด
เรื่องการประหยัดนั้นมันก็อบรมอยู่ในตัวนั่นแหละ เพราะมันไม่มี ไม่มีจะสุรุ่ยสุร่าย มันก็อบรมเป็นการประหยัดอยู่ในตัว แล้วความเคารพนี้สูงสุดเพราะกลัว มาจากความกลัวก่อนแล้วเกิดเป็นนิสัยแห่งความเคารพครูบาอาจารย์ ฝังอยู่ในกระหม่อมของลูกศิษย์ ฉะนั้นจึงเคารพครูบาอาจารย์จนกระทั่งตาย บางทีก็เคารพกระทั่งลูกของครูบาอาจารย์ ยังมีคนเคยมาถามหาคนนั้นอยู่ไหม เขาเคยเป็นลูกของครูของผม มาเยี่ยมเขาหน่อย พอมาถึงชั้นนี้แม้แต่จะเคารพตัวครูบาอาจารย์เองก็ยาก ก็น้อยมาก ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเคารพไปถึงลูกของครู ของอาจารย์ นี่วัฒนธรรมมันเปลี่ยนในจิตใจโดยไม่รู้สึก
ฉะนั้นวัยรุ่นสมัยนี้จึงพร้อมเสมอที่จะทำอะไรที่ตรงกันข้ามกับวัยรุ่นสมัยโน้น วัยรุ่นสมัยนี้ก็ฉลาดปราดเปรียว วัยรุ่นสมัยโน้นมันก็โง่ งุ่มง่าม โดยเฉพาะเพศหญิงจะยิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก เมื่อเทียบส่วนมากนะ ขออภัยที่ว่าเทียบส่วนมาก สมัยโน้นเป็นลิงเป็นค่างกันแต่เด็กชาย สมัยนี้เป็นลิงเป็นค่างกันทั้งเด็กหญิงเด็กชาย ต้องพูดอย่างนี้และพูดโดยส่วนมาก เพราะว่าไปรับเอาไอ้วัฒนธรรมของฝรั่งมา เราลืมวัฒนธรรมไทยโดยไม่รู้สึกตัว เปลี่ยนไปๆ นี่พูดกันเสียแต่เนิ่นๆกลัวจะเปลี่ยนมากกว่านี้
ทีนี้ก็พูดถึงวัฒนธรรมฝรั่งมันก็ต้องพูดได้เลยว่า ไม่เป็น อ่า,เป็นวัฒนธรรมที่ยิ่งไม่บังคับจิต วัฒนธรรมฝรั่งโดยเฉพาะสมัยนี้ ยิ่งไม่นิยมการบังคับจิต ขอจำกัดความคำว่าฝรั่งสักหน่อย เดี๋ยวฝรั่งเขาจะโกรธเอา คือไม่ได้หมายความถึงฝรั่งทุกคน แต่คำว่าฝรั่งนี้หมายถึงไอ้วัตถุนิยมสมัยใหม่ คือผู้ที่หลงใหลแต่เรื่องทางวัตถุทางเนื้อหนัง เจริญก้าวหน้าวิ่งไปเลยทางวัตถุทางเนื้อหนังนั้น เราเรียกว่าฝรั่ง ส่วนตะวันออกจีนไทยซึ่งไม่ใช่ฝรั่งนี่มันไม่วิ่ง ไม่ก้าวหน้าในทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง เราจึงไปตามก้นเขา เพราะเห็นว่าคงจะดี การเจริญทางวัตถุทำให้มีความร่ำรวย มีการเป็นอยู่ที่คล้ายๆเทวดา มีการตามใจตัวเองในเรื่องเพศเรื่องอะไรต่างๆจนไม่มีอะไรเหลือ จนต้องถอนศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารออกไปอะไรต่างๆนั้น คือพวกวัตถุนิยม แล้วฝรั่งเขาทำได้มากทำได้ดีกว่า เลวกว่า เราเผลอไปเห็นดีเห็นงาม ค่อยๆตามไป จึงละทิ้งวัฒนธรรมไทย ความเป็นอย่างคนไทยก็เลยหมดไปๆ การแต่งเนื้อแต่งตัว การกินการอยู่ การคบหาสมาคม ก็เปลี่ยนไปๆ มันก็เป็นเรื่องที่ไม่บังคับจิตใจเหมือนกับฝรั่งมากขึ้น คนไทยเราหรือชาวตะวันออกทั้งหลายก็เปลี่ยนไปสู่คนที่ไม่มีการบังคับจิตใจมากขึ้น อย่างนั้นก็เรียกว่าวัตถุนิยมจัดเกินไป ก่อนนี้เอาเรื่องจิตใจเป็นสำคัญอยู่ส่วนหนึ่งหรือครึ่งหนึ่งเป็นอย่างน้อย ก็เลยไม่มีการบังคับจิตใจ อยากทำอะไรก็ทำ
ในวันนี้อยากจะพูดเรื่องการบังคับจิตใจนั่นแหละดี ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ การศึกษาโดยเฉพาะก็เป็นสิ่งที่ต้องหยิบขึ้นมาพิจารณา ไม่ใช่เพียงแต่ว่าพวกท่านทั้งหลาย(ที่จะ)เป็นครูใน เร็วๆนี้ แต่มันเป็นเพราะเหตุว่าไอ้การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์เรา ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรมันขึ้นอยู่ที่กับการศึกษาที่เราจัดมันอย่างไร เราจัดการศึกษาอย่างไรโลกนี้จะเป็นอย่างนั้น จะเป็นทางวัต จัดการศึกษาทางวัตถุหรือว่าทางวัตถุ ทางจิตใจลึกซึ้งก็เป็นไปทางจิตใจลึกซึ้ง ให้รู้แต่หนังสือมันก็รู้แต่หนังสือ ให้รู้แต่ทำมาหากินหรือเทคโนโลยีมันก็เป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่งไป ไม่มีจิตใจที่ประกอบด้วยธรรมะ
เมื่อก่อนนี้แม้พวกฝรั่งเขาก็หนักแน่นในศาสนาอยู่มากเหมือนกัน ต้องไปค้นดูไอ้หนังสือเก่าๆ รูปภาพเก่าๆ สมัยเมื่อผู้หญิงฝรั่งยังนุ่งผ้ายาวถึงตาตุ่ม สมัยนั้นศาสนายังมีอยู่ในพวกฝรั่งมาก พอกระโปรงเขาหดขึ้นมาๆ จนไม่มิดแล้วมันก็ ศาสนาก็หดไปๆ เป็นเครื่องวัดกันได้ดี เพราะเราก็เคยอ่านหนังสือเรื่องเก่าๆ เขาเคยเคร่งครัดในทางศาสนากันยุคสมัยหนึ่งเหมือนกัน นี่ก็เป็นผู้นำหน้าในการที่เห็นว่าศาสนาไม่จำเป็น พระเจ้าตายแล้ว ก็เลยเปลี่ยน เปลี่ยนไปโดยไม่รู้สึก เป็นการตามใจตัวเองไปหมด
เพราะการศึกษาของฝรั่งนั่นแหละ นำหน้าในการที่ว่าดึงการศึกษามาจากวัด จากพวกพระ จากเจ้าหน้าที่ทางศาสนามาเป็นการศึกษาอิสระ ก็พวกฝรั่งเหมือนกันนำหน้าก่อน แล้วเราก็ไปตามอย่างฝรั่งมาตามลำดับๆ ไม่ได้เอาอะไรแทนเข้าไว้ในเรื่องทางจิตใจในการศึกษา ก็เลยเป็นเรื่องวัตถุ ทำให้คนหลงใหลในวัตถุ ก็ได้เปรียบข้างกิเลส ถ้าพูดอย่างฝรั่งก็เรียกว่าได้เปรียบข้างซาตาน เพราะเขาถือศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นปฏิปักษ์กับซาตาน
ส่วนเราพุทธศาสนานี้ถือศาสนาที่มีปัญญา หรือโพธิ คือ พุทธะนี่ที่เป็นปฏิปักษ์กับกิเลส กิเลสนั้นได้แก่ซาตานฝ่ายโน้น เมื่อเราเกิดเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมการเป็นอยู่ นิสัยใจคอไปนิยมวัตถุ มันก็ได้เปรียบแก่กิเลส คนพร้อมจะทำอะไรตามกิเลส กระทั่งลูกเด็กๆลงมาก็พร้อมจะทำอะไรตามกิเลส เขาจึงไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ทีนี้มันยังมีอะไรแทรกแซงเข้ามามากกว่านั้นอีกก็คือว่า เมื่อเราเห่อวัตถุ นิยมวัตถุ โดยเฉพาะคือเงิน มีเงินเป็นพระเจ้ามาให้ มันต้องหามาก ถ้าเราชอบมากรักมากบูชามากก็ต้องหาเงินมาก
ถ้าเป็นอย่างสมัยก่อนเราไม่บูชาเงินมากอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องการเงินมาก เพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาเหลือ สำหรับพ่อไปหาคนเดียวก็พอ แม่ก็อยู่กล่อมเกลาลูกให้เป็นมนุษย์อยู่ที่บ้าน เดี๋ยวนี้เราบูชาเงินต้องการเงินมาก ไม่พอ พ่อก็ไปหาเงินแม่ก็ไปหาเงิน ก็เอาลูกไปจ้างเขาเลี้ยงหรือปล่อยให้มันโตของมันเอง มันก็กลายเป็นลูกลิงไม่ใช่ลูกมนุษย์ ก่อนนี้ถ้าแม่เอาใจใส่ประคบประหงมดูแลในทางจิตทางวิญญาณของเด็กๆอยู่เสมอ(30.08) ลูกมันก็โตขึ้นมาอย่างลูกมนุษย์ เคารพรักพ่อแม่ กตัญญู ไม่ ไม่ดื้อดึง แล้วยอมมอบชีวิตทั้งหมดให้แก่พ่อแม่ได้ เดี๋ยวนี้ไม่มี เดี๋ยวนี้เขาจะถือว่าเขาเป็นผู้มีบุญคุณแก่พ่อแม่ทั้งนั้น แล้วพ่อแม่ก็เห็นว่าลูกมันหาเงินได้มากกว่าก็ยอมมัน ก็เลยกลายเป็นลูกมีบุญคุณต่อพ่อแม่ไป อย่างนี้ก็มี แล้วมีเรื่องจริงด้วย ไม่ต้องเอามาเล่าระบุชื่อคนนั้นคนนี้
แต่ก็ยืนยันว่ามีเรื่องจริงที่เปลี่ยนแฟชั่นใหม่ให้ลูกมีบุญคุณต่อพ่อแม่ เพราะไปหาเงินได้มาทำให้ตระกูลมีชื่อเสียง นี่มันเปลี่ยน(ไป)อย่างนี้ แล้วมันจึงเกิดไอ้เรื่องที่ไม่เคยมี เช่น ลูกฆ่าบิดามารดา อย่างที่หนังสือพิมพ์ลงถี่ขึ้นๆก็มี แล้วแม้จะหาจะแก้ตัวว่าไอ้คนๆ นั้นมันบ้าๆบอๆอยู่ด้วย หรือขี้เมาอยู่ด้วย ก็ต้องถามว่าทำไมมันจึงขี้เมา ทำไมมันจึงบ้าๆบอๆ ที่มันคุ้มดีคุ้มร้ายเพราะว่า มัน มัน งกเงิน มันไม่ได้เงินอย่างใจ มันหงุดหงิดจนคุ้มดีคุ้มร้าย มันฆ่าพ่อฆ่าแม่มันได้ง่าย มันไม่ได้ก็อารมณ์ดี(31.41) มันก็เมา ขี้เมา มันก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่มันได้ง่าย เรื่องนี้คุณก็อ่านหนังสือพิมพ์เองได้ ที่นี่ก็มีเมื่อเร็วๆนี้ก็คนหนึ่งเหมือนกัน ฆ่าแม่เพราะหงุดหงิดเรื่องสิ่งเสพติดเช่นกัน
นั่นไม่ใช่ว่ามันจะเป็นขึ้นมาเองตามธรรมชาติ มันเป็นมาเพราะว่าไอ้โลกมันเปลี่ยนแปลง มันก้าวหน้าทางวัตถุ การศึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่จะควบคุมโลกนี้มันเดินไม่ทัน มันตามไม่ทัน มันควบคุมไม่ได้ แล้วเราก็ยิ่งดึงการศึกษามาจากวัดด้วย แล้วก็พูดกระซิบกัน ณ ตรงนี้นะว่าแม้แต่วัดมันก็เปลี่ยนนะ เดี๋ยวจะว่าประจาน ไอ้วัฒนธรรมสมัยใหม่นี่มันก็บีบบังคับวัดจนเปลี่ยนเหมือนกัน ไอ้วัดที่เคยเป็นค่ายมั่นป้อมปราการอย่างยิ่งของศีลธรรมนี้มันก็เปลี่ยนเหมือนกัน เพราะนั่นมัน บีบคั้นของการเจริญทางวัตถุอย่างสมัยใหม่ (32.52)ในวัดที่เคยเป็นค่ายมั่นป้อมปราการทางศีลธรรมทางวิญญาณนี้มันก็เปลี่ยน มันก็พังทลายไปเหมือนกัน
นี่มันเป็นเคราะห์กรรมของโลกทั้งโลกพร้อมๆกันไป จะโทษใครก็ยาก ก็โทษมนุษย์นั่นแหละ มนุษย์เผลอให้การศึกษามันเปลี่ยนไปนิยมวัตถุ ไปนิยมเนื้อหนัง ไปนิยมเงินซึ่งเป็นปัจจัยแก่ความสุขสนุกสนานทางเนื้อหนัง โลกมันก็เปลี่ยน ดูความนิยมความพอใจอะไรของชาวตะวันตก หาเงินมากๆนั้น เขาหาทำไม หาไปทำบุญหรือเปล่า หาเท่าไรพอสิ้นสัปดาห์หรือสิ้นเดือนนั้นก็ลงเรือแบบสนุกสนานสำเริงสำราญเที่ยวเมืองนั้นเมืองนี้ ขึ้นเรือบินสนุกสนานสำเริงสำราญเที่ยวเมืองนั้นเมืองนี้ ไปสำรวจดูนะคนที่นั่งเรือบินเพื่อเที่ยวสำเริงสำราญมากพอๆ กับคนธุรกิจ ทีนี้ไอ้คนธุรกิจนั้นมันก็ไม่ใช่ธุรกิจอันแท้จริง มันธุรกิจเพิ่งมี เพิ่งไปบ้า เพิ่งไปจัดให้มันมีขึ้นมา ธุรกิจซึ่งไม่ต้องมีมันก็มีขึ้นมาแล้วก็อ้างว่าไปธุรกิจ นี่ก็พวกหนึ่งแล้ว แล้วพวกที่เขามีเงินเหลือของเขาตั้งใจไว้อบรม เอ้ย,สะสมเงินไว้สำหรับไปเที่ยวสิ้นเดือนสิ้นปีมันก็มีมากขึ้น ซึ่งสมัยก่อนเขาจะใช้เวลาว่าง หรือเงินที่เหลือนี้ไปทำบุญ ไปช่วยกันบำรุงศาสนา บำรุงวัดบำรุงวาต่างๆอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม เดี๋ยวนี้ก็ไม่ มันก็เปลี่ยน ก็เขาไปชอบความสุขของเขาจนเงินไม่พอ ทีนี้วัดเลยต้องเปลี่ยนนโยบายเหมือนกัน เดี๋ยวนี้วัดก็ทำการค้ากันเป็นส่วนมาก ที่จะให้ได้เงินมาบำรุงวัด ก็เรียกว่าเป็นการค้าโดยอ้อม เหลือเข้ามันก็เปลี่ยนเป็นวัตถุนิยมเหมือนกันเสียอีก (35.00)วัดก็เลยเป็นวัตถุนิยม อาจารย์ของวัตถุนิยมไปก็ได้ ขอให้สังเกตดูให้ดี
นี่เรียกว่าการศึกษามันเปลี่ยนไปในทุกวิถีทางทั้งโลก โลกนี้ก็เปลี่ยน ก็เลยไม่รู้จะไปโทษใครในการที่มันไม่มีสันติสุข แม้ในหมู่บ้านเล็กๆนี้ แม้ในประเทศไทยนี้ ไม่ต้องว่าถึงทั้งโลก ทั้งโลกนี่มันคุมลำบาก เดี๋ยวนี้โลกมันมีสันติภาพที่ไหน มันมีสงครามบนดินนี้ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา ส่วนสงครามใต้ดินคือสงครามที่ไม่แสดงแต่ว่ามีสงครามกันอยู่นั้นมีอยู่ตลอดเวลาอย่างยิ่งทั่วไปหมด สงครามทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทาง(ความ)คิดล้มล้างกันนี้ มีอยู่ทั่วโลกตลอดเวลาทุกนาทีที่คนเขาพยายามทำสงครามอย่างนี้ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ก็ไม่มี แล้วก็ค่อยมีมากขึ้นๆจนมีเต็มที่
นี่โลกเจริญมาในทางที่จะทำลายล้างซึ่งกันและกัน มีมูลเหตุมาจากแต่ละคนๆหลงใหลบูชาความสุขทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนัง แล้วเราก็ไม่มีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนลูกเด็กๆนี้ให้มีจิตใจประกอบไปโดยธรรมะ ลูกเด็กๆก็เลยเปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนมากยิ่งขึ้นทุกๆชั่วอายุคน ในที่สุดก็จะเป็นเรื่องที่เรียกกันว่ามิคสัญญี คือโลกลุกเป็นไฟ เว้นไว้แต่ว่าจะรู้สึกตัวแล้วกลับตัวกันเสียใหม่ให้ทันเวลา ทันท่วงที
มิคสัญญี เขาแปลว่า สำคัญว่าเป็นเพียงผักปลา ผักเนื้อ สำคัญว่าเป็นเนื้อ เนื้อสำหรับไปฆ่ามาแกง เมื่อไรคนในโลกมีความสำคัญต่อผู้อื่นว่าเหมือนกับว่าเนื้อหรือปลาสำหรับไปฆ่ามาแกง มันก็ฆ่าฟันกันจนวินาศไป อย่างนี้เขายัง เวลานี้เขายังไม่ใช้ระเบิดไฮโดรเจนหรือนิวเคลียร์นี้ เพราะว่าจิตมันยังไม่ถึงขนาดที่ดูผู้อื่นเป็นผักปลา แต่ว่านานไปวันหน้ามันก็มีทาง มีหวัง ที่ความรู้สึกมันจะเปลี่ยนไปถึงเห็นผู้อื่นเป็นผักปลามันก็มี การตัดสินใจที่จะวางลูกระเบิดชนิดนั้นลงมา โลกนี้ก็เป็นมิคสัญญีได้
แต่ทีนี้ถ้าว่าเกิดกลับใจด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง มันมีการศึกษาที่เปลี่ยน มันก็เปลี่ยน เปลี่ยนทันที ไอ้ลูกระเบิดเหล่านี้อาจจะเก็บไว้ไม่ต้องใช้จนตายด้าน จนพ้นเวลาใช้ไม่ได้ไปก็ได้ มันเป็นอย่างนั้น ดังนั้น มันจึงอยู่ที่ว่าการศึกษาจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยน คือจะเปลี่ยนมาเป็นการศึกษาที่บังคับจิตใจให้อยู่ในระบอบของธรรมะ หรือว่าจะปล่อยมันไปเรื่อยไปตามระบอบของกิเลสเรื่อยไป ไปสู่มิคสัญญี
ถ้ามันเกิดเปลี่ยนมันก็เปลี่ยนกลับไปคนละทาง ก็หมุนมาทางธรรมะ มันก็ย้อนกลับไปทางศาสนาของพระศรีอาริย์ ศาสนาของพระศรีอาริย์นี้ก็เป็นคำพูดที่กำกวม พูดกันผิดๆ อธิบายกันผิดๆก็มี อยากจะจำกัดความให้สั้นๆและไม่ผิดด้วยว่ามัน(ควร)มีความถูกต้อง ทั้งทางฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ จำไว้แค่นี้ก็พอ มันมีความถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ เดี๋ยวนี้เรามีความถูกต้องแต่ฝ่ายวัตถุ และมากเกินไปด้วยนะ เดี๋ยวนี้ จะมีความถูกต้องแต่ฝ่ายวัตถุและมากเกินไปด้วย มันจะไปสู่มิคสัญญี
ถ้าบุญมาช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้มีการ มีความถูกต้องทั้งฝ่ายวัตถุและจิตใจ ก็จะเปลี่ยนกลับอย่างเป็นโลกพระศรีอาริย์ คือว่าจิตใจของมนุษย์จะประกอบไปด้วยธรรมะ ไม่เกิดความทุกข์เพราะกิเลส นี้เรียกว่าความถูกต้องทางจิตใจ แล้วความถูกต้องทางวัตถุก็คือว่าเราไม่มีวัตถุเฟ้อจน จนให้เห็นแก่วัตถุ เรามีวัตถุให้ความสะดวกสบายแต่พอดี
เดี๋ยวนี้เราหลงใหลทางวัตถุ มีสิ่งที่ไม่ต้องมีกันมากขึ้น มีสิ่งที่ไม่ต้องกินต้องดื่มกันมากขึ้น มากเกินไป อย่างนี้เรียกความไม่ถูกต้องทางวัตถุ มันดึงจิตให้ต่ำลงไปเป็นกิเลส เห็นแก่ความสุขความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ มันไม่มีความถูกต้องทางวัตถุ
นี่ถ้าเรามีความถูกต้องทางวัตถุ เราจะมีแต่วัตถุที่ควรจะมีในระดับที่ควรจะมี ในลักษณะที่ควรจะมี มีความสะดวกอย่างดีนะ มีรถ มีเรือ มีเรือบินอะไรก็ได้ แต่พอดีสำหรับที่มนุษย์จะอยู่ด้วยความสงบสุข ไม่ใช่เฟ้อสำหรับไปทำลายผู้อื่น หรือว่าไปหาความเพลิดเพลินเกินขอบเขต ศาสนาพระศรีอาริย์จะมีความพอดี ถูกต้องทั้งทางเรื่องของจิตใจ และทางเรื่องของวัตถุ ซึ่งเขาจัดไว้เป็นศาสนาที่จะมาข้างหน้า
ศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ที่แล้วมานี้มีความถูกต้องพอดีเรื่องทางจิตใจนี้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์นะ แต่เรื่องทางวัตถุเราอาจจะเห็นว่ายังน้อยไปก็ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ไม่มีรองเท้าจะสวม ไม่มีรถยนต์จะขี่ ไม่มีวิทยุจะส่งกระจายเสียง พระพุทธเจ้าเองยังเป็นอย่างนั้น แต่พระอริยเจ้าเหล่านั้นท่านว่าพอแล้วๆ ท่านไม่ต้องการหรอกนะ มนุษย์สมัยนั้นมันก็ไม่ต้องการวิทยุกระจายเสียงสำหรับจะสอน เพียงแต่สอนกันด้วยการเดินไปเดินมามันก็พอ แล้ว ก็สอนเรื่องจิตที่ไม่ต้อง เอ่อ, (42.11) การบังคับจิต การอบรมจิตมากกว่า
เอาละเดี๋ยวนี้ มันเป็นว่า ถ้ามันเป็นไปได้ ให้มีการถูกต้องสมบูรณ์ทั้งทางฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุด้วย ถ้ามีอะไรก็จะสอนกันได้ด้วยเครื่องมือ เครื่องใช้อย่างสมัยวิทยาศาสตร์ แต่เดี๋ยวนี้มันดูเองอย่าลำเอียง พวกคุณดูกันเอง คุณใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างไร มีไอ้เครื่องเทปบันทึกเสียงก็บันทึกเพลง ฟังวิทยุก็เปิดเพลง มีเล่นจานเสียงก็เล่นเพลง ดื่มกินสิ่งที่ไม่กินไม่ดื่มก็ได้ มันเป็นเสียอย่างนี้ เราขายข้าวโพดข้าวสารถั่วเหลืองอะไรให้ญี่ปุ่น แล้วเราก็ซื้อไอ้เครื่องวิทยุ เครื่องเล่นเทปอะไรมาเอามาแทน เป็นเรื่องที่คิดดูนะ จะได้ผลทางจิตใจอย่างไรบ้าง
ถูกแล้วเขาอาจจะซื้อเครื่องใช้ไม้สอยอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์
แต่เดี๋ยวนี้เห็นไอ้เครื่องวิทยุ เครื่องเทปบันทึกเสียงนี้มันล้น ล้นไปหมด เครื่องสำอางอย่างอื่น ซึ่งถ้าเราขาดสิ่งเหล่านี้เสียเราก็ไม่ตาย แต่ว่าเราจะใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ได้แต่เราก็ไม่ได้ใช้ อย่างรัฐบาลเขาส่งวิทยุนี่ ชาวบ้านรับฟังแต่ลิเก ไม่ได้รับสารคดี แล้วรัฐบาลก็หลับตาไม่รู้เลยว่าชาวบ้านเขาฟังอะไร เพราะจิตใจของเขามันต่ำ ก็เป็นหน้าที่ของพวกครูที่จะยกจิตใจของเขาให้สูงพอที่จะไม่ฟังไอ้เรื่องอย่างนั้น เรื่องที่น่าเกลียดนี้ก็มีทั้งสถานีวิทยุตลอดวันตลอดคืน เรื่องที่ดีที่มีสาระก็มีเหมือนกันแต่น้อยมาก แล้วคนก็ไม่ฟังด้วย น้อยคนที่จะฟัง เพราะวิญญาณมันต่ำ ก็เป็นเรื่องของวัตถุนิยมกำลังได้เปรียบอยู่ ยังไม่มีหวังว่าจะพ้นจากมิคสัญญี ยังไม่มีหวังว่าจะน้อมไปทางศาสนาของพระศรีอาริย์ ต้องช่วยกันอีก อย่าท้อถอย
กระทรวงศึกษาธิการของโลกทั้งโลกทุกประเทศ ควรช่วยกันจัด จัดการศึกษาเสียใหม่ ให้มนุษย์มีแสงสว่างในจิตใจ รู้ว่าอะไรเป็นเรื่องของพญามาร อะไรเป็นเรื่องของพระเจ้า ก็ทำเสียให้ถูก คือลดไอ้เรื่องทางวัตถุที่เฟ้อ แล้วไปเพิ่มเรื่องทางจิตใจที่ยังขาดลงไปทุกที ขาดลงไปทุกที คือไม่ฝึกฝนอบรมจิตใจ
นี่คือข้อปรารภแรกเริ่มว่าทำไมเราจะต้องพูดกันเรื่องนี้ สนใจกันเรื่องนี้ เพราะโลกกำลังจะวินาศด้วยความเจริญทั้งหลายในทางฝ่ายวัตถุ เป็นความเจริญเพื่อความวินาศของโลกเอง เรื่องทางวัตถุ ทีนี้เรื่องทางจิตใจจะมาแก้ไขข้อนี้ ให้หันมาสนใจความถูกต้อง ความจริง ความสุข ความทุกข์อันแท้จริง ก็ขอให้พยายามหาหนังสือหาอ่าน เดี๋ยวนี้มีมากนะ ในทางหลักวิชามีมาก เพราะที่จะต้องทำต่อไปคือเรื่องฝึกฝนอบรมกันจริงๆเกี่ยวกับจิตใจซึ่งมันยังขาดอยู่
เมื่อพูดถึงการฝึกฝนบังคับจิตนี้ พวกฝรั่งไม่ชอบ พระฝรั่งแปลกกว่าพระไทยที่ว่า เขาเป็นฝรั่งเขาไม่ค่อยชอบไอ้ความเหน็ดเหนื่อย ถ้าพระไทยตามแบบเดิมแท้ไม่เห็นเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย จะกวาดวัดจะทำงานอะไรที่เหน็ดเหนื่อยเขาทำกันได้ สร้างกุฏิสร้างอะไรอยู่เองได้ ไม่ต้องรบกวนชาวบ้าน ไม่เห็นเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย แต่ทางฝรั่งเขามีเรื่องที่ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยชินเป็นนิสัย เขาก็ไม่ค่อยชอบบวชอย่างแบบไทยๆ เรา อย่างแบบโบราณ คือมันมีการเหนื่อย มีหลักสูตรเหนื่อยแทรกอยู่ด้วย
เช่นเดียวกับเดี๋ยวนี้ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ไม่มีหลักสูตรเหนื่อยแทรกอยู่ด้วย ถ้าเป็นอย่างก่อนก็มีการช่วยเหลือโรงเรียน ช่วยเหลือมหาวิทยาลัย ให้กระทั่งว่าไม่ต้องเอาไอ้ตึกสวยๆตึกหรูหรามาเป็นห้องเรียน เอาพอดีพอร้ายกันได้ นั่งกลางดินนี้ก็ได้ มันจึงอยู่ในส่วนที่ว่าพอจะช่วยกันทำได้ ถ้าถือเอาวัดสมัยโบราณเป็นมหาวิทยาลัยแล้วก็ ลูกวัดเด็กๆพระๆเณรๆสร้างเองทั้งนั้น ยอมเหนื่อยในการสร้างขึ้นมา แล้วในการรักษาทั้งการที่จะกวาดลานนี้ให้เหงื่อแตกทุกวันนี้ทำได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เล็กน้อย ขอให้ผู้ที่จะเป็นครูทุกคนนี้จำไว้ใส่ใจด้วย ตัวเองชอบหรือไม่ชอบ เมื่อเป็นนักเรียนชอบกวาดชอบโรงเรียน ชอบช่วยกันรักษาอย่างนี้หรือไม่ แล้วต่อไปข้างหน้าลูกศิษย์ของเราจะเป็นอย่างไร ต่อไปนี้ ถ้าเขามีนิสัยไม่ยอมช่วยเหลือในเรื่องอย่างนี้ แล้วยังแก้ตัวว่ามันเป็นเรื่องของภารโรง ก็ยากที่จะหวังได้ว่าการศึกษานี้จะนำคนไปสู่สันติภาพหรือสันติสุข เพราะว่าเกลียดการทำงาน ถ้าภารโรงทำไม่ทันแล้วนักเรียนช่วยทำ โรงเรียนก็สะอาดสวยงาม เดี๋ยวนี้ก็เป็นหน้าที่ของภารโรง เราควรให้มันรกรุงรัง ให้มันน่าเกลียด เราไม่ต้องทำ เราไม่อยากทำ เราไม่อยากเหนื่อย เพราะว่าเราต้องการจะสวยหรือว่าจะไม่มีเหงื่อออก ถ้าเป็นอย่างสมัยโบราณไม่เป็นอย่างนั้น
การศึกษาแบบโบราณจึงตั้งต้นการบังคับจิตมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ ตัว ก.ถึง มันขึ้นมาพร้อมกันกับการบังคับจิต หรือว่าการเสียสละให้เกิดนิสัยชนิดเห็นแก่ผู้อื่นพร้อมกันไปกับการเห็นแก่ตัว จนกระทั่งมากกว่าความเห็นแก่ตัว จนกระทั่งไม่เห็นแก่ตัวเลย เห็นแก่ผู้อื่นหมด เขาวางหลักอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้เขาวางหลักตรงกันข้าม เพื่อตัว เพื่อเรา เพื่อของเรา เพื่อพวกของเราอย่างเดียวมากขึ้น จนเกิดนิสัยเพื่อเราในที่สุด ไม่ต้องเพื่อใครแล้ว มันจึงรักชาติกันแต่ปาก ที่พูดว่ารักชาติบ้าง ช่วยของไทยบ้าง อะไรนั้น พูดกันแต่ปาก มันไม่จริง มันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว
ทีนี้ดูให้ละเอียดออกไป ว่าการที่บังคับจิตนั่นแหละคือความสำเร็จแม้ในห้องเรียน ถ้านักเรียนไม่บังคับจิตมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก การเรียนมันเป็นไปไม่ได้ มันบังคับจิตไม่ได้ ทีนี้มันต้องบังคับจิตให้ได้ แล้วครูก็เหมือนกันก็ต้องบังคับจิตของครูได้ ไม่อย่างนั้นเป็นครูไม่ได้ เพราะว่าครูต้องอดทนมากกว่าลูกศิษย์เสียอีก ถ้ายังไม่ทราบโปรดทราบเดี๋ยวนี้ว่าครูบาอาจารย์นั้น ต้องยอมอดทนบังคับจิต อดทนยิ่งกว่าลูกศิษย์เสียอีก จึงจะถูกต้องหรือเป็นไปได้ อย่าไปเกี่ยงให้ลูกศิษย์ตามใจครู ว่าครูก็ไม่ต้องอดทนอะไร ที่ถูกแล้วครูต้องอดทนกว่าเสมอ โกรธไม่ได้ ลำบากก็ยอม เพื่อทำให้สำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่ว่าจะอบรมเด็กคนนี้อย่างไร เสร็จแล้วก็ต้องมีการอบรมชนิดที่เด็กนั้นจะต้องอดทน และต้องเชื่อฟัง และต้องมีการบังคับจิตด้วยเหมือนกัน
อย่างนี้ครูก็บังคับจิต ลูกศิษย์เล็กๆก็บังคับจิต นั่นแหละความสำเร็จอยู่ที่นั่น
ถ้ามีการไม่บังคับจิตขึ้นมาแล้วครูก็จะโมโหโทโส เพราะว่าไม่เคยอบรมการบังคับจิตมาตั้งแต่เมื่อตัวเองเป็นเด็กๆ เป็นนักเรียน โตเป็นครูก็ไม่ ไม่มีการบังคับจิต แล้วเด็กๆมาใหม่นี้ก็ไม่มีการบังคับจิต เพราะว่าเขาเปลี่ยนวิธีการสอน วิธีอะไรของเขาไม่รู้ ไม่มีการเชื่อฟังหรือบังคับเฉียบขาด อย่างที่เขาให้เลิกไม้เรียวเสียอย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เอาเพลงมาร้อง เอาเพลงมาร้องพร้อมกับการเรียนหนังสือคลุกเคล้ากันไปแทนไม้เรียว เด็กนั้นก็ไม่มีการบังคับจิต เด็กนั้นก็เปลี่ยนนิสัยเป็นคนชอบสิ่งประเล้าประโลมสนุกสนาน โอกาสในการบังคับจิตไม่มี เด็กคนนั้นจะมีความรู้เร็ว หรือทำอะไรได้จริงเก่งกว่าอย่างอื่นก็ได้ แต่แล้วขาดอย่างยิ่งคือขาดการบังคับจิต
ฉะนั้นขอให้สังเกตดูว่า ไอ้เด็ก เด็กรุ่นหลังนี้จะฉลาดเพราะวิธีการเรียนการสอนเขาปรับปรุงให้มันฉลาด รู้เร็ว เรียนเร็ว รู้มาก แต่แล้วมันไม่มีการบังคับจิต จะไปทำความชั่ว ความอะไรเมื่อไรก็ได้ เพราะไม่มีความอดทน ผิดหวังหน่อยมันก็จะร้องไห้ มันจะกินยาตาย เด็กเหล่านี้ไม่พร้อมที่จะบังคับจิตให้ทะลุ ให้ลุล่วงไป ในงานในการในหน้าที่ที่จะต้องกระทำ นี่ฝรั่งเขาเป็นครูแต่ทางอย่างนี้ ให้การศึกษาชนิดที่เลิกไม้เรียว แล้วก็เอาเพลงเอาสนุกสนานอะไรเข้ามา เด็กเขาก็ถือเป็นหลักว่าเราต้องเพลิดเพลินต้องสนุกสนาน แล้วก็เรียนก็สนุกก็เรียนได้มาก มีความรู้มาก แต่ขาดสิ่งสำคัญที่สุดคือ จิตที่บังคับได้
ฉะนั้นต่อไปจะยิ่งพูดกันไม่รู้เรื่องยิ่งขึ้นทุกที ยิ่งมากเข้าๆมันก็ไม่ยอมให้ใครบังคับ ในที่สุดเด็กๆเหล่านี้ก็ได้ปริญญาฮิปปี้กันหมดทุกคนเลย คือ ผู้ที่ไม่ต้องบังคับจิต ได้ตามความสนุกสนานพอใจ วิชาความรู้ก็ไม่มีประโยชน์ ในที่สุด เรื่องการไม่บังคับจิตเป็นอย่างนี้ โลกนี้ก็มีแต่ แต่ละคนเห็นแก่ตัว ตัวใครตัวมัน พวกใครพวกมัน
หลักสูตรการศึกษาของโลกตามความเห็นของอาตมานั้น จะต้องมีการบังคับจิต บังคับตัว อยู่ครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง แล้วการเรียนวิชาความรู้ไอ้วิชาเทคนิคอะไรต่างๆสุดท้ายแล้วนั้นครึ่งหนึ่ง รวมทั้งวิชาหนังสือด้วย วิชาเทคนิควิชาชีพอะไรด้วยนั้นครึ่งหนึ่ง รวมกันแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วก็ไอ้บังคับจิตนี้ บังคับตัว มีความเป็นสุภาพบุรุษถูกต้องนี้ครึ่งหนึ่งทีเดียว
ถ้าว่าเราไปดูรูปของการศึกษาที่พวกฝรั่งเขาจัดเมื่อสักห้าหกสิบปีมาแล้ว จะมีคำว่าไอ้สุภาพบุรุษ Gentleman นั้นมากที่สุด ไอ้เรื่องวิชาความรู้ไม่ ไม่ยกขึ้นมาเท่ากับความเป็นสุภาพบุรุษ แต่เดี๋ยวนี้มันก็หายไปๆเหมือนกัน มันเป็นเรื่องเทคโนโลยีไปหมด (เดี๋ยว)นี้มันเป็นเรื่องอาชีพเรื่องกอบโกยไปหมด แล้วเมื่อได้สิ่งเหล่านั้นมาเหลือเฟือหรือเฟ้อ ก็มากระตุ้นจิตใจให้เฟ้อไปในทางตามใจ ตามใจกิเลส นี่คือพูดกันไม่รู้เรื่อง นี่เรียกว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดที่เป็นหัวใจของการศึกษาของมนุษย์ คือการบังคับจิต แล้วมนุษย์ก็กำลังกลบเกลื่อนเสีย ขุดหลุมฝังเสียโดยไม่รู้ตัว
ฉะนั้นพวกคุณที่จะเป็นครูนี้ จะชอบหรือจะไม่ชอบก็แล้วแต่ แต่ดูว่าจะไม่ค่อยชอบกันมากกว่าเรื่องการบังคับจิต เพราะว่าเติบโตขึ้นมาสมัยนี้ด้วยการที่ไม่ต้องบังคับจิตมากกว่าแต่ก่อน ดังนั้น ถึงอาตมาจะพูดอย่างไรๆ ก็คงไม่ชอบ หรือคงไม่เชื่ออยู่มากในเรื่องการบังคับจิต แต่ว่าอาตมาก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พูดอย่างอื่นไม่ได้ พูดอย่างอื่นไม่เป็น และพูดอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าพูดอย่างอื่นแล้วเป็นขบถต่อพระพุทธเจ้าทันที ดังนั้น พูดไม่ได้ จึงพูดเป็นแต่เรื่องบังคับจิต และตัดพ้อต่อว่า ว่าพวกคุณนี้กำลังจะไม่บังคับจิตกันแล้ว จะชักโลกนี้ให้หันเหไปในทางที่จะไม่บังคับจิต คือไม่บังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอยที่จะต่อสู้กิเลสได้
ในที่สุดมันก็มีแต่ความรู้ มีปริญญายาวเป็นหางตั้งวา ไปขนเอามาจากเมืองนอก มีปริญญายาวเป็นหางตั้งวา แล้วก็ทำโลกนี้ให้มีความสงบสุขไม่ได้ ก็ดูพวกฝรั่งนี่มันทำโลกนี้ให้มีสันติภาพได้เมื่อไหร่ล่ะ(57.41)แล้วเราไปขนปริญญามาจากเมืองนอกมาจากพวกฝรั่งนี่ ไปตัดหางพวกฝรั่งมาต่อหางเราให้ยาวนี่ ยาวด้วยปริญญานี้ มันก็ไม่มีอะไรให้มากไปกว่าที่ว่าจะทำโลกให้ยุ่ง เหมือนกับที่พวกฝรั่งเขากำลังทำอยู่ ก็ต้องขอร้องว่าช่วยเป็นพุทธบริษัทตามบรรพบุรุษของเรา ถึงแม้จะนับถือศาสนาอื่น เช่น ศาสนาอิสลาม คริสเตียน เป็นต้นอยู่บ้าง ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ถ้าปฏิบัติอยู่ในหลักของศาสนาแล้วเหมือนกันหมด คือบังคับตัวเองบังคับจิตทั้งนั้น แล้วก็ไม่เห็นแก่วัตถุ เกลียด เกลียดความยั่วเย้าของวัตถุ
ทีนี้เราพูดว่าพุทธเดี๋ยวจะมีกระทบกระเทือนแก่บางคนที่ว่าเผอิญอยู่ในศาสนาอื่น ก็บอกให้รู้เลยว่าทุกศาสนาที่เป็นศาสนาโดยแท้จริงนั้นก็จะต้องมีการบังคับจิตทั้งนั้น แล้วมีการเสียสละ ถ้ามากอย่างยิ่งก็มากอย่างพระเยซู เสียสละชีวิตเพื่อให้คนกลับใจ ถ้าไม่ยอมเสียสละชีวิตคนไม่กลับใจ ก็เสียสละมาก ถึงศาสนาอื่นๆก็เหมือนกันนั่นแหละ ก็ต้องการอย่างนี้ ให้คนไม่เห็นแก่ตัว ให้บังคับตัวให้อยู่ในร่องรอยของธรรมะ ทีนี้จะบังคับจิตอย่างไรโดยรายละเอียดนั้นไว้พูดคราวอื่น
แต่ทีนี้ว่าเหตุไรนี่เราจึงต้องสนใจเรื่องนี้ก็เพราะอย่างนี้ เพราะโลกกำลังจะวินาศ กำลังจะเป็นมิคสัญญี มันก็น่าสงสารยุวชนคนรุ่นหลัง เกิดมาไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนให้ถูกต้อง ให้ตัวเองไม่ต้องนั่งร้องไห้บ่อยๆ หรือไม่ต้องกินยาตายบ่อยๆ หรือไม่ต้องเอาปืนไปยิงคู่รักบ่อยๆ เรื่องมันผิดไกลออกมาๆ ไม่ใช่ในปีเดียวสองปี เป็นสิบปีนี้เปลี่ยนไปมาก แล้วอีกสิบปีก็จะเปลี่ยนไปมาก ถ้าเผอิญมันไม่หมุนกลับ ไม่มีอะไรมาทำให้กลับไปถูกทาง มันก็เลยต้องพูดว่าต้องถอยหลังเข้าคลองแล้ว เพราะมันออกนอกคลอง ผิดคลองแล้ว มันเดินไปผิดคลองแล้ว ยอมถอยหลังเข้ามาตรงคลองกันเสียดีกว่า ไม่น่าละอายอะไร แล้วก็ไม่ผิดอะไรที่จะถอยหลังเสียหน่อยให้มันลงคลอง แล้วก็ไปต่อไปให้มันถูกตามคลอง เดี๋ยวนี้มันปีนคลอง มันออกนอกคลอง แล้วก็ไม่รู้ดันทุรังกันไปเรื่อย ไปนิยมไอ้เรื่องทางวัตถุ
เพื่อความจำง่ายๆก็อยากจะให้จำคำเพียงสามคำว่า เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มัน(เป็น)พญามารที่ร้ายกาจอยู่ที่นั่น เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ สามคำนั้นคือพญามาร ถ้าควบคุมไม่ได้แล้วก็จะทำลาย ทำลายเรา และทำลายโลก (ดัง)นั้นต้องควบคุม(ให้)ได้ เด็กเล็กๆก็มักจะเรื่องกิน เรื่องเล่น วัยรุ่นหนุ่มสาวก็เป็นเรื่องเพศ เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็เรื่องเกียรติ
(แต่)นี่เขาก็ไม่ผิดนะ ตามหลักพื้นฐานทั่วไปก็ไม่ถือว่าผิด แต่ว่ามันผิดต่อเมื่อมันเลย เลยเป็นเรื่องบูชาสิ่งเหล่านี้ก็เริ่มผิด หรือว่าถ้ามันจะผิดอยู่บ้างตามปกติก็คือว่าเราไปหลงเข้า แล้วมันก็ทำความทุกข์ให้แก่เรา ฉะนั้นเราต้องชนะ จะต้องควบคุมสิ่งเหล่านี้(ให้)ได้ แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่ทำอันตรายเรา เรื่องกินถ้าเราควบคุมไม่ได้ก็คือเราไม่บังคับจิต
นี่กลับไปถึงบ้านแล้วไปเช็คดูใหม่ว่าของกินอะไรที่ไม่ต้องกินก็ได้ มาอยู่บนบ้านบนเรือนของเราบ้าง หรือว่าเราออกไปที่ตลาดเราไปกินอะไรที่มันไม่ต้องกินก็ได้บ้าง นี่มันทำกันจนเรียกว่าไม่ ไม่ต้องคิดต้องนึกไม่ต้องรู้สึกกันแล้ว ก่อนที่จะพูดว่าเงินไม่พอใช้นั้นควรจะไปดูเสียก่อนว่า อะไรบ้างที่เราไปซื้อมาโดยไม่ต้อง ไม่ควรจะซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของกินนั้น อาหารมันต้องมีประจำวัน เราใช้เงินถูกต้องหรือยัง เราไปกินอาหารอวดกันหรือเปล่า
แล้วเรื่องเพศนี้เดี๋ยวนี้ก็มันเลยขอบเขต ไปจัดแจงเสียใหม่ อย่าให้ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ให้มันไปตามระเบียบถูกต้องเรียบร้อย ไม่ต้องยกเลิกศีลกาเมสุมิจฉาจารข้อที่ ๓
ในเรื่องเกียรตินั้น ก็ต้องเป็นเกียรติจริงๆไม่ใช่เกียรติซื้อ ปริญญาบัตรมาจากเมืองนอก หรือว่ามันไปหลอกใครอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเกียรติขึ้นมา หากว่ามันเป็นเกียรติจริงต้องมาจากการกระทำความดีในระยะยาว ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเขาเป็นคนดีจริงควรให้เกียรติเขา ส่วนเกียรติที่สังคมเห่อๆกันไป หรือว่าไปหลอกลวงใครมาก็ไม่ใช่เกียรติ อย่าไปคิดสั้นๆอย่างนั้น ไปซื้อปริญญาบัตรเอามา หรือว่าสร้างอะไรผักชีโรยหน้าหาเกียรติให้เขาสรรเสริญ มันไม่มีประโยชน์โดยแท้จริง มันมีประโยชน์แต่ทางจะหลอกคนอื่น แต่พร้อมกันนั้นตัวเองมีความทุกข์นะ ระวังให้ดี หลอกคนอื่นได้ตัวเองมีความทุกข์ อย่าชอบหลอกคนอื่นนักเลย ยิ่งไปหลอกเขาเท่าไรเรายิ่งมีความทุกข์มากเข้าเท่านั้น
ฉะนั้นถ้ามีการบังคับจิตได้ ปัญหาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติจะไม่มี จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าสิ่งเหล่านี้มันครอบงำเรา เราก็หมดความเป็นมนุษย์ เราก็จะเป็นครูทำผู้อื่นให้เป็นมนุษย์ไม่ได้แน่นอน คือไม่สามารถจะนำในทางวิญญาณ หรือว่ายกสถานะทางวิญญาณอะไรได้ นี่คือความเป็นครู (ที่)ต้องยกสถานะทางวิญญาณของมนุษย์ทั้งโลกให้สูงขึ้นด้วยการบังคับจิต ให้จิตมันสูงขึ้นๆ
พูดที่นี่ก็พูดอย่างนี้ ที่นี่เป็นสถานที่ของศาสนา เป็นสถานที่ตามธรรมชาติคล้ายสถานที่ของพระพุทธเจ้ามากที่สุด เพราะฉะนั้นพูดอย่างอื่นไม่เป็น แล้วก็พูดไม่ได้คือไม่ยอมพูด นอกจากจะพูดแต่ว่าพุทธบริษัทที่แท้จริงจะต้องมีจิตใจสูง เหนือกิเลสเหนือความทุกข์ไว้เรื่อยไป และเราจะต้องช่วยกันแต่ในเรื่องนี้ให้เรื่อยไปเหมือนกัน ดังนั้น ถ้ามาที่นี้และต้องการจะได้ประโยชน์ชนิดที่ที่นี่มี และมันไม่มีเรื่องอื่นมันมีอย่างนี้ ฉะนั้นต้องขออภัยถ้าใครไม่ชอบ อาตมาพูดอย่างอื่นไม่เป็น พูดเป็นแต่อย่างนี้ ซึ่งจะพูดกันตามที่โอกาสจะมี แล้วก็ขอให้เตรียมตัวสำหรับที่จะทำความเข้าใจกันในเรื่องเกี่ยวกับการบังคับจิตยิ่งขึ้นไปกว่าที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะว่ามันยังไม่พอ เพราะว่าเรายังมีปัญหาเหลืออยู่ เพราะว่าเรายังมีการหย่อนความสามารถเหลืออยู่
คิดดูง่ายๆว่าพอมีอะไรมาทำให้ร้องไห้ก็ต้องร้องไห้ ยังเป็นอย่างนี้อยู่มาก ถ้ามีอะไรมาทำให้กลัวก็ต้องกลัว ทำให้โลภให้หลงให้รักอะไรก็ต้องหลงไปตามนั้น นี่แสดงความไม่พอ ต้องเป็นคนที่ปกติ รู้จักทำให้ถูกต้องโดยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องขึ้นๆลงๆ ฟูๆ แฟบๆ
นี่เรื่องที่เหลืออยู่ยังเหลืออยู่ เพราะเราจะต้องฝึกต่อไปอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้เล่าเรียนในชุดวิชาที่ว่าจะเป็นครู หรือจะประกอบอาชีพไหนก็ตามเสร็จมาแล้ว ต่อไปนี้เพื่อจะให้การปฏิบัติหน้าที่นั้นๆตามที่ตนมุ่งหวังนั้นสำเร็จด้วยดี ก็จะต้องสนใจเรื่องการบังคับตัวเอง คือ การบังคับจิต
การบังคับจิตก็คือการบังคับกิเลสหรือฆ่า ฆ่ากิเลสไปเรื่อยๆให้มันหมดไป สำหรับประสบความสำเร็จในขั้นสุดท้าย หมายความว่าเกิดมาทีหนึ่งนี่ (60.07)ไม่ใช่เพียงเท่านี้นะ บางทีจะวาดไว้ว่าเรามีงานทำไปจนตลอดชีวิต พอจบแล้วก็มีบำนาญเลี้ยงชีวิตแล้วมันก็พอกัน นี่ยัง ยัง ยังน้อยไป ยังต่ำไป ขอให้มองไกลไปกว่านั้น
สมมติว่าได้ตำแหน่งสูงเงินเดือนมาก เสร็จแล้วก็ได้บำนาญมาก แล้วมันมีอะไรที่แปลกไป ถ้ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงเท่าเดิม มันก็ต้องร้องไห้เท่าเดิม ต้องขี้ขลาดเท่าเดิม ต้องเป็นโรคเส้นประสาท ในที่สุด คนแก่ๆ ก็เลยต้องเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคเส้นประสาท เป็นโรคหัวใจวายในที่สุด เพราะปัญหาทางจิตใจมันแก้ไม่ได้ มันก็ต้องมีจิตใจดีขึ้นสูงขึ้น จนจะไม่เกิดอาการวิปริตทางระบบประสาท ทางเหล่านี้ก่อน แล้วก็ไม่เป็นโรคกระเพาะ ไม่เป็นโรคชนิดที่ความดันสูง หรือความผิดปกติในร่างกายจนกระทั่งต้องตายง่ายๆอย่างหัวใจวาย เป็นต้น
ทุกคนจะต้องสบายดีจนถึงวินาทีสุดท้าย มีจิตใจปกติ หัวเราะเยาะความตาย ว่าเราได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ มีเท่านี้ ทำนองว่าบรรลุธรรมะสูงสุดในบั้นปลายแห่งชีวิต อย่างนี้ดีกว่า แต่เดี๋ยวนี้ยังไกลสำหรับผู้ที่เยาว์วัยอย่างนี้ แต่บอกให้รู้ไว้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น หรือจะต้องเป็นอย่างนั้นจึงจะเรียกว่าได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์อยู่ที่นั่น
ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ทำไป หาอาชีพให้มันเป็นหลักฐานมั่นคงให้มันดีขึ้น แล้วก็ทำหน้าที่อีกส่วนหนึ่งต่างหากนอกจากอาชีพ คือ หน้าที่ทางธรรมะ เห็นแก่พระพุทธเจ้า เห็นแก่พระเจ้า เห็นแก่อะไรต่างๆ ทำในส่วนที่ว่ามันไม่ได้อยู่ในหลักสูตรของกระทรวง คือเรื่องทางจิตของเราให้สบาย ช่วยให้จิตของผู้อื่นสูงขึ้น นั่นแหละจะ จะพอใจตัวเองทีหลัง แล้วจะเป็นเครื่องคุ้มครองตลอดเวลาไม่ให้มีเรื่องหลงผิดมาครอบงำเหมือนที่เป็นๆกันอยู่โดยมาก นี่ก็เป็นเครื่องคุ้มครองจิตได้อีก แล้วก็ต้องมาจากการบังคับจิตได้ด้วยกันทั้งนั้น
นี่การบรรยายในวันแรกนี้ก็เป็นการริเริ่มให้เกิดความเข้าใจในเรื่องสำคัญที่สุดของมนุษย์ คือเรื่องการบังคับจิต อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ. การฝึกบังคับฝึกฝนจิตนั่นแหละดี ทีนี้ถ้ารู้อะไรมากๆ หรือรู้ทุกอย่าง ก็พอสมควรแก่เวลา การบรรยายครั้งนี้ก็ยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน