แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ผลมันก็เกิดขึ้นตรงกันข้าม แตกต่างกันว่า เหมือนกับมนุษย์กับปีศาจ แตกต่างกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ไอ้หลักของการดำเนินชีวิตหรือศิลปะในชีวิตมันกลับหลังหัน คือทำมนุษย์ให้ไปเป็นปีศาจที่ตามใจตัวเอง อย่างไม่เห็นแก่หน้าใคร มันจะสูบเลือดกันได้ซึ่งหน้า ไม่ใช่ลับหลังแล้ว ปัญหาของโลกมนุษย์หรือว่าเป็นโลกของปีศาจ ศิลปะมันเดินคนละแบบแล้ว เรารู้สึกอย่างนี้แล้วก็เอามาล้อตัวเองว่า แหม โชคดีเหมือนกันที่ได้เกิดมาร่วมสมัยกับเขาอย่างนี้ได้เห็นอย่างนี้ โชคดีเหมือนกัน ถ้าไปกิดเสียก่อนหน้านี้สักร้อยปีคงไม่ได้เห็น หรือตั้งหลายร้อยปีก่อนหน้าโน้นคงจะไม่ได้เห็น ไอ้ศิลปะแห่งการตามใจตัวเอง หรือเนื้อหนัง
นี่ปรารภเรื่องโลก สภาพปัจจุบันของโลกก่อน แล้วค่อยๆ ค้นไปหาสมุฏฐานเพื่อจะพบความรู้ที่ถูกต้อง และการที่จะแก้ไข เลยขอสรุปเป็นข้อสุดท้ายขึ้นมาอีกข้อหนึ่งว่าโลกนี้มันกำลังบ้า อาตมาก็ยอมรับอยู่แล้วว่าตัวเองก็บ้านะ อย่าลืมนะจำไว้เสมอด้วย แต่ที่เที่ยวว่าว่าคนอื่นบ้า ไม่ใช่อย่างเดียวกันหรอก โลกนี้กำลังบ้า กำลังทำต้นไม้ให้กลายเป็นต้นหญ้านี่ต้นไม้ทั้งนั้น ใช่ละเห็นมะต้นไม้ทั้งนั้น นี่มันจะมีสภาพเป็นต้นหญ้า คือมันจะปลูกตึกสูง ๑๐๐ ชั้น ๒๐๐ ชั้น จนต้นไม้ขนาดนี้กลายเป็นต้นหญ้า ความหมายนี้มีความสำคัญมาก ต้นไม้นี้จะไม่เป็นร่มเงาให้แก่มนุษย์ เยือกเย็นอย่างที่เรากำลังนั่งอยู่เดี๋ยวนี้ มันจะกลายเป็นต้นหญ้า สำหรับจะเหยียบ แล้วมันก็อยู่บนตึกสูง ๆ ๑๐๐ ชั้น ๒๐๐ ชั้น ๓๐๐ ชั้นโน่น นี่พูดเป็นอุปมาเป็นภาพเปรียบว่าต้นไม้มันกลายเป็นต้นหญ้า เพราะกำลังสร้างตึก หลายสิบชั้นขึ้นไปทุกที ไปอยู่ตรงนั้นแล้วไอ้ป่าไม้มันก็กลายเป็นหญ้า เหมือนกับเราบิน เรานั่งอยู่บนเรือบินที่กำลังบินอยู่เราจะเห็นป่านี่เหมือนกับหญ้า เหมือนกับทุ่งหญ้า ทีนี้มนุษย์กำลังจะทำให้ต้นไม้ ป่าไม้นี่กลายเป็นผืนหญ้า ต้นไม้นี่จะสูงเท่าไหร่ กี่วา ๑๐ วา ๒๐ วา อย่างมากก็ ๓๐ วา ต้นไม้ก็จะได้ ก็กลายเป็นหญ้า หญ้าที่เหยียบอยู่กลางดิน คนกำลังได้อะไรจากการที่ต้นไม้กลายเป็นต้นหญ้า มันสร้างตึกหลายร้อยชั้นขึ้นไปอยู่จนต้นไม้กลายเป็นต้นหญ้า แล้วคนมันได้อะไร มันดีขึ้นหรือว่ามันเลวลง มันร้อนมากขึ้นหรือว่ามันเย็นลง มันมีสันติภาพมากขึ้นหรือว่ามันมีวิกฤตการณ์มากขึ้น ต้นไม้ที่มันให้ร่มเงาเยือกเย็นอย่างนี้ถึงได้ไร้ความหมาย เพราะคนมันไปอยู่สูงจนไม่สนใจกับไอ้ของธรรมดาที่เป็นความเยือกเย็นตามธรรมดา กิเลสตัณหามันกระโดดสูงขึ้นไปขนาดนั้น สิ่งที่เคยเป็นความพอใจมันไม่พอใจแล้ว ที่เคย เรารู้สึกว่าดี มันไม่ดีแล้วนี่มันกำลังเป็นอย่างนี้กระโดดสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนไอ้ต้นไม้กลายเป็นต้นหญ้า มันก็กำลังทำลาย สิ่งเหล่านี้ให้หมดความหมายให้หมดค่า ที่เรียกว่าทำลายทรัพยากรของธรรมชาติให้หมดไป ๆ ลองต้นไม้ไม่มี มีแต่ตึกทั้งนั้นแล้ว คนก็ตายหมดแล้ว มันอยู่ไม่ได้ มันไม่รู้บุญคุญของต้นไม้ ยิ่งทำเท่าไรมันก็ยิ่งไกลสันติภาพ มันเจริญถูกแล้ว มันเก่งถูกแล้ว แต่มันไม่มีสันติภาพ คล้ายว่ามันยิ่งสูงขึ้นไปเท่าไร จนต้นไม้กลายเป็นหญ้าไปแล้ว ไอ้คนที่อยู่ในที่สูงอย่างนั้น มันยิ่งมีจิตทราม มันยิ่งมีจิตต่ำทรามคือ เห็นแก่ตัวมากขึ้น มันขึ้นสูงไปจนต้นไม้กลายเป็นหญ้าไปแล้ว แต่ตัวมันกลับมีจิตทราม เห็นแก่ตัวเห็นแก่กิเลสบูชากิเลส ไปสนุกสนานอยู่บนวิมาน แม้แต่พวกเทวดามันก็เป็นพวกมีจิตทราม ก็พวกเทวดาอย่างที่เขาว่ากัน ลุ่มหลงในกามารมณ์ มีนางฟ้าไม่รู้กี่ร้อยกี่ฝูง บริวารนี้ อย่า ๆ ๆ ได้เข้าใจว่าจิตมันสูง มันเป็นจิตทรามเหมือนกัน นี่มนุษย์ไม่ถึงอย่างนั้น มันขึ้นไปพอเพียงทำว่า ทำให้ต้นไม้นี้กลายเป็นหญ้า มันก็ยิ่งมีจิตทรามมากขึ้นตามส่วน เพราะมันจะลุ่มหลงในความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยมัวเมา เห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่ตัวมากขึ้น มันมีกิเลสมากขึ้น มันจะเบียดเบียนผู้อื่นได้ลงคอง่ายขึ้น เมื่อไรเขาถึงจุดสุดยอดของวัฒนธรรม วัตถุชนิดนั้นกันแล้วโลกนี้ก็เป็นมิคสัญญีพอดี คอยดูเถอะ ถ้าหากมีโอกาสได้อยู่ดู นี้ตัวอย่างที่แล้วมามันพิสูจน์ให้เห็น ว่าสูงไปในทางวัตถุเท่าไร มันยิ่งต่ำทรามในทางจิตใจเท่านั้น ถ้ามันไม่มีความละโมบมาก บ้ามาก มันก็ไม่ไป หลงผลิตวัตถุให้เจริญมากเท่านั้น มันเกินจำเป็นแล้ว ก็เรียกว่ามันตีกลัง สูงขึ้นไปเท่าไร จิตใจมันก็ทรามลงเท่านั้น มันก็ไม่มีสันติภาพ เราอยู่กับเขาในโลกนี้เวลานี้ก็เอามาล้อว่ามีบุญจริงโว้ย เห็นได้ง่าย ๆ ก็คือว่า มันเป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้น โรคจิตมากขึ้นเพราะว่าไอ้สิ่งเหล่านี้มันมีอิทธิพลแก่จิตใจของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา สิ่งทะเยอทะยานในเนื้อหนังในวัตถุ มันมีอิทธิพลแก่จิตใจของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา มันดึงไป ๆ หิ้วขึ้นไป ๆ ให้มนุษย์มีจิตใจที่กระหายอยู่เสมอ หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ วิตกกังวลอยู่เสมอ และเป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้นเป็นโรคจิตมากขึ้น แล้วจะต้องตายอย่างไม่มีความหมายมากขึ้น อย่างที่เขาโฆษณากันอยู่ทั่วไปแล้วโฆษณาสถิติทางหนังสือพิมพ์ ว่าประเทศนั้นประเทศนี้มีคนโรคจิตกี่เปอร์เซ็นต์ โรคประสาทกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสรุปเอาแต่ใจความแล้วก็ได้ความว่า ประเทศที่ได้รับการยกย่องว่าเจริญก้าวหน้าที่สุด ประเทศชนิดนั้นกลับมีโรคประสาทมากที่สุด โรคจิตมากที่สุด จนกระทั่งสถิตินั้นเขียนไว้ว่า ๙ คนต่อ ๑ คน ไอ้ประเทศที่เจริญมากที่สุด จะเป็นโรคเส้นประสาทมาก ๑ คนใน ๙ คน คือเป็น ๑ คนใน ๙ คน ประเทศที่ไม่สู้เจริญมากก็เป็น ๑ คนใน ๑๕ คน หรือว่า ๒๐ คน แต่อาตมาไม่ค่อยเชื่อ ไอ้คนที่ให้สถิตินี้มันคงเป็นโรคเส้นประสาทเสียเอง อาตมาเชื่อว่าจะเป็นกันทั้งหมดมากกว่า ไม่ใช่ ๑ ใน ๙ หรอก แต่มันเป็นน้อย จนไอ้คนเป็นโรคเส้นประสาทมันมองไม่เห็น แล้วมันก็ว่าไม่เป็น ธรรมดาถ้ายังมีกิเลสอยู่มันก็ง่ายนิดเดียวที่จะเป็นโรคเส้นประสาท ทีนี้ถ้ามันหนักเข้า มันก็เป็นโรคจิต หนักเข้ามันก็บ้าตาย
นี่อย่าไปทำเล่นกับไอ้เนื้อหนังอย่าไปทำเล่นกับวัตถุ มันทำให้มนุษย์หมดความเป็นมนุษย์ เพราะว่ามันดิ่งดิ่วไปด้านเดียว แต่ด้านของวัตถุไม่มาในทางเรื่องจิตเรื่องวิญญาณเลย สวนโมกข์ของเรามันบ้าไปคนเดียว อยากจะให้มีแต่เรื่องจิตเรื่องวิญญาณไปเสียทั้งนั้น คือเป็นเรื่องนามธรรมมีความหมายเป็นเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ หาความสงบสุขในแบบจิตแบบวิญญาณ โดยว่า แทบว่าไม่ต้องกินข้าวก็ได้ละ มันจึงมีการแสดง การโฆษณาอะไรต่างๆ เป็นเรื่องทางวิญญาณไปหมด โรงหนังนี่ก็ทางวิญญาณ มหรสพทางวิญญาณ เพราะทางวิญญาณที่แท้จริง ก็คือธรรมชาติที่เป็นอยู่อย่างนี้ ให้ความรู้สึกทางวิญญาณเต็มที่ และยังมีดีที่ตรงโน้น มีสระมะพร้าวนาฬิเกร์ ในเรื่องทางวิญญาณนั้นเราหาพบได้ ในท่ามกลางเรื่องวัตถุ ในท่ามกลางความบ้าหาพบความดี ในท่ามกลางความร้อนหาพบความเย็น ท่ามกลางความร้อนที่สูงสุด ก็หาพบความเย็นที่สูงสุด นี่เป็นอนุสาวรีย์สร้างไว้ให้ที่ตรงโน้น เรียกว่าสระนาฬิเกร์ สระใหญ่ๆ มีต้นมะพร้าวอยู่กลาง ต้นมะพร้าวนั้นเรื่องทางวิญญาณ น้ำในสระนั้นเรื่องทางวัตถุ ต้องให้เรื่องทางวิญญาณโผล่พ้นอิทธิพลของทางวัตถุอยู่เสมอ ฉะนั้นเวลาเย็นๆ ว่างๆ แล้วไปนั่งพิจารณาดูที่ขอบสระนั้นบ้าง เพื่อให้วิญญาณมันโผล่อยู่เหนือวัตถุเสมอไป อย่าให้วัตถุมันท่วมทับวิญญาณ ต้นมะพร้าวนั้นเป็นสัญลักษณ์ของนิพพาน หาพบได้ท่ามกลางวัฏฏสงสารคือความสับสนแห่งกิเลส แห่งวัตถุ ความดีความชั่ว ความบุญบาป สุขทุกข์ อะไรที่มันวุ่นวายอยู่ที่น้ำอยู่ที่วัฏฏสงสาร จิตต้องขึ้นไปเหนือนั้น เหนือดีเหนือชั่วเหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือบุญ เหนือบาป เรียกว่านิพพาน
เดี๋ยวนี้เราเหลียวตาไป เหลียวมองดูไปทางไหนเห็นสัญลักษณ์ของอะไร อาตมาว่าเห็นสัญลักษณ์ของความหลงใหลในทางวัตถุ ทางเนื้อทางหนังเต็มไปทั้งนั้น ดูที่การแต่งเนื้อแต่งตัว ไม่จำเป็นจะต้องแต่งอย่างนั้น มันก็ต้องแต่งอย่างนั้น มันกลายเป็นเลยเถิดไปเป็นการยั่วการล่อ ซึ่งกันและกันอยู่ตลอดเวลาให้กิเลสมันหนาขึ้น เรียกว่าโสเภณีทางวิญญาณ โสเภณีผู้ชายก็มี โสเภณีผู้หญิงก็มี ถ้าใครแต่งตัวด้วยความมุ่งหมาย เพื่อประโยชน์แก่การยั่วการล่อ แล้วให้เรียกว่าโสเภณีทางวิญญาณไว้ทั้งนั้น เต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง นี่เป็นสัญลักษณ์ของโลกนี้กำลังเป็นบ้า ยิ่งไปพัฒนามากมันก็ยิ่งบ้ามาก เรื่องทางวัตถุ ฝากไว้คิดดูเองว่าจริงหรือไม่จริง มันอวดกันอย่างฟุ้งเฟ้อ แต่ก็อวดกันในแง่ที่ไม่จำเป็น ในแง่ที่ผิด แง่ที่ทำลายสันติภาพและยิ่งอวดกันมาก ทีนี้เขากำลังอวดอะไรกัน นี่ประกวดระหว่างจักรวาล นางงามจักรวาลหรือว่านักมวยเอกของจักรวาล นี่มันเรื่องบ้าหรือเรื่องดี ไม่ต้องอธิบาย เข้าใจกันได้ คือว่ามันทำให้ยุ่งยากขึ้น หรือทำให้มันสงบลง มีสันติภาพหรือทำให้เกิดวิกฤตการณ์ ยิ่งพัฒนานี้มันยิ่งเจริ แต่มันยิ่งเจริญไปในทางเป็นบ้า ถึงขนาดที่เรียกว่าไม่รู้ว่าจะไปกันในทางไหนแล้ว คิดไปก็ยิ่งไกลสันติภาพออกไปทุกที ก็ยิ่งเป็นบ้า คือว่าหลงใหลมากขึ้นทุกที มันก็ต้องต่อสู้กัน แย่งชิงกัน ยื้อแย่งกัน ใครชนะก็กอบโกยเอาไป แล้วประเดี๋ยวมันก็เบื่อ เพราะว่ามันเป็นเรื่องหลอกๆ ทั้งนั้น เป็นเรื่องวัตถุ ทีนี้ก็ต้องตั้งต้นใหม่ ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้นสุด นี่เราสรุปไว้เป็นใจความสั้นๆ จำง่ายๆ ว่า โลกมันยิ่งพัฒนา มันก็ยิ่งทำให้ต้นไม้กลายเป็นต้นหญ้า ของพอดีในแทนที่จะเยือกเย็นเป็นสุขสงบสุข มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ มันก็เหยียดหยาม แล้วในที่สุดจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งหรือเป็นร่มเงาของมนุษย์ ศาสนาถูกเหยียบย่ำ ไอ้วัตถุมันถูกเชิดชู ศาสนามันถูกเหยียบย่ำ เรื่องทางวิญญาณถูกเหยียบย่ำ เรื่องทางวัตถุเนื้อหนังถูกเชิดชู ต้นไม้ไม่มีแล้วในโลกนี้ ไม่มีที่ๆจะให้พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้แล้ว กลายเป็นหญ้าไปหมด พระศาสดาทุกองค์ก็ว่าได้ นั่งตรัสรู้ที่โคนต้นไม้ ต่อไปนี้จะไม่มี นี่เรียกว่าไอ้ส่วนที่เป็นเรื่องของศาสนานี้มันจะหายไป โลกไม่มีอะไรจะบังแดดกันแล้ว มันมีแต่ไอ้สิ่งที่ทำความร้อนเสียเอง เป็นแดดเสียเองหมด ในที่สุดมันก็จะร้อนจัดเข้าจนลุกเป็นไฟ เขาพูดกันว่าไอ้โลกนี้มันจะหมุนเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ยิ่งขึ้นทุกที พอใกล้ถึงขนาดหนึ่งก็จะลุกเป็นไฟ เหมือนพระอาทิตย์ไปตามเดิม อาตมาว่าไม่น่ากลัว ไอ้น่ากลัวที่ว่าไอ้ต้นไม้มันกลายเป็นต้นหญ้านี่ คือสิ่งที่เป็นร่มเงาเป็นธรรมะเป็นสันติสุข สันติภาพมันถูกเหยียบย่ำ แล้วไปเอาความร้อนของกิเลส ของกามารมณ์ของวัตถุนิยมนี่ จะทำให้โลกไหม้เป็นไฟเสียก่อน ก่อนที่ว่าจะเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์ แล้วก็เป็นอย่างที่เป็นได้แน่ ๆ ไม่ต้อง ไม่ผิดพลาดเลย นี่เรียกว่ามันบ้าถึงขนาดที่สามารถทำต้นไม้ให้กลายเป็นหญ้า บ้าถึงขนาดที่จะทำธรรมะที่เป็นของร่มเย็นของโลกนั้นให้หมดไป กลายเป็นของเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า แล้วมันก็ทนอยู่กลางแสงแดดเปรี้ยงของกิเลส ของความทุกข์ที่เกิดมาจากกิเลส ซึ่งก่อรูปร่างขึ้นมาด้วยวัตถุนิยม
โลกในสภาพนี้คือโลกปัจจุบันนี้ เราไม่คิดเราก็ไม่เห็น หรือว่ามันชิน ชินไปทีละน้อย ละน้อย มันก็ไม่เห็น หรือว่าชินไปทีละน้อย ละน้อย มันก็ทนได้ แต่เดี๋ยวนี้คิดเผื่อลูกหลานเหลนข้างหน้าไว้ ถ้าอย่างไรก็ช่วยป้องกันไว้ให้เขาบ้าง เราจะได้เป็นปูชนียบุคคลแก่เขาบ้าง การที่สืบธรรมะ สืบอายุพระศาสนาไว้ ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วจะสืบไปทำไม จะสืบศาสนาไว้ทำไม ข้อนี้เป็นพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงห่วงเป็นอย่างมาก ก็ไปอ่านเอาดูเองในพระบาลี เดี๋ยวจะว่าอาตมาว่าเอาเอง ว่าเข้าข้างตัว ว่าพระพุทธเจ้าต้องการให้เราเผยแผ่ศาสนา ถ้าไปดูในบาลีก็จะเห็นว่าท่านทรงห่วงมาก พอมีสาวกจำนวนหนึ่งไม่กี่สิบคน ก็รีบส่ง ๆ ๆ ๆ ออกไป ให้มันเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก โดยเร็ว แล้วก็ทรงตั้งระเบียบบังคับไว้ในลักษณะที่ว่าอย่าให้ศาสนานี้มันสูญหายไปได้ ถ้าเราปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น ศาสนาจะรักษาตัวเองไว้ได้ ไม่สูญหายไป สรุปกันได้แล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านทรงหวังมาก ทรงเป็นห่วงมาก ทรงประสงค์อย่างยิ่ง ที่จะให้ธรรมะนี้ยังอยู่เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง การเป็นพระพุทธเจ้าก็เพื่อประโยชน์อันนี้ ถ้าไม่ต้องการประโยชน์อันนี้ ก็เป็นพระอรหันต์แต่ผู้เดียว สบายๆไปเสียเลย ทีนี้ไม่คิดอย่างนั้น คิดให้คนทั้งโลกได้รับประโยชน์ จึงพยายามที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ท่านว่ากันไว้อย่างนี้ก็มีเหตุผลอยู่ คือมันมีเหตุผลตรงที่ว่า ถ้าไม่ต้องการเห็นแก่ผู้อื่น เราก็มีภาระน้อยมีเรื่องน้อย ไปนั่งสบายเสียก็ได้ แต่ถ้าเห็นแก่ผู้อื่น ก็ต้องทำมากกว่านั้น และถ้าถามว่าควรจะเห็นแก่ผู้อื่นหรือไม่ควรจะเห็นแก่ผู้อื่น เพราะว่าถ้าเป็นมนุษย์มีใจสูง มันต้องคิดมากกว้างออกไปกว่าความคิดแคบๆ นี่มนุษย์มันต้องเห็นแก่ผู้อื่น ถ้าเป็นยอดมนุษย์มันก็ต้องยิ่งเห็นแก่ผู้อื่นเหมือนพระพุทธเจ้า นี่เราก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ก็ควรจะทำตามท่านด้วยความเห็นแก่ผู้อื่น
นี่คือข้อที่อยากจะปรารภ เป็นเรื่องแรกของการทำบุญอายุแบบล้ออายุในวันนี้ ชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่จริงอย่างไร แล้วก็จะได้ว่ากันต่อไปถึงการที่จะช่วยกันแก้ไข ซึ่งเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัททั้งหลาย ทั้งที่เป็นบรรพชิตและเป็นฆราวาส เดี๋ยวนี้สภาพการณ์ของศาสนาหรือของโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ ดูว่ายิ่งปีมันก็ยิ่งเป็นอย่างนี้มากขึ้น แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ เพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะเอาไอ้เวลาเรี่ยวแรงกำลังของเราไปใช้อะไรที่ไหน ให้ดีกว่านี้ ต้องเอามาใช้ที่นี่ ใช้ในการแก้ไขความทุกข์ ดับความทุกข์ทั้งของตนเองและทั้งของผู้อื่น คือให้มันเป็นประโยชน์นั่นเอง ถ้าเราจะนอนเสียมันก็ได้ แล้วก็ไม่เห็น ไม่เห็นมันดีอย่างไร ไปทำประโยชน์ผู้อื่นมันยังจะสนุกกว่านอนเสีย ใครไม่เชื่อไปลองดู นอนมันทั้งวันๆๆ มันจะสนุกอะไร มันก็ลุกขึ้นไปช่วยทำให้ผู้อื่นบ้าง มันจะสนุกอย่างไร หรืออะไร นี่ความเห็นแก่ตัวมันมากไปเสียแล้ว ไปคิดดูให้ดี เรามันเห็นแก่ตัวกันมากไปเสียแล้ว ต้องเอามาล้อต้องเอามาทรมาน มันรู้จักเห็นแก่ผู้อื่นบ้างให้มันทนลำบากได้ อดข้าวสัก ๒๔ ชั่วโมงก็ไม่มีความหมาย เราก็ช่วยกันเป็นผู้ไม่ประมาท ทำอะไรๆ ให้ทันแก่เวลา ที่ความแก่ชรามันลุกล้ำเข้ามาทุกที ช่วยกันแก้ไขโลกนี้ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย ใครว่าบ้า ก็ยินดีที่จะเป็นคนบ้าชนิดนี้ และวันนี้ก็ได้กล่าวมาพอสมควรแก่เวลา ที่เรียกว่าการทำบุญล้ออายุ ในตอนเช้า แล้วก็จะได้หยุดพักผ่อนกันเสียหน่อยหนึ่ง โดยเฉพาะอาตมาก็ยังต้องพูดอีกก็ต้องหยุดพักบ้าง ก็เป็นโอกาสให้พระสงฆ์สวดหมู่ แสดงธรรมะอะไรไปเรื่อยๆ หรือว่าฟังบรรยายอะไรเรื่อยๆ ชนิดที่อาตมาไม่ได้วิสัชนาเองนั้นสลับฉากกันไป ในตอนนี้ขอให้พระสงฆ์ทั้งหลายสวดสาธยายบทพระธรรมที่ให้กำลังใจแก่บุคคลผู้หวังจะทำประโยชน์อันใหญ่หลวงต่อไปอีก นิมนต์