แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับอาตมาโดยเฉพาะ ก็เป็นวันทำบุญอายุ แต่ว่าทำไปในรูปที่เรียกกันว่าล้ออายุ ไม่ใช่ต่ออายุ แต่ถ้าใครจะคิดดูให้ลึกซึ้งสักหน่อย ก็จะพบว่า ล้ออายุนั้นแหละทำให้อายุมันยืน หรือว่าขืน ล้ออายุไว้มันก็ไม่ผิด มันจะเดินไป(ใน)ทาง(ที่)ถูก มันก็ยืน นี่คือจะเป็นการต่ออายุที่แท้จริง ไม่(ใช่การ)ต่ออย่างที่ว่าๆ เอาเองนั้น ไม่รับรอง อาตมารู้สึกว่า การล้ออายุนั้นก็เท่ากับว่า(เป็น)การแก้ไข กล่อมเกลา ตกแต่งให้มันถูกต้อง สะอาดหมดจดไว้เรื่อย มันก็ย่อมจะดีอยู่ ก็เลยอายุยืน ถ้าคิดอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าเห็นด้วยก็คงจะมีคนเอาอย่าง คือ ล้ออายุกันบ้าง อาตมานั้นคิดว่าดีแน่ การล้ออายุนี้ก็อาศัยพระพุทธภาษิตที่ว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด พระพุทธองค์ทรงเตือนเป็นคำสุดท้ายก่อนแต่จะเสด็จปรินิพพานด้วยประโยคๆ นี้ ว่าเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด อาตมาถือเอาความหมายอันนี้ที่ว่าไม่ประมาท จึงเอามาเป็นหลักว่าเราก็จะไม่ประมาทด้วยการล้ออายุ คิดว่าคงจะดีแน่ มันเหมือนกันกับว่าคิดบัญชีกันเสียทีหนึ่งในหนึ่งปี เป็นการทดสอบดู ถึงวันนี้ก็เรียกว่าเป็นวันคิดบัญชีเกี่ยวกับได้-เสียเนื่องในการล้ออายุ (3.41) ขืนปล่อยไว้มันก็จะหมักหมมเหมือนกับว่าไม่ได้ปัดกวาดให้สะอาด อาจจะลำบากทีหลัง ลำบากเหลือประมาณก็ได้ คือมันมากเกินไปในการหมักหมม ถ้าเอามาล้อไว้บ่อยๆ ก็เหมือนกับว่าชำระสะสางกันอยู่บ่อยๆ ถ้ามีอะไรผิด ก็จะได้จัดการ ถ้าผิดมาก ก็จะได้ด่ามันเสียบ้าง เหมือนกับต้องจัดการกันให้เฉียบขาดรุนแรง ไม่ผ่อนผันอย่างที่เรียกกันว่าฟันต่อฟัน ตาต่อตา มันผิดเท่าไร ก็จะจัดการกับมันเท่านั้น อย่างนี้แหละ(จึง)จะเรียกว่าเป็นการล้ออายุในความหมายที่ถูกต้อง
ทีนี้ก็จะดูกันต่อไปอีกแง่หนึ่ง คือดูกันในแง่ที่ว่าเรามันอยู่ร่วมกันกับคนอื่นในโลกนี้ มีเพื่อนอยู่กันในโลก หรือจะเรียกว่า มีโลกก็ยังได้ ดังนั้น ก็ควรจะเหลือบตาดูเพื่อน หรือดูโลกกันอีกบ้างตามสมควร จะได้ไม่ให้เพื่อนมันหลอก หรือว่าเพื่อนไม่หลอก มันก็จะได้ไม่ต้องลืมเพื่อน จะได้ไม่ปล่อยให้โลกพาไปตามกระแสโลกๆ ตัวเราก็จะดึงเอาเพื่อนหรือเอาโลกไว้ ถ้าทำไม่ได้โดยวิธีอื่น ก็ด้วยวิธีล้อเพื่อนล้อโลกอีกนั่นแหละ ก็จะเป็นการดี เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายสังเกตดูให้ดีเถิด ว่าการศึกษาก็ดี การเศรษฐกิจก็ดี ความเจริญในการผลิตเช่นอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ดี การเมืองก็ดี อะไรๆ ก็ดี ดูแล้วมันอยู่ในสภาพที่น่าล้อ นี้เรียกว่าอย่างเมตตาปราณี จึงใช้คำว่ามันน่าล้อ ถ้าพูดตรงๆ แล้วมันจะเป็นคำหยาบ ทีนี้มาดู(ถ้า)เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำให้มีความทุกข์ มีความลำบาก เราก็อย่าไปตามเขา อย่าไปตามก้นเขา เขาจะพาไปลงเหว เหวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียก คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ที่จัดไว้อย่างผิดๆ ก็ทำให้คนพลัดตกลงไป ก็จะมีความทุกข์ (แบบ)นี้เราอย่าไปตามก้นเขาในการที่จะลงเหว อย่างไรก็หัวเราะดีกว่า สงสารดีกว่า หัวเราะไปพลาง สงสารเขาไปพลาง จะล้อเขาไปพลางก็ระมัดระวัง ว่าล้อก็ล้ออย่างมิตรสหาย ไม่ใช่จะล้ออย่างประจานให้เจ็บให้อาย เพราะคนเราไม่ชอบที่จะถูกทำให้เจ็บให้อาย อย่างมากก็จะทำได้เพียงให้มันรู้สึกขบขัน แล้วมันนึกได้เอง เขาไม่เสียเกียรติ คือเขาไม่รู้สึกว่าเสียเกียรติ แล้วเขาก็จะทำตามเรา นี่เราจะดูเพื่อนของเรา หรือดูโลกทั้งหมดด้วย ไม่ใช่ดูแต่ตัวเอง แต่ว่าถ้ายิ่งดูเพื่อน ดูโลกเท่าไร มันก็จะเป็นการดูตัวเอง ชำระสะสางตัวเองด้วย เพราะว่าเราต้องระมัดระวังไม่ให้มันเลวกว่าเพื่อน ก็อย่าลืมหันมาล้อตัวเองบ้าง หรือล้อพร้อมๆ กันไปว่าได้มามีโชคดี ได้มาอยู่ร่วมโลกกันเวลานี้ ก็เป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนยาก เพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันไป ก็จะได้ไม่ล้อชนิดที่ว่าประจาน หรือทำให้เจ็บใจ นี่แหละอาตมาเรียกว่าล้ออายุ ถ้าท่านอยากจะรู้ว่าล้ออายุคืออะไร ก็ฟังดูในลักษณะอย่างนี้ว่าอาศัยพระพุทธภาษิตที่ว่าอย่าประมาทเลยในประโยชน์ตนเองก็ดี ในประโยชน์ผู้อื่นก็ดี หรือว่าในประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นก็ดี จงได้ทำให้สำเร็จประโยชน์ด้วยความไม่ประมาทเถิด
เรื่องความประมาทนี้ก็หมายถึงความประมาทที่คนเรามักจะมีกันตามธรรมดาสามัญทั่วไป โดย เฉพาะอย่างยิ่งคือประมาทเกี่ยวกับเวลา เช่น ความแก่ ก็ไม่ได้คิดถึงความแก่ ก็ประมาทอยู่ ถ้านึกถึงพระพุทธภาษิตที่ว่า อย่าประมาท ก็ควรจะนึก จะนึกถึงความแก่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็อยากจะเล่าเรื่องในพระบาลีสังยุตตนิกายสักเรื่องหนึ่ง ตามที่ปรากฏอยู่ในสูตรนั้นอันว่าด้วยเรื่องความแก่ของพระพุทธเจ้า สูตรนั้นมีข้อความว่า ที่วิหารบุพพารามใกล้ๆ กับเมืองสาวัตถีนั่นเอง เวลาเย็นวันหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงออกมานั่งผิงแดดอ่อนๆอยู่กลางแดด พระอานนท์ก็ผ่านมาเห็นเข้า ก็เข้าไปลูบที่องค์ของพระพุทธเจ้าด้วยมือไปทั่วๆ ตัว ปากก็พูดพร่ำทูลพระพุทธเจ้าว่า “อัจฉริยัง ภันเต น่าอัศจรรย์พระเจ้าเข้า อัพพูตัง ภันเต ไม่เคยมีแล้วพระเจ้าข้า นะเต ปะทานิ ภันเต ภะคะวะโต สาวะปริสุทโธ ฉวีวัณโน ปะโยทาโต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฉวีวรรณของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องเสียแล้วในกาลนี้ สิทธิลา จะภัตตานิ สันฐานิ วะลิชาตานิ พระกายหย่อนแล้ว เป็นรอยย่นแล้ว ปุระโต ปัพพาโร จักกาโย กายนี้เงื้อมไปข้างหน้าแล้ว ค่อมไปข้างหน้าแล้ว ฐิติสิจจะ อินทริยานิ อันยะถัตตัง อินทรีย์ทั้งหลายเปลี่ยนไปโดยความเป็นประการอื่นแล้ว จักษุอินทรีย์ก็ดี โสอินทรีย์ก็ดี ธารอินทรีย์ก็ดี ชิวหินทรีย์ก็ดี กายอินทรีย์ก็ดี ปรากฏโดยความเป็นอย่างอื่นแล้วดังนี้” (12.03-13.40) นี่ขอให้ท่านคิดดูว่า แม้แต่ร่างกายของบุคคลอย่างพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นอย่างนี้ บางคนอาจจะไม่เข้าใจอย่างนี้ โดยได้อ่านได้ฟังแต่เรื่องมหาปุริสลักษณะ ว่าพระองค์มีร่างกายผุดผ่องมีสีเป็นทองเปล่งปลั่งอยู่เรื่อย แล้วทำไมในสูตรนี้จึงกล่าวอย่างนี้ว่ามีพระวรกายเหี่ยวย่น มีเม็ดมีจุด มีรอยริ้ว ร่างกายก็ค้อมไปข้างหน้า อาตมาก็ชักสงสัยเหมือนกัน ว่านี่บาลีมันมีอยู่อย่างนี้จะจริงหรือปลอมก็ไม่ทราบ แต่ก็เชื่อ เชื่อถือตามบาลีนี้กันไปก่อน ว่าแม้ร่างกาย พระสรีระของพระพุทธเจ้าก็มีลักษณะแก่ชราอย่างนี้ เมื่อพระอานนท์กล่าวแล้วอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า “เอวัน เหตัน อานันทะ ดูก่อนอานนท์อย่างนั้นๆ ถูกแล้ว โหติ ชราธัมโม โยกภันเย ความชรามีอยู่ในความหนุ่ม พยาธิธัมโม อาโรคะเย ความเจ็บไข้มีอยู่ในความไม่มีโรค มรณะธัมโม ชีวิเต ความตายมีอยู่ในชีวิต อะเจวะตาวะ ปริสุทโธ โหติ ฉวีวัณโณ ปะโยทาโต ถูกแล้วเดี๋ยวนี้ฉวีวรรณมิได้บริสุทธิ์ขาวผ่องเสียแล้ว (15.00-15.54) ข้อความต่อไปก็เหมือนกับที่พระอานนท์กล่าว ว่าร่างกายนี้หย่อนเป็นรอยย่น กายเงื้อมไปข้างหน้า อินทรีย์ทั้งหลายเป็นไปโดยประการอื่น ไม่แจ่มใสเสียแล้ว แต่ข้อที่ควรจะสนใจเป็นพิเศษก็คือข้อที่พระองค์ตรัสว่า ชราธัมโม โยกภันเย ในความหนุ่มนั้นมีความแก่ พยาธิธัมโม อาโรคะเย ในความไม่มีโรคนั้นมีโรค มรณะธัมโม ชีวิเต ในชีวิตนั้นมีความตาย ท่านทั้งหลายลองคิดดูเถิดว่า พระองค์ได้ทรงหมายความว่าอย่างไร ว่าในชีวิตนั้นมีความตาย ใครกล้าอวดดีว่ามีชีวิต ก็ดูว่ามันมีความตายอยู่ที่ตรงไหนหรือเปล่า ต้องมองกันด้วยสติปัญญาจึงจะเห็นว่า ในความชรา ในความชรานั้นมันมีในความหนุ่ม เมื่อหนุ่มอยู่มันก็ยังมีความชรา เนื้อแตกก่อน(17.27) ที่จะเป็นหนุ่มก็มีความชรา ก็หมายถึงความเปลี่ยนไป มันมีความชราในความหมายที่ลึกกว่าธรรมดา พระอานนท์ว่าชรา เนื้อหนังเหี่ยว ผิวพรรณซูบซีด ร่างกายคดงอ แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ชรามีอยู่ในความหนุ่ม ความเจ็บไข้มีในความไม่เจ็บไข้ เราคิดว่าเราสบาย เราไม่เจ็บไข้เดี๋ยวนี้ ทุกคนที่นั่งที่นี่คงคิดว่าเราไม่เจ็บไข้ แต่ในความไม่เจ็บไข้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านว่า มันมีความเจ็บไข้ มีความเจ็บไข้อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ ซึ่งมันยิ่งไปกว่าความเจ็บไข้ธรรมดา ใครมองเห็นแล้วก็คงจะไม่ประมาท ในชีวิตที่เรียกว่ายังหายใจอยู่นี้ มันมีความตาย มันเป็นความตายที่ลึกซึ้ง ก็คือความประมาท เยปะมัตตา เยปะมัตตา ยะถา มะตา พวกใดประ มาทแล้ว พวกนั้นตายแล้ว ก็ลองคิดดูว่าที่นั่งอยู่ที่นี่ มันมีใครที่ยังเป็นอยู่สักกี่คน มันมีความตาย ก็มีความประมาทอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ มันลำบากที่จะเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความประมาท เพราะเมื่อประมาทแล้วมันก็ไม่รู้จักตัวเองว่าประมาท เหมือนกับคนบ้า ไปถามเขาดูเถอะ เขาว่าไม่บ้า หรือว่าคนเมา ไปถามเขาดูเถิด เขาว่ากูไม่เมา ก็จะเกณฑ์ให้คนที่ไปถามนั้นแหละเป็นคนบ้า หรือเป็นคนเมาเสียอีก นี่ถ้าเราเป็นคนประมาท ก็เท่ากับเป็นคนบ้าอยู่เองแล้ว ก็คงจะไม่คิดว่าตัวเองบ้า หรือประมาท เพราะฉะนั้นจึงมีความประมาท แล้วก็มีความตาย ทีนี้อาศัยความไม่ประมาทนี้เป็นเหตุให้เกิดการล้ออายุ สิ่งที่เรียกว่าล้ออายุของอาตมา ปรารภความไม่เป็นประมาท ถ้าท่านเห็นด้วย ก็ลองดูบ้าง ช่วยกันล้ออายุดูบ้าง นี้จึงได้เกิดการล้ออายุขึ้นสำหรับอาตมาเองด้วยความรู้สึกอย่างนี้ วันนี้ก็มาถึงเข้าอีกวันหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ปีนี้ก็บังเอิญตรงกันพอดีกับวันอาทิตย์ (อาตมา)เกิดวันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ปีกลายนี้ก็บังเอิญไปตรงกับวันวิสาขะ ก็เรียกว่ามีส่วนที่จะบังเอิญได้อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่น่านึกน่าคิดอยู่เหมือนกัน
ทีนี้วันนี้ วันที่กำหนดไว้สำหรับการล้ออายุมาถึงพอดี อาตมาก็อยากจะเริ่มการกระทำนี้ต่อไปตามเคย สมกับที่ท่านทั้งหลายได้อุตส่าห์มาร่วมงานทำบุญล้ออายุ ซึ่งเชื่อว่าคงจะได้บุญมากกว่าการต่ออายุตามธรรมดาสามัญที่เลี้ยงกันใหญ่ อะไรกันใหญ่ เดี๋ยวนี้ล้ออายุในชนิดที่คนไม่ค่อยคิด อย่างไรก็ดี ในชั้นแรกนี้ ก็อยากจะขอแสดงความขอบคุณและอนุโมทนาในการที่ท่านทั้งหลายได้มาในวันนี้ เนื่องด้วยเรื่องนี้ ถือโอกาสขอบคุณตามธรรมเนียมเสียบ้าง แต่คงจะไม่ขอบคุณอย่างที่เขาขอบคุณกันอีกแน่ ขอบคุณว่า คุณก็กล้าหาญกันขึ้นบ้างแล้ว มีคนบอกหลายคนว่ายินดีให้ของขวัญด้วยการอดข้าว ๒๔ ชั่วโมง นี่ก็แสดงว่าคุณก็กล้าหาญกันขึ้นบ้างแล้ว ดังนี้จึงขอบคุณที่ว่าช่วยกล้าหาญกันขึ้นบ้าง เอาอย่างกันขึ้นบ้าง หรืออีกทีหนึ่งก็ขอบคุณว่านี่มาช่วยกันศึกษาความไม่ประมาท เดี๋ยวนี้ก็ยังเห็นว่าประมาทอยู่ จะมาช่วยกันทำลายความไม่ เอ้ย ความประมาท เป็นการศึกษาให้เกิดความไม่ประมาท ก็ขอบใจ หรือว่ามาร่วมกัน ร่วมมือกันช่วยกันมองโลก หรือมองชีวิตในแง่ที่พิเศษกว่าธรรมดา ก็ขอบใจที่พวกคุณมาเพื่อร่วมมือกันในข้อนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องสูงไปในทางเรื่องจิตทางวิญญาณ สูงไปกว่าเรื่องธรรมดา ก็ขอบใจการที่มาสนใจในเรื่องทางวิญญาณที่เคยถูกมองข้ามอยู่ตลอดเวลา ก็ยังมีคนเป็นอันมากไม่ชอบฟังคำว่าทางวิญญาณ เขาก็เอาไปล้ออยู่อีกทางหนึ่ง ไอ้เรามันชอบคำว่าทางวิญญาณ ก็เอามาพูดกันอยู่อีกทางหนึ่ง นี่คือข้อที่ว่ารู้สึกขอบคุณท่านทั้งหลาย แล้วก็ขออนุโมทนาด้วย คือมีความดีใจว่ามันมี(ความ)หวัง(ว่า)จะดีขึ้นเป็นแน่นอน และเชื่อว่ามันจะถูกต้องยิ่งขึ้นไปอีกอย่างน่าพอใจ ขอขอบคุณ ขออนุโมทนาแก่บุคคลผู้ร่วมกิจการอันนี้ ตลอดถึงผู้ที่สนับสนุนกิจการต่างๆ ของสวนโมกข์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จะรื้อฟื้นกิจการในทางวิญญาณ ตลอดถึงบุคคลอื่นๆ ที่เป็นห่วงในสุขภาพอนามัยส่วนตัว(ของ)อาตมา ก็พูดกันอยู่ นี่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ขอขอบคุณ และอนุโมทนา ตามธรรมเนียมบ้าง ผิดธรรมเนียมบ้าง ก็มองดูเอาเองก็แล้วกัน
ทีนี้อีกทางหนึ่งอาจจะมีได้ บางคนก็คิดว่าล้ออายุ ล้ออายุนี้มันเป็นเรื่องที่มาให้ท่านด่ามากกว่า เคยได้ยินบางคนพูดว่าอย่างนี้ บางคนก็คิดอยู่ในใจก็ได้ แต่ได้ยินบางคนพูดออกมาว่ามาให้ท่านด่า (เรื่อง)นี้มันก็ถูกเหมือนกัน หรือมันอาจจะถูกเหมือนกัน ถ้าพูดกันอย่างนี้ อาตมาก็จะพูดบ้างว่า ขอพูดเสียเลยว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ด่า อาตมารับเอาคำด่าของท่านมาชำระสะสางเรื่องที่ถูกด่า มันจึงรอดตัวมาได้ในลักษณะอย่างนี้ (แต่)นี่คำว่าด่านี้มันก็ไม่ใช่เรื่องอย่างที่คนเขาด่ากันอีกแหละ อะไรๆ มันก็เป็นพิเศษ(ไป)หมดสำหรับเรื่องนี้ แม้แต่คำด่าก็ไม่ใช่ด่าอย่างธรรมดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คำด่าเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ แต่ไม่มีใครเคยรับเอาในฐานะเป็นคำชี้ขุมทรัพย์ อาตมาได้เคยรับเอา รับเอาคำด่าของพระพุทธเจ้าที่เป็นคำชี้ขุมทรัพย์ทุกตัวอักษรเลย ทีนี้ก็เอามาออกตัวกับพวกท่านทั้งหลายบ้าง ถ้าท่านคิดว่าด่ากันเสียบ้างก็ดีเหมือนกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฉันจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอมเหมือนช่างหม้อเขาทำแก่หม้อที่มันยังเปียกยังดิบอยู่ คือท่านก็ทำโผงผางไปตามเรื่อง โยถาโร โสภัสติ (28.21) คนใดมีแก่น คนนั้นจะทนอยู่ได้ คนไม่มีแก่น มันก็ไป ลุกหายไปเลย มันไม่มีแก่น พูดเข้านิดเดียว มันก็เปิดเลย ถ้ามันมีแก่น มันทนได้ มันก็ตั้งอยู่ได้ นี่ขอให้ถือเอาคำนี้เป็นพิเศษอีกตามเคย เช่นเดียวกับคำว่าล้ออายุ ทำบุญอายุ เรามีความหมายพิเศษ ถ้าพูดถึงไอ้คำด่าก็ให้มันเป็นด่าพิเศษ นิธีนังวะ ปะวัตตารัง(29)ให้เห็นคนด่าเหมือนกับคนชี้ขุมทรัพย์ อย่างนี้ก็แล้วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำด่าของพ่อแม่นั่นแหละเป็นการชี้ขุมทรัพย์ทุกคำ เว้นแต่ลูกสมัยนี้มันไม่คิดว่า(เป็น)อย่างนั้น ไอ้ลูกผ่าเหล่าสมัยนี้ มันคิดว่ามันมีหนี้ มันเป็นเจ้าหนี้กับพ่อแม่ของมัน เอากับมันสิ เพราะฉะนั้นคำด่าของพ่อแม่ก็ไม่เป็นคำชี้ขุมทรัพย์ มันก็โกรธ มันก็ชกพ่อแม่ มันก็ฆ่าพ่อแม่ มันก็มีหนาหูขึ้นในหนังสือพิมพ์ว่าลูกนี่ฆ่าพ่อฆ่าแม่มากขึ้น ทีนี้วัฒนธรรมเก่าจึงให้ถือว่าคำด่าของพ่อแม่ ของครูบาอาจารย์นั้นเป็นการชี้บอกขุมทรัพย์ ทว่าในวันนี้ ซึ่งเป็นวันล้ออายุ มันมีการด่า ก็มองดูให้ดี มันคงจะเป็นการชี้ขุมทรัพย์มากกว่า เพราะมีเจตนาอย่างนั้น ใครจะคิดว่ามาให้ด่า ก็ถูก แต่ให้เข้าใจคำว่าด่านั้นให้ถูก(ต้อง)ด้วย นี่เป็นความหมายอันหนึ่งของวันล้ออายุ คือมาด่ากันใหญ่เลย คนที่มาก็ไม่ได้อะไร นอกจากคำด่า แต่ถ้ามันเป็นคำด่าอย่างพิเศษ มันก็ต้องได้ผลอย่างพิเศษ
ทีนี้ที่เรียกว่า อดข้าวกันวันหนึ่งเป็นการให้ของขวัญ ทีนี้ปีกลายก็ได้พูดมากแล้ว ว่าของขวัญนี้หมายถึงอะไร ทำไมอาตมาต้องการของขวัญชนิดนั้น ของขวัญอย่างอื่นไม่เอา โดยเฉพาะวันนี้ ให้ของขวัญอย่างอื่นไม่เอา ไม่ยอมรับว่าเป็นของขวัญ ต้องการอย่างเดียว การอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงเป็นของขวัญที่ต้องการในวันนี้ ทำไมเรียกว่าเป็นของขวัญ ของขวัญแก่ใคร ก็ของขวัญแก่คนให้ ให้กันไปให้กันมา อาตมาให้ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายก็ให้อาตมา มันเป็นของขวัญ คำว่าของขวัญนั้น เขาก็มีความหมายดีกันอยู่แล้วว่าให้แล้วมันก็มีประโยชน์ เป็นที่ชอบใจ ขอบใจ ผูกพันกันไปนานทีเดียว เอาไปวางไว้เห็นอยู่ ก็ระลึกนึกถึงกันอยู่ แต่ของขวัญนี้ก็เหมือนกันอีกนั่นแหละ มันก็จะเป็นประโยชน์แก่กัน เป็นที่พอใจแก่กัน จะระลึกนึกถึงตลอดกาลนาน
เมื่อเป็นดังนี้ เราก็จะพิจารณากันดูให้ดีสักหน่อย เรื่องการอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงมีคนเข้าใจผิดกันมาก นั้นก็คือความประมาทเหมือนกัน ความประมาทแปลว่าเมาอย่างทั่วถึง ก็คือโง่ เมาความโง่อย่างทั่วถึง ก็(คือ)ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สำหรับการอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงที่เรียกร้องเป็นของขวัญนี้ ในปีที่แล้วมาก็คิดบัญชีให้ดูว่า ถ้าในแง่ของเศรษฐกิจก็เป็นตัวเลขที่น่าใจหาย เกิดให้ของขวัญกันวันนี้ สมมติว่าเป็นไปได้ทั้งประเทศ ก็ประหยัดเงินได้ไม่รู้กี่ร้อยล้าน คน ๓๐ ล้านไม่กินอาหาร ๒๔ ชั่วโมงนี้ประหยัดเงินได้เท่าไร (เรื่อง)นี้ไม่พูดอีก เพราะพูดแล้วแต่ปีกลาย (ตอน)นี้พูดในแง่อื่นๆ ต่อไปบ้าง หรือว่าพูดรวม ถ้าพูดกันในแง่ธรรมะ บางคนก็เข้าใจว่า การอดข้าวนี้เป็นอัตตกิลมถานุโยค ทีนี้คนขี้ขลาดมันพูด มันไม่จริง พูดในแง่อนามัย หมอบางคนว่าผิดอนามัย มันก็หมอขี้ขลาด รู้จักแต่ตัวหนังสือ ที่จริงมันกลับเป็นอนามัย กลับส่งเสริมอนามัยที่จะอดข้าวเสียสัก ๒๔ ชั่วโมงนี้ ในแง่ของธรรม ชาติ มันก็ไม่ผิดธรรมชาติ ไม่เหลือธรรมชาติ ไปดูตามธรรมชาติ ก็ให้ไปดูที่สัตว์เดรัจฉาน มันก็แล้วแต่เหตุแต่ปัจจัย มันกินบ้าง ไม่กินบ้าง ไม่กินก็ได้ กินก็ได้ แล้วก็ไม่กินมาก แล้วก็ไม่เกิดขี้ขลาด เหมือนกับคนที่ว่าไม่ได้กินแล้วจะเป็นลมบ้าง จะเสียอนามัยบ้าง สัตว์เดรัจฉานไม่มีเป็นลม ไม่มีเสียอนามัย เพราะว่าบางวันไม่ได้กินข้าว มันก็แล้วแต่เหตุผล สัตว์ที่จำศีลตั้งเดือน ตั้ง ๒ เดือน ก็ไม่ได้กินอาหารเป็นเดือนๆ มันก็ไม่เห็นเป็น(อะ)ไร มันกลับสบายดีกว่าเสียอีก นี่ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ก็ไม่เห็นว่ามันขัดหรือว่ามันฝืนกับกฎธรรมชาติ
แต่ทีนี้มันมีเรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องธรรมะในชั้นลึก การรู้จักหัดอดอาหารเสียบ้างนี้ ดีที่สุดในแง่ของการบังคับจิตใจ คนเราต้องรู้จักบังคับจิตใจ สามารถบังคับจิตใจได้ตามที่ต้องการ ปรับปรุงขยับขยายเรื่องในจิตใจให้มันเป็นไปได้ตามที่ต้องการ การอดอาหารวันหนึ่งดีมากในแง่ของการบังคับจิตใจสำหรับคนที่ฝึกได้ และจะยิ่งเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่จิตใจในตอนหลัง นี่เป็นหัวข้อย่อๆ ว่าการอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงนั้นไม่ต้องกลัว ลองคิดดูกันให้ดีๆ ว่าอดข้าวนี้มันมีประโยชน์อะไร มันมีประโยชน์หลายอย่างทีเดียว มันมีเหตุผลหลายอย่างทีเดียว มันมีเรื่องที่ชวนให้คิดได้หลายอย่าง เมื่อวันคลอดออกมาจากท้องแม่ มันกินข้าวกันเมื่อไร แล้วมันกินเข้าไปได้เมื่อไร ขืนกินเข้าไปมันก็ตาย ทีนี้มันก็วันเกิด จะเรียกวันเกิดทางจิตใจ วันเกิดโดยธรรมะ วันเกิดโดยอริยชาติ โดยอะไรต่างๆมันก็เป็นวันเกิด วันคลอด มันก็ไม่ควรเป็นห่วงเรื่องกินข้าว ถึงวันเกิด น่าจะได้ระลึกไว้ว่าเมื่อเราเกิดวันนั้น เราไม่ได้กินข้าว ไม่ได้กินมาหลายวันจนกว่าจะกินข้าวเป็น ของเราก็คงจะเหมือนกับของพระพุทธเจ้าในส่วนร่างกายนี้ แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านมีการเกิด และมีวันเกิดพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือเกิดทางวิญญาณ เกิดโดยอริยชาติ คือเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พอท่านเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ไปอ่านดู ไม่ได้ฉันอาหาร ๔๙ วัน ในบาลีเขาเขียนกำกวม ในอัตตคาถาเขาเขียนไว้ชัดว่าพอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเลยลืมฉันอาหารไปด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบ ถึง ๗ สัปดาห์หรือ ๔๙ วันไม่ได้ฉันอาหาร พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้า วันเกิดนี่คือวันตรัสรู้ของท่าน ไม่ได้ฉันเลย มันมีอะไรเล่าที่ทำให้ท่านไม่ฉัน หรือว่าท่านลืมฉัน หรือว่าฉันไม่ลง เพราะอะไร เพราะว่ามันมีอะไรที่มีน้ำหนักมาก มีความหมายมาก จนเรื่องฉันอาหารไม่มีความหมายไปเสีย นี่เดี๋ยวนี้พวกเรามันคงจะไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรดีพอที่จะให้เคารพตัวเอง ไม่มีอะไรดีพอที่จะให้ปลาบปลื้มจนลืมฉันอาหาร ขอให้ไปคิดดูในข้อนี้บ้าง ว่าการอดอาหาร ๒๔ ชั่วโมงเป็นของเล็กนิดเดียว เมื่อเห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โต ก็ไปวัดทดสอบดูว่า คนนั้นยังมีจิตใจชนิดไหน ยังเป็นอะไร เราที่ไม่เห็นว่ามันไม่แปลกอะไรกับการที่จะไม่ฉันอาหาร ๒๔ ชั่วโมงนี้ มันจะผิดจากคนนั้นอย่างไร เหลือบดูไปทั่วๆโลก จะเห็นว่าเขาทำเพื่อกินกันทั้งนั้นแหละ ทำเพื่อกินกันตลอดอายุไปเลย คนตั้งค่อนโลก หรือว่าตั้ง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ยิ่งกว่าค่อนโลกนี่ เขาทำเพื่อกิน อยากกิน กิน กิน กินกันจนท้องมันกินไม่ไหว มันกินให้เอร็ดอร่อย ไม่มีขอบเขต จนเป็นกินเหยื่อไปทั้งนั้น มันติดนิสัยอย่างนี้แล้ว พอได้ยินว่าไม่กินอาหารสัก ๒๔ ชั่วโมงมันก็จะเป็นลมตาย พอสัก(แต่)ว่าได้ยินก็จะเป็นลมตาย (ที)นี้คนที่ไม่รู้เรื่องของพระพุทธเจ้ามันก็เป็นอย่างนี้เอง นี่ขอให้เข้าใจว่าเรื่องอดข้าว ๒๔ ชั่วโมงนั้นนะเป็นเรื่องเด็กเล่นสำหรับคนที่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ไอ้มนุษย์ไม่เป็นคน หรือว่าคนไม่เป็นมนุษย์ก็ตาม เพราะเหตุที่ว่ามันเข้าใจผิดแม้แต่เรื่องอย่างนี้ จึงเป็นทาสของการกินมากเกินไป เป็นทาสของปากของท้อง ของอายตนะมากเกินไป แล้วไปดูสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นทาสของการกินมากเท่านี้หรืออย่างไร นี่ อย่าเพิ่งโกรธอาตมาเสียแล้ว กลุ้มคิดไม่ออก เทียบกันไม่เป็น ไปดูสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นทาสของการกินมากเหมือนเรา มนุษย์หรือไม่ ถ้าว่าเราเป็นทาสของการกินมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน เราก็ควรจะอายมันบ้าง นี่ยังไม่ทราบว่า สุนัขของอาตมาได้กินอาหารแล้วหรือยัง มันตามมาอยู่เสียที่นี่ เขาเลี้ยงอาหารที่โน่น มันก็ไม่ไป เพราะว่าอาตมาอยู่ที่นี่ ไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องอาหาร เพราะมันมีอะไรที่เป็นอารมณ์ที่ใหญ่กว่า สูงกว่า ก็ลืมหิว ลืมหิวอาหาร ถึงหิวมันก็ไม่ถึงกับทำอันตรายให้เดือดร้อน ก็ปัญหาของคนมันก็มากกว่าปัญหาของสัตว์เดรัจฉานเกี่ยวกับเรื่องการกินอย่างเดียวเท่านั้น ดูแล้วมันก็น่าหัวที่ว่า ไม่รู้จักกินอะไรอื่นให้ดีกว่ากินข้าว รู้จักแต่กินข้าวเอร็ดอร่อยทางปากทางลิ้น ไม่รู้จักกินอะไรอื่นให้ดีกว่ากินข้าว คือกินอะไรที่ทำให้พระพุทธเจ้าท่านลืมเสวยอาหารไปตั้ง ๔๙ วัน นั่นแหละอันนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากินยิ่งกว่าข้าว นี่มาพูดว่า ไม่ได้กินข้าวนั้น ๒๔ ชั่วโมงมันมาก มันไม่สม่ำเสมอของร่างกาย บางคนคิดอย่างนี้ อาตมาเคยคิดอย่างนี้ เคยถูกสอนอย่างนี้ เคยว่าตามๆ กันมาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อแล้ว แล้วก็ไม่สอนอย่างนี้ ไม่เห็นแปลกอะไร จะกินบ้างไม่กินบ้าง มันก็แล้วแต่เหตุผล แล้วแต่อารมณ์ แล้วแต่จิต(ที่)มันได้กินอะไรที่ดีกว่าข้าว แล้วมันจะมากินข้าวทำไมให้ลำบาก ให้เสียเวลา มันไม่เสียอนามัย เพราะว่าคนนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่เครื่องจักร มันมีจิตใจที่มันยืดหยุ่นได้กระมัง ถ้าว่าเสียอนามัย มันก็(เป็นการ)เสียของคนขลาด คนขลาดมันยึดมั่นถือมั่น จะให้เป็นเครื่องจักร มันก็เป็นการเสียอนามัยของคนขลาด คนชนิดนี้เป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งไปจนตาย ไปติดสังเกตดูเถอะ(44.47) คนที่ว่าอนามัย เสียอนามัยเพราะว่ากินบ้างไม่กินบ้าง มันไม่ได้มีเหตุผล มันเป็นโรคเป็นเส้นประสาท มันยึดมั่นถือมั่น ตามความรู้สึกของอาตมา ว่าเว้นเสียมื้อหนึ่ง เว้นเสีย ๒๔ ชั่วโมงรุ่งขึ้นนี้มันยังสบายกว่า เบาสบายกว่า รู้สึกที่ว่าไฟธาตุจะดีกว่า ร่างกายก็สบายกว่า ดังนั้นอย่าไปเชื่อทางคนขี้กิน ไปอ้างว่าทำอย่างนั้นมันเป็นอัตตกิลมัตถานุโยค ถูกแล้วมันเป็นอัตตกิลมัตถานุโยคของคนโง่ คนบ้า คนเป็นโรคเส้นประสาทของคนขี้ขลาด ไม่ใช่อัตตกิลมัตถานุโยคอย่างที่ตรัสไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คนละเรื่องกันเลยทีเดียว นี่ควรจะพิจารณาตัวเอง สงสารตัวเองกันทุกคนว่า โธ่เอ้ย คนที่ไม่รู้จักกินอะไรอื่นให้ดีกว่ากินข้าว ไม่ได้กินข้าว(เข้า)สักหน่อย ก็จะเป็นลมตายแล้ว คนชนิดนี้มันต้องตายข้าวคาปาก เพราะว่าคนที่นั่งแวดล้อมมันอยู่ มันก็จะให้กินเรื่อย ไอ้คนที่จะตาย มันก็อยากจะกินเรื่อย มันก็ได้ตายจริงข้าวคาปาก อาตมาอยากจะให้ของขวัญชนิดที่ว่าไม่ต้องเป็นคนตายชนิดข้าวคาปาก ให้เป็นอิสระจากสิ่งที่เรียกว่าข้าวชนิดนี้เสียบ้าง แล้วไปมีความดีอย่างอื่นที่ทำให้ไม่หิวข้าว แม้จะตายก็ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องข้าว เตรียมตัวพร้อมสำหรับจะมีอะไร จิต อยู่ที่จิตใจ แล้วก็ดับไม่เหลือไปอย่างนั้นดีกว่า ทีนี้ทำไม่ได้เพราะมันเห็นแต่จะกินข้าว เดี๋ยวนี้ก็ตระเตรียมไว้กันเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ดีกว่า ที่ว่าเราจะกล้าหาญหรือมีความเข้าใจถูกต้อง มีความเข้มแข็งในเรื่องที่เขากลัวกันนักทั้งโลก หรือตั้งค่อนโลก เห็นแก่เรื่องกิน เรื่องเอร็ดอร่อยทางปาก ทางท้อง ทางเนื้อ ทางหนัง นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่เรียกว่าเป็นส่วนของการล้ออายุ
การล้ออายุนี้มองได้หลายแขนงอย่างที่กล่าวมาแล้ว อาตมาอยากให้นึกไปถึงว่า ถ้าจะปรับให้อาตมาเป็นคนรับผิดชอบ ในฐานะที่มีหน้าที่พิเศษแปลกไปกว่าท่านทั้งหลาย ก็นึกถึงความรับผิดชอบ แล้วก็อยาก จะเปิดเผยสิ่งต่างๆ สมมติว่าอาตมานี้เป็นเหมือนกับผู้จัดการ ท่านทั้งหลายเป็นเจ้าของบริษัท ถึงปีก็รายงานท่านผู้เป็นเจ้าของบริษัททั้งหลาย อาตมาในฐานะผู้จัดการนี้ได้ทำผิดพลาดไปอย่างไร ก็จะเอาเรื่องต่างๆมาเสนอ มาเสนอให้เห็นในรูปที่เรียกว่าเป็นการล้ออายุ ดูตัวเอง ดูโลก ดูศาสนา ดูการศึกษา ดูอะไรทุกอย่างที่มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับพุทธศาสนาของเรา เราจะต้องรับผิดชอบกันอย่างไร นี่เป็นเหตุให้อาตมานึกบรรยายเรื่องราวต่างๆ แก่ท่านทั้งหลาย ตอนเช้าอย่างนี้จะบรรยายเรื่องเกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับศาสนาทั่วๆไป ตอนบ่ายจะบรรยายเฉพาะส่วนที่มันเกี่ยวกับฆราวาสทั้งหลาย ตอนกลางคืน ตอนดึกก็จะบรรยายส่วนที่มันเกี่ยวกับบรรพชิตทั้งหลาย นี่ดูให้ดีก็จะเป็นไปในรูปที่ว่าอาตมาเสนอรายงานประจำปี แต่ไม่ได้จะเอาเงินเดือน เอาอะไร เอาค่าจ้างอะไรตอบแทนมากกว่าว่าขอของขวัญอดข้าว ๒๔ ชั่วโมง แล้วมาช่วยกันพิจารณา แก้ไขสิ่งต่างๆ ที่บกพร่อง ที่เป็นผลร้ายแก่พระพุทธศาสนากันเสียใหม่ ไม่ใช่มองไปในแง่ที่ว่ามันมีอารมณ์อย่างไร แล้วก็ว่าไปอย่างนั้น เอาตามอารมณ์ ไม่ต้องมีเรื่องที่ว่าจะมีอารมณ์ร้าย ควรจะมีอารมณ์ที่สุขุมรอบคอบ ละเอียดลออ ช่วยกันพิจารณา แล้วก็ทุกคนช่วยกันล้อความผิดพลาดของตัวเองเป็นส่วนตัว ของเพื่อนฝูง ของหมู่คณะ ของประเทศชาติ หรือของทั้งโลก ถ้าใครไม่เห็นแก่ตัว คนนั้นต้องเห็นแก่โลก ก็เลยรับเอาภาระของโลกนี่มาเป็นภาระที่จะต้องทำ จะต้องช่วยกันแก้ไข นี่ดูว่ามันมีกี่แง่กี่มุมที่ว่าเอามาเสนอท่านทั้งหลายในรูปของสิ่งที่เรียกว่า ล้ออายุ คือ ล้อวันคืนเดือนปีที่ผ่านมาในลักษณะอย่างนี้ เรากำลังอยู่ในลักษณะอย่างนี้ มีส่วนที่น่าล้ออย่างไร ก็เป็นธรรมดานั่นแหละที่ว่าอาตมาจะต้องพูดเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเอง แต่ไม่ได้พูดเพื่อเป็นเรื่องส่วนตัวเอง พูดให้มันเนื่องกันอยู่กับท่านทั้งหลาย พูดเรื่องตัวเองมันก็กลายเป็นเรื่องของท่านทั้งหลาย หรือของส่วนรวม กระทั่งของศาสนา แต่ว่าเมื่อเราขยายวงของความรับผิดชอบออกไปเท่าไร มันก็เป็นเรื่องของขอบเขตที่กว้างขวางเท่านั้น
ในเรื่องแรกก็อยากจะเสนอถึงผลงานที่เราทำไป ได้รับอยู่ กำลังได้รับอยู่ ผลของการประกาศธรรมะ เผยแผ่ธรรมะตลอดเวลาที่อาตมาได้ทำมา มันก็น่านึกอยู่เหมือนกัน ที่ว่าได้ทำกัน งานนี้(ทำ)มาตั้ง ๔๐ ปีเป็นอย่างน้อย ได้เริ่มสนใจงานนี้ ทำงานอย่างนี้ที่จะเป็นประโยชน์ในขั้นวิญญาณมาตั้ง ๔๐ ปี ถ้าพูดถึงผลได้ก็นับว่าได้ผลเอาการอยู่ ทั้งส่วนที่น่า น่า น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ ก็ได้ส่วนเอาการอยู่ มากเอาการทั้งนั้น แล้วก็ล้วนแต่น่าเอามาล้อทั้งนั้น ที่ส่วนที่เรียกว่าได้ผลเอาการอยู่นั้น ก็ ก็เห็นได้อยู่แล้วว่าอะไรมันเกิดขึ้น สวนโมกข์มันเกิดขึ้น มีกิจการอย่างไร แล้วก็เป็นไปอย่างไร เป็นมาอย่างไรจนได้รับประโยชน์อะไรบ้าง แก่บ้านเมืองก็ดี แก่ศาสนาก็ดี แก่ท่านทั้งหลายแต่ละคนก็ดี นี้ก็เรียกว่ามันเห็นอยู่ แต่แล้วพร้อมกันนั้นมันก็มีของแปลกติดมาด้วย คือส่วนที่น่าสงสาร น่าสังเวช น่าเศร้าก็มี น่าละอายก็มี บางทีก็เผลอไปบ้าง เป็นช่องโหว่ให้เขาแย้มสรวล ยิ้มเยาะ อย่างนี้มันก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ถ้าไม่เอามาล้อมันก็ค่อยเข็ดขยาด มันก็ค่อยๆ หายไป (54.36-54.58)ถ้ามีผลในทางที่ตรงกันข้ามก็มี ทำให้เกิดความวุ่นวาย อลวน อลเวงก็มี ไอ้ที่ร้ายไปกว่านั้นก็มีบางคนนี่ เขาเกิดอะไรล่ะ เรียกว่าเล่นไม่ซื่อ เขาเอาคำสั่งสอนหรือว่ากิจการอะไรไปเลียนแบบ หรือว่าไปเปิดเผยเพื่อหาประโยชน์ก็มี ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือว่าเอาที่เราสอนอย่างนี้ไปสอนต่อผิดๆ แล้วก็อ้างว่าเราสอนอย่างนี้ก็มี บางคนอ้างว่าเป็นลูกศิษย์อาตมา แล้วไม่มีอะไรที่เหมือนกันแม้แต่สักปรมาณูเดียว เขาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์อาตมา ไม่มีการคิด การพูด การทำอะไรที่มันหมือนกันแม้แต่สักปรมาณูเดียว มันน่าหัวเราะไหม หรือว่ามันน่าล้อ หรือว่าน่าสมเพท หรือว่ามันน่าสงสาร แล้วอาตมาก็ไม่เคยตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ แต่ด้วยเหตุอย่างไรไม่ทราบ มีคนเรียกอาจารย์เต็มไปหมด ที่ท่าน เรียกว่าอาจารย์ (56.29) แล้วก็ระวังให้ดี มันก็ควรจะมีอะไรเหมือนกันบ้าง ไม่ใช่ว่าเป็นลูกศิษย์แล้วมีอะไรต่างกันทุกๆ ปรมาณู ที่คำสอนหรือว่ากิจการที่ได้กระทำออกไปนั้น ไม่ได้ผลเหมือนกันหรอก พวกหนึ่งได้ผลไปอย่าง พวกหนึ่งได้ผลไปอย่าง พวกที่ได้รับประโยชน์ทางความสุขเพิ่มขึ้นก็มี พวกที่เกลียดชังเอาไปล้อ เอาไปด่า เอาคำสอนบางอย่างไปล้อไปด่า เช่นเรื่องจิตว่างเป็นต้น แล้วก็อ้างเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ว่าเป็นของมิจฉาทิฐิ อย่างนี้ก็มี นี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น เราก็ไม่ ไม่ ไม่โทษเขา ไม่ควรจะไปโทษเขา เอามาด่าตัวเอง มาล้อตัวเองดีกว่า ว่ามันทำไปไม่รอบคอบ หรือมันพูดไม่เก่ง มันอธิบายไม่ชัดเจน เขาเข้าใจไม่ได้ แล้วไปโทษเขาได้เหรอ ก็ควรจะโทษเรา เพราะเราพูดไม่เป็น พูดให้เข้าใจชัดเจนไม่ได้ ทีนี้บางคนก็กำลังเพ้อคลั่งด้วยการที่จะระดมการเผยแผ่ (ที)นี้มันมากเกินขอบเขต จนมันสับสนวุ่นวายไปหมดก็มี จนผิดสมณสารูปก็มี จนผิดสารูปของพุทธบริษัทที่เขาจะต้องทำอย่างนั้น ที่เขาจะไม่ทำอย่างนั้น เป็นพุทธบริษัทไปสอนความดับทุกข์ แต่ตัวเองมีความทุกข์ หน้าตาซูบซีดอิดโรย อย่างอาตมาจะไปสอนใครเรื่องลดความอ้วนนี้ ไม่มีใครเชื่อแน่ คือ พุทธบริษัทที่ไปสอนเขาเรื่องการดับทุกข์นี้ ตัวเองมันต้องไม่มีทุกข์ให้เขาดู อย่าทำอะไรให้มันแสดงอยู่ที่แววตาว่ามีความทุกข์ หรือที่กิจการที่กำลังกระทำอยู่ มันระส่ำระสาย สับสนอลเวงในบ้าน ในเรือน ในครัว ยังไงก็ต้องมีความสงบเย็น เรียบร้อย เรียกว่าต้องมีสารูป คือมีรูปร่าง ปรากฏการณ์อะไรต่างๆ นี่มันเข้ารูปกัน(59.00) สมกันกับความหมายที่ตัวเองเรียกว่าตัวเองเป็นอะไร เป็นพุทธบริษัทในรูปอุบาสก อุบาสิกา หรือในรูปภิกษุ สามเณร ยกตัวอย่างมาให้เห็นว่า มันไม่มีอะไรที่เป็นไปอย่างราบรื่นได้ ทั้งหมดนี้ก็ควรสงสารหรือควรล้อ ที่ไม่เป็นไปราบรื่นอย่างเดียวหมด มันแยกแขนงออกไปเป็นอย่างต่างๆ กันอย่างไม่น่าเชื่อ เราพูดถูก เจตนาดี แล้วก็พยายามสุดความสามารถเท่าที่จะทำได้แล้ว มันก็ยังเกิดเป็นผลที่ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ จะไม่ให้เรียกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเอามาล้ออย่างไร อาตมาจึงเอามาเป็นเรื่องสำหรับล้อ นี่ก็ปีหนึ่งก็หนเดียว คือวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ปีหนึ่งหนเดียว ทีนี้คำล้อมันก็ต้องกระทบกระเทือนบ้าง คอยมองถึงคนอื่นมันกระทบกระเทือนบ้าง ก็เลย(ขอ)ออก ออก ออกตัวไว้เสร็จเลย ว่ายอมรับว่าเป็นสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม มันพูดตรงๆ มันก็เลยเหมือนกับว่าด่าอย่างที่กล่าวมาแล้วเป็นต้น นี้เป็นความสังเวชใจ เกี่ยวกับกิจการของสวนโมกข์ อย่าใช้คำว่าของอาตมาเลย เพราะมันทำกันหลายคน แต่ว่าอาตมามีฐานะคล้ายๆ กับว่าเป็นผู้จัดการรับผิดชอบ ทีนี้เพื่อจะไม่ให้เรื่องมันซ้ำกันกับปีที่แล้วๆ มา ก็จะได้พูดถึงเรื่องที่แปลกออกไป หรือว่าในแง่มุมที่มันแปลกออกไป
เดี๋ยวนี้เรากำลังมองถึงสถานการณ์ของโลก หรือว่าของพุทธศาสนา หรือว่าของบ้านของเมืองของประเทศไทย หรือแคบเข้ามาถึงหมู่คณะ คณะนั้น คณะนี้ หรือว่าของไชยา หรือว่าของสวนโมกข์ เป็นเรื่องที่มอง(ได้)หมด แล้วมันควรจะมองอย่างนั้นก่อน คือมองให้กว้างไว้ก่อนว่าโลกกำลังเป็นอย่างไร แล้วก็เราเกิดมาพอดีกับโลกที่กำลังเป็นอย่างไร เราก็ต้องมีส่วนที่จะรับผิดชอบในโลกที่มันกำลังเป็นอย่างนี้ และเมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็มาสังเวชตัวเอง แล้วก็เอามาล้ออยู่ อย่างนี้ก็เรียกว่าล้อตัวเอง หรือล้อโลก ล้ออะไรก็ลองคิดดู เป็นอันว่ากระทบกระเทือนพร้อมๆ กันไปหมดนั่นแหละ เพราะโลกนี้ประกอบกันขึ้นด้วยมนุษย์ทุกคน ทีนี้แต่ละคน ละคนมันเป็นอย่างไร ทีนี้เราก็เป็นพุทธบริษัท เป็นส่วนหนึ่งของโลกทั้งหมดนี้ มันก็ย่อมจะได้รับการสัมพันธ์ ผูกพัน เกี่ยวโยงกันอย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็มีส่วนรับผิดชอบอยู่ส่วนหนึ่ง ว่ามัน มันไม่มีทางจะหลีกได้ ในข้อที่ว่าโลกนี้มันเป็นอย่างไร เราก็มีส่วนที่ทำให้โลกนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าเราก็อยู่ในโลกนี้ ถึงแม้ว่าเรากำลังพยายามต่อสู้ต้านทาน ตรงกันข้ามกับที่เขากระทำๆ กันอยู่ มันก็ต้องพูดว่าไอ้เราไปต่อสู้เข้า มันเกิดอลวน อลเวงไปทั้งบ้านทั้งเมืองทั้งโลก โลกนี้ก็มีความอลเวง อลวน ระส่ำระส่าย เพราะมันต้องต่อสู้กันอยู่อย่างนี้ เราเป็นพุทธบริษัท เราควรจะมีจิตใจกว้าง ยอมรับว่าเพื่อนทั้งหลาย เพื่อนสัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายเหมือนกันหมด โดยอาศัยหลักของไกวัลยธรรมที่กำลังอธิบายอยู่ในวันเสาร์ ทุกวันเสาร์ในระยะนี้ ก็เลยเป็นอันว่าไม่ได้คิดที่จะตีตัวออกห่างจากเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายเลย ไม่ว่าจะดิ้นรนไปก็เพื่อความรอดของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง นี่เป็นเหตุที่ทำให้เราต้องมีสายตาเพ่งเล็งมองไปยังโลกเป็นส่วนรวม โลกทั้งโลกเป็นส่วนรวม
ที่ว่าในข้อที่ว่าจะทำประโยชน์แก่โลกอย่างไร มันก็ต้องดูว่ามันบกพร่องอย่างไร แล้วก็ดูว่าเราพยายามมาแล้วอย่างไร สำหรับอาตมานี้ ชั่วเวลา ๔๐ ปีนี้ได้พยายามมาแล้วอย่างไร สำหรับท่านทั้งหลาย บางคนก็คงจะได้พยายามมาแล้วมากเหมือนกัน แต่บางคนก็ไม่กล้าคิดกว้างออกไปถึงว่าจะมองโลก ส่วนอาตมานี้ยอมให้เขาว่าบ้า ยอมให้เขาว่าอวดดี ที่มันจะมองไปทั้งโลก แล้วก็วิจารณ์โลกนี้อยู่บ่อยๆ อย่างไม่เกรงใจใคร เป็นอันว่ายอมอีกชนิดหนึ่ง คือยอมให้เขาว่าบ้า ว่าอวดดีที่จะวิจารณ์โลก เช่นเดียวกับที่จะต้องยอมให้เขาว่ามันเป็นสุนัขปากร้ายแห่งวันที่ ๒๗ พฤษภาคม เดี๋ยวนี้จะขอวิจารณ์โลก โดยยอมให้เขาว่ามันเป็นคนเป็นเสือกกะโหลก คนอวดดี เป็นคนบ้าบอ เพราะว่าอาตมาไม่ชอบทำอะไรเล็กๆน้อยๆ เพราะว่าได้อุตส่าห์อุทิศชีวิตจิตใจทั้งหมดเป็นทาสรับใช้พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคนของโลก อยากทำอะไรให้มันมากกว่าสำหรับคนๆ เดียว จึงมองโลกกว้างๆ แล้วเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาของตัวเองเท่าที่มันจะเป็นไปได้
เดี๋ยวนี้เราจะมองโลก ซึ่งกำลังเป็นปัญหาแก่โลกเอง เป็นปัญหาแก่พุทธศาสนา หรือแก่พุทธบริษัทที่อยู่ร่วมโลกด้วยกัน กระทั่งปัญหาว่าเดี๋ยวนี้ทำไมจึงพูดกันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสันติภาพของโลก ทำไมไม่ ไม่รู้จักพูดกันให้รู้เรื่องเสียทีเรื่องสันติภาพของโลก ถ้าเรื่อง เรื่องสันติภาพของโลกกลายเป็นปัญหาโลกแตก มันก็แตกเสียดีกว่า เพราะว่าถ้ามันโลกไม่มีสันติภาพ มันจะอยู่ไปทำไม มันป่วยการ มันควรจะมีช่องทางที่ทำให้โลกนี้มันมีสันติ แต่แล้วเราก็พูดกันไม่รู้เรื่องในโลกนี้ แม้ในประเทศไทยนี้เราก็พูดกันไม่รู้เรื่อง(ที่จะ)ให้มันมีสันติ บางทีในวัดนี้ ในบ้านนี้ ใกล้ๆ นี้ มันก็พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง จึงไม่มีสันติมากเท่าที่ควร เพราะมันพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เรายังจะเปิดช่องไว้หน่อยหนึ่งว่า บางทีเขาพูดกันรู้เรื่อง อาตมามันบ้าไปเอง เห็นเป็นว่าพูดกันไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวนี้เขาคิดว่าเขาพูดกันรู้เรื่องนะ เขาจัดอย่างนั้น เขาจัดอย่างนี้ เขาประชุมกันที่นั่น เขาประชุมกันที่นี่ บินกันไป บินกันมาให้ว่อนไปหมดในอากาศเหมือนกับนก (เขา)ว่าเขาพูดกันรู้เรื่อง แต่แล้วไม่เห็นโลกมันมีสันติภาพเลย แล้วว่ารู้เรื่องอย่างไร เขาว่าเขาพูดกันรู้เรื่องทุกปี เขาตกลงกันได้ทุกปี นี่มันคงจะมีอะไรไขว้กันอยู่นะ มองดูให้ดี เขาพูดกันรู้เรื่อง แต่ไม่เห็นมันได้ผลอะไรในการรู้เรื่อง นี่เราเป็นพุทธบริษัทจะมาพิจารณาดู นี่เป็นข้อหนึ่งแล้วว่าโลกกำลังพูดกันไม่รู้เรื่อง เรากำลังอยู่ในโลกที่เขากำลังพูดกันไม่รู้เรื่อง แต่เขาว่าพูดกันรู้เรื่อง เราจะเป็นบ้าตายแล้ว
ทีนี้ดูมาอีกถึงว่า โลกเขาว่าเขามีความก้าวหน้า มีความรู้ มีการปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ ก้าวหน้าอย่างมหาศาลจนสุดที่จะบรรยายแล้ว ความก้าวหน้า ทำอะไรได้อย่างกับเนรมิตแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยของสันติ ภาพ นี้ใครลองมองหาร่องรอยของสันติภาพ เดี๋ยวนี้เราเก่งทุกอย่าง ไปโลกพระจันทร์ก็ได้ ก็ว่าจะไปทุกโลกก็ยังได้ ทีนี้ทางวัตถุ ประดิษฐ์อะไรก็ได้ ค้นคว้าอะไรก็ได้ รู้จนพูดไม่ไหว แล้วก็ยังไม่มองเห็นร่องรอยของสันติภาพ แม้แต่ร่องรอยของสันติภาพของบุคคลคนเดียวที่ว่างจากโรคเส้นประสาท ที่นั่งอยู่ตรงนี้ทุกคนนะใครมันมีสันติภาพโดยว่างจากโรคเส้นประสาทบ้าง ไอ้ยิ่งคนพูดมากก็ยิ่งเป็นโรคเส้นประสาทมาก อย่าเผลอตัว ทีนี้จะพูดว่าโลกมีสันติภาพเป็นเรื่องน่าหัว อ้าว ทีนี้เราเป็นคนโง่เอง ว่าไอ้ที่เขาพูดว่า ไอ้ที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้มีสันติภาพ โลกเวลานี้มีสันติภาพ เขาพูดอย่างนั้น เรามันโง่มองไม่เห็น เรามองในทางอื่น จึงรู้สึกว่าโลกไม่มีสันติภาพ พวกหนึ่งเขาอาจจะพูดด้วยความรู้สึกจริงใจว่า มันมีสันติภาพ การที่คนตายลงไปด้วยโรคระบาดนั้นเท่ากับตายด้วยสงคราม ฆ่ากันในสงคราม นั่นนะคือสันติภาพ สันติภาพตามปกติของโลกมันต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เราก็พูดด้วยไม่ไหวแล้ว เพราะว่าเรามุ่งหมายที่ว่ามันต้องไม่มีการเบียดเบียน เดี๋ยวนี้ช่วยชีวิตให้รอดมาจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่ก็มาทำลายกันเสียด้วยการเบียดเบียนเพื่อประโยชน์ความสุขทางวัตถุทางเนื้อทางหนังที่ฆ่ากันนี้ไม่ใช่ประโยชน์ทางจิตใจ ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ว่าสันติภาพนี้มันมีความหมายชอบกล เดี๋ยวนี้มีการเฉลียวฉลาดในการประดิษฐ์ต่างๆ ประดิษฐ์เครื่องมือ ประดิษฐ์อะไรก็ไม่รู้ที่เขาเรียกกันว่าคอมพิวเตอร์ ว่าจะใช้ให้มันให้ช่วยคิด ช่วยนึก ช่วยคำนวณ ช่วยบอกความถูกต้องของทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จะต้องทำ และก็ไม่ต้องทำเอง เราก็รู้สึกว่า ไอ้ยุคที่มีคอมพิวเตอร์นี้ยิ่งระส่ำระส่ายมากขึ้นไปอีกกว่ายุคที่ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไอ้คนบางคนเสียอีกเป็นคอมพิวเตอร์ที่ดีกว่า เครื่องมือกลทั้งหลายได้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นอันมาก แต่แล้วความระส่ำระส่ายในโลกก็มีมาก ซึ่งเท่าที่เครื่องมือกลมันมีขึ้นมามาก ไม่มีร่องรอยของสันติภาพ จนกระทั่งเวียนหัว เวียนหัวจนนั่ง นั่งคล้ายๆ กับวิกลจริต ไม่รู้ว่าสันติภาพอยู่ที่ไหน จนในที่สุดคนที่เวียนหัวที่ว่าไม่รู้ว่าจะใช้เครื่องมืออันไหนที่ให้เกิดประโยชน์เป็นสันติภาพขึ้นมา ความรู้ทางความคิด ความนึกทางปรัชญาก็มากเหลือประมาณ แต่ไม่มีผลเป็นสันติภาพให้โลกให้คนเห็นว่ามันมีสันติภาพสักแวบหนึ่ง
เมื่อมาดูถึงจุดรวมคือการศึกษา ก็ยิ่งใจหาย การศึกษานี้มีอยู่ เป็นอยู่เพื่อให้มันยุ่งมากขึ้น เพื่อให้ไปเป็นทาสของวัตถุมากยิ่งขึ้น ในทางจิตใจจัดกันอย่างไรก็ไม่ทราบ จัดกันไปจัดกันมา จนก็มีฮิปปี้มากขึ้นๆ มีเด็กๆ ที่เป็นโรคเส้นประสาทมากขึ้นชนิดที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน เด็กๆ สมัยปู่ย่าตายายของเราไม่รู้จักโรคเส้นประสาท เด็กสมัยนี้รู้จักโรคเส้นประสาท คือ เป็นโรคเส้นประสาทตั้งแต่เด็กๆ เรื่องนี้มันเป็นผลของอะไรก็ลองคิดดู การศึกษาทำให้โลกเกิดปรากฏการณ์เป็นฮิปปี้ คือคนที่ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรดี จะเอาอย่างไรดี จึงจะมีความสุข แล้วก็เอาอย่างกันเหมือนกับโรคระบาดติดต่อกันนี่ เด็กไปหลงฮิปปี้ เด็กไปหลงยาเสพติด ไปหลงเรื่องลามกอนาจารที่มันเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง นี่การศึกษาจัดกันอย่างไร จนไม่มีใครรู้จักรักษาความสะอาดของถนนหนทาง คู คลอง จนเป็นปัญหายุ่งไปหมด นี่วิจารณ์โลก ซึ่งเป็นต้นเงื่อนของปัญหาทั้งหลาย เดี๋ยวนี้กำลังมึนเมาในวัตถุ มึนเมาในความคิดที่ฟั่นเฝือ มีลักษณะเหมือนกับคนสูบกัญชานั่งสะลึมสะลือ ความรู้มากด้านมากมายหลายแขนงจนไม่รู้จะใช้อย่างไร เครื่องมือก็มากจนไม่รู้จะใช้อย่างไร ก็เลยทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยอุปสรรค ด้วยของตรงกันข้ามจากสันติภาพ แต่เขาก็ยังพอใจกันทุกคนว่าโลกกำลังเจริญ โลกกำลังก้าวหน้า โลกกำลังมีสันติภาพ ปากก็พูดอย่างนั้นกันทุกคน ในใจก็ยังไม่แน่ เขาอาจจะคิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงก็ได้ นี่เรียก นี่สรุปความได้ว่าโลกกำลังเป็นอะไรก็ไม่รู้ชนิดที่ไม่มีสันติภาพ ไม่มีสิ่งที่เรียกได้ว่าสันติภาพตามความหมายของคนปกติ คนที่มีความรู้สึกคิดนึกอย่างปกติ
ทีนี้ดูไปอีกทีหนึ่งว่ามันเป็นเพราะเหตุอะไรบ้าง ไอ้เพราะเหตุอะไรบ้าง ต้องมีหลายๆ อย่างแน่ อาตมาอยากจะระบุลงไปสักอย่างหนึ่งตามความรู้สึกของตัว ตามวิธีของตัว ก็เพื่อ(ให้)จำง่ายด้วย ว่าโลกในสมัยนี้มันมีแต่อาชีวก อาชีวก จำไว้ด้วย อาชีวก ไม่มีปูชนียบุคคล มีแต่คนเห็นแก่ปากแก่ท้อง อาชีวกะแปลว่าผู้มีอาชีพ อาชีวะคืออาชีพ อาชีวกะหรืออาชีวกคือผู้มีอาชีพ ผู้เห็นแก่อาชีพ ผู้บูชาอาชีพ ผู้ลุ่มหลงอยู่ในอาชีพ มันมีแต่อาชีวก ลุ่มหลงอยู่ในอาชีพ ไม่มีปูชนียบุคคล วันหนึ่งคืนหนึ่งกี่ชั่วโมง เวลาเท่าไร มันหายใจเป็นอาชีพ เป็นอาชีวก ไม่มีการหายใจเพื่อจะเป็นปูชนียบุคคล ไม่มีใครเคยคิดว่าจะทำอะไรให้ดี เป็นปูชนียบุคคล เห็นแก่อาชีพ อาชีพอีกนั่นแหละคือดี อาชีพเป็นปูชนียวัตถุ คนสมัยก่อนเขายังมีปูชนียบุคคล ว่าโลกในสมัยก่อน โลกสมัยก่อนมีปูชนียบุคคล พอหาดูได้ ไม่ยากนัก แล้วมันก็ยิ่งมากด้วยซ้ำไป ยิ่งถอยหลังไปเท่าไร มันก็ยิ่งมีมาก บุคคลที่เป็นปูชนียบุคคล ไม่ได้บูชาอาชีพ เคยเป็นปูชนียบุคคลกันมากนับตั้งแต่พระบรมศาสดาลงมาถึงครูบาอาจารย์ จนถึงบิดามารดา กระทั่งบุคคลทั่วๆ ไปนี่ มันมีปูชนียบุคคล เดี๋ยวนี้ไม่มีปูชนียบุคคลยิ่งขึ้นทุกที จนไม่รู้ว่าจะบูชานับถือใคร พิจารณาดูให้ดี แม้แต่บิดามารดานี่ ขออภัยอย่าหาว่ากระทบกระแทก แม้แต่บิดามารดาก็เปลี่ยนจากปูชนียบุคคลไปเป็นอาชีวกกันมากขึ้น บิดามารดาเห็นแก่อาชีพอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทิ้งลูกทิ้งหลานไว้ให้มันโตเอาเอง มันรู้เอาเอง หรือว่าฝากไว้กับคนใช้เป็นพี่เลี้ยง มันก็เปลี่ยนหมด มันไม่มีความรู้สึกอย่างบิดามารดา หรือว่าบุตรธิดา หรือที่เป็นผู้มีพระคุณ เป็นกตัญญูกตเวที เมื่อบิดามารดาไปเห็นแก่อาชีพเสียยิ่งกว่าที่จะเห็นแก่ลูกแล้ว มันก็หมดความเป็นปูชนียบุคคลอยู่ในตัวเอง ผลก็เกิดขึ้นมา คือลูกเป็นลิงทะโมน ถือตามคัมภีร์คริสเตียน ซึ่งอาตมายอมให้ใครด่าว่าชอบคริสเตียน ในคัมภีร์นั้นก็เขียนว่า บุตรชายเป็นบุตรพระเจ้า บุตรหญิงเป็นบุตรมนุษย์ เป็นบุตรพระเจ้าก็เลิศ ก็ดีเลิศกว่าบุตรมนุษย์ แต่เป็นบุตรมนุษย์ก็ยังดีเพราะมีใจสูง มนุษย์ก็มีใจสูง มันคงทำอะไรถูกมา เพราะถ้าไม่เป็นบุตรมนุษย์ ก็คงเป็นบุตรลิงทะโมน แล้วใครจะมาดูแลเด็กๆ นี้ให้เป็นไป(ในทางที่)ถูกต้อง นอกจากบิดามารดาตั้งแต่อ้อนตั้งแต่ออก ถ้าถือตามโบราณ ความรับผิดชอบอยู่ที่แม่ เพราะพ่อต้องไปทำมาหากิน หาเลี้ยงครอบครัว เพราะแม่รับผิดชอบทุกกระเบียดนิ้ว ทุกวินาทีที่จะดูแลบุตร ปั้นบุตรขึ้นมาในลักษณะที่ถูกต้อง ถ้าทำอย่างนี้ก็เป็นปูชนียบุคคลแก่บุตร เดี๋ยวนี้แม่ก็ออกไปเสียด้วย ไปทำอย่างพ่อ มันอาจจะได้เงินมามาก แต่แล้วส่วนที่เสียไปนั้นมันเท่าไร คือลูกเป็นลิงทะโมนนะ มันเสียเท่าไร ไปหาเงินมาได้เป็นล้านๆ แต่ความเสียไปในเรื่องจิตใจของลูกนี้ มันเป็นสิบๆ ล้าน เป็นร้อยๆ ล้าน มันเป็นการกระทำที่ผิดแล้ว ที่ผู้หญิงจะไปทำอะไรเท่าผู้ชาย เดี๋ยวนี้เกิดลัทธิ feminism ผู้หญิงทำอะไรเท่าผู้ชาย เสมอผู้ชาย อะไรต้องเหมือนผู้ชาย ผู้หญิงกำลังบ้าที่จะทำอะไรเท่าผู้ชาย เหมือนผู้ชาย ได้เท่าผู้ชาย ที่เมืองนอก ได้ยิน(ว่า)เป็นมาก มาพูดที่นี่ก็มี แล้วคนไทยกำลังตามก้นฝรั่ง ก็จะเป็นอย่างนั้นบ้าง นี่จะทำให้โลกนี้ไม่มีมารดา เพราะมารดาไปทำเป็นผู้ชาย หรือไปเป็นกะเทยเสีย ในโลกนี้มันก็ไม่มีมารดา โลกที่ไม่มีมารดามีความหมายมาก คือไม่มีวิญญาณแห่งมนุษย์ที่ได้รับการอบรมมาดี นี่โทษของการที่ว่ามันไปเป็นอาชีวกกันเสียหมด ไม่เป็นปูชนียบุคคล นับตั้งต้นตั้งแต่ว่าผู้หญิงทวงสิทธิเท่าผู้ชาย แล้วไปทำอย่างผู้ชาย แล้วบางทีก็ไปหาความสนุกสนานจนลืมลูก แล้วก็ปล่อยลูกไว้อย่างไร ก็กลายเป็นเอาเปรียบลูก ก็เลยไม่ใช่ปูชนียบุคคล ก่อนนี้มันทะนุถนอมมาด้วยเลือดในอกคือน้ำนม นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า น้ำนมนั่นนะในอริยวินัย เขาเรียกว่าเลือด หรือเลือดเรียกว่าน้ำนม แล้วก็ดูแลทุกนาที ทุกกระเบียดนิ้วในสายตา ปั้นขึ้นมาตามขนมธรรมเนียมประเพณี หรือวัฒนธรรมประจำชาติประจำบ้านเรือน ล้วนแต่ให้มีความอ่อนโยน มีความซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที มันตั้ง ตั้งอยู่ในธรรมะทั้งนั้นแหละ เพราะว่าวัฒนธรรม โดยเฉพาะของชนชาติไทยเรานี่ มันติดแน่น แฝดอยู่กับศาสนา จึงมีวัฒนธรรมเป็นตัวธรรม หรือเป็นตัวศาสนาอยู่ในบ้านเรือน ก็เลี้ยงลูกตามประเพณี ตามวัฒนธรรม ก็ได้ลูกมาเป็นมนุษย์ที่พร้อมที่จะเจริญในทางธรรม เดี๋ยวนี้เราปล่อยให้เขาทำตามชอบใจ เขาก็ไปเอาเรื่องเล่นเรื่องหัวเรื่องสนุกสนาน เรื่องวัตถุ เรื่องเนื้อหนัง จนพูดกันไม่รู้เรื่องในที่สุด นี่เพราะว่าพ่อแม่ไปเป็นอาชีวกเสียหมดเลยไม่มีปูชนียบุคคล เหลืออยู่บ้างนะ คงเหลืออยู่บ้าง อาตมาขออภัยที่พูด มันพูดเกินไปว่าไม่มีเสียเลย ก็มีเหลืออยู่บ้าง ก็เข้าใจว่าคงจะน้อยลงไปอีก ถ้าไม่รีบทำความเข้าใจ แก้ไขกันเสียโดยเร็วในเรื่องนี้ เพราะ ฉะนั้นต้องเอามาล้อ ถ้าไม่อยากเรียกว่าล้อ ก็เรียกว่าด่า เพราะว่ามันจะมีความเป็นปูชนียบุคคลเกิดขึ้น หรือกลับมาใหม่
ทีนี้ก็ดูถึงครูบาอาจารย์ เป็นพระก็ได้ เป็นฆราวาสก็ได้ ก็กลายเป็นอาชีวกไปเสียอีก ครูที่เคยเป็นปูชนียบุคคลในสมัยโบราณนั้น เดี๋ยวนี้กลับเป็นอาชีวก ไม่มีเจตนารมณ์(ของ)ความเป็นครู อยากเอาเงินเดือนมากๆ มาแต่งตัวสวยๆ นี่ดู ดูเองแล้วกัน พูดมากเดี๋ยวจะกระทบกระเทือนมาก ครูต้องการเงิน ไม่ใช่ครูต้องการบุญ ครูทำด้วยความอยากได้เงิน ไม่ได้ทำด้วยความเมตตากรุณา ครูก็เลยไม่ค่อยมีปัญญา แล้วครูก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว ครูสมัยนี้จึงเป็นอาชีวก บูชาอาชีพ บูชาเงินอย่างพระเจ้า ไม่เป็นปูชนียบุคคลอย่างครูสมัยก่อน ครูสมัยก่อน แม้เขาจะไม่ฉลาดเหมือนครูสมัยนี้ ก็ยังเป็นปูชนียบุคคลเต็มตัว เมื่อดูในจิตใจแล้ว ครูสมัยก่อนมีเมตตา มีปัญญาอยู่ในหัวใจ ครูสมัยนี้มีความเห็นแก่ตัว และมีปัญญาชนิดที่จะเอาเปรียบ ไม่ใช่ปัญญาดับทุกข์ นี่ครูก็เป็นอาชีวก ครูก็ไม่เป็นปูชนียบุคคล ทีนี้บางคนจะสงสัยว่าอาตมาอยากจะให้พวกครูด่าหรืออย่างไร เอ้า อย่าสงสัยเลย มันยอมหมดแล้ว มันสละไปหมดแล้วตั้งแต่ปีก่อนๆ นู้น ไม่มีเรื่องที่ว่าจะกลัวใครด่าแล้ว ทีนี้ครูที่เป็นพระก็เหมือนกัน ก่อนนี้อุปัชฌาย์อาจารย์เขาสอนโดยรู้ว่าจะมีอะไรตอบแทนอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้จะสอนอะไรกันบ้าง ต้องมีนิจพัตร (89.37)หรือว่าต้องมีพัด หรือมีอะไรนี่ให้ เพราะว่าต้องการจะแลกเอาด้วยประโยชน์ มันก็เป็นอาชีวกไปหมด ดังนั้น อย่าไปดู มองดูอาชีวกในศาสนาอื่น ลัทธิอื่นเลย มันมีอยู่ในพุทธศาสนานั้นแล้ว ที่ว่าพระเณรทั้งหลายกำลังเป็นอาชีวก มุ่งจ้องอาชีพตั้งแต่บัดนี้ ทั้งที่เป็นพระอยู่นี้ บูชาอาชีพ ยังไม่เท่าไรก็จะสึกไปประกอบอาชีพ ดังนั้น ความเป็นปูชนียบุคคลมันก็หมดไปๆ มันก็เป็นอาชีวกมากขึ้น ทีนี้ครูทั่วไปทั้งโลกก็เป็นอย่างนี้ พวกฝรั่งนำไปก่อนลิบ พวกไทยเพิ่งตามก้น ยังมีปูชนียบุคคลเหลืออยู่อย่างกระเส็นกระสาย ก็ยังดีนะ ทีนี้เขาก็เปลี่ยนไปจนไม่มีความละอายแล้ว เพราะว่าไม่รู้ความหมายของปูชนียบุคคลแล้ว ดังนั้น ครูเหล่านั้นก็ไม่ละอาย เขาจะหาโอกาส หาช่องทางกอบโกยประโยชน์ให้ได้มากเท่าไร เป็นอาชีพให้ได้มากเท่าไร เขาก็ทำกันอย่างนั้น ดังนั้น ครูทั้งโลกเลยเป็นอย่างนี้ คือเป็นอาชีวกหมด ไม่เป็นปูชนียบุคคล ทีนี้มันบูชาอย่างนี้หนักเข้า มันก็เจียดเอาเวลาที่เขาจ้างให้มาเป็นครูไปทำงานส่วนตัวมากขึ้นๆ บางคนมีงานส่วนตัวเป็นล่ำเป็นสันยิ่งกว่าหน้าที่ครูในหน้าที่ของตัวเสียอีก แล้วบางทีครูก็เป็นตัวอย่างในทางวัตถุนิยมมากขึ้น เรื่องสวยเรื่องงาม เรื่องสนุกสนาน เล่นหัว เอร็ดอร่อยนี่ เป็นตัวอย่างให้นัก(เรียน) แก่เด็กๆเสียอีก นี่ก็คือว่ามันก็ยิ่งไม่เป็นปูชนียบุคคล เพราะทำให้เด็กจมลงไปในความผิด หรือมิจฉาทิฐิ ครูเจ้าชู้กันทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งครูหนุ่มครูสาว มันก็มีมากขึ้น แล้วเด็กจะเป็นอย่างไร คิดดูเท่านี้ก็แล้วกัน มันก็เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เล็ก ยิ่งกว่าเด็ก ครูบูชาสวย บูชางาม บูชาเอร็ดอร่อยให้เด็กเล็กๆ เห็น แม้แต่ชั้นอนุบาล เด็กมันก็เสียนิสัยที่จะสันโดษ ประหยัด มัธยัสถ์ นี่ก็เป็นว่าหมดความเป็นปูชนียบุคคลในบุคคลที่เรียกว่าครู แล้วก็กลายเป็นลูกจ้าง กลายเป็นอาชีวก บูชาอาชีพ โลกกำลังเป็นอย่างนี้ เรียกว่าโลกไม่มีปูชนียบุคคล มีแต่อาชีวก
ทีนี้อาตมามองไกลกว่านั้นไปอีก คือมองตำแหน่งหน้าที่การงานบางชนิด บางวรรณะนี่ว่าเป็นปูชนียบุคคล อาตมาเคยไปเทศน์สอนตำรวจหลายปีมาแล้วตั้ง ๒๐ ปีเห็นจะได้ เพราะถ้าคุณประพฤติ ปฏิบัติหน้าที่ตำรวจของคุณไม่มีบกพร่อง คุณ(ก็)เป็นปูชนียบุคคล แม้แต่เป็นตำรวจเฝ้าถนน เพราะสมัยนั้นเขาจะจำกัดความว่าตำรวจก็ต้องเฝ้าถนน ฝนตกฟ้าร้องก็ต้องเฝ้าถนนให้คนอื่นปลอดภัย ทีนี้ถ้าคุณทำไปจริงๆ โดยเสียสละกระทั่งชีวิตจริงนี่ คุณก็เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง เงินเดือนนั้นนิดเดียว แต่ความดีที่เราทำให้เขามากกว่ามาก ทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากกว่ามาก เงินเดือนนิดเดียว ดังนั้นไม่ใช่ลูกจ้าง มันเป็นปูชนียบุคคล ทำนองเดียวกับพระนี้ ปฏิบัติประโยชน์แก่ชนในโลก แล้วก็ไปรับตอบแทนมาเพียงวันละบาตร หรือครึ่งบาตร (94.00)ก็มี ไปรับจีวร บิณฑบาต เสนาสนะมาเพียงเท่านั้น นั่นเขาไม่เรียกว่าค่าจ้าง ดังนั้นตำรวจที่ปฏิบัติตามอุดมคติจริงๆ กลายเป็นปูชนียบุคคลได้เหมือนกัน เพราะรับเอามานิดเดียวพอเลี้ยงชีวิต แต่ประโยชน์ที่ทำให้บุคคลนอนตาหลับนั้นมันมาก ก็เป็นผู้ที่คนทั้งหลายควรจะยกย่องบูชา อาตมาพูดไปอย่างนี้ไปเข้าถึงหูคนบางคน เขาว่าอาตมาบ้า ไปพูดให้ตำรวจเป็นพระ เคยพูดกันว่าครูก็เป็นพระ เขาก็ว่าบ้า พวกครูนั่นแหละเขาว่าบ้า เพราะครูพวกนั้นมันไม่ชอบที่จะเป็นปูชนียบุคคล ทีนี้ไปพูดให้ทหารก็เป็นปูชนียบุคคล ที่มันจะถือปืนไปยิงเขาให้ตาย ให้พ่ายแพ้ไป ถ้าใจมันบริสุทธิ์ มันต้องการความถูกต้อง ต้องการใช้สิทธิเพียงป้องกันตัวเองด้วยความยุติธรรม ด้วยความถูกต้องนี่ ทหารที่ดีก็เลยกลายเป็นผู้มีหน้าที่ที่พิทักษ์ความถูกต้อง หรือความเป็นธรรมระหว่างชาติ หรือว่าในโลก หรือว่าของโลก ไม่ใช่คนฆ่าคน หรือทหารมันเห็นแก่เงิน มันก็กลายเป็นอาชีวก ไม่ใช่ผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมของโลก ถ้าทำให้ดี มันก็มีส่วนความเป็นปูชนียบุคคล ที่ว่าเป็นรั้วของชาตินั้นก็ยังเป็นอยู่บ้าง แต่เขาเป็นผู้พิทักษ์ความเป็นธรรมของโลก แล้วมันเป็นมากทีเดียว ไม่มีใครเชื่อว่าทหารถือปืนแล้วยิงคนตาย จะเป็นปูชนียบุคคลได้อย่างไร นี่ไม่มองกันใน ไม่มองให้ถึงเจตนารมณ์อันแท้จริง ซึ่งเป็นอุดมคติว่าทหารนั้นคืออะไร
ทีนี้ก็ตุลาการนี่ มันมีโอกาสที่จะเป็นปูชนียบุคคล ถ้าคิดจะทำหน้าที่ไปโดยตรง เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายเกี่ยวกับความยุติธรรม ตุลาการก็เป็นปูชนียบุคคล เมื่อก่อนก็มีส่วนเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นอาชีวก คือเห็นแก่อาชีพ เห็นแก่สินจ้าง ทำคอร์รัปชั่น อะไรก็มีขึ้น เรียกว่ามันไม่ได้พิทักษ์ความยุติธรรมของโลกเสียแล้ว กำลังสูญเสียความเป็นปูชนียบุคคล หมุนไปเป็นอาชีวกขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน ไม่เท่าไรมันจะหมดที่พึ่ง ถ้าว่าทุกอาชีพมันเป็นอาชีวกไปหมด ไม่มีปูชนียบุคคลเหลืออยู่เลยเสียเถอะ หมายความว่าโลกนี้จะเป็นมิคสัญญี จะร้อนระอุเหมือนไฟลามอยู่ทั่วๆ ทั่วๆโลก ผู้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมืองก็เหมือนกัน ถ้าทำไปถูกต้องแล้วเป็นปูชนียบุคคล เหมือนกับบุคคลคนแรกที่เรียกว่าพระเจ้าสมมติราชในโลก ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีมาแล้ว ยังมีชื่ออยู่เดี๋ยวนี้ในคำนำเรื่องกฎหมายเรื่องมโนสาร เป็นพระเจ้าสมมติราช เป็นนักปกครองคนแรกในโลก มันยังมีชื่อเสียงมาจนเดี๋ยวนี้ ก็มันเป็นปูชนียบุคคลจริงๆ เดี๋ยวนี้เราไปดู ดูผู้ปกครองโลก ผู้ปกครองประเทศ เป็นตำแหน่งต่างๆ กันนะ มันก็กลายเป็นว่า เป็นที่รับการวิพากษ์วิจารณ์ รับการด่า การด่าทั้งหลายจะไปรุมอยู่ที่บุคคลนั้น มันก็ไม่ ไม่มีทางที่จะเป็นปูชนียบุคคลยิ่งๆ ขึ้นทุกที ทีนี้เลยพูดว่าโลกกำลังไม่มีปูชนียบุคคลยิ่งขึ้นทุกที มีแต่อาชีวกเกิดขึ้น ที่เป็นหมอเป็นแพทย์ ถ้าทำไปอย่างแบบธรรมชาติหรือแบบโบราณก็เป็นปูชนียบุคคล ดูให้ดีสมัยโบราณเขาทำกันอย่างไร เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็นอาชีพ แล้วเป็นอาชีพที่ขูดได้มากที่สุด เพราะคนมันกำลังจะตาย ขูดอย่างไรก็ขูดได้เหมือนขูดแผล มันก็เป็นโอกาสที่จะขูดได้มาก ถ้าตั้งใจจะขูด นี่ก็เรียกว่ามันหมดความเป็นปูชนียบุคคล
ทีนี้มาดูว่าคนแก่คนเฒ่าประจำบ้านประจำเมือง เดี๋ยวนี้ก็หาทำยายาก ก่อนนี้มีคนแก่ประจำทุกหมู่ บ้าน เป็นที่เชื่อฟังเคารพนับถือของคนทั้งหลาย พอคนนั้นพูดคำเดียว ทั้งบ้าน ทั้งหมู่บ้านจะเชื่อ และจะทำตาม เดี๋ยวนี้มันหายาก มันจะต้องเอาปืนไปจ่อ มันก็ยังไม่ค่อยจะทำ ก่อนนี้พูดด้วยปากก็ได้ อาตมาสังเกตเห็นชัดว่าชั่วอายุเพียง ๖๐ กว่าปีนี้ เห็นชัดว่าความแตกต่างในข้อนี้ เดี๋ยวนี้หาคนเฒ่าคนแก่ประจำหมู่บ้านที่เป็นที่เชื่อฟังกันทุกคนนั้น มันยากแล้ว นี่ความที่มันไม่มีปูชนียบุคคล มันมีอาชีวกมากขึ้นๆ บูชาอาชีพเป็นพระเจ้า ไม่มองหน้าใคร ดังนั้นจึงไม่มีหิริ และโอตัปปะ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว มันก็จะดูดายกันยิ่งขึ้นทุกที ไม่มีใครรักใครช่วยใคร ทั้งความปลอดภัยนี่มันก็มี มีน้อยลง ความไม่ปลอดภัยก็มีมากขึ้น เรียกว่ามันไม่มีขื่อไม่มีแปยิ่งขึ้นทุกทีในโลกที่ปราศจากปูชนียบุคคล มีแต่อาชีวก ขอให้ช่วยเอาไปคิดดูว่า ถ้ายังหวังอยู่ว่าจะเป็นผู้มีส่วนทำโลกให้มีสันติ แล้วก็ต้องคิดถึงเรื่องนี้ โลกไม่มีสันติ เพราะคนในโลกมันกลายเป็นอาชีวกหมด ไม่มีปูชนียบุคคลที่เป็นที่น่าเคารพนับถือแม้แต่ตัวเอง ตัวเองก็ยกมือไหว้ตัวเองไม่ได้ แล้วใครมันจะไหว้ได้ ก็เลยไม่มีความเคารพหรือไม่มีความละอาย หิริโอตัปปะ ตัวใครตัวมันยิ่งขึ้นทุกที พวกนี้มันร้อนเป็นไฟ ผีสางเทวดาก็ถูกลากให้เป็นอาชีวกไปด้วย ไม่เป็นผีสางเทวดาที่น่าดูเหมือนแต่ก่อนแล้ว ก็เรียกว่าหมดที่พึ่ง นี่ก็จ้างเทวดาให้ทำอะไรก็ได้แล้ว นี่เป็นข้อหนึ่งหรือแง่หนึ่งที่ว่าโลกนี้มันอยู่ในสภาพที่หมุนไปหาความวินาศ ทุกคนกำลังบูชาเนื้อหนัง คำนี้เป็นคำที่พวกคริสเตียนเขาใช้เหมือนกัน มันสั้นดี ว่าเนื้อหนัง คือความสุขทางเนื้อทางหนังทางวัตถุ โลกกำลังบูชา โลกกำลังเป็นทาสของเนื้อหนัง ถ้าพูดอย่างภาษาชาวพุทธก็ว่าโลกกำลังเป็นทาสของอายตนะ ตกอยู่ใต้อำนาจของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เดี๋ยวนี้โลกกำลังเป็นทาสของอายตนะ ก็เป็นเนื้อหนังยิ่งขึ้นทุกที บูชาเพศรส และของมึนเมา ซึ่งส่งเสริมเพศรส รสที่เกิดจากเพศ เพศหญิงเพศชาย ชายก็หลงมึนเมาเพศรสหญิง หญิงก็มึนเมาเพศรสชาย นี่กำลังมึนเมาเพศรส ไปใช้ของมึนเมาสุราเมรัยต่างๆ เป็นเครื่องกระตุ้นให้มันมึนเมาหนักขึ้น นี่กำลังอยู่ด้วยความเป็นอย่างนี้มากขึ้นๆ เขาก็ยังเรียกกันว่าเป็นคนดี เป็นคนอะไรกันอยู่ แต่ถ้าถือตามหลักเกณฑ์แห่งสมัยโบราณแล้ว มันก็พูดอย่างนั้นไม่ได้ ไม่มีใครรู้สึกว่าในขณะที่กำลังมึนเมาในรสเหล่านี้นั้น ที่แท้มันเป็นทาส มันเป็นทาสของอายตนะ เป็นทาสของธรรมชาติที่ลึกลับอย่างหนึ่ง เราลงทุนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งเพศรส กระตุ้นด้วยเมรัย แล้วไม่รู้ว่าเป็นทาสของสิ่งนั้น ก็ต้องยอมเป็นทาส สมัครเป็นทาส เท่าไรก็เท่ากัน ถึงทีที่อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ไม่ยอม ไม่ยอมเป็นสังฆทาส ธรรมทาส หรือพุทธทาสอะไรก็ตาม อาตมาชวนนักชวนหนา ทุกคนเป็นได้ ถ้าเราเสียสละเพื่อพระพุทธ ก็เป็นพุทธทาสกันทุกคน เสียสละเพื่อพระธรรม ก็เป็นธรรมทาสกันทุกคน เสียสละเพื่อพระสงฆ์คือทำหน้าที่พระสงฆ์เผยแผ่ศาสนา ก็เป็นสังฆทาสทุกคน ทีอย่างนี้ไม่เอา ทีจะไปเป็นทาสของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ไม่ต้องชวน นี่คือเหตุปัจจัยอันลึกซึ้งอย่างเดียวที่ทำให้โลกมันระส่ำระส่าย ไม่มีสันติภาพ เขาทำทุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ แล้วมันก็ออกมาในรูปของการเมือง ของการทหาร การเอาเปรียบกันด้วยเรื่องเศรษฐกิจอะไรต่างๆ ไอ้ผู้ชนะนั้นแหละได้สิ่งนั้นไปเป็นกำลัง เป็นปัจจัยที่จะหาความสุขทางเนื้อทางหนัง แต่หลอกคนอื่นว่าทำเพื่อยุติธรรมเพื่อสันติภาพ เพื่ออะไร พูดอย่างนี้มันคล้ายกับว่าโลกนี้หมดที่พึ่ง หรือไม่มีคนที่บูชาอย่างอื่นเสียเลย ก็อยากจะแนะกันอีกแง่หนึ่งว่า ก็มีเหมือนกัน ไอ้คนที่ไม่ได้มัวเมาในเพศรส หรือเมรัยถึงขนาดนั้น มันก็ยังมีเหมือนกัน แต่มันเป็นส่วนน้อย เพราะว่าแม้ผู้ที่มีความรู้ ความเฉลียวฉลาดก็ยังตกไปเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ คนที่จะมาหลงใหลในวิชาความรู้โดยไม่ตกไปใน(การ)เป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ค่อยมี ยิ่งไม่มี มันมีคนอีกจำพวกหนึ่งเรียกว่าคนบ้าดี เมาบุญ ก็มี เมาบุญ ไม่ได้ทำบุญด้วยการรู้จักบุญ แล้วก็บ้าดี ก็พยายามจะให้ดี จะเอาให้ดี ให้ดี บ้าดี แต่มันก็ไม่ดีได้ เพราะมันไม่ใช่ความดีที่จริงที่เขากำลังบ้า แม้ว่าพอใจอย่างยิ่งด้วยความบริสุทธิ์ใจ มันก็ดีไม่ได้ เดี๋ยวนี้ค้นคว้าอะไรกันลึกซึ้ง เป็นนักค้นคว้า พอค้นคว้าอะไรได้ ก็ดีใจ สบายใจ intellectual satisfaction นั้นแหละบูชากันนัก intellectual มีสติปัญญา satisfaction พอใจว่าตัวเป็นผู้มีสติปัญญา ค้นคว้าความรู้เพื่อความรู้ เอามาปฏิบัติไม่ได้ ไม่มีประโยชน์แก่ใคร นี่พวกนักปรัชญาทั้งหลายเมาความจริง เพื่อความจริง(แต่)เอามาใช้อะไรไม่ได้ ความรู้ทั้งหลายชนิดที่มันเอามาทำให้โลกได้รับประโยชน์ไม่ได้ก็มีอยู่ แต่เขาพอใจเหมือนกันที่จะค้นกันเตลิดเปิดเปิงไป ไอ้ส่วนที่จะทำให้โลกมีสันติอยู่ตรงนี้ใกล้ๆ นี้ไม่ค้น แล้วค้นได้ก็ไม่มีเกียรติ เพราะมันจะเป็นธรรมดาเกินไป เช่นจะค้นว่าจะทำอย่างไรเราจึงจะทำให้เด็กๆ ของเราหันมาเชื่อพ่อแม่ บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ไม่มีใครอยากค้น แล้วไม่คิดว่ามันมีเกียรติ แต่ไปค้นเรื่องอื่นมากมาย เช่นรู้เรื่องมด เรื่องแมลง เรื่องใบไม้ เรื่องแมลงมุมอย่างเดียวก็ค้นจนได้เกียรติเป็นนักปราชญ์ นี่เรียกว่ามันบ้าดี ไอ้ความบ้าดีอย่างนี้มันไม่มีประโยชน์แก่สันติภาพของโลก เป็นบ้าดีที่มาจากอวิชชา อวิชชาทำให้บ้าดี ให้เมาบุญ ให้อะไรต่างๆ นี่น่าอันตรายแก่มนุษยชาติยิ่งขึ้น นี่เราระวัง เราก็อย่าไปหมดเปลืองเวลาชีวิตเรี่ยวแรงให้มันมากถึงขนาดนั้น คืออย่าเป็นคนบ้าดีหรือเมาบุญ พุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าเมาบุญก็น่าสงสาร ถ้าบ้าดีก็เป็นนักปราชญ์ที่น่าสมเพทเวทนาที่สุด ค้นคว้าดีเพื่อดีที่ไม่มีประโยชน์อะไรแก่ตัว
ทีนี้มาดูอีกทีว่ามันน่าใจหายว่าการค้นคว้าที่เป็นไปเพื่อทางวัตถุธรรม ทางรูปธรรม ไม่มาในทางจิตทางวิญญาณเอาเสียเลย เขาก็ยังว่ายิ่งดี ยิ่งค้นลึกยิ่งดี ยิ่งค้นลึกยิ่งดี ที่นี้เรื่องทางวัตถุมันยั่วยวนกว่า มันเอร็ดอร่อยกว่า สนุกสนานกว่า ผู้ที่ค้นสนุกสนานเอร็ดอร่อยไปพลางก็ได้ ก็เลยระดมทุ่มเทกันไปหมด ไปค้นคว้าทางวัตถุหมด ส่วนที่เป็นเรื่องทางจิต ทางธรรม ทางศาสนานั้นไม่สนใจ ถ้าเกิดมาสนใจกันบ้างบางคน ก็สนใจไปในรูปปรัชญา ซึ่งไม่มีจุดจบ ไม่สามารถจะดับทุกข์เป็นพระอรหันต์ได้ มันค้นสัจจะที่เพื่อสัจจะเสียเรื่อย ไม่ ไม่ ไม่ค้นอริยสัจที่จะดับทุกข์ได้ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ นี่เรียกว่ามนุษย์เรากำลังบ้าดีในแง่ต่างๆ ในชนิดต่างๆ ในปริยายต่างๆ กันอย่างที่เรียกว่าไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดจบ หลงใหลในการค้นคว้า แต่ค้นคว้าสิ่งที่ไม่ช่วยให้เกิดสันติ สิ่งที่ช่วยให้เกิดสันติจริงๆ ไม่สนุก ก็ไม่ค้นคว้า กำลังเป็นบ้ากันถึงขนาดนี้ ก็ยังไม่รู้สึกตัว อาตมายอมรับว่าบ้ากับเขาเหมือนกัน แต่ไม่บ้ากันถึงขนาดนั้นแน่ ใครว่าบ้าก็ไม่เสียใจ ไม่โกรธ แต่ให้รับรู้ว่าไม่ได้บ้าถึงขนาดนั้น ไม่ได้บ้าดีถึงขนาดที่ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เมาดีถึงขนาดที่ว่ายิ่งกว่าเมาเหล้า มันเป็นเรื่องเดินกันคนละทางกับไอ้สันติภาพ หรือสันติสุข หรือพระนิพพาน เราเดินหันหลังให้พระนิพพาน คือไกลพระนิพพานออกไปทุกที ไม่มีใกล้ มันเป็นการเดินคนละแบบ มันกลับหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก่อนหน้าขอให้สังเกตกันอีกสักนิดเดียว แต่สำคัญที่สุด และก็ต้องละเอียดด้วย ให้เห็นว่าเดี๋ยวนี้เรามันกำลังนิยมการตามใจตัวเอง ไม่นิยมการบังคับตัวเอง จนเกิดเป็นศิลปะขึ้นมาแล้ว คือทำได้แนบเนียน แยบคายน่าดู น่าแต่ในการตามใจตัวเอง หาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง จะยกตัวอย่างด้วยพวกฝรั่ง เขาว่าอาตมานั่งด่าฝรั่ง เพราะฝรั่งเขาทำได้ดีนี่นา จะไม่ยกตัวอย่างเขายังไง เขาค้นคว้า เขาทำการทำงาน เขาก็หาเงินได้มาก มีรายได้ประจำตัวคนหนึ่งๆ โดยรายเฉลี่ยแล้วสูงสุด เขาก็รวบรวมเงินเหล่านั้นไว้ เพื่ออะไรก็ไปดู เพื่อเที่ยว เพื่อเตร่ เพื่อหาความสนุกสนาน เพื่อมีบ้านเรือนที่เหมือนกับวิมาน แล้วก็ออกท่องเที่ยวหาความสนุกสนานรอบโลก ปีหนึ่งกี่รอบก็ตามใจ ก็ต้องใช้เงินมหาศาล เขาก็มีความสุข ก็ถูกแล้ว ก็มีความสุข เพราะว่าเขารู้สึกเป็นสุข แต่เขาก็ไม่มองในแง่ว่านั่นมันเป็นการตามใจตัวเองให้เป็นทาสของตัวเอง เป็นทาสของกิเลสมากขึ้น เขาหาเงินได้ปีละหลายล้านนะ ถ้าคิดเป็นเงินไทย เขาก็ใช้มันไปหมดทุกล้านทุกบาททุกเหรียญก็เพื่อตามใจตัวเอง ทุกเหรียญนะ ไม่มีส่วนไหนที่จะบังคับตัวเอง จนเกิดเป็นศิลปะในการหาเงิน ศิลปะในการใช้เงิน ในการตกแต่งบ้าน ในการกิน การอยู่ ในการท่องเที่ยวรอบโลก เอาเงินมาทิ้งให้บ้านเราก็แยะเหมือนกัน ศิลปะในการตามใจตัวเอง ไม่มีศิลปะในการบังคับตัวเอง เพื่อให้หามาอย่างถูกต้อง ไม่ทำคอร์รัปชั่น เขาก็ได้มา ก็กินใช้ ด้วยศิลปะเท่าที่เรียกว่าพอดี ที่นี้ส่วนที่เหลือเอาไปสงเคราะห์ผู้อื่น จะผ่านทางศาสนาวัดวาอารามก็ได้ ผ่านทางสมาคมสงเคราะห์ก็ได้ ก็ส่งเสริมผู้อื่น อย่างนี้เรียกว่าบังคับตัวเอง เป็นศิลปะอันงดงามแห่งการบังคับตัวเอง เขาไม่มีศิลปะแห่งการตามใจตัวเอง มันเดินกันคนละแบบ ศิลปะในชีวิต เดินกันคนละแบบ จากไอ้ที่เคยบังคับตัวเอง เป็นการตามใจตัวเองให้ละเอียด ให้งดงาม ให้น่าดู ระวังให้ดี เรื่องเคหะศาสตร์ โภชนศาสตร์ ระวังให้ดี มันจะเป็นเรื่องเชือดคอตัวเอง จะเห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่ลิ้น แก่ปาก แก่ท้องตัวเองมากขึ้น จนไม่เห็นแก่ผู้อื่นนะ นี่ฝรั่งนำลิ่ว คนไทยก็ตามก้นติดๆ ไปเลยทีเดียว ศิลปะแห่งการตามใจตัวเอง เรียกว่าศิลปะเสียสักหน่อย เป็น art ที่ทำยากและก็งดงาม ใครเห็นก็แล้ว สมัครทำตามทันที ทีนี้เราสมัครทำตามฝรั่งแต่ในแง่นี้ (แต่)มนุษย์โดยแท้จริงจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ คือไม่ต้องการศิลปะชนิดนั้น ต้องการศิลปะที่บังคับตัวเอง ที่เป็นไปเพื่อสงบสุข เป็นไปเพื่อสันติภาพ ให้เป็นมนุษย์จริงๆ คนที่ว่าไปตามใจตัวเองนี้ เขาก็อ้างสิทธิว่าเขามีเสรีภาพ มี เป็นประชาธิปไตย เขาควรจะได้ทำอย่างนั้น ก็ไม่มีใครคัดค้าน เขาว่าเป็นสมัยเสรีภาพ แต่แล้วมันเป็นเสรีภาพที่จะทำโลกนี้ให้เดือดร้อนมากขึ้น เพราะว่าเห็นแก่ตัวมากขึ้น เสรีภาพอย่างนี้มันพาไปให้บูชาเนื้อหนัง บูชากามารมณ์ ไม่บูชาพระเจ้า ฝรั่งว่าพระเจ้าตายแล้วนะ ใครยังไม่รู้ก็รู้เสียด้วย พวกที่ถือลัทธิศาสนาพระเจ้า เขาว่าพระเจ้าตายแล้ว เขาเป็นอิสระ มันก็เลยบูชากามารมณ์แทนพระเจ้า โดยไม่ต้องกระดากอายอะไรเลย ก็เป็นไปหนักขึ้นๆ อย่างไม่นุ่งผ้านี้ ไม่มีความหมาย มันเป็นเรื่องไม่ผิด ไม่น่าเกลียดน่าชังอะไร เพราะจิตใจมันบูชาสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนั้นนะ มันกลายเป็นหายนะธรรม สิ่งที่จะทำความเจริญก็กลายเป็นความเจริญทางฉิบหาย ไม่ใช่เจริญทางสงบสุข นี่ประชาธิปไตยของโลกเสรีมันเป็นอย่างนี้ ใครจะทำอย่างไรก็ได้ อยากจะบูชาเนื้อหนังสักเท่าไรก็ได้ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่มีใครห้าม ใครจะกอบโกยสักเท่าไรก็ได้ มันก็ยิ่งให้โอกาสที่จะบูชาวัตถุ บูชาเนื้อหนังกันมากขึ้น ก็ดูว่าเขาแต่งตัวกันอย่างไร เขาแต่งตัวฟรี เขาก็ทำตามชอบใจจนน่าเกลียด จนดูไม่รู้ว่ามนุษย์ ไม่รู้ว่าคนบ้าหรือคนดี อาตมาขอร้องเขาว่า คุณอย่าทำอย่างนี้ ฉันดูคุณไม่ออกว่าคนบ้าหรือคนดี นุ่งผ้าอย่างนี้ ไว้ผมอย่างนี้อย่างนั้นดูไม่ออก มันทำให้เราเสียเวลา คุณต้องรับรู้ รับผิดชอบว่านี่มันบาปเหมือนกัน มันทำให้คนอื่นเสียเวลา มันก็เปลี่ยนไปทุกอย่างที่จะทำให้ยุ่งยากมากขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว ดนตรี หรือเพลง หรือแม้แต่นาฏศิลป์ เต้นรำก็ตาม ก่อนนี้เขาให้มันเย็น เพื่อให้มันเย็น ให้จิตใจที่ร้อนนะมันเย็น ร้อนอะไรมาก็ฟังดนตรี อย่างโบราณให้ใจมันเย็น บทเพลงก็มันก็ส่งไปทางเย็น อย่างบทเพลงในโบสถ์ในวิหาร เดี๋ยวนี้ก็ยังมี แต่มันน้อยขึ้นทุกที จะรำ เต้น ก็เพื่อจะดึงจิตใจให้อ่อนโยนลงไปแล้วหยุด เดี๋ยวนี้มันกลับตรงกันข้าม หน้ามือเป็นหลังมือ ยั่วยุให้ร้อน ให้กระโดดสูงขึ้นมาทันที ดนตรีก็ตาม เพลงก็ตาม นาฏศิลป์ก็ตาม ยั่วยุกิเลสให้กระโดดสูงขึ้นมาทันที นี่ art หรือศิลป์มันเปลี่ยนกลับตรงกันข้ามอย่างนี้ เรื่องในบ้านเรือน เรื่องประดับประดา เรื่องตกแต่งเรื่องอะไรต่างๆ เขาก็ใช้สิ่งยั่วยุมากขึ้น ไม่ใช่ให้มันเยือกเย็น ที่เรียกว่าสโมสร เป็นสโมสรให้เป็นบ้ามากขึ้น ไอ้บาร์หรือไนท์คลับนี้ไม่ต้องพูด ถ้าพูดก็ต้องพูดว่า เมื่อก่อนมันไม่มี มันไม่มีมากขนาดนี้ มันไม่ให้โอกาสมากเท่านี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่ามหรสพ เมื่อก่อนนี้ก็เป็นเรื่องการศึกษา เดี๋ยวนี้เป็นมหรสพที่จะยั่วกิเลส แม้ตัวการศึกษาเองมันก็ก็กลายเป็นเรื่องส่งเสริมให้คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่เนื้อหนัง เห็นแก่วัตถุ เราจึงได้ผลคือว่าไอ้คนที่ผ่านการศึกษามาแล้ว โลกนี้ก็เป็นโลก กำลังเป็นโลกของคนที่ผ่านการศึกษามาแล้ว มันมีแต่บุคคลทั้งหนุ่มทั้งสาวที่กำลังทำสิ่งที่ไม่น่าทำ อย่างเผามหาวิทยาลัยก็ทำได้ หรือว่าจะทำความฉิบหายอย่างอื่น เช่นไม่รู้จักรักษาความสะอาด อย่างนี้ก็ยัง ยัง ยังได้ นี่อยากจะพูดอย่างนี้นะ อยู่ตรงนี้(ให้)ฟัง(กัน)ทุกคน นิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มาพักที่สวนโมกข์นี้กวาดขยะน้อยกว่าชาวบ้าน ที่พักที่อาศัยของตัวเองนั่นแหละไม่ค่อยกวาดหรอก ชาวบ้านกวาดมากกว่าคนที่ไม่เป็นนักศึกษา ไม่เป็นนิสิตมหาวิทยาลัยกวาดมากกว่า รักษาความสะอาดมากกว่า ขอบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างนี้ ไม่ใช่โทษพวกคุณ แต่โทษการศึกษา หรือโทษมหาวิทยาลัยที่ให้การศึกษาแก่พวกคุณ ที่ทำให้มีจิตใจอย่างนี้ พระฝรั่งเขามาเห็นพระที่นี้กวาดขยะ เขาว่านี่คือการบังคับให้ทำงานอย่างนักโทษ นั่นแหละการศึกษาของพวกฝรั่งทำให้พวกฝรั่งนี้มีความรู้สึกคิดนึกว่า กวาดขยะนี้คือการบังคับให้ทำงานอย่างนักโทษ นี่คือการศึกษาที่โลกในปัจจุบันนี้มันมีให้ ทำให้เด็กๆของเราเป็นอย่างนี้ ไม่รู้สึกว่ามีเกียรติที่จะลุกขึ้นกวาดขยะ ไม่รู้สึกว่ามีเกียรติ แล้วยังเห็นว่าเป็นการเสียเสรีภาพ เป็นการให้ทำงานหนักเหมือนกับนักโทษ นี่ดูการศึกษาสิ ดูการศึกษาของสมัยนี้ มันเปลี่ยนเป็นอย่างนี้
รวมความว่าไอ้ศิลปะของชีวิตนี่มันเปลี่ยนไปกลับหลังหันไปส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ตรงกันข้ามกับสมัยโบราณนู้น ซึ่งถือว่าทำอย่างนั้นมันบาป แม้ไม่มีใครเห็นก็บาป คนที่มัวเมาลุ่มหลงในเรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ เรื่องเนื้อหนังนี่ ถือว่าเป็นบาปตลอดกาล ทำได้แต่พอดี