แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
ธรรมเทศนาเป็นปุพพาปรลำดับสืบต่อธรรมเทศนาในตอนเย็น ซึ่งได้ปรารภอาสาฬหบูชาในข้อที่ว่า วันนี้เป็นวันพระธรรม ได้พิจารณากันถึงลักษณะของพระธรรมในหลายแง่หลายมุม จนกระทั่งเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมนั้นเป็นสิ่งสูงสุด คือเป็นสิ่งที่แม้แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เคารพธรรม และเป็นสิ่งที่ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ว่าเขาจะปฏิบัติธรรมะนั้นอย่างไร และคำว่าธรรมนี้ก็มีความหมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นอะไร ก็เรียกว่าธรรมด้วยเหมือนกัน และพระธรรมนี้ก็อยู่เป็นพระศาสดา อย่างที่เรียกว่าตลอดเวลาที่ยังมีผู้ปฏิบัติธรรมะอยู่ หรือพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่าเมื่อกาลล่วงไปแห่งพระตถาคต ธรรมและวินัยที่ได้แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว จักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอ อย่างนี้ก็หมายความว่าได้ทรงประดิษฐานธรรมะไว้ในฐานะองค์พระศาสดาตลอดกาล
ถึงแม้ว่าในครั้งพุทธกาลที่พระองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดไม่เห็นตถาคต ผู้นั้นไม่เห็นธรรม ไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นตถาคต แม้ว่าจะอยู่ใกล้ชิด จับจีวรอยู่ก็ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคต นี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องคิดดู มันเป็นการแสดงที่ชัดอยู่แล้วว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้สังขารร่างกายนี้เป็นพระพุทธองค์หรือเป็นตถาคต ลองคิดดูก็เห็นได้และเห็นจริง เพราะว่าเห็นแต่รูปร่างอย่างนี้ ก็ไม่ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า ข้อนี้ได้แก่การเห็นของคนเป็นอันมากในครั้งพุทธกาลนั่นเอง เห็นแต่ร่างกายของพระองค์ ไม่รู้จักพระองค์ ที่ถึงกับตั้งตัวเป็นข้าศึกของพระองค์ก็มี นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเห็นแต่ร่างกายนั้น ไม่ชื่อว่าเห็นคุณธรรมที่เป็นพระพุทธเจ้าจริง จึงเกิดมีบุคคลที่เห็นร่างกายพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจว่าคนนี้เป็นพระพุทธเจ้า นี่ก็มีอยู่มาก และที่น่าคิดต่อไปอีกก็คือว่า พวกที่ทำตนเป็นปรปักษ์ คิดจะทำลายชีวิตพระพุทธเจ้า แม้ที่สุดแต่คนใกล้ชิด เช่น พระเทวทัตเป็นต้น ยังมีความพยายามที่จะทำลายชีวิตพระพุทธองค์ นี้มันเป็นโทษของการที่ไม่เห็นธรรม จึงไม่เห็นพระพุทธองค์ที่แท้จริง ทั้งหมดนี้ลองพิจารณาดูเถิด จะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้น มีความสำคัญมาก ถึงขนาดที่จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วก็ไม่รู้จักสิ้นสุด คือจะก็อยู่มาจนถึงบัดนี้สำหรับเป็นศาสดาของคนทั้งหลายผู้ประพฤติธรรมะนั้น จึงกล่าวได้ว่าถ้ายังมีการรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะกันอยู่แล้ว พระศาสดาก็ยังมีอยู่ เวลาจะล่วงไปนานสักเท่าไหร่ ก็ยังมีพระพุทธเจ้าอยู่ นี้คือข้อที่เราจะต้องสนใจให้มากเป็นพิเศษ จะไม่ได้พูดไปตามคนทั้งหลายที่พูดว่าพระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว บางทีก็มีคนพวกอื่นถือเอาเลศอันนี้ ไปทำการโฆษณาทับถมพระพุทธศาสนา เช่น คนบางพวกที่ถือศาสนาอื่นที่มีพระเจ้า เขาก็พูดว่าพุทธบริษัทเป็นคนโง่ ไปถือที่พึ่งในบุคคลที่ตายแล้ว นิพพานแล้ว ไม่ถือที่พึ่งในคนที่ยังอยู่คือพระเจ้า เขาอธิบายว่าพระเจ้านี้ยังอยู่ตลอดเวลา ทำไมไม่พึ่งคนที่ยังอยู่ ไปพึ่งพระพุทธเจ้าที่นิพพานเสียแล้วอย่างนี้ อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่พุทธบริษัท จะต้องคิดดูให้ดีๆ ว่ามันเป็นเรื่องที่เสียหายหรือว่าได้ประโยชน์อะไร ในการที่จะพูดออกไปว่า พระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้ว
ครั้งพุทธกาล น่ากลัวว่า เข้าใจว่า จะไม่มีใครพูดอย่างนี้ เพราะเขารู้ว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ไม่ได้เล็งถึงสังขารร่างกายซึ่งเป็นรูปเป็นร่าง จะเห็นได้แม้ตัวอย่างง่ายๆ เช่น การสลักภาพพระพุทธประวัติเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วมานี้ เขาไม่ได้นิยมสลักรูปพระพุทธเจ้าเป็นรูปเป็นร่าง เป็นพระพุทธรูปเหมือนอย่างรุ่นหลังๆ เขาจะทิ้งว่างไว้ทั้งนั้น ตรงไหนเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ยืน เดิน อะไรก็สุดแท้ เขาจะทำเป็นที่ว่างไว้ทั้งนั้น หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายอย่างอื่นแทน นี่ก็เป็นเพราะเขาทราบดีว่า สิ่งที่เป็นรูปเป็นร่างนั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ถ้าขืนสลักเป็นรูปเป็นร่างอย่างนั้นไว้แล้ว คนก็จะไปยึดถือเอารูปร่างอย่างนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็จะกลายเป็นโทษ แล้วก็จะกลายป็นบาปแก่ผู้ที่สลักรูปเหล่านั้นไว้เสียอีก ก็เลยไม่สลักอะไร ถ้าตรงไหนเป็นพระพุทธเจ้า ก็จะทิ้งว่างไว้ ยิ่งกว่านั้นอีกในหินสลักยุคเก่าๆ บางยุค เช่นยุคเมืองสาญจี ยุคเมืองภารหุต อย่างนี้ ไม่สลักแม้แต่รูปของพระอรหันต์ที่เป็นพระสงฆ์ เพราะถือว่าเป็นผู้บรรลุธรรมที่อยู่เหนือความมีรูปร่างอย่างเดียวกัน หินสลักยุคต่อมา ไม่สลักรูปพระพุทธองค์ก็จริง แต่ยังสลักเป็นรูปภาพพระสงฆ์สาวก นี้ได้แก่หินสลักยุคอมราวดี ซึ่งไม่ถือเคร่งมากเหมือนยุคแรกๆ ขอให้สังเกตดู ถ้าเขาเคยรู้จักธรรมะว่าเป็นองค์พระพุทธเจ้า แล้วไม่ใช่รูปร่างกายเป็นพระพุทธเจ้า เขาจึงไม่ยอมสลักภาพพระพุทธเจ้าเป็นรูปร่างกายอย่างเดียวกับคน นับว่าเป็นสิ่งที่ นับว่าเป็นพวกที่รู้จักพระพุทธเจ้าจริงกว่าพวกรุ่นหลังๆ ซึ่งไปยึดถือพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปคน ซึ่งไปหมายถึงสังขารร่างกายนั้นมากกว่า สังขารร่างกายนั้นก็เลยปิดบังพระพุทธเจ้าพระองค์จริงคือพระธรรม ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตอย่างนี้เป็นต้นเสีย นี้ก็เป็นส่วนที่ต้องพิจารณาดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโอกาสเช่นวันนี้ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา พูดถึงพระธรรมที่จะเป็นองค์พระพุทธเจ้ากันเป็นพิเศษ ผู้ใดเห็นธรรมชนิดนี้ ผู้นั้นชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า หรือถ้าเห็นพระพุทธเจ้าก็คือต้องเห็นธรรมชนิดนี้ วันนี้เป็นวันที่ทรงแสดงธรรมที่ทำความดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ควรที่จะใช้เป็นสิ่งที่จะกล่าวได้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นี้เป็นใจความสำคัญในการพิจารณากันในวันนี้ สิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ สิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นพระธรรมก็ได้ สิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นพระสงฆ์ก็ได้ สิ่งที่เรียกว่าธรรม เป็นพระศาสนาก็ได้ กระทั่งมาเป็นเพียงคำสอนล้วนๆ ก็ได้ แต่โดยเนื้อแท้แล้ว ก็ย่อมหมายถึงการปฏิบัติที่มีผลดับทุกข์ได้ จึงจะเรียกว่าธรรมที่แท้จริง แต่โดยเหตุที่การปฏิบัตินั้นต้องรู้กันเสียก่อนว่าจะปฏิบัติอย่างไร ฉะนั้นการสอนให้รู้นี้ก็สงเคราะห์ไว้ นับรวมไว้ในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม คือการศึกษาเล่าเรียน
ครั้นมาถึงยุคนี้ เราก็ติดยึดในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนหรือพระธรรมที่เป็นตัวคำสอนนั้นกันมากเกินไป ไม่ได้สนใจไปถึงตัวการปฏิบัติ นี้ก็เป็นได้ด้วยเหตุหลายอย่าง เช่นว่า พอไปสนใจในเรื่องคำสอน ก็สนุกดีและก็มีมากมายด้วย พอที่จะทำให้บุคคลนั้นมีชื่อเสียง เป็นนักปราชญ์เป็นอะไรต่างๆ นานา ก็เลยยิ่งติดสิ่งที่เรียกว่าพระธรรมที่อยู่ในรูปของปริยัติธรรมมากยิ่งขึ้น ไม่ออกมาเป็นพระธรรมในลักษณะของการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ นี้แหละเป็นสิ่งที่จะต้องสำรวจตัวเองด้วยกันทุกคน หรือเรียกกันอีกทีหนึ่งก็เรียกว่าต้องสังคายนาตัวเอง ชำระสะสาง ตรวจสอบ พินิจพิจารณาตัวเองว่ามีความรู้สึกในเรื่องนี้อย่างไร เข้าใจเท่าไหร่ ยึดถือธรรมที่ตรงไหน เป็นเปลือกหรือเป็นเนื้อในกันสักกี่มากน้อย ถ้าไม่สนใจอย่างนี้ มันก็จะไม่มีอะไรที่เป็นการก้าวหน้า มันจะเป็นเหมือนกับการตอกหลักติดแน่นอยู่ที่ตรงนั้น กระดิกไปไม่ได้ เขาเรียกว่าเป็นหลักตออยู่ในวัฏฏะ ไม่มีทางที่จะถอนตัวออกไปจากวัฏฏะได้ และก็ระวังให้ดี มันจะได้แก่พวกเรานั่นเองที่ไม่มีการก้าวหน้าในทางของพระธรรม เมื่อก่อนนี้ก็จะเรียกได้ว่าไม่ได้รู้อะไร ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังอะไร มันก็น่าสงสารที่สุด พอได้รู้ ได้ยิน ได้ฟังอะไร ก็เกิดยึดมั่นติดอยู่ที่นั่นอย่างนี้ก็มี ก็น่าสงสารอยู่นั่นแหละ ทีนี้มันอาจจะเตลิดเลยไปถึงว่ายึดถือเอาเป็นเครื่องมือสำหรับหาเกียรติยศชื่อเสียง หรือหาลาภ หาประโยชน์เป็นวัตถุ มันก็เลยค้าพระธรรม ใช้พระธรรมเป็นสินค้าสำหรับหาประโยชน์ใส่ตน ทีนี้พอมาเกิดประชันหน้ากันเข้าในระหว่างพ่อค้าหลายๆ คน มันก็เกิดทะเลาะวิวาทกัน มันก็ใช้พระธรรมอีกนั่นแหละเป็นอาวุธสำหรับประหารกัน เฆี่ยนตีกัน ข่มขี่กัน ด้วยหัวข้อของธรรมที่ตนอ้างว่าตนรู้ดี ฉันเท่านั้นรู้ดี พูดถูก คนอื่นไม่รู้หรือพูดผิด ทะเลาะวิวาทกันจริงๆ ก็มี หรือว่าทะเลาะวิวาทกันเพราะแย่งประโยชน์กันก็มี เดี๋ยวนี้พระธรรมจะอยู่ที่ไหน จะกลายเป็นอะไรไป ก็ลองคิดดูเถิด เมื่อพุทธบริษัทนั่นเอง กระทำแก่พระธรรมเสีย ในลักษณะอย่างนี้แล้ว ก็ต้องเป็นว่าพุทธบริษัทนั่นเองเป็นผู้ทำลายพระธรรม ในส่วนที่จะมาเป็นประโยชน์แก่มนุษย์หรือรวมทั้งแก่ตนเองด้วย ตนเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร ทำให้คนทั้งหลายพลอยยุ่งยากลำบากไปด้วย ไม่เป็นการสืบอายุของพระธรรมไว้สำหรับเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งปวงดังนี้
วันนี้เป็นวันพระธรรม ก็ต้องนึกถึงปัญหาต่างๆ เหล่านี้ให้มาก ถ้าวันอื่นไม่มีโอกาสที่จะนึก ก็นึกกันในวันที่สมมุติกันว่าเป็นวันพระธรรมนี้แหละให้มากเป็นพิเศษ อาตมาเห็นว่าเป็นการดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด ฉะนั้นจึงเอามาพูดเป็นพิเศษด้วยเหมือนกัน ทีนี้ก็จะได้กล่าวต่อไปถึงลักษณะของพระธรรมในบางแง่บางมุม ให้แปลกออกไป สำหรับพินิจพิจารณา ที่เห็นว่าสำคัญอยู่อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ให้ศึกษาพระธรรมจากธรรมที่มีอยู่จริงในจิตในใจ ไม่ใช่ธรรมในตัวหนังสือ มีคนมาถามบ่อยที่สุด วันนี้ก็ยังมีคนถามว่าถ้าจะศึกษาพระธรรม จะแนะนำให้เขาอ่านหนังสืออะไร หนังสือเล่มไหนก่อน เขาถามอย่างนี้ ลองคิดดูว่าเขาอยากจะศึกษาพระธรรม มาขอคำแนะนำว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหนก่อน อาตมาก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว ถ้าคุณอยากจะมีพระธรรมในหนังสือ ก็ไปเลือกเอาเองก็แล้วกัน ไปพลิกดูหลายๆ เล่มหน่อย ก็จะพบเล่มที่จะเป็นที่พอใจได้ อาตมาไม่ไปรู้ในจิตใจของคน ของคุณได้ ฉะนั้นจึงไม่อาจจะแนะนำได้ แต่ถ้าจะถามให้ถูก ก็ควรจะถามว่า ถ้าอยากจะศึกษาพระธรรม แล้วก็จะให้ตั้งต้นอย่างไร ถ้าคุณถามอย่างนี้ อาตมาก็จะบอกว่า ให้ตั้งต้นศึกษาพระธรรมที่จิตใจของคุณนั่นเอง มันมีอะไรที่รู้สึกแก่จิตใจ เป็นปัญหาอยู่ในใจ ก็ให้ตั้งต้นศึกษาที่ตรงนั้น คือให้ศึกษาที่ตัวปัญหาหรือตัวความทุกข์ที่กำลังรู้สึกอยู่ในใจ แม้ที่สุดแต่จะเป็นเรื่องบาป เรื่องกิเลสที่คุณกำลังมีอยู่อย่างเร่าร้อน กลัดกลุ้มอยู่ในใจ นั้นก็ได้เหมือนกัน เพราะว่านั่นก็คือธรรม หรือ ธมฺม ในภาษาบาลี หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ถ้าเป็นกิเลส เป็นความทุกข์ที่กลัดกลุ้มอยู่ในใจ ก็เรียกว่าปาปธรรม หรือลามกธรรม แล้วแต่จะเรียก มันก็เป็นธรรม เมื่อเป็นธรรม ก็ต้องเป็นสิ่งที่หยิบขึ้นมาสำหรับศึกษาพิจารณาเป็นเรื่องแรกได้ทั้งนั้น เอากิเลสความทุกข์ที่รู้สึกอยู่ในใจจริงๆ มา เป็นตัวธรรม สำหรับเป็นจุดตั้งต้น สำหรับการศึกษาธรรมนี้ เป็นการดีที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ ดูจะไม่ทำกันอย่างนั้น ดูเหมือนเขาก็ไม่รู้ว่าธรรมะนี้ มันจะอยู่ที่ไหน ได้ยินเขาว่ากันให้อ่านหนังสือธรรมะแล้วก็จะรู้ธรรมะ จึงได้มาถามว่าให้อ่านหนังสือเล่มไหนก่อน ถ้าทำอย่างนี้ มันก็เป็นธรรมะหนังสือ เป็นธรรมะตัวหนังสือไปหมด มันไม่เป็นธรรมะจริง จนกว่าจะได้ศึกษาให้เกิดความรู้ขนาดที่รู้จักศึกษาจากข้างในจริงๆ มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้นในเวลานี้ เดี๋ยวนี้ เรามาตั้งต้นศึกษาจากธรรมะตัวจริงกันดีกว่า เร็วกว่า มีประโยชน์กว่า ก็ลองเอามาดูทีว่า อะไรเป็นปัญหาคือเป็นความทุกข์ที่มีอยู่ในใจ พอถามอย่างนี้ ก็เกิดการละอายเสียอีก ซ่อนเร้นเสียอีก ไม่พูดความจริงเสียอีก มันก็ช่วยอะไรไม่ค่อยจะได้ แต่ก็อยากจะบอกท่านทั้งหลายทุกคนว่า ถ้าจะให้มีการศึกษาธรรมะชนิดที่ก้าวหน้า สูงยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับแล้ว ก็ขอให้ศึกษาธรรมะตัวจริงที่มีอยู่ในใจ ที่รู้สึกอยู่ในใจ จะเป็นเรื่องอะไรมันก็เป็นธรรมะไปทั้งนั้น จะศึกษาเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นธรรรมะ ๖ ข้อนั้น จะศึกษารูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ มันก็เป็นธรรมะ ๖ ข้อนั้น แล้วกระทบกันเข้า เป็นวิญญาณ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา ตัณหา มันก็เป็นธรรมะไปทั้งนั้น ไม่ว่าจะไปจดเข้าที่ส่วนไหน มันก็เป็นธรรมะไปทั้งนั้น และเป็นธรรมะจริงด้วย คือรู้สึกอยู่ในใจจริงๆ ด้วย ไม่เหมือนกับธรรมะตัวหนังสือ ในเล่มหนังสือ มันก็ไม่รู้ว่าอะไร แม้มันจะเป็นตัวหนังสือ แม้มันจะอ่านออก มันก็ไม่รู้จักตัวจริงของธรรมะนั้น เช่นเราจะอ่านคำว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็อ่านไปสิ มันก็เป็นตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตัวหนังสือทั้งนั้น หรือจะไปดูที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของคนจริงๆ มันก็เห็นรูปภาพเท่านั้น มันก็ต้องศึกษาตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่มีความรู้สึกอยู่ข้างใน ที่ตัวเราก็รู้สึกอยู่ข้างใน ว่าตามีความสามารถในการที่จะเห็นรูป หูมีความสามารถที่จะได้ยินเสียงเป็นต้น ถึงมาดูที่ผัสสะ ที่เวทนา นี้ไม่มีรูปให้ดูแล้ว ก็ต้องดูที่ความรู้สึก รู้สึกอยู่ที่ความรู้สึก เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน เป็นภพ เป็นชาติ ล้วนแต่เป็นความรู้สึกอยู่ข้างใน ถ้ามีตัณหา อุปาทาน มันก็ร้อน มันก็หนัก ออกมาเป็นภพ เป็นชาติ
มันก็กลายเป็นความทุกข์ไป นี่เรียกว่าศึกษาธรรมะจริง เป็นธรรมะข้างใน เป็นธรรมะที่มองเห็นแล้ว ก็เห็นธรรมะกันจริงๆ ด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เห็นว่า มันเป็นอย่างไร รู้สึกอยู่อย่างไรก่อน เมื่อดูต่อไป ก็จะพบความเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยง จะพบความต้องทนทรมานเพราะไปยึดถือเข้า ก็พบความทุกข์ ก็เห็นว่าเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ตามธรรมชาติ นี้ก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของใคร ไม่มีใครจะเอาตามใจได้ แม้ความคิดที่ว่าจะเอาตามใจนั้น มันก็ไม่ใช่ใจ ไม่ใช่ตัวตนอะไรมากมาย มันเป็นเพียงความรู้สึกที่ปรุงแต่งขึ้นมา ในสังขารร่างกายนี้อีกนั่นเอง นี่ก็เห็นอนัตตามากขึ้น เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เป็นธรรมะจริงยิ่งขึ้น ไม่ใช่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปากว่าสวดท่องหรือว่าตัวหนังสือ นี้คือความก้าวหน้า จากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านนี่ ไปเป็นธรรมะที่รู้สึกอยู่ในใจ เห็นธรรมะนี้แล้วก็พิจารณาต่อไป ก็จะเห็นธรรมะอื่นซึ่งซ่อนอยู่ข้างในนั้น ลึกยิ่งขึ้นไปอีก เรื่อยๆ ไป ก็จะพบความจริงมากขึ้น หมายความว่าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั่นเอง มากขึ้นๆ พอที่จะให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายกำหนัด เป็นการบรรลุธรรมะที่เป็นผล ที่เป็นปฏิเวธ แทงตลอดในอันดับสุดท้ายได้จริง นี้เรียกว่าศึกษาธรรมะจริง ใช้คำว่าศึกษาแต่ไม่ใช่อ่านหนังสือ ศึกษาชนิดนี้หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา หมายถึงการเห็นแจ้งแล้วก็ควบคุม สำรวม ระวังไม่ให้เกิดความยึดถือ ไม่ให้เกิดความเห็นแก่ตัว แม้ในขั้นศีลนี่แหละ ถ้าดูให้ดีมันจะพบว่ามันเป็นศีลสูงสุด อยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ ไม่ให้เป็นไปตามอำนาจของความยึดถือ ความยึดถือนี้จะทำให้ขโมย มันก็บังคับไปได้ ไม่ขโมย หรือว่าจะทำให้ฆ่า ก็ไม่ฆ่า จะทำให้ประพฤติผิดอย่างอื่นในเรื่องศีล ก็ไม่ประพฤติ ถ้าศีลอย่างนี้มันมีรากลึกออกมาจากข้างในคือการเห็นความจริงของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จนไม่ยึดถือ แล้วมันก็ทำอะไรที่ผิดศีลไม่ได้ นี้ก็เป็นอริยกันตศีล เป็นศีลที่พระอริยเจ้าพอใจ หรือเป็นศีลของพระอริยเจ้า หรือว่าเป็นศีลของพระอรหันต์เสียเอง พระอรหันต์ท่านไม่มีความยึดถือ ฉะนั้นจึงผิดศีลอะไรไม่ได้ ไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้ผิดศีลได้ มันจึงเป็นศีลที่แน่นอน เด็ดขาดหรือสูงสุด มาจากความรู้แจ้งเห็นจริงในสังขารทั้งปวง จนไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ธรรมะที่เป็นขั้นศีลในลักษณะอย่างนี้ ก็สูงสุด เป็นธรรมะเดียวกัน
ถ้าเป็นสมาธิ เมื่อพูดถึงสมาธิ ก็จะเห็นได้อย่างเดียวกันอีกว่า จิตของคนที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดนั่น มันจะเป็นสมาธิจริง สมาธิแท้และก็ตลอดเวลา ไม่ต้องตั้งความพากเพียรพยายามที่จะทำอะไรกันอีก มันไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเสียแล้ว ไม่มีเรื่องตัวกูของกูแล้ว จิตนั้นก็เป็นสมาธิ คือสงบเย็นอยู่เป็นปกติ หรือจะพูดให้เลยไปถึงปัญญา ถ้าเห็นสิ่งทั้งหลายจนไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว มันก็เป็นยอดสุดของปัญญาเสียแล้ว นี่การศึกษาในเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด ถ้าว่ากันโดยเนื้อความที่เป็นของลึก เป็นของแท้จริงแล้ว มันก็มาจากรากฐานอันเดียวกันคือธรรมะหรือการเห็นธรรมะหรือการเข้าถึงธรรมะ มันเลยมีศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันไปในตัว เป็นสิ่งเดียวกัน เป็นเกลียวกันไป ไม่แยกจากกัน นี้เรียกว่าเห็นธรรมะ เข้าถึงธรรมะ เราศึกษาธรรมะกันอย่างนี้ดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าที่แล้วๆ มา ซึ่งศึกษากันแต่ตัวหนังสือ หรือการพูดการจาการอะไรต่างๆ มันก็พอแล้ว หรือมันอาจจะเหลือเกินไปแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นการศึกษาที่ไม่ต้องพูดกันบ้าง หรือว่าที่ไม่ต้องอ่านกันเสียตะพึดไปบ้าง ก็คือการศึกษาด้วยการดูข้างใน พิจารณาดูข้างในที่ตัวธรรมะนั่นเอง ถ้าทุกคนตั้งต้นการศึกษามาตั้งแต่แรกๆ ในลักษณะอย่างนี้ ก็จะมีความก้าวหน้าในทางธรรมะยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในบัดนี้
เดี๋ยวนี้ก็มีขนบธรรมเนียมประเพณีทำให้เข้าวัด ทำให้บวชพระ บวชเณร แล้วก็มาเรียนธรรมะหนังสือ นี้มันก็ช่วยไม่ได้ ก็น่าเห็นอกเห็นใจอยู่ ก็น่าให้อภัยอยู่เหมือนกัน เพราะคนเหล่านี้เขามาจากบ้านที่ไม่เคยรู้เรื่องธรรรมะแล้วก็มาบวชเป็นพระ เป็นเณร เพราะตามขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ใช่เห็นธรรมะจริง จนเกิดความเบื่อหน่าย ระอาบ้าน ระอาโลกแล้วจึงมาบวช มันก็จึงมาตั้งต้นกันใหม่ที่วัด ออกมาด้วยการกระทำตามขนบธรรมเนียมประเพณี ว่าบวชนี่ดี จะได้ศึกษาธรรมะ เขายอมเชื่อ ก็บวชก็มาอยู่วัดเป็นต้น ก็เพื่อศึกษาธรรมะ ก็มาติดอยู่ที่ธรรมะหนังสือ ธรรมะคำพูด เรียนกันไป สอบไล่กันไปกว่าจะเป็นที่พอใจหรือว่ากว่าจะไม่ไหวแล้ว ทีนี้ก็เกิดเป็นปัญหาว่าจะไปทางไหนดี ถ้าว่าจะมาทางปฏิบัติ มันก็ดีแน่ถ้ามาได้ แต่ถ้าศึกษาธรรมะมาผิดๆ มันก็ไม่รู้จะปฏิบัติให้ถูกต้องได้อย่างไร ก็มาสร้างกันใหม่สำหรับการปฏิบัติ ให้มีการปฏิบัติที่ถูกต้อง จะมีผลหรือไม่มีผลก็อยู่ตรงที่ว่าทำถูกหรือทำผิด แต่แล้วเอาเป็นว่าเดี่ยวนี้ก็เอือมระอากันเต็มทีแล้ว เรื่องธรรมะหนังสือ ธรรมะคำพูด ให้เป็นธรรมะปฏิบัติกันเสียที แล้วจะลงมือปฏิบัติอย่างไร ก็ต้องวกไปหาเรื่องที่พูดแล้วเมื่อตะกี้นี้เองว่า จงดูลงที่จิตใจ ความรู้สึกที่รู้สึกอยู่ในจิตใจ อย่างไรเรียกว่าดำ อย่างไรเรียกว่าขาว อย่างนี้ก็ยังดี หรือว่าอย่างไรเรียกว่ากิเลส อย่างไรเรียกว่าความทุกข์ อย่างนี้ก็ยังดี ให้เห็นชัดลงไปว่าเมื่อไหร่ที่จิตว่างจากกิเลสและความทุกข์ เมื่อไหร่จิตเต็มอยู่ด้วยกิเลสหรือความทุกข์ นี่ จิตมีราคะ จิตไม่มีราคะ จิตมีโทสะ จิตไม่มีโทสะ จิตมีโมหะ จิตไม่มีโมหะ เหล่านี้เป็นต้น ดูกันเรื่อยไป ให้เข้าใจเรื่องจิต รู้จักจิต และรู้จักสิ่งที่กำลังมี กำลังเกิดอยู่พร้อมกันกับจิต มันก็เป็นธรรมะที่ลึกลงไป มันดูแล้ว มันก็ไม่น่าจะถือว่ายากหรือเหลือวิสัย แต่คนก็พูดว่ายากหรือเหลือวิสัย ที่แท้มันไม่ตั้งใจจะศึกษา ไม่ตั้งใจจะฟัง ข้อนี้อาตมายืนยันได้ เพราะคนส่วนมากแม้ที่มาที่นี้ ก็ไม่ตั้งใจจะฟัง ไม่ตั้งใจจะศึกษา ไม่ตั้งใจจะเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดให้ฟัง มากันร้อยคนหรือพันคน จะหาคนที่สนใจจะฟังให้เข้าใจจริงสักสองสามคนก็ยังหาได้ยาก พูดไปเดี๋ยวก็หลับแล้ว หรือพูดไปข้างเดียว ใจผู้ฟังก็ลอย ใจลอยไปเรื่องอื่น อยากจะไปฟังเรื่องอื่น จะไปดูที่อื่นแล้ว
พูดเรื่องธรรมะจริงๆ นี่ ไม่เป็นที่สบใจแก่บุคคล หรือว่าน้อยมาก มีสองสามคนในร้อยคนในพันคน ก็เลยล้อให้ด้วยการเขียนภาพแจกลูกตา น้อยคนที่จะรับเอาลูกตา คนส่วนมากก็ไม่รับเอาลูกตา นั้นแหละเห็นได้ชัด อยู่ตรงที่คนเหล่านั้นไม่สนใจ การที่จะพูดเรื่องธรรมะจริง ที่ค่อนข้างจะจริง มันจริงก็ต้องลึกหน่อย พอพูดลึกหน่อย มันก็ไม่สนใจแล้ว มันพยายามที่จะปัดออกไปเสีย มันก็ไม่ตรงกับความต้องการ นี้ก็จริงอยู่ แต่ว่าถ้าทนฟัง ทนสนใจกันบ้าง มันอาจจะเข้าใจ และก็จะเปลี่ยนเป็นเรื่องน่าสนใจหรือต้องการขึ้นมาได้ทีหลัง เมื่อสังเกตดูกิริยาอาการอันนี้ ก็ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมท่านจึงมีคำพูดที่พูดว่า ปุถุชนคือคนโง่ คนหนาไปด้วยกิเลส อสุตวา ผู้มิได้สดับ ไม่ได้รับการสดับตรับฟังในธรรมะของพระอริยเจ้า มันเป็นอย่างนี้เอง ทีแรกก็ไม่เข้าใจว่า ปุถุชนนี้มันจะเป็นอย่างไร ต่อเมื่อสังเกตเห็นคนเหล่านี้เข้า ก็รู้ว่าปุถุชนมันเป็นอย่างนี้เอง มันมีอะไรมาคอยปิด คอยบัง คอยกั้นเอาไว้ ไม่ให้แม้แต่คำพูดนี่ เข้าไปในจิตใจ อย่าว่าถึงธรรมะขั้นสูงสุดจะเข้าไปในจิตใจ เขามีอะไรของเขาก็ไม่รู้ เป็นความต้องการหรือเป็นความหวัง เป็นอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่คอยปิดคอยกั้นเอาไว้ ไม่ให้เรื่องของธรรมะแท้จริงเข้าไปสู่จิตใจจนเกิดความสนใจ ฉะนั้นมากันร้อยคนพันคน นี่ก็เหลือสักสองสามคนที่จะมีธรรมะในใจติดกลับไป ราวกับว่าได้รับแจกลูกตา นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งกำลังมีอยู่ที่นี่ เป็นอยู่ที่นี่ ที่ท่านทั้งหลายทุกคนที่มาที่นี่ จะต้องสนใจ คือสนใจในเรื่องการแจกลูกตา เพราะว่าอย่างไรเราก็ควรจะได้รับลูกตา ถ้าได้รับลูกตาไปได้ มันก็ปลอดภัยแน่ เช่นเดียวกับที่ในพระบาลี ก็มีว่าเกิดธรรมจักษุเห็นธรรม เกิดดวงตาเห็นธรรม นั้นก็หมายถึงว่าคนนั้นแน่นอนทีเดียวที่จะไม่กลับโง่ไปเป็นปุถุชนอีก มีแต่จะฉลาดก้าวไปข้างหน้าไปตามวิถีทางของพระอริยเจ้า ฉะนั้นการที่จะมีดวงตาเห็นธรรมนี่ มันก็เป็นเครื่องหมายของการก้าวไปสู่โลกของพระอริยเจ้า การยืนอยู่ที่ประตูอมตะนั้นเป็นชื่อของการบรรลุพระโสดาบัน การเป็นพระโสดาบันนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า อมตทฺวาเร ฐิโต มันยืนอยู่ที่ประตูของอมตะ อมตะในที่นี้ก็หมายถึงนิพพานที่ไม่ตาย การมีดวงตาเห็นธรรม หรือว่าเกิดดวงตาเห็นธรรม ก็คือการแน่นอนว่าไปถึงประตูแล้ว มันก็จะเข้าไปในประตูนั้น ไปถึงนิพพานได้ แม้คำพูดที่เรียกว่าโสดาบันนี้ ก็มีความหมายอย่างเดียวกันคือเป็นผู้ถึงกระแสแล้ว ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน มันก็ไม่กลับอีกแล้ว เหล่านี้เป็นชื่อของดวงตาเห็นธรรม มีปัญญาจักษุเกิดขึ้น ก็แปลว่าได้รับลูกตาในพระพุทธศาสนาไปแล้ว
ขอให้ตั้งใจดีๆ ในเรื่องฟัง เรื่องอ่านหรืออะไรทำนองนี้ อย่าให้มันหยุดอยู่เพียงแค่นั้น มันเป็นการตายด้านอยู่เท่านั้น ให้มันกลายเป็นชนวนหรือเป็นหนทางที่เปิดกว้างออกไปๆ ตามลำดับ ให้บรรลุธรรมะที่เรียกว่ามีดวงตาเห็นธรรมให้จนได้ เท่าที่สังเกตดูในพระบาลี หรือแม้ในอรรถกถาเอง ก็ยังมีทางที่เป็นไปได้ว่า แม้คำพูดของคนบ้าหรือว่าเด็กเล็กๆ อะไรก็ตาม ถ้าฟังให้ดีก็อาจจะเกิดดวงตาเห็นธรรมะได้เหมือนกัน อย่าไปปักใจแน่แน่วเสียว่าจะต้องได้ฟังจากพระพุทธเจ้าเอง ต้องไปฟังจากพระอรหันต์เองนี่ จึงจะมีดวงตาเห็นธรรม เดี๋ยวนี้มันก็คล้ายกับว่ามีพระพุทธเจ้าเอง หรือมีพระอรหันต์เองนั่นแหละอยู่ในที่ทั่วไป เพราะเหตุอะไร เพราะเหตุว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้มากพอแล้ว ท่านยืนยันว่าท่านได้ตรัสไว้มากเพียงพอแล้วเกี่ยวกับพระธรรมนั้น ท่านไม่ได้มีกำมือหรือซ่อนอะไรไว้ ขยักอะไรไว้ไม่ยอมบอก ท่านตรัสว่าท่านได้บอกหมดแล้ว เป็นการเพียงพอแล้ว เป็นการประดิษฐานมั่นคงลงไปในหมู่มนุษย์นี้แล้ว ก็เรียกว่าพระศาสดาหรือพระพุทธเจ้ามีแล้ว มีอยู่แล้วและมีอยู่ตลอดเวลาด้วย แล้วแต่ว่ามันจะแสดงออกมาทางใครก็ได้ ทางบุคคลไหนก็ได้ จากครูบาอาจารย์ก็ได้ จากเพื่อนฝูงก็ได้ จากเด็กๆ ก็ได้หรือว่าจากคนบ้าๆ บอๆ สักคนหนึ่งก็ได้ที่เขาพูดประโยคที่เป็นความจริงหรือมีความหมายเป็นธรรมะสูงสุดออกมา เพราะเหตุว่าเดี๋ยวนี้ธรรมะมันแพร่หลาย นี่ลองคิดดู คนบ้าๆ บอๆ ก็พูดเรื่องสุญญตาเป็น พูดอนัตตาเป็น อะไรเป็น เพราะว่าธรรมะมันแพร่หลาย คนแต่ก่อนเขาได้ทำไว้ให้แพร่หลายจนปากของคนทั่วๆ ไปก็พูดได้ ฉะนั้นมันจึงมีโอกาสที่จะพูดธรรมะให้ลึกออกมาได้ ทั้งที่เขาเป็นคนบ้าๆ บอๆ หรือเป็นเด็กมันร้องเพลงเล่น แต่ถ้าว่าข้อความนั้นมันเป็นธรรมะและประจวบเหมาะกับผู้ฟังนั้นมันมีจิตใจเหมาะสม เพียงได้ยินได้ฟังสักสองสามคำ มันก็เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายคลายกำหนัดได้ในอันดับแรกที่จะเป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
การที่อาตมากล่าวอย่างนี้ คงจะไม่ค่อยมีใครเชื่อนัก คงจะมีแต่คนคัดค้านอีกตามเคย แต่ก็ไม่เป็นไร ขอให้สังเกตดูเองก็แล้วกันว่า เดี๋ยวนี้ธรรมะมันแพร่หลายทุกหย่อมหญ้าไปแล้ว การศึกษาเล่าเรียนทางปริยัตินี่ มันจะออกมาจากปากของใครก็ได้ เราก็รับให้ถูกต้อง สักวันหนึ่งมันประจวบเหมาะอารมณ์กำลังดี ใจคอกำลังดี อาจจะเข้าใจได้ชัด เกิดความสว่างในใจก็ได้ ทั้งที่ในบางวันอารมณ์มันไม่ดี ใจคอมันไม่ดี เขาพูดเรื่องเดียวกัน มันก็ฟังไม่ถูก แต่ถ้าบางวันอารมณ์มันดี มันก็ฟังถูก นี่ขอให้ตั้งจิตตั้งใจไว้ให้อารมณ์มันดีอยู่เสมอ จะได้รับประโยชน์แม้จากคำพูดจากคนธรรมดาสามัญ คนบ้าคนบอ เด็กเล็กอะไรก็ได้ เพราะว่าธรรมะนี้จะปรากฏออกมาจากปากของเด็กๆ ก็ได้ ด้วยเหตุที่ว่าการศึกษามันแพร่หลาย ขอให้ถือว่าปากนี้ปากใครก็ได้ ขอแต่ให้ธรรมะนั้นมันออกมา แสดงออกมาด้วยเสียงเหล่านั้น แล้วก็อย่าฟังสักว่าเสียง ก็ฟังให้ได้ความหมาย เมื่อมันไปรวมกันเข้ากับความรู้ต่างๆ ที่ได้สะสมไว้ในสันดานของตน ในจิตใจของตนมากพอแล้ว ประจวบเหมาะมันก็กลมกลืนกันได้เป็นธรรมะสูง ทำให้เกิดดวงตาเห็นธรรมได้ พระธรรมนี้เป็นสิ่งที่ประหลาด น่าอัศจรรย์อย่างนี้ คือจะออกมาจากใครก็ได้ ถ้าผู้รับมันรับเป็น ยิ่งแพร่หลายเท่าไหร่มันก็ยิ่งง่ายที่จะออกมาจากปากของใครก็ได้ ก็นับว่าโชคดีอยู่ แต่ทีนี้มันไม่เป็นไปในทำนองนี้ มันเป็นไปในทางที่เห็นแก่ตัว ยกหูชูหาง ตัวเองก็ต้องการแต่เพียงว่ามีความรู้ธรรมะไว้ยกหูชูหาง ในที่สุดก็ไปในทางที่ว่าจะได้ทะเลาะวิวาทกัน
ธรรมะนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ถ้าจะเปรียบก็เปรียบเหมือนกับแพสำหรับข้ามฟาก ข้ามทะเลวัฏสงสาร ไปสู่นิพพาน ทำไมต้องเปรียบด้วยแพ เพราะว่ามันง่ายหน่อย ถ้าเปรียบด้วยเรือ มันทำลำบาก กว่าจะตัดต้นไม้มาทำเรือสักลำ นี้มันลำบาก แต่ถ้าเปรียบด้วยแพมันก็ง่ายหน่อย ก็ตัดไม้ไผ่ง่ายๆ มาผูกกันเข้าเป็นแพ แม้แต่สวะหรือขยะที่ลอยน้ำได้ มันก็ยังเป็นแพได้สำหรับข้ามฟาก จึงเปรียบกับแพดีกว่า อุฬุมพิกะนี้ แปลว่าแพ ไม่ได้แปลว่าเรือ เปรียบด้วยแพ ก็ใช้แพข้ามฟาก ธรรมะเปรียบด้วยแพ มีความหมายว่ามันพอสักว่าข้ามฟาก ก็อย่าไปยึดถืออะไรมันถึงกับว่าพอถึงฝั่งโน้นแล้วก็แบกแพขึ้นบ่าพาไปอีก ทีนี้ว่าเปรียบด้วยแพอย่างนี้แล้ว มันก็ต้องใช้อย่างแพ ทีนี้เดี๋ยวนี้มันใช้เป็นว่าเป็นเครื่องไว้อวดกัน และไว้เถียงกัน ทะเลาะวิวาทกัน ก็มีผลกับเท่ากับว่าเอาแพนั่นแหละมาฟาดกัน เอาไม้ไผ่ที่แพนั้นมาตีกัน จนแตก จนหัก จนพังทลายไปหมด ธรรมะนี้ก็ไม่เป็นพ่วงแพ ไม่ช่วยให้ใครข้ามไป นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ มันไม่เป็นในลักษณะที่ว่าจะเป็นพ่วงแพและออกมาได้แม้จากปากของเด็กๆ คนบ้าคนบอ เดี๋ยวนี้ก็อาจจะพูดธรรมะได้ คนสูบกัญชาก็อาจจะพูดธรรมะออกมาได้ แต่คนรับมันรับไม่เป็น มันก็ไม่เป็นธรรมะ ออกมาเป็นธรรมะแล้วมันก็ไม่เป็นพ่วงแพ เพราะว่าเอาไว้ทะเลาะวิวาทกัน เอาไว้ข่มขี่กัน พอมาธรรมะอย่างนี้ มันก็เลยกลายเป็นไม่ใช่ธรรมะ ถ้าจะพูดให้ดีให้ถูกแล้ว มันก็ไม่ใช่ธรรมะ ธรรมะที่ได้กลายเป็นไม่ใช่ธรรมะไปเสียแล้ว มีได้ทั้งในหมู่นักปริยัติ มีได้ทั้งในหมู่นักปฏิบัติ ที่เขาเรียกกันว่าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอะไรต่างๆ นี้ก็ยังมีได้ คือใช้วิปัสสนากรรมฐานนั่นแหละ เป็นเครื่องอวด เป็นเครื่องทะเลาะวิวาทกัน ทำอันตรายกัน พูดอีกทีหนึ่ง ก็พูดว่าน่าสงสารพระธรรม แต่พูดอย่างนี้ไม่ถูกแน่ เพราะว่าพระธรรมนั้นไม่น่าสงสาร ไม่อาจจะมาอยู่ในสภาพที่น่าสงสาร มันน่าสงสารที่คน ที่เกี่ยวข้องกับพระธรรม เอาพระธรรมมาทำเสียอย่างนี้ มาใช้เสียอย่างนี้ คนนั่นแหละมันน่าสงสาร เพราะธรรมะที่แท้จริงยังคงเป็นธรรมะอยู่ ไม่มีใครจะไปสงสารธรรมะได้ แต่เราก็ต้องพูดว่าน่าสงสารพระธรรมที่เขาเอามาใช้กันเสียอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ในลักษณะที่ว่าจะเป็นเครื่องเข่นฆ่ากิเลสหรือความทุกข์ให้หมดไป แล้วคนก็เอามาใช้กันเสียอย่างนี้ น่าสงสารของดีๆ ที่สุดของพระพุทธเจ้า เป็นโวหารชาวบ้านพูด ก็ต้องพูดอย่างนี้ พูดอย่างอื่นไม่เป็น ที่เขาพูดว่าศาสนาเสื่อมเป็นต้นนี้ก็เหมือนกันอีก ธรรมะไม่เสื่อม ศาสนาไม่เสื่อม แต่ว่าคนที่เกี่ยวข้องกับศาสนา ทำเสีย ทำยุ่ง ทำผิด ก็ดูคล้ายๆ กับว่าศาสนาเสื่อม ที่แท้ก็เพียงแต่ว่าศาสนาที่แท้จริงไม่ปรากฏขึ้น ไม่ปรากฏออกมา เลยหาว่าศาสนาเสื่อม ธรรมะก็เหมือนกัน ไม่รู้จักเสื่อม ธรรมะต้องเป็นธรรมะ ต้องเป็นถาวร เป็นอมตสัจจะ มันเสื่อมก็ตรงที่ว่าไม่ค่อยออกมาให้เห็น เพราะว่าคนไม่ประพฤติธรรมะ ไม่เกี่ยวข้องกับธรรมะให้ถูกวิธี ธรรมะก็ไม่ค่อยออกมาให้เห็นคือไม่มาปรากฏแก่ใจของคน หรือว่าไม่แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ทางผิวพรรณ ทางอะไรต่างๆ ก็ดูไม่เห็นไป ทีนี้โลกนี้ก็เลยไม่ค่อยมีธรรมะให้เห็น ก็มีแต่การทำท่าทางบ้าง และในที่สุดมันก็มีแต่การเบียดเบียน เราจะเห็นว่ามีการเบียดเบียนมากขึ้นๆ เพราะว่าเขาไปหลงผลทางวัตถุ ทางเนื้อ ทางหนัง เห็นแก่เนื้อหนัง มันก็มีการเบียดเบียน เพื่อจะให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นของตน อย่างนี้ก็เป็นธรรมะดำ ธรรมะดำนี้บางคนก็ไม่เรียกว่าธรรมะ เขาไปเรียกว่าอธรรม อธรรมไม่ใช่ธรรมะ ที่จริงก็เป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมะดำ เป็นธรรมะที่เป็นอธรรม นี่จะมีมากขึ้นในโลก เราเห็นการเอาเปรียบกัน เบียดเบียนกันนี่มันมากขึ้นในโลก ในบ้านในเมืองนี้ก็มากขึ้น ในประเทศนี้ก็มากขึ้น ในโลกนี้ก็มากขึ้น เรียกว่าเจริญขึ้นในทางฝ่ายดำ เป็นธรรมะดำครอบงำโลก พอมานึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรมจักรให้ปรากฏแล้วมันก็น่าใจหาย คือว่าส่วนนั้นมันไม่มีธรรมจักรจะกำจัดกิเลสอวิชชาของมนุษย์นี้ มันไม่ปรากฏ มันหดหายไปไหนเสีย แต่ธรรมะดำมันออกมาแทน ระบาดเต็มไปทั่วโลกมากยิ่งขึ้นเหมือนกับโรคระบาด อย่างนี้มันก็โทษใครไม่ได้อีกเหมือนกัน คือวัตถุธรรมมันกำลังเจริญ ธรรมะอย่างวัตถุมันกำลังเจริญ มันหลอก ล่อมนุษย์นี้ให้ติดได้ ให้หลงติดได้ ก็สนใจกันแต่เรื่องรูปธรรมที่เจริญที่ก้าวหน้า ก็ต้องเรียกว่าเป็นการบังเอิญ ทำให้วัตถุธรรมมันเจริญ แล้วก็หลงกันใหญ่ หลงกันกว่าจะสุดเหวี่ยง กว่าจะเหวี่ยงกลับ นี้ไม่ทราบว่าจะไปกันถึงไหน เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ค่อยจะมีท่าว่าจะเหวี่ยงกลับ มันมีแต่จะมุ่งไปข้างหน้าเรื่อย กว่าจะสุด สุดเหวี่ยง ก็คงจะวินาศกันหมดค่อนโลก เกือบจะทั้งโลกเป็นแน่ นี้พูดไปมันก็ออกจะกว้างมากไปแล้ว ในแง่ของธรรมะก็ดี ในแง่ที่มาเกี่ยวข้องกับโลกก็ดี ทั่วโลกที่กำลังขาดธรรมะก็ดี มันเนื่องถึงกันหมดแล้วมันกว้างขวางอย่างนี้
วันนี้ก็เป็นวันธรรมะ อย่างที่ได้กล่าวให้เห็นให้เข้าใจ ก็ควรจะถือว่าวันนี้เป็นวันของธรรมะ เป็นวันของพระธรรมะ ควรจะเอามาพูดกันให้กว้างขวาง ให้หมดจด จะได้เหลือส่วนที่สำคัญที่จำเป็น ที่จะต้องชำระสะสาง สำหรับผู้ที่มีความซื่อตรงต่อธรรมะ ก็คงจะไม่ลำบาก การเป็นอุบาสกอุบาสิกา หรือว่าเป็นภิกษุสามเณรนี้ มันก็ต้องถูกอุปโลกน์ให้เป็นผู้จงรักภักดีต่อธรรมะอยู่แล้ว แม้ว่าใจจริงจะไม่เป็น มันก็ถูกอุปโลกน์ให้เป็น มันสลัดไปไม่พ้น มันก็ต้องจำยอมที่ว่าจะเป็นการที่หลบหลีกไปไม่ได้ เอ้า,ก็ตั้งต้นกันไปอย่างนี้ จนกว่าจะเป็นจริงก็ดี ไม่ไปไหนเสีย คงจะไปเข้ารูปเข้ารอยได้ แม้ว่าทีแรกมันก็มาตั้งต้นด้วยการทำตามๆ กันไปหรือตามประเพณี อะไรมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น การที่มาทำมาฆะ วิสาขะ อาสาฬหะเป็นต้นนี้ ทีแรกก็ทำตามประเพณีแล้วก็เป็นประเพณีที่น่าสังเวช หรือไม่รู้จะทำไปทำไม ต่อมาก็ได้แก้ไขให้ดีขึ้น อย่าทำแต่ตามประเพณี อย่าทำแต่ปาก อย่าทำแต่พิธี ให้ทำด้วยจิตใจให้แจ่มแจ้งมากขึ้น ก็เป็นการแก้ไขให้ดีขึ้น การทำมาฆะ วิสาขะ อาสาฬหะ ก็ดีขึ้นเพราะว่ามีการแก้ไขนั้นเอง เวลาก็ล่วงมาหลายปีหรือหลายสิบปี เราควรจะมีความดีที่แก้ไขได้นี้ ขึ้นมาได้นี้ ไม่น้อย ทีนี้มันก็มีข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่าเป็นบางคนเท่านั้นที่ทำได้บ้าง ส่วนใหญ่ก็ทำตามประเพณี เพราะว่ามันไม่น่าสนุกสนานถ้าทำอะไรจริง ถ้าทำอะไรให้เล่นๆ น่ะ มันก็สนุก แต่พอทำให้จริงเข้ามันก็ไม่สนุก มันต้องอดทน ก็ไม่สมัครจะอดทน มันก็ได้แต่ผิวเผิน แต่ตามประเพณี นี้ก็เคยพูดแล้วและก็พูดอีก นี่ก็หวังว่าจะเข้าใจกันมากขึ้น ว่าอย่าทำแต่สักว่าพิธีรีตอง ให้ทำเป็นพิธีที่ถูกต้อง แล้วค่อยเป็นของจริงยิ่งขึ้นกว่าที่จะทำเป็นพิธี แม้ว่าเราที่ทำกันอยู่ที่นี่ มันก็มีพิธีอยู่เหมือนกัน ก็เห็นแต่คนที่ยังจะต้องอาศัยพิธี ก็ต้องทำพิธี แต่ก็ไม่อยากให้เลยไปถึงรีตอง ถ้าเป็นพิธีรีตอง มันก็จะเกินไปแล้ว ให้เหลือแต่พิธีที่ถูกต้อง มันก็ทำพิธี เพราะถ้าไม่มีพิธีบ้าง มันก็ไม่มีการทำ ไม่มีการตั้งใจทำ ลองคิดว่าถ้าไม่จัดให้มีพิธีอาสาฬหะ วิสาขะ มันก็ไม่มา ไม่มาก็ไม่ได้พูดกัน แต่พอจัดเป็นพิธีก็อุตส่าห์มากัน มาจากที่ไกลๆ ที่ไม่คิดว่าจะมา ก็มา นี่เพราะว่ามันมีพิธี นี้ประโยชน์ของพิธี มันก็มีข้อดีอยู่อย่างนี้ แต่แล้วก็ไม่ควรจะหยุดชะงักอยู่ที่ตรงพิธี ก็ทำต่อไปให้พ้นพิธี ให้เป็นเรื่องความจริง การกระทำที่ถูกต้อง ตอนนี้ก็เอาตัวรอดได้ ไม่เสียทีที่ว่ามาแต่ไกลหรือว่าอดกลั้นอดทน เมื่อมองดูที่แล้วๆ มา สรุปดูแล้วมันก็มีผลอยู่บ้าง ไม่เสียหลาย คือไม่เหนื่อยเปล่าทีเดียว แม้ว่าจะต้องมีคนบางคนหรือหลายคนยอมเหน็ดยอมเหนื่อย เพื่อให้สิ่งเหล่านี้มันเป็นไปได้เพื่อประโยชน์แก่คนมาก นี่พิธีมันดีอย่างนี้ และพิธีของพุทธบริษัท มันก็ต้องดีกว่าพิธีที่ไม่ใช่พุทธบริษัท คำว่าพิธีก็คือวิธี คำว่าวิธีก็คือเครื่องมือที่จะทำให้สำเร็จ ถ้าเราเรียกว่าวิธี มันก็น่าฟัง แต่ที่จริงมันก็คำเดียวกับคำว่าพิธี พอเรียกว่าพิธีก็เลยกลายเป็นของงมงายไปนิดหน่อย ถ้าเรียกว่าวิธี นี่มันก็ไม่งมงายอะไรเพราะมันทำให้ถูกวิธี ตัวหนังสือมันหลอก ภาษามันดิ้นได้ มันเดินไป แล้วมันก็หลอก และเราก็ระวังบ้างว่าภาษามันจะหลอกเอา อย่าให้ภาษาหลอกได้ ก็เลยมา ข้าม ข้าม ข้าม ข้ามพ้นมาได้ ให้ข้ามการหลอกของภาษามาได้ ก็ใกล้ความจริง ใกล้ของจริงมากขึ้น ก็ขอให้เปรียบเทียบดูกับคำอธิบายต่างๆ ที่ได้อธิบายมาแล้ว แม้แต่คำว่าธรรมะหรือพระธรรม นี้มันก็มีมาก มีคำอธิบายที่มาก หลายซับ หลายซ้อน หลายชั้น หลายระดับ ก็สำหรับจะให้เลื่อนขึ้นไปๆ จะเรียกว่าเลื่อนขึ้น มันก็หมายความว่าจะไปใกล้พระนิพพาน จะเรียกว่าเลื่อนลงมันก็ได้ ให้ของที่ไม่มีประโยชน์ มันลดน้อยลงไป ให้มันเหลือเล็กเข้าๆ ให้มันเลื่อนลง เพื่อให้มันถึงที่สุด ให้มันลึกถึงที่สุดได้อย่างนี้ก็ได้ พูดว่าเลื่อนขึ้นก็ถูก เลื่อนลงก็ถูก มันเป็นเรื่องหลอกของคำพูด ถ้าพูดให้ดี มันก็ต้องพูดว่าให้มันเบาบางเข้า หรือให้มันว่างมากขึ้นมากกว่า ให้ตัวตนมันน้อยลง มันก็จะมีธรรมะที่สูง ที่ลึก ที่จริง อะไรยิ่งขึ้นนั่นเอง ธรรมะสมมุติเป็นเรื่องพิธี มันก็ใช้อย่างพิธี เหมือนกับว่าเรือแพ มันก็ใช้อย่างเรือแพ แต่จะไปยึดถือเรือแพมันก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็ไม่ขึ้นฝั่ง หรือถ้าขึ้นฝั่งมันก็จะแบกแพไปด้วย มันก็บ้าเลย มันจะต้องรู้จักว่าอะไร มันเพื่ออะไร อะไรเป็นอย่างไร ก็ใช้ให้มันตรงตามนั้น แต่โดยธรรมะแล้วมันก็ไม่มีอะไร นอกจากที่ว่าจะขูดเกลาจะแก้ไขกิเลสของคนให้เบาบาง เพราะคนเกิดมาตามธรรมชาติตามธรรมดานี้ มันสะสมความความเข้าใจผิด ส่วนที่บ้านมีบิดามารดาก็จริง แต่ถ้าบิดามารดาไม่รู้ธรรมะพอ มันก็ล้วนแต่พูดคำที่ทำให้เด็กทารกนั้นน่ะยึดถือตัวตน ยึดถือตัวกูของกู แล้วก็ก่อกิเลสให้มีความเคยชิน เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย นี่มันเป็นบาปโดยไม่รู้สึกตัว ไม่มีใครรับผิดชอบอันนี้ มันก็เลยเด็กนี้ก็มีความเคยชิน มีนิสัย มีกิเลส มีอาสวะ มีอนุสัย หนาขึ้นๆ หนาขึ้นๆ พอมาถึงคราวที่จะแก้ไข มันก็แก้ยาก มาบวชตั้งสิบปีแล้วก็ขูดออกไม่ได้กี่มากน้อย เพราะมันสะสม มันตั้งแต่อ้อนแต่ออก หนาขึ้นๆ
ฉะนั้นถ้ายังไง ก็บิดามารดาเป็นผู้ทำเสียให้ถูกต้อง มีความรู้ มีความเข้าใจที่ถูกต้องนั่นแหละ จะช่วยทำให้เด็กเล็กๆ นี่ มันเกิดออกมา หรือมันเจริญเติบโตขึ้นมาในลักษณะที่ไม่พอกพูนกิเลสหรืออวิชชามากเกินไป เราจะต้องนึกคิดถึง ปู่ ย่า ตา ยาย ที่เขาไม่รู้อะไร แต่เขามีธรรมะ เพราะว่าเขาทำกันเป็นนิสัย ทำเป็นวัฒนธรรมประจำบ้านเรือน มีวัฒนธรรมประจำบ้านเรือน คือเป็นประเพณีที่ถูกต้องประจำบ้านเรือน เดี๋ยวนี้ เขาเรียกกันว่าวัฒนธรรม อาศัยหลักของพระธรรมในพระพุทธศาสนา มาประพฤติปฏิบัติกันจนเป็นนิสัย เป็นธรรมเนียม เป็นประเพณีประจำบ้านเรือน จนไม่ต้องพูดกันด้วยปาก ดูกันด้วยตา ก็เลียนแบบกันได้ ฉะนั้นทำให้มันพูดจากันไปในลักษณะที่ไม่ชวนให้ยึดมั่นถือมั่น สอนให้เด็กๆ นี้ รู้จักสละ รู้จักปล่อยวาง โดยไม่รู้สึกตัวในขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นๆ นี้ก็เรียกว่ามีบุญมาก ที่ได้มาเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันก็ถูกทำให้หนาไปด้วยกิเลส ด้วยอวิชชาเร็วขึ้น แต่ถ้าไปเกิดในตระกูลที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ช่วยป้องกันช่วยแก้ไขกันมาเสียแต่ทีเรียก เพื่อให้เด็กรู้จักกลัวบาป รู้จักรักบุญ และรู้จักให้อภัย รู้จักปล่อยว่าง รู้จักไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ต้องร้องไห้ นี่ มันก็ดีมาก มีบุญมากที่เกิดในตระกูลที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าไปเกิดในตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งพ่อทั้งแม่ก็กินเหล้า ทะเลาะกัน พูดคำหยาบอะไรต่างๆ เขาเพาะนิสัยให้เด็กมีแต่กิเลส ก็เรียกว่าบาป เป็นบาปเป็นกรรมอย่างยิ่งเสียแล้วตั้งแต่แรกเกิดมา ลืมตาขึ้นมาในโลก นี้เป็นธรรมะอันหนึ่ง ที่มีความสำคัญไม่น้อย ที่จะช่วยให้มนุษย์นี้ให้รอดได้ ด้วยเหตุแต่เพียงว่ามีวัฒนธรรมประจำบ้านเรือนนั่นดีหรือถูกต้อง ปู่ ย่า ตา ยาย ของเรา เขารอดกันมาได้ด้วยวิธีอย่างนี้ เขาไม่ได้เรียนมาก เขาไม่รู้มาก เขาไม่ได้พูดเก่งเหมือนคนสมัยนี้ แต่เขาก็กลับมีธรรมะมากกว่าคนสมัยนี้ เพราะถ้าเด็กๆ เกิดมาแล้วมันจะจองหองพองขน เขาก็กำราบมันลงได้ แต่เด็กเดี๋ยวนี้ มันจองหองพองขนชนิดที่ว่าพ่อแม่ก็กำราบลงไม่ได้ มันมีความแตกต่างกันมากอย่างนี้ ขอให้คิดดู อย่าไปเข้าใจเอาว่า เดี๋ยวนี้เราเจริญ เรามีบุญ ไม่จริง จะเรียกว่ามีบุญก็ไม่ถูก ถ้าเกิดมาสำหรับจะยกหูชูหาง จะดี จะเด่น จะเป็นเรื่องตัวกูของกู มีผลเป็นเนื้อเป็นหนัง ไม่ใช่เป็นเรื่องจิต ไม่ใช่เป็นเรื่องวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องสติปัญญา ไม่ใช่เรื่องมรรคผลนิพพานเลย คำปรารถนาที่เราถือกันเป็นธรรมเนียมว่า ขอให้เป็นปัจจัยแห่งนิพพานนี้ มันจะหมดไปแล้ว มันกำลังจะค่อยๆ หมดไปแล้ว ไม่มีใครพูดว่าให้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานแล้วเดี๋ยวนี้ ถ้าสมัยโบราณโน้น เราก็เห็นมากเหลือเกิน ตรงนั้น ตรงนี้ เขียนไว้ตามโบสถ์ ตามศาลาก็เขียนไว้ว่าการบริจาคนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มันไปมุ่งหมายอย่างอื่นแล้ว ถ้าให้เซ็นชื่อ ให้มีหน้า มีตา มีเกียรติ มีโก้ อะไรแล้วก็ได้ แต่ถ้าไปเติมท้ายว่าเพื่อนิพพานแล้วมันสั่นหัว กลับคิดว่ามันจะทำให้เราเป็นคนครึคระไปเสียอีก มันเปลี่ยนมากถึงอย่างนี้
สำหรับเรื่องที่เกี่ยวกับพระธรรม ก็หมายความว่าไม่รู้จักพระธรรมนั่นเอง รู้จักพระธรรมผิดไปจากความเป็นจริง หรือว่าไกลออกไปจากความเป็นจริง พระธรรมก็เลยกลายเป็นพิธีรีตองไปในที่สุด ถ้าไปเทียบกันกับพระธรรมจริงที่บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว มันยิ่งไกล มันไกลมาก พระธรรมมีพิธีรีตองนี้ ไกลมากจากพระธรรมที่แท้จริง พระธรรมที่แท้จริงต้องอยู่ในจิตใจ ศึกษาจากจิตใจ เป็นความรู้สึกของจิตใจ แก้ไขให้สะอาด สว่าง สงบ อะไรยิ่งขึ้น พระธรรมพิธีรีตองก็ทำสักแต่ว่าพอเป็นพิธี หลอกตัวเองด้วย หลอกคนอื่นด้วย นี้เป็นปัญหาที่เราไม่อยากให้มันเกิด มันก็เกิดขึ้นมา หลงให้เกิดอยู่ แล้วก็เกิดอยู่ทั่วไป กระทบกระเทือนแก่ทุกคน แม้ที่ไม่ได้ทำปัญหาให้เกิดขึ้น เพราะมันอยู่ร่วมบ้าน ร่วมเมืองกัน มันก็กระทบกระเทือนถึงกัน ลองมีคนอันธพาลขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมืองดูสิ คนดีมันก็พลอยกระทบกระเทือน พลอยลำบากยุ่งยากไปด้วย เพราะว่าข้างนอกนี้มันเนื่องกัน มันเกี่ยวข้องกัน จึงเห็นว่าควรจะเอามานึกคิดด้วยเหมือนกัน แม้ว่ามันเป็นเรื่องของบ้าน ของเมืองของโลก
อาตมาก็มักจะพูดถึงเรื่องของคนทั้งโลก ก็มีคนล้อหรือว่าด่าว่า ทำไมเหมือนกับว่าเสือกหรือแส่ไปหาเรื่องให้มันมาก ไปยุ่งกับคนทั้งโลก อยากจะดีอยากจะเด่น ก็ว่าอย่างนั้นเสีย ทีนี้เรามันคิดว่าถ้าโลกมันเดือดร้อนแล้วมันก็เดือดร้อนกันหมดทุกคน ยังไงก็ช่วยกันป้องกันไว้ จึงหยิบเอาปัญหาของโลกขึ้นมาเพื่อพิจารณา ว่าเดี๋ยวนี้โลกกำลังละเลยพระธรรม หันหลังให้พระธรรม กระทั่งเหยียบย่ำพระธรรมในพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นที่กำลังเหยียบย่ำพระเจ้า ลบล้างพระเจ้า เหยียบย่ำพระเจ้า ไม่สนใจกับสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้าเหล่านี้ ก็เหมือนกันแหละ คือไม่สนใจในสิ่งที่จะช่วยให้มนุษย์นี้บังคับตนเองอยู่ในร่องในรอย หรือว่าให้ละกิเลสอันละเอียดลึกซึ้งได้
วันนี้ก็เป็นวันพระธรรม ก็พูดปรับทุกข์แก่พระธรรม ปรับทุกข์ถึงพระธรรม แต่คนนั้นเป็นคนที่สร้างปัญหาอันนี้ขึ้นมา เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าอย่างไรเราอย่าเป็นคนที่สร้างปัญหาขึ้นมาในโลกเลย คืออย่าสร้างบาปกรรม หรือความผิดพลาด หรือว่าทำโลกให้มันมีปัญหายุ่งยากลำบากเลย เป็นผู้ตั้งตัวอยู่ในทำนองคลองธรรม ให้มองดูแล้วเราไม่เป็นผู้ทำโลกให้เดือดร้อน เราดำเนินไปถูกต้องตามทำนองคลองธรรม อยู่อย่างนี้ไปจนตลอดชีวิต ให้มีธรรมะเต็มตัว ถ้าว่าจะมีตัว ก็มีธรรมะเป็นตัว คือมีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัวจนตลอดชีวิต มันจะต้องตายก็ยอม ก็ให้มันตายด้วยมีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว จะเจ็บจะไข้ จะเป็นจะตาย จะยากจะจน จะมีจะดี จะอะไรก็ตาม ก็ให้มีธรรมะอยู่ที่ตัวเรื่อย มันเป็นการดีที่สุด แม้จะยากจน แต่ถ้ามีธรรมะอยู่ที่ตัว มันก็ยิ่งกว่ามั่งมี จงไปมั่งมีในส่วนที่ควรจะมั่งมีคือธรรมะนั้น เรื่องยากจน มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยไป แต่ถ้าว่ามันมั่งมีทั้งทางธรรรมะและทั้งทางวัตถุ ทางร่างกาย ทางโลก ทางสมมุตินี้ มันก็สะดวกเหมือนกัน และมีความสามารถที่จะช่วยคนอื่นด้วย มันดีอย่างนี้ หน้าที่ที่จะต้องทำสำหรับชีวิต ยังอยู่ก็ทำ และก็หน้าที่สำหรับที่จะให้มีธรรมะเพื่ออาบรดชีวิตนี้ให้เยือกเย็น มันก็ต้องทำ นี่คือการประพฤติธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วชีวิตนี้มันจะเป็นของร้อนขึ้นมา แม้จะมีกิน มีใช้ มีเงิน มีอะไร มันก็เป็นของร้อนได้ ถ้าว่ามันปราศจากธรรมะ การพูดอย่างนี้ ไม่มีใครฟัง ไม่มีใครค่อยจะฟังกันในสมัยนี้ เขาถือว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วก็แก้ปัญหาได้หมด นั่นมันหลับตาโง่ มันลืมตาโง่กันหน่อยไม่ได้ มันก็หลับตาโง่ มันโง่หลายชั้นนัก ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วก็แก้ปัญหาได้หมด ทำไมต้องมานั่งร้องไห้อยู่เพราะเงิน
ฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า ว่าทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องอุบัติ บังเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ในเมื่อในโลกนี้ เขาก็มีกิน มีใช้ สะดวกสบาย หาเงิน หาทอง หาข้าว หาของ บุตร ภรรยา สามี เป็นกันแล้วทั้งนั้น ทำไมพระพุทธเจ้าจะต้องเกิดขึ้นมาอีก แล้วมาสอนเรื่องอะไร ดูให้ดีจะเห็นว่า มาสอนเรื่องอย่าให้มันเป็นทุกข์ เพราะว่ามีเงิน มีของ มีบุตร ภรรยา สามี มีเกียรติยศชื่อเสียง ถ้ามีไม่เป็นมันก็เป็นทุกข์ สอนธรรมะให้ เพื่อให้มันมีให้เป็น ใช้ให้เป็น อะไรให้เป็น ให้ถูกต้องทั้งหมด มันก็ไม่เป็นทุกข์ ส่วนนี้มันเป็นส่วนที่เหลือไว้สำหรับให้เกิดความจำเป็นที่ว่าพระพุทธเจ้าจะต้องเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เกิดขึ้นมาทีหนึ่ง ก็สอนให้พอตามที่ท่านเห็นว่าควรจะสอนนั่นแหละ มีเรื่องเขียนไว้ว่าครั้งหนึ่ง พญามารมาทูลขอว่าให้ไปปรินิพพานเสียเถอะ ป่วยการ จะทนทรมานอยู่ทำไม พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า นี่มาร ก็เลยบอกว่าไม่ต้อง เราจะทำให้ธรรมะนี้ ธรรมะหรือวินัยนี้ ประดิษฐานลงไปในหมู่มนุษย์ ในหมู่สาวกทั้งหลายเพียงพอเสียก่อน จึงจะนิพพาน ข้อนี้มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หรือเพียงแต่ฟังว่ามันเป็นเรื่องที่เรื่องหนึ่ง มันต้องมองให้เห็นถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านรักเรา เห็นแก่เรา ท่านจึงไม่อยากนิพพาน จะตีความว่ามารมาขอร้องให้นิพพาน หรือว่ามันจะเป็นความรู้สึกพระพุทธเจ้าเอง เพราะอายุก็มากแล้ว ทนลำบากไปทำไม ปล่อยให้สังขารมันดับไปตามเหตุปัจจัย ไม่ดิ้นรนต่อสู้ อย่างนี้ก็ได้เหมือนกัน และจะถูกกว่าด้วย ถูกต้องกว่าด้วย แต่ท่านมาแข็งใจว่าเมื่อมันยังไม่พอ การสั่งสอนยังไม่มั่นคง ประดิษฐานมั่นคงในหมู่มนุษย์ ทนต่อไปอีกหน่อย ยังไม่นิพพานจนกว่ามันจะเพียงพอเสียก่อนจึงคิดว่าจะนิพพาน เราต้องพิจารณาดูในคำที่ว่าต้องทน ต้องทน ทนต่อไปก่อน คำว่าทนนี้มันลำบาก อายุมันมากแล้ว มันก็ต้องทน มันมีความเจ็บไข้ได้ป่วยมากขึ้น มันต้องทนไปเสียทุกอย่าง แม้แต่จะรับประทานไปมันก็ยังต้องทน มันไม่เหมือนกับเมื่อก่อน มันมีปากคอ ฟันฟาง อะไรที่มันไม่ดี สำหรับที่จะรับประทาน แม้แต่จะรับประทานเข้าไป ก็ยังต้องทน นี่คนแก่ๆ มันเป็นอย่างนี้ จะทำตัวยอมทน จะลำบากอย่างไรก็ยอมทน เพื่อรอให้ เพื่อทำให้พระธรรมวินัยนี่ประดิษฐานมั่นคงลงไปในหมู่มนุษย์ก่อน
สรุปความว่าท่านเอ็นดูเรา ท่านสงสารเรา ท่านหวังดีแก่เรา ท่านจึงยอมทน แล้วทำไมเราจะไม่รู้จักพระเดชพระคุณของท่าน อุตส่าห์ปฏิบัติธรรมะตามที่ท่านประสงค์ให้มันเพียงพอด้วยเหมือนกัน เป็นการสนองพระคุณของท่าน ประโยชน์กลับได้แก่เรา สนองพระคุณท่านแต่ประโยชน์กลับได้แก่เรา คนมันก็ยังไม่ค่อยจะเอา มันโง่ มันควรจะคิดกันเสียให้ดีๆ ว่าการสนองคุณพระพุทธเจ้านั้น ประโยชน์มันได้แก่เรา หรือว่าจะกล่าวอีกทีว่าเราทำประโยชน์เราให้ถึงที่สุดเถิด จะเป็นการสนองคุณพระพุทธเจ้าพร้อมกันไปในตัว นี่วันนี้เป็นวันที่ควรพูดกันด้วยเรื่องอย่างนี้ วันอื่นพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง หรือไม่ค่อยมีเวลาจะพูด วันนี้ ไหนๆ ก็ได้อุทิศให้เป็นวันของพระธรรรม ทำอาสาฬหบูชา มาพิจารณากันถึงเรื่องของพระธรรม ก็พูดกันให้มากถึงขนาดนี้ นี่อาตมาเห็นว่าเราได้พูดกันถึงเรื่องพระธรรมในความหมายหนึ่ง แง่หนึ่ง มุมหนึ่งแปลกออกไป จนพอที่จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระพุทธเจ้าที่อยู่ในโลกนี้ จะคอยช่วยโลกนี้ จะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง คือทำพระธรรมนั่นแหละให้มันยังคงอยู่ในโลกนี้ ให้อยู่กับคนทุกคน ก็เหมือนกับทำให้พระพุทธเจ้ายังคงอยู่กับเราในโลกนี้ ที่นี้และเดี๋ยวนี้ จนกว่าเรานี้จะได้รอดพ้นไปจากอำนาจของกิเลส ของความทุกข์ หรือสิ้นกรรม อยู่เหนือกรรม จึงเรียกว่ามันจบกันสำหรับเรื่องมนุษย์ ถ้าหมดกิเลส หมดทุกข์ สิ้นกรรม เหนือกรรม มันก็เรียกว่าหมดกรรม หมดเรื่องที่จะเป็นความทุกข์ นี่ขอให้พยายามจนกว่าจะมาถึงนี่ วันดีคืนดีก็มาปรึกษากันสักทีหนึ่ง คือวันวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา อาตมาก็ชวนพูดแต่เรื่องอย่างนี้ ในวันอย่างนี้ เพราะไม่เห็นว่ามันมีอะไรที่ดีกว่านี้ ไม่มีโอกาสไหนที่ดีกว่าโอกาสนี้ ที่จะมาพูดกันถึงเรื่องที่ดีอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าว่าเข้าใจก็คงจะหายง่วง เพราะมันคงจะช่วยให้เกิดความรู้สึกอันหนึ่ง ซึ่งมีกำลังมากกว่าความง่วง ฉะนั้นอาตมาถ้าได้พูดถึงเรื่องนี้ ก็คิดว่าจะพูดได้จนสว่าง หรือว่าติดต่อกันไปสัก ๒ วัน ๓ วันก็ยังได้ ด้วยความที่เคารพพระธรรม เห็นแก่พระธรรม หรือว่ารักพระธรรม ที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้าจริงที่อยู่กับเรามาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วจะให้พูดเรื่องอะไรที่ดีกว่านี้ มันก็ไม่เห็นว่ามี ก็ต้องพูดเรื่องนี้กันต่อไปอีก นี้เป็นการพูดสืบต่อมาจากการที่พูดแล้วเมื่อตอนเย็น นี้เป็นการพูดตอนกลางคืน ขอพักไว้เพียงเท่านี้ก่อน เพราะมันเป็นประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่งที่สมบรูณ์แล้ว ที่ว่าจะต้องทำให้พระธรรมที่เป็นองค์พระพุทธเจ้าอยู่กับเราได้ ให้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งทุกเวลาทุกสถานที่ อย่าให้มันเกิดความลางเลือนในข้อนี้แล้วมืดมิดหายไปเสีย
ธรรมเทศนาในตอนนี้ก็พอสมควรแก่เวลา ก็ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ก่อน ก็ให้พระสงฆ์ทั้งหลายท่านสวดบทพระธรรมที่ช่วยให้เกิดกำลังใจ ในการที่จะส่งเสริมพระธรรมนั่นแหละต่อไปอีก ขอให้พระสงฆ์ท่านสวด ตามแต่สมควรแก่เวลา