แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการถวายความรู้รอบตัวแก่ท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายในวันนี้ ผมก็จะได้กล่าวถึงคำที่สำคัญบางคำที่มันมีความหมายเป็นพิเศษ หรือว่ามันมีความหมายที่เป็นปัญหาที่มันกำกวมกันอยู่..(เสียงขาดหายไปนาทีที่ 01:06)..หลายอย่างหลายชนิดบ้างเรื่อยไป เฉพาะในวันนี้ก็อยากจะอธิบายคำบางคำที่มีความสำคัญแก่พวกเราที่รับภาระหน้าที่อันนี้อย่างยิ่งเลยทีเดียว คำนี้คือคำว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นนายแพทย์เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ถ้าเป็นคำบาลีก็มีแต่เพียงว่า สพฺพโลกติกิจฺฉโก สพฺพโลก คือโลกทั้งปวง ติกิจฺฉโก ก็แปลว่านายแพทย์ ตรงนี้มีความหมายเป็นพิเศษอยู่หน่อยหนึ่ง คือคำๆ นี้ คือคำว่า ติกิจฺฉโก นี้ แปลว่ารักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยเฉพาะ คำว่า เวชฺโช นั้นไม่แน่ และอีกตัวก็แปลว่าหมอ จะเป็นหมอมีก็ได้ หมอความก็ได้ หมอกะโหลกอะไรก็ได้ ฉะนั้นคำว่า ติกิจฺฉโก ก็แปลว่านายแพทย์รักษาโรคภัยไข้เจ็บอย่างเดียวเท่านั้นและก็ชนิดธรรมดาด้วย ไม่ใช่เวทมนตร์คาถา คำนี้มันมาในพระบาลีเถรคาถา เป็นคำของพระอรหันต์องค์หนึ่งกล่าวเมื่อถูกถามว่าท่านเป็นลูกศิษย์ของใครจึงกล้าหาญนัก พระเถระพระอรหันต์องค์นี้ก็ตอบว่า สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี ชิโน อาจริโย มม อาจารย์ของเราเป็น สพฺพญฺญู คือรู้สิ่งทั้งปวง สพฺพทสฺสาวี เห็นสิ่งทั้งปวง ชิโน เป็นผู้ชนะ มหาการุณิโก สตฺถา เป็นพระศาสดาผู้มีกรุณาอันใหญ่หลวง สพฺพโลกติกิจฺฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของโลกทั้งปวง
คำอื่นๆ ไม่สำคัญ ไม่ติดใจ ติดใจแต่คำว่า พระศาสดาของเราเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง และคำว่านายแพทย์รักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงนี้ ก็มิได้มีความหมายที่เป็นปัญหาไปเสียทั้งหมด ปัญหาใหญ่นี้อยู่ที่คำว่าสัตว์โลกทั้งปวง แต่ถึงแม้คำว่านายแพทย์ผู้รักษาโรค ก็มีความสำคัญอยู่มากเหมือนกัน มันมีความสำคัญตรงที่ว่าเราเป็นสาวกของพระศาสดาและก็รับภาระหน้าที่ที่จะทำตามที่พระศาสดาทรงประสงค์แสดงความประสงค์ไว้ในที่ต่างๆ มากมาย ถ้าเราไม่ทำตามพระประสงค์เราก็ไม่ใช่สาวกของพระศาสดา ฉะนั้นก็เกิดการเล่นตลกหรือหลอกลวงตัวเองคือเป็นคนหลอกลวงโลกไปเลยก็ได้ ในเมื่อประกาศตัวว่าเป็นสาวกของพระศาสดาแล้วไม่ทำหน้าที่อย่างนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง นี่คือใจความสำคัญที่ผมอยากจะให้นำเอาไปพินิจพิจารณาให้มากเป็นพิเศษ
เรื่องคำว่า พวกเรา นี้ ผมก็พูดกันละเอียดลออแล้วในวันแรก ไม่ต้องพูดกันอีกแล้วคำว่าพวกเรา หมายความว่ารับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่ว่าตัวใครตัวมัน หมายความว่าในการช่วยกันเผยแผ่พระธรรมหรือพระศาสนานี้ ต้องถือว่ารับผิดชอบร่วมกัน ตัวใครตัวมันไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเห็นว่าที่ไหนเมื่อไหร่หรือบุคคลใดจะทำอะไรไปในทางที่มันจะเป็นอันตรายแก่ส่วนรวมที่เราต้องรับผิดชอบร่วมกันแล้ว ก็ต้องขวนขวายต่อสู้แก้ไขต้านทานไปตามสติปัญญา เดี๋ยวนี้ที่ว่าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงนี้ มันมีความหมายมากและมันมีความหมายชัดเสียด้วย และมันยังมีความหมายลึกอีกด้วย คือถ้าว่าพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายมีงานวิปัสสนาเป็นหน้าที่แล้วก็ งานนั้นมันต้องเยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงและต้องได้จริงด้วย ไม่ใช่ว่าทำพอเป็นพิธีๆ ให้ครบๆ ไป และก็ทำตามหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ด้วย สุดความสามารถด้วย แต่ถ้ามันยังไม่เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง มันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่นั่นเอง มันก็ยังต้องรับผิดชอบต่อไปที่จะต้องทำให้มันสำเร็จประโยชน์ตามนั้นเพื่อเยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงให้ได้
คำว่า โรค ในทีนี้ ก็คงจะทราบกันดีแล้วว่ามันเป็นโรคทางจิตใจ แต่ความหมายของคำว่าจิตใจในที่นี้สูงกว่าความหมายของคำว่าโรคจิตที่ชาวบ้านเขารู้จัก ชาวบ้านรู้จักโรคจิตคือว่าไปหาหมอโรคจิตเท่านั้น แล้วก็อ้างว่าตัวเองไม่เป็นโรคจิตเสียด้วย แต่คำว่าโรคจิต ตามภาษาธรรมะนั้น มันถือว่าทุกคนเป็นโรคจิตไม่มากก็น้อย ทุกคนยังไม่เป็นพระอรหันต์ยังมีโรคจิต ผมเลยยักเรียกเสียใหม่ว่าโรคทางวิญญาณ ให้มันไปเข้ากับคำสากลที่เขามีอยู่อีกคำทางวิญญาณ คือมันไม่เกี่ยวกับจิต แต่มันเกี่ยวกับเรื่องของสติปัญญาที่สูงขึ้นไป นี่เราเมื่อตั้งตัวเป็นหมอรักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ก็ต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่าโรคนี้ให้ดี โรคกาย เจ็บไข้ได้ป่วยบาดแผลอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับทางร่างกายนั้นมันก็โรคหนึ่ง,โรคกาย โรคจิตนี้นับตั้งแต่โรคประสาทขึ้นมาจนถึงโรคจิตที่เขาเรียกกันว่าโรงพยาบาลโรคจิตนั่น นี้ก็เป็นกันมากขึ้นทุกทีนะโรคนี้ เพราะความเจริญแผนใหม่มันเป็นปัจจัยให้คนเป็นโรคจิตกันมากขึ้นทุกที
ทีนี้โรควิญญาณนั้นมันยังไปไกลกันกว่านั้น คือมิจฉาทิฏฐิ เรียกให้ถูกก็จะเรียกว่าโรคทิฏฐิ แต่ก็ฟังไม่ถูกอีกแหละ เพราะภาษาไทยคำว่าทิฏฐิมันหมายความอย่างอื่นเสียแล้ว ไม่ได้หมายความตามคำในภาษาบาลีไปตามเดิม ภาษาบาลีคำว่า ทิฏฐิ นั้นหมายถึงความคิดความเห็น ความเข้าใจความคิดความเห็นเรียกว่าทิฏฐิ แต่ในภาษาไทยของเรา ทิฏฐินี้มันแปลว่าทิฐิมานะอวดดีจองหอง มันไปเสียอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันถูกน้อยไป ถ้าถือเอาตามความหมายในภาษาบาลีแล้วก็ถูกครบถ้วน โรคที่เกี่ยวกับทิฏฐิความคิดความเห็น นี่เมื่อเป็นหมอตามแบบของพระพุทธเจ้า มันต้องกินความของคำว่าโรคนี้ทั้ง ๓ ชนิด ทั้งโรคกาย โรคจิต และโรควิญญาณ นี่ผมขอเรียกอย่างนี้ไปทีก่อน
ทีนี้บางคนอาจจะคิดว่าโรคกายนั้นไม่อยู่ในภาระหน้าที่ หรือโรคประสาทโรคจิตก็ไม่ได้อยู่ในภาระหน้าที่ คงมีภาระหน้าที่ของพวกเราแต่โรคทางวิญญาณ คือธรรมะในศาสนานี้จะแก้ไขโรคทางวิญญาณโดยเฉพาะ เข้าใจอย่างนี้ก็ถูกเหมือนกันแหละ แต่ว่ามันถูกชนิดที่ตื้นไม่ลึกซึ้ง เพราะว่าถ้าคนเราไม่เป็นโรคทางวิญญาณ คือมีทิฏฐิความคิดความเห็นสติปัญญาถูกต้องตามทางธรรมนั่นแล้ว ไม่เป็นโรคเส้นประสาทเลย ถ้าไม่เป็นโรคทางวิญญาณแล้วจะไม่เป็นโรคทางจิต จะไม่เป็นโรคประสาท จะไม่เป็นโรคบ้าๆ บอๆ ที่เรียกว่าโรคจิต
ทีนี้เมื่อไม่เป็นโรคจิต คือสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เส้นประสาทดี ร่างกายสบาย ใจคอสบาย โรคกายมันก็เป็นยาก โรคกระเพาะอาหารโรคอะไรนี้มันเป็นยาก เพราะว่าโรคความดันสูง โรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหารนี้มันก็มาจากจิตที่ไม่สมประกอบคือเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเป็นปีๆ นี่ ก็เป็นโรคชนิดนั้น อย่าเข้าใจว่าโรคกระเพาะอาหาร โรคความดันสูง โรคหัวใจนี้มันเป็นโรคของกาย ที่แท้มันเป็นโรคทางจิตเป็นต้นเหตุแล้วมันแสดงออกทางกาย ฉะนั้นถ้าเรารักษาโรคทางวิญญาณหาย โรคจิตก็ไม่เป็น โรคกายตั้งหลายสิบเปอร์เซนต์ก็ไม่เป็น
เอาล่ะ,ผมอยากจะพูดว่าแม้โรคพุพอง เป็นแผลเปื่อย เป็นหิด เป็นเหาอันนี้ก็เถอะ มันมาทางจิต มาจากการที่จิตมันไม่สมประกอบเหมือนกัน ถ้าจิตสมประกอบ เลือดลมมันดีนี่ มันสมองดี เลือดลมดี ประสาทดี โรคพุพองผิวหนังมันก็ไม่ค่อยมี และทีนี้มาถึงโรคของเด็กอมมือ โรคพลัดตกหกล้ม โรคตกร่องขาถลอกปอกเปิก โรคหนามตำ โรคกระเบื้องบาดนี้ มันก็มาจากจิตที่ไม่สมประกอบนั่นแหละ ที่แม้ว่าอุบัติเหตุ เช่นรถยนต์ทับตายอย่างนี้ มันก็มาจากจิตที่ไม่สมประกอบ คือมันไม่ฉลาด มันไม่ดูให้ดี มันกำลังมีจิตที่ไม่ปรกติ มันก็มีส่วนที่รถจะทับตายหรือควายขวิดตาย
นี่ขอให้มองเห็นว่าโรคทั้งหลายมันไปสรุปรวบยอดอยู่ที่โรคทางวิญญาณของพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ ฉะนั้นแก้ไขปัญหาเรื่องโรคทางวิญญาณให้ได้ก็จะช่วยรักษาโรคทั้งปวงได้โดยใช้คำว่าโรคเฉยๆ ทุกชนิด ก็อยู่ในหน้าที่ที่สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องเยียวยารักษา
ทีนี้ก็ไปถึงคำว่าโลกทั้งปวง สัตว์โลกทั้งปวงก็หมายความว่าทุกโลก คำว่าทุกโลกในกรณีอย่างนี้ก็หมายถึงทุกชนิดของโลก ทีนี้เราจะเกี่ยวข้องกับโลกชนิดไหนได้บ้าง ก็รับเอาหมดทุกโลก แปลว่ามนุษย์โลกนี้ก็รวบเอาหมด ทั้งคนที่มีลักษณะอย่างสัตว์นรก มีลักษณะอย่างสัตว์เดรัจฉาน อย่างเปรต อย่างอสุรกายก็รับเอาด้วยหมด หรือคนที่มีลักษณะเป็นอยู่อย่างเทวดาอย่างพรหมนี่ก็รับเอาด้วยหมด ไม่ใช่โลกอื่นที่มองไม่เห็นนะ นี่ผมไม่ได้พูดถึงโลกอื่นที่เขาพูดกันที่มองไม่เห็น ที่อยู่นรก อยู่ใต้ดิน อยู่สวรรค์ อยู่บนฟ้านี่เดี๋ยวนี้มันน่าหัวเราะแล้ว หยุดนึกกันทีได้แล้ว ใต้ดินมันก็ศูนย์กลางของโลกที่ร้อนเป็นไฟที่ยังเหลวอยู่นั่นแหละ มันไม่มีสัตว์หรอก ทีนี้บนฟ้านั้นมันไม่มีหรอกข้างบนน่ะ มันมีรอบตัว เพราะก้อนโลกนี้มันกลิ้งไปเรื่อย มันไม่มีข้างบนหรอก มันก็มีแต่เพียงว่าห่างออกไปจากศูนย์กลางโลก คือสวนทางกับความดึงดูดของโลกเท่านั้นเอง เรามันจะตกลงไปยังศูนย์กลางโลกเรื่อย เราก็รู้สึกว่านู่นข้างบนนี่ข้างล่าง ที่จริงไม่มีข้างบนไม่มีข้างล่าง มีแต่ว่าจะตกไปหาศูนย์กลางโลกตามความดึงดูดของโลก หรือว่าจะต่อสู้ดันออกไปเสียจากความดึงดูดไกลออกไปนั้น มันไม่มีบนไม่มีล่าง ฉะนั้นพูดว่าบนว่าล่างนี้มันไม่ถูกเรื่องแล้ว ฉะนั้นก็ไปหาเทวดาข้างบนไม่พบเพราะว่าข้างบนนั้นมันไม่มี
ทีนี้ทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่นี่ มีความคิดอย่างสัตว์นรกคือร้อนแหละ มันก็เป็นนรกที่นั่นและเดี๋ยวนั้น หิวก็เป็นเปรต โง่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ขี้ขลาดก็เป็นอสุรกาย ทีนี้บากบั่นอาบเหงื่อต่างน้ำก็เป็นมนุษย์ ถ้าสบายโดยไม่ต้องอาบเหงื่อต่างน้ำก็เป็นเทวดา ทีนี้ถ้าสบายเกินกว่านั้นไปก็เป็นพรหม ไม่ยุ่งกับกามารมณ์ ทีนี้มันมีทุกโลกอยู่อย่างนี้ และก็มองให้ดีว่าทุกโลกมันก็เป็นโรค ประเภทสัตว์นรกก็เป็นโรค โลกที่ร้อนที่เสวยผลกรรมของความโลภความโกรธความหลงร้อนเป็นไฟอยู่นี้ มันเป็นโรคที่กำลัง,เขาเรียกว่าอะไร กำลังแอ๊คคิ้ว(accrue)ที่สุด กำลังกำเริบที่สุดรุนแรงที่สุดอะไรที่สุด
ทีนี้เปรตนี้ก็เป็นโรคหิว หาความสุขไม่ได้เพราะหิวทะเยอทะยาน ทะเยอทะยานในเงินทอง ทะเยอทะยานในชื่อเสียง ทะเยอทะยานในวิชาความรู้ ทะเยอทะยานในเกียรติคุณความดี มันก็หิวเป็นเปรตทั้งนั้นแหละ นี้มันก็เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ทีนี้ถ้ามันโง่อย่างไม่น่าจะโง่มันก็เป็นสัตว์เดรัจฉานแหละ ที่เรียกว่าคนนั่นแหละดูให้ดี บางเวลามันโง่กว่าสัตว์เดรัจฉานธรรมดาเสียอีก มันไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องทำ มันไปเสียเวลาหรือว่ามันทำสิ่งที่กลับเป็นอันตรายยุ่งยากลำบากแก่ตัวเอง ผมว่าความเจริญของมนุษย์ในโลกในสมัยปัจจุบันนี้แหละคือความโง่อย่างสัตว์เดรัจฉาน คือทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากขึ้นมาโดยที่ไม่จำเป็นเลย มันไม่จำเป็นเลยที่ต้องทำให้มันยุ่งอย่างนี้ ยุ่งจนไม่รู้จะทำกันหวาดไหวได้อย่างไร แล้วมันก็ขี้ขลาดนอนไม่สนิทด้วยเหตุต่างๆ ที่มันทำขึ้นมาเอง นี้มันเป็นอสุรกาย มันก็สลับกันไปสลับกันมาอยู่อย่างนี้ในมนุษย์คนเดียวนั่น เดี๋ยวก็เป็นนรก เดี๋ยวก็เป็นเปรต เดี๋ยวก็เป็นเดรัจฉาน เดี๋ยวก็เป็นอสุรกาย,คนในโลกนี้ ระดับมนุษย์ปรกติก็คือว่าไม่สุขไม่ทุกข์โดยส่วนเดียว มีสลับปนกันไปทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งอาบเหงื่อหรือว่าอาบอะไรก็ตามใจ เรื่องการต่อสู้เพื่อดำรงอยู่ได้ตามสัญชาตญาณเดิมๆ นี้มันก็เป็นมนุษย์คนธรรมดานั่นแหละ ทีนี้ว่าเออ,มันมีบุญคือมันฟลุ๊คน่ะ มันเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตาชนิดหนึ่งซึ่งทำให้ไม่ต้องลำบาก เช่นว่า ได้รับมรดกมาก หรือว่าหาเงินเก่ง สร้างสวรรค์วิมานเอาได้ที่นี่ แล้วมันก็ลุ่มหลงอยู่ด้วยรสของความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง เป็นเทวดา
ทีนี้เรื่องเทวดานี้ไปอ่านดูแล้วมันก็น่าหัวเราะ บางทีกลางวันเป็นเทวดา กลางคืนเป็นเปรต กลางวันเป็นเปรต กลางคืนเป็นเทวดา กลางวันเป็นเทวดา กลางคืนเป็นสัตว์นรก นี้มันก็มี เพราะคนที่มีโชคดีมีกามคุณอิ่มเอิบนั่นแหละ บางเวลามันก็หิวเป็นเปรต ไปดูคนที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐีเป็นอาเสี่ยเป็นอะไรก็เถิด เวลาหนี่งมันกับเหมือนเทวดา แต่เวลาหนึ่งมันก็เหมือนกับเปรตคือหิวไม่รู้จักพอ และบางเวลามันก็ร้อนใจเหมือนไฟเผาเหมือนกัน มันยิงตัวตายก็มี นี่มันเอาแน่ไม่ได้อย่างนี้ ฉะนั้นจึงว่าเอาเวลาที่มันเป็นอย่างไรก็คือมันเป็นอย่างนั้น
ทีนี้มันก็เหลือคนอีกพวกหนึ่งที่ว่าไม่หลงในเรื่องเนื้อหนังเรื่องกามคุณเนื้อหนัง มันอยากจะหยุดอยู่ด้วยความพอใจในสิ่งที่ไม่ใช่กามารมณ์ แต่เป็นที่ตั้งแห่งความหลงมาก ที่ต่ำที่สุดก็จะต้องชี้พวกที่เล่นปลากัด นกเขา เล่นบอล เล่นต้นไม้ เล่นวัตถุศิลปะ สะสมภาพเขียนศิลปะ นี้มันเป็นพวกที่ว่าไม่หลงในกามารมณ์ แต่ไปหลงในวัตถุล้วนๆ ที่ให้ความพอใจสูงขึ้นไปกระทั่งว่าเขาทำสมาธิมีรูปธรรมเป็นอารมณ์ นั่นก็แน่นอนแหละ แล้วก็สูงด้วย ทีนี้พวกสุดท้ายที่เรียกว่าพวกอรูปพรหมหรืออรูปโลก มันก็ต้องพวกที่เลยไปอีกชั้นหนึ่ง ไม่เอาสิ่งที่มีรูปเป็นหลัก เพราะว่าสิ่งที่มีรูปนี้มันเปลี่ยนแปลงมากเกินไปแตกง่ายได้ ก็เอาที่ไม่มีรูปเป็นหลัก มันก็ไม่มีอะไรนอกจากความอยู่เฉยๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มีรูป อะไรเป็นความรู้สึกที่ไม่เกี่ยวกับรูปก็เอาสิ่งนั้น ฉะนั้นไปอ่านดูในเรื่องอรูปฌาน ๔ อันที่หนี่งก็อากาสานัญจายตนะ เอาอากาศอันไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ของจิตที่จะพอใจ อากาศมันก็ไม่มีรูปนะ อย่าไปเข้าใจว่าอากาศมีรูป ก็คือชอบอยู่ว่างๆ ถ้าจะเปรียบเทียบกันอย่างคนธรรมดาสามัญ ก็ชอบอยู่นิ่งๆ ชอบอยู่ว่างๆ ไม่สนใจกับอะไร แต่พวกที่เจริญสมาธินั้น เขากำหนดความว่าง อนนฺโต อากาโส ทำในใจถึงความว่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ของจิต จิตหยุดอยู่ในความรู้สึกอันนั้น เขาก็สบายใจนี่ เราก็นั่งนึกถึงความว่างตามแบบของเราก็ได้อากาศว่าง ทีนี้เขาคิดว่าอากาศนี้ยังหยาบไปหน่อย เอาพวกนามธรรมคือจิตหรือวิญญาณดีกว่า ฉะนั้นจึงเลื่อนขึ้นไปเป็นวิญญาณัญจายตนะ เลยคิดว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ, อนนฺตํ วิญฺญาณํ, อนนฺตํ วิญฺญาณํ นี่ มันเรียกคนบ้า วิญญาณไม่มีที่สิ้นสุด คือหมายความว่านามธรรมหรือจิต วิญญาณธาตุนั้นน่ะไม่มีที่สิ้นสุดและก็พอใจ นี้เป็นความสุขของพวกนี้
ทีนี้ต่อมาเห็นว่าวิญญาณธาตุนี้ก็ยังรบกวนความรู้สึก ถึงแม้ไม่มีรูปร่าง เอาความไม่มีอะไรเลยดีกว่า นี้ยิ่งไปกว่าอากาศเสียอีก อันโน้นเรียกว่าอากาศ อันนี้เรียกว่าความไม่มีอะไร กิญฺจิ นตฺถิ, กิญฺจิ นตฺถิ ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร เหมือนกับคนบ้าอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่าอากิญจัญญายตนะๆ และก็พอใจอยู่อย่างนั้นในสิ่งนั้น เขาก็มีความสุข
อันสุดท้ายเรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ จะทำความรู้สึกเหมือนกับว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เรียกว่าตายแล้วก็มิใช่ ยังมีชีวิตอยู่ก็มิใช่ อย่างนั้นแหละ ก็พอใจอยู่อย่างนั้นแหละ นี่มันบ้าสุดโต่งได้แค่นี้แหละที่คนเราจะเป็นได้ เพราะเลยนั่นไปไม่มีแล้ว บรรดาปัญหาต่างๆ หรือความสุขอะไรในโลกที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านก็ตรัสเพียงเท่านี้เหมือนกัน เพียงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าเนวสัญญีนาสัญญี นี้ก็เป็นโลก เป็นโลกของคนชนิดนี้ มันก็เลยหมดไม่มีโลกที่ไหนแล้ว
กามโลกนี้รวบหมดขึ้นมาตั้งแต่สัตว์นรกมาถึงมนุษย์ถึงเทวดาในชั้นกามาวจรนั้น และก็รูปโลกเอาพวกพรหมที่มีรูป อรูปโลกก็พรหมที่ไม่มีรูป โดยเค้าใหญ่ๆ มี ๓ โลก แล้วก็จริง เขาช่างคิดกันมาแต่โบราณ ว่าที่มันจะเป็นไปได้มี ๓ อย่างนี้เท่านั้น ความคิดอันนี้มีก่อนพระพุทธเจ้า ก็ต้องถือว่าคนก่อนพระพุทธเจ้าเขาก็เก่งพอที่จะมองเห็นโลก สรุปแล้วมีอยู่ ๓ โลกอย่างนี้ แต่ไม่ได้รู้ความดับแห่งโลกเหมือนพระพุทธเจ้า เขาก็หลงไหลมัวเมาไปในโลก พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่านรู้จักความดับของโลกเหล่านี้ ฉะนั้นเลยได้นามว่า สพฺพโลกติกิจฺฉโก เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง โรคของสัตว์โลกทุกโลกก็คือมันมีความทุกข์ไปตามแบบนั้นๆ ของโลกนั้น
ทีนี้ธรรมะของพระพุทธเจ้ามันแก้ได้ทุกโรค แก้โรคของคนในโลกได้ทุกโลกอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด เพราะว่าถ้าพูดอีกทีหนึ่งแล้วโดยใจความ ทุกโลกมันมีโรคอย่างเดียวกัน โรคคือกิเลสที่มาจากอวิชชาอะไรทำนองนั้น ไม่ว่าโรคชนิดไหนมันก็ต้องมีรากเหง้ามาจากอวิชชา สัตว์นรกก็มีทุกข์เพราะอวิชชา เดรัจฉานก็มีทุกข์เพราะอวิชชา เปรต อสุรกาย มนุษย์ เทวดา มาร พรหม มันมีทุกข์ก็เพราะอวิชชา มันผิดกันแต่เพียงว่าอวิชชากำลังแสดงรูปร่างออกมาผิดแปลกแตกต่างกันบ้าง แต่ความทุกข์แท้แล้วมันก็มาจากตัณหาที่มาจากอวิชชา อวิชชาให้เกิดตัณหา เป็นกามตัณหาบ้าง ภวตัณหาบ้าง วิภวตัณหาบ้าง กามตัณหาอยากในกาม ก็ใช้แก่โลกที่มันเนื่องกันอยู่กับกามนั้น เป็นพวกอบายพวกมนุษย์พวกสวรรค์กามาวจรนี้ เขาก็มีโรคกามตัณหากันทั้งนั้น
ทีนี้สูงขึ้นไปเป็นรูปโลก คือรูปพรหม มันก็มีภวตัณหา สูงขึ้นไปก็มีวิภวตัณหาจนสุดท้าย นี่พูดอย่างนี้เป็นหลักคร่าวๆ เป็นเค้าๆ ได้ โดยรายละเอียดนั้นมันต้องพูดอย่างอื่น ทีนี้เมื่อสัตว์โลกทุกโลกเป็นโรคตัณหา ๓ ชนิดนี้แล้ว มันก็แก้ได้ด้วยธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะดับเสียซึ่งตัณหา ก็ดับโรคในทุกโลกได้ แต่การที่จะดับตัณหานั้นมันก็มีหลายวิธีแหละ จะดับที่ตัณหาหรือว่าจะดับที่ตรงไหนก็มันเป็นวิธีการหรือหลักการหรือระเบียบระบอบอะไรก็ตามที่จะแก้โรค นี่มันจึงมีเรื่องธรรมะสำหรับปฏิบัติในหลายที่หลายชั้น เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หรือว่าเป็นทานมัยศีลมัยภาวนามัยนี่ ในที่สุดก็มาสูงสุดอยู่แค่ที่เราเรียกกันว่าปัญญาหรือวิปัสสนา ซึ่งจะเป็นการรักษาโรคในขั้นเด็ดขาด
นี่เมื่อเรียกตัวเองว่าพระวิปัสสนาจารย์แล้วก็ระวังให้ดีๆ ให้มันเป็นหมอจริงๆ จะต้องรู้จักใช้เครื่องมือหรือหยูกยาให้เป็นหมอจริงๆ มีหมออยู่พวกหนึ่งเขาเรียกว่าหมอเชลยศักดิ์ นี่เป็นคำด่าหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่ค่อยมีใครไว้ใจหมอเชลยศักดิ์ ต้องเป็นหมอที่จริงจึงจะรู้จักใช้ศีลแก้โรคอะไร ใช้สมาธิแก้โรคอะไร ใช้ปัญญาแก้โรคอะไร ให้มันเป็นเรื่องๆ ไปเลย หรือว่าจะแยกแขนงออกไปเป็นอะไรก็สุดแท้ ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นว่า ศีล สมาธิ ปัญญานี้ก็ทำงานร่วมกัน
ฉะนั้นศีลนี้ก็คงจะเหมือนกับว่าพาไปหาที่ปลอดภัยไว้ก่อน คนมันไม่สบายนี่ จัดที่จัดทางให้มันปลอดภัยในการที่มันจะได้อากาศดีแสงแดดดีอะไร เรื่องสมาธิก็เหมือนกับกินยาแก้ปวด ยาแอสไพรินอะไรพวกนี้ไว้ก่อน คือว่าเป็นยาบรรดาที่ระงับความปวดเจ็บ กระวนกระวายทุกชนิด มันมียาอย่างนี้อยู่พวกหนึ่ง ไม่ใช่แก้โรคให้หายได้ ในขึ้นสุดท้ายเขาก็มียาหรือวิธีการบำบัดที่มันรักษาเด็ดขาดลงไป นี่มันจึงจะมาถึงขั้นปัญญาหรือวิปัสสนาที่เรายอมรับเอาเป็นภาระหน้าที่ ถึงกับเดี๋ยวนี้เรียกตัวเองว่าพระวิปัสสนาจารย์ ขออภัยผมพูดตรงๆ เลยว่า ครั้งพุทธกาลไม่มีเรียกพระวิปัสสนาจารย์ เพราะเขาเป็นหมอรวมๆ กันไป คือเป็นภิกษุก็ภิกษุ เป็นสมณะก็สมณะ เดี๋ยวนี้มันเกิดอะไรขึ้นมา เรียกพระวิปัสสนาจารย์บ้าง ไม่ใช้บ้าง ธรรมทูตบ้าง อะไรบ้าง มันก็เพื่อจะให้มีความหมายที่ระบุเจาะจงให้ชัดลงไปในหน้าที่การงานที่เราจะต้องกระทำ
เอาล่ะ,รวมความแล้วมันก็สรุปความได้ว่า ถ้ามันเป็นการทำให้ธรรมะนี้เข้าไปแก้ไขเยียวยาโรคของเพื่อนมนุษย์กันโดยวิธีใดวีธีหนึ่งแล้ว ก็เรียกว่าเป็นแพทย์ในความหมายอย่างนี้ได้ คือความหมายอย่างที่พระพุทธเจ้าท่าน เป็น เป็นแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ฉะนั้นขอให้สนใจที่จะวางหยูกยาให้ถูกกับโรคในเมื่อควรจะใช้ธรรมะข้อไหน แต่ว่าในที่สุดมันมารวมอยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญา ธรรมะทั้งหมดกี่ร้อยชื่อมันก็มารวมอยู่ที่คำว่าศีล สมาธิ ปัญญานั่นแหละ ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม มันมีอยู่ ๓ เครือเท่านั้น ศีล สมาธิ ปัญญา พอผิดจากนี้มันก็เป็นเรื่องการหายจากโรค ถึงกับมีชื่อมากเหมือนกัน ทีนี้เท่าที่พูดมานี้มันก็พอที่จะให้เข้าใจได้เห็นได้ว่า โอ้,ว่าเรามีหน้าที่ที่จะรักษาโรคทุกชนิดและของสัตว์โลกทุกๆ โลก ฉะนั้นก็พยายามทำให้มันสำเร็จตามนั้นแหละ
นี่คือคำที่ควรจะเอามาใส่ใจให้เข้าใจให้ดีแล้วปฏิบัติให้ได้ พยายามทำตัวเป็นหมอรักษาโรคของสัตว์โลกในเมื่อได้รักษาโรคของตัวเองหายแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราหายแล้วทุกโรค หมายความว่าเราหายจากโรคไหน เราก็อาจจะช่วยรักษาโรคนั้นให้แก่บุคคลนั้นๆ ได้ เหมือนอย่างว่าถ้าเรายังเป็นหิดแล้วเราไปขายยารักษาหิด ไม่มีใครซื้อแน่ นี่คิดดูเถิด อันนั้นของเล็กน้อยที่สุดแหละ ตัวเราเป็นหิดเป็นขี้กลากนี้เราจะไปขายยาแก้หิดแก้ขี้กลาก เป็นอันว่าไม่มีใครซื้อแน่ ฉะนั้นมันจึงมีว่าเรารักษาโรคของเราได้เท่าไหร่ เราก็รักษาโรคให้ผู้อื่นได้เท่านั้น ถ้าเราเป็นคนผอมเหลืองแล้วจะไปขายยาอายุวัฒนะอะไรนี้มันก็ไม่มีใครซื้อเหมือนกัน เราต้องมีความสบายปราศจากโรคทางกายโรคทางจิตโรคทางวิญญาณตามสัดส่วนที่เรามี แล้วเราก็ช่วยรักษาเขาให้หายจากโรคนั้นในระดับนั้นแหละ นี้เรียกว่าตามหลักการโดยตรง คือไปตามตรงไปตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ปฏิบัติเองได้เสียก่อนแล้วจึงสอนคนอื่นนั้น ตั้งตนไว้ในที่ชอบเองเสียก่อนแล้วจึงสอนคนอื่นนั้น นี่หมอแท้ๆ นะ หมอแท้ๆ ต้องรักษาโรคของตัวเองได้ก่อนแล้วจึงรักษาให้คนอื่น โดยหลักการโดยตรงมันเป็นอย่างนี้ อย่าให้เป็นเหมือนอย่างที่พระเยซูเขาด่าใครคนหนึ่งว่าไม้ท่อนอยู่ในตาของตัวเองทั้งท่อนแล้วยังไปอาสาเขี่ยผงในตาของคนอื่นนี่ นี้เป็นคำด่าที่รุนแรงมาก ไม้ท่อนอยู่ในตาของตัวทั้งท่อนมองไม่เห็นแล้วก็อาสาจะไปเขี่ยผงเล็กๆ ให้ในตาคนอื่น นี่เรานึกไว้ก็ดีเหมือนกัน
นี้ผมใช้คำว่าตามหลักการโดยตรง เราต้องรักษาโรคนั้นของเราหายแล้วจึงรักษาโรคนั้นให้แก่ผู้อื่น แต่ทีนี้มันมีข้อยกเว้นคือโดยอ้อมนั่นเอง เพียงแต่ว่าเรารู้เรื่องโรคอะไรบางโรคที่เราก็ไม่ได้เป็นและเราก็ไม่ได้รักษาตัวเรา เช่น เรารู้ยาอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งเราก็ไม่เคยใช้และเราก็ไม่เคยเป็นโรคนั้น แต่แล้วเราก็บอกยานั้นให้คนอื่นได้เหมือนกัน เขาก็เอาไปทดลองทำกินดู อย่างนี้เรียกว่าโดยอ้อม มันก็ทำได้เหมือนกัน นี้ก็เป็นหน้าที่ส่วนหนึ่งของผู้มีความรู้ทางปริยัติ หมายความว่าไม่ได้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติ แต่เป็นผู้แตกฉานในทางปริยัติ นี้เขาก็ประกาศเสียแต่ทีแรกแล้วว่าผมไม่รับผิดชอบ ผมเพียงแต่ได้ศึกษาพระพุทธวจนะมาว่าอย่างนี้ ว่าอย่างนี้ ว่าอย่างนี้ คุณเอาไปแก้ไขปัญหาของคุณดู ในครั้งโบราณแต่ไม่ใช่ครั้งพุทธกาลน่ะ ในครั้งโบราณใกล้ๆ นี้ก็มีอย่างนี้ พวกที่แตกฉานในปริยัติยอมรับเป็นที่ปรึกษาให้แก่พวกปฏิบัติซึ่งไม่ค่อยจะแตกฉานในฝ่ายพระคัมภีร์นี่ อย่างนี้อาจจะไม่เรียกว่าหมอก็ได้ แต่ว่ามันเป็นคนที่รู้ยา รู้ฉลากยา เขาบอกให้ไปตามความรู้ ก็ไม่ควรจะถูกติเตียนอะไร ในภาษาวิปัสสนาภาษาที่ใช้กันอยู่ในวงการวิปัสสนาเขาเรียกคนชนิดนี้ว่ากัลยาณมิตร ก็น่าจะใช้คำนั้นไปตามเดิม ไม่เรียกว่าหมอ กัลยาณมิตรเป็นเพื่อนเป็นที่ปรึกษาของหมอ บางคนก็เรียนรู้มากว่าปฏิบัติอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างนั้นเป็นอย่างนั้นแต่ไม่เคยปฏิบัติ แต่ก็จำได้และเขาเข้าใจนี่ เขาก็บอกให้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ บอกให้ตามที่เขาเรียนรู้ในพระคัมภีร์ ก็อยู่ในพวกที่เรียกว่าที่ปรึกษาหรือว่าร่วมมือกันได้โดยอ้อม โดยตรงคือว่าเป็นแพทย์ผู้รักษาโรคจริงๆ นั้นก็ต้องอย่างที่ว่า รักษาโรคของตัวเองได้เท่าไหร่แล้วก็รักษาโรคของคนอื่นได้เท่านั้น นี้มันแน่นอนตามหลักการตรงๆ
ฉะนั้นเราก็อย่าไปดูถูกเขา มันเคยปรากฏว่าพระวิปัสสนาดูถูกพระปริยัติ พระปริยัติก็ด่าพระวิปัสสนา อย่างนี้ก็หมดเลย ฉิบหายกันหมดเลยทั้งสองฝ่าย มันไม่มีเหตุผลไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องรังเกียจหรือว่าทับถมกัน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดของตัว พระวิปัสสนาก็รักษาโรคโดยตรงไปเลย เป็นหมอที่รักษาโรคโดยตรงไปเลย หรือจะเรียกว่าสืบพระธรรมสืบศาสนาอย่างโดยตรงด้วยการปฏิบัติ ทีนี้พวกปริยัติเขาก็สืบปริยัติสืบศาสนาโดยวิธีแห่งปริยัติ มันก็ไม่เห็นจะต้องขัดขวางอะไรกันจนถึงกับว่าต่างฝ่ายต่างดูถูกซึ่งกันและกัน เพราะว่าอย่างน้อยพวกปริยัติมันก็เป็นที่ปรึกษาของหมอคือพวกปฏิบัตินี้ได้ พวกปฏิบัตินี้มันมีหน้าที่ต้องรักษาตัวเองก่อน เป็นหมอให้แก่ตัวเองก่อนแล้วก็รักษาผู้อื่นทีหลัง พวกปริยัติเขาก็ไม่ทำหน้าที่นั้น แต่เขาอาจจะให้หลักให้วิชาให้อะไรตามที่เขาได้รักษาไว้อย่างดีด้วยได้
ฉะนั้นผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกหรอกที่ว่าจะแยกเป็นปริยัติหรือเป็นปฏิบัติ เป็นพระป่าเป็นพระบ้านแล้วก็ทะเลาะกันหรือว่ารังเกียจกัน เพราะว่าการที่ทำอย่างนั้นมันทำให้กลายเป็นคนเจ็บเสียเอง เป็นคนเจ็บคนไข้เสียเอง เป็นโรคกายโรคจิตโรควิญญาณเพิ่มขึ้นมาใหม่เสียเอง คือในการที่รังเกียจกันดูหมิ่นกันทะเลาะกันนั้น ฉะนั้นอย่าไปยกตนเพื่อทับถมผู้อื่น มันจะเกิดเป็นโรคขึ้นมาใหม่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าบางทีมันจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง มันก็ต้องด้วยเหตุผลหรือมันมาจากความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันแก้ไข ในเมื่อหมอมันมีความเห็นต่างกันมันก็ทะเลาะกันเหมือนกันแหละ ในโรงพยาบาลนั่นแหละเมื่อหมอมันมีความเห็นต่างกันมันก็ทะเลาะกันเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือว่าเรื่องที่จะขจัดออกไปได้
เดี๋ยวนี้มันมีความเสียหายมากกว่านั้น คือว่าในหมู่พวกปริยัติมันก็ทะเลาะกันมันแยกแขนงกัน ในหมู่พวกปฏิบัติมันก็แยกแขนงกันนี่ สำนักนั้นดี สำนักนี้ไม่ดี สำนักนั้น โอ้ย,มันมีแยกกันเป็นพวกๆ แม้ในพวกปฏิบัติวิปัสสนา แม้ในพวกปริยัติมันก็ทะเลาะกัน เช่นอธิบายพระไตรปิฎกพระสูตรหนึ่งไม่ตรงกัน มันก็ทะเลาะกันจนโกรธกันจนตีกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตา เรื่องนิพพานนี้ มีแง่ที่ให้นักปริยัติด้วยกันทะเลาะกันจนโกรธไม่มองหน้ากัน นี้มันเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิด แต่ก่อนนั้นมันไม่มีและมันไม่ควรจะมี เมื่อความเห็นไม่เหมือนกันก็แสดงว่ามันไม่เหมือนกันก็แล้วกัน มันไม่ต้องไปทำอันตรายกัน
ฉะนั้นขอให้ถือว่าทุกคนมีสิทธิที่จะพูด อย่างผมก็ถือสิทธิอันนี้ ฉะนั้นผมพูดแล้วไม่กลัวหรอก แต่ว่าผมก็พูดตามความเห็นว่าเราเห็นเอย่างนี้ เราไม่ไปด่าผู้อื่นว่าผิด ถูกแต่ของเรา นี้เราก็ไม่พูดอย่างนั้น เราพูดแต่ว่าเราเข้าใจว่าอย่างนี้ เรื่องนี้เราเข้าใจว่าอย่างนี้ แต่ถ้าจะปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างนี้ ทีนี้ถ้าแต่ละฝ่ายๆ ถือหลักกันอย่างนี้ก็ไม่มีทะเลาะกันหรอก มันพูดกันคนละทีก็ได้ ทีนี้คนที่เขาจะรับเอาไปปฏิบัติเขาก็เลือกเอาเองสิ ว่าวิธีการอันไหนมันน่าไว้ใจหรือมันมีเหตุผล นี่วงการของวิปัสสนาธุระควรจะเขยิบขึ้นมาให้สูงถึงระดับที่ว่าเหมือนกับหมอที่รักษาโรคทางวิญญาณของสัตว์ทุกชนิดนับตั้งแต่คนขอทานขึ้นมา คือทุกชนิดของบุคคลที่มีอยู่ในโลก พยายามช่วยเขา ตั้งแต่คนขอทานคนอันธพาลคนอะไรก็สุดแท้ เรื่อยขึ้นมาจนถึงชาวไร่ชาวนาชาวสวน เศรษฐี เจ้านายอะไรก็ตามใจ ชั้นสูงสุดอยู่แค่ไหน หรือจะเอาเป็นชั้นอย่างอื่นว่าเด็กๆ ผู้ใหญ่ คนแก่ หรือจะเอาเป็นชั้นอย่างอื่นว่าพวกที่หลงอยู่ในกาม พวกที่หลงอยู่ในรูป พวกที่หลงอยู่ในอรูป ทุกพวกจะต้องรักษาได้แก้ไขได้ด้วยธรรมะนี้ ฉะนั้นอย่าเหลวไหลนะ อย่าขี้เกียจคิด อย่าขี้เกียจนึก มันจะต้องพยายามสอดส่องค้นคว้าด้วยความเมตตากรุณานั้นพร้อมไว้เสมอแหละ แต่ที่ผมอยากจะพูดก็คือว่าให้มันเหมือนกับการรักษาโรคจริงๆ ไม่ใช่แต่พิธีรีตอง รักษาโรคของเราแล้วก็รักษาโรคของคนอื่น อย่าให้มันเป็นเพียงพิธีรีตอง เป็นอาจารย์วิปัสสนาในลักษณะนี้เป็นจานเสียงก็ได้นะ อย่างนกแก้วนกขุนทองก็ได้ เป็นพิธีรีตองเท่านั้นคือบอกไปตามแบบฉบับและก็ไม่รับผิดชอบ ตัวเองก็ยังอมโรค นี่มันเป็นเสียอย่างนี้ นี่คือข้อที่ต้องวิตก วิตกชนิดที่เรียกว่ารับผิดชอบ ช่วยทำการแก้ไขให้ดี ให้เป็นการรักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงให้ได้
เอาล่ะ,ทีนี้ผมก็มีเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอีกนิดหน่อย และก็เป็นเรื่องของผมด้วยนะ ขออภัยที่ว่าขอโอกาสพูดเรื่องที่ยอมรับว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวผม แต่ไม่ใช่เพื่อจะอวดหรือไม่ใช่เพื่อจะทำลายเวลา คือผมตลอดเวลาถูกหาว่าเอาเรื่องที่ไม่ควรจะสอนมาสอน เอาเรื่องที่ประชาชนยังรับเอาไม่ได้มาสอน เรียกว่าสอนเรื่องที่ไม่ตรงกับโรค นี่ผมถูกหา หรือว่าถูกด่าเลยก็มี ถูกด่าจังๆ ตรงๆ เลยก็มี ว่าเอาเรื่องที่ไม่ควรจะเอามาสอนมาสอน เป็นเรื่องที่ผิดฝาผิดตัวเป็นเรื่องอะไรทำนองนี้ แต่ผมก็พยายามรับฟังและก็พยายามที่จะคิดใคร่ครวญข้อกล่าวหาของเขานั้นอย่างดีที่สุดที่ผมจะทำได้ แต่แล้วยิ่งใคร่ครวญเท่าไหร่มันยิ่งกลับเห็นตรงกันข้ามว่าผมทำถูกแล้ว ทำถูกแล้วในการที่เอาเรื่องนี้มาสอน เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นก็ดี เรื่องความว่างจิตว่างก็ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนิพพานนั่นแหละ พอพูดถึงนิพพานเขาหาว่ามันยังไม่ตรงกับปัญหา ชาวบ้านยังรับเอาไม่ได้ เป็นความจริงก็จริง เป็นเรื่องจริงในพระพุทธศาสนา แต่ว่าประชาชนรับเอาไม่ได้ ฉะนั้นผมก็เป็นคนบ้า คือเอาเรื่องที่มันไม่ตรงกับฝากับตัวมาพูด นี้ช่วยวิเคราะห์กันดูทีว่าอย่างไร มันเป็นอย่างไร เพราะว่าผมมันตีความของคำเหล่านี้ตามความรู้ความเข้าใจของผม เห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญไปหมด เพราะเราทุกคนกำลังเดือดร้อนอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในโลกนี้ในบ้านในเมืองนี้ทุกขั้นทุกระดับ เรายังมีจิตที่วุ่นวายไม่รู้จักทำให้มันว่างหรือมันหยุดหรือมันเย็นหรือมันสงบ และนิพพานนี้มันเป็นเรื่องที่ต้องใช้กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไร เพราะเรามองเห็นความหมายของคำว่านิพพานนี้มันมีอยู่กว้างขวางและก็ทุกชั้นทุกระดับ ไม่มีความทุกข์ที่ไหนก็เรียกว่ามีนิพพานที่นั่น มันไม่มีเพราะบังเอิญหรือมันไม่มีเพราะเราบังคับกระทำไว้ชั่วคราวหรือว่าไม่มีเพราะหมดกิเลสอะไรก็ตาม ก็เรียกนิพพานทั้งนั้น่ มีคำในบาลีว่า สามายิกํ เจโตวิมุตฺตึ นี่ไปค้นดูเถิด อย่างมหาสุญญตสูตรนี้มี หรือจูฬสุญญตสูตร เรื่องสุญญตสูตรนี้มันจะมีคำว่า สามายิกํ เจโตวิมุตฺตึ แปลว่า เจโตวิมุตติชั่วขณะชั่วสมัย นี้คือความที่ว่าจิตมันหลุดพ้นจากความทุกข์หรือกิเลสด้วยกำลังของจิตที่อบรมดีแล้วชั่วขณะชั่วสมัยเท่านั้น ไม่เด็ดขาดไม่ตลอดลงไป นี้เป็นนิพพานที่ควรจะทำได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ จะขณะสมัยเล็กใหญ่เท่าไหร่ก็สุดแท้ ถ้าเรารู้จักจัด รู้จักทำ รู้จักป้องกัน รู้จักดำรงจิตไว้ให้ดี ฉะนั้นว่างจากกิเลส คือว่างจากการเกิดของกิเลส ว่างจากความทุกข์เป็นชั่วสมัย ฉะนั้นเราก็ควรจะสอนให้คนรู้จักทำให้ได้แม้ชั่วสมัยอย่างนี้
ฉะนั้นจึงถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดฝาผิดตัว ไม่ใช่เรื่องความจริงที่คนรับเอาไม่ได้ มันเป็นความจริงที่ทุกคนจะต้องรับ ไม่เช่นนั้นเขาจะเป็นบ้า จะเป็นสัตว์ที่ทนทุกข์ทรมานและเป็นบ้าในที่สุด ถ้าไม่บ้าทางมันสมอง มันก็บ้าทางวิญญาณ เพราะว่าถ้ายกเลิกไม่พูดกันเรื่องนิพพานแล้ว มันก็ไม่มีพระพุทธศาสนา นี่ขอให้ไปคิดดูให้ดี ถ้าไม่พูดถึงคำว่านิพพานจะไม่มีพุทธศาสนา เรื่องอื่นๆ เขาก็มี แม้แต่เรื่องนิพพานเขาก็มี แต่มันไม่จริงเท่านั้น นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องนิพพานที่แท้จริงขึ้นมาจึงเกิดพุทธศาสนา ฉะนั้นเรื่องนิพพานในพุทธศาสนานั้นต้องเป็นความจริงที่ทุกคนต้องรับเอา ไม่ใช่เป็นความจริงที่ทุกคนรับเอาไม่ได้หรือว่าไม่ควรจะรับเอา พระพุทธเจ้าท่านต้องการจะรักษาโรคหรือว่าเยียวยาโรคของคนทั้งหมดในโลก
ในหน้าหนังสือพิมพ์เคยอ่านพบว่าการยกโทษให้แก่พระที่สอนวิปัสสนากรรมฐานนี้ว่าไปสอนเรื่องที่ประชาชนรับเอาไม่ได้หรือไม่ตรงตามสถานการณ์นี่ ไปสอนเรื่องนิพพานแก่คนที่ยังไม่มีข้าวจะกินนี่ มันหลับตาพูดอย่างนั้น คนที่ไม่มีข้าวจะกินก็ต้องรู้นิพพาน ไม่อย่างนั้นมันจะบ้า มันก็ต้องรู้จักกระทำจิตใจให้มันสงบพอที่ว่าจะไปหาข้าวกินนั่น ดีกว่าเป็นบ้า มันจะต้องรู้จักวางจิตใจไว้ให้ถูกคือให้สงบระงับปกติแล้วก็ไปหาข้าวกินก็ได้ นั้นมันก็เป็นการกล่าวหาที่ไม่ตรงความจริงเหมือนกันแหละ ที่หาว่าพระสอนกรรมฐานวิปัสสนานี้ไปสอนเอาสิ่งที่ประชาชนยังรับเอาไม่ได้หรือว่าไม่ควรจะรับเอา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสอนเรื่องนิพพานเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ขอให้มองให้ดีจะเห็นว่าเรื่องนิพพานหรือเรื่องความว่างเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่นนี้ มั่นลดหลั่นกันอยู่เป็นชั้น เป็นชั้น เป็นชั้น ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีเรื่องอื่นแทรกเข้ามาได้ ต้องมีเรื่องนี้เท่านั้นคนจึงจะไม่เป็นบ้าหรือว่าไม่เป็นทุกข์ มันก็มีอย่างระดับคนที่ว่าต่ำที่สุดชาวบ้านที่สุด ก็รู้จักทำให้มันว่างหรือไม่ยึดมั่นหรือให้มันเย็นตามสมควรสิ เพราะว่าเรื่องเย็นนี้มันต้องการ คนที่ยังไม่มีข้าวกินก็ต้องการเย็น คนที่มีข้าวกินบ้างแล้วก็ต้องการเย็น ไม่มีใครต้องการร้อน คนที่มีข้าวเหลือกินแล้วมันก็ยังต้องการเย็น เย็นคือไม่เป็นทุกข์ มันต้องรู้จักขจัดความทุกข์ออกไปเสียส่วนหนึ่งก่อนเท่าที่จำเป็นแม้ว่าจะเป็นคนขอทาน
ฉะนั้นเราก็จะสอนเรื่องที่ว่ามันเหมือนกับนิพพานชั่วคราวนี้ สามายิกํ เจโตวิมุตฺตึ แบบยาแอสไพรินหรือว่ายาฉีดระงับปวดยานอนหลับอะไรก็ยังดี ดีกว่าที่จะให้คนมันบ้าตายไปเลย นี้เขาเข้าใจว่าพอพูดถึงนิพพานแล้วก็เป็นพระอรหันต์เลย แต่คำว่านิพพานไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น มีความว่า สามายิกํ ก็มีความว่าที่มีเชื้อเหลือ นิพพานที่มีเชื้อเหลือคือยังไม่ถึงที่สุด ยังไม่หมด
นี้มันเกี่ยวข้องกันอยู่กับหน้าที่การงานของพระวิปัสสนาจารย์โดยตรง ขออภัยอย่าพูดว่าผมเยาะเย้ย ผมไม่เรียกตัวเองว่าพระวิปัสสนาจารย์ พอใครมาขอให้สอนวิปัสสนา ผมบอกว่าไปๆ ที่นี่ไม่มีสอนวิปัสสนา พูดอย่างนี้มาหลายสิบครั้งแล้ว แต่ผมก็ทำหน้าที่อย่างเดียวกันแล้วก็ถูกด่าก่อนพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายเพราะพยายามจะพูดเรื่องนิพพาน เรื่องความว่าง เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ปีหนึ่งมีหลายสิบคน มาถึงก็ขอให้สอนวิปัสสนา ก็บอกว่าที่นี่ ๔๐ กว่าปีมาแล้ว ๕๐ ปีมาแล้ว ไม่เคยสอน สวนโมกข์ไม่เคยสอน ไม่เรียกตัวเองว่าอาจารย์สอนวิปัสสนา ไม่เรียกสวนโมกข์ว่าสำนักวิปัสสนา นั่นมันยกให้เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องกระทำแก่ตัวโดยส่วนตัว เป็นเรื่องที่ไม่เปิดเผย เป็นเรื่องที่ไม่ติดฉลากหรือว่ายกป้ายหรืออะไรทำนองนั้น เพราะว่ามันทำให้ลืมตัว แต่โดยใจจริงนั้นก็อยากจะเปิดเผยสิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา ทั้งในแง่ของปริยัติล้วนๆ และทั้งในแง่ของปริยัติที่มันเป็นอุปกรณ์แก่ผู้ปฏิบัติโดยตรงนี่ ฉะนั้นจึงพยายามจะพูดให้พุทธบริษัทไทยเรานี้เข้าใจเรื่องอิทัปปัจจยตา เรื่องสุญญตา เรื่องนิพพาน เรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่ตลอดเวลา ๔๐ กว่าปีแล้ว คือตั้งแต่มีสวนโมกข์ประมาณ ๔๐ กว่าปี มัน พ.ศ. ๒๔๗๕ ฝ่ายนั้น ๒๕ ฝ่ายนี้ ๑๕ ๔๐ ปีพอดี สวนโมกข์นี้ ๔๐ ปีพอดี ก็มีขึ้นมาเพื่อจะค้นคว้าเรื่องนี้ เพื่อจะเปิดเผยเรื่องนี้โดยตรง ตลอดเวลาก็เต็มไปด้วยอุปสรรคอย่างเดียวกันแหละ ปัญหาสำคัญมันก็มีเหลืออยู่ที่ว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นเรื่องที่พูดสิ่งที่ควรพูด หรือว่าเป็นเรื่องที่ตรงกับสิ่งที่มนุษย์จะรับเอาได้หรือไม่ มีอยู่อย่างนี้ ผมก็ยิ่งเห็นว่ามันยิ่งเป็นเรื่องที่ตรงกับที่มนุษย์ปัจจุบันนี้จะต้องรับเอาๆ ไม่อย่างนั้นโลกนี้จะไม่มีที่พึ่ง จะมีแต่ความทุกข์เหมือนกับนรกนั่นแหละยิ่งขึ้นมาทุกที บางคนกล่าวหาไปในบางแง่ว่าเพราะว่าอย่างผมนี้ไม่สอนธรรมะที่พอดีกับประชาชน ทีนี้ประชาชนรับเอาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงไปหันไปหาหนทางผิด ไปเชื่อน้ำมนต์ไปประกอบพิธีอะไรที่เรียกกันว่าผิดๆ นั่นแหละ เพราะว่าพระไม่สอนเรื่องที่ถูก มันก็เล่นตลกกันสิ้นดีเลย หาว่าพระไม่สอนเรื่องที่ควรสอนให้ถูกต้อง ประชาชนจึงไปหลงในอะไรอย่างที่คนกรุงเทพเขาหลงกันนั่นแหละ เรามันเห็นว่าต้องสอนเรื่องนี้ให้เข้าใจคนจึงจะไม่หลง แต่ก็มีคนมองเห็นว่าผิดฝาผิดตัว คนเลยหันไปพึ่งผี คนที่ดีๆ อยู่แล้วหันไปเป็นผู้พึ่งผี เขาไม่สอนให้ดี เราก็ตั้งใจว่าสอนให้ดีที่สุดแล้ว ก็มาหาว่าสอนผิดเสียอีก นี้คือปัญหาที่ผมประสบและก็เชื่อว่าทุกท่านคงจะประสบไม่มากก็น้อย จึงเอามาพูดให้ฟังเป็นเรื่องส่วนตัว คนเหล่านั้นมันเป็นคนผีอยู่แล้วมันจึงวิ่งไปหาผี ถ้ามันเป็นคนดีมันก็ต้องวิ่งมาหาพระ ฉะนั้นอย่ามาโทษผมสิ อย่ามาด่าผมในข้อนี้ คนมันเป็นผีอยู่แล้วมันจึงวิ่งไปหาผี ถ้ามันเป็นคนปกติคนดี มันก็คงจะวิ่งมาหาพระ ฉะนั้นผมก็จะสอนเรื่องนิพพานไปเรื่อย ใครจะด่าว่าอย่างไรก็จะสอนเรื่องนิพพาน เรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น ในฐานะเป็นเภสัชหรือเป็นหยูกยาจะรักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงตามรอยพระพุทธองค์ ตามพระพุทธประสงค์ที่พระพุทธองค์ทรงหวังว่าให้เราทำอย่างนั้น
นี่คือเรื่องที่มาพูดกัน เรื่องนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง แล้วท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายมีส่วนรับผิดชอบผูกพันอยู่นั่น ดูให้ดี ไม่ใช่แต่ผมคนเดียว ที่จริงพระศาสนาของเราจะไปรอดหรือไม่รอดมันก็อยู่ที่กิจกรรมอันนี้แหละ ไม่ใช่กิจกรรมอันอื่น คือว่าถ้าเลิกกิจกรรมอันนี้เสียพุทธศาสนาก็ไม่มี ถึงจะมีโบสถ์ มีวัด มีพระพุทธรูปมีอะไร ก็เหมือนกับไม่มี ถ้ามันไม่มีการเยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงแล้วก็คือไม่มีพุทธศาสนา ผมถืออย่างนี้ ใครจะว่าอย่างไรก็ตามใจ ฉะนั้นจึงเอามาเป็นเรื่องสำหรับพูดกันวันนี้ให้ฟัง แต่ไม่ใช่ให้ฟังเฉยๆ ให้ฟังสำหรับเอาไปคิดไปนึกไปใคร่ครวญดูพิจารณาดูว่า เอาผ้าเหลืองนี้มาสวมกายเข้าแล้วมีหน้าที่อย่างไร กำลังเหลวไหลหรือไม่ กำลังทรยศต่อผ้าเหลืองหรือไม่ นี่ไปคิดดูกันแบบนี้ ก็มีอยู่ คือว่ามีปัญหาที่ว่ากำลังไม่ทำหน้าที่นี้ และทำหน้าที่อะไรก็ไม่รู้ จึงขอร้องให้ภาวนาถึงคำว่า สพฺพโลกติกิจฺฉโก เรื่อยๆ ไป พระศาสดาของเราเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง ก่อนหน้านั้นมันมีคำอะไรที่มันบอกเป็นลำดับมานะ กว่าจะเป็นนายแพทย์ได้นั้น เป็น สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี รู้เรื่องต่างๆ ดี ชิโน เป็นผู้ชนะ ชนะมาร ชนะกิเลส ชนะทุกข์นะ ว่า สตฺถา เป็นผู้สอน มหาการุณิโก ด้วยความเมตตากรุณาอันใหญ่หลวง เพราะฉะนั้นจึงเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวงได้ นี่มันเป็นหลักหรือเป็นหัวข้อสำคัญที่เราจะต้องพยายามเดินตามรอยท่านนั้น ก็พยายามรู้สิ่งที่ควรจะรู้และรักษาโรคของตัวเองหายได้ เรียกว่าชนะแล้ว มีความเมตตากรุณาที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เพราะว่าเรานี้มันหมดเรื่องแล้ว ไม่รู้จะต้องการอะไร วันหนึ่งๆ ไม่รู้จะต้องการอะไร ที่เกี่ยวกับส่วนตัวนั้นมันไม่รู้ว่าจะต้องการอะไร ฉะนั้นจึงใช้เวลาไปในทางที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น จัดไว้ว่าตัวเองนี้เหมือนกับตายแล้ว ไม่มีเรื่องไม่มีปัญหาไม่มีอะไร ไม่มีเรื่องอยู่เรื่องตายไม่มีอะไรอีกต่อไปส่วนตัวเองนั้น แต่ทำอย่างไรได้ ร่างกายนี้มันยังอยู่ ฉะนั้นก็ใช้ร่างกายนี้แหละให้มันเป็นประโยชน์ มันก็ประโยชน์แก่คนที่ยังกำลังต้องการประโยชน์คือคนที่กำลังมีทุกข์ ก็ช่วยกันไปตามเรื่อง ให้คนทุกคนเข้าใจเรื่องความทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องทางให้ถึงความดับทุกข์ ไปๆ มาๆ ก็มารวมอยู่ที่เรื่องความยึดมั่นถือมั่นหรือว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น ฉะนั้นโรคทั้งหลายมันก็มาจากความยึดมั่นถือมั่นจนนอนไม่หลับ โรคกายก็ดี โรคจิตก็ดี โรควิญญาณก็ดี มีมูลมาจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งนั้น แต่มันซับซ้อนลึกซึ้ง มันซ่อนเร้น ยึดมั่นถือมั่นก็คืออุปาทาน อุปาทานก็มาจากตัณหา ตัณหาก็มาจากหลงในเวทนาด้วยอำนาจของอวิชชา ต้นตออยู่ที่อวิชชา ฉะนั้นก็ควรจะรอบรู้เรื่องที่เกี่ยวกับอวิชชา สนใจที่จะรอบรู้เรื่องอันเกี่ยวกับอวิชชาจริงๆ จับตัวมันให้ได้เพราะมันเกิดอยู่ทุกวันเสมอๆ เอาล่ะ,เรื่องนายแพทย์ก็มีเพียงเท่านี้ ก็ขอยุติการถวายความรู้รอบตัวแก่ท่านพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายเท่านี้//