แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
8 สิงหาคม 2515 มาถึงสัปดาห์ที่ 2ใน12สัปดาห์คุณยังบวชด้วยกายอยู่ คิดดูว่าวันนี้มันเข้ามาถึงสัปดาห์ที่2ก็ยังอยู่ตรงนี้ เรื่องของเวลาที่คุณมีอยู่เพียง12สัปดาห์หรือน้อยกว่านั้น แล้วสิ่งต่างๆ(นาทีที่ 01:45) นี่น่ากลัวว่าจะไม่ทัน สำหรับผู้ที่บวช3เดือนจะต้องพยายามทำให้ดี อย่าคิดว่ามีแต่เรื่องฟังฟังฟัง อย่างนั้นมันแย่มาก แย่หมดเลย ไอ้เรื่องฟังฟังฟังนั้นเป็นเรื่องไม่มีสาระ มันต้องได้อย่างที่ผมพูดแล้ว 2อย่างคือ มันรู้แจ้งแล้วก็มีการฝึกฝน ฝึกฝนคือทำบีบบังคับลงไปที่ร่างกายที่จิตใจที่วาจาที่จิตใจ ให้มันมีการถูกบังคับ ต้องได้รับการบังคับ ต้องผ่านการบังคับนาน มีส่วนหนึ่งต้องได้ถ้าไม่มีการบังคับ ไม่มีการทรมาน นี้ไม่เป็นบวชแล้ว ไม่คุ้มค่าผ้าเหลืองไม่กี่บาท เรื่องที่สองคือแสงสว่าง ต้องได้แสงสว่าง คือเรื่องที่2 ต้องได้การบังคับ ปากท้องหูตาจมูกลิ้นกายนี้ต้องมีการบังคับ นี่เป็นตัวพรหมจรรย์ แสงสว่างเป็นตัวความตรัสรู้ ต้องได้2อย่างนี้ภายในมาตรฐานหรือระดับที่สมควร
(03:40) รีบมาดูให้มากในเรื่องบังคับๆนี่ กินเนื้อลูกกลางทะเลทรายอย่างที่พูด หยอดน้ำมันเพลาเกวียน สิ่งที่เหลือจากนั้นไม่ต้องๆ ความเอร็ดอร่อยความสนุกสนานอะไรไม่ต้อง อย่าว่าถึงการสูบบุหรี่ แม้แต่กินอาหารเนี่ยไอ้ส่วนที่เกินก็ไม่ต้อง ไอ้เรื่องสูบบุหรี่นี่มันเกิน มันเกินยิ่งกว่าเกิน ไอ้การกินอาหารส่วนใดที่มันเกิน อย่าเลย ก็เหมือนกับกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายโดยรสชาติ โดยปริมาณเหมือนกับหยอดน้ำมันเพลาเกวียน เพียงเท่านี้บวชเดือนสองเดือนสามเดือนนี้ได้ประโยชน์มหาศาลเกินคาด เป็นมนุษย์ที่รู้จักชีวิตดี หลายวันแล้วหัดคลุกกันเสียบ้าง เพื่อว่าเป็นอาหารเท่านั้นไม่ต้องเป็นนั่นเป็นนี่ ที่เอร็ดอร่อยหรือไม่อร่อย แต่ผมก็ได้บอกแล้วว่าแม้คลุกกันน่ะแหล่ะ บางทีมันอร่อยกว่าไม่คลุกเสียอีก วันหลังผมจะแบ่งให้บ้างนี่ที่ผมจะคลุกนี่แล้วผมจะแบ่งให้บ้าง ถ้าเค้าให้มาไม่มีก้างปลาแล้วคลุกเลยเพื่อจะได้หลับตาฉันได้ทุกคำๆ โดยไม่ต้องคิดว่ากำลังกินปลาหรือกินเนื้อหรือกินผักหรือกินอะไร แล้วจะพิจารณาอะไรต่างๆได้ดี
(05:52) นี้ผมต้องเผื่อสุนัข4ตัวด้วย ถ้าอะไรที่มันไม่กินบางทีก็ไม่คลุกลงไป ไอ้เรื่องฟังฟังฟังเรื่อยไปนี้ไม่สำคัญ แต่ก็ต้องมีเพราะว่ามันเป็นเหตุให้รู้ว่าจะต้องบังคับจิตใจอย่างไง อย่างเช่นบอกว่าต้องกินอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทรายในปริมาณเหมือนกับหยอดน้ำมันเพลาเกวียนนี้ก็ต้องฟังมาก่อน และก็ไม่สำคัญแค่นั้น มันต้องทำด้วย นี่กินอาหารอย่างกินเนื้อลูกกลางทะเลทราย กินในปริมาณพอให้เพลาเกวียนลื่นอย่าให้ล้น ให้ฟังน่ะมันคนละอันกับการทำในใจ การทำในใจ โยนิโสมนสิการ เค้าเรียกว่าทำในใจ นั้นมันคนละอย่างกับฟัง คุณฟังแล้วบ้างก็จำได้บ้าง บ้างก็ลืมไปบ้าง ในใจมันไม่ถูกกระทำ นั้นเราต้องกระทำ ต้องอดกลั้นอดทน
(07:45) แล้วคนที่อยู่ที่บ้านไม่มี ไม่มีโอกาสที่จะทำนี่อย่างหนึ่ง แล้วก็ไม่มีจิตใจหรือความประสงค์ที่จะทำ จะทำอย่างที่พระทำนี่ไม่มี ไม่มีโอกาส นั้นคุณรีบทำเสียว่ายังเป็นพระ รีบทำอย่าให้พ่อแม่ผิดหวัง อย่าให้ทุกคนผิดหวัง ไม่งั้นจะผิดหวังอย่างน่าเศร้าเพราะขาดทุนเพราะว่ามันบวชเข้ามาไม่ได้ส่งเสริมพระศาสนา อย่างที่บอกมาแล้ววันก่อนๆจะฉันอาหารต้องนึกถึงพระพุทธเจ้า อย่างที่พวกคริสเตียนเขานึกถึงพระเจ้าขอบคุณพระเจ้า เราก็นึกถึงพระพุทธเจ้า นี่ไปเอามาฉันได้เพราะคุณของพระพุทธเจ้าไม่งั้นเค้าไม่ให้ ต้องเอาสตางค์ไปซื้อนะ ทีนี้มันได้มาเพราะคุณของพระพุทธเจ้าก็เลยมีพุทธานุสติ เมื่อจะฉันเมื่อกำลังฉัน มีพุทธานุสติ ก็เราไม่เคยทำ เมื่อไม่ได้บวชไม่เคยทำ นี่เราได้มากินฟรีนี่เราต้องแผ่เมตตา เพราะเราได้กินฟรีต้องไปใช้ชดเชยเค้าด้วยการแผ่เมตตาทำประโยชน์แก่ศาสนาแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง และก็มีการพิจารณาปฏิกูลและสัญญาว่าคนกินและของที่ถูกกินนี้เป็นปฏิกูล อันนี้เค้าเรียกว่าอสุภกรรมฐานและระลึกถึงความตายด้วย
(10:20) กรรมฐานรองบ่อนกรรมฐานพื้นฐานทั่วไปก็มีอยู่4อย่าง พุทธานุสติ เมตตาจะ อสุภัง มรณสติ ทำได้ดีในเวลาฉันอาหารก่อนจะฉันเข้าไปนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พุทธานุสติ และก็ทำความเมตตาแก่สรรพสัตว์เพราะว่าเราไม่ได้กินได้ด้วยอำนาจของเรา เมตตาจะ อสุภัง สัญญา มรณสติ ระลึกถึงความตายกันความประมาท คนที่ไม่รู้ธรรมะพูดบ้าๆบอๆตามความไม่รู้แต่กลับถูกอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งผมนั่งคุยกันกับเพื่อนบวชใหม่ด้วยกัน บวชใหม่ๆเหมือนคุณอย่างนี้แล้วมักจะคุยธรรมะกัน ไอ้คนหนึ่งมันมีปฏิภาณไวจนเราสู้มันไม่ค่อยได้ ว่ากินทำไมกินข้าวนี้มันก็บอกว่ากินเพื่อตาย มันกินเพื่อให้ตาย ผลที่สุดไอ้เราฝ่ายที่ว่ากินเพื่ออยู่แพ้มัน มันว่ากินเพื่อตาย ไอ้เรากินเพื่ออยู่ พอวิจารณ์กันข้างเราแพ้มัน มันถูกของมันว่ากินเพื่อตายเพราะว่าในที่สุดมันตาย อยู่มันอยู่เพื่อตายมันพูดอย่างบ้าๆบอๆอย่างไม่ใช่ธรรมะในคัมภีร์ นี้เราคิดว่ากินเพื่อตายมันก็มีปัญหาต้องกินให้มากเข้าไว้ เพราะว่าเรากินกันน้อยๆ(นาทีที่ 12:54)
(13:15) คนสมัยนี้มีความเห็นตรงกันข้ามกับคนสมัยก่อน คนสมัยก่อนถ้าคิดถึงความตายเค้ารีบทำความดีให้มากก่อนตาย ทีนี้คนสมัยนี้เมื่อคิดถึงความตายว่าต้องตายแน่เนี่ย มันรีบกินรีบเล่นรีบเอาเปรียบคนอื่น นั่นคือความดี อย่างภาษิตของพวกที่ว่ากินดื่มร่าเริงเต็มที่วันนี้เพราะว่าเราอาจจะตายพรุ่งนี้ก็ได้ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น Eat drink and be merry, tomorrow we may die (นาทีที่ 13:59) พวกฝรั่งเค้าชอบพูด แต่คนโบราณเค้าถ้านึกถึงความตายรีบทำความดี พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อนึกถึงความตายแล้วก็ โลกาวิสัง ปาฌเห สันติเบกโข(นาทีที่ 14:20) ให้รีบละเหยื่อในโลกนี้เสีย แล้วหวังนิพพาน ชาวบ้านทั่วไปหรือพวกเทวดาเค้าพูดว่าถ้านึกถึงความตายแล้วก็รีบทำบุญทำดี พระพุทธเจ้าท่านไม่ค้านว่าผิดหรือถูก ท่านพูดเสียใหม่ว่า ถ้านึกถึงความตาย รีบละเหยื่อในโลกเสียแล้วไปหวังนิพพาน เหยื่อในโลกมีความหมายมาก เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง แม้ในชั้นสวรรค์วิมานก็เรียกว่าเหยื่อในโลกแล้ว หวังนิพพานคือจิตใจที่อยู่สูงเหนือสิ่งเหล่านี้
(15:42) มีทั้งสามชั้นสามระดับ หนึ่งว่าถ้านึกถึงความตายรีบกินรีบดื่นรีบร่าเริงเต็มที่เพราะพรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้ ชั้นสมัยนี้ชั้นโลกปัจจุบันนี้ ชั้นโบราณเค้าพวกหนึ่งว่ารีบทำดีเร็วๆก่อนเราจะตายเสีย ชั้นพระพุทธเจ้าว่ารีบคายเหยื่อในปากเสียแล้วหวังนิพพาน 2สัปดาห์ผ่านไปแล้ว เหลืออยู่อีก10สัปดาห์สำหรับผู้บวช3เดือน เรื่องก็ยังมีอีกมาก 2สัปดาห์แรกนี่จัดไว้เป็นธรรมเนียมให้รีบหัดไหว้พระสวดมนต์
รีบศึกษาวินัยส่วนเกี่ยวกับวินัยให้รีบเอามาอ่าน ใช้ทำวัตรสวดมนต์ให้รู้วินัยก่อน วินัยนั้นจำเป็นสำหรับผู้บวชใหม่ที่ยังไม่รู้ งั้นจะทำผิดหมดเพราะมันเป็นการตั้งต้นที่ผิดแล้วมันก็ผิดมากต่อไป บวชแทนคุณพ่อแม่ต้องให้พ่อแม่ได้ บวชสืบอายุศาสนาให้ศาสนาได้ บวชให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงก็ให้เปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงที่ดีก็คือว่าเห็นแก่ตัวน้อยกว่าเดิม ต่อไปนี้เป็นคนโลภยาก เป็นคนโกรธยาก เป็นคนเผลอสติยาก
(23:01) คลุกกันแล้วนี่อร่อยทั้งบาตร อร่อยกว่าไม่คลุกสำหรับผมรู้สึกอร่อยทั้งบาตรทั้งหมดเลย ให้หมากินก็เหมือนกับที่เรากิน ถ้าเรารู้สึกไม่สนุกไม่ชอบเป็นอยู่แบบนี้ก็ตัดบทซะหน่อยว่าทำเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า ว่าเราบวชอยู่นี่ทำเป็นที่ระลึก ที่ท่านฉันอย่างนี้ท่านนอนอย่างนี้ท่านอยู่แต่พื้นดินอย่างนี้ นี่เราทำเป็นที่ระลึกแก่ท่าน แต่ว่าอานิสงส์มีมาก ก็เป็นอยู่เหมือนผู้ใดความคิดจะเกิดเหมือนผู้นั้นได้โดยง่าย ช่วงบวช2-3เดือนนี้เป็นอยู่คล้ายๆพระพุทธเจ้ามาก ความคิดจะเกิดได้คล้ายๆกันมาก เรื่องกินเรื่องนอนเรื่องเป็นเรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม กับข้าวอาหารบ้านนอกมันมีเผ็ด คนที่ไม่เคยต้องระวังเผ็ดท้องเสียได้ ฝรั่งคนนั้นเค้าไปกินแกงฟักทองเข้าไป ค่ำลงท้องเดิน ถ้าจะมองให้ดีว่านี่เรากินเนื้อพระพุทธเจ้าก็ได้ มาจากพระพุทธเจ้าเหมือนที่พวก คริสเตียนกินเนื้อพระเยซู เค้ามุ่งหมายให้เกิดความจงรักภักดี อย่างเราคิดว่ากินเนื้อพระพุทธเจ้ามันมีความจงรักภักดี แล้วมันเหลวไหลไม่ได้ มันขยันขันแข็ง เสียสละมันอุทิศ ทำในใจเหมือนว่ากินเนื้อพระพุทธเจ้า อย่างที่ท่านสอนไว้ว่ากินเนื้อลูกตัวเองที่ตายกลางทะเลทราย เดินทางข้ามทะเลทราย หลงออกไม่ถูกจนลูกตาย ยังแต่ตัวเองจะตายต้องกินเนื้อลูก ประทังชีวิตไปพลางร้องไห้ไปพลาง
(31:12) อย่างนี้มันอร่อย นึกไปในทางกินเนื้อลูกมันจะพาลก็นึกไม่ออก เพราะมันอร่อย ไม่เหมือนกับผัวเมียคู่นั้นต้องกินเนื้อลูก ให้หัดฝึกหัด ไอ้เรื่องที่เราต้องทำในใจเวลาเป็นพระนี้ ไม่อาจจะไปทำเมื่อเวลาเป็นฆราวาสเวลามันไม่ค่อยพอ จึงต้องทำเสียเดี๋ยวนี้แล้วทำให้ชิน ถ้าทำให้ชินมันจะกินเวลาน้อย ระหว่างบวชนี้หัดนึกด้วยความเมตตาๆจริงๆให้มันชินๆ พอว่าเมตตามันก็เมตตาแล้ว พอสึกไปบ้านพอเมตตาก็เมตตาแล้วจริงๆ เพราะว่าเป็นพระนี้เค้าสอนให้เมตตา ให้มันลึกลงไปๆลึกลงไปๆพอจะนอนต้องแผ่เมตตา ไอ้กิจวัตรเมื่อจะนอนมีหลายอย่าง อย่างหนึ่งก็คือเมตตา จะต้องคิดวิธีใดก็ตามที่ตัวสามารถจะคิดได้ จนเกิดความรู้สึกเมตตาในสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย อย่างน้อยที่สุดให้เมตตาพ่อแม่ที่แก่ชราลงทุกวันนี่มันง่ายหน่อย เมตตาคนอื่นมันลำบาก เมตตาสัตว์ทั้งหลายก็ยิ่งลำบากทำไม่ค่อยเป็น ให้เมตตาตัวเองมีคนพูดสอนให้แผ่เมตตาตัวเองก่อนนี้ผมไม่เห็นด้วย มันต้องเมตตาไอ้คนที่เค้ากำลังจะตายหรือมีความทุกข์
(36:06) พ่อแม่รักเราอย่างน่าสงสาร ฟังยาก พ่อแม่รักเราอย่างน่าสงสารก็คือ จะเรียกว่าความโง่ความอะไรของพ่อแม่ก็ตามใจ แต่พ่อแม่รักเราอย่างที่น่าสงสารที่สุด แล้วเราก็ไม่ได้รักพ่อแม่มากเท่านั้น ในเวลาที่เราเป็นเด็กหรือเป็นหนุ่มอย่างนี้ จนกว่าเราจะเป็นคนแก่เสียก่อนเราถึงจะรู้ว่าเออ พ่อแม่รักเราอย่างน่าสงสารที่สุด คนหนุ่มๆอย่าเพิ่งอวดดีว่ารู้บุญคุณพ่อแม่ มันเห็นแต่ความเอร็ดอร่อยส่วนตัวมันจะเห็นบุญคุณของพ่อแม่ไม่ได้ ก็มองดูให้ลึกซึ้ง แล้วเราอายุก็มากก็จะเห็นว่าความรักของพ่อแม่นี่รักอย่างน่าสงสารที่สุด เอาอะไรก็ได้ ต้องการอะไรก็ได้ จนกระทั่งทำผิดทำเลวก็ยังได้ มันรักมากเกินไป พ่อแม่ที่เก่งที่จะรัก รักได้พอดี พ่อแม่โดยทั่วไปจะรัก รักด้วยความรักที่เกินพอดี มันรักด้วยอำนาจสัญชาติญาณ สัญชาติญาณก็รักอย่างที่ว่ายอมตายไม่ให้ลูกตายก็มีอยู่มาก คือลืมกลัวตายของตัวเองต่อสู้เพื่อลูก ลูกหมีตัวนี้ก็ได้ยินว่า แม่มันต่อสู้จนถูกยิงตาย มันไม่ยอมทิ้ง เค้าจับลูกมันมาลูกหมีตัวนี้ด้วยสัญชาติญาณของแม่
(38:54) งั้นเราต้องรู้บุญคุณของพ่อแม่ที่รักเราอย่างน่าสงสาร สนองคุณพ่อแม่ให้ถึงขนาดให้เหมาะสม เราควรตายเพื่อพ่อแม่ไหมแม้ว่ามันไม่ตรงกับความประสงค์ของเรา แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีทางจะขัดความประสงค์พ่อแม่ก็รักเรา เราก็อยากจะทำเหมือนที่พ่อแม่ต้องการให้ทำอย่างนี้ มันไปด้วยกันได้ พูดแล้วเดี๋ยวจะว่าผมพูดไม่จริง ผมจะพูดว่าที่คุณได้มาพบกับผมที่นี่ มานั่งอยู่ตรงนี้ ด้วยอำนาจที่ผมรักแม่ บวชนี่เพราะบวชเพราะแม่ ผมไม่อยากบวชเลย ไม่ได้อยากบวชเลยแม้สำหรับ...(นาทีที่ 40:34) เพราะคิดว่าไม่บวชก็เรียนรู้ เพราะผมอ่านหนังสือก่อนบวช บวชเพราะความต้องการของแม่100% บวชแล้วมันถึงค่อยคิดว่าโอ้ อะไรดีมีอยู่มาก ยังไม่อยากสึก แต่เมื่อบวชเพราะความต้องการของแม่ทั้ง100%เลย พ่อตายนานแล้ว วิธีทำไอ้กิจการที่เรียกว่าคณะธรรมทานนั้นก็เป็นความประสงค์ของแม่ เป็นผู้กระตุ้นเป็นผู้ต้องการเป็นผู้พอใจ จึงเกิดสวนโมกข์อย่างนี้ขึ้นมา มันมาแต่แม่ ถ้าไม่เกิดสวนโมกข์เราไม่ได้มาพบกันแล้ว ผมจะอยู่ยังไงก็ยังไม่รู้ เดี๋ยวนี้มันเกิดสวนโมกข์ กิจการก็อยู่อย่างนี้ จนเราได้มาพบกัน ไม่ได้แต่งหลอกเล่น ที่เรามาพบกันได้อย่างนี้เพราะอำนาจความที่บุคคลคนหนึ่งรักแม่
(42:07) ความคิดที่จะทำเพื่อ เพื่อดีของตัวเพื่อชื่อเสียงของตัวเพื่อศาสนา พวกนี้มาที่หลัง เมื่อก่อนนี้ไม่ได้เคยคิดมันเกิดเมื่อบวชแล้ว แล้วบวชนี่ก็เพราะความประสงค์ของคนคนหนึ่ง ผมมันเป็นอย่างจีนๆมันมีเชื้อสายเป็นจีนไอ้สิ่งที่มันเน้นกันที่สุดก็คือความกตัญญู ตามแบบจีนมันเน้นที่สุดคือเรื่องความกตัญญู มันติดอยู่ในสายเลือด ทีนี้ฝ่ายข้างตาข้างยายมันก็เป็นพุทธบริษัทที่เคร่งครัดมันเป็นไทยแท้ ฝ่ายข้างปู่ข้างทางนี้เป็นเชื้อจีนเป็นหลานจีน วัฒนธรรมไทยวิเศษที่สุดคือความกตัญญูไม่งั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น เห็นแก่ตัวเห็นแก่กิน เห็นแก่สนุกสนานเอร็ดอร่อย แล้วมันก็ตายไปมันจบกัน มันเลิกกันมันคิดเท่านั้นไม่คิดยืดยาว ถ้าเป็น พุทธบริษัทแท้จะกตัญญูต่อพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ก่อน เมื่อเด็กๆโยมผู้หญิงจะบอกให้ฟัง แต่เดี๋ยวนี้ก็จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้เสียแล้วแต่รู้โดยความหมายว่า
(44:33) จะใน100หรือ108คะแนน พระพุทธเจ้ามีบุญคุณแก่เราตั้ง58หรือ56คะแนน พระพุทธเจ้ามีบุญคุณ58หรือ56ไปถึงพระธรรมไปถึงพระสงฆ์ไปถึงบิดามารดาครูบาอาจารย์ นี่เหลือคนละ2-3คะแนนแล้วนะ ลองไปถามคนแก่ๆดูก็ได้ เดี๋ยวก็ตายจะตายกันซะหมด พระพุทธเจ้ามีคุณเท่าไหร่ พระธรรมมีคุณเท่าไร พระสงฆ์มีคุณเท่าไร บิดามารดาเท่าไร ครูบาอาจารย์เท่าไร เยอะแยะไปหมดเลย กระทั่งเหลือแค่1คะแนนหรือไม่กำหนด แล้วมันจึงฝังลงสายเลือดกตัญญู เค้าก็ไม่ต้องรู้อะไรมาก เค้ากตัญญูเค้าทำทุกอย่างเพื่อพระพุทธเจ้า เพื่อพระธรรม เพื่อบิดามาราดา แต่ถ้าเป็นอย่างจีนดูจะไม่ได้มีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เข้ามาแทรก พ่อแม่เท่านั้นแหล่ะ พ่อแม่คำเดียว กตัญญู ต้องมีบุญคุณ100เลย100คะแนนเลย ลูกหลานต้องมอบชีวิตให้เลย ถ้าไอ้ความรู้สึกกตัญญูอยู่ละก็รับรองได้ ไอ้คนนั้นจะไม่เสียหายจะไม่ล่มจม คือมันไม่ทำอะไรให้ผิดจากความประสงค์ของความกตัญญู
(46:25) เดี๋ยวนี้เด็กๆของเราไปอ่านหนังสืออย่างของฝรั่ง หนังสืออย่างให้กตัญญูให้ซื่อสัตย์อย่างของจีนของไทยนี้ไม่อ่านกันแล้ว อันนี้เป็นเรื่องน่าหัว เรื่องของฝรั่งก็มีฉลาดเอาประโยชน์ได้มากถือว่าเก่ง ฝรั่งเดี๋ยวนี้ หมายถึงฝรั่งเดี๋ยวนี้ ไอ้หนังสือที่ดีๆของเค้า เค้าเก็บกันเสียหมดแล้วไปอยู่พิพิธภัณฑ์ก้นตู้ แต่พวกฝรั่งเค้าก็ไม่เน้นความกตัญญูมากเท่าจีนความกตัญญูความสัตย์ซื่อนี้พวกฝรั่งมีน้อยมากแม้ในสมัยดึกดำบรรพ์ พวกจีนพวกอินเดียมีมาก หายใจเป็นความสัตย์ซื่อ ความกตัญญู พวกฝรั่งเค้ายิ่งเก็บซะหมดเดี๋ยวนี้เอาแต่เทคโนโลยีแบบเรียนสอนอ่านลูกเล็กๆก็มีปรมาณูเรื่องอวกาศแล้ว แบบสอนอ่านสมัยผมเรียนมันมีเรื่องธรรมจริยา เรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนา เรื่องนิทานอิสป เรื่องนิทานสุภาษิตเรื่องศีลธรรม เรื่องม้าอารีมันติดหูติดตาอยู่กระทั่งบัดนี้เรื่องม้าอารี ไอ้วัวก็ไปขอนอนจนวัวมันเบียดจนม้าจนต้องออกไปตากฝนอยู่ นี่เรื่องม้าอารี นิทานสุภาษิตหนังสือสอนอ่าน อ่านตั้งแต่แรกทีเดียว ประถม1ประถม2 นี่ผมเห็นหนังสือสอนอ่านreader เล่มแรกๆก็มีเรื่องอะตอมเขียนเป็นรูปภาพให้เห็นชัดเลย ผมก็พลอยได้รู้เรื่องไปกับเค้าไปด้วย เป็นหนังสือสอนอ่านของเด็ก เป็นเทคโนโลยีหลับหูหลับตาเข้ากระดูก เรื่องศีลธรรมเรื่องกตัญญูเรื่องอะไรจึงไม่มี เค้าจึงว่าพวกฝรั่งไม่เลี้ยงพ่อแม่ที่แก่เฒ่าไม่เหมือนพวกเรา แต่เค้าก็ถือนั้นทำถูกแล้ว ดีแล้ว สมควรแล้วเต็มที่แล้ว พ่อแม่แก่เฒ่าแล้วปีหนึ่งไปเยี่ยม2-3หนก็พอแล้ว
(49:14) นั้นอย่ามีชาติไหนกันดีกว่า อย่ามีชาติไหนศาสนาไหนกันดีกว่า มีแต่ตัวคุณธรรมกันดีกว่าความสัตย์ซื่อความกตัญญูมาก่อนสำหรับเด็กๆ ก็มีความรักพ่อแม่อย่างชีวิตจิตใจและก็รักครูบาอาจารย์อย่างชีวิตจิตใจและก็รักเพื่อนฝูงที่ดี พอมารู้เรื่องพระพุทธเจ้าว่ามันมีบุญคุณแก่ทุกคนก็เลยรักพระพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้ามีบุญคุณแก่พ่อแม่ของเราแก่ครูบาอาจารย์เพื่อนฝูง ก็เลยรักพระพุทธเจ้า ทีนี้ก็ทำอะไรผิดไม่ได้ ไอ้เรื่องมาบวชนี้ควรจะได้ฝึกเรื่องอย่างนี้ด้วยให้ถือพระพุทธเจ้าเป็นสารณด้วยชีวิตจิตใจที่จริงๆ ให้เราว่า พุทธัง สรณัง คัทฉามิ มาตั้งแต่เล็กๆน่ะมันมาก มากแต่ปาก
(50:20) เดี๋ยวนี้มาบวชเณรบวชพระนี้ก็ให้รับ พุทธัง สรณัง คัทฉามิ อีกนั่นแหล่ะบทนั้นแหล่ะ แต่ความหมายมันเปลี่ยน ความหมายมันลึกซึ้งกว้างขวาง เดี๋ยวนี้ พุทธัง สรณัง คัทฉามิ กันด้วยจิตใจทั้งหมด ด้วยมองเห็นว่ามันครอบคลุมหมด นั้นการที่สวดมนต์เช้าเย็น พุทธัง สรณัง คัทฉามิ ก็ให้ความหมายถึงขนาด อย่าเหมือนเด็กๆมารับพิธีพุทธมามกะ หรือว่ารับศีลรับอะไรตามธรรมเนียมประเพณี นี่ก็รวมอยู่ในพวกที่ว่าต้องทำจิตใจให้สว่างไสว บวชมาทีหนึ่งนี้ ต้องมีได้2อย่างคือบังคับไอ้ความรู้สึกของกิเลสเนี่ยได้ และให้รู้แจ้งธรรมะที่ควรจะรู้ มันทำยากพอๆกัน ให้รู้แจ้งธรรมะอันละเอียดที่ควรจะรู้มันยากอย่างละเอียดประณีตสุขุม ทีนี้ส่วนบังคับกิเลสบังคับเนื้อตัวนี้มันยากอย่างหยาบคาย ต้องทนต่อความเจ็บปวดนี้มันก็ยากเหมือนกัน ไม่ลึกซึ้งสุขุมไปหน่อยแต่มันยากลำบากที่จะทนกับมัน
(51:48) เรื่องกินเรื่องเล่น เรื่องที่เราเคยสะดวกสบาย เดี๋ยวนี้ต้องบังคับแล้ว กินเนื้อลูกกลางทะเลทรายนี้ถ้าทำจริงบังคับสุดๆเลย ถ้าทำไม่จริงทำหลอกๆไม่มีปัญหาอะไร เรายินดีเอาแบบจริงๆเรื่องบังคับ ธรรมะขันติ ธรรมะบังคับ ขันติอดทน เป็นเพื่อนกันจึงจะอยู่ได้ ไปรอดได้ บังคับมันเจ็บปวด เจ็บปวดก็ต้องทน ทน ทน ทนได้ก็บังคับได้ มันก็เลี้ยงกันอยู่นี้ การบังคับกับความอดทน ยังมีสัจจะความจริงใจมาช่วยอีก และก็มีระบาย ไอ้สิ่งที่ระบายออกมาก็ได้อีก ก็ทำกันไปได้เรื่องบังคับ เรื่องนี้ไม่พูดอีกก็ได้เขียนไว้ละเอียดแล้วในหนังสือ เรื่องฆราวาสธรรมที่ดี ต้องมี สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ แต่ใจความสำคัญมันไปรวมอยู่ที่คำคำเดียวคือบังคับตัวเองให้ได้ นับตั้งแต่อย่าให้เห็นแก่กิน อย่าให้เห็นแก่เอร็ดอร่อย ตั้งแต่ว่าอย่าต้องนอนสาย อย่าต้องสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นความเคยชินทั้งนั้น ไม่มีอะไร อย่ากลัวลำบากที่จะมานั่งกลางดินเวลาดึกๆ แม้ฝนตกแม้อะไรก็ตาม ผมเคยทำมาแล้วทั้งนั้นแต่ว่าเดี๋ยวไม่ได้ทำให้เห็น ไม่ได้ทำให้ดูเพราะมันแก่ หรือมันไม่ค่อยจะมีความจำเป็น
(53:52) แต่เรื่องอดทนนี้เคยเจอมาก นับไม่ไหว เคยลองที่ได้ยินได้ฟังมาหรือที่ได้อ่านในพระคัมภีร์ เคยลองเคยอดทน เรื่องแดดเรื่องฝนเรื่องไม่ง่าย(นาทีที่ 54:09) ก็เคยอดทน ครั้งแรกก็แย่ แทบจะเลิกความตั้งใจ พอนานเข้ามันก็เป็นของที่ทำได้ ทำได้แน่นอนมากขึ้นๆ ก็เรายังเป็นพวกหัวเก่าธรรมเนียมเก่า เมื่อ30-40-50ปีมาแล้ว มันมีธรรมเนียมเก่ายังเชื่อฟัง ไม่ใช้ความคิดเห็นตัวเอง ความเชื่อฟังอาจารย์นี่ดีมาก และความที่อยากจะดีเองด้วยมันก็รวมกัน เพราะถ้าเชื่อฟังอาจารย์มันจะทำดี อยากจะดีอยากจะเด่นด้วย ถ้าทำดีทำให้เด่น มันเลยง่ายมันเลยเป็นการกระทำที่ง่าย และเมื่อทำเป็นธรรมเนียมแล้วมันยิ่งง่าย พอถึงวันเข้าพรรษา ก็ถือธุดงค์เป็นธรรมเนียม พระเณรมาบอกกันเองไม่ต้องมีใครมาบังคับ ระเบียบอะไรบ้างก็ต้องทำแล้ว
(55:25) การแสดงอาบัติการทำอะไรต่างๆนี่มันเป็นธรรมเนียมไป เดี๋ยวนี้มันทำยากเพราะว่าคนหนุ่มๆสมัยนี้มันรู้อะไรมาก ในทำนองที่ให้เห็นไอ้อย่างนี้งมงาย ว่าที่ทำอย่างนี้มันงมงายไม่ได้ประโยชน์อะไร ทั้งที่มาบวชนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาพุทธศาสนาไปใช้ประโยชน์อะไร ก็ยังมีความคิดอยู่ว่าพุทธศาสนาถ่วงความเจริญทำให้ล้าหลังอยู่อย่างนั้น มันก็ยังพูดกันอยู่อย่างนั้น แม้ตัวเองก็มาบวชแล้วก็ยังพูดว่าพุทธศาสนาถ่วงความเจริญ ไม่ทำความก้าวหน้า เรียกว่ามันรู้เรื่องพุทธศาสนาผิด
(56:12) รู้หัวใจพุทธศาสนาผิด เรื่องความไม่ยึดมันถือมั่น เรื่องจิตปล่อยวางนี้ ไม่รู้ทั้งนั้นแหล่ะ ก็เลยเห็นเป็นเรื่องขัดขวางความเจริญ ที่จริงเรื่องนี้เค้าต้องการให้ไม่มีความทุกข์ในการทำความเจริญก้าวหน้า ทำความเจริญก้าวหน้าก็ทำไป แต่มันไม่มีปัญญาที่จะทำจิตใจไม่ให้หม่นหมองหรือเป็นทุกข์ นี่พุทธศาสนาแทรกเข้ามาส่วนนี้ ส่วนจิตใจไม่เศร้าหมองไม่เป็นทุกข์ กลับทำได้ดีสนุกสนานด้วย ได้ผลทางธรรมะด้วย ทางวัตถุด้วย ถ้าต้องการพุทธศาสนากันในรูปนี้ละก็ถูกแล้ว ถ้าไม่นั้นก็มาละเมอๆอยู่นี้ ไม่รู้ต้องการอะไร ในใจก็เชื่ออยู่ว่าไอ้หลักธรรมะในพุทธศาสนามันถ่วงความก้าวหน้า ถ่วงความเจริญ หารู้ไม่ว่าเค้ามีไว้เพื่อจะกำจัดความทุกข์ที่มันจะเกิดขึ้นในการเป็นฆราวาส ที่จะทำความเจริญในความเป็นฆราวาส เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวบันดาลโทสะ เดี๋ยวสะเพร่าเดี๋ยวขี้ลืม เดี๋ยวฉุนเฉียว เดี๋ยวหุนหัน เดี๋ยวโลภเกินที่มันควรจะโลภ พอไม่ได้อย่างใจก็เสียใจร้องไห้ ยิงตัวตายนี้ มันเกิดมาบ้า
(57:47) พุทธศาสนาต้องการจะช่วยสะสางปัญหาที่เรื่องทางโลกมันแก้ไม่ได้ การทำมาหากินก็เรียนไปเถอะว่าเรื่องโลก แต่ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์พร้อมๆกันไป เรื่องโลกมันช่วยไม่ได้ มันไม่เคยเรียนมันไม่เคยรู้ จบปริญญายาวเป็นหางแล้วยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี่ลูกศิษย์ของฝรั่งเป็นซะอย่างนี้ ถึงเราก็เป็นพุทธบริษัท พ่อแม่ก็โง่ๆแต่รู้ว่าเกิดมาทำไม เพราะพ่อแม่เค้าบอกว่าเกิดมาทำไมตามพระพุทธเจ้าว่า เอาความรู้ที่มันยังขาดอยู่ไปเพิ่มให้ความรู้ที่มีอยู่แล้ว ให้มันสมบูรณ์ ผมจึงว่าเวลาของคุณมีไม่มาก 3เดือน 12สัปดาห์ เดี๋ยวนี้คุณได้ใช้ไป 2สัปดาห์แล้ว เหลวไหลกันกี่มากน้อยก็ไม่รู้ผมไม่รับผิดชอบในตอนนี้ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เวลามันล่วงไป2สัปดาห์แล้ว สำหรับ 1พรรษาจะต้องฝึกหัดในเรื่องเบื้องต้นให้ได้ ทั้งในความรู้และการบังคับตัว เรื่องหิวข้าวตอนเย็น เรื่องเงี่ยนบุหรี่เรื่องนี้มันควรจะหมดแล้ว เพราะมันล่วงมา2อาทิตย์แล้ว นี้ควรจะทำต่อไปเป็นเรื่องที่ไกลออกไปกว่านั้นยากไปกว่านั้น ให้ถึงระดับที่เรียกว่าบวชทีไม่เสียทีบวช พ่อแม่ก็ไม่ผิดหวังใครๆก็ไม่ผิดหวัง
(59:50) ในสัปดาห์ต่อไปก็คิดว่าจะมีการบรรยายที่แน่นอน จะบรรยายทุกวันวันละครั้ง แต่อย่าถือว่ามันจะสำเร็จได้เพราะฟังบรรยายนั้นไม่ได้ ต้องปฏิบัติบังคับตัวเองอยู่เสมอ ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอ ต้องฝึกทำในใจอยู่เสมอ เช่น ระลึกถึงพระพุทธเจ้า แผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง เห็นความไม่น่าหลงใหลของสิ่งทั้งปวง นึกถึงความตายให้มาเร่งให้รีบทำความดีต้องอย่างนั้น ต้องนึกอย่างนั้นอยู่เป็นตลอดเวลาเลย นั่นแหล่ะมันจะช่วยได้ การฟังปาถกฐาบรรยายนี้มันช่วยอะไรไม่ได้โดยแท้จริง มันสำหรับรู้แล้วไปกระทำอีกทีหนึ่ง มีบางอย่างก็ให้รู้ล่วงหน้าไว้ นี่คนไม่เข้าใจหวังแต่ที่จะฟังมาก ฟังมากๆ แทนที่จะต้องควบคุมจิตใจบังคับจิตใจให้มากนี่ไม่ค่อยหวัง เลยไม่ค่อยได้ผล มาบวชทีหนึ่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เราต้องได้ตัวที่แท้จริงคือตัวการเปลี่ยนแปลงของสันดานนิสัย จิตใจ มารยาทต่างๆความกระด้างจองหองอวดดี สะเพร่า เผอเรอนี้จะต้องหมดไปในการบวชคราวนี้ ต้องอดกลั้นอดทนของที่มันรบกวนเส้นประสาท การติดในรสอร่อยทั้งหลายนี้ก็ต้องบังคับได้ นี้สำคัญคือตัวบวชที่แท้จริง ตัวฟังบรรยายวันละครั้งไม่มีค่าในเมื่อเอามาเทียบกับการปฏิบัติที่แท้จริง
(62:11) แต่มันก็มีค่าไปตามแบบของมัน ช่วยกันสืบความรู้เอาไว้ การปฏิบัติก็ปฏิบัติไป ความรู้ก็ช่วยกันสืบเอาไว้ ที่ผมทำได้เป็นพิเศษหน่อยก็คือว่าอธิบายไอ้เรื่องที่ไม่เข้าใจให้มันเข้าใจ แต่แล้วก็ต้องไปปฏิบัติอย่างเดิม สำหรับสวนโมกข์นี้ก็มีพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือได้อยู่กับธรรมชาติ ถ้าบวชที่อื่นคงจะมีโอกาสน้อยที่จะได้นั่งกลางทรายอย่างนี้หรือว่าอยู่กับต้นไม้ก้อนหินแบบนี้มันมีโอกาสน้อย ทีนี่มันก็มีโอกาสเป็นอยู่เหมือนพระพุทธเจ้าได้ง่ายขึ้น อย่างนี้ผมเรียกเป็นภาษาสากลว่าเป็นเกลอกับธรรมชาติ แต่ความหมายเดียวกันที่ว่าอยู่อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอยู่ อยู่อย่างเป็นเกลอกับธรรมชาติ จำคำนี้ไว้จะรอดตัว กลับไปเป็นฆราวาสแล้วเป็นใหญ่เป็นโตเป็นอะไรแล้ว ก็อย่าลืมเป็นเกลอกับธรรมชาติ อย่าลืมว่าเรามันเป็นเกลอกับธรรมชาติ ถ้าลืมแล้วก็จะยุ่งนะ พอเรามานั่งกับก้อนหินกับต้นไม้นี้ กระแสจิตก็มันไหลไปตามอำนาจอิทธิพลของสิ่งเหล่านี้
(64:05) เราไปนั่งที่โรงหนังโรงละครอะไรที่ฟุ่มเฟือยนั้น จิตของเราก็ไหลไปตามอิทธิพลของสิ่งเหล่านั้น มันต่อสู้ยาก มาทำอย่างนี้กันก่อนดีกว่าให้ก้อนหินนี่เป็นครู ต้นไม้เป็นครู ธรรมชาติเป็นครู ให้มันรู้ในส่วนลึกของธรรมชาติเสียทีหนึ่งก่อน แล้วค่อยไปรู้ในสิ่งที่มันไกลธรรมชาติ ผิดธรรมชาติหรือธรรมชาติที่มันหลอกลวงมากขึ้น ธรรมชาติอย่างนี้ไม่ค่อยหลอกลวง ฉะนั้นการบวชมันจึงเหมือนกับการมาหาอะไรสักอย่างที่มันเป็นเครื่องรางหรือเป็น..แล้วแต่จะเรียกเป็นเครื่องป้องกัน เป็นวัคซีนป้องกันโรคทางจิตใจ ฉีดวัคซีนของพระพุทธเจ้าป้องกันโรคทางจิตใจเอาไว้ตลอดเวลาที่บวชอยู่ทุกวันๆทุกวัน ป้องกันหนทางที่เกิดกิเลส หรือว่าป้องกันไอ้พญามารได้ บวช3เดือน อยู่12สัปดาห์ คุณใช้มันไป2สัปดาห์แล้วอย่างที่ขาดทุนหรือได้กำไรแล้ว ไปคิดดู บวช 3เดือน โกนหัว 6ครั้ง วันนี้ก็จะต้องโกนหัวครั้งที่1แล้ว มันจะมีอะไรถูกต้องกี่มากน้อย นึกถึงความตาย หรือว่านึกถึงความสุขเมื่อลาสิกขาก็ตามแต่ ต้องรีบ รีบทำสิ่งที่ต้องทำ ไม่ใช่รีบกิน รีบดื่ม รีบอร่อยเต็มที่เพราะว่าพรุ่งนี้เราจะตายแล้ว วันนี้ก็พอสมควรแก่เวลาสายมากแล้ว นิมนต์