แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คนโรคเรื้อนมาพบกันเข้าก็เลี้ยงคนโรคเรื้อน นิ้วของคนโรคเรื้อขาคลงไปในบาตร คนเขารังเกียจจะกินก็ตามใจ ไอ้นิ้วเน่าของคนโรคเรื้อนขาดลงไปในบาตร ท่านก็ยังฉัน ต้องพิจารณาความเป็นธาตุ เป็นปฏิกูล ยถาปตยังอย่างมากถึงจะฉันได้ ฉะนั้นลองคนโรคเรื้อน เราไม่ต้องถึงอย่างนั้น มีเรื่องให้เกี่ยวกับทานจะได้มาฉัน ว่าอย่าก้มหน้าฉัน พระสารีบุตรท่านว่าท่านไม่ก้มหน้าฉัน คุยกับบริภาสกผู้หญิงคนนึง ไม่แหงนหน้าฉัน ไม่ส่ายหน้าฉัน ก้มหน้าฉันคือเป็นหมอดูเป็นต้น คือก้มหน้าเขียนกระดานชนวนแล้วก็ได้ลาภได้สักการะอาหารมาฉัน อย่างนี้เรียกว่าก้มหน้าฉัน นี่เกี่ยวกับการคำนวนฤกษ์ยามบนฟ้า แหงนหน้าดูฟ้า ทำนายทายทักได้ของมาฉัน เรียกว่าแหงนหน้าฉัน พวกส่ายหน้าฉันดูเหมือนว่าดูนั่นดูนี่ ไปดูหลายๆอย่าง ดูผ้าหนูกัด ดูทิศนั้นทิศนี้ คิดดีคิดร้ายที่เขาว่าส่ายหน้าฉัน ก็ดูรอบๆ เหลียวส่ายไปส่ายมา แล้วยังมีอะไรอีกจำไม่ค่อยได้ แต่รวมความแล้วมันเป็นอย่างนี้ มีในบาลี อย่างนี้มีในบาลี มีในพระไตรปิฎกเอง บริภาสกผู้หญิงคนนั้นก็เลยเลื่อมใส เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ไปป่าวประกาศว่าสาวกในพระพุทธศาสนาของพระศาสนโคดมนี้ไม่ก้มหน้าฉัน ไม่เงยหน้าฉัน ไม่แหงนหน้าฉัน ไม่ส่ายหน้าฉัน ท่านทั้งหลายจะบำพ็ญบุญในทักขินัยบุคคลนี้ หมายความว่าให้บิณฑบาตรอย่างบรรพชิต อย่างภิกษุเขาให้ในฐานะที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก ต้องเข้าใจแม้บวชสองสามวันนี้ก็ต้องทำตัวให้ถูกตรงตามเรื่อง ก็เป็นเนื้อนาบุญของโลกหมด ข้างหน้าประพฤติดีประพฤติชอบสืบอายุพระศาสนา แม้บวชในวันแรกก็มีความสมควรที่จะได้รับอาหารบิณฑบาตรหรือปัจจัยสี่จากประชาชน อย่าหวังที่จะได้แม้จากบิดามารดา หรืออย่าหวังที่จะได้จากการประพฤติอเนสนา แสวงหาไม่สมควร รวมเรียกเป็นว่าแสวงหาไม่สมควร แหงนหน้าฉัน ส่ายหน้าฉัน เงยหน้าฉัน นั้นแหละแสวงหาไม่สมควร เดี๋ยวนี้ธรรมในใจว่าฉันของพระพุทธเจ้า เหมือนกับว่า ฉัน ของสมบัติของพระพุทธเจ้าเราได้รับ บางทีจะคิดให้ลึกซึ้งจะเหมือนฉันเลือดของพระพุทธเจ้าเลยก็ได้ ฉันเนื้อฉันเลือดของพระเยซู พวกคริสต์เตียนเขาฉันขนมปังกับน้ำองุ่น ในพิธีสัญญาสาบานอะไรนั้น อย่างนั้นแบบชาวบ้านทั่วๆไปเขาทำพิธีสาบาน ได้มาจากพระพุทธเจ้า เป็นอยู่ได้มีชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยธรรมะ ชีวิตอยู่ได้ด้วยธรรมะ ธรรมะเป็นเลือดเป็นเนื้อของพระพุทธเจ้า ธรรมรทานนิ ที่ได้มาโดยธรรมอาหารที่ได้มาโดยธรรม โดยอำนาจของธรรม ธรรมิกานิ ประกอบอยู่ด้วยธรรม ที่ว่าเราประพฤติธรรมอยู่ตลอดเวลาจึงได้มา ธรรมรทานนิได้มาโดยธรรม ประกอบอยู่โดยธรรม ธรรมคือพระพุทธเจ้าที่เป็น ประกอบอยู่ในธรรม อย่างนี้มันไกล มันไกลกว่าที่จะ ที่ว่ากินปลาหรือว่ากินผัก กินเนื้อหรือว่ากินผัก แล้วมันไกลกว่าที่ว่า ทำอาชีพอะไรได้มา ถ้าต้องการชัดว่าเคี้ยวอยู่ฉันอยู่เคี้ยวอยู่มีจิตประกอบด้วยธรรม พอรู้สึกอร่อย อร่อยหรือพอใจ อย่างนี้ไม่ประกอบด้วยธรรมละ อร่อยหรือพอใจอย่างนี้ไม่ประกอบด้วยธรรมละ ไม่ปกติ ปกติรู้สึกเหมือนอย่างที่เราพูดกันวันแรก เนื้อรูปกลางทะเลทรายไม่ต้องอร่อย นี่พอไม่อร่อยก็ขัดใจ นี่ก็ไม่ประกอบด้วยธรรม เมื่อมาฝึกฝนจิตไม่ให้ยินดีเมืออร่อย ไม่ให้ยินร้ายเมื่อไม่อร่อย ไอ้เวลากินอาหารนั้นให้คิดเหมือนกับว่าเวลาเราหยุดรถเติมน้ำมัน ไม่ใช่เวลาอันแท้จริงของชีวิต เวลาที่แท้จริงของชีวิตเหมือนกับเวลาที่รถมันวิ่ง รถยนต์นั่นมันวิ่ง นั่นจะเป็นเวลาตัวจริงของชีวิต พอถึงเวลาต้องหยุดเติมน้ำมันเครื่องบ้าง เติมน้ำมันเชื้อเพลิงบ้างนี้ มันชื่อว่าเวลาเติม เวลานี้มันไม่ใช่เวลาตัวจริงของชีวิต อย่าไปพิสมัยมาก ถ้าเห็นเป็นเวลาสำคัญ เป็นเวลาชีวิตแล้วก็เป็นชาวบ้าน เหมือนพวกชาวบ้าน จีนไทยแขกฝรั่งเป็นอย่างไร การกินต้องมีความสวยงามต้องมีพิธีรีตรอง เอาเวลานั้นเป็นชีวิตก็เป็นชาวบ้านไป ให้พระเราเอาเวลานั้นเป็นเวลาเหมือนหยุดเติมน้ำมัน แล้วไปเร็วๆ หยุดเติมน้ำมันหรือหยดน้ำมันแล้วไปเร็วๆ ไอ้ให้วิ่งต่อไปเร็วๆ นั้นคือชีวิต คือถ้าไปเกิดเอาเวลานั้นเป็นเวลามีค่า มี อะไรจะมาแล้ว เดี๋ยวจะหากินผิดทาง คือเห็นแก่ความอร่อยสวยงาม ที่ว่าอัตถวายะมัตวายะ มันจะซื้อมันจะหามันจะขอ มันจะทำอเนวานา ประจบประแจง เพื่อได้มากิน แล้วมันก็จะมีอย่างว่า คือน่ากินก้ม น่ากินส่าย น่ากินอะไรไปตามเรื่อง ไปหลงไหลเรื่องกิน
เขาอุปโลกให้หลวงตา มีการแบบนี้เขาก็อุปโลกให้หลวงตาโดยมาก โดยมากนะ ในวันที่เขาถวายมากด้วยเหตุใดก็ตาม แต่ในวันที่เขาถวายมาก เขาอาจร่ำรวยพิเศษ วันนั้นนะมันเป็นวันสอบไล่ คุณต้องระวังให้ดี ไอ้วันแบบนั้นเป็นวันสอบไล่ ที่หมีกินให้หมีกิน ที่หมากินให้หมากิน ที่หมาไม่กินให้เณรกิน ศาสนาอื่นลัทธิอื่นบางลัทธิในอินเดียยังเข้มงวดเคร่งครัดกว่าพวกเรามากเรื่องอาหาร การฉัน เป็นเรื่อง ฝึกจิตใจเสียจริงๆ บางเวลาเราจะลองดูก็ได้ ไม่ใช่ยึดถือ เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ บางเวลาฉันอาหารแบบตบหน้ากิเลสดูบ้าง โดยมากกิเลสตบหน้าเรา บางวันฉันอาหารแบบตบหน้ากิเลสดูบ้าง อาจารย์ของผม อาจารย์ปลัดนี่เค้าเล่าก็ไม่หมด บางทีเห็นแกงนี้อร่อยมาอีกแล้วโว้ย น้ำเติมไปเลย เพราะรู้ว่าอร่อยน้ำเติมเลย แล้วก็ต้องฉันเลยนะ ไม่ใช่เติมทิ้ง คนโบราณเขาไม่ค่อยมีความรู้มาก แต่เขามีความจริงมาก จึงรอดตัวมา พวกนิกรก็มีกฎมากมายเดี่ยวกับฉัน เริ่มตั้งแต่ให้ตบหน้ากิเลสทุกแง่ทุกมุม ถ้าแมลงวันตอมเขาไม่ฉันไม่ใช่เพราะว่ารังเกียจแมลงวันมันแย่ง มันแย่งแมลงวันฉัน ไล่แมลงวันไป แมลงวันมันขัดใจ แมลงวันตอมไม่ฉัน สุนัขมาชะเง้ออยู่ก็ไม่ฉัน ไม่รับ ไม่รับบิณฑบาตร แมลงวันตอมอยู่ก็ไม่รับบิณฑบาตร เมื่อเราไปที่บ้านชาวบ้านที่เขาใส่บาตรเช้าๆ ขันข้าวแมลงวันตอมอื้อ ต้องไล่แลงวันอย่างนี้ก็เรียกว่าขัดใจแมลงวัน พระนิกรจะเปิดเลยไม่รับ ทำนองอย่างนี้ก็มีมาก ซึ่งเด็กมาใส่บาตรเด็กมันละบากเอ้ย พระเถระเปิดเลย มีมากในพุทธประวัติจากพระโอฐษ์ มีอยู่สูตรสองสูตร เอามาใส่ไว้ในนั้นลองอ่านดูพระพุทธเจ้าก็เคยประพฤติอย่างนั้น อย่างเป็นพระ รวมความแล้วเขาเห็นว่าไอ้เรื่องกินอาหารนี้มันเรื่องหยุดเติมน้ำมันอย่าไปพิสมัยกับมันมาก ไม่ใช่เวลาอันแท้จริงของชีวิต ทีนี้ชาวโลกชาวบ้านก็คือเป็นเวลาที่มีความสุขที่สุดแบบหนึ่ง อย่างหนึ่งของชีวิต นี่เขาจึงจัดมันมาก จัดทำมันมาก มีพิธีรีตรองมาก เพราะมันไม่มีอะไรดี ก็คนเหล่านั้นไม่มีอะไรดี มันก็ไปรวมอยู่ในพวกอยู่ดีกินดี ไม่ใช่กินอยู่แต่พอดี ต้องการกินดีอยู่ดีเป็นมูลเหตุอันแท้จริงที่จะเอาเปรียบผู้อื่น เสร็จแล้วมันก็เป็นเบียดเบียนผู้อื่น ฆ่าฟันผู้อื่น อะไรผู้อื่นได้ เมื่อมันโมโหขึ้นมาสุดขีด ทีแรกก็เพียงแต่ว่าเขาต้องการจะอยู่ดีกินดีกว่าผู้อื่น บทปัจเวกที่ว่า นาจะนายะ อินัสสการ นาจะนะจะยายะ นาประเวอุทิสติ (๓๙.๔๕) นี่สวดอยู่ทุกคืน ความหมายเพียงเพื่อหยอดน้ำมันหรือเติมน้ำมันให้ชีวิต เป็นไปได้ ทีนี้เมื่อชีวิตเป็นไปได้แล้วก็ทำให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ชีวิตมันควรจะได้ นั่นคือความสิ้นอาสวาสเหมือนที่กล่าวไว้ในสูตร การเดินทางให้เป็นไปถึงการสิ้นอาสวะ การกินอาหารก็ให้เหมือนกับการหยุดเติมน้ำมัน คราวละเล็กคราวละน้อยเรื่อยๆไป ต้องเติมถูกวิธีอะไรด้วยมันจึงจะช่วยส่งเสริมการสิ้นอาสวะ มนุษย์เกิดมาก็มีบาปเหมือนคริสต์เตียนเขาว่าเมื่อเกิดมาก็มีบาปจริง เมื่อเกิดมาก็รู้จัก อยากรู้จัก โกรธรู้จัก มันก็เริ่มมีบาป มีบาป มีอาสวะ มีของสกปรกมากขึ้นๆๆ เมื่อเกิดจากเนื้อหนัง ตามแบบของคนธรรมดา ที่ต้องเกิดให้อย่างพระอริยเจ้า สิ้นอาสวะ ทีนี้การเดินไปปฏิบัติไป ปฏิปทานทั้งหลายเพื่อสิ้นอาสวะก็ได้เกิดใหม่เมื่อมันสิ้นอาสวะ นี่คุณจะชอบหรือไม่ชอบผมรับรู้ แต่มันเป็นหน้าที่ที่ผมจะต้องพูดให้ฟัง เพราะว่าคุณมาบวชต้องการจะรู้เรื่องบวชก็ต้องพูดตรงไปตรงมาอย่างที่บวชคืออย่างนี้ จะชอบหรือไม่ชอบคือเรื่องหนึ่ง แต่ยืนยันว่าเรื่องบวชนี้มีประโยชน์มากแม้จะสึกออกไปมันก็ยังไปมีประโยชน์มาก หลักการของเรื่องบวชนั้นไปมีประโยชน์กับฆราวาสได้มาก บังคับตัวเองได้ ข้อนี้ก็ ก็ ดีที่สุด แล้วก็ไม่หลงในอะไร ไม่หลงไม่ตื่นไม่ในอะไรหมด มันจะวิเศษมาอย่างไรก็หัวเราะได้ แล้วมันจะหัวเราะมากไปทุกที ทำไมมันกินอย่างนั้น ทำไมต้องกินเหล้า มันก็ยิ่งหัวเราะได้ทุกที บ้า ไอ้เรื่องบ้านั้น ทำไมมันจะต้องใช้ของอย่างนั้นอย่างนี้ให้มันยุ่งยากลำบาก ทำไมต้องกินเหล้า ทำไมต้องนั่งกินนานๆ หัวเราะกันที่โต๊ะอาหารนานๆ ถือว่าเป็นความสุขชนิดหนึ่ง การกินอาหาร การหลับนอน การขี้ขาด การประกอบเมถุนอย่างนี้ไม่เหมือนกันระหว่างคนกับสัตว์ ก็หมายความว่าความหมายเดียวกัน ไอ้สัตว์กินหญ้า ไอ้คนกินอาหารพิเศษๆ ความหมายเดียวกัน บางคนก็หลงมาก เรื่องบวชก็คือละไอ้สิ่งที่หลงๆ เรื่องโง่เรื่องหลงเรื่องกิเลส ไม่บวชก็ไม่รู้ ให้บวชแล้วก็ไม่รู้ ถ้าหากว่าไม่ทำอย่างๆที่เป็นเรื่องของการบวช แม้จะบวชสักกี่พรรษามันก็ไม่รู้ ก็ดูบวชกันตั้งหลายๆพรรษามันก็ไม่รู้ บางทีมันเลวยิ่งกว่าบวชน้อยพรรษาเสียอีก เพราะมันไม่สนใจ นี่เราจะบวชในระยะสั้นสองสามเดือน ก็รีบศึกษารีบลองให้รู้เรื่องเสียว่าบวชคืออะไร พูดยากนะครับว่าบวชคืออะไร ตัวหนังสือมันพูดง่าย แต่ว่าไอ้ความมุ่งหมายเจตนารมณ์หรือการปฏิบัตินั้นมันมีมาก ดำรงตัวที่อยู่ในลักษณะเป็นนายเหนือกิเลส เป็นความบวช พอตกเป็นทาสของกิเลสก็หมดความบวชไป จึงพูดกันอยู่เสมอเรื่องกินเรื่องอาบเรื่องถ่ายเรื่องทุกอิริยาบถอย่าให้เผลอไปเป็นทาสของกิเลส เป็นอวิชชา เป็นโทมนัสมันเกิดขึ้น ยินดีหรือยินร้ายก็ตามมันเกิดขึ้น เป็นทาสของกิเลส นี่ไม่ใช่เรื่องกิน เรื่องนอนเรื่องอะไรทุกอย่าง เรื่องคบหาสมาคม เรื่องไฟ เรื่องเข้าบ้านเรื่องกลับวัดอะไรมีเยอะแยะที่มันจะเกิดกิเลส พยายามรู้จักกิเลส นี่กิเลสเกิดมา เกิดมาตรงหัวตรงหูก็ไม่รู้จักให้ศึกษาเรื่องกิเลส ตัวที่หนึ่ง แม่ แม่ของเขาทั้งหมดคืออวิชชา แล้วแตกลูกมาเป็นโลภะโทสะโมหะ แล้วโลภะก็แจกลูกไปเป็นเยอะแยะ แล้วโทสะก็แจกไปเป็นเยอะแยะ โมหะนี่ยิ่งมากที่สุดเลย แจกลูกได้มากที่สุดเลยโมหะ น่าจะเป็นเศร้าสร้อยหดหู่ไม่มีความหมายอ่อนเพลียนี้มันก็เป็นพวกโมหะ เป็นกิเลส เป็นโมหะ ฟุ้งซ่านรำคาญตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรให้ นี่เรียกว่ารำคาญไปหมด ชีวิตเป็นของไม่แจ่มใสก็เป็นโมหะ สิ่งที่ท่านศึกษาพร้อมกันไปกับกิเลสก็คือความทุกข์ ศึกษากันไปพร้อมกับความดับกิเลสหรือดับทุกข์ ที่นี้เราศึกษากันในรายละเอียดไม่ใช่กินเข้าไปอร่อย มันก็ยินดี เป็นกิเลสอันหนึ่ง หรือบางอันกินเข้าไปไม่อร่อยมันก็เกิดกิเลสตรงกันข้าม เป็นกิเลสเหมือนกัน แต่ว่าเป็นนักเลงมันก็เฉยได้ เมื่อหัวเราะได้มันก็เฉยได้ นี่มันก็สติอยู่ได้ รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อมายุ่งอยู่กับเรื่องนี้ เราต้องทำอย่างอื่น ทำงานอย่างอื่น นี่ก็กินไป อาหารหยอดน้ำนันเราเปลี่ยน เดี๋ยวมันเป็นภาพลิ้น ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ถึงจะกินได้ มากแล้ว มันเป็นภาพกิเลสท่วมหัวท่วมหู บางทีมันโง่มากถึงขนาดว่าไอ้สิ่งนั้นๆมันเป็นไปตามถูกต้องของธรรมชาติแล้ว ก็ยังไปโกรธหรือว่าไปขัดเคืองได้ ไอ้หลงรักไม่ต้องไปพูดถึง มันขัดเคืองได้ เช่นผลไม้มันเปรี้ยวอย่างนี้ มันไปโง่และขัดเคือง ก็มันต้องเปรี้ยวนี่ผลไม้ชนิดนี้ หรือว่าอันนี้ ไอ้เรื่องนี้มันต้องเปรี้ยว อย่างแตงกวามันจะต้องจืดอย่างนี้ ก็ไม่ต้องขัดเคือง เราก็ได้กินทั้งเปรี้ยวทั้วหวานทั้งอะไร ทุกอย่างก็ควรจะดีใจ คล้ายๆว่ามันเปรี้ยวก็เกิดหงุดหงิดแล้ว ก็ไม่ถือว่ามันอย่างนั้นเอง ถ้าจะกินก็กิน ไม่กินก็ไม่กิน ไม่ต้องไปขัดเคือง ทีนี้มันหวานมันอร่อยก็อีกละ ระวังให้ดี ไม่จำเป็นต้องไปหลงยินดีอะไรให้มัน โง่ไปอีก เมื่อรู้ว่ามันหวานแล้วมันอร่อย ก็รู้ว่ามันหวานมันหอมมันอร่อย แต่จิตใจไม่ต้องเป็นทาสมัน นี้ตามแต่มันจะมีตามแต่มันจะได้ ถ้ามันได้หวานก็กินไป ถ้ามันได้เปรี้ยวหรืออะไรก็กินไป ในส่วนที่มันกินได้ก็กินไป แค่ต้องการให้ชีวิตอยู่ได้ ก็ทำงานทำการ เดี๋ยวนี้รู้เรื่องอาหารกันมากจนลำบากแล้วก็ยุ่งยากมากขึ้น ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นส่วนน้อย ความรู้นั้นมันเป็นเรื่องส่วนน้อย มันต้องแก้ไขให้ทางอื่น เพื่อให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นมากขึ้น จะไม่ค่อยขาดเรื่องอาหาร จิตใจต้องดีด้วยบริหารร่างกายดีด้วย อาหารที่เขาน่อยไม่ได้เราย่อยได้ก็แล้วกัน ไม่ใช่กินหญ้าถึงอยู่ได้ ถ้าได้อาหารที่มันถูกสัดส่วนตาม วิทยาศาสตร์ ตามอะไรที่ว่ากัน ก็ดีเหมือนกัน แต่ถ้ามันยุ่งนักก็ป่วยการ ตามธรรมชาติดีกว่า เราสร้างกันมาตามธรรมชาติ ความถูกต้องมันอยู่กันตามธรรมชาติ นั่นนี่มากนักมันก็ดีเกินไป จนไม่ไหว มันสู้ไม่ไหว ดูเหมือนธรรมชาติเนี่ยมันจะเกิดวิเศษ เราอย่าไปตะกละกินให้มันมาก กินแต่น้อยๆ ลิ้น ปาก คอมันจะรู้ทีเดียวว่าอะไรต้องกินอะไรควรกินเท่าไหร่ ไอ้ลิ้น ปาก คอ มันรู้สึกสามัญสำนึกของไอ้ลิ้น ปากคอ ธรรมชาติมันจะรู้ทีเดียวว่าอะไรต้องกิน มันก็อยากสิ่งนั้นขึ้นมาเลย เช่นกินผักหรือว่ากินแป้ง หรือกินโปรตีนมันต้องมีรู้ของมันเองขึ้นมาก่อน ในที่สุดก็ต้องกินน้ำ ถ้าใจคอไม่ปกติก็ย่อยยาก และขาดอาหาร แม้จะกินอะไรเข้าไปก็ขาดอาหาร ถ้าใจคอปกติมันก็ย่อยได้ย่อยดีย่อยเป็นประโยชน์มากมันก็ไม่ขาดอาหาร ผมเป็นมาอย่างนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีจนถึงบัดนี้ เมื่อไม่ค่อยได้รู้เรื่องในอาหารอะไรมีอะไรอาหารอะไรไม่เคยรู้ เห็นว่าพออยู่ได้ก็อยู่ได้ แต่มีเคล็ดหรือวิธีปฏิบัติอยู่อย่างคือกินทุกอย่างเลยที่เขาใส่มาให้ กินทุกอย่างเลย เผื่อๆอะไรที่มันจะให้โทษดูเหมือนร่างกายจะบอกเองอย่างเนื้ออย่างนี้ สั่นหัว กินคำสองคำดูเหมือนว่ามันจะสั่นหัว โดยเฉพาะเนื้อที่มัน มันสั่นหัวเอง โดยถือหลักว่าถ้ามันอยากกินจะถือว่าถูกต้อง ถ้าไม่อยากกินก็ไม่ถูกต้อง คนหนุ่มๆยังไม่ค่อยมีปัญหาชนิดนี้พอคนแก่เข้าจะมีปัญหาและจะรู้ได้เองว่า เวลาพูดกับคนหนุ่มๆบางทีฟังไม่ถูก เมื่อหนุ่มๆแรกๆบวชนี้ ฉันน้ำตาลครึ่งกิโลก็ได้ ไม่มีอะไรจะฉันกันแล้ว มันบ้านนอก มันจนๆ ฉันน้ำตาลทรายตั้งครึ่งกิโลได้ เดี๋ยวนี้ฉันช้อนเดียวมันสั่นหัว มันๆๆไม่เข้า มันไม่อยากให้เข้าไป แล้วธรรมชาติ จัดไว้ให้ถูกต้องแล้ว บอกให้ควรจะหยุดสักที ควรจะทำอะไรสักที นี่คุณสังเกตุไม๊เพราะว่าอายุยังน้อย ยังๆๆแตะต้องกับธรรมชาติน้อย เมืออยู่ไปอย่างน้อยหกสิบปีขึ้นไปนั่นแหละพอจะสันนิษฐานอะไรได้ มาติอะไรได้ เดี๋ยวนี้อย่าเพิ่งลงมติเลยมันจะอวดดี โดยเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าชีวิตเพื่อลงมติและตั้งข้อสังเกตุไปเรื่อยมันเข้าใจยากที่สุด ไม่ว่าเกิดมาทำไมมันก็ไม่รู้ เท่าที่รู้มันก็รู้แต่ๆๆว่ามันไม่จริง ไม่ถูก เราก็คิดว่าถูก เกิดมาทำไมนี้ มันๆๆตอบได้ทุกคนไม่มีใครจน แต่ว่ามันผิด จนกว่ามันจะรู้จริง เพราะว่ามันยังมีความทุกข์อยู่ มันตอบ มันๆๆมีหลักอย่างนี้ คำตอบนั้นผิด เขาตอบผิดเพราะว่ามันยังมีความทุกข์อยู่ ถ้าเขารู้จริงว่าความรู้ชนิดนี้คืออะไร เขาจะไม่มีความทุกข์ นี่ถ้าเขายังมีปัญหายังมีความทุกข์อยู่เรียกว่า บางทีเข้าใจชีวิตนี้ผิดไปก่อน แม้ว่าเดี๋ยวนี้มันโง่ มันไม่รู้อะไร ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์ เอ้าเราว่ายังไงดี มันมีความทุกข์ที่แฝงอยู่อย่าง ถ้าไม่เป็นทุกข์จริงๆก็พอใช้ได้ไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวนี้มันยังมีอะไรที่ยังทำให้เป็นทุกข์อยู่ ยังมีปัญหายังมีสิ่งที่ต้องทำ ยังมีสิ่งที่กลัวว่าจะผิด
ในเมื่อเขาสวดสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าวันเสาร์ ช่วยตั้งใจฟังให้ดีๆอย่าประมาท จะตอบปัญหาเหล่านี้ได้ว่า พระพุทธเจ้าเป็นคนอย่างไร พอถึงขีดสุดของความเป็นคนแล้วมันเป็นอย่างไร ในคำเหล่านั้นนะ ผมเลือกออกมาให้ตรวจให้ฟังให้ชินหู มันมีอยู่ร้อยคำ สิบหมวดๆละสิบคำ เป็นร้อยคำ พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง วันเสาร์มานั่งฟังให้ดี อย่ามานั่งโง่หรือว่าไปนอนเสีย น่าจะฟังได้ลึกขึ้นๆ ยิ่งฟังยิ่งลึกขึ้นทุกๆที ทุกๆทีที่ฟัง ไม่ใช่ฟังทีเดียวรู้หมดเข้าใจหมด ลึกถึงขีดสุดนั้นเป็นไปไม่ได้
พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลที่ไม่ต้องถามใครว่าอะไรเป็นอะไร นี่คุณฟังถูกนิดเดียว อัตถังสะกิจสะ(๕๖.๑๙) ผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ที่ไม่ต้องถามใครว่าอะไรเป็นอะไร ความหมายมันลึกมาก แต่คนที่ไม่สนใจเห็นแต่ปากแต่ท้องมันก็ไม่สนใจ มันความหมายทางปรัตยา (๕๖.๓๘) โดยมากจะเป็นส่วนมากคำเหล่านี้ ถ้าใครเป็นพระอรหันต์ก้เป็นอย่างนั้น มันจะเหลื่อมล้ำกันบ้างก็ปริมาณ ปริมาตรหรือปริมาณ ความหมายมันเหมือน ทางสติปัญญาก็ต้องทำมากอย่างนี้ ทางบังคับ จิตบังคับอะไรก็ต้องทำมาก อย่าขี้เกียจ อย่าให้นอนสาย อย่าให้เหลวไหลต่อวัตรปฏิบัติ กำหนดไว้แล้ว ที่ตั้งใจไว้แล้ว ต้องมาทำวัตรเช้า พอขี้เกียจก็นอนเฉย ขี้เกียจก็นอนเฉย นอนเสียอยู่อย่างนั้น อย่างนี้มันไม่เกี่ยวกับปัญญา มันเกี่ยวกับการบังคับจิต นี่เรื่องศีลเรื่องวินัยที่เขาจะทำให้น่าดูนี่ ก็อย่าให้บกพร่อง ทำกันน่าดู เรื่องศีลเรื่องวินัย เรื่องจิตเป็นเรื่องสมาธิ ปัญญาเป็นเรื่องปัญญา นี่เรียกว่ามีศีล สมาธิ ปัญญา ถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจทางทิฏิทางความคิดความเห็น
ถ้าเราจะเสียเวลาเพราะการกินอาหารนาน ก็ให้นานไปตามแบบของเรา คือแบบที่เป็นการศึกษา อย่านั่งกินที่โต๊ะอาหารเพราะความเอร็ดอร่อย เหมือนคนที่นั่งกินในรถทะเบียน (๕๘.๕๖) จนผู้อื่นเดือนร้อน อย่างนั้นมัน มันไม่ไหวเหมือนกัน แต่เราจะนั่งจะนานก็ได้ บางทีมีเหตุผล จะพิจารณาละเอียดทุกคำที่เคี้ยว นี้ก็ได้ ถ้านานก็ได้ ไปที่สงัดคนเดียวไปนั่งต่อสู้กับ กิเลสเกี่ยวกับอาหารอย่างนี้ ก็ถูกมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำอย่างนั้นทุกวัน ทำเท่าที่จำเป็น
เมื่อมาบวชก็ต้องให้เป็นบวช บวชในพุทธศาสนาก็ให้เป็นพุทธศาสนา แต่ถ้าพูดกันแต่ใจความแล้วมันเหมือนๆกัน ทุกศาสนา เริ่มด้วยกันบังคับตัวเองแล้วมันก็ไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่เกิดกิเลส มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ทำถูกต้อง ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนี้มันก็ไม่ใช่ศาสนา หรือว่ามันไม่ใช่ตัวศาสนา มันเป็นเปลือกศาสนา มันเป็นพิธีรีตรอง อย่าไปเรียกมันว่าศาสนา จะโง่ตามเข้าไปอีก งั้นบางอย่างก็เข้าใจยาก ถ้าไม่เข้าใจก็เฉยเสียดีกว่าไม่ต้องวิจารณ์