แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
นี่วันจันทร์ ไม่ต้องพูดนี่วันจันทร์ ผมต้องพูด ต้องฉันน้อย นี่เขาให้มาเผื่อสุนัข เผื่อแมว เผื่อ บางอย่างก็แสลง จะอ้วน ถ้าเป็น โรงเรียนกินนอน เขาก็ชวนขอบคุณพระเจ้าก่อนจะฉันอาหาร นี่เราก็พูดที่มีประโยชน์อย่างเดียวกับขอบคุณพระเจ้า รู้ รู้ รู้อำนาจของธรรมะ ไม่เหมือนกับพระเจ้าโรงเรียนกินนอน เรามันพูดมากกว่านั้นเอง เรื่องกิน และก็เรื่องนอน และก็เรื่องระวังควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่พูดเมื่อคืนนี้ มันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เราต้องเดินดูให้ดี มันมีความหมายมาก พระพุทธเจ้าตรัสสูตร ๆ นี้ ข้อปฏิบัติทั้งหมด ถ้าพูดกันแต่ในแง่ของการปฏิบัติโดยตรงมีเพียง 3 ข้อนี้ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชนิดที่ อาสวะ จะไม่ไหลไปตามจิตของบุคคลนั้น มันมีเท่านั้นเอง เหมือนที่เราพูดเรื่อง ตัวกูของกู เมื่อวานนี้ ผู้ที่ไม่รู้จะฟังไม่ถูก หรือเห็นเป็นคนละเรื่อง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ ระวัง ควบคุม ปิดกลั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไว้ในลักษณะที่อาสวะ จะไหลไปตามจิตของบุคคลนั้นไม่ได้ มันมีเท่านั้นข้อปฏิบัติ แม้เราจะพูดกันเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา เรื่องเหตุ เรื่องตัวกูของกู เรื่องต่าง ๆ มันก็มีแค่นี้ ทั้งสูตรนั้นมันถือว่าเป็นทั้งหมดก็ได้ แต่ข้อแรกสำคัญที่สุด ข้อที่สอง เรื่องกิน ข้อที่สาม เรื่องนอน ที่เราพูดกันอยู่เป็นประจำ ข้อที่หนึ่งเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ข้อที่สองเรื่องกิน ข้อที่สามเรื่องนอน นี่แสดงผลอานิสงค์ว่าการเกิดมาของภิกษุนั้น เป็นอันว่าภิกษุนั้นจัดแจงดีแล้ว เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ กินอย่างนั้น นอนอย่างนั้น ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างนั้น เพื่อภิกษุนั้นจะจัดแจงให้การเกิดของตัวเป็นไปเพื่อสิ้น อาสวะอย่างถูกต้องแล้ว จากข้อความนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระพุทธเจ้า ท่านทรงมุ่งหมายว่าการเกิดนี้เพื่อ ผลคือสิ้นอาสวะในที่สุด มันจะว่า ว่าเพราะมันเกิดมาเอง หรือเพราะเราเกิดมาแล้ว หรือเพราะว่าเราอยากเกิด หรืออะไรก็ตาม หรือแม้เราไม่ได้อยากเกิดก็ตาม แต่มันเกิดมาแล้ว ก็ต้องเพื่ออย่างนี้ดีกว่าอย่างอื่น อาสวะคือ ของหมักหมม สกปรก เกิดมาเพื่อให้หายสกปรก
ในการเกิดคำว่าการเกิด กรณีนี้ใช้คำว่า โยนี (นาทีที่ 9:12) ไม่ได้ใช้คำว่า ชาติ (นาทีที่ 9:19) เพราะคำว่า ชาติ หมายถึงการเกิดชั่วขณะ ๆ ทำความคิดนึกชั่วขณะ โยนี หมายตัวเนื้อแท้ของการเกิดตลอด ตลอดชาติ ผู้ที่ไม่เคยเรียนบาลี คงจะตกใจคำว่า โยนี คำว่า โยนี โดยเนื้อแท้ ศัพท์แท้ ๆ มันแปลว่าเหตุ เป็นเหตุ เป็นเครื่องมือ หรือเป็นเหตุ คำว่า โยนี หมายถึงอวัยวะสำหรับการคลอดของเพศที่ต้องมีการคลอดก็ได้ นั่นมันเป็นเหตุ เป็นเหตุให้มีการคลอด หรือเป็นเหตุให้มีคนขึ้นมา ส่วนคำว่า โยนี (นาทีที่ 10:40) เกิดมาทางฟองไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในความหมักหมม เกิดจากโอปาติกะ (นาทีที่ 10:46) นี่มันก็เป็นเหตุ เป็นเหตุให้มีอะไรต่อไป เพราะเรามีการเกิด นี่มันจึงเป็นเหตุ เป็นที่ตั้งของเรื่องราวทั้งหมดของการเกิด โยนีคำนี้แปลว่าการเกิด ภาษาบาลีก็เป็นอย่างนี้เองไม่ต้องประหลาดใจ คำอื่น ๆ เช่นคำว่า ทานัง (นาทีที่ 11:30) ทานังแปลว่าทาน คำว่า ทานัง หมายถึงของที่ให้ก็ได้ การให้ก็เรียกว่าทานัง กิริยาที่ให้ก็เรียกว่า ทานัง ของที่ให้ก็เรียกว่า ทานัง โยนี(นาทีที่ 12:31) จึงแปลว่าที่สำหรับให้เกิด หรือ แปลว่าการเกิดก็ได้ ประโยคนี้ในทางแปลเป็นอย่างอื่น โอนิกัตปารัตทาโหติ(นาทีที่ 12:38) โยนี เป็นสิ่งที่ภิกษุนั้น จัดแจงดีแล้ว อาสวะอายตนะเพื่อนสิ้นไป แห่งอาสวะ (นาทีที่ 12:51) นอกจากสั่งว่า เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จัดแจงให้เป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ อาสวะ ก็เหมือนเปรียบเหมือนเหงื่อไคลสกปรกของจิตใจ ต้องล้างให้สะอาด ไอ่เรื่องกิน เรื่องนอน นี้มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องอยู่กับ ที่ควบคุมเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเราไม่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องกิน เรื่องนอน ก็ปฏิบัติไม่ได้ อยากนอนก็นอนเสียนี้ ไม่ควบคุมจิตใจ อยากกินอร่อยก็กินเสียนี้ ก็คือ ไม่ควบคุมลิ้น
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเป็นเรื่องทั้งหมด นี่แยกเปล่าเพื่อจะแสดงให้ชัดว่าเป็นปัญหาสำคัญสำหรับมนุษย์ คือ เรื่องกิน เรื่องนอน เป็นเรื่องใหญ่ ต้องยกมาพูดเป็นหัวข้อให้ชัดเจน ให้ปฏิบัติเรื่องกิน เรื่องนอนให้ถูกต้อง เรื่องกินเหมือน (นาทีที่ 17:04) กลางทะเลทรายหรือหยดน้ำมันหยอด (นาทีที่ 17:06) อยู่ในสูตรอื่นในมัชฌิมา (นาทีที่ 17:11 – นาทีที่ 17:40) พูดอย่างนี้ในสูตรนี้ก็คือ พูดตรง ๆ ไม่พูด (นาทีที่ 17:42) อุปมา ไม่พูดอุปมาอุปมัยพูดตรง ๆ (นาทีที่ 17:51 – นาทีที่ 17:59) ก็เพียงเพื่อชีวิตอยู่ได้ อัตภาพเป็นไปได้ และนั่นก็เปรียบอุปมาเหมือน กินเนื้อลูกเพราะรอดตายอยู่ได้ เพราะหยอดน้ำมัน มันลื่น ก็หมุนไปได้ บางคนเขาก็ปฏิบัติถูกต้องดีอยู่แล้ว โดยที่ไม่เคยได้ฟังคำของพระคัมภีร์ เขาก็ปฏิบัติถูกต้องอยู่แล้วก็มี ใครที่มีนิสัยปฏิบัติแบบนั้นตามธรรมชาติก็นับว่าประเสริฐที่สุด มีบุญที่สุด ก็โดยมากไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องกิน เรื่องนอน นี้เอากันตามอารมณ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ปล่อยตามเรื่องไม่เคยคิดว่าต้องควบคุม พอมีปัญหาเรื่องนี้ก็นึกถึงที่เคยพูดให้ฟัง พุทธภาษิต นรกอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นิพพานอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จัดให้มันเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ปัญหาเรื่องความสงบสุขขึ้นอยู่กับ เรื่องควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แก้อย่างอื่นเป็นเรื่องปลายเหตุ อย่างที่องค์การยูเนสโก องค์การต่าง ๆ แก้ปัญหาสันติภาพ มันเป็นเรื่องแก้ปลายเหตุ ไม่พูดกันถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ เรื่องกิเลส เรื่องธรรมะ ในศาสนา ที่น่าหัว(นาทีที่ 22:15)ที่สุด คือ จะแก้ปัญหาอันธพาลอะไรพวกนั้น ด้วยการทำให้มีการอยู่ดีกินดี เขาพูดมากในเรื่องอาหารไม่พอกิน คนไม่รู้หนังสือ ยังมีเจ็บไข้ได้ป่วยมาก ต้องแก้ปัญหาก่อน นี้ก็ถูกแต่ปลายเหตุ คนพวกหนึ่งมันเห็นแก่ตัวมาก เอาเปรียบอยู่ในโลก คนพวกหนึ่งจึงไม่มีอาหารกิน ไม่รู้หนังสือ ยากจน ขาดแคลนต่าง ๆ และคนพวกนั้นที่ไม่รู้หนังสือ ยากจน ก็ไม่บังคับตัวเอง สมัยหิน มนุษย์สมัยหินยังจะไม่นุ่งผ้า ต่ำ ๆ อย่างนั้น กลับมีวัฒนธรรมทางจิตใจที่ดีกว่าคนสมัยปัจจุบัน เพราะมันอยู่กันอย่างไม่มีทางที่จะเกิดความโลภ หรือการเอาเปรียบกันอย่างมหาศาล อยู่กันในระบบคล้ายๆ สัตว์ มีเรื่องน้อย
ไอ่เรื่องวัฒนธรรมการทำสงครามมันก็พุ่ง อย่างแบบดึกดำบรรพ์โน้นมันก็ยังเหลืออยู่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อรบกันแต่ตัวนาย เมื่อเห็นว่าควรแพ้ก็แพ้ ไม่ต้องเอาคนมาตายเป็นแสนเป็นล้านเหมือนเดี๋ยวนี้ จะว่าขี้ขลาดก็ไม่ได้ ต้องกล้าหาญที่สุด เดี๋ยวนี้เอาระเบิดไปทิ้ง ขี้ขลาดที่สุด ที่พูดรากก็ไม่มีใครเชื่อ ว่าสงครามเวียดนามที่กำลังเกิดปัจจุบัน รากมันอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พูดแล้วจะไม่มีใครเชื่อ สวรรค์อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกอยู่ที่สวรรค์ เฮ้ย อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธเจ้าท่านว่าอย่างนี้ ความเป็น ทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำให้พวกนายทุนเขาอาละวาดทั่วโลก สันติภาพมันก็มีอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สงครามมันก็มีอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเจริญก้าวหน้ามันก็อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้นเหตุ ความเสื่อมมันก็อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นต้นเหตุ ให้พิจารณาข้อนี้ ให้เข้าใจ คำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นข้อที่หนึ่งของเหตุ (นาทีที่ 30:31 ) ความโง่ ความโง่ทุกชนิดมันอยู่ที่ไม่รู้เท่าทัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความโง่ของคนเราทุกชนิด มันอยู่ที่ไม่รู้เท่าทัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันจึงมีผลเป็นอย่างอื่นมาก มนุษย์ไม่เรียนเรื่องนี้แล้วเมื่อไหร่จะหายโง่ ยิ่งไปโลกพระจันทร์ก็ยิ่งโง่ ยิ่งเล่นปิงปองก็ยิ่งโง่ ยิ่งตั้งสภาในวิทยุมากขึ้นก็ยิ่งโง่มากขึ้น เขาว่าเพื่อคนฉลาดก็ดูแล้วยิ่งโง่มากขึ้น น่าสงสารเด็ก ๆ สมัยนี้ เขาเกิดมาในท่ามกลางสิ่งที่แวดล้อมให้ฉลาด สำหรับจะโง่ ยิ่งฉลาดมากๆ สำหรับจะโง่ให้ลึกที่สุด สิ่งที่มีในโลกในบ้านเรือนนี้ถ้าจะฉลาดการศึกษา ฉลาดแต่ว่าจะให้ไม่รู้เท่าทัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หนักไปอีก ให้ฉลาดอย่างฝรั่ง คือฉลาดสำหรับให้โง่หนักขึ้นไปอีก ทำอะไรสำหรับจะฆ่ากัน จะเบียดเบียนกัน จะเอาเปรียบกัน แม้ประชาธิปไตยถึงโง่หนักขึ้นไปอีก
ต่อไปแม้ในอเมริกา การฆ่าคนที่เป็นคู่แข่งขันในการเลือกตั้ง จะมีมากขึ้น มากขึ้น เดี๋ยวนี้ก็มีมากขึ้น ไม่รู้เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พวกเคนเนดี้ถูกฆ่าไปอย่างน่าสงสารถึงแม้มันจะมีผิด มีเลวอะไรบ้าง มันก็ไม่ควรถูกฆ่า หรือมันไม่มีเลยก็ได้ มันก็ถูกฆ่า แล้วก็ไปอ้างเหตุให้คนบ้าฆ่า ไม่ใช่คู่แข่งขัน บางทีเราก็สงสัยตัวเอง เราอาศัยความเจริญของเขา เช่น ไมโคลน (นาทีที่ 37:19) อย่างนี้เป็นต้น สติปัญญาของเขา เราก็เป็นหนี้บุญคุณเขา และเรายังหาว่าเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทำลายโลก ก็ส่วนใหญ่แทบทั้งหมด มันกำลังใช้ไปในทางทำลายโลก เครื่องมือวิเศษ ๆ ที่สร้างขึ้น เพื่อทำลายซึ่งกันและกัน เวลานี้ ที่จะน่าหัวที่สุด ก็ อย่างวิทยุเพื่อการศึกษาของกระทรวงศึกษา จะน่าหัวที่สุด เพื่อให้มีการศึกษา มันจะกลายเป็นเพื่อตรงข้าม ต่อไปเด็กที่อันธพาลที่สุดก็อยู่ในมหาวิทยาลัย ก็มันฉลาด เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีในมหาวิทยาลัย ยกพวกตีกันมากขึ้น มากขึ้น ทั้งลูกทั้งอาจารย์ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม แต่ที่มันรู้ได้เองอย่างแน่นแฟ้นคือเกิดมาเพื่ออร่อย อร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ได้ เพื่ออร่อยทางสติปัญญาก็ได้ นี่พวกปรัชญา ความรู้เฟ้อแต่ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทำอะไร นอกจากอร่อยทางการคิดนึก ทางสติปัญญา นอกนั้นเป็นเรื่องทางวัตถุ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ทางวัตถุ ก้าวหน้าทางวัตถุ อร่อยทางวัตถุ เรื่องเรียน ธรรมะ เรียนพระไตรปิฎก เนี่ยะ ไม่เป็นเรื่องอร่อยทางสติปัญญาก็ได้ ไม่เป็นพุทธศาสนาเลย บางคราวผมก็รู้สึกอย่างนั้น การศึกษาพระไตรปิฎกในบางเวลา เกิดความอร่อยในทางกิเลสทางสติปัญญา ประเภทกิเลสไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ เรื่องกิน เรื่องนอน พูดกันมากที่สุด นี่ก็จะพูดเรื่องอื่นกันบ้าง เรื่องเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด คือ เรื่อง กิน เรื่องนอน เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปคิดดู ให้มันเสร็จเป็นเรื่อง ๆ ไป บวชที่นี่ให้เข้าใจพุทธศาสนาจนได้ อยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องเรียนพุทธศาสนาที่นั่น อย่าไปเรียนที่อื่น ถ้าไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ไปถึงใจ ใจเป็นอย่างไร
เนี่ยะด้วยเด็ก ๆ ก็มีความซื่อ ซื่อ อินโนเซ็นต์ ไปตามแบบของเขา ไม่คดโกงอะไรเป็น ถ้าผู้ใหญ่ก็ให้พูดอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง ให้ขอบใจบ้าง หรือเป็นบุญคุณบ้าง อะไรบ้าง นี่เด็กทำไม่เป็น ก็จึงว่าไอ่แรกเริ่มเดิมทีมันบริสุทธิ์ แล้วมันค่อย ๆ มีแง่งอน มีอะไรขึ้น เพราะการศึกษา จุดตั้งต้นคือบริสุทธิ์ แล้วก็เริ่มไม่บริสุทธิ์ มากขึ้น มากขึ้น เพราะว่ามันอบรมแต่เรื่องไม่บริสุทธิ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันถูกล้อมแต่ที่มันไม่บริสุทธิ์ อร่อยทีหนึ่งก็เหมือนให้เราโง่ไปในทางไม่บริสุทธ์ทีหนึ่ง คือโง่ในทางบริสุทธิ์หันไปในทางไม่บริสุทธิ์ทีหนึ่ง อร่อยทีหนึ่ง ระวังให้ดี จะให้เป็นอย่างนั้น อร่อยทีหนึ่ง ให้มันฉลาดทีหนึ่ง อร่อยทีหนึ่ง ให้มันฉลาดอีกทีหนึ่ง เด็ก ๆ ทีแรกเขาก็เป็นคนบริสุทธิ์ อินโนเซ็นต์ แล้วก็ค่อย ๆ รู้จัก เห็นแก่ตัว คดโกง มันเทียบได้กับเรื่องในพระคัมภีร์ คริสเตียนที่ว่า อดัมกับอีฟ พึ่งมีบาป เมื่อกินผลไม้นั้นขี้นไป ก่อนนั้นบริสุทธิ์ เหมือนเด็กทารกเกิดมาจากพ่อแม่ บริสุทธิ์ จนกว่าจะมี ความรู้เรื่องเห็นแก่ตัว เรื่องดี เรื่องชั่ว เรื่องได้ เรื่องเสีย เรื่องแพ้ เรื่องชนะ เรื่องละเอียดกว่านี้ มันจึงเริ่มไม่บริสุทธิ์ คัมภีร์แห่งไบเบิลคริสเตียนที่กล่าวนั้นเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด ไม่ใช่นิยายโง่ ๆ ของพวก ฮิปบลู เรื่องอดัมเรื่องอีฟเป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุดของมนุษย์ เรื่องสร้างโลกเป็นวิทยาศาสตร์ แต่คนก็ตีความหมายหรืออ่านไปในทางอย่างอื่น สร้างแสงสว่างก่อนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์นี้คือฉลาดที่สุด จิตใจของเราทุกคนเมื่อออกมาจากท้องแม่ มันยังประภัสสร คือสะอาด บริสุทธิ์ พอมากระทบเรื่องข้างนอก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทีละน้อย ทีละน้อย เริ่มติดในรสอร่อย ความคิดก็เกิดในทางที่เป็นกิเลส นั้นคือตั้งต้นของกิเลส บาปมากขึ้น มากขึ้น จนมีปัญหามากอย่างนี้ หาความสุขอันแท้จริงยังไม่ได้ ต้องรู้ข้อนี้ ต้องแก้ปัญหาข้อนี้ก่อน นี่เรียนเกือบตาย ทำงานเกือบตาย แล้วก็ได้เงินมาเยอะแยะ แล้วก็ทำอะไร มันก็เป็นเรื่อง น่าหัว น่างสงสาร จิตใจไม่ได้รับสภาพที่ดีที่สุด พวกจีนก็พูด พวกยิวโบราณ ก็พูด ว่าต้องประพฤติ ปฏิบัติ เหมือนเด็กที่อยู่ในท้องมารดา เด็กที่ยังอยู่ในท้องมารดา ยังไม่ทันจะคลอด มีจิตใจที่อยู่นิ่งเงียบ ไม่มีเรื่องกิเลส แรกคลอดออกมาใหม่ ๆ ก็ยังไม่ได้มีกิเลส โตขึ้น ๆ มีมากขึ้น โตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็แสดงเต็มที่ บางทีกิเลสหยาบมากเกินไปไม่ไหว กิเลสที่ละเอียดจนแทบจะไม่รู้จักว่าเป็นกิเลสเนี่ยะมันเล่นงานมาก โดยเฉพาะความสุขมันทำให้คนเสีย ความทุกข์ไม่ได้ทำให้ใครเสีย อย่าไปพิศมัย อย่าไปหลงใหล ในเรื่องอร่อย เรื่องความสุข ให้มันหลับหูหลับตา
บทที่หนึ่งก็รีบศึกษาเรื่องนี้ มันเป็นตัวแท้ของพุทธศาสนา ถ้าสึกออกไปจะได้ดำรงตนถูกต้อง ถึงผู้ที่ไม่สึกจะอยู่ต่อไปมันก็เรื่องนี้เหมือนกัน แต่ว่าจะต้องทำให้มันประณีตดียิ่งขึ้นไป เป็นผู้ที่ไม่มีความทุกข์เลย ถ้าเวลาเหลือก็ทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น ก็ตัวไม่ต้องการอะไร ให้คนที่ยังไม่รู้ ยังมีความทุกข์ ยังมีมาก ก็ต้องช่วยเขา เมื่อตัวไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์อะไร มันก็หมดเรื่องแล้ว มันก็เหลือแต่ช่วยผู้อื่น สิ้นอาสวะ แล้วก็ช่วยผู้อื่นได้ดี ไม่มีความเห็นแก่ตัวช่วยผู้อื่นให้ดี เราก็พยายามเอาอย่างผู้สิ้นอาสวะ ไม่ต้องไปอวดไปทะนงตัวว่าตัวสิ้นอาสวะ นั้นมันจะโง่ ดักดานยิ่งไปอีก จะทำตามอย่างผู้ที่ไม่มีอาสวะ อย่าเห็นแก่ตัว ให้ตัวเองมีความสุข ให้ช่วยผู้อื่นได้ด้วย เมื่อไหร่ความรู้ชนิดนี้มันจะเข้าไปอยู่ในมหาวิทยาลัย ทางปรัชญา ทางอะไรกับเขาบ้าง และปฏิบัติได้จริง ๆ ไม่ต้องกลัวว่าคนเมืองจะล้นโลกหรอก ถ้าปฏิบัติตามทางศาสนาไม่ต้องกลัวว่าคนเมืองล้นโลก เพราะว่าเขาไม่มักมากในเรื่องอย่างนี้ เขาควบคุมได้ ด้วยจิตใจไม่ต้องใช้อะไร ไอ่คนที่ไม่มีธรรมะ ไม่มีศาสนาสิ จะช่วยกันทำให้พลเมืองล้นโลก และไม่มีใครมีความสุข ของไม่พอกินพอใช้มันก็ต้องเบียดเบียนกัน เอาไปคิด เอาไปพูด เอาไปเขียน เอาไปเผยแพร่แต่เรื่อง ทำให้มันถูกต้อง เกี่ยวกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไอ่เรื่องนอนพอสมควร กินพอสมควร นั้นมันเป็นเรื่องประกอบ ให้มันทำอย่างงั้นไปง่ายขึ้น เรื่องใหญ่มีเรื่องเดียว เรื่อง ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าเกิดตัวกูของกู แต่ผลมันสะท้อนกลับได้ ในที่ ในข้อที่ว่า ถ้าเราไม่มีความคิดเป็นกิเลส เป็นตัวกูของกู มันก็จะกินน้อย นอนน้อย แต่พอดีอยู่ดี มันปัญหาใหญ่ ไอ่ความสำคัญส่วนใหญ่มันไปอยู่ที่ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่นี่ระเบียบปฏิบัติแวดล้อมที่เรากินน้อย นอนน้อย เป็นต้น นี่ก็เพื่อช่วยส่งเสริมให้มันทำได้ง่ายเข้า ให้ควบคุม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ง่ายเข้า เช่นเรา ถือธุดงค์ ฉันในบาตร ถือธุดงค์ ฉันคนเดียว ให้เคร่งไปกว่านั้นอีกก็ให้ฉันแต่ที่ควรจะฉันยิ่งขึ้นอีก ซึ่งมันเป็นเหตุให้มีการบังคับ ปาก ลิ้น ให้มากเข้า นี้มันช่วย มันช่วยให้การบังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้ง่ายเข้า ระเบียบเบื้องต้น แรกเริ่มเดิมที แรกลงมือเขาจึงใช้ระเบียบบังคับ เรียกว่า ตี เรียกว่าวินัยบังคับเข้าไว้ก่อน การประพฤติส่วนนี้ มันไปช่วยในส่วนจิตใจ ให้บังคับ กาย วาจา กันก่อน แล้วค่อยช่วยในส่วนจิตใจ นี่บางพวกเขาไม่ได้วางระเบียบอย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ก็ทำสำเร็จได้เหมือนกัน แต่มันน้อยมาก มันช้ามาก หรือว่าเสร็จแล้วมันไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยในหมู่คณะ สมมติว่าเป็นพระอรหันต์กันแล้ว มันยังมีอะไรที่ไม่บังคับ บางองค์ก็จะฉันตอนเย็น บางองค์ก็จะฉันตอนเช้า บางองค์ฉันตอนกลางคืน นี่มันก็ได้ทั้งนั้นแหละ มันไม่ผิด เรื่องของพระอรหันต์ไม่มีอะไรผิดอีก แต่ว่ามันไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นขอให้ยินดี สมัครรับเอาระเบียบวินัย ศีลอะไรต่าง ๆ ที่เขาวางไว้ ให้ลำบาก พูดง่าย ๆ ให้ลำบาก แต่ว่าลำบากนี้มันเป็นลำบากที่มีประโยชน์ มันช่วยให้เราเป็นผู้บังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สรุปคำเดียว เรียกว่าบังคับใจ แต่การกระทำมันบังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภาษาบาลีเขาเรียกว่าบังคับ อายตนะ อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาเรียกบังคับอินทรีย์ อินทรีย์ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าบังคับอินทรีย์ จะกินอาหาร หรือว่าจะนอน หรือว่าจะทำอะไรทุกอย่างต้องมีลักษณะเป็นการบังคับอินทรีย์ พอไม่มีการบังคับอินทรีย์ก็ไม่มีความเป็นพระ คือมันไม่มีความเป็นนักบวช ผู้บังคับอินทรีย์ เพราะความหมายของนักบวชมันอยู่ที่บังคับอินทรีย์ นี่ลองดูให้สุดความสามารถ สามเดือนหรือกี่เดือนก็ตาม เรื่องหนังสือหนังหาไว้อ่านทีหลัง สึกแล้วก็อ่านได้ แต่บังคับ ลิ้น บังคับปาก บังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โอกาสอย่งนี้สะดวกกว่า แล้วก็มีการแนะนำสั่งสอนคือให้ความสะดวกกว่าก็ทำเสีย ถ้าอยู่ที่บ้านจะทำได้อย่างนี้เหรอ
พูดกันแต่พวกเรา ก็พูดว่าเราเสียเจ้าฟ้าหญิงไปองค์หนึ่ง ก็เพราะไม่มีการบังคับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีการอบรมเรื่องนี้ที่เพียงพอ เนี่ยะมองเห็นความสำคัญเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องอื่น ๆ ก็เหมือนกัน ทุกเรื่อง กี่เรื่อง ก็อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไม่รู้เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วบังคับมันไม่ได้ มันเอาตามที่กิเลส ความคิดประเภทกิเลสที่ต้องการ สติปัญญามันดึงไว้ไม่ได้ เมื่อเกิดไปบูชาให้สิ่งที่กิเลสมันต้องการ มันเป็นความพ่ายแพ้ใหญ่หลวง เสียหายใหญ่หลวง เป็นทุกข์ไม่แต่ตัวผู้เดียว ทุกข์กันทั้งทุกคนที่เกี่ยวข้อง อย่าไปตามก้นฝรั่งกันนักเลย ตามก้นพระพุทธเจ้าดีกว่า
ไปสู่ที่สงัด ถ้าปฏิบัติธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติและแนะให้ปฏิบัติ ขอร้องให้ปฏิบัติ เสร็จเรื่องฉันอาหารเรื่องชีวิตแล้ว ไปสู่ที่สงัด เพื่อพิจารณาดู ถ้าจิตมีนิวรณ์รบกวนจิตใจในเวลานั้น ก็ขจัดปัดเป่าไปเสียก่อน ถ้าจิตผ่องใส ว่องไว อ่อนโยน นิ่มนวล ควรแก่การงานแล้ว ก็พิจารณาได้ ดูว่ามันเกิดขึ้นมายังไง ไอ่สิ่งที่เรียกว่ากิเลส และความทุกข์มันเกิดขึ้นมายังไง เกิดจากท้องแม่เป็นอย่างไร โตขึ้นมาเป็นอย่างไร กิเลสเกิดขึ้นงอกงามอย่างไร เป็นนิสัย สันดาน เป็นอาสวะ เป็นสังโยชน์ ขึ้นมาอย่างไร ทีนี้ก็พบเงื่อนงำว่า อ้าว มันต้องเล่นแบบตรงข้าม มันก็เท่านั้นเอง มีเท่านั้นเอง แต่รายละเอียดที่จะปฏิบัติมันมีมาก มันก็ต่อสู้ไป วันหนึ่ง วันหนึ่ง วันหนึ่ง ทุกวันที่จะปฏิบัติ ให้มันเป็นในทางที่ไม่เกิดกิเลสและก็ทำลายกิเลส ทำลายนิสัย สันดาน แห่งกิเลส ไม่ต้องเรียนพระไตรปิฎกก็ได้ เกี่ยวกับการปฏิบัติ เพราะหัวใจของพระไตรปิฎกมีเท่านี้ แต่ว่ารายละเอียดมันมีมาก นั่นจึงมีพระไตรปิฎก พระไตรปิฎกเป็นเรื่องวรรณคดี เตลิดเปิดเปิงไปมันก็มากเกินไป พระไตรปิฎกที่เป็นเรื่องปฏิบัติเนื้อแท้ก็มีแค่นี้ ปฏิบัติเพื่อความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น จนเกิดเป็นความรู้สึก ตัวกูของกู มีเท่านี้ แต่ก็แยกออกไปเป็นเรื่องปลีกย่อย เป็นเรื่องของชื่อ ของคำ ก็ได้ แปดหมื่นสี่พัน ประโยคธรรมขันธ์ ด้วยเนื้อแท้มีประโยคเดียว เราควรจะอยู่กับพระไตรปิฎกประโยคเดียว เป็นประจำ และถ้ามีเวลาว่างก็ไปอยู่กับพระไตรปิฎกประเภท แปดหมื่นสี่พัน ธรรมขันธ์ บางอัน ไม่ใช่ทุกอัน ก็สนุกดี ก็มันสนุกดี มีความไพเราะทางอักษรศาสตร์ มีความไพเราะทางตรรกศาสตร์ ทางปรัชญา เยอะแยะไปหมดแต่ความไพเราะที่แท้จริง ที่ไพเราะที่สุดคืออยู่ที่ มันฆ่ากิเลสได้ การฆ่ากิเลสได้มันคือความสวยงาม ความไพเราะที่สุด ถ้าขืนบังคับ หรือขอร้องก็ตามให้ผมพูดเรื่องธรรมะจริง ธรรมะแท้ มันไม่มีอย่างอื่นหรอก พูดแต่เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องนั้นไม่มี ไม่ใช่ธรรมะจริง ไม่ใช่ธรรมะแท้ เกิดกิเลสก็เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดับกิเลส ก็เรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นรกก็อยู่ที่นั่น สวรค์ก็อยู่ที่นั่น นิพพานก็อยู่ที่นั่น ตัวกูของกูก็อยู่ที่นั่น ไปนั่งพิจารณาดูในคราวที่มีโอกาสว่างในจิตสงัด ถ้าไม่ฉันอาหารมากก็พิจารณาออก
ถ้าฉันอาหารมากมันจะตัน ตื้อตันและบางทีมันง่วงนอนเลย พอไปรวบรวมจิตให้เป็นสมาธิเพื่อจะพิจารณามันก็ชวนง่วงนอนไปเลย ง่วงนอนอย่างแรงเลยนั่งสมาธิ เขาเรียกว่าสมาธิผิด สมาธิก็ยังมีสมาธิผิดสมาธิถูก มีมิจฉา มีสัมมา ทุกอย่งมีสัมมา มี มิจฉา มรรค ฝ่ายสัมมาก็เป็นมรรค ฝ่ายมิจฉาก็เป็นอมรรค ไม่ใช่มรรค การเห็นผิดทางศาสนาผิด การพูดผิด การกระทำผิด เลี้ยงชีวิตผิด อะไรผิด นี่ก็ไม่ใช่มรรค ถ้าถูกก็เป็นมรรค นี้เรากินอาหารผิดวิธี ก็เป็นข้าศึกแก่การพิจารณาธรรม ถ้ากินอาหารถูกวิธี มันก็ช่วยสนับสนุนแก่การพิจารณาธรรม การนอนก็เหมือนกัน นอนจนเป็นนิสัย เห็นแก่ความสุขของการนอนมันก็ผิด จิตใจไม่สว่างแจ่มแจ้ง ไม่ว่องไวเฉียบแหลม เรื่องกินเรื่องนอนจะต้องทำให้ถูกวิธีอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ สูตรที่เอามาพูดเมื่อคืนนี้ ชาตินี้ การเกิดนี้ ก็จะมีประโยชน์ เมื่อทำอยู่อย่างนี้ทุกวัน ทุกวัน หลาย ๆ เดือนเข้ามันก็ค่อยเป็นเวลาทางดี ง่ายขึ้น ง่ายขึ้น ตอนแรก ๆ จะต้องต่อสู้ ต้องวุ่นวายโกลาหลคือต่อสู้กับกิเลส จนกว่ามันจะเข้ารูป ก็จะเรียบร้อยขึ้น ต้องลงมือด้วยการต่อสู้ จนกว่ามันจะยอมแพ้เรียบร้อย นั้นเราอย่าพึ่งไปท้อถอย อย่าเห็นว่ามันลำบากยุ่งยาก ทุกอย่างมันต้องต่อสู้ก่อนทั้งนั้น เด็ก ๆ เกิดมาเรียนหนังสือ กว่าจะรู้ กว่าจะสอบไล่ได้ เป็นปริญญา ต้องต่อสู้มากมาย และมันยังได้รับประโยชน์ นี้บวชก็เหมือนกัน ก็ต้องต่อสู้ กว่าจะเข้ารูปเข้ารอย ได้รับประโยชน์จากพรหมจรรย์ ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผล นิพพาน ต่อสู้อย่างที่เรียกว่า ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา คำพูดที่เขาพูดได้ดีแล้ว ดีที่สุด ว่าฉะนั้น นี่บวชจริงมันเป็นอย่างนี้ ถ้าต้องการมันก็ต้องทำอย่างนี้ ก็ต้องต่อสู้ ถ้าบวชเล่นสนุกสนุก มันก็อย่างอื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นอยู่โดยมากที่กรุงเทพฯ เล่นหัวไปจนกว่าจะสึก คำพังเพยเมือนี้ ที่อื่นก็อาจจะมี แต่เมืองนี้มีแน่ พูดกันอยู่เรื่องตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ก็ได้ยินแล้ว บวชลี้ บวชลอง บวชกลองเวณี บวชหนีสงสาร บวชผลาญข้าวสุก บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชลี้ คือ หนี หนีเรื่องอะไรมาบวช บวชลองก็ลองดู บวชกลองเวณีคือบวชตามประเพณีพ่อแม่ให้บวช บวชหนีทหารบางคนก็หนีสงสาร หนีของที่มันไม่ชอบ การเป็นทหาร บวชผลาญข้าวสุก นี้ไม่ต้องทำอะไร บิณฑบาตรฉันโดยไม่ต้องทำงานอะไร และก็บวชสนุกตามเพื่อน ก็เพื่อนชวน บวชตามประเพณีไม่มีใครชวน เอาตามประเพณี พ่อแม่ขอร้อง แต่บวชสนุกตามเพื่อน นี้เห็นเพื่อนที่เป็นเพื่อนรักเขาบวช เราก็บวช มันก็น่าหัวทั้งนั้น บวชลี้ บวชลอง บวชกลองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน เมืองหนึ่งหรือภาคหนึ่งมันก็มีคำชนิดนี้ตต่าง ๆ ที่เป็นเณรมันก็มี ว่า เณรสุข เณรสัก เณรลักสาร เณรกินข้าวค่ำ เณรล่ำควาย เณรสุข เณรสัก นี่คือเณรที่ไม่รู้ประสีประสา เณรสุขก็คงจะเล่นสนุก เณรสัก มันก็บ้า ๆ บอ ๆ เณรลักข้าวสาร กินข้าวค่ำ เณรเลี้ยงควายก่อนนี้มีบวชทีพ่อแม่ให้ช่วยเลี้ยงควายขอตัว ไม่ต้องทำอะไร ส่วนที่ใช้ไม่ได้ มันก็เคยมีแล้ว แล้วก็มีมากเหมือนกัน มันห้ามไม่ได้ เรื่องนี้มันต้องมี บางที่บางแห่งมันมีมากไปจนน่าเกลียด แต่ส่วนที่ถูกที่ดีก็ต้องมีมากกว่า อย่างน้อยก็บวชอุตส่าห์เล่าเรียนเป็นดิบเป็นดี บวชปฏิบัติ บวชเผยแผ่ศาสนากันตามเรื่องตามราวหน้าที่ แต่ถ้าคนหนุ่มบวชชั่วคราวอย่างนี้ ก็ต้องถือว่าบวชเพื่อมาเรียนรู้อะไรบางอย่าง สำหรับเอาไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์เมื่อสึกออกไป รู้หัวใจของพุทธศาสนา ส่วนที่จะเอาไปใช้ได้ในเพศฆราวาส ให้มันเป็นประโยชน์มากที่สุด ให้มีความสุขด้วย ทำอะไรได้ดี ได้มากด้วย มีความสุขสบายตลอดเวลาด้วย วันนี้พอแค่นี้ ไปทำอะไรตามความประสงค์ ไปเลี้ยงปลา เลี้ยงสุนัข เลี้ยงหมี ให้ทานประจำวัน ไม่ค่อยมีใครเลี้ยงมัน