แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะปาฏิโมกข์ของเราที่นี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูต่อไปตามเคย เหมือนกับที่ได้พูดมาแล้วว่าไม่มีจบ ถ้าใครเข้าใจความจริงข้อนี้ก็จะเห็นได้เองว่ามันไม่มีจบ เรื่องตัวกู-ของกูนี้พูดได้ไม่รู้จักสิ้นสุดไม่รู้จักจบ เมื่อยังมีกิเลสมีความทุกข์ มันก็เนื่องกับตัวกู-ของกู เมื่อดับกิเลสดับทุกข์เป็นนิพพาน มันก็ยังเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกูอยู่นั่นแหละ คือมันหมดตัวกู-ของกูมันจึงจะเป็นนิพพาน ฉะนั้นเราเห็นได้ว่าเรื่องวัฏฏสงสารกับเรื่องนิพพานนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกู พอมีตัวกูเป็นวัฏฏสงสาร พอหมดตัวกูเป็นนิพพาน ถ้ามันไม่เด็ดขาด มันก็กลับไปกลับมา,กลับไปกลับมา เป็นนิพพานที่ยังไม่จริง เพราะว่าตัวกูมันก็ไม่จริง ถ้าตัวกูมันเป็นเรื่องจริงเสีย มันก็เป็นเรื่องนิพพานไม่ได้ นี่ต้องมองให้เห็นลักษณะอย่างนี้ ถ้าตัวกูมันเป็นของจริง มันก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรื่องนิพพานก็มีไม่ได้ ทีนี้เรื่องตัวกูเป็นเรื่องหลอกเป็นเรื่องไม่จริง ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ดับได้ คือเป็นนิพพานได้ชั่วคราวที่มันดับไม่จริง ถ้าดับจริงมันก็เป็นนิพพานจริง นี้แสดงว่าตั้งแต่ต้นจนปลายเลย มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งๆ นี้ เราเลยพูดเรื่องนี้กันได้ไม่มีจบ แต่ว่าเราอาจจะพูดกันให้เข้าใจได้ดีมากขึ้นยิ่งขึ้น คือมากแง่มากมุมขึ้น แล้วก็แต่ละแง่ละมุมมันก็เข้าใจดียิ่งขึ้น ฉะนั้นอย่าประมาท เพราะว่าไม่อยากจะฟังแล้วเรื่องนี้ หรือไปคิดเสียว่าแกล้งพูดกันให้รำคาญไม่รู้จักจบ ความจริงทุกๆ เรื่อง เรื่องทุกเรื่องมันรวมอยู่ในเรื่องนี้ มันจึงพูดได้ไม่มีจบ ที่แล้วมาก็พูดกันให้เห็นความลำบากยุ่งยากเกี่ยวกับตัวกู นี่ก็ต้องทบทวนไว้ ต้องทำความเข้าใจไว้ ไม่อย่างนั้นมันก็พูดแล้วมันก็ลืม พูดแล้วมันก็เลือน
ครั้งที่แล้วมาสองสามคราว เราพูดกันเรื่อง ตั้งใจจะทำให้ดี มันกลายเป็นไม่ได้,ไม่ได้ดี เพราะถ้าจะทำด้วยตัวกูแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะดีได้ ทีนี้คนมันไม่รู้ มันก็จะเอาตัวกูให้ดี มันจะเอาดีด้วยตัวกู มันก็ทำไม่ได้ เพราะว่าตัวกูมันเป็นของที่ไม่ดี เดี๋ยวจะว่าให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้ก็ขอให้สังเกตเฉพาะในแง่ที่เรากำลังกระทำผิดๆ กันอยู่นี้ให้มันเห็นชัด ยิ่งทำบุญกลายเป็นยิ่งไม่มีบุญสักนิดหนึ่ง ไม่รู้ทำกันอย่างไร ทำบุญกันเกือบเป็นเกือบตาย หมดเปลืองก็มาก จนกระทั่งตัวตายไปก็มี,ทำบุญนี้ แล้วก็ไม่เห็นว่ามันได้บุญกันสักนิดหนึ่ง บางทีก็เป็นอยู่กับพวกพ้องญาติโยมของเราเองก็ได้ หรือเป็นกับตัวเราเองก็ได้ เพราะมันเอาตัวกูเข้าไปใส่เข้าไว้เรื่อย ยิ่งตัวกูแก่จัดเท่าไหร่มันก็ยิ่งไม่เป็นบุญ ด้วยคิดว่าทำบุญ ตั้งใจทำบุญ ก็ทำจริงๆ ด้วย ทำไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย มันก็ไม่เกิดเป็นบุญขึ้นมา คือมันไม่ล้างบาป มันไม่อาจจะล้างบาป มันได้อะไรก็ไม่รู้ เพราะเข้าใจคำว่าบุญผิด ไม่มองเห็นว่าบุญจริงๆ นั้นมันล้างตัวกู ยิ่งถ้าเราทำแล้วมันไม่ล้างตัวกู มันเพิ่มตัวกู มันก็ไม่ใช่บุญ ยิ่งทำบุญก็ยิ่งไม่เห็นบุญ นี้ก็เป็นความผิดที่กระทำกันอยู่ หรือว่ายกตัวอย่างอีกอันหนึ่งว่า ยิ่งพูดธรรมะ ยิ่งไม่มีธรรมะ คนที่ยิ่งพูดธรรมะยิ่งสอนธรรมะนี้ ยิ่งไม่มีธรรมะก็มี บางทีก็ใช้คำว่าบำเพ็ญธรรมะ ประพฤติธรรมะด้วยซ้ำไป มันก็ยิ่งไม่มีธรรมะก็ได้ นี้มันทำด้วยมานะทิฏฐิตัณหาอะไรซึ่งเป็นตัวกูทั้งนั้นเลย มันรู้จักธรรมะแต่เพียงว่าชื่อ แล้วก็ว่าเป็นสิ่งที่จะให้ได้ดีวิเศษวิโสอะไรไป
ทีนี้ยังมีธรรมะชนิดที่พูดด้วยปากได้ ใครๆ ก็พูดได้ ไปจำเขามาแล้วพูดได้ ไม่ต้องมีธรรมะจริงมันก็พูดได้ นี่ สังเกตดูให้ดีๆ นะ ผู้พูดนั้นไม่มีธรรมะ ไม่ต้องมีธรรมะจริง มันก็พูดธรรมะได้ เพราะมันไปเรียนในโรงเรียนมาก็ได้ อ่านเอาก็ได้ นึกๆ คิดๆ เอาก็ได้ เลยพูดธรรมะสอนธรรมะกันอยู่ มันก็ไม่มีธรรมะทั้งผู้พูดและผู้สอนและผู้ฟัง มันก็ไม่มีธรรมะอยู่นั่นแหละ นี่มันทำผิดเกี่ยวกับเรื่องตัวกู-ของกู พวกครูบาอาจารย์ที่สอนธรรมะนั่นแหละจะต้องระวังให้มากในข้อนี้ ทีนี้มันก็เลยเนื่องกันไปถึงกับข้อที่ว่า ยิ่งอวดมันก็ยิ่งหมด กิเลสที่เป็นเหตุให้อยากอวดนี้มันมีกันอยู่ทุกคน มันเป็นสัญชาตญาณมาแต่สัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำไป อย่าเข้าใจว่าสัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักอวดนะ มันรู้จักอวดเหมือนกันแหละ แต่มันน้อย มันยังอย่างต่ำ มันอยากจะเบ่งทับกัน อยากอะไรกันเหมือนกัน แต่มันยังไม่ชัดเจนมากเหมือนกับคน ฉะนั้นเราจึงถือว่าความรู้สึกอยากอวดนี้มันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งที่มีความรู้สึกคิดนึก
ทีนี้ทางธรรมะนี้ไม่ได้ ยิ่งอวดยิ่งหมดเลย เพราะว่าการอวดนั้นมันเป็นอธรรม เป็นกิเลส เป็นอธรรม เป็นการประพฤติผิด ซึ่งไม่ใช่ธรรม,ซึ่งไม่ใช่ธรรมะนะ ยิ่งอวดเลยยิ่งไม่มีธรรมะ เพราะมันยิ่งทำความไม่มีธรรมะ ก็ยิ่งไม่มีธรรมะ ของบางอย่างอาจจะอวดได้ แต่ถ้าเกี่ยวกับธรรมะแล้วอวดไม่ได้ ขืนอวดก็ไม่ใช่ธรรมะ แล้วมันก็ไม่มีธรรมะ ยิ่งอวดยิ่งหมด ยิ่งอวดมากเท่าไหร่ยิ่งมีกิเลสหนาขึ้น ก็เลยยิ่งไม่มีธรรมะ ฉะนั้นอย่ามักอวดโดยตรงหรือโดยอ้อมโดยปริยายนี้ก็อย่าไปอวด อวดตรงๆ ก็ยิ่งน่าเกลียด ยิ่งอวดยิ่งหมด ยิ่งอวดยิ่งน่าเกลียด ยิ่งมีคนชังน้ำหน้า อวดโดยอ้อมอวดโดยปริยายอะไร เขาก็ฟังออกว่ามันเป็นเรื่องอวด เขาไม่อยากฟังแล้ว มันก็ขาดทุน ยิ่งอวดยิ่งหมด แล้วผู้คนเขาก็ยิ่งเกลียด มันเป็นเรื่องขาดทุนไม่มีอะไรเหลือ แต่มันเป็นกิเลสที่เคยชิน เป็นวิเสวนะประเภทหนึ่งด้วยเหมือนกัน เคยชินมาแต่อ้อนแต่ออก มันก็ละยาก ควบคุมยาก
คนอวดมันก็ตั้งใจว่าจะดี มีเกียรติ มันจึงไปอวดเขา เขาคิดว่าจะให้ตัวเขาดี แต่ไม่รู้ว่านั่นมันไม่ดี ยิ่งจะทำให้ดียิ่งไม่มีดี คำนี้ถ้าฟังไม่ดีก็ยิ่งปนกันยุ่งหมด เรามีจิตใจบริสุทธิ์ตั้งใจจะทำให้ดี แต่มันมีปัญหาว่าที่คิดอยากจะทำให้ดีนั้นมันด้วยความโง่หรือด้วยความฉลาด คือมันด้วยกิเลสตัณหาหรือว่าด้วยสติปัญญา เพราะว่าเราสังเกตเห็นอยู่ทั่วๆ ไป ทั่วๆ ไปเลยไม่ว่าที่ไหนก็มีคนที่ตั้งใจจะทำให้ดี แต่แล้วมันยิ่งเกิดผลตรงกันข้าม บางทีคนใช้ลูกจ้างนี้มันก็ตั้งใจจะทำให้ดี แต่แล้วมันผิดก็มี กลายเป็นรำคาญก็มี ในบางกรณีทำให้ฉิบหายหมดเลยก็มีด้วยความตั้งใจดี เขาเล่าเป็นเรื่องนิทานล้อๆ กันไว้ ก็ได้ยินได้ฟังกันอยู่ เราลำบากด้วยคนที่ไม่มีสติปัญญานั้น การยิ่งจะทำให้ดีของเขานี้มันกลับเป็นทำให้เรารำคาญ นี่มันลำบาก มันต้องมีสติปัญญาเข้ามาด้วย การทำดีนั้นมันจึงจะเป็นเรื่องที่ดีได้ ทีนี้เมื่อคนใช้หรือคนโง่เขาทำอย่างนั้นได้ เราก็อย่า,อย่าอวดไป มันอาจจะทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน เพราะว่าเรามันก็โง่อีกชั้นหนึ่งอีกระดับหนึ่ง เราอาจจะทำอะไรที่ให้คนอื่นรำคาญได้เหมือนกัน ก็ยิ่งจะทำให้ดี กลายเป็นยิ่งไม่มีอะไรดีเกิดขึ้น เพราะมันทำไปด้วยความโง่ด้วยอวิชชาซึ่งเรียกว่าตัวกูอีกแหละ ตัวกูมันอยากจะยกหูชูหาง คือทำไปมันก็ได้แต่หูและหาง มันก็ไม่มีอะไรที่ดี ยิ่งทำดีจะยิ่งกลับมีผลบาปมากขึ้นก็ได้ เพราะมันทำไม่เป็น อยากดีอยากเด่น คำนั้นมันดีอยู่เมื่อไหร่ล่ะ ถ้าพูดว่าอยากดีก็ค่อยฟังได้ พออยากเด่นแล้วก็ฉิบหายหมด
ทีนี้คำว่าอยากดีนั้นก็ยังจะพอสังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นเอากันแต่เพียงว่ารู้ว่าอะไรมันจะดับทุกข์ได้ แล้วอุตส่าห์ทำไปดีกว่า อย่าไปมุ่งหมายจะดีจะเด่นอะไรเข้า มันอันตราย มันระวังยาก ถ้าเราจะไปเอาดีเอาเด่น ไปนึกดีนึกเด่นแล้วมันระวังยาก แล้วเผลอมันอันตราย ให้ลืมเสีย เรื่องดีเรื่องไม่ดีนั้นให้ลืมเสียที เอาแต่ว่าอย่างไรมันจะกำจัดกิเลสได้ก็เอาอย่างนั้น ก็ทำไปเรื่อยๆ มันจะให้ได้ผลที่แท้จริง และมันก็ดีที่สุดโดยที่ไม่ต้องเรียกมันว่าดี นี่ยกตัวอย่างสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งใช้ไม่ได้ มันก็ยิ่งตีมันก็ยิ่งด้าน นี้มันก็มีอยู่ทั่วไป ไม่ใช่ว่ายิ่งตีแล้วมันจะยิ่งเชื่อฟัง มันยิ่งด้านก็มี เพราะว่ามันตีไม่เป็นหรือมันไม่ควรจะตีแล้วไปตีมันเข้า
ทีนี้ที่มันร้ายที่สุดก็คือว่า ยิ่งจะไปเอาชนะเขา มันยิ่งแพ้ ยิ่งจะไปเอาชนะคนอื่น ยิ่งจะไปเอาชนะอะไรแล้ว มันจะยิ่งแพ้ ยิ่งประชดเขามันก็ยิ่งเชือดคอตัวเอง ฉะนั้นเรื่องกิเลสที่เป็นเหตุประชดผู้อื่นนั้นเป็นโทษที่ลึกลับซับซ้อนและเป็นวิเสวนะด้วยเหมือนกัน มันเคยชินมาแต่เล็ก เด็กเล็กๆ ยังพูดประชดเป็น ทำแดกดันเป็นอะไรเป็น แล้วโตขึ้นมาด้วยการกระทำอย่างนี้ นั้นมันยิ่งเชือดคอตัวเอง คือมันใกล้อันตรายมากขึ้น,ใกล้อันตรายมากขึ้น จนถึงวันหนึ่งมันจะทำให้ตัวเองจะต้องเสียหายคือตายไปเลย แต่คนก็คิดว่าไปประชดเขาให้เขาเข็ด ประชดบ่อยๆ ให้เขาเข็ด ให้เขายอมแพ้ คิดว่ายิ่งจะประชดมันก็ยิ่งจะชนะ ที่จริงมันยิ่งแพ้ และในที่สุดมันจะยิ่งเป็นการเชือดคอตัวเอง เพราะว่าการประชดนั้นมันก็ทำไปด้วยตัวกู-ของกูที่มันเดือดจัดที่สุดเลย ถ้ามันไม่มีตัวกู-ของกูที่เดือดจัดมันประชดใครไม่ได้ มันรู้อยู่นี่ว่าอะไรผิดถูกชั่วดี มันรู้อยู่ แล้วมันจะประชดใครได้ พอตัวกูมันเกิดแล้ว ไม่รู้ ชั่วนั่นแหละจะยิ่งอยากจะประชด รู้ว่าประชดนี้มันไม่ดี ก็ยังอยากจะประชด นี่ฤทธิ์เดชตัวกู-ของกูมันเกิดขึ้น มันก็ทำสิ่งที่เป็นอันตรายแก่ตัวเอง
นี่ตัวอย่างเหล่านี้ เรียกว่ามันเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้ว เป็นสิ่งที่เกือบจะไม่ต้องยกมาเป็นตัวอย่าง,ใช่ไหม แต่ผมก็ขอเรียกว่ายกมาเป็นตัวอย่าง คือเพียงแต่เตือนให้นึกได้ เพราะใครๆ มันก็เคยผ่านมา รู้จักสิ่งเหล่านี้ดี ไม่ต้องยกมาเป็นตัวอย่าง ก็รู้ดีอยู่ในใจ แต่ว่ามันลืมเสียนี่ ก็เลยยกตัวอย่างมา ให้นึกได้ขึ้นมาอีก ว่าตัวกูนี้เป็นปัญหาหนักแก่ทุกคน
นี่ สองสามครั้งที่แล้วมา เราพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ฉะนั้นวันนี้ก็จะพูดโดยหัวข้อสรุปว่า ตัวธรรมะกับตัวกูนี้มันอยู่กันไม่ได้ ก็จะมองเห็นได้จากที่พูดมาแล้วนั้นว่าตัวธรรมะกับตัวกูนี้มันอยู่กันไม่ได้ มันอยู่กันไม่ได้อย่างยิ่ง ยิ่งกว่าอะไรๆ ที่มันจะอยู่กันไม่ได้ ฉะนั้นเราก็พิจารณาดูให้ดี ถ้ามีตัวกูก็ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะอยู่ ตัวกูก็ไม่มีไม่ปรากฏ มันต้องมาคนละทีกันเสมอ เหมือนกับความมืดกับความสว่างนี้มันอยู่รวมกันไม่ได้ ถ้าความสว่างอยู่ก็ไม่มีความมืด ความมืดอยู่ก็ไม่มีความสว่าง เราจัดตัวกู-ของกูนั้นเป็นความมืด และเมื่อจิตมันปราศจากตัวกู-ของกูมันก็มีความสว่าง ที่สว่างหรือไม่มีตัวกู-ของกูนั่นแหละคือตัวธรรมะ ฉะนั้นอย่าไปหาธรรมะที่ไหนให้มันยิ่งโง่มากไปอีก มันไม่ต้องไปหาที่ไหน มันก็หาที่ในชีวิตจิตใจนี้ เมื่อมันปราศจากความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกู มันก็เป็นธรรมะทันที เมื่อนั้นมันมีธรรมะ เมื่อนั้นอยู่ด้วยธรรมะหรือมีธรรมะ นั่นตัวกูหายไป ถึงจะศึกษาเล่าเรียนมันก็ยังไม่แน่ ถ้ามันไม่มีตัวกู-ของกูก็เรียกว่ามีธรรมะเมื่อศึกษาเล่าเรียน แต่ถ้ามันเรียนเพื่อมีตัวกู-ของกู มันก็ไม่มีธรรมะ หรือว่าจะปฏิบัติธรรมะ ทำกรรมฐาน ทำวิปัสสนา ทำความเพียรอย่างยิ่งยวดเลย มันกลายเป็นตัวกู-ของกูไปเสียหมดก็ได้ ถ้ามันทำไปด้วยอำนาจมานะทิฏฐิอะไรต่างๆ นี้ ทีนี้พอไม่มีตัวกู-ของกูมันก็เป็นธรรมะ แม้ไม่ได้ไปนั่งปฏิบัติเคร่งครัดอยู่ที่ไหน มันก็มีธรรมะ ฉะนั้นการปฏิบัติเคร่งครัดนั้นเขาเพื่อจะให้กำจัดตัวกู-ของกูยิ่งขึ้นไปอีกเท่านั้นแหละ พอเรารู้ว่าเรามีจิตใจอย่างนี้มันไม่เกิดตัวกู-ของกู ก็เอาจริงอย่างนั้นให้มากขึ้น รักษาความเป็นอย่างนั้นไว้ให้มากขึ้น ไว้ให้นาน ไว้ให้เคยชินเป็นนิสัย แต่แล้วก็ไม่ได้จำเป็นหรือหมายความว่าจะต้องไปอยู่คนเดียว ทำอะไรอยู่คนเดียวตลอดเวลา,ไม่ใช่ ทำอะไรไปด้วยก็ได้ จะได้เป็นเครื่องทดสอบ จะได้เป็นเครื่องยั่วว่าตัวกู-ของกูจะเกิดหรือไม่เกิด มันคล้ายๆ กับว่าถ้ากางมุ้งเสียยุงก็ไม่กัด มันก็มีศีล ไม่ตบยุง แต่พอออกมานอกมุ้ง มันจะรู้ดี ฉะนั้นควรจะอยู่กับสภาพแวดล้อมตามธรรมดานี้ ซึ่งมันจะเกิดตัวกูก็ได้ ไม่เกิดก็ได้ ก็รักษาจิตใจให้มันถูกวิธี ถ้าตัวกู-ของกูไม่เกิด ให้ถือว่ามีธรรมะอยู่ เป็นธรรมะอยู่ หรือมีธรรมะอยู่ เป็นที่พึ่งแก่เราได้ เป็นสวรรค์ทันตาเห็น พูดแล้วเดี๋ยวจะไม่เชื่อ เรียกว่าสวรรค์ทันตาเห็น ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว พอไม่มีโรคนี้รบกวนมันก็มีความสุขเหมือนกับสวรรค์แหละ ทีนี้ต่อให้ไปอยู่ในสวรรค์อย่างที่ว่าๆ กันนั้นแหละ และก็ไปนั่งกำหนัดขัดเคืองอะไรกันอยู่ มันก็ไม่ใช่สวรรค์ ไปอยู่กับพวกนางฟ้าเทพธิดาเป็นฝูงๆ อะไรนี้ มันจะมีจิตใจเป็นอย่างไรบ้าง มันก็ต้องมีรัก มีโกรธ มีอะไร มันก็ไม่ใช่สวรรค์แล้ว
เพราะฉะนั้นอยู่ที่ไหนก็ตามใจ ถ้าว่าจิตใจมันเยือกเย็น ไม่มีความรู้สึกลำบาก ไม่กระทบกระทั่งอะไรหมด มันก็เป็นสวรรค์ทั้งนั้นเลย ฉะนั้นทุกคนมันอาจจะขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นหรือว่าอยู่ในสวรรค์ทั้งเป็นได้ทั้งนั้นแหละถ้ามันถือธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ มันไม่โกรธ มันไม่รัก หรือมันไม่หลงไปในเรื่องที่ทำให้ร้อน เป็นคนจนก็ได้ ก็ทำมาหากินไปตามแบบคนจน ก็พอใจสบายใจ ยิ้มอยู่ข้างในก็ทำไปเรื่อย มันทำถูก นี่เพราะว่ามันทำถูก มันก็ไม่ยากจน มันก็แก้ความยากจนได้ หรือว่ามันเจ็บไข้นี้มันก็แก้ไขรักษาไปโดยไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน อย่าไปกลัวมันสิ พอไปกลัวเข้า มันก็ตกนรกหรือเป็นอบายชนิดหนึ่ง นี้เราก็ไม่กลัว ก็รักษาไปก็ได้ หัวเราะไปก็ได้ รักษาไปก็ได้ มันก็ยังเป็นสวรรค์อยู่นั่นแหละแม้ว่าเจ็บไข้อยู่นี้ คือไม่มีความอะไรที่เดือดร้อนกระวนกระวายกระทบกระทั่งอยู่ในจิตใจ นี้คือสวรรค์ที่แท้จริง ขึ้นสวรรค์ชนิดที่แท้จริงนี้ได้ทั้งเป็นๆ อยู่ในสวรรค์นั้นได้ทั้งเป็นๆ ทั้งที่เป็นมนุษย์อย่างนี้แหละ นั้นมันเป็นจริง คือสวรรค์ที่แท้จริง ข้อแรกก็อย่าโกรธ พอโกรธมันก็เป็นสัตว์นรก เดี๋ยวก็ประชดประชันออกมา เดี๋ยวก็ถูกตบหน้า นั่นก็จะเป็นสวรรค์ได้อย่างไร มันก็เป็นนรก ทีนี้มันไม่โกรธ มันจะทำอย่างไร มันก็ไม่มีความทุกข์ หรือมันไม่กำหนัดขัดเคืองอะไร ไม่มีความทุกข์ ฉะนั้นสุนัขและแมวมันมีโอกาสขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นมากกว่าคน มันก็ไม่ค่อยจะมีเวลาที่โกรธหรือกัดกันอะไรมากมายนักหรอก เพราะมันคิดไม่เป็น มันทุกข์ไม่เป็น มันจะมีกัดกันบ้างก็ชั่วเล็กๆ น้อยๆ เดี๋ยวมันก็เลิกกัน ไม่มีอาฆาตพยาบาทไปเอามาคิดนึกให้เป็นนรกหมกไหม้อยู่ในจิตในใจนี้มันไม่มี
แต่ว่านี้ไม่ใช่พูดให้ไปเป็นหมาเป็นแมว ก็เป็นเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าอย่ามีจิตใจชนิดที่มันเดือดร้อนกระวนกระวายกระทบกระทั่งแล้วมันก็เป็นสวรรค์อยู่เรื่อย จะเรียกว่านิพพานก็ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าไหร่หรอก หรือจะลดลงมาให้เหลือเป็นเพียงสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นกันได้ทุกคน ไม่ว่าคนจน คนมี คนเศรษฐี คนอะไรก็ตาม ถ้าว่าเขาทำเป็นนะ มันก็มีอยู่ในสวรรค์,ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น อยู่ในสวรรค์ทั้งเป็นกันได้ทั้งนั้นแหละ มันคือมีธรรมะนั่น มันเป็นธรรมะอยู่นั่น มันร้อนไม่ได้ มันเย็นอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสแล้วตรัสเล่าตรัสอีกอยู่นั่นแหละว่า จงมีธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด จงมีธรรมะเป็นแสงสว่างเถิด คือมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นแสงสว่าง มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นแสงสว่างคือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นแสงสว่าง คือพระพุทธภาษิตนี้มันจะไม่แยกกัน จะพูดติดกันไปทันควันเลย ชั้นแรกก็จะให้ว่า มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นแสงสว่าง และก็ว่านั่นมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นแสงสว่าง ก็เพื่อจะป้องกันว่า คำว่าตนๆ ในที่นี้ ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู มันเป็นตนของธรรมะ เป็นตัวของธรรมะ แต่ถ้ามันเป็นตัวกู-ของกู มันไม่ใช่ธรรมะ มันคนละอย่างคนละอัน มันอยู่กันไม่ได้ ถ้าตัวธรรมะอยู่ ตัวกู-ของกูมันก็ไม่อยู่ ฉะนั้นท่านจึงตรัสให้ชัดลงไปว่า มีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นแสงสว่างเถิด คือมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นแสงสว่าง นั้นคือการกำหนดตั้งไว้ซึ่งสติที่เรียกว่าสติปัฏฐาน ข้อความเท่านี้มันก็พอแล้ว มันก็ชัดอยู่แล้ว ผู้ที่จะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นแสงสว่าง ก็คือต้องมีธรรมะ ทีนี้มีธรรมะได้ก็คือสติปัฏฐานะ คือการตั้งไว้เฉพาะซึ่งสติ คือมีสตินั่นแหละพูดง่ายๆ มีสติก็มีธรรมะ มีธรรมะก็มีตนชนิดที่ได้ที่พึ่ง ไม่เป็นทุกข์
ฉะนั้นเรื่องมันก็แคบเข้ามาพอที่จะมองเห็นได้ในชีวิตประจำวัน พอความรู้สึกประเภทตัวกู-ของกูเกิด มันก็เป็นนรกขึ้นมาในอกในใจ พอมันไม่เกิดมันก็เป็นธรรมะเป็นตัวธรรมะอยู่ มันก็เย็นสบาย อย่างนี้เราเรียกว่ามันเป็นสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์บ้าๆ บอๆ อย่างที่เขาปรารถนากัน คำว่าสวรรค์นี้มีความหมายหลายแบบ ขืนไปจำกัดความหมายเพียงแบบเดียวแล้วทะเลาะกันตายเลย สวรรค์ของคนโง่ก็อย่าง สวรรค์ของคนฉลาดก็อย่าง สวรรค์ในพุทธศาสนานี้ก็อีกอย่าง สวรรค์ในศาสนาอื่น เช่นศาสนาคริสเตียนเป็นต้นมันก็อย่างหนึ่ง สวรรค์ที่เราพูดๆ กัน หรือว่าที่เขียนภาพไว้ตามฝาผนังโบสถ์นี้ก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า มันของคนที่พูดกันมาก่อนๆ สอนกันมาก่อนๆ ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดในประเทศอินเดียนั่น มันเป็นสิ่งที่เล่าที่บอกกันอยู่ในระหว่างชาวบ้านทั้งหลายมาแต่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดว่าสวรรค์เป็นอย่างนั้นๆ แล้วคนก็หลงกันอยู่ ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ต้องลำบากมาก ไม่ต้องเหนื่อยมาก ก็เลยใช้สวรรค์นี้เป็นเครื่องมือว่า ต้องทำดีกันสิ ถ้าต้องการสวรรค์ แต่ไม่ได้ระบุว่าชนิดไหนนะ ให้มันเป็นสวรรค์เถอะ มีความสุขอย่างที่พอใจกันนัก ต้องทำความดี ต้องปฏิบัติธรรม แต่ถ้าเป็นสวรรค์อย่างของพวกคริสเตียนนั้น ก็เป็นสวรรค์นิรันดร เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ไม่มีกามารมณ์อะไรเหมือนกับสวรรค์ของพวกชาวอินเดียพื้นบ้านที่ว่ากันก่อนๆ พระพุทธเจ้าเกิด ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่าสวรรค์ๆ แล้วก็ต้องระวังไว้ก่อน เพราะมันมีหลายแบบหลายความหมาย อย่าไปพูดอะไรให้มันก้าวก่ายกันเข้า เดี๋ยวก็จะลำบากเอง
ทีนี้เรามาพูดกันใหม่ว่า สวรรค์ตามความหมายของเราคือเย็นสบาย ไม่ร้อนดี อยู่ในธรรมชาติที่สงบเย็น เพราะยังมีตัวตนอยู่ ยังไม่ละตัวตนได้ ก็มีตัวตนที่เป็นธรรมะ อย่ามีตัวกู-ของกูที่เป็นภูตผีปีศาจ มันมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีสติอยู่ ก็ว่าจะเหมือนกับอยู่ในสวรรค์ตลอดเวลา ทีนี้ถามว่าสติที่ว่ามีอยู่ ตั้งไว้ซึ่งสตินั้น สติอะไรกัน มันก็เพียงแต่สติว่าอย่าให้ตัวกู-ของกูมันเกิดขึ้นมา มันมีเท่านั้นเอง เรื่องสติปัฏฐานนี้จะอธิบายกันแบบไหน อย่างไหน สูตรไหน อะไรก็ตามมากมายเหลือเกิน แต่ใจความมันมีนิดเดียว อย่าเผลอให้ตัวกูมันเกิดขึ้นมา นั่นมันมีเท่านั้น นั่นแหละคือสติ ดำรงสติไว้ในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว ตัวกูมันเกิดไม่ได้ พอเผลอก็เรียกว่าไม่มีสติหรือเผลอสติ มันก็เกิดขึ้นเท่านั้นแหละ ฉะนั้นอะไรก็พอจะรู้กันอยู่แล้ว แม้ไม่มีใครสอนมันก็รู้เอง พอสติเผลอ ตัวกูเกิด มันก็ตบหน้าให้ทีหนึ่งแหละ แต่คนมันหน้าด้าน มันไม่รู้จักหลาบจักจำ ถูกตบหน้ามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งบัดนี้ มันก็หน้าด้าน มันไม่รู้จักจำ ยิ่งไม่มีใครเห็นด้วย มันไม่รู้จักละอาย ฉะนั้นใครจะแก้ตัวว่าผมยังไม่ได้รับคำสั่งสอนเรื่องนี้ ยังไม่มีความรู้เรื่องนี้,ไม่ได้ เพราะว่ามันสอนมาแล้วตั้งแต่แรกเกิดโดยธรรมชาติ ก็เป็นหน้าที่ที่ว่าจะต้องรู้ว่านี้อันตราย นี้ควรจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น นี้ก็สอนได้ด้วยตัวเอง ก็ทำได้ด้วยตัวเอง เหมือนอะไรที่มันทำได้ด้วยตัวเองไปตามสัญชาตญาณ พอหิว ทำไมจึงไปกินข้าวได้ล่ะ หรือว่าต้องการอะไร ทำไมจึงทำอย่างนั้นได้ พอหนาวขึ้นมาทำไมจึงไปซุกหาที่มันอบอุ่น มันต้องทำได้ในลักษณะอย่างนั้น พอตัวกูเกิดขึ้นมา มันตบหน้าเอา มันกัดเอา มันอะไรเอา มันก็เจ็บปวด มันก็ควรจะเข็ดหลาบแล้วก็รู้จักระวังจิต อย่าปล่อยให้จิตตั้งอยู่อย่างนั้นหรือดำเนินไปอย่างนั้น ตัวกูมันจะเกิดขึ้นมาอีก นี่เพียงแต่ระวังกันอย่างนี้สักหน่อยเท่านั้นแหละ มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ยิ่งขึ้นทุกที
เดี๋ยวนี้มันมีอะไรอย่างหนึ่ง ไม่กลัว ไม่จำ ไม่เข็ดหลาบ นี้มันเป็นเรื่องของอวิชชา ของโมหะ ของความขี้ลืม มันลืมเสียทุกที มันก็เลยอยู่กันแต่กับความกระทบกระทั่งในจิตใจเหมือนกับนรกอยู่บ่อยๆ ทีนี้มันยังแถมมีของมายั่ว ยิ่งสมัยนี้แล้วก็มีอะไรยั่วมากกว่าสมัยก่อน ลำบากมากมนุษย์สมัยนี้ ความเจริญแบบที่ยั่วนี้มันเข้ามา มันก็ทำให้ทะเยอทะยานไม่มีที่สิ้นสุด มันก็เลยรักษาสติหรือว่าระวังตั้งสติได้ยากขึ้น แม้แต่เรื่องกินอย่างเดียวแหละ ถ้ามันมีของง่ายๆ กินอยู่พอกันตาย มันก็ไม่เผลอสติเรื่องกิน ทีนี้ถ้ามันมีอะไรมายั่วให้กินแปลกๆ มันก็มีการเผลอในเรื่องกินได้มากขึ้น ฉะนั้นขอให้พิจารณาดูให้ดีว่า พอมันเผลอสติแล้ว ก็ไม่มีธรรมะ พอไม่มีธรรมะมันก็ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ตัวกู-ของกูที่เป็นกิเลสเป็นภูตผีปีศาจมันก็เกิดขึ้นครอบงำเอา
นี่มันมีใจความสำคัญที่พอสรุปได้ว่า ตัวธรรมะกับตัวกูนั้นมันอยู่ด้วยกันไม่ได้ ร่างกายของคนเรานี้มันเป็นเหมือนกับว่าบ้านเฉยๆ หรือกระท่อมร้างยังจะดีกว่า เปรียบเหมือนกับกระท่อมร้าง ทีนี้เดี๋ยวผีมาอยู่ เดี๋ยวคนมาอยู่ เดี๋ยวมนุษย์มาอยู่ เดี๋ยวผีมาอยู่ เดี๋ยวมนุษย์มาอยู่ มันสลับกันอยู่อย่างนี้ในร่างกายนี้ที่ยังเป็นๆ ที่ยังมีความรู้สึกทางอายตนะ ทางอะไรครบถ้วนอยู่นี้ เหมือนกับที่อาศัยอะไรอันหนึ่ง เดี๋ยวคนมาอยู่ เดี๋ยวผีมาอยู่ เดี๋ยวคนมาอยู่ เดี๋ยวผีมาอยู่ ระบุชัดลงไปเลยก็ได้ว่า พอเกิดตัวกู-ของกูขึ้นในจิตเท่านั้นแหละ เดี๋ยวผีอยู่แล้ว แค่นั้นผีมาอยู่แล้ว พอว่างจากนั่นมันก็มีธรรมะอยู่แล้ว นี่คือมนุษย์,สัตว์มนุษย์อยู่ มันจะเหมือนกันอย่างไรได้ ร่างกายนี้แท้ๆ ร่างเดียวนี้แหละ พอผีเข้ามาอยู่ก็ไปอย่าง พอมนุษย์มาอยู่ก็ต้องไปอีกอย่างหนึ่ง
ทีนี้เราก็สังเกตดูกับเรื่องที่เราเคยพูดกันมามากที่สุดชุดหนึ่งที่มันเกี่ยวกับมนุษย์อย่างที่แยกกันไม่ได้ที่ผมพูดว่า ให้จำไว้ง่ายๆ เรียกว่า ๓ ก. คือเรื่องกินอย่างหนึ่ง เรื่องกามอย่างหนึ่ง เรื่องเกียรติอย่างหนึ่ง เรื่องกินเรื่องกามเรื่องเกียรติ นี้เรียกว่า ๓ ก. พูดบ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ เป็นสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับมนุษย์ มันแยกกันไม่ได้ แล้วมันเป็นสัญชาตญาณ เคยพูดแล้วนะ ไม่ควรจะพูดอีก ว่าเราจะต้องมีการกินอาหาร จะต้องมีการสืบพันธุ์ จะต้องมีเกียรติ รู้สึกในความมีเกียรติ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น สัตว์เดรัจฉานก็กินอาหาร ก็สืบพันธุ์ แล้วก็พอใจที่เรียกว่ามีเกียรติ แม้แต่สุนัขนี้มันอยากให้เรารัก มันประจบ มันพยายามที่จะทำให้ถูกใจ บางเวลามันก็กระโดดโลดเต้นร่าเริงรู้สึกพอใจ บางทีสัตว์บางชนิดมันก็อยากจะอวดความเก่งความสวยความอะไรของมัน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้เป็นสัญชาตญาณ เพราะฉะนั้นมันจึงมีในสิ่งที่มีชีวิต
แต่ทีนี้ลองเปรียบเทียบดู ถ้าว่าชีวิตนั้นกำลังมีตัวกู-ของกู แล้วเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินี้มันจะเป็นอย่างไร แต่ถ้าว่าในชีวิตนั้นกำลังว่าง ไม่มีตัวกู-ของกู มีแต่ธรรมะอยู่ แล้วเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้นมันจะเป็นอย่างไร ถ้ามันมีกิเลสตัวกู-ของกูสิงอยู่ในร่างกายนี้ มันก็กินอาหารอย่างตะกละเหมือนกับอย่างกินเหยื่อกินของอร่อย อยากอร่อย กินอย่างอร่อย ต้องไปเที่ยวเลือก เที่ยวหา เที่ยวจู้จี้ กระทั่งว่ามันต้องนั่งรถยนต์ไปกินอาหารอร่อยๆ ที่ต่างอำเภอ ต่างจังหวัดก็มี เดี๋ยวนี้ที่กรุงเทพฯ เขาทำกันมาก นี่เพราะตัวกู-ของกูมันจัดขึ้นมา มันก็กินเหยื่อ ไม่ใช่กินอาหารหรอก แต่พอจิตใจมันปรกติมีธรรมะ เมื่อนั้นเขาเรียกว่ามันกินอาหาร คือมันกินเท่าที่ถูกเท่าที่ควรเท่าที่ไม่ทำความยุ่งยากลำบาก ไม่จู้จี้พิถีพิถัน ฉะนั้นเราพูดได้เลยว่า ตัวกู-ของกูมันกินเหยื่อที่ติดเบ็ดที่ลากหัวมันไปให้เที่ยวหาเหยื่อกิน แต่ถ้ามีธรรมะ จิตใจที่มีธรรมะ มันก็กินอาหารตามธรรมดาเหมือนพระเณรกินด้วยปัจจเวกขณ์นี้ อย่างนี้เรียกว่าบริโภคอาหารกินอาหาร ไม่ใช่กินเหยื่อ ทีนี้กินเหยื่อมันคือตกนรก กินอาหารก็คือไม่ได้ตกนรก คือตามปรกติ เรียกว่าปรกติ เหมือนกับอยู่ในสวรรค์
ทีนี้เรื่องกามารมณ์ เรื่องที่ ๒ เรื่องกาม,เรื่องกามารมณ์นี้ ถ้ามันเป็นเรื่องตามธรรมชาติของสติสัมปชัญญะ มันก็เป็นเรื่องการสืบพันธุ์ สิ่งที่มีชีวิตมันมีสัญชาตญาณที่จะต้องสืบพันธุ์ ต้นไม้ก็สืบพันธุ์ สัตว์เดรัจฉานก็สืบพันธุ์ คนก็สืบพันธุ์ ไปตามความต้องการของความรู้สึกในร่างกายที่มันสร้างมาเพื่ออันนั้น แต่ถ้ามันเกิดกิเลสตัณหาท่วมทับขึ้นมา มันกลายเป็นเรื่องมัวเมา ก็เรียกว่ากามารมณ์ อย่าทำสะเพร่าๆ เห็นว่าคำว่าสืบพันธุ์กับคำว่ากามารมณ์นี้เป็นสิ่งเดียวกันเสีย คำว่ากามารมณ์เขาหมายถึงมันลุ่มหลงกับความเอร็ดอร่อยทางกามารมณ์ แต่ว่าสืบพันธุ์นั้นมันเป็นเพียงหน้าที่ ทีนี้ ของสองอย่างนี้มันแยกกันไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าธรรมชาติมันเก่งกว่าสัตว์หรือคน มันเลยเอากามารมณ์นี้มาฉาบหน้าการสืบพันธุ์เข้าไว้ให้คนทนลำบากเพื่อการสืบพันธุ์ ด้วยเอากามารมณ์เป็นเครื่องจ้างเป็นค่าจ้าง ถ้าไม่มีกามารมณ์เป็นเครื่องจ้างไม่มีใครสืบพันธุ์หรอก หนุ่มสาวที่มันแต่งงานนั้น มันเพื่อกามารมณ์ทั้งนั้นแหละ นั้นมันเกลียดการสืบพันธุ์อย่างยิ่ง มันโกหกได้ตลอดเวลาว่า ไม่ใช่รับจ้างธรรมชาติเพื่อสืบพันธุ์
ทีนี้ถ้าว่าจิตมันปรกติไม่มีตัวกู-ของกู สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นของน่าเกลียด น่าลำบาก น่าอิดระอา มันก็ไม่ทำ หรือว่าถ้าทำ มันก็เป็นเพียงการสืบพันธุ์ด้วยความจำใจ แต่ถ้าตัวกู-ของกูมันเกิดเต็มที่แล้ว มันมุดหัวเข้าไปเลยเพื่อจะได้มาซึ่งกามารมณ์นั้น ทีนี้ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครสอนเรื่องนี้นี่ มันก็ขยายตัวเป็นความหลงใหลในกามารมณ์ เป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็บูชากามารมณ์ มันก็เพื่อกามารมณ์ ไม่ใช่เพื่อการสืบพันธุ์
นี้มันเห็นได้ชัดว่า มันแยกกันคนละทางอย่างนี้ ถ้าเป็นเรื่องตัวกู-ของกู มันก็ไปบูชากามารมณ์ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมะ มันก็เป็นเรื่องการทำหน้าที่ที่จำเป็น หรือว่าที่อาจจะหลีกเลี่ยงเสียก็ได้ เช่นว่าถ้าคนไม่หลงใหลในกามารมณ์แล้วมันก็ไม่จำเป็นจะต้องไปทำให้ยุ่งยากลำบากเรื่องการมีลูกมีเต้านี้ มันก็หลีกเลี่ยงเสียก็ได้ เดี๋ยวนี้มันไปหลงโง่ตั้งแต่ทีแรก มันก็เกิดความยุ่งยากลำบากผูกพันกัน นี่พอตัวกู-ของกูเข้ามา มันก็เป็นเรื่องกามารมณ์ พอมันออกไปเหลือแต่ธรรมะมันก็เป็นเรื่องสืบพันธุ์ที่จะหลีกเลี่ยงเสียก็ได้ เพราะมันไม่น่าสนุกเลย ความต่างมันอยู่กันอย่างนี้ แต่ถ้ามีสติเพียงพอมันก็ดำรงตัวไว้ได้ ในฝ่ายที่มันไม่ต้องเป็นทุกข์
ทีนี้อันสุดท้ายที่เรียกว่าเกียรติ,เกียรติคุณ เกียรติยศอะไรก็ตามที่เรียกว่าเกียรตินี้ ถ้ามันเป็นเรื่องตัวกู-ของกูมันก็เป็นของยกหูชูหาง บ้าเกียรติ เมาเกียรติ หลงเกียรติ เป็นเรื่องยกหูชูหาง อย่างนั้นมันก็เกียรติชนิดที่เป็นความบ้าหลัง มันไม่ควรจะเรียกว่าเกียรติ เพราะมันไม่เห็นดีอะไร มันทำให้ยกหูชูหาง ทำให้บ้าๆ บอๆ หลงไปเท่านั้นเอง แล้วคนนั้นมันก็หลงมาก อยากได้มาก ล่มหัวจมท้ายอะไร แต่ทีนี้ฝ่ายที่ตรงกันข้าม ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันไม่มีความรู้สึกตัวกู-ของกู มันมีแต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มันก็เป็นเกียรติได้ โดยที่ไม่ต้องไปหลงมัน ไม่ต้องไปสนใจมัน คือเมื่อไม่มีตัวกู-ของกู มันก็มีธรรมะมีความถูกต้องอยู่ในตัว คนเขาก็คงจะต้องนับถือบูชาสรรเสริญเอง ไม่ต้องไปอวดเขา ไม่ต้องไปแสดงอะไรให้เขาหลง เราไม่ต้องรู้ก็ได้ เราไม่จำเป็นจะต้องรู้ก็ได้ว่าใครมันนับถือเรา บูชาเรา หลงว่าเราดีอะไรอย่างนั้น ไม่ต้องไปรู้ก็ได้ อย่างนั้นมันคือเกียรติที่แท้จริง ที่คนเขามีกันเอง เขาทำกันเอง มันก็พอที่จะเรียกว่ามันเป็นเกียรติยศ เกียรติคุณอะไรที่มันเป็นส่วนดีได้ แต่ถ้าไม่อย่างนั้น มันเป็นตัวกู-ของกู มันก็เป็นเรื่องยกหูชูหาง เหมือนกับที่เขาทำกันอยู่นี้ มันก็ไม่มีอะไรดีที่ตรงไหน มันทำให้คนเกลียดด้วยซ้ำไป เกียรตินี้ก็ทำให้คนเกลียดซึ่งเกียรติยศ เอาอำนาจไปบังคับเขานี่ เขายิ่งเกลียด ถ้าไปยกหูชูหางก็ไม่มีใครนับถือบูชา ไม่ใช่เกียรติคุณแล้ว ฉะนั้นขอให้ดำรงชีวิตอยู่โดยที่มีธรรมะจริงๆ ก็ปราศจากตัวกู-ของกู มันจะเป็นเกียรติคุณเกียรติอะไรของมันอยู่ในตัวมันเองโดยที่ไม่ต้องทำให้ใครลำบาก เพราะว่าเราก็ไม่ได้ต้องการ หรือว่าจะใช้มันให้เป็นประโยชน์อะไร,ไม่ต้องการ เกียรติยกหูชูหางนั้นก็เพื่อว่าเขาจะใช้เกียรตินั้นเป็นเครื่องมือหาประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้จากคนนั้นคนนี้ ทีนี้ถ้าเราไม่ต้องการประโยชน์อะไร ก็ไม่ต้องรู้ต้องชี้สิ่งที่เรียกว่าเกียรติหรือไม่เกียรตินี้ ก็ดำรงตนอยู่ให้มันถูกต้องไม่มีความทุกข์ ถ้ามันเกิดมีเกียรติขึ้นมา มันก็เป็นเกียรติที่ไม่ทำอะไรใคร ไม่ได้เป็นอันตรายแก่ใคร มันเป็นเกียรติจริง ว่าอย่างนั้นดีกว่า
นี่ลองไปทบทวนดูให้ดีว่ามันต่างกันตรงข้ามกันเสมอในระหว่างสิ่งทั้งสามนี้,เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ถ้ามีเป็นตัวกู-ของกูก็ไปฝ่ายนรก ถ้าไม่มีตัวกู-ของกูก็เป็นธรรมะ ก็เป็นฝ่ายสวรรค์ได้ อย่างกับอยู่ในสวรรค์ทั้งเป็น กินอาหารถูกต้องตามสบาย มีเรื่องเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ถูกต้องตามปกติ ไม่ต้องเร่าร้อน ในเรื่องเกียรติก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็เรียกว่าอยู่ในสวรรค์ทั้งเป็นก็ได้ ถ้าดีกว่านั้นมันไม่สนใจอะไรเลย มันก็ยิ่งไปกว่าสวรรค์ อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นแสงสว่าง มีธรรมะเป็นตัวตน ตัวตนของธรรมะไม่ใช่ตัวตนของกู อย่าเอามาปนกัน ถ้าตัวตนของกูต้องมีกิเลสตัณหาอุปาทานจึงจะรู้สึกมีตัวตนของกู ถ้ามีปัญญามีวิชชา มันเป็นตัวตนของธรรมชาติ อะไรก็เป็นตัวตนทั้งนั้นแหละ แม้แต่นิพพานมันก็เป็นตัวตนของนิพพานแหละ อย่าเอามาเป็นตัวตนของเราเลย อย่าเอามาเป็นนิพพานของเราเลย หรือในขั้นสุดท้ายแท้จริง มันก็เลิกคำว่าตัวตนเสียก็ได้ มันเป็นธรรมชาติล้วนๆ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตน เดี๋ยวนี้มันอยากจะมีตัวมีตนอยู่ มันก็ได้แค่สวรรค์ เป็นสวรรค์ที่แท้จริงก่อน คือไม่มีความร้อนอย่างที่นรก เรียกว่าสวรรค์ พอหมดตัวตนมันก็เรียกว่านิพพานอันแท้จริงอันสมบูรณ์ ธรรมชาตินั้นต้องเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน แต่บางคราวเราอยากจะพูดกันอย่างมีตัวตน ก็เอามาเป็นตัวเป็นตน เป็นคนนั้นคนนี้ เป็นตัวเป็นตนอะไรก็สมมติทั้งนั้น เพราะว่าคนมันยังไม่เก่งพอที่จะอยู่เหนือสมมติได้ มันก็ต้องสมมติ เพราะเขาไม่อยู่เหนือสมมติได้ ก็เพราะว่าตั้งแต่เกิดมาเขาถูกทำให้มันจมอยู่ภายใต้สมมติ มันก็สมมติกันไปเรื่อยๆ แต่ทำให้มันดีขึ้น อย่าให้สมมติไปในทางตรงกันข้ามก็คือจะบาปจะเลวหรือจะเป็นทุกข์ สมมติให้บาปเป็นของดีก็ได้ คือพวกคนพาลนั้นเขาก็สมมติให้บาปให้ชั่วเป็นของดีก็ได้ ทีนี้เรามันก็สมมติว่า บาปก็บาป บุญก็บุญ ดีก็ดี เราก็ช่วยให้มันถูกต้อง ถ้าบาปแล้วมันก็จะต้องสกปรก มันก็จะต้องแผดเผาเร่าร้อนทิ่มแทงผูกพันนี่ ถ้าบุญมันก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น มันปรกติ
นี่ในคราวนี้ต้องการจะพูดชี้เฉพาะในแง่ที่ว่า ตัวธรรมะนี้มันอย่างหนึ่ง ตัวกูมันอีกอย่างหนึ่ง มันอยู่ด้วยกันไม่ได้ นี้เราหมายถึงธรรมะที่มีจำกัดความไว้แคบ หมายถึงฝ่ายที่ไม่เป็นกิเลสและไม่เป็นความทุกข์ เขาเรียกว่าฝ่ายธรรมะ หรือธรรมชาติฝ่ายที่ไม่เป็นกิเลส ไม่ใช่ความทุกข์ นี่เรียกว่าธรรมะ ทีนี้ธรรมชาติฝ่ายที่เป็นกิเลสเป็นความทุกข์นั้นเราเรียกว่าไอ้ตัวกู ให้ชื่อมันว่า “ไอ้ตัวกู” อยู่ในเครื่องหมายอัญประกาศพิเศษ ผิดออกไปจากธรรมดา เพราะว่ามันมิใช่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ตัวกูนี้เพิ่งเกิดเมื่อมันมีความรู้สึกโง่เขลาอะไรขึ้นมาแล้ว ซึ่งก็ได้อธิบายกันอย่างละเอียดคราวหนึ่งแล้วที่แล้วมาว่า ตัวผู้อยากนั้นมันเกิดทีหลังความรู้สึกอยาก ฉะนั้นตัวผู้อยากนั้นไม่ใช่ของจริง เป็นของลมๆ แล้งๆ คือความรู้สึกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาอีกทีหนึ่งเมื่อเรามีความอยากด้วยความโง่อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ฉะนั้นอย่าไปอยากอะไรด้วยความโง่เข้าสิ ความรู้สึกว่ากูอยากมันจะเกิดขึ้น ฉะนั้นตัวกูตัวนี้มันก็ไม่ใช่ของจริงและก็ไม่ได้มีอยู่จริง เป็นความรู้สึกเท่านั้นและก็ต้องเกิดหลังความอยากเสมอ ตาเห็นรูปที่สวยงามยั่วกิเลส เกิดอยากขึ้นมา ตอนนี้ยังไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกูสักที เพราะมันมีแต่ตาเห็นรูปยั่วยวนกิเลสเข้า แล้วอวิชชามันอยู่ ความรู้มันไม่มี มันก็เกิดเป็นความอยากขึ้นมาในจิตใจ พอจิตใจมันอยาก มันก็เกิดความรู้สึกติดขึ้นมาว่ากูนี้จะได้กูจะเอาเพราะกูอยาก ตัวกูเป็นของลมๆ แล้งๆ เพิ่งเกิดอย่างนี้ทุกกรณีไปแหละ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจอะไร คำว่าผู้นั้นผู้นี้มันเกิดทีหลังความนั่นความนี่ เช่น เราต้องกินข้าวแล้วจึงจะมีผู้กิน ก่อนจะกินข้าวจะมีผู้กินได้อย่างไร มันยังไม่มีใครกินข้าวสักที มันก็ต้องนั่งลงแล้วจึงจะมีผู้นั่ง ก่อนนั้นมันยังไม่มีผู้ที่นั่ง
ฉะนั้น ตัวผู้นี้ เรียกว่าของลวง ของหลอกลวง ของเหลวๆ ไหลๆ ไม่มีตัวตนจริงอะไร ไม่ใช่ผู้ ไม่ใช่คน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนอะไร เราก็เลยไม่ไปหลงในคำว่าตัวตน ผู้นั้นผู้นี้ หรือตัวกูนั้นโดยเฉพาะ ตัวกูผู้อยาก อยากจะนั่นอยากจะนี่ อยากอะไรก็ตามใจ นั่นมันเป็นตัวกูเสียแล้ว ไม่มีธรรมะแล้ว เป็นกิเลสแล้ว เหมือนกับว่ากระท่อมร้างนี้ผีเข้าอาศัยแล้ว มันเป็นไปตามเรื่องของผี จนกว่าจะออกไป มีมนุษย์เข้ามาอยู่แทนอีก ฉะนั้นดูความเล่นตลกของชีวิตจิตใจนี้คือร่างกาย โครงร่างอันนี้ที่ว่ามีขันธ์ ๕ อยู่เป็นโครงร่างนี้ บางเวลาก็เป็นนรก เป็นอบาย บางเวลาก็เป็นสวรรค์พออยู่ได้ ถ้าทำให้ว่างไปเสีย ก็เป็นนิพพานได้ ฉะนั้นขอให้จำไว้ดีๆ ว่าตัวธรรมะกับตัวกูอยู่ด้วยกันไม่ได้เพราะเหตุนี้ เอาล่ะ,พอกันที