แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดที่นี่ในวันนี้ มุ่งหมายสำหรับผู้ที่บวชระหว่างปิดภาค คือล้วนแต่เป็นผู้บวชใหม่ รู้สึกเป็นห่วงอยู่ว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ยังเข้าใจไม่ทันกับเวลา จึงเลือกเรื่องชนิดนี้มาพูดทุกคราว สำหรับวันนี้คิดว่าจะพูดเรื่องสิ่งที่ควรสนใจอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่เรียกในภาษาบาลีว่ามัณฑะ ก็ยังไม่ทราบจะแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร เอาแต่ความหมายของมันก็คือว่าไอ้ส่วนที่ดีที่สุดของส่วนใหญ่ทั้งหมด อย่างว่าเราเอามะพร้าวมาคั้นออกเป็นน้ำกะทิอย่างข้นที่สุด ไอ้หัวกะทิแท้ๆนั่นแหละก็เรียกว่ามัณฑะ เป็นคำนาม เป็นคำนามนามกลางๆ จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรคุณก็แปลเอาเองสิ ทีนี้เราเรียกว่ามัณฑะ คือหัวกะทิถ้าสำหรับมะพร้าว ถ้าส่วนที่เหลือก็เรียกว่ากาก ไอ้ความที่น่าดื่มของหัวกะทินั้นก็เรียกว่าโอชะอะไรของมัน เราจึงได้เป็นของที่จะเอามาสนใจเปรียบเทียบกันก็คือว่าไอ้หัวกะทิเรียกว่า มัณฑะ ไอ้ความน่าดื่มของของมันเรียกว่า เปยยะ และกากของมันเรียกว่า กสตะ เป็นภาษาบาลีไอ้กสตะ กากมะพร้าวเรียกว่า กสตะ ไอ้หัวกะทิข้นๆเรียกว่า มัณฑะ และความน่าดื่มของหัวกะทินั้นเรียกว่า เปยยะ คงไม่มีใครกินกากมะพร้าวนอกจากหมู ก็ยังเหลือแต่ไอ้หัวกะทิ ไอ้ตัวหัวกะทิก็เรียกว่ามัณฑะ เรียกรวมๆกันไป แก่นสารของมันมีอยู่ที่ความน่าดื่ม นั่นก็คือความหวาน ความมัน ความหอม อะไรต่างๆที่มันมีอยู่ในน้ำกะทิ นี้เราเรียกว่าเปยยะ
คุณเข้าใจคำว่ามัณฑะ เปยยะ เสียให้ดีๆ และก็จะพูดถึงพุทธภาษิตที่ตรัสว่า มัณฑะ เปยยะ พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ แต่คำว่ามัณฑะในพระบาลีนั้นเขาพูดที่อินเดีย มันไม่มีหัวกะทิ มันไม่มีน้ำกะทิ ไอ้มัณฑะนั้นหมายถึงสิ่งสุดท้ายที่ดีที่สุดของสิ่งที่แยกออกมาจากนม เมื่อพูดว่ามัณฑะเฉยๆ น่าดื่มเหมือนมัณฑะแล้วก็หมายถึงอันนี้ เพื่อรีดนมมาทำเป็นนมเปรี้ยว เอาฝานมเปรี้ยวมาทำเป็นเนย จากเนยทำเป็นเนยใส จากเนยใสทำเป็นยอดเนยใสคือมัณฑะ ถ้าพูดที่อินเดียก็หมายถึงสัปปิมัณฑะ ก็รู้กันทันที พูดที่เมืองไทยไม่รู้ นั้นก็จะเปรียบเทียบด้วยสิ่งที่มันเหมือนกันแท้ คล้ายกันแท้ ก็คือหัวกะทิที่ทำอย่างดีและก็มีรสอย่างดี
ที่ว่าพรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ พรหมจรรย์นี้หมายถึงอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อหมายถึงอริยมรรคมีองค์แปด ก็หมายถึงพรหมจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของภิกษุนี่ การประพฤติให้ดีที่สุดในอริยมรรคมีองค์แปด นี้เรียกว่าพรหมจรรย์ สำหรับภิกษุก็ระดับหนึ่งสำหรับชาวบ้านก็ระดับหนึ่ง เพราะเมื่ออยู่ที่บ้าน เป็นชาวบ้านก็ประพฤติอริยมรรคมีองค์แปด ตามแบบของชาวบ้าน ก็เป็นพรหมจรรย์อยู่นั่นแหละ เขาถือว่าพรหมจรรย์เป็นของที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่ามัณฑะเฉยๆ ไม่ต้องอธิบายกันแล้ว จะเป็นมัณฑะจากนม จะเป็นมัณฑะจากมะพร้าวก็สุดแท้
พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ก็หมายความว่าการประพฤติพรหมจรรย์นั้น เป็นสิ่งที่น่าปรารถนาคือน่าประพฤติ ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง เดือดร้อนลำบาก มันมีอยู่อีกสูตรหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเปรียบเทียบไว้ให้ฟังว่า การรู้อริยสัจนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด ประพฤติพรหมจรรย์แล้วมันก็รู้อริยสัจ เดินตามมรรคมีองค์แปด แล้วในที่สุดมันก็รู้อริยสัจ นั้นเอาการรู้อริยสัจเป็นผล เช่นว่าเราจะกินมัณฑะชนิดไหนเข้าไป ผลสุดท้ายก็คือความสุข เหมือนดังการได้ลิ้มรสของไอ้ความสุข ประพฤติพรหมจรรย์นี้เพื่อรู้อริยสัจ รู้พร้อมเฉพาะ คือลักษณะของการตรัสรู้ซึ่งอริยสัจ
ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านได้เปรียบไว้ว่า แม้ว่าเราจะถูกเขาแทงด้วยหอกตอนเช้าร้อยเล่ม ตอนเที่ยงร้อยเล่ม ตอนเย็นร้อยเล่ม รวมวันหนึ่งสามร้อยเล่มและถูกแทงอยู่เป็นเวลาร้อยปี ถ้าว่ามันจะรู้ตรัสรู้อริยสัจได้ด้วยเหตุนี้แล้วก็จงยอมเขาเถิด คือยอมให้เขาทำอย่างนั้นแก่เราเพื่อแลกกับผลคือรู้อริยสัจ นี้แต่ว่าการรู้อริยสัจนั้นมีสุข มีโสมนัสเป็นรส ไม่ใช่ว่าการรู้อริยสัจนั้นจะต้องเจ็บปวดเหมือนอย่างนั้น การรู้อริยสัจที่ทำถูกวิธีนั้นมันก็มีรส มีสุข มีโสมนัสเป็นรส นั้นอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อปฏิบัติถูกต้องครบถ้วนแล้วให้เกิดผลคือการรู้อริยสัจด้วย แล้วก็เป็นสุขด้วย ในเวลานั้นเป็นสุขด้วย เพราะฉะนั้นพระองค์จึงตรัสว่า มัณฑะ เปยยะ พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ พรหมจรรย์นี้ก็คืออริยมรรคมีองค์แปด ไปเกี่ยวข้องเข้ามันก็มีความสุข และก็ให้ผลเป็นการรู้อริยสัจ ความเป็นอย่างนั้นเรียกว่ามีรสอร่อยเหมือนการดื่มมัณฑะ
เราต้องคิดดูให้ดีๆ ไอ้ส่วนที่มันเกี่ยวกับเรา เรามันยังหลับหูหลับตาในเรื่องนี้อยู่ก็ได้ คือไม่รู้จักการดื่มมัณฑะในการประพฤติพรหมจรรย์ เราจึงเบื่อหน่ายระอาในการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด ประพฤติอย่างเสียไม่ได้ก็มี ประพฤติอย่างที่เรียกว่าจิตใจมันไม่ต้องการ นั้นมันก็ทนอยู่ไปอย่างนี้ นี่มันผิดกันมากมายเหลือเกิน ไอ้คนหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์ สนุกสนาน สบาย มีสุขโสมนัส เหมือนการดื่มกินมัณฑะ ทีนี่ไอ้คนหนึ่งมันประพฤติพรหมจรรย์อย่างเสียไม่ได้ เหมือนกับว่ามันกินกากมะพร้าว ถ้าถูกบังคับให้กินกากมะพร้าวเหมือนหมูจะว่าอย่างไร คงจะลำบากใจ นั่นนะพรหมจรรย์ที่ประพฤติไม่ดี ประพฤติด้วยความรังเกียจ กินแหนงตัวเอง ไม่ได้มีศรัทธาหรือไม่ได้มีอิทธิบาทหรือไม่ได้มีอะไรที่มันเป็นเครื่องทำให้สำเร็จ มันก็เหมือนกับทนกินกากมะพร้าวเข้าไป พรหมจรรย์คือการบวชของผู้ใดมีลักษณะอย่างนี้ มันก็ตรงกันข้ามกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ามัณฑะ เปยยะ ซึ่งเราจะสวดกันอยู่ทุกๆวันเสาร์ ขอให้สนใจสักหน่อย โดยเฉพาะผู้ที่บวชใหม่ในระหว่างพักปิดการเล่าเรียน หยุดพักการเล่าเรียนนี้ ควรจะเข้าใจดีๆ ผมสังเกตดูเห็นว่ายังไม่เข้าใจ คือว่าบวชตามประเพณีบ้าง บวชตามคำชักชวนบ้าง บวชเพื่อลองดูเป็นส่วนมาก แต่ข้อนี้ไม่เป็นไรหรอก เพราะตอนแรกมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ว่าเมื่อบวชเข้ามาแล้วขอให้รู้สึกเหมือนการดื่มซึ่งมัณฑะ ให้เหมือนกับกินกะทิที่มีรสอร่อย อย่าไปกินกากมะพร้าว เมื่อไม่รู้อะไรเป็นอะไร มันก็จะเหมือนกับกินกากมะพร้าว อยากนอนมันก็ตีระฆัง ไหว้พระ สวดมนต์ มันก็เหมือนกับกินกากมะพร้าวแหละ เพราะว่ามันอยากนอน อยากนอนสาย ก็ไม่ต้องการจะมาไหว้พระ สวดมนต์ หรือมาฟังบรรยาย ตลอดเวลาเป็นอย่างนั้นแล้วก็เรียกว่าไม่ใช่พรหมจรรย์แล้ว มันก็เป็นกากของพรหมจรรย์ ที่เรียกว่ากัสตะ ไม่ใช่มัณฑะ ไม่ใช่เปยยะ
ทำอย่างไรจึงจะสนุกสนาน โสมนัสเหมือนการดื่มมัณฑะ มันก็ไม่มีอะไรนอกจากว่าทำให้มันเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร แล้วมันก็จะเกิดความพอใจขึ้นมา คือมีฉันทะพอใจขึ้นมาเป็นข้อแรก พยายามทำฉันทะนี้ให้เป็นกำลังทางจิตที่เรียกว่าสมาธิ ที่ประกอบอยู่ด้วยฉันทะ มันก็จะมีวิริยะคือความพากเพียร มีจิตตะเอาใจใส่ มีวิมังสาการวิจัยแก้ไขอุปสรรคอะไรต่างๆ เมื่อครบสี่อิทธิบาทนี้แล้วมันก็สนุกแล้ว ไอ้ความสนุกนั่นเป็นรสอร่อยอยู่ในตัวการประพฤติพรหมจรรย์
เดี๋ยวนี้มันยาก เมื่อพิจารณาดูโดยทั่วๆไปบรรดาที่บวชกันอยู่เวลานี้ ไม่มีลักษณะอย่างนี้ คือไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ที่อริยมรรคมีองค์แปด ประพฤติพรหมจรรย์ที่การเรียนการสอบไล่ การได้ดิบได้ดี หรือบางทีประพฤติพรหมจรรย์เพื่อลาภสักการะของคนที่ไม่มีความสามารถหาลาภสักการะด้วยวิธีอื่น ต่ำลงไปจนกระทั่งถึงว่าอาศัยเป็นอาชีพ เป็นช่องทางที่จะได้ปัจจัยมาเลี้ยงอาชีพ อย่างนี้ไม่ใช่พรหมจรรย์ เพราะว่าอย่างนี้ไม่ใช่อริยมรรคมีองค์แปด นั้นขอให้สนใจเรื่องอริยมรรคมีองค์แปด อย่างที่ได้พูดซ้ำ พูดแล้วพูดอีกในการบรรยายที่หินโค้ง แล้วก็ทำให้มันมีขึ้นมา ให้มีการเป็นอยู่ด้วยอริยมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าการเป็นอยู่โดยชอบ แล้วจะสนุก
ในเมื่ออริยมรรคมีองค์แปด ทั้งแปดองค์มันกลมกลืนกัน มันจะเป็นความสุขที่สุด คือมันจะเกิดความพอใจในการที่ได้กระทำ เขาเรียกว่าปีติ พอมีปีติแล้วก็ต้องมีสุข ถ้ายังไม่มีปีติแล้วยังไม่มีสุข ก็หมายความว่ามันยังไม่ถูกกับเรื่อง นั้นคุณไปขยับขยายไปทำอะไรดีๆ พอตื่นนอนขึ้นมาให้มันรู้สึกปีติและเป็นสุขในการที่เราได้เป็นเราอยู่นี่ คือได้ประพฤติอะไรๆอยู่ในทุกวันนี้ แล้วก็พอใจอยู่ตลอดวันตลอดเวลา จนกระทั่งกว่าจะนอนลงไปอีก จะหลับลงไปอีก ได้รู้สึกพอใจตัวเอง นับถือตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้เวลาจะนอน พอตื่นขึ้นมาก็พอใจ คือปีติในตัวเอง แล้วก็ทำอะไรไปตามเรื่องตามราว เพราะว่ามองเห็นแต่ความถูกต้อง ไม่มีความผิด ไม่มีความเสียหาย ไม่มีความชั่วไม่มีอะไร ก็พอใจอยู่อย่างนี้ ขอให้ไอ้ตัวชีวิตนี้มันเป็นเหมือนการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา อย่าให้มันเหมือนกับต้องจำใจกินกากมะพร้าวอยู่ตลอดเวลา มันมีความอิดหนาระอาใจ ไม่สนุกในสิ่งที่ตนจะกระทำหรือต้องกระทำหรือกำลังกระทำ ไม่รู้สึกสนุก ไม่รู้สึกพอใจ นี่เราก็มีความเป็นอยู่ในแบบที่เรียกว่าได้ตั้งใจไว้ดี ได้จัดสรรไว้ดี ได้เลือกแล้วดีตามแบบของพระพุทธเจ้า แบบพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าพรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ก็หมายความว่าให้คนที่มีชีวิตอยู่อย่างสาวกของพระองค์เป็นผู้ที่รู้สึกพอใจตัวเองอยู่เสมอ จะเรียนหนังสือก็สนุก จะทำวิปัสสนาก็สนุก จะทำงานอื่นๆตามที่ว่าร่างกายมันจะต้องทำก็สนุก ตลอดจนถึงว่าจะทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ในการแผ่ศาสนา ในการที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นมันก็รู้สึกสนุก ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือจะเป็นคนขี้เกียจเพื่อจะเอาความสนุก ขอให้สังเกตให้ดีๆแต่มันเป็นเพราะว่าระเบียบระบอบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นี้มันต้องเป็นอย่างนี้ คือเมื่ออยู่กันอย่างนี้แล้วก็จะต้องมีความสุข เป็นไปในลักษณะของความสุข เป็นที่พอใจ ที่ปีติปราโมทย์ ขอให้สังเกตดูว่าถ้าเราตั้งจิตไว้ถูกต้อง ทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดีอย่างนี้ ถ้าตั้งจิตไว้ผิดอย่างเดียวเท่านั้นมันจะตรงกันข้าม ถ้าตั้งจิตใจไว้ถูกต้องมันจะดื่มมัณฑะอยู่เรื่อย ถ้าตั้งจิตไว้ผิดอย่างเดียวเท่านั้นมันจะกินกากมะพร้าวอยู่เรื่อย ขอให้สนใจคำว่าตั้งจิตไว้ถูกหรือตั้งจิตไว้ผิด เป็นคำ คำนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมากในที่มากแห่ง แม้กระทั่งเรื่องอื่นๆก็มักจะสรุปไว้ที่ว่าตั้งจิตไว้ผิดหรือตั้งจิตไว้ถูก หรือตรัสไว้เป็นหลักกว้างที่สุดว่าถ้าตั้งจิตไว้ผิดมันก็จะมีความทุกข์ ยิ่งกว่าที่พวกศัตรูคู่ปรปักษ์ เขาจะรุมกันทำให้เราได้ซะอีก ถ้าตั้งใจไว้ถูกมันก็จะมีความสุขยิ่งกว่าที่บิดามารดา มิตรสหายที่เป็นที่รักทั้งหลายจะรวมกันทำให้เราเสียอีก ท่านย้ำตรงที่ว่ามันวางจิตไว้ถูกมันวางจิตไว้ผิดอย่างเดียวเท่านั้น หมายความว่าวางจิตไว้ถูก ชีวิตมันเป็นการดื่มมัณฑะ ถ้าวางจิตไว้ผิดมันก็เป็นการกินกากมะพร้าว ซึ่งยากที่จะกลืนเข้าไปได้ ถึงแม้มันจะไม่ตายมันก็อยู่อย่างแกนๆ
ถึงจะอยู่ในเพศบรรพชิตก็ดี ออกไปอยู่ในเพศฆราวาสก็ดี ขออย่าได้ลืมไอ้เรื่องหลักเกณฑ์อันนี้ เพราะที่เข้ามาบวชนี้ ก็เพื่อที่จะศึกษาเรื่องนี้ให้เข้าใจ จนถึงเอาออกติดตัวไป แม้ในเพศฆราวาสก็ให้มันอยู่ในหลักเกณฑ์อย่างนี้ แม้ว่าจะเปลี่ยนระดับไปบ้างหรือมีอะไรแตกต่างไปบ้าง ก็ต้องให้มันเป็นเรื่องหัวใจอันเดียวกัน เช่นไปเป็นนักเรียน ไปเป็นนิสิต มันจะต้องพอใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อกินข้าว เมื่ออาบน้ำ เมื่อเข้าห้อง เมื่อเรียนอยู่หรือเมื่อเรียนแล้ว ต้องตั้งจิตไว้ถูก ไม่ใช่ตั้งจิตไว้อย่างโง่เขลาที่ว่าไปเล่น ไปเป็นอันธพาล ไปเกเร แล้วก็สบายมีความสุข ไปเล่นกีฬาอย่างอันธพาล ในการไปเรียนเรียนอย่างโกงๆ หาเวลาที่จะเลิกเรียนไปเที่ยวตามบาร์ ตามไนท์คลับหรือตามอะไรที่มันคล้ายๆนั้น เพราะคิดว่านี่เป็นความสุข ถือว่าหลอกตัวเอง นี่มันเป็นจิตที่ตั้งไว้ผิด มันก็ทำอันตรายตัวเอง แต่เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็ไปหลงอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งว่ามันเป็นของดีเป็นของถูกต้อง ไปได้กินยาพิษเข้า แล้วก็เข้าใจว่าเป็นมัณฑะ
ที่ผมพูดนี่หมายความว่ามันไม่เหลือวิสัย ที่ว่าคนแต่ละคน เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่า อะไรก็ตามเมื่อได้ตั้งจิตไว้ถูกต้องแล้ว ชีวิตนี้จะเป็นเหมือนกับการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา นี้คำว่าถูกต้องนั้นหมายความว่าเว้นทุจริต เว้นชั่ว เว้นอะไรที่เอาของที่ไม่ใช่มัณฑะมาแทนมัณฑะ มาเป็นมัณฑะ เป็นเช่นความโง่ว่ากินเหล้าหรือสูบบุหรี่ อะไรนี้เป็นมัณฑะ นั้นจึงไม่ค่อยมีใครละสิ่งเหล่านี้เพราะเข้าใจผิด ของมึนเมานับตั้งแต่บุหรี่ลงไปนี้ มันไม่ใช่มัณฑะ ไม่ใช่มีลักษณะที่จะเป็นมัณฑะ เพราะมันไม่ใช่การประพฤติพรหมจรรย์ มันเป็นเพียงความโง่อย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงหาอะไรมาบำเรอความรู้สึกทางเนื้อหนังเท่านั้น ไม่รวมอยู่ในคำว่ามัณฑะ แม้ว่าคุณจะสูบบุหรี่ สูบกัญชา สูบยาฝิ่น อย่างเอร็ดอร่อย อย่างอะไรต่างๆ มันไม่รวมอยู่ในคำว่ามัณฑะ มันไปทำอะไรชนิดที่หลอกตัวเอง ให้ตัวเองมันเสียไป จนไม่ชอบจะกินในสิ่งที่เป็นมัณฑะโดยแท้จริง หลงไปติดในของหลอกลวงนั้นเสียแล้ว อย่างนี้เรียกว่าชีวิตนั้นมันไม่ใช่เป็นชีวิตที่ประพฤติพรหมจรรย์ คือไม่อยู่ในระเบียบวินัยที่ถูกต้องและก็ไม่เรียกว่าการประพฤติพรหมจรรย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้คนวัยรุ่นนี่ ให้นึกถึงที่เคยพูดมาแล้วพูดมาอีกว่า เราเกิดมาเป็นพรหมจารีย์ให้ดีที่สุด แล้วจะได้เป็นคฤหัสถ์ให้ดีที่สุด แล้วจะได้เป็นวานปรัสถ์ เป็นสันยาสีให้ดีที่สุด ถ้าเมื่อเป็นพรหมจารีย์มันไปติดฝิ่น ของซาตาน ของพญามาร อะไรเสียแล้ว มันก็หมดความเป็นพรหมจารีย์ที่ถูกต้องเสียแล้ว มันเป็นกินของเมา มันเป็นเจ้าชู้ มันเป็นอันธพาล มันหมดแล้ว มันสลายหมด ความที่จะเป็นการประพฤติพรหมจรรย์และการดื่มมัณฑะอยู่ในตัวนั้นมันหมด มันเป็นไปไม่ได้ นั้นต้องรีบแก้ไขปรับปรุงเสีย ถ้าใครกำลังเป็นอยู่อย่างนั้น เมื่อไม่ได้เป็นอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นโชคดี ก็รักษาไว้ให้ได้ เป็นพรหมจารีย์ผู้ที่เคารพระเบียบวินัย ที่คนเป็นพรหมจารีย์จะต้องปฏิบัติ นับตั้งแต่เด็กขึ้นมาจนถึงหนุ่มสาว ก่อนการแต่งงาน โดยพรหมจารีย์จะต้องปฏิบัติการบังคับตัวเอง ให้มีการศึกษาดี ให้มีการประพฤติดี ให้มีมรรยาทดี ให้อยู่ในระเบียบวินัยที่ดีและมีความสุขความพอใจในการที่มีระเบียบวินัยดี อย่างนี้เรียกว่าพรหมจารีย์
ถ้าไปหาความเพลิดเพลินด้วยเหล้า ด้วยบุหรี่ ด้วยผู้หญิง ด้วยการพนันอะไรต่างๆแล้วก็สูญ สูญเสียพรหมจารีย์หมดสิ้นเชิง ถ้าว่ามีการบังคับกันให้ดี ควบคุมกันให้ดี หรืออะไรให้ดี มันจะมีลักษณะเป็นพรหมจรรย์ แล้วผู้นั้นก็เป็นพรหมจารีย์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่เกิดมา ตั้งแต่อ้อนแต่ออกคือตั้งแต่เด็กๆจนโตขึ้นมาจนเป็นหนุ่มเป็นสาว มีการประพฤติถูกต้องอยู่เสมอ เรียกว่าพรหมจรรย์อยู่เสมอ แล้วก็ผู้นั้นก็เรียกว่าพรหมจารีย์ นี้พรหมจรรย์นั้นจะน่าดื่มเหมือนมัณฑะอยู่เสมอ
นั้นขอให้แก้ไข ให้ทดสอบ ให้แก้ไข ไอ้สิ่งที่มันไม่มีลักษณะเป็นมัณฑะ จนเป็นเหมือนกับอย่างที่ว่ามาแล้ว พอตื่นนอนขึ้นมาก็รู้สึกพอใจตัวเอง รู้สึกพอใจวันเวลาที่มันมีขึ้นมาใหม่อีกวันหนึ่ง สำหรับเราจะมีโอกาส มีเวลาทำสิ่งที่ชี่นใจ ก็มีลักษณะดื่มมัณฑะ จะไปโรงเรียน จะไปทำงานหรือว่าจะไปอะไรก็สุดแท้ ให้มันเต็มไปด้วยความพอใจ ว่าไอ้นี่มันถูกต้อง มันเป็นการได้ที่ดี ที่เราได้ทำอย่างนี้ ก็พอใจไปเรื่อย ก็ทำไปเรื่อยทุกวันทุกวัน สิ่งต่างๆก็เป็นไปในทางดีหมด รู้สึกเป็นสุขพอใจในชีวิต ในตัวชีวิตมันก็เลยกลายเป็นการดื่มมัณฑะไป
นั้นภิกษุสามเณรก็เหมือนกันแหละ มันมีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่ต้องกระทำมันต่างกันเท่านั้น เช่นเราก็ต้องเรียนเหมือนกันแต่มันเรียนอย่างหนึ่ง เราต้องปฏิบัติก็ปฏิบัติเหมือนกัน แต่ต้องปฏิบัติอีกอย่างหนึ่ง ในที่สุดก็เป็นเรื่องที่มีหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน พอทำถูกต้องตามหน้าที่ของตัวแล้ว ก็มีความพอใจอย่างเดียวกัน มีความรู้สึกพอใจในชีวิต ในตัวเองเหมือนกันเลย ทั้งพระ ทั้งฆราวาส เพียงแต่ว่าของพระจะสูงกว่าถ้าทำถูกต้องตามเรื่องของพระ ทีนี้ถ้าเป็นพระเณรเหลวไหล มันก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าฆราวาส เผลอนิดเดียวมันก็เลวกว่าฆราวาสที่เขาตั้งตัวไว้ดี นั้นความแน่นอนมันอยู่ที่การประพฤติพรหมจรรย์ถูกต้องตามหน้าที่ของตัว นั้นจึงเรียกว่าให้มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้แม้สักวันเดียวเท่านั้นแหละ มันยังดีกว่าไอ้คนไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปีพันปี นั้นควรจะพอใจแล้วว่าวันเดียวก็มีค่า นับไม่ไหวแล้วและก็ไม่ต้องกลัวตายแล้ว เพราะมันได้อะไรมากถึงขนาดนี้ เช่นถ้ามันได้ทุกวันทุกวันหลายๆวันจนตลอดชีวิตก็เรียกว่าดีเหลือประมาณ มีกำไรเหลือประมาณพูดไม่ถูกแล้ว เพียงแต่ว่าในวันเดียวเต็มไปด้วยความรู้สึกพอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้เท่านี้ก็พอแล้ว วันเดียวนี้มีค่ามาก เท่ากับคนที่ไม่เป็นอย่างนั้นตั้งร้อยปีพันปี
รวมความแล้วก็หมายความว่า อย่าทำเล่นกับคำว่าพรหมจรรย์ กับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ อย่างฆราวาสก็ตาม อย่างบรรพชิตก็ตาม อย่าไปทำเล่นกับสิ่งที่เรียกว่าพรหมจรรย์ เพราะมันจะทำให้ชีวิตนี้เป็นเหมือนกับการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา
ผมเองก็ถือหลักอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะยุ หรือสอนหรือยุให้พวกคุณทำกันข้างเดียว ผมถือหลักอันที่ว่าพอตื่นมารู้สึกพอใจ ในความที่เราเป็นคนอยู่ มีชีวิตอยู่ มีประโยชน์อยู่ เมื่อทุกอย่างมันได้ทำไปอย่างถูกต้อง มันก็ไม่ต้องวิตก ไม่ต้องร้อนใจ ไม่ต้องกังวลหรือระแวงอะไร แล้วก็ให้พอใจในสิ่งที่ทำนั่นแหละ แม้แต่กวาดขยะพื้นห้องให้มันสะอาดเท่านี้ มันก็ควรจะปีติพอใจ เหมือนกับทำได้อะไรเวลาอื่นที่ได้ทำงานที่ดี ที่เรียกว่าดีกว่าหรือมีค่ากว่า เมื่อทุกอย่างทำไปถูกต้องแล้วก็ต้องพอใจ เมื่อเดินไปถ่ายก็ถูกต้อง ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระก็ถูกต้อง มันควรจะพอใจในความที่มันเป็นคน ไปอาบน้ำถูกต้อง ไปกินอาหารถูกต้อง ไปทำอะไรมันล้วนแต่ถูกต้อง อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญ เป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้องอยู่เสมอ ทุกๆอิริยาบถ ชีวิตนี้มันก็เลยเป็นความสุขเสียเอง ตัวชีวิตมันก็เลยกลายเป็นความสุขเสียเอง เพราะฉะนั้นมันก็เลยง่ายดายที่จะมีความสุข แล้วจะเอาอะไรกันอีก จะเอาอะไรที่มันดีไปกว่านี้อีก เพราะว่าที่อุตส่าห์เรียน อุตส่าห์เป็นบ้าเป็นหลัง เล่าเรียน ทำอะไรต่างๆ ก็เพื่อที่ว่าความสุข แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันทำให้เกิดเป็นความสุขได้โดยตัวมันเอง ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ มันก็ต้องถือว่ามีกำไร ไม่ต้องบ้ามาก ไม่ต้องเหนื่อยมาก ซึ่งบ้ามาก เหนื่อยมากแล้วก็ยังไม่ได้อะไร เพราะมันเดินผิดทาง ไม่รู้ว่าไอ้ชีวิตนี้มันจะเป็นการดื่มมัณฑะได้ที่ตรงไหน นั้นก็เรียนไป ทำงานไป จนเถ้าจนแก่ จนมีลูกมีหลาน มันก็ไม่เคยประสบไอ้ความพอใจในตัวเอง เพราะมันไม่มีความถูกต้องในการมีชีวิตคือไม่มีพรหมจรรย์นั่นแหละ มันต้องมีความรู้กันให้ถูกต้องว่าอะไรเป็นพรหมจรรย์สำหรับเด็ก สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับคนแก่คนเฒ่า
ทีนี้ก็มาดูกันในวงแคบเข้ามา ว่าที่บวชระหว่างปิดภาคนี้ แล้วก็มาอยู่อย่างนี้ มันต้องมีความสำคัญอยู่ตรงที่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ใช่มาฟังบรรยาย ฟังผมพูดแล้วมันก็จะวิเศษ นั้นมันยังไม่วิเศษ แต่นั้นมันยังต้องทำให้ถูกต้องเหมือนกัน ให้เรามาหัดมีชีวิตแบบที่มันเหมือนกับของพระพุทธเจ้านั่นแหละ คือหัวใจของการบวช เราแกล้งพูดขู่คนโง่ หยั่งเสียงคนโง่ว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู เป็นอยู่อย่างตายแล้ว นี่ไอ้คนโง่มันไม่เข้าใจ แล้วเราก็ยิ่งอยากจะพูดอย่างนี้ขู่มันบ้าง หรือว่าหยั่งมันดูบ้าง ว่ามันจะทำได้เท่าไร ถ้ามันได้เท่าไร มันทำได้เท่าไร มันก็ยิ่งเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ มีชีวิตอยู่เหมือนพระพุทธเจ้ามากขึ้นเท่านั้น
นั้นถ้าระหว่างบวชปิดภาคสักเดือนหนึ่ง ขอให้เสียสละไอ้ความสุขแบบเขลาๆ มาลองชิมไอ้ความสุขจากพรหมจรรย์ที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะนี้กันดูบ้าง วางจิตใจให้ถูกแล้วก็จะพอใจ ได้กินเพียงเท่านี้ ได้นอนเพียงเท่านี้ ได้นุ่งห่มเพียงเท่านี้ก็พอใจอย่างยิ่ง ไม่ต้องมีอะไรมาขับกล่อม บำรุงบำเรออะไรก็พอใจอย่างยิ่ง เขาเรียกความสุขที่มันเกิดจากวิเวก อาจจะเป็นคำแปลกคำใหม่สำหรับพวกคุณที่เพิ่งบวช เพราะว่าคุณรู้จักแต่ความสุขที่เกิดจากความกลุ้มรุม ความสุขที่เกิดจากความกลุ้มรุมของวัตถุและกิเลสนั้นนะ คุณรู้จักมันดีแล้วก็ชอบ พอมาแตะต้องไอ้ความสุขที่มันเกิดจากวิเวก ก็เกลียดก็กลัว นั้นจึงมีหลักที่เขาตรัสไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้หรือพระสาวกกล่าวไว้ก็ตาม ไอ้สิ่งที่ปุถุชนว่าความสุขนั้นนะ พระอริยเจ้าเห็นเป็นความทุกข์ ไอ้ที่ปุถุชนเห็นเป็นความทุกข์ พระอริยเจ้ากลับเห็นเป็นความสุข คราวนี้ก็หมายความว่าไอ้ความสุขเกิดจากวิเวก ปุถุชนเห็นเป็นความทุกข์ ฉะนั้นมาอยู่อย่างนี้มันเหงาหงอย มันเหมือนกับจะบ้าตายอยู่แล้ว มันไม่ได้สูบบุหรี่ มันไม่ได้ฟังเพลงวิทยุ มันไม่ได้ดูนั่นดูนี่ ซึ่งเป็นความสุขกลุ้มรุมแวดล้อม เมื่อมาอยู่อย่างวิเวก มันก็เลยเกลียดก็เลยกลัว นึกว่าเป็นทุกข์ ปุถุชนว่านี่เป็นทุกข์ แต่พระอริยเจ้าว่านี้คือเป็นสุข มันยังกลับกันอยู่อย่างนี้ ไอ้ที่ปุถุชนว่าเป็นสุข พระอริยเจ้าว่านี่คือทุกข์ สิ่งที่เรียกว่ามัณฑะมันจึงมีสองอย่างแล้ว คืออย่างแท้จริงก็ได้ แล้วก็อย่างปลอมก็ได้ ไปเอาขี้หมู ขี้หมามากินเข้าไปเป็นมัณฑะก็ได้ หรือมันเป็นมัณฑะแท้ๆก็ได้ เลือกให้ดีๆ
เมื่อเราบวช มันก็ประกาศอยู่ในตัวแล้ว ประกาศตัวบวชอุทิศพระธรรม พระสงฆ์ อุทิศพระอริยเจ้า นั้นก็ต้องระวังดูหลักเกณฑ์ของพระอริยเจ้าให้ดีๆ เมื่อเข้าถึงจุดๆนี้แล้ว การบวชเพียงหนึ่งเดือนก็วิเศษมาก ถ้าไม่เข้าถึงจุดนี้ มันก็คล้ายๆกับละเมอๆไปอย่างนั้น จนกว่าจะสึกออกไปก็ละเมอๆอีก มันก็ไปละเมออยู่ตามเดิม ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม อะไรเป็นมัณฑะของชีวิต ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ ในที่สุดก็ไว้ผมยาวๆ คาดเข็มขัดแผ่นใหญ่ๆอยู่ยานๆ ทำท่าเป็นโก้ๆนั่นแหละก็วิเศษแล้ว คือเป็นฮิปปี้ก็วิเศษแล้ว เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัยก็เริ่มเป็นอย่างนี้กันแล้ว อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เลย เพราะไม่รู้ว่ามัณฑะมันอยู่ที่ไหน มัณฑะมันคืออะไร อะไรคือสิ่งที่ควรจะถือเป็นมัณฑะ ขอให้ระวังให้ดี มันหาที่พึ่งยากเข้าแล้ว มันมีแต่เรื่องที่หลอกลวงให้โง่ให้หลง ไอ้ที่พึ่งที่จะปลอดภัยมันหายากเข้าทุกที นั้นเราจะต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าเข้าไว้ เพื่ออย่าไปหลงไอ้เรื่องอย่างนั้น
ผมก็พูดมาจนไม่รู้จะพูดอย่างไรกันแล้ว ว่าอย่าไปหลงอารยธรรมเนื้อหนังของพวกฝรั่ง ให้รู้จักมนุษยธรรมที่แท้จริงของมนุษย์ ถูกต้องตามธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ ของบุคคลผู้รู้ มีพระพุทธเจ้าเป็นหัวโจก ในบรรดาบัณฑิตทั้งหลาย ผู้รู้ทั้งหลายในโลกนี้ มีพระพุทธเจ้าเป็นจอมโจก เป็นอาสภะ ต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้เราจึงจะไม่เดินผิดทาง หรือไม่ลืมตัว ไอ้มัณฑะก็ยังเป็นมัณฑะที่แท้จริง ไอ้ชีวิตนี้มันก็มีหวัง ที่จะเป็นสิ่งที่ดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา และก็อย่าลืมว่าทำใจให้ถูกต้องนั้นนะ จะไม่มีอะไรที่จะเป็นความทุกข์ แม้แต่ความตายก็ไม่เป็นความทุกข์ ความเจ็บไข้ก็ไม่มีความทุกข์ คือว่าไม่มีอะไรที่ว่าจะยินดีหรือยินร้าย และมีจิตสงบอยู่เสมอ รู้สึกเป็นสุขอยู่เสมอ อย่างนกมันร้องอยู่อย่างนี้ บางคนก็จะรำคาญ บางคนก็จะชอบจะหลงเสียงของมัน มันบ้าทั้งสองคนแหละ มันไม่ได้ดื่มมัณฑะทั้งสองคนแหละ มันต้องไม่รำคาญ มันก็ต้องถือเอาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งได้ จะเพื่อการศึกษาก็ดี หรือว่าเฉยเสียก็ดี หรือรู้ว่ามันอย่างนี้เองก็ยังมีประโยชน์นะ เพราะธรรมชาติมันอย่างนี้เอง จิตใจมันก็ปกติได้ เฉยได้ แล้วก็ฉลาดขึ้นหน่อยหนึ่ง นี่ก็เรียกว่าเป็นการดื่มมัณฑะได้เหมือนกัน อะไรๆก็ทำให้เกิดสติปัญญา ความรู้ ความเฉลียวฉลาดอยู่เรื่อย ท่านขอให้เป็นอย่างนั้น อย่างเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพฯ มันก็เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าขยะแขยง หรือสิ่งที่ยั่วยวน ที่ล่อให้หลงรัก สำหรับสิ่งที่น่าขยะแขยงนี้ก็มีตั้งหลายๆชั้น หลายสิบชั้น แล้วบางทีก็ไปขยะแขยงด้วยความโง่ของตัวเอง มันไม่ควรขยะแขยงก็ไปขยะแขยงด้วยความยึดมั่นถือมั่น ด้วยมานะทิฏฐิของตัวเอง เหมือนคนบ้าบิ่น มันออกรับหน้าแทนคนนั้นคนนี้ มันอาจจะเกินไปโดยไม่รู้สึกตัว เช่นเป็นนักศึกษานี่ ก็ไปรับหน้าที่ของนักการเมืองบ้าบิ่น จะถูกหรือผิดก็คิดดู เรากำลังเป็นนักศึกษา แต่เสนอตัวเข้าไปรับหน้าที่ของนักการเมืองบ้าบิ่น มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้ามันทำเป็นการศึกษา เป็นพอเหมาะพอดีมันก็ดี มันก็ถูกแล้วก็มีประโยชน์ ถ้ามันเลยเป็นบ้าบิ่น กูรังเกียจความอยุติธรรม กูจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมอย่างนี้ มันก็บ้าบิ่น อย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันผิดฝาผิดตัวแล้ว ต้องรู้จักตัวเองไว้ให้มาก ทำให้ถูกกับเรื่องกับราวอยู่เสมอ ไม่ต้องไปรังเกียจ ไปขยะแขยงให้เสียเวลา ทีนี้ฝ่ายที่ยั่วยวนให้หลงรักก็เหมือนกัน นี้แหละจะโง่ได้มาก จะไปหลงรักไอ้นั่นไอ้นี่ที่เป็นเหยื่อทั้งนั้น นี้ก็เป็นความเลวมากกว่าจะสะเออะไปรับหน้าที่ผู้บ้าบิ่น ผู้ต่อต้านอย่างบ้าบิ่นเสียอีก มันเลยมีแต่ขาดทุนทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายที่น่าขยะแขยงก็ทำผิด ฝ่ายที่ยั่วให้น่ารักก็ทำผิด การศึกษาก็ไม่สำเร็จประโยชน์ สำเร็จประโยชน์ก็อย่างละเมอๆ ได้ประกาศนียบัตรไปก็อย่างที่ได้ว่ามันเป็นแผ่นกระดาษ เอาไปอ้างหางานทำได้ แต่ความเป็นมนุษย์ไม่เคยประสบกับการดื่มมัณฑะ มันหลอกลวงตัวเองอยู่เรื่อย มันแผดเผาตัวเองอยู่เรื่อยโดยไม่รู้สึกตัว นี้บวชเข้ามาเขาให้รู้จักความลับของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต หรือหน้าที่ของชีวิต ไอ้ความลับของชีวิต ไอ้วัตถุประสงค์ของชีวิตหรือไอ้ผลกำไรของชีวิต นี้ควรจะรู้ เพราะว่าในมหาวิทยาลัยของคุณมันไม่สอนนี่ ไอ้เรื่องเหล่านี้ นั้นคุณต้องหาโอกาสเรียนเอาคิดเอา อะไรเอา ในระหว่างที่มาบวชไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนนี้ จึงจะคุ้มกันกับที่เรียกว่ามาบวช ถ้าผิดจากนี้แล้วผมเห็นว่าไม่คุ้ม ไม่คุ้มกับเวลา ไม่คุ้มกับวัตถุที่ลงทุนไปในการบวช
ศึกษาจากธรรมชาติล้วนๆ ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ จะรู้ความจริงของในสิ่งทั้งปวง แล้วก็ไปศึกษา คือไปเผชิญกับสิ่งที่น่ารักน่าชัง น่าเกลียดน่ากลัว น่าอะไรในโลกได้ นั้นตอนที่พักอยู่ที่นี่ พยายามเป็นเกลอกับธรรมชาติให้มากที่สุดที่จะมากได้ ให้ได้ดื่มมัณฑะจากความวิเวก คือความสุขที่เกิดจากวิเวก ไม่ถูกรบกวน คำว่าวิเวกแปลว่าไม่ถูกรบกวน ไอ้คนข้างนอกก็ไม่รบกวน ไอ้กิเลสข้างในก็ไม่รบกวน เรามานั่งอยู่กับธรรมชาติอย่างนี้ จิตใจไม่ถูกรบวน กำลังเป็นอิสระ กำลังแจ่มใส กำลังฉลาด ในระหว่างที่อยู่ที่นี้ ก็ขอให้ทำอย่างนี้ ให้มันได้ความรู้ ความเข้าใจมากๆ แล้วไปเผชิญกับที่ในกรุงเทพฯอีก หรือแล้วแต่ว่าอยู่ที่ไหน นี่พูดถึงว่าบวชชั่วคราว มาพักอยู่ที่นี่จะต้องศึกษาอะไร จะต้องรู้อะไร จะต้องปฏิบัติอะไรพร้อมกันไปในตัว ก็มาหัดเรียน ทำชีวิตให้เป็นเหมือนการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา ตื่นขึ้นมาก็เต็มไปด้วยความพอใจ ได้ไหว้พระสวดมนต์ ได้ฟังบรรยาย ได้เดินไปบิณฑบาต กลับมาได้ฉัน ทุกอย่างแหละ ให้รู้จักจัด ให้รู้จักทำ ในลักษณะที่ไม่มีความยุ่งยากใจ มีแต่ความพอใจ อะไรเกิดขึ้นก็รู้จักทำให้มันพอใจ แม้แต่ความขาดแคลนจะเกิดขึ้นก็รู้จักทำให้มันเป็นประโยชน์ เพื่อให้เรามันฉลาดขึ้น อย่าต้องไปทุกข์ไปร้อน
นี่ชีวิตของพระพุทธเจ้าท่านได้วางแบบไว้ให้พวกเราอย่างนี้ ที่เรียกว่ากินข้าวจานแมว อาบน้ำในคูนั่นแหละ มันก็ต้องเต็มไปด้วยปัญหาบ้างแหละ เช่นความขาดแคลนหรือว่าบางทีมันก็ไม่สะดวกสนุก แต่เรารู้จักทำให้มันเหมือนกับการดื่มมัณฑะได้ เพราะว่าเราปรับปรุงในใจ ตั้งใจไว้ให้ถูกต้อง ดำรงจิตไว้ให้ถูกต้อง ศึกษาเรื่องจิตเพิ่มขึ้นๆตามโอกาส ก็ตัดสินได้ง่ายๆเมื่อรู้สึกไม่สบายใจก็ไม่ต้องถามใคร สงสัยอะไร เชื่อได้เลยมันตั้งจิตไว้ผิด ก็ดูเสียใหม่ ตั้งจิตเสียใหม่ มันก็กลายเป็นเปลี่ยนไปที่ว่าไม่เดือดร้อน ไม่รำคาญ ไม่ขุ่นมัว ไม่เป็นทุกข์ เพราะวิธีนั้นอึดอัด รู้สึกอึดอัด กระทบกระทั่งในจิต ก็แน่แล้ว มันเป็นการตั้งจิตไว้ผิดแล้วอย่าไปโทษใคร ทำเสียเอง ทำเสียใหม่ ก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นทุกที อย่างนั้นเรียกผิด อย่างนั้นเรียกว่าถูก มันสอนอยู่ในตัวเองแล้วดีกว่าคนสอน คนสอนมันไม่จริงนี่ มันได้แต่พูด มันไม่ใช่ความรู้สึก ไอ้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงแล้วมันสอนจริงกว่า เราต้องเรียนจากสิ่งนั้น เขาเรียกเรียนจากธรรมชาติ ไม่ใช่เรียนจากปากคนพูด
ระหว่างอยู่ที่นี่ก็มีโอกาสเรียนจากธรรมชาติทุกอย่าง ถ้าสนใจ นับตั้งแต่การเป็นอยู่ การศึกษา การอบรม การทำอะไรต่างๆทุกอย่างเลย อาจจะเรียนได้จากธรรมชาติ ในทุกๆแง่ ทุกๆมุม การเห็นแก่ตัวหรือการเสียสละ อันนี้เรียนได้จากธรรมชาติ คือจากของจริงที่กำลังกระทำอยู่
ทั้งหมดก็สรุปความแล้วก็เหลือนิดเดียว ถ้ารู้จักทำชีวิตนี้ให้มีลักษณะเหมือนกับการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลาด้วยการประพฤติพรหมจรรย์ คือมีการปฏิบัติถูกต้องทางกาย ทางวาจา ทางใจ ตามแบบของสัตตบุรุษที่ได้วางไว้ สัตตบุรุษหรือสัปบุรุษนี้เขาหมายถึงผู้ที่ดี มีความสงบตั้งแต่ระดับต่ำขึ้นไปถึงระดับสูงสุดคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เป็นจอมสัตตบุรุษ พระอรหันต์ทั้งหลายก็เป็นสัตตบุรุษสมบูรณ์แบบ ทีนี้นอกจากนั้นมันก็ต่ำลงมาๆ จนถึงปุถุชนอย่างดีก็เป็นสัตตบุรุษบ้าง ไม่ใช่จะไม่เป็นเสียเลย แม้แต่จะเป็นคนพาล คนโง่ คนเขลาโดยส่วนเดียวเท่านั้นจึงจะไม่เป็นสัตตบุรุษ
สัตตบุรุษนี่ในภาษาบาลีนั้นไม่ได้ระบุว่าเป็นพระหรือเป็นฆราวาสเป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้ายังเรียกว่าเป็นสัตตบุรุษเลย แต่ในภาษาไทยที่พูดๆกันอยู่ สอนๆกันอยู่ ไม่ได้ลงเรียนเรียนนักธรรม มักจะหมายถึงชาวบ้านเสียมากกว่า ไม่เคยคิดไปถึงพระอรหันต์ด้วย พระพุทธเจ้าด้วย ต้องไปเรียนรู้จากบาลีที่มันมีอยู่จริงในพระคัมภีร์ เรียกพระอรหันต์เป็นสัตตบุรุษ เรียกพระพุทธเจ้าเป็นจอมสัตตบุรุษ แต่ที่เขาใช้อยู่จริง มีหลักฐาน มีวัตถุชัดอยู่ คือตัวหนังสือที่จารึกอยู่ที่ตลับหินที่บรรจุอัฐิธาตุของพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร ที่เขาขุดพบที่เมืองศานจี มันก็มีว่า สัปปุริสะ ใช้คำว่าสัปบุรุษ ท่านเรียกว่าพระอรหันต์ นี้เป็นสัตตบุรุษกันก็พอแล้ว ถ้าเรียกอย่างภาษาวัดนะ ถ้าเรียกอย่างภาษาวิทยาศาสตร์หน่อยว่าเป็นคนที่ทำชีวิตนี้ให้มันเหมือนกับการดื่มมัณฑะอยู่ตลอดเวลา อย่ากินกากมะพร้าวเลย
ผมเห็นว่าพอสมควรแก่เวลายุติการพูดจาวันนี้ไว้พียงเท่านี้ ว่าอย่ากินกากมะพร้าวเลย