แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายในลักษณะที่เรียกว่าธรรมปาฏิโมกข์ของพวกเราที่นี่ ยังคงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวกู-ของกูโดยปริยายใดปริยายหนึ่งต่อไปอีกตามเคย การบรรยายเรื่องนี้ได้บรรยายเรื่อยมานานแล้ว จนกระทั่งขึ้นไปถึงเรื่องที่มันสูง มันยาก มันลึก คนแรกฟังฟังไม่รู้เรื่อง แต่แล้วก็ต้องย้อนกลับลงมาพูดเรื่องเบื้องต้น ก. ขอ ก. กา ของมันอีกเป็นคราวๆ ตามที่เหตุผลหรือความจำเป็นบังคับคือมีผู้บวชใหม่มากเข้ามา ต้นพรรษาเราต้องพูดอย่างนี้แล้วก็วกกลับไปหาเรื่องเดิมที่ได้บรรยายไปแล้ว แม้ในคราวนี้มันก็เป็นอย่างนี้ คือในการบรรยายสองครั้งที่แล้วมาก็พูดเรื่อง ก. ขอ ก. กา ของเรื่องตัวกู-ของกู ทีนี้ก็จะเริ่มติดต่อกับเรื่องที่ได้บรรยายเรื่อยๆ มา และหยุดค้างไว้ชั่วคราว
หัวข้อนั้นมีว่า ทำอย่างไรเราจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ในลักษณะที่โพธิหรือปัญญานั้นมันจะเข่นฆ่าตัวกู-ของกูที่เป็นอวิชชาอยู่เรื่อยไปโดยอัตโนมัติ แต่เราได้ใช้คำอย่างอื่น คือใช้คำว่า ทำอย่างไรจึงจะมีการเป็นอยู่ชนิดที่เบญจขันธ์นี้มันจะฆ่าเบญจขันธ์อยู่ตลอดเวลา นี้จะเห็นได้ว่าคนแรกมานี้ฟังไม่ถูกแล้ว มันก็ต้องพูดกันใหม่ว่า คนเราคนหนึ่งๆ ในวันหนึ่งๆ นั้น มันมีอยู่สองแบบ บางเวลามันเป็นเบญจขันธ์บริสุทธิ์ คือไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู-ของกูอยู่ในนั้น และบางเวลามันก็เป็นเบญจขันธ์ที่เต็มอยู่ด้วยอุปาทานนี้ เป็นเบญจขันธ์ไม่บริสุทธิ์ เป็นเบญจขันธ์มืดมัวเศร้าหมอง นี้เรียกว่าเบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน ในบางคราวเราก็มีอย่างนี้ แต่ว่าส่วนมากนั้นเรามีเบญจขันธ์ที่มิได้ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน คืออุปาทานยังมิได้เกิด แต่ว่ามันเป็นเบญจขันธ์ลูกเด็กๆ ที่อุปาทานจะเกิดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เมื่ออุปาทานไม่เกิด มันก็เป็นเบญจขันธ์ที่ยังบริสุทธิ์ไปตามแบบนี้
นี่ต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน ต้องฟังเรื่องนี้ให้เข้าใจก่อน ที่เรียกว่าเบญจขันธ์นั้น มันก็คือคนคนหนึ่ง พอมีอะไรเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางใดทางหนึ่งแล้ว ความคิดก็จะเกิดขึ้นครบถ้วนตามแบบที่ธรรมชาติกำหนดไว้ เวลานั้นเราเรียกว่ามีเบญจขันธ์แล้ว ถ้าเรื่องอย่างนี้ไม่มีมันก็เหมือนกับตายแล้วนั่นแหละ คุณฟังดูให้ดี เดี๋ยวจะไม่เข้าใจ แต่ทีนี้เรื่องทางตา ทางหู ทางจมูกนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง มันเกิดขึ้นเรื่อย เพราะฉะนั้นเราจึงหาเวลาที่เรียกว่าตายนั้นยาก อย่างน้อยมันก็มีเบญจขันธ์ประเภทที่ยังไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน เรื่องนี้สำคัญมาก แล้วกำลังสอนกันไม่สมบูรณ์ หรือว่าจะเรียกว่าสอนผิดๆ ก็ได้ คือไปสอนกันเสียว่าถ้ามันมีเบญจขันธ์แล้วก็ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานแล้วก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ไม่มองดูให้ดีว่า ในบางเวลาหรือส่วนมากนั้นไม่ได้ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน ฉะนั้นจะต้องศึกษาให้เข้าใจในคำที่ว่าประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั้นมันเป็นอย่างไร ตอนแรกที่จะศึกษาเหมือนเรื่อง ก. ขอ ก. กา นี้ ก็คือเรื่องเบญจขันธ์ชนิดนี้ด้วยเหมือนกัน ขันธ์ แปลว่าส่วนหรือกอง ทีนี้ที่ว่าเบญจขันธ์ มัน ๕ ส่วน หรือ ๕ กอง หมายความว่า คนเราคนหนึ่งถ้าจะมองกันในแง่ของขันธ์นั้น มันมี ๕ ขันธ์ หรือ ๕ กอง
กองแรกนี้ ก็หมายถึงรูป คือร่างกาย ส่วนที่เป็นร่างกายเป็นรูปเป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมนี้ ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายคนคนหนึ่งนี้ และยังมีภาวะของร่างกายนี้อีก อันนี้เขาก็เรียกว่ารูปเหมือนกัน ธาตุทั้งหลายประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายนี้แล้ว ทีนี้ที่ร่างกายนี้เรายังจะมองเห็นว่าเป็นภาวะต่างๆ กัน เช่น ภาวะสูง ภาวะต่ำ ภาวะแข็งกระด้าง ภาวะอ่อนไสว หรือภาวะแห่งความคล่องแคล่ว ภาวะแห่งความทื่อทะอย่างนี้ กระทั่งภาวะแห่งความเป็นหญิง ภาวะแห่งความเป็นชายเป็นต้น มันก็ที่รูปที่ร่างกายนี้แหละ ฉะนั้นเนื้อร่างกายแท้ๆ นี้ก็เรียกว่ามหาภูตรูป และภาวะต่างๆ ที่เห็นได้ที่นั้นก็เรียกว่าอุปาทายรูป มีรายละเอียดมากไปหาอ่านจากตำรับตำราถ้าอยากรู้รายละเอียด จะเอามาพูดให้หมดก็กินเวลาก็เวียนหัวเปล่าๆ แต่ขอให้สังเกตว่ามันมีรูปโดยตรง คือเนื้อหนังเป็นดุ้นเป็นก้อน นี้อยู่พวกหนึ่ง และอีกพวกหนึ่งก็เป็นภาวะที่จะดูออกมาได้จากเนื้อหนังนั้น นี้เขาเรียกว่าอุปาทายรูป อย่างแรก หมายถึงรูปเป็นดุ้น เป็นก้อน เป็นเนื้อ เป็นหนัง อย่างหลังนี้ คือรูปของภาวะที่แฝงอยู่ที่นั่น รวมกันแล้วก็เรียกว่ารูปหรือรูปขันธ์ ส่วนที่เป็นรูปนี้คือขันธ์ที่ ๑ มันก็มีอยู่เหมือนกับว่ามันเป็นเปลือกอะไรชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชีวิต
ทีนี้พอตาหรือหูก็ตาม อย่างใดอย่างหนึ่งนี้มันทำงาน เช่นว่า ตาเห็นรูป มันก็มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณขันธ์ ทำหน้าที่ขึ้นมาทันที เช่น วิญญาณทางตา เห็นว่ารูปนั้นเป็นอย่างไร รูปร่างเป็นอย่างไร เช่นต้นไม้นี้ เห็นภาพนี้รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ นี้ก็เรียกว่าส่วนวิญญาณ ทำหน้าที่รู้สึก หรือรู้แจ้งก็แล้วแต่จะเรียก แต่ไม่ใช่แจ้งทางสติปัญญา มันรู้ทางตา รู้สึกว่ามันเป็นรูปอะไร
ทีนี้ก็ความรู้สึกอีกอันหนึ่งที่เรียกว่าสัญญา ก็เข้ามาช่วยประกอบเป็นความจำที่ชัดเจนขึ้นมา ความที่เราเคยรู้มาก่อนมันจำได้ เอ้า,อย่างนี้มันต้นไม้ ใบมันอย่างนั้น อะไรมันอย่างนั้น เขาเรียกว่าต้นนั้นต้นนี้ นี่ความรู้สึกประเภทสัญญาหรือสัญญาขันธ์ก็ทำหน้าที่ นี้ก็เรียกว่าสัญญาขันธ์เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้ เช่นเดียวกับวิญญาณขันธ์เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้
ทีนี้เห็น จำได้แล้ว ก็จะเกิดเวทนาขันธ์ คือรู้สึกมันถูกตาหรือไม่ถูกตา สบายตาหรือไม่สบายตา อย่างนี้เป็นต้น ความรู้สึกว่าสบายตาหรือไม่สบายตาเป็นต้นนี้มันเรียกว่าเวทนา คือความรู้สึก นี้ก็เป็นเวทนาขันธ์ เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้หยกๆ
ทีนี้หลังจากเวทนาขันธ์ มันก็จะต้องเกิดความคิดอะไรบ้างเกี่ยวกับความรู้สึกที่ว่าสวยหรือไม่สวยนั่นแหละ มันก็เกิดพวกสังขารขันธ์ขึ้นมาคือความคิด เราจึงได้ขันธ์ใหม่ที่เป็นพวกจิตใจ ๔ ขันธ์ คือเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้ารู้สึกเพียงเท่านี้แล้วมันสลายไป อย่างนี้มันก็เป็นขันธ์ที่ยังไม่ถูกยึดมั่นถือมั่น แต่ก็เรียกว่ามันครบทั้ง ๕ ขันธ์ รูปร่างกายที่เรียกว่ารูปขันธ์นี้ เราก็ถือว่ามันเพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้เหมือนกัน เพิ่งเกิดเมื่อตาไปเห็นรูปเข้านั่นแหละ เพราะก่อนนี้ตาหรือรูปนั้นมันไม่ทำอะไร จึงถือว่าไม่มี คือยังไม่เกิด ทีนี้เดี๋ยวนี้ร่างกายนี้มันเกิดทำหน้าที่สำหรับให้จิตใจมันทำหน้าที่ได้ ร่างกายนี้ก็เกิดขึ้นมาเป็นรูปขันธ์ทันที ก่อนนี้มันไม่มีค่า ไม่มีความหมาย เหมือนกับตายอยู่ เหมือนกับสลบอยู่ ทั้งที่เรามีร่างกายอยู่นี้ เมื่อมันไม่ทำหน้าที่ เรียกว่ามันไม่เกิด
ฉะนั้นเมื่อเราเห็นรูปอย่างเดียวเท่านั้นแหละ ขันธ์ทั้ง ๕ จะเกิดกรูกันขึ้นมาครบหมด รูปขันธ์ก็เกิดเดี๋ยวนี้ เวทนาขันธ์ก็เกิดเดี๋ยวนี้ สัญญาขันธ์ก็เกิดเดี๋ยวนี้ สังขารขันธ์เกิดเดี๋ยวนี้ วิญญาณขันธ์เกิดเดี๋ยวนี้ คุณต้องไปศึกษาเรื่องเหล่านี้โดยข้อเท็จจริง อย่าไปท่องจำมาจากหนังสือ แล้วก็ท่องกันอยู่นั่นแหละ ก็ท่องกันอยู่ เรื่องขันธ์ ๕ นี้ ใครๆ มันก็ท่องได้ เราจะต้องพยายามศึกษาใคร่ครวญรู้จักแยกแยะว่า ส่วนที่เรียกว่ารูปขันธ์นี้คืออะไรในเวลานี้ แล้วเวทนาขันธ์คืออะไร สัญญาขันธ์คืออะไร ส่วนใดที่เป็นความรู้สึกสบายตาหรือไม่สบายตา สบายหูหรือไม่สบายหูนี้เป็นเวทนา หมวดหนึ่งก็เรียกว่าเวทนา,กองเวทนา ทีนี้สัญญานั้นคือจำได้ว่ามันเป็นอะไร ความรู้สึกส่วนที่ทำให้จำได้ว่าเป็นอะไรนี้เรียกว่าสัญญา ทีนี้ความรู้สึกที่เป็นความคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้นๆ นี้ก็เรียกว่าสังขารขันธ์,สังขาร ที่ทำหน้าที่เพียงสักว่ารู้แจ้งนี้เรียกว่าวิญญาณ มันจะครบขึ้นมาเป็น ๕ ขันธ์อย่างนี้ทุกทีที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ผิวหนังได้สัมผัสผิวหนัง กระทั่งใจได้สัมผัสธรรมารมณ์อันใดอันหนึ่ง ถ้ายังไม่เกิดความยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตนหรือของตน ยังไม่ชื่อว่าปัญจุปาทานขันธ์ ฉะนั้นเราจึงอยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ ไม่ทรมานเกินไป ไม่เป็นโรคเส้นประสาท เพราะการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่นอะไรนี้มันไม่รบกวนมากถึงขนาดที่ว่าเป็นทุกข์
ทีนี้ในบางกรณีมันไม่อย่างนั้น มันไม่เห็นเฉยๆ หรือมันไม่เกิดเฉยๆ มันไม่เกิดขันธ์ ๕ เฉยๆ อย่างนั้น มันเกิดพร้อมกันมากับอวิชชา หมายความว่าในกรณีนั้นอวิชชาที่เป็นแม่บทของกิเลสนั้นเข้าไปผสมโรง ให้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า อวิชชานี้คอยติดตามอยู่ทุกหนทุกแห่ง คอยเกิดขึ้นได้ เขาพร้อมที่จะเกิดขึ้นได้ในที่ทุกหนทุกแห่ง แล้วก็ในโลกนี้ในสากลจักรวาลนี้ตรัสว่ามีของอยู่ ๓ อย่าง คือ ใจอย่างหนึ่ง แล้วก็สิ่งทั้งปวงทั้งหลายที่เป็นอารมณ์นี้อย่างหนึ่ง แล้วอวิชฺชาธาตุ คืออวิชชาธาตุ นี้อีกอย่างหนึ่ง มีอยู่ ๓ อย่าง อย่างนี้ แม้ว่ามันจะมีกี่ร้อยอย่างพันอย่าง หมื่นอย่าง มันจะสงเคราะห์ลงไปได้ในเพียง ๓ อย่างนี้เท่านั้น ในสากลจักรวาลและที่มันเกี่ยวข้องกับคนเรา มนุษย์เรามีชีวิตมีความรู้สึกคิดนึกได้นี้ มันมีสิ่งสำคัญอยู่ ๓ อย่าง (๑)คือ มโน,มโนธาตุ มโนธาตุ และ(๒)คือสิ่งทั้งปวง หมายความว่าสังขารทั้งปวง อารมณ์ทั้งปวง ปรากฏการณ์ทั้งปวงนี้ นี้เรียกว่าธรรมทั้งปวง แล้วอันที่(๓) อวิชฺชาธาตุ อวิชชาธาตุ ธาตุแห่งความไม่รู้ หรือธาตุที่ปราศจากความรู้ มันเป็นธาตุอันหนึ่ง มีอยู่ ๓ อย่าง จาก ๓ อย่างนี้จะเกิดอะไรต่างๆ นานาสารพัดอย่าง ถ้าไม่มีใจเสียอย่างเดียวมันก็เลิกกันหมดแหละ ไม่ต้องมีอะไรที่จะพูดถึงกัน ไม่มีมโนเสียอย่างเดียว แต่ทีนี้ถ้ามันมีมโนแล้ว มันไม่มีสิ่งทั้งปวง มันก็ไม่มีความหมาย เพราะมโนมันต้องไปสัมผัสลงที่สิ่งทั้งปวง ทีนี้มโนสัมผัสสิ่งทั้งปวงแล้ว แต่ถ้าสิ่งที่เรียกว่าอวิชชาธาตุไม่มี มโนมันก็รู้ถูกต้องไปหมด มันก็ไม่เกิดเรื่องที่เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าอวิชชาธาตุ-อวิชฺชาธาตุนี้อยู่อีกธาตุหนึ่ง ซึ่งพร้อมที่จะเข้าไปผสมโรงกับมโนในขณะที่มโนสัมผัสสิ่งทั้งปวง
นี่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างนี้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ เราก็ต้องมองเห็นว่า ปัญหาสำคัญหรือร้ายกาจมันอยู่ที่ ๓ สิ่งนี้ ที่มีอยู่ในสากลจักรวาล ไม่ได้ยกเว้นที่ตรงไหน มโนธาตุมันก็อยู่ทั่วไป สิ่งทั้งปวงก็คือสิ่งทั่วไปในที่ทั้งปวง อวิชชาธาตุนี้เก่งมาก อยู่ได้ในที่ทั้งปวง ฉะนั้นเมื่อตาเห็นรูป ตานี้มันเป็นที่ตั้งของมโน เป็น office ของมโน เพราะฉะนั้นมโนมันเป็นเจ้าของเรื่อง ทีนี้รูปนี้คือสิ่งทั้งปวง ทีนี้ตาเห็นรูป กระทบกันเข้ากับรูป ในบางกรณีมันยั่วหรือมันดึงเอาสิ่งที่เรียกว่าอวิชชาเข้ามาเกี่ยวข้อง มันมีความประจวบเหมาะของการที่ว่า สิ่งที่มาให้ตาเห็นนั้นมันมีความหมายอะไรมาก มันดึงดูดมากอะไรมาก อวิชชาจึงเกิดง่าย เข้าผสมโรงด้วยง่าย
ถ้าในกรณีที่อวิชชาเข้ามาผสมโรงด้วยแล้ว การเกิดขึ้นแห่งขันธ์ทั้ง ๕ นั้นย่อมกลายเป็นขันธ์ ๕ ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน คือความยึดมั่นสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตน อวิชชามันก็คลอดอุปาทานได้ทุกคราวไป เมื่อคลอดมาตามลำดับแหละ ให้เกิดตัณหา ให้เกิดอะไรก่อนแล้วจึงเกิดอุปาทาน จะยึดมั่นถือมั่นขึ้นมา ทีนี้ความสำคัญมันก็อยู่ตรงที่เราจะต้องเปรียบเทียบให้รู้จักว่าเบญจขันธ์ชนิดที่ไม่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานที่เกิดแก่เราวันหนึ่งๆ นั้นเป็นอย่างไร แล้วเบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานอย่างยิ่งในวันหนึ่งๆ นั้นมันคืออย่างไหน ฉะนั้นพูดได้อย่างกำปั้นทุบดินเลยว่า เมื่อเห็นอะไร หรือได้ดม ได้กลิ่นอะไรก็ตามใจ ถ้ามันไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมา เพราะเหตุนั้นแล้ว ก็เรียกว่าเบญจขันธ์นั้นยังไม่มีอุปาทาน ทีนี้ในกรณีใดมันเกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง อย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการได้เห็นรูปหรือได้ฟังเสียงนั้น เบญจขันธ์ที่เกิดขึ้นเพราะการกระทบนั้นก็เรียกว่าเบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน ฉะนั้นมันจึงเป็นทุกข์
ฉะนั้นคนเรานี้มันมีอยู่ ๒ ชนิดอย่างนี้ คนๆ หนึ่งหรือคนเราหรือตัวเรานี้ บางเวลามันเป็นตัวเราที่เกิดขึ้นโดยไม่มีอุปาทาน มันเป็นไปตามธรรมชาติ คือเวลาที่เราไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นแหละ แม้เห็นรูป ฟังเสียงดมกลิ่น ก็ไม่เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่เกิดเวทนาอันใด หรือถ้าว่าจะเรียกว่าอทุกขมสุขเวทนา ก็มีอยู่อีกอย่างหนึ่ง นั้นเป็นเวทนา เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นเวทนาชนิดที่จะให้เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา แม้ว่าจะสงเคราะห์เข้าในอทุกขมสุขเวทนา ก็ได้เหมือนกัน แต่มันคนละอย่างนะ ยังมีอทุกขมสุขเวทนาอีกบางชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งตัณหา ข้อนี้แล้วแต่ใครจะบัญญัติ ถ้าจะบัญญัติว่า อทุกขมสุขเวทนามีค่าเท่ากับไม่มีเวทนาก็ได้ แต่อย่าลืมว่าอทุกขมสุขเวทนานี้มันก็ไม่เสียเปล่าหรอก มันเกิดขึ้นมาก็ทำให้อวิชชายังอยู่หรืออวิชชาถูกหล่อเลี้ยงไว้โดยเพิ่มให้เป็นอวิชชานุสัย ถ้ามันเป็นสุขเวทนา มันก็เพิ่มราคานุสัย คือความเคยชินที่จะรักหรือจะโลภ ถ้าทุกขเวทนาเกิดขึ้น มันก็เพิ่มความเคยชินให้แก่ปฏิฆานุสัย คือความเคยชินที่จะโกรธ จะเกลียด จะหงุดหงิด จะรำคาญ
ทีนี้ถ้าอทุกขมสุขเวทนาในลักษณะที่ถึงกับเป็นเวทนาเต็มรูปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันหล่อเลี้ยงอวิชชานุสัย คือความเคยชินที่จะโง่มากขึ้นไป ถ้าผิดจากนี้แล้วคือไม่มีอวิชชาเกี่ยวข้องแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาเกิดขึ้น เหมือนกับที่เราเห็นรูป หรือว่าได้ยินเสียงนกร้อง หรือว่าได้กลิ่นอะไร แต่แล้วเรื่องมันเลิกกัน เรื่องมันหยุดชะงักไป เลิกกัน ไม่เกิดอารมณ์ประเภทโลภ โกรธ หลง นี้มันมีอยู่เป็นประจำวัน อย่างนี้เราเรียกว่าเบญจขันธ์ล้วนๆ เบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทาน เราต้องการจะให้เบญจขันธ์มันล้วนๆ อยู่อย่างนี้แหละคือไม่มีอุปาทาน ทีนี้เบญจขันธ์ล้วนๆ ไม่มีอุปาทานนี้มันยังมีได้ ๒ แบบ มันเป็นไปเองอย่างนี้ก็แบบหนึ่ง แล้วเบญจขันธ์ล้วนๆ อีกแบบหนึ่งก็คือเราระมัดระวัง เรามีสติสัมปชัญญะระมัดระวังให้เบญจขันธ์ของเรา คือจิตใจของเรานี้มันล้วนๆ อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าเกิดกิเลส ฉะนั้นความที่เบญจขันธ์มันล้วนๆ ไม่ประกอบอยู่ด้วยกิเลสอุปาทานนั้นมันก็มีได้ ๒ แบบ คือมันเป็นไปของมันเองก็ได้ มันไม่ประจวบเหมาะ และอีกแบบหนึ่งก็ว่าเรานี้แหละมีสติสัมปชัญญะที่ฝึกไว้ดี รู้สึกสกัดกั้นไม่ให้เกิดกระแสของกิเลสหรืออุปาทาน ถ้าเราอยู่อย่างนี้ก็เรียกว่า เราอยู่ด้วยเบญจขันธ์บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลส Innocent ก็ได้ คือเป็นไปเอง หรือว่าเจตนาของเราจะป้องกันรักษามันไว้ได้ก็ได้ ถ้าเราอยู่ด้วยเบญจขันธ์บริสุทธิ์ล้วนๆ ชนิดนี้เรื่อยๆ ไป การเกิดขึ้นแห่งอุปาทานมันจะค่อยๆ ร่อยหรอไป ค่อยสูญเสียความเคยชินไป นี่อยู่ให้ถูกเข้าไว้เถิด อยู่อย่างผิดๆ นั้นมันจะค่อยๆ ร่อยหรอไป จนหายไปหมดในที่สุด
นี่ระลึกถึงข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า จงอยู่โดยชอบเถิด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ฉะนั้นเรื่องทางศาสนานี้มันไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนเรื่องทางปรัชญา มันก็สอนกันง่ายๆ ตรงๆ มีเหตุผลอยู่ในตัวอย่างนี้ อย่างที่ผมพูดค้างไว้เมื่อการบรรยายสองสามครั้งที่แล้วมานู้นว่า จงอยู่อย่างที่เบญจขันธ์มันจะฆ่าเบญจขันธ์ หมายความว่าให้เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์นี้มันอยู่เรื่อยไป แล้วมันจะฆ่าหรือทำลายเบญจขันธ์ที่จะมีอุปาทานนั้นแหละให้มันร่อยหรอไปเหือดแห้งไป เหือดหายไป เพราะมันไม่มีโอกาสจะเกิด ไม่มีโอกาสจะเกิดอุปาทานนานเข้า มันก็เปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเคยชิน เปลี่ยนนิสัย นั่นแหละคืออาการที่เรียกว่าอาสวะค่อยๆ สิ้นไป อนุสัยค่อยๆ สิ้นไป ค่อยๆ เหือดแห้งไป เพราะว่าการอยู่มันอยู่อย่างถูกต้องอยู่ตลอดเวลา นี้เรียกว่าอยู่ให้ดีๆ อยู่ให้ถูกต้อง อยู่ให้ดีๆ แล้วไม่ต้องทำอะไรมากกว่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปเอง เป็นไปในทางที่จะให้หมดกิเลส
นี่ต้องทบทวนอย่างนี้อีกทีหนึ่ง เพราะว่าผู้ที่แรกมาไม่เคยฟังจะได้เข้าใจเสียว่าอยู่อย่างไรตัวกูมันจึงจะถูกฆ่าหรือถูกทำลายอยู่เสมอ หลักใหญ่ๆ ของเรามีอยู่เพียงว่า อยู่อย่างที่ว่าเบญจขันธ์ที่ไม่มีอุปาทานนั้น มันจะค่อยๆ กำจัดเบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทานนั้นให้เสื่อมสมรรถภาพไป คือให้ไม่มีโอกาสจะเกิด ไม่ให้มีที่ที่สำหรับจะทำงาน มันก็ค่อยๆ เสื่อมไป
นี้สรุปได้ว่าเราต้องอยู่ให้เป็น อยู่ให้ถูกต้อง มันจึงจะมีเบญจขันธ์ล้วนๆ อยู่เรื่อย เบญจขันธ์ที่มีอุปาทานไม่อาจจะเกิด ทีนี้อยู่อย่างไรปัญหามันก็มี มีมากด้วย อยู่อย่างไรมันจึงจะมีเบญจขันธ์ล้วนๆ ไม่เกิดอุปาทานอยู่ คือมันมีสติปัญญาอยู่ ให้รู้ไว้ว่า ถ้าไม่มีอุปาทานคือพวกกิเลสแล้ว ต้องมีฝ่ายตรงกันข้าม คือโพธิหรือปัญญา ความรู้ได้โดยธรรมชาตินี้อยู่
ทีนี้ก็มีหลักที่บางคนอาจจะไม่ทราบหรือไม่เคยทราบว่า ในพุทธศาสนานี้เราถือหลักว่า ขึ้นชื่อว่ามโนธาตุแล้วมันต้องเป็นธาตุรู้ เพราะมโน มันแปลว่ารู้ ทีนี้มโนธาตุ มันแปลว่าธาตุรู้ ฉะนั้นธาตุนี้ต้องมีคุณสมบัติคือรู้ จะรู้ถึงที่สุด เบิกบานถึงที่สุดหรือไม่นั้น มันก็มีปัญหาอยู่ ๒ อย่าง นี้จะต้องเถียงกันในแง่ของปรัชญา คือพวกหนึ่งจะถือว่าธาตุรู้นี้มันรู้ของมันถึงที่สุดอยู่เสมอ เพราะมันเป็นธาตุรู้ แต่แล้วมีอะไรมาบดบังไม่ให้มันรู้ ไม่ให้มันทำหน้าที่ของมันได้ ก็คือกิเลส คือกิเลสหรืออวิชชาเข้ามาห่อหุ้มอยู่ ธาตุรู้ก็ทำหน้าที่อะไรไม่ได้ ทีนี้ถ้าเอาอวิชชาออกไปหมดหรือว่าอย่าให้เกิดขึ้นได้ อย่าให้เข้ามาได้ ธาตุรู้มันรู้หมดเหมือนกัน มันจะรู้ชนิดที่ไม่มีความทุกข์เลย มันจะทำถูกต้องหมดไม่มีความทุกข์ได้ อย่างนี้มันก็ง่ายมาก เพียงแต่อย่าให้เกิดอวิชชานี้ ความรู้ก็จะเป็นญาณอยู่เสมอ เป็นปัญญาอยู่เสมอเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทีนี้พวกหนึ่งก็จะแย้งหรือว่าค้านว่าไม่ใช่อย่างนั้น ธาตุรู้หรือมโนธาตุนี้มันเป็นแต่เพียงว่ามันมีเชื้อแห่งความรู้ ธาตุนี้เป็นเพียงเชื้อแห่งความรู้ เพราะฉะนั้นต้องเพาะ ต้องหว่าน ต้องบำรุงรักษาให้มันเจริญงอกงามจนกว่ามันจะเบิกบานเต็มที่ นี่คือธาตุรู้ เป็นเพียงเชื้อแห่งความเป็นพุทธะที่จะต้องมาปรับปรุงบำรุงรักษา หรือว่าทำในลักษณะที่ให้มันเบิกบานขึ้นมาเต็มที่ เชื้อแห่งความเป็นพุทธะนี้ก็คือมโนธาตุ เพราะว่าธาตุนี้ถึงอย่างไรเสียก็ต้องมีคุณสมบัติรู้ แต่เดี๋ยวนี้มันรู้เหมือนกับว่าเมล็ดพืชที่ยังไม่ได้เพาะหว่าน แต่มันเป็นเชื้อแห่งความรู้
พวกนิกายเซ็นบางพวกเขาว่ามันมีอยู่ ธาตุรู้อย่างนี้มันมีอยู่ในทุกสิ่ง ธาตุแห่งความรู้ ธาตุแห่งความเป็นพุทธะนี้ มีอยู่ในทุกสิ่งกระทั่งว่ามีในสุนัข จนว่าพระพุทธเจ้ามีความเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ในสุนัข นี่พวกเราได้ยินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พวกหนึ่งมันว่าธาตุแห่งความเป็นพุทธะ หรือเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ หรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะอะไรก็ตามแต่แล้วแต่มันจะเรียก มันมีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีความรู้สึกคิดนึกได้ มันจึงมีได้แม้ในต้นไม้ เพราะต้นไม้มันมีความรู้สึกได้ สิ่งใดมีความรู้สึกได้สิ่งนั้นมีมโนธาตุ ฉะนั้นมโนธาตุนี้มันเป็นธาตุแห่งความรู้ ถ้ามันมีในต้นไม้ได้ ทำไมมันจะมีในสุนัขไม่ได้ เพราะสุนัขมันดีกว่าต้นไม้เป็นกองสองกอง เดี๋ยวมันก็มีได้ในคนทุกคน
ทีนี้เราก็ดูว่า ธาตุแห่งความเป็นพุทธะหรือธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะที่มีอยู่ในทุกคนนั้น ทำไมทุกคนจึงไม่เป็นพระ นี่ก็มาติดที่นี่ ติดอยู่ที่กิเลส ตัณหา อวิชชา อุปาทานนี้ คอยหุ้มไว้เรื่อย คอยหุ้มห่อไว้เรื่อย แล้วก็มีเหตุแทรกแซงจากอย่างอื่นที่ทำให้มันเกิดอวิชชา กิเลสนี้หุ้มห่อไว้มากขึ้นไปอีกจนเกิดมาร่างกายพิกลพิการ มันสมองไม่สมบูรณ์ เป็นบ้าเป็นบออะไรมาแต่ในท้องนี้ ธาตุแห่งความเป็นพุทธะมันก็ถูกหุ้มถูกห่ออะไรมากขึ้นไปอีก แต่เขาก็ยังถือหลักกระต่ายขาเดียวว่า ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปสิ ความเป็นพุทธะก็จะเท่ากันกับของคนอื่น ฉะนั้นอย่าไปดูถูกเหยียดหยามคนบ้าคนที่มันไม่มีใครนับถือนั่นแหละ ให้เคารพมัน ว่าถ้าเอาอะไรที่เข้ามางอกมาพอกนี้ออกไปเสีย มันก็มีอะไรเหมือนเพื่อน อันนี้จะถูกหรือไม่ถูกอย่าไปคิดเพื่อทะเลาะกัน ยอมรับไว้ดีกว่า เพราะว่ามันจะเกิดความเมตตากรุณา ความเคารพนับถือผู้อื่น อย่าไปดูถูกสุนัข อย่าไปดูถูกคนบ้า หรืออย่าไปดูถูกคนที่มันมีอะไรผิดปกติ
เดี๋ยวนี้ในหมู่มนุษย์เรามันมีการดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น นี้คือความฉิบหายของมนุษย์ ไม่เป็นมนุษย์ เป็นพระ เป็นเณรแล้วก็ยังดูถูกพระเณรองค์อื่นว่าอย่างนั้นอย่างนี้ นี้คือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง มันเดินในทางตรงกันข้าม ฉะนั้นถ้ารู้สึกว่ามีคนเลวอยู่แล้ว คนนั้นแหละมันบรมเลว มันสัญชาติเลวเสียเรื่อยไป มันรู้สึกว่าคนอื่นเลวแล้วคนนั้นมันต้องเลวกว่า ไปคิดเถิด ถ้าเราไปรู้สึกว่าใครๆ เลว เราต้องเลวกว่า แล้วต้องมีทาสกิเลสแห่งความเลวมาก มันจึงจะมองเห็นแต่ในเรื่องของความเลว ไม่มองเห็นในเรื่องของความดี ฉะนั้นจงสะดุ้งกลัวให้มาก เราเกิดความรู้สึกว่าคนนั้นมันเลว คนนั้นมันไม่น่านับถืออย่างนี้ เรามันเลวกว่าแล้ว
นี่ก็ขอให้นึกถึงข้อนี้ที่ว่า ในชีวิตทุกชีวิตมีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ แต่ว่าเขายังอาภัพอยู่เพราะมีอะไรบางอย่างมาหุ้มห่อธรรมชาตินี้ของเขาไว้ เขาจึงมีอาการบ้าๆ บอๆ บ้าง หรือว่ามีอะไรที่เราไม่ชอบเราเกลียดเขานั่นแหละ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงย้ำมากกำชับมากในเรื่องนี้ว่า อย่ามองในแง่ร้าย อย่าพูดในแง่ร้าย จะไม่เป็นสมณะหรือเป็นบรรพชิตเลย อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกฺเข จ สํวโร นี้มันเป็นหลักที่ว่า อย่ามีความรู้สึกที่มองคนอื่นในแง่ร้ายว่าเขาเลว ให้มองในแง่ที่มันน่าสงสารว่าเขาก็มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเหมือนเรา แต่เขามีความอาภัพมีอะไรเข้ามาครอบงำทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เราอย่าว่าเขาเลว แต่เราสงสารเขาเถิด นี้คือความเป็นภิกษุสามเณรที่ดี เดี๋ยวนี้ในวัดนี้ก็ยังมีภิกษุบางองค์มองภิกษุบางองค์ในแง่ที่เป็นคนเลว ฉะนั้นก็ให้รู้กันเสียว่ามันผิดพุทธประสงค์ และมันผิดหลักของธรรมชาติที่ว่าเรามีความเป็นอะไรๆ นี้มาเหมือนกัน คือธาตุแห่งความรู้,มโนธาตุนี้ แต่คนหนึ่งมันอาภัพ คนหนึ่งมันไม่อาภัพ มันจึงต่างกัน ฉะนั้นให้มีแต่ความรู้สึกสงสาร อย่ามองไปในแง่ที่ว่ามันเลว แล้วรังเกียจแล้วดูถูกแล้วนินทากันอย่างนี้ มันยิ่งไกลจากความจริงหรือความถูกต้อง เพราะว่านั้นมันให้เกิดตัวกู-ของกูหนักขึ้น,หนักขึ้น,หนักขึ้นแล้วจะรื้อไม่ไหว ถ้ามันอยู่ด้วยความคิดนึกอันนี้ตลอดเวลาแล้วตัวกูอุปาทานนี้มันจะเหนียวแน่นหนักขึ้น อวิชชามันจะหนาขึ้น มันจะหุ้มห่อมโนธาตุของคนนั้นมากขึ้น จนมโนธาตุของบุคคลนั้นไม่มีวันที่จะเบิกบาน หมายความว่าดอกบัวดอกนี้ไม่มีโอกาสจะเบิกบาน มันถูกบีบให้บานไม่ได้อยู่เรื่อย แล้วบางทีมันจะเป็นโรคเน่าตายไปเสียก็ได้
ฉะนั้นรู้จักว่ามโนธาตุมีอยู่ สิ่งทั้งปวงมีอยู่ อวิชชาธาตุก็มีอยู่ ไม่ใช่มีสัตว์บุคคลอะไรที่ไหน อย่าไปถือว่ามีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขาอะไรอยู่ที่ไหน มันเพียงแต่ว่ามโนธาตุมีอยู่ สังขารทั้งปวงมีอยู่ และอวิชชาธาตุมีอยู่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดเป็นฝ่ายที่มีของใหม่มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ถ้าอวิชชาธาตุมีโอกาสครอบงำมโนเมื่อไหร่แล้วก็ เกิดฝ่ายมืดฝ่ายผิดฝ่ายกิเลสฝ่ายทุกข์ขึ้นมา ทีนี้ถ้ามโนธาตุไม่ถูกอวิชชาธาตุครอบงำ มันก็รู้อยู่ตามธรรมชาติตามสภาพของมันเอง ในฐานะที่ว่ามันเป็นธาตุแห่งความรู้อยู่โดยธรรมชาติโดยกำเนิดของมัน ให้ถือว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่แล้วในทุกคน เหมือนภาพเขียนที่เขียนไว้ชั้นบนที่มุมนั้น ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะมีอยู่ในคนทุกคน ทีนี้มันมีแต่ว่าของใครจะบานก่อน ของใครจะบานหลัง อยู่ในฐานะที่ต้องไม่ดูถูกดูหมิ่นกัน ต้องรักใคร่กัน ต้องสงสารกัน ก็ช่วยกันที่จะแก้ไขให้มันบานได้ด้วยกันทุกคน นี่ถ้ามีความเป็นอยู่อย่างนี้แล้ว ประเสริฐที่สุด วิเศษที่สุด เป็นพระ เป็นเณรที่ดี เป็นพุทธบริษัทที่ดี เรื่องมันก็เรียกได้ว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องชนิดที่เบญจขันธ์มันจะฆ่าเบญจขันธ์อยู่เสมอ หรือความไม่มีตัวกูนั้นมันจะฆ่าตัวกู-ของกูอยู่เสมอ นี้ก็เป็นอยู่อย่างถูกต้อง ไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าเป็นอยู่ให้ถูกต้อง เพราะหลักเกณฑ์มันมีอยู่อย่างนี้และก็เป็นอยู่ให้ถูกต้องอย่างนี้ มันก็ถูกต้องเรื่อยไป ก็รอเวลาให้ความถูกต้องนี้มันเจริญงอกงามยิ่งๆ ขึ้นไป ยิ่งๆ ขึ้นไป กว่าจะถึงระดับที่เรียกว่ามันเบิกบานเต็มที่ บรรลุมรรคผลนิพพานตามความหมายเดียวกัน
พูดอย่างนี้มันไม่เหมือนกับที่เขาพูดกัน มันพูดอย่างถ้าผู้ที่ไม่เคยฟังมาก่อนแล้วจะไม่เชื่อ สรุปความว่า เราพูดว่า สิ่งที่เรียกว่ามีชีวิตนี้มันก็ไม่โง่ มันไม่มีอวิชชาหนาแน่นมาแต่เดิม มันเป็นกลางๆ เหมือนกับมโนธาตุที่ยังไม่ได้เบิกบาน ให้ถือว่าเด็กในท้องมารดานั้นมันยังไม่โง่ ไม่มีอวิชชา ไม่มีอุปาทานอะไร มันก็มีมโนธาตุคือธาตุแห่งความรู้ที่จะเป็นพุทธะนี้ติดมาแล้วในจิตใจของเขานั่นแหละ แต่ทีนี้พอมันคลอดออกจากท้องแม่ สิ่งแวดล้อมทั้งหลายมันแวดล้อมไปแต่ในทางให้อวิชชาได้โอกาสเจริญงอกงาม ฉะนั้นเด็กจึงเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้ประเภทอวิชชา นับตั้งแต่มีตัวกูมีของกู มีตัวกูมีของกู เรื่อยขึ้นมา,เรื่อยขึ้นมา เต็มไปด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน มีความเคยชินแห่งกิเลสตัณหา อุปาทานที่เรียกว่าอาสวะหรืออนุสัย มากขึ้น,มากขึ้น,มากขึ้น กว่าจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาว มันเกินกว่าที่จะเรื้อรังเสียแล้ว นี่ดูแล้วมันไม่น่าเชื่อ
นี่ความรู้สึกความเข้าใจหรือผลแห่งการค้นคว้าศึกษาของผมเห็นอย่างนี้ แล้วก็มีคำพูดของพระพุทธเจ้ารับรองด้วย ว่ามันมิได้เกิดมาในฐานะที่เป็นอวิชชา เพราะอวิชชาก็เพิ่งเกิดเพิ่งมีเพิ่งเจริญ มันเกิดมาในฐานะที่เป็นมโนธาตุตามธรรมชาติที่อาจจะรู้ อาจจะตื่น อาจจะเบิกบานได้ ถ้าไม่มีอะไรมาทำกับมัน คือมาปิดหุ้ม มาพอกเข้า,พอกเข้า,พอกเข้า จนมันไม่มีโอกาสจะส่องแสง ถ้าพูดอย่างนี้ยังมีส่วนดี คือว่ามันมีกำลังใจให้คนเรารู้ว่า มโนธาตุนี้มันมีกันมาแล้วสำหรับที่จะรู้อะไรกันทุกคน ไม่เหลือวิสัย ฉะนั้นทำให้ดี หมายความว่าให้มันตีกลับ อยู่อย่างชนิดที่มันตีกลับอยู่เรื่อย เดี๋ยวนี้เราก็เกิดมาแล้ว ก็ตั้งแต่แรกเกิดมามีแต่การเพิ่มอวิชชา เพิ่มความไม่รู้จนกลายเป็นอาสวะเป็นอนุสัย คือความเคยชินแต่ที่จะเป็นอย่างนั้นกระทั่งเป็นหนุ่ม กระทั่งเดี๋ยวนี้ วันนี้ เอาวันนี้เป็นเกณฑ์กันเลย ว่าอวิชชาอาสวะมันหนาแน่นขึ้นเท่าไหร่ มันมีความเคยชินมากขึ้นเท่าไหร่
ทีนี้เราจะเป็นอยู่อย่างไร มันจึงจะเป็นไปในลักษณะที่มันตีกลับ คือมันจะให้กิเลสและอาสวะนั้นมันร่อยหรอลง เพราะไม่ได้อาหารหล่อเลี้ยง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดๆ เลยว่า อวิชชานี้มีนิวรณ์เป็นอาหาร คุณจำไว้ด้วยว่า อวิชชานี้มันมีนิวรณ์เป็นอาหาร ในวันหนึ่งๆ อย่าให้เกิดนิวรณ์ อวิชชาจะไม่ได้กินอาหาร และอวิชชาจะผอม นิวรณ์ก็เรียนกันแล้วทุกคนในสมุด หญ้าปากคอก เปิดขึ้นก็ถึงก็เห็นว่า กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ซึ่งเกิดอยู่เป็นประจำวัน เหมือนแมลงที่มาตอมให้รำคาญอยู่แทบตลอดวัน นิวรณ์นี้เปรียบเหมือนแมลงมาตอมจิตให้รำคาญอยู่ เดี๋ยวนั่น เดี๋ยวนี่ เดี๋ยวนั่น เดี๋ยวนี่ ใน ๕ อย่างนี้ตลอดวัน ถ้าไม่มีอะไรจริงก็ง่วงนอน หดหู่ ง่วงนอน แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น มันจะเป็นไปในทางรักสวยรักงาม เอร็ดอร่อยเรื่องกามฉันทะเสียทีหนึ่ง เดี๋ยวก็มาโกรธ มาเกลียดขี้หน้ากัน นินทาว่าร้ายกันเป็นพยาบาทเสียทีหนึ่ง กามฉันทะ พยาบาท แล้วก็ถีนมิทธะ เหี่ยวห่อ แฟบเศร้า แล้วเดี๋ยวก็อุทธัจจะกุกกุจจะนี้ ก็ฟุ้งเพ้อ เตลิดเปิดเปิงไป แล้วอันสุดท้ายก็คือวิจิกิจฉา ไม่แน่ใจว่าเกิดมาทำไม ไม่แน่ใจในหลักธรรมะทุกอย่างทุกประการ นี้ก็เรียกว่านิวรณ์ มีอยู่ ๕ อย่าง เดี๋ยวตัวนั้นมา เดี๋ยวตัวนี้มา มาปิดบังจิต ห่อหุ้มจิต
พระพุทธเจ้าตรัสว่า อวิชชามีนิวรณ์เป็นอาหาร ฉะนั้นกำจัดนิวรณ์ให้มันเกลี้ยงเกลาไปเถิด อวิชชาจะไม่ได้กินอาหาร อวิชชาในที่นี้ก็คืออวิชชานุสัย หรือ อวิชชาสวะ อาสวะหรืออนุสัยที่มีชื่อว่าอวิชชา มันไม่ได้กินอาหารมันจะผอมลงๆ มันจะอ่อนกำลังลง และในที่สุดมันต้องตายเพราะมันไม่ได้กินอาหาร คุณอยู่ได้เหรอ ถ้าไม่ได้กินอาหารคุณก็อยู่ไม่ได้ ร่างกายมันก็อยู่ไม่ได้ เดี๋ยวนี้อวิชชาไม่ได้กินอาหาร ก็ผอมลงแล้วตายไป เหมือนกับร่างกายไม่ได้กินอาหาร นี่อยู่ให้ถูกอย่างนี้เถิด ขันธ์มันจะฆ่าขันธ์ เบญจขันธ์มันจะฆ่าเบญจขันธ์ โพธิมันก็จะฆ่ากิเลส และมโนธาตุของเราก็จะได้รับการปลดปล่อย พูดศัพท์คอมมูนิสต์หน่อย ก่อนนี้มันถูกหุ้ม หุ้ม หุ้ม หุ้มเอาไว้ พอเราเป็นอยู่ถูกต้องดีมันก็จะมีการตีกลับ คืออวิชชาจะค่อยๆ จางลงๆ อาสวะจะค่อยๆ จางลงๆ เอาออกไปเหมือนเกิดในท้องแม่ทีแรกยังไม่มีอะไรก็ยังดี แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะว่าเกิดมานี้ตั้งหลายปีนี้ มันมี Experience ในอะไรต่างๆ รู้ดี รู้ชั่ว รู้สุข รู้ทุกข์ รู้บุญ รู้บาป รู้ได้ รู้เสีย รู้แพ้ รู้ชนะอะไรมากมาย ฉะนั้นพอเอาอวิชชาออกไปเสียได้นั้น มันรู้ถูกต้องเลยที่ว่า จะต้องทำอย่างไรที่จะไม่มีความทุกข์เลย คือมันรู้จักหมดตัวกู-ของกู หมดกิเลสตัณหาอุปาทานมากขึ้นๆ ตามส่วนที่อวิชชามันสลายไปๆ อวิชชาผอมลงไปเท่าไหร่ โพธิมันก็อ้วนขึ้นเท่านั้น วันหนึ่งมันก็อ้วนถึงขนาดที่ว่าเป็นการบรรลุมรรคผล นี่อยู่ให้ดีอย่างนี้ อยู่ให้ถูกต้องอย่างนี้ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่านตรัส
ฉะนั้นสิ่งใดที่มันเป็นการให้อาหารแก่อวิชชา อย่าไปทำสิ วันหนึ่งเที่ยวนั่งนินทาคนนั้น ว่าร้ายคนนี้ เกลียดคนนั้น โกรธคนนี้ นี้มันก็เป็นอาหารของอวิชชา เป็นนิวรณ์แล้วเป็นอาหารของอวิชชา เรื่องรักเรื่องกินเรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อ ทางหนัง ทางปาก ทางท้อง ไม่กินอย่างที่บัญญัติว่าพระจะกินเหมือนกินเนื้อลูกกลางทะเลทราย เหมือนกับน้ำมันหยอดเพลาเกวียน แล้วให้อยู่อย่างเดี่ยวๆ อย่าสุมหัวกันกินเป็นหมู่ คุยกันเป็นหมู่ สรวลเสเฮฮากันเป็นหมู่ ให้ชอบอยู่เดี่ยวๆ เดี่ยวๆ เรายินดีในที่สงัดหรือไม่นั่นแหละ ที่เราสวดอยู่ทุกคืนนั่นแหละ ถ้าอยู่อย่างนั้นอวิชชาไม่ได้อาหารมากขึ้น จะเห็นผลในเวลาอันเร็ว มันตายได้ในเวลาอันเร็ว เดี๋ยวนี้ไม่เอาจริงกันนี่ อย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง อย่างนู้นบ้าง กลับไปกลับมา กลับไปกลับมา อวิชชามันก็ไม่ผอม หรือว่าผอมไปทีหนึ่งมันกลับอ้วนกว่าเดิม นี้เรียกว่าเป็นอยู่ผิดเสียแล้ว เป็นอยู่ในลักษณะที่เบญจขันธ์ที่มีอุปาทานนั้นจะเจริญมากขึ้น มีมากขึ้น มีมากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น และเบญจขันธ์ล้วนๆ บริสุทธิ์นั้นโอกาสน้อยลงๆ เห็นอะไรก็เกิดกิเลส ได้ยินอะไรก็เกิดกิเลส ได้กลิ่นอะไรก็เกิดกิเลส มันจะเป็นมากถึงอย่างนั้น ไม่มีอะไร นอนนึกอยู่ในที่นอนก็เป็นแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น นึกอย่างอื่นไม่เป็น เพราะความเคยชิน นี้เรื่องเกี่ยวกับตัวกู-ของกูมันเป็นอย่างนี้ ตัวกู-ของกูนั้นเป็นชื่อของเบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วยอุปาทาน มันเป็นความคิดที่ปรุงขึ้นมาอย่างผิดๆ ด้วยอำนาจของอวิชชาธาตุที่เข้าไปผสมกับมโน กลบเกลื่อนคุณสมบัติของมโนธาตุเสียหมด เป็นอวิชชาธาตุเต็มที่ มันก็นอนคิดแต่ในทางผิดๆ ตลอดวัน ตลอดเดือน ตลอดปี
เรื่องถูกเรื่องผิดนี้ ผมก็พูดหลายหนแล้ว ขอให้เอาหลักที่ตายตัวอย่างหนึ่งเป็นหลักว่า ถ้ามันทำให้เกิดผลเป็นความสงบสุขทั้งส่วนบุคคลและส่วนสังคม ก็ให้ถือว่าถูก ถ้ามันทำให้เกิดวิกฤตการณ์ทั้งส่วนบุคคลและส่วนสังคม ให้ถือว่ามันผิด อย่าไปเชื่อใคร อย่าไปเอาอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปเชื่อคำบาลีคำภาษาที่มันฟังยากเข้าใจยาก กุศลเท่านั้น ดวง อกุศลเท่านี้ดวง เดี๋ยวก็เวียนหัวแหละ เอาแต่อย่างเดียวก็แล้วกัน ถ้ามันเกิดความทุกข์ไม่พึงปรารถนาขึ้นแก่บุคคลหรือสังคมแล้วก็ผิดแหละ ถ้ามันเกิดความสงบสุขแก่คนและสังคมแล้วมันก็ถูก แล้วเราก็รู้ได้ง่ายๆ ว่าคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ หรือเป็นอยู่อย่างนี้มันรู้สึกอย่างไร ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานนั้นต้องดูให้ดี อาจจะเข้าใจไปว่า ไม่มีความทุกข์ไม่มีความเดือนร้อน นั้นมันเป็นอีกประเภทหนึ่ง คือเขาเรียกว่าของที่หุ้มห่อปิดบังหลอกลวง มีลักษณะเป็นกงจักร แต่รูปร่างเหมือนดอกบัว นิทานนี้เป็นนิทานอุปมา คนนั้นมันไปที่เมืองเปรต แล้วก็เปรตแต่ละคนมันมีกงจักรพัดอยู่บนหัวเลือดไหลอาบตัวอยู่ตลอดเวลา คนนั้นมันกลับเห็นเป็นดอกบัว มันก็เข้าไปหาเปรตเหล่านั้น บอกว่าขอให้ฉันเถอะ เปรตมันยังมีความเป็นสุภาพบุรุษ มันบอกว่าไม่ใช่ นี้มันกงจักร อย่าเอาไปเลย คนนั้นมันก็ไม่ยอม มันจะเอาให้ได้ มันบอกว่ามันชอบ และเป็นดอกบัว พอเปรตเอาใส่หัวให้มัน มันก็ได้กงจักรพัดหัวเลือดไหลอาบตัวเหมือนกับเปรต
เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นนั่นแหละคือกงจักร แต่มันมีอาการเหมือนดอกบัว ครูบาอาจารย์ห้ามว่า อย่าไปเล่นกับมัน มันเป็นกงจักร ลูกศิษย์ลูกหามันก็ไม่เชื่อ มันไปเอามาจนได้ เอามาใส่หัว มันก็มีกงจักรพัดหัว มันไม่ใช่ดอกบัว ฉะนั้นให้รู้ว่าความเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางเนื้อทางหนังนั้นมันไม่ใช่มีความหมายเป็นความสุข มันมีความหมายเป็นความหลอกลวง แล้วจะทุกข์ จะทุกข์ทั้งส่วนตัวและส่วนสังคม
โลกที่มันรบราฆ่าฟันกันเวลานี้เต็มไปหมดนี้ เพราะเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปสนใจแต่เรื่องทางเนื้อหนัง ทางเศรษฐกิจทางอะไรก็ไม่รู้ เรื่องเนื้อหนังทั้งนั้นแหละ เรื่องจิตเรื่องวิญญาณไม่สนใจ โลกจึงเป็นอย่างนี้ แล้วก็เป็นอย่างนี้เรื่อยไปๆ มันก็เป็นความได้เปรียบของกิเลสของอวิชชาของตัณหา มันได้เปรียบเรา ไม่ใช่เราได้เปรียบมัน โลกนี้ก็เป็นอย่างนี้ ให้อยู่อย่างที่มนุษย์ได้เปรียบกิเลสตัณหา,สิ หรือว่าอยู่อย่างที่มโนธาตุมันจะได้เปรียบต่ออวิชชาธาตุ ไปศึกษากันให้ดี ในโรงร่ำโรงเรียน ในที่ไหนก็ตาม ให้มีการศึกษาเล่าเรียนชนิดที่ว่ามนุษย์เป็นอยู่ในลักษณะที่มโนธาตุได้เปรียบอวิชชาธาตุ เราก็ฉลาด เราก็ทำถูกต้อง แล้วโลกนี้มันก็ไม่เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันเต็มไปด้วยความยากลำบาก เต็มไปด้วยความกลัว เต็มไปด้วยความหวาดระแวงอะไรมากขึ้นๆ ไม่มีความสุขกันแล้ว เพราะมันไปหลงใหลกงจักรเป็นดอกบัวและโดยไม่รู้สึกตัวเสียด้วย ถ้ารู้สึกตัวมันก็ไม่หลงใหล ฉะนั้นพูดว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัวก็พอแล้ว
ฉะนั้นการที่บวชเข้ามาทีหนึ่งนี้ ก็ควรจะศึกษาให้รู้แจ้งในเรื่องนี้ กลับออกไปจะได้ดีกว่าที่ไม่ได้บวช และที่อยู่ต่อไปมันก็จะเดินทางไปไกลได้เร็วขึ้น ให้มโนธาตุมันได้เป็นมโนธาตุ เป็นความรู้ที่เบิกบานเหมือนดอกบัวที่มันบาน เป็นบรรลุมรรคผลออกมา เดี๋ยวนี้มันยังเป็นดอกบัวหุบๆ อะไรกันอยู่ บานแล้วก็ให้มันบานไปอย่างสม่ำเสมอ อย่าทำเป็นลิงล่อหลุบ,ล่อหลุบ เดี๋ยวหุบเดี๋ยวบานอย่างนี้ เหมือนภาพเขียนทางนี้
เอาล่ะ,เป็นอันว่า ขอให้สนใจที่จะเข้าใจว่าเป็นอยู่อย่างไร เบญจขันธ์ที่บริสุทธิ์มันจะกำจัดเบญจขันธ์ที่สกปรก คือประกอบไปด้วยอุปาทานนั้นอยู่เป็นประจำ แล้วสิ่งต่างๆ มันก็จะเป็นไปในทางที่ถูกโดยอัตโนมัติ การบรรลุมรรคผลนิพพานก็เป็นของธรรมดาสามัญไปเลย อยู่อย่างถูกต้องแล้วโลกก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้จริง นี้อยู่อย่างที่เรียกว่าเบญจขันธ์มันจะฆ่าเบญจขันธ์ คือเบญจขันธ์บริสุทธิ์จะฆ่าเบญจขันธ์สกปรกอยู่เรื่อยไป พอกันทีสำหรับวันนี้/