แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอกาสอย่างนี้ ถ้าใครมีปัญหาจะถามก็ได้ จะได้พูดตรงตามประสงค์ ถ้าไม่มีปัญหา ผมจะพูดไปคนเดียวอีก ถ้ามีปัญหาจะถามก็ได้ วันนี้ก็อยากจะพูดเรื่องสิ่งเล็กน้อย คำว่าสิ่งเล็กน้อยที่ไม่มีในภาษาวินัย เรียกว่าสิกขาบท เล็กน้อยมันก็ไม่เล็กน้อย สำหรับในภาษาวินัยแล้ว เราจะไม่นึกและไม่ถือว่ามีสิ่งเล็กน้อย เท่าที่เป็นอยู่กันโดยมากสังเกตเห็นได้ว่ามีความรู้สึกว่าเล็กน้อยหรือมาก คือไม่รู้ว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยจนมาก มากมายหลายสิบเรื่อง ก็เลยมีการกระทำที่มันหละหลวม ไม่เคร่งครัด ไม่ระมัดระวัง ขอให้สังเกตกันตรงนี้ให้มาก เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าวินัย ไม่ใช่ธรรมมะ พูดถึงเรื่องวินัย เรื่องของวินัยนี้ละให้เห็นเป็นภัยถึงให้โทษ ที่มีประมาณน้อย ไม่ได้หมายความว่า ให้แกล้งเห็นหรือให้ตั้งใจที่จะเห็น แต่ให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรื่องวินัยมีเคล็ดลับอยู่ว่าไอ้หลักหัวใจของเรื่องนั้นมันก็มีอยู่ข้อหนึ่ง หลักหัวใจมีอยู่ข้อหนึ่ง แล้วเรื่องแวดล้อมหลักนั้นมีมาก ก็เลยเห็นแวดล้อมเป็นเรื่องเล็กน้อยเสีย ก็ไม่ประพฤติ ไม่เคร่งครัดในสิ่งเล็กน้อย เรื่องใหญ่หัวใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ หรือตั้งอยู่ไม่ได้ นี่คือความแปลกของระเบียบหรือวินัย ฉะนั้นถ้าถือวินัยก็ต้องถือหลักอันหนึ่งว่าไม่มีเรื่องเล็กน้อย ถ้าเกิดมีเรื่องเล็กน้อยแล้วมันจะน้อยๆ เสียจนอันใหญ่จะไม่มีที่เป็นหลักใหญ่จะไม่มี วินัยบางทีเราก็เรียกว่าศีล คำว่าศีลนั้นก็คือวินัย แต่คำว่าวินัยเป็นรายละเอียดมากออกไป ส่วนคำว่าศีลนั้นเราพูดย่อๆ พูดสรุปให้เป็นข้อใหญ่ๆไม่กี่ข้อ ถ้าแจกให้ละเอียดออกไปมันก็มีมาก วินัยมากเท่าไร มันก็เป็นศีล ฉะนั้นควรเข้าใจ ความที่ว่าคำสองคำนี้มันเกี่ยวข้องกันเพื่อเข้าใจง่าย ผมอยากจะบอกให้ทราบว่า ไอ้ศีล ๕ ข้อของฆราวาสนั้นแหละ มันคือศีลทั้งหมดในหนังสือของพระตั้ง ๒๒๗ ข้อ ถ้าเข้าใจศีล ๕ ข้อดี ก็รู้จักทำศีล ๕ ข้อให้กลายเป็นปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อ และพิจารณากายอื่นๆอีกมากมายด้วย ศีล ๕ ข้อมันกระจาย แตกลูกออกไปเป็นศีลเป็นวินัยทั้งหมดได้ หรือวินัยทั้งหมดก็สรุปได้ลงที่ศีล ๕ ข้อ คนเข้าใจผิดกันว่าศีล ๕ ข้อคือศีลเล็กๆน้อยๆ ที่จริงมันเป็นแม่บท เป็นหัวใจของศีลทั้งหมดให้ฆราวาสถือไว้เป็นหลัก พระก็ถือศีล ๕ ข้อแต่ละข้อ มันแตกลูกออกไปมาก ของเราทำความเข้าใจให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ศีล ๕ ข้อ ถ้าเอาความหมายของมันเป็นหลักแล้วมันกว้าง อย่างข้อที่ ๑ ไม่ประทุษร้ายร่างกายชีวิตของผู้อื่น สัตว์อื่น ไม่ประทุษร้ายร่างกายชีวิตของผู้อื่นสัตว์อื่น หมายอย่างนั้น เรื่องที่บัญญัติว่า ฆ่าตายขาดศีล ฆ่าไม่ตายไม่ขาดศีล นั้นมันเรื่องปลีกย่อยใจไม่ประทุษร้ายร่างกายชีวิตของสิ่งที่มีชีวิต จึงรวมเอาสิกขาบทมากมายในปาติโมกข์เข้าไว้ ตั้งแต่ปาราชิก ฆ่าคน ผิดศีลข้อ ๑ ของฆราวาสนั้นแหละ ไม่ฆ่าสัตว์ ศีลข้อ ๑ ของฆราวาส และทุบตี หรือเงื้อมือทำท่าจะทุบตี ก็เป็นอาบัติ ศีลข้อที่ ๑ ไม่ประทุษร้ายร่างกายชีวิต ไปสำรวจดูปาติโมกข์จะมีศีลที่แตกลูกออกไปจากศีล ๕ ข้อที่ ๑ มากทีเดียว สุดแต่ว่าไม่ให้ทำลายชีวิตต้นไม้อะไรนี่มันก็รวมสงเคราะห์อยู่ในเรื่องประทุษร้ายร่างกายไม่ประทุษร้ายร่างกายของสิ่งที่มีชีวิต ถือหลักอย่างเดียวว่าไม่ประทุษร้ายร่างกายและชีวิตของสิ่งที่มีชีวิต ก็คุมศีลในปาติโมกข์ไปตั้ง ๑๐ เป็น สิบ สิบ ข้อแล้ว กระทั่งถึงวินัย ที่เป็นด้วย การกระทบกระทั่งผู้อื่นให้ตายให้เดือดร้อนรวมอยู่ในศีลข้อนี้หมด ศีลข้อที่ ๒ ในศีล ๕ ไม่ประทุษร้ายทรัพย์สมบัติของผู้อื่น ปาราชิกข้อที่เรียกว่าลักทรัพย์ และมีเรื่องอื่นๆที่ทำให้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นให้แตกหักให้เสียหายให้ จนกระทั่งเข้าไปแย่งที่นอนของพระภิกษุอื่นๆ เป็นอาบัติ มีอาบัติแยกย่อยลงไปจนกระทั่ง ทำให้สิทธิในการใช้ทรัพย์สมบัติหรือใช้ประโยชน์ในของๆผู้อื่น ศีล ๕ ข้อที่ ๓ เรื่องกาเม ประทุษร้ายของรักของผู้อื่น เสพเมถุนข้อนี้มีความกว้างมาอีกเหมือนกัน มีจิตใจต่ำล่วงเกินของรัก การเสพเมถุนเป็นการตามใจตัวเอง มีจิตใจที่ไม่บังคับ คำว่าเมถุนนี้ให้หมายความกว้างหมายถึงกิจกรรมดับแรกของเมถุน เนื่องจากคน ๒ คนกระทำโดยการจูบกันกอดกัน อะไรต่างๆดังนี้ มันก็อยู่ในข้อนี้ด้วยหมด หรือไม่ก็การเกี้ยวพาราสีด้วยปาก แตะต้องตัว คำว่าเมถุนคำเดียวก็เป็นอาบัติที่เล็กที่สุด ข้อที่๔ ก็เป็นปาราชิกด้วยการหลอกอุตตาริมนุษย์ธรรม การโกหกว่ามีอุตตาริมนุษย์ธรรมก็เป็นอาบัติปาราชิก โกหกอย่างอื่นให้ การโกหกเรียกว่าเป็นเรื่องถูกกฎคือทำให้สิทธิที่ถูกต้องชอบธรรมของผู้คนเสียไป พูดจาก็ได้ แม้แต่นิ่งเสีย ถ้ามีความหมายเป็นทางวาจารับก็เป็นวาจาเหมือนกัน สิทธิที่ผู้อื่นควรได้รับตามปกติมันเสียไป ให้เขาเสียประดยชน์ เสียความเป็นธรรม เสียอะไร ศีลข้อที่ ๕ ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะของตัวเอง สุราเมรัย เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เช่น สุราเมรัยเป็นต้น ที่ตั้งแห่งความประมาท สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทใครจะไม่เสพของที่เอามากินมาดื่มมาสูบมาทาก็เกิดความประมาทในระดับใดระดับหนึ่งแม้แต่สูบบุหรี่กินหมาก ไอ้อำนาจบุหรี่นั้น ทำให้สติสัมปชัญญะตามปกติเสียไปบ้าง ถ้าไม่เช่นนั้นจะไม่รู้สึกอร่อยแล้ว มันแลกกันด้วยความอร่อย และทำให้สติสัมปชัญญะเสียไปบ้าง อะไรที่ทำให้สมปดีตามปกติเสียไปก็เรียกว่ามันผิดศีลข้อที่ ๕ เช่น คุณฟังเพลงคุณก็เสียสติสมปดีปกติ เป็นการมึนเมาชนิดหนึ่ง เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าทำไมศีลจึงเข้าไปจัดอยู่ในศีล ๕ ข้อได้อย่างไร มันแยกออกไปจากศีลข้อ ๕ นี้มากเหลือเกิน เรื่องประดับตกแต่ง เรื่องหัว เรื่องฟ้อนรำ เรื่องของหอม เรื่องอะไรต่างๆนี้ มันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มันก็แยกไปจากศีลข้อ ๕ ซึ่งมีความมุ่งหมายทำให้มัวเมา แม้ว่าเราจะอยู่ ในความสบายตามใจตัวเองมาก อันนี้ก็เป็นเรื่องความประมาท ทีนี้มันโง่และประมาท ฉะนั้นระวังเถอะ มันมีขอบเขตมากนัก ให้หาความสบายเกินขอบเขต ให้รู้สึกสบายพอใจ ไอ้ที่เป็นก็เสียปกติทันทีเป็นทาสของความสบาย แสดงถึงความประมาทเหมือนกัน เราจะเอาเรื่องสวยงาม เรื่องไพเราะ เรื่องใช้นิ่มนวล อะไรต่างๆมาใช้ มันก็จะลงไปในศีลข้อนี้ ฉะนั้นใครถือศีล ๕ ข้อ เดี๋ยวนี้เขาระบุให้ชัดลงไป มันง่ายแก่การถือ แก่การปฎิบัติ คนทั่วไปคนชาวบ้านเขาไม่ได้ศึกษาไม่มีปัญญา จึงต้องระบุให้มันเป็นระเบียบ เช่นว่า ฆราวาสทั่วไปเท่านั้นข้อ อุบาสกอุบาสิกาเท่านั้นข้อ พระเณรเท่านั้นข้อเท่านั้นข้อ แล้วมันง่าย แต่โดยหัวใจแล้วมันไปรวมอยู่ที่ศีล ๕ ข้อ เช่นว่าไม่ประทุษร้ายสิ่งมีชีวิต พระทำไม่ได้หมด แม้แต่ชีวิตต้นไม้ก็ห้ามไม่ให้ฆ่า ชาวบ้านทำได้ หรือแม้แต่ว่าบางทีต้องทำสัตว์ให้ตายด้วยเจตนาอย่างอื่นก็ยังทำได้ แต่พระไม่ยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นพระจะไปขุดหลุมสวนครัวปลูกผักก็ทำไส้เดือน เขาเลยห้ามเด็ดขาดเลยสำหรับพระ สำหรับชาวบ้านก็ได้ไม่ผิดศีล ชาวบ้านในข้อที่มีความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือไม่ประทุษร้ายชีวิตผู้อื่นนี้ระเบียบมันวางไว้อย่างนี้เพื่อให้มันถือกันได้ ได้ถือกันทุกคน ทุกระดับของคน ก็เรียกว่าศีล ฉะนั้นศีลทั้งหลายที่เราเรียกกันอยู่นี่ ศีลของภิกษุณีตั้งสามร้อยกว่า ศีลของภิกษุตั้งสองร้อยกว่านี้ ยังมีปาติโมกข์อีกเยอะแยะนับไม่ไหว มันก็รวมอยู่ในศีล ๕ หมด แม้แต่เรื่องเผลอเกี่ยวกับจักรอันนี้ ไม่วัตราจักรไว้ในการคุ้มครองตลอด ๑ คืน หรือเผลอประพฤติวัตร บางอย่างผิดไปอย่างนี้ก็เผลอ ความเผลออย่างนี้เป็นความประมาทอยูในพวกประมาท เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทหมด ยกตัวอย่าง ศีล ความเผลอ จะมีกี่ข้อกี่สิบข้อมันอยู่ในศีลข้อ ๕ ไปทำอะไรที่เป็นที่ตั้งแห่งความประมาทแม้ว่าไม่ได้เจตนา ถ้าคนกับเหล้าเมามายเข้าไปแล้ว มันไม่เจตนามันก็เหมือนกับเจตนา มันเท่ากับเจตนา ไม่แก้ตัวได้เพราะเมา เมาไม่ใช่ แต่ว่าความผิดนี้ยกให้ไม่ได้ ในความเผลอก็เหมือนกันจะแก้ตัวว่าความเผลอไม่ได้ แต่ต้องมีข้อแม้ในบางเรื่องบางกรณีที่มันเหมาะสมกัน ฉะนั้นผมอยากจะขอร้องให้ไปคิดทบทวนดูเรื่อยๆ ตลอดไปให้เข้าใจ ศีลที่มันเป็นเรื่องเดียวกันหมด เพราะว่าเมื่อสึกออกไปเป็นฆราวาสแล้ว มันก็ยังถือศีลที่มีความหมายเต็มเปี่ยมอยู่นั่นแหละ คือศีล ๕ ซึ่งเป็นแม่บทของศีลทั้งหลาย อย่างน้อยเราก็ต้องมีศีล ๕ อยู่เป็นหลัก คือหัวใจของศีลทั้งหลาย ๕ หลัก ก็ต้องอยู่ตลอดเวลา จะหมดไปเลยไม่ได้ แต่ว่าเมื่อไปเป็นฆราวาส ไอ้หลักนี้มันก็เหลือแต่แกนมากขึ้น สิ่งแวดล้อมมันก็น้อยไปๆ ถ้าคุณจะถือศีลเพียง ๕ ข้อแล้ว คิดดูอีกทีว่าไปดูหนังดูละครแล้วมันผิดศีลข้อไหน เพราะถือศีล ๕ ไม่ได้ถือศีล ๘ หรือศีล มันต้องยกไปแปลเป็นข้อที่ ๕ ที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ไปติดหนัง ติดละคร ไปติดมหรสพ มันก็เป็นฐานแห่งความประมาท ให้ถือศีล ๕ ก็ควรจะเว้นการไปดูหนังดูละครด้วยจึงจะถูก ตามความมุ่งหมาย แต่เราไม่ถือถึงขนาดนั้นมันก็ได้เหมือนกัน เขาเรียกว่าไม่ขาดศีล ๕ เพราะหลักการอันหนึ่งมันยังเหลืออยู่ แต่ถ้าเป็นคนซื่อตรงต่อตัวเองแล้วถือศีล ๕ เท่านั้นแหละพอ จะคุ้มความวิบัติอันตราย ความฉิบหาย ความเสื่อมเสีย ความเศร้าหมอง ความไม่น่าดูเล็กๆน้อยๆ อะไรได้หมดเลย แต่ถือศีล ๕ เท่านั้น ทีนี้ศีล ๕ นี้มันย่นได้ที่หนึ่ง ย่นศีล ๕ ข้อให้เหลือเป็นศีลข้อหนึ่ง เหลือเป็นศีลเดียวมันก็ยังทำได้ แต่ต้องฉลาดและต้องซื่อตรงต่อตัวเองมากยิ่งขึ้นไปอีก คือผู้ใดถือศีลข้อเดียวว่าไม่ตามใจตนเองหรือบังคับตัวเอง ถือศีลเพียงข้อเดียว สมาทานการบังคับตัวเอง ไม่ตามใจตัวเอง ก็ลองไปคิดดู ศีลข้อเดียวนี้มันก็คุ้มไปทั้ง ๕ ข้อ ไปฆ่าเขามันก็เรื่องไม่บังคับตัวเอง ตามใจตัวเอง ไปรักเขาก็เรื่องไม่บังคับตัวเอง ตามใจตัวเอง ไปประพฤติผิดในทางกามารมณ์ มันก็เป็นเรื่องตามใจตัวเอง ไปโกหกก็ตามใจตัวเอง ไปดื่มของเมาเสียสติสัมปะชัญญะก็ตามใจตัวเอง ถ้าใครสามารถเข้าใจคำว่าตามใจตัวเองและบังคับตัวเอง ก็ถือศีลข้อเดียวก็ได้ ศีลทุกข้อมันจะล่วงไม่ได้ เพราะมันคอยจ้องอยู่ว่าอะไรมันจะตามใจตนเอง ไอ้ ๕ ข้อนั้นมันเห็นชัดแล้ว แต่เรื่องที่มันปลีกย่อยเข้ามาเช่น จะไปดูหนัง ดูละคร เป็นเรื่องไม่บังคับตนเอง เรื่องกินอาหารในเวลาที่ไม่ควรจะกิน แม้ฆราวาสก็ไม่ควรทำ เป็นการกินอาหารในยามวิกาลเหมือนกันแหละ ควรจะถือเพราะเป็นเรื่องไม่บังคับตนเอง ตามใจตัวเอง มันกินจุบกินจิบไม่เป็นเวลา เวลาที่ควรจะกินได้ก็จำกัดไว้ต่างๆกัน เช่น พระเท่านั้นถึงเท่านั้น ฆราวาสเท่านั้นถึงเท่านั้น มันควรจะมีเวลาบังคับไว้ ไม่ต้องกินพร่ำเพรื่อ ไม่ต้องกินจุบจิบ นี่คือความหมายของคำว่าบังคับตัวเอง ไม่ตามใจตัวเอง ฉะนั้นศีลข้อเดียวถือเถอะจะคุ้ม ศีลตั้ง ๒๐๐,๓๐๐,๔๐๐ ถึง ๑๐๐๐ ข้อได้ เป็นปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อก็มี คุ้มได้ในคำว่าไม่ตามใจตนเองคำเดียว ใครจะถือศีล ๑ ถือศีลเป็นเรื่องสังวร สำรวม เรียกว่าศีล ๑นี้ กระจายมาเป็นศีล ๕ คือ ๕ ข้อจาก ๕ ข้อนั้น จะเป็นศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ ศีลแล้วแต่มันจะขยายตามเพศ ตามพันธุ์ ตามวรรณะของบุคคลที่ถือ ภิกษุมันก็มีน้อยกว่าภิกษุณี เพราะภิกษุณีมันมีเรื่องมากที่จะทำให้เกิดเรื่อง ความสะเพร่าที่จะเกิดจากภิกษุณีมีมาก เขาจึงบัญญัติศีลเกี่ยวกับภิกษุณีไว้มากกว่า ฉะนั้นเมื่ออ้างว่าเหลืออยู่เป็นแกนๆ ก็ ๕ หลัก ๕ แกน ถ้ามายุบเหลือแกนเดียวก็หันมาบังคับตัวเอง สังสรณ์ สำรวม ทีนี้ก็มาถึงที่เราพูดทีแรกแล้วว่า ไอ้เรื่องเล็กน้อยไม่มี เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ที่กระจายออกไป เรื่องใหญ่มันอยู่ได้ด้วยเรื่องเล็กกระจายออกไป ถ้าเรื่องเล็กถูกทำลายหมด ไอ้เรื่องใหญ่ไม่มีเหลือ แกนมันไม่มีเหลือ เพราะแกนมันอยู่ได้ด้วยเรื่องเครื่องแวดล้อมนั่นแหละ เรื่องความง่ายสะดวกสบาย อย่าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำ ต้องเว้นเสมอกันหมด เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องเล็กน้อยทำพลาดลงไปก็เสียใจน้อยหน่อย เรื่องใหญ่ทำพลาดก็เสียใจมากหน่อย ต้องมีปณิธานว่าไม่ทำ ทำบ้างเล็กน้อย และเรื่องใหญ่อย่างนี้ก็ดี มีศีลและสบายมีความสุข จะสูบบุหรี่ยกตัวอย่างที่เป็นกันมาก มันก็เป็นเรื่องที่ทุกคนถือว่าเล็กน้อย แต่สำหรับผมไม่เล็กน้อย เพราะไปถูกเข้านิดเดียวเท่านั้น จามเหมือนกับจะเป็นลม แม้แต่เดี๋ยวนี้ ผมรู้สึก รู้สึกอะไร และก็รู้สึกทนไม่ได้ ผมนั่งอยู่ข้างๆ คนที่นัดยานัดไม่ได้ ทนไม่ได้ มันจะเป็นลมหรือเป็นอะไรชนิดที่เหมือนกับสูญเสียความรู้สึกไป มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่มันไปทำชินเสียแล้วไม่รู้สึกอะไร กลายเป็นเรื่องเล็กน้อย ความจริงเรามันถูกหลอก ก็ทำจนชิน มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากมายหลายเรื่องหลายสิบเรื่อง ให้ไปสังเกตดูให้ดี อันนี้เป็นเหตุให้สูญเสียไอ้ความเป็นผู้มีสำรวมด้วยดี ในปาติโมกข์อยู่ในหลักที่เป็นประธาน ต้องการสำรวมระวังทั้งหลาย อันนั้นมันน้อยแล้วอันอื่นมันจะพลอยน้อยตามน้อยไปหมด น้อยแล้วจะไม่มีอะไรใหญ่ ใหญ่ไม่มี อะไรที่เรียกว่าใหญ่หลวง ถ้าทุกกฎเป็นของเล็กน้อยเดี๋ยวมันก็ลามขึ้นมาเป็นอาบัติบานเข้าอาบัติเล็กน้อย มันก็ลามขึ้นมาหาอาบัติสำมาปาราชิกก็กลายเป็นของเล็กน้อย แล้วทำไปได้ ล่วงไปได้ ไม่ยอมสึก ปกปิด ซ่อนเร้นอยู่ เพราะโทษที่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย คล้ายๆ ว่าไม่มีอะไรเล็กน้อยตั้งแต่ทีแรก ก็ไม่มีอะไรที่เล็กน้อยขึ้นมา ทางสูงสกัดกั้นอยู่ด้วยทางดิ่ง เรื่อยไปเป็นที่รัก เป็นที่พอใจ มีศีลที่ตัวเองก็ไม่ติเตียนตัวเองได้ ให้ใครที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มาทดสอบ ตรวจสอบมันก็ไม่มีทางติเตียนเราได้ เรียกว่ามีศีลสมบูรณ์ หมายความว่าอย่างนี้ แล้วมันสบายด้วย ความเคารพนับถือตัวเองได้ นี้เป็นความสุข ถ้าจะหาความสุขจากชีวิตนี้ ไม่แสวงหาความสุขจากเบื้องหลังการกินดีอยู่ดี เอร็ดอร่อย สนุกสนาน นั้นมันเรื่องของปุถุชน ถ้าแสวงหาความสุขจากการเคารพตัวเอง รู้สึกว่าได้สิ่งที่ดีที่ควรจะได้ มีศีล มีธรรมะ แล้วเลยคารพตัวเอง มีความสุขอยู่ได้ด้วยการเคารพตัวเอง ขาดแคลนวัตถุปัจจัยสิ่งของเลยกลายเป็นไม่มีความหมาย ไม่นำไปในลักษณะที่ไม่ผิดศีล ไม่ผิดวินัย ก็ยังมีกินมีใช้ ไม่ต้องตาย มีความรู้สึกหรือความมุ่งหมาย ของผู้ที่ออกไปอยู่ในป่าในดง อยู่ภูเขาหิมาลัยโน่น เมื่อมันไม่ต้องยุ่งยากลำบาก วินัยเล็กๆ น้อยจากโรงทาน หรือว่าไม่มีอะไรก็กินสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ใบไม้ ลูกไม้ ผลไม้ รากไม้ หัวไม้ นิดหนึ่ง นิดหนึ่งพออยู่ไปได้ แต่มีความพอใจตัวเองมาก แต่มีความสุขมาก แล้วบังคับจิตใจได้ บังคับจิตใจเป็นสุขอย่างไรก็ได้ นี่คือความสุขชนิดที่มาจากการมีศีล หรือมีธรรมะ มันเป็นเรื่องที่สูงทางจิตใจ ชาวบ้านปุถุชนมีความสุขอย่างยิ่งจากวัตถุปัจจัย เช่น เงิน เป็นต้น ก็จะหาอะไรมาหล่อเลี้ยงเนื้อหนังเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังได้ มันเป็นสองความสุขกันอยู่อย่างนี้ เรารู้จักให้ดีๆ แล้วก็ไปพิจารณาเองเองเฮอะ ผมไม่ต้องพูดก็ได้เรื่องนี้ ถ้าชอบความสุขที่มันร้อนมันก็ได้ร้อน มันเป็นความสุขที่ร้อน แล้วมันก็จะกัดเอาด้วย ถ้าเป็นความสุขที่แท้ที่จริงมันต้องเย็น มันไม่กัด มันไม่เผา มันไม่อะไรเรา แม้จะสึกไปแล้วก็ยังต้องเป็นอยู่นั่นแหละ ความรู้เรื่องนี้ยังต้องเป็นอยู่ ถ้าเลือกมาทางผิดทางแล้วมันก็จะลำบาก จะไม่ก้าวหน้า จะไม่มีความสุข ในการเรียนการศึกษาก็ตาม การจะไปประกอบอาชีพ ก็ตาม กระทั่งการที่จะไปเป็นอยู่อย่างมนุษย์กับเขาในโลกคนหนึ่งก็ตาม มันไม่เหมือนกับทนทรมานอยู่ในความทุกข์ เพราะไม่มีศีลในชั้นดิน เพราะมันทดสิ่งที่เรียกว่าศีลในชั้นดิน และจัดเป็นสมาธิไม่ได้ นี่เดี๋ยวจะเข้าใจว่าพูดเอาเอง ถ้าพ่อขาดศีลเรารู้สึกว่าเราเลว ช่วยไม่ได้ข้อนี้ เพราะรู้ว่าเราทำอะไรชั่ว ผิดไป เราจะรู้สึกว่าเราเลว อย่าดื้อด้านว่าไม่เลว มันก็รบกวนจิตใจอยู่เพราะมันเลว ไม่มีใครมาทำอะไรเราได้ เพราะเรารู้สึกว่าเราเลว พอมันเลว จิตมันเป็นสมาธิไม่ได้ ถ้าไม่มีศีลมันก็มีสมาธิไม่ได้ เพราะความไม่มีศีลมันทำให้ฟุ้งซ่าน ให้กระสับกระส่าย สับสน ไม่มีทางที่จะเป็นสมาธิได้ เราต้องมีความแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ถึงแม้ว่าเราไม่ได้ไปวัดรับศีล ไม่ได้สมาทานศีล แต่ถ้าเราไม่รู้สึกว่าเราทำอะไรผิด เราก็มีศีลเหมือนกัน คือไม่มีความร้อนใจเกี่ยวกับศีลว่าเราไม่มีศีล แล้วจิตมันก็สงบเป็นสมาธิได้ มันก็สบาย มีความสุขในการที่จิตมันเป็นสมาธิ และเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว มันค่อยมีปัญญา ต่อไปข้างหน้า พูดให้สิบให้สรุป อีกทีหนึ่ง ก็ว่า ต้องมีศีล เพื่อความสงบในทางศีลนี้ ไม่อย่างนั้นใจของเราจะกระวนกระวายไม่ว่าเราจะทำเป็นคนหน้าด้าน ไม่รู้ไม่ชี้ มันก็กระวนกระวายในส่วนลึก ถ้าแล้วไม่กระวนกระวายแล้ว แต่ในส่วนลึกมันต้องกระวนกระวาย งั้นก็ยิ่งมีความกดดันส่วนลึกนั่นแหละ มากจนเป็นอันตรายแก่จิตใจของบุคคลนั้น ฉะนั้นจงทำอย่าให้มันมีความรู้สึกอาบัติ อย่าทำอะไรผิด รู้สึกมันผิด ถ้าผิดก็ต้องทำตามที่มีระเบียบไว้ว่าต้องทำคืน ต้องชดใช้ ตามระเบียบที่วางไว้ ว่าศีลข้อนี้ต้องแสดงอาบัติอย่างนี้ ศีลข้อนี้ต้องแสดงอาบัติอย่างนี้ ต้องชดใช้ให้มันเลิกกันไป ถ้ามันเป็นปาราชิก มันก็ต้องสึกและเลิกกันไป ก็หยุดชอบใจได้ เพราะศีลเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ บัญญัติไว้ทั้งการต้องและบัญญัติไว้ทั้งการออกจากการต้อง ถ้าผิดศีลทำตามระเบียบที่วางไว้ สำหรับทำให้หายผิดศีล คือ แสดงอาบัติเป็นต้น ก็เลยเป็นผู้ที่ไม่มีจิตใจร้อน หรือว่าระแวง หรือว่าฟุ้งซ่าน รำคาญ วิปติสาน ทุกคนอยากอยู่ด้วยวิปติสาน จะเป็นบ้า คล้ายๆ กับอยู่ในวิปติสาน มันจะนอนไม่หลับ หนักเข้ามันจะเป็นโรคประสาท หนักเข้ามันจะเป็นบ้า อะไรที่มันทำให้เกิด วิปติสาน แล้วก็เลิกละมันเสีย วิปติสานมันก็จะได้หายไป เดี๋ยวนี้คนส่วนมากที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะหรือศาสนา เขาคิดว่ามันไม่รู้ ช่างหัวมัน อย่างนี้เขาก็ถือว่าเป็นบ้า ความผิดของเขาที่ไม่มีใครรู้นั่นแหละ มันจะทรมานจิตใจของเขา ไม่มีใครรู้มันก็จะเป็นบ้าอยู่นั่นแหละ คือมันระแวงมันสงสัยว่ามีคนรู้อยู่นั่นแหละ คืออย่างน้อยมันไม่นับถือตัวเองได้ มันเกลียดน้ำหน้าตัวเองอยู่เรื่อยไป แล้วมันก็จะต้องเป็นบ้า ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพราะมันมีหลายชนิด นี่คืออย่าถือว่ามีอะไรเป็นสิ่งเล็กน้อย เป็นหลักที่พระพุทธเจ้านั้นตรัสไว้ แต่เห็นเป็นภัยและในโรคอาบัติที่มีประมาณน้อยที่บัญญัติไว้ตัวน้อยๆ จะเป็นภัยอย่าเห็นเราไม่มีภัย เขาพูดกันนักว่าศิลปะของการมีความสุข คือการคิดอย่างนั้นทำอย่างนี้ ทำอย่างโน้น แต่มันคนโง่พูดอย่างภาษาชาวโลกพูด มันก็เลยไปพูดเรื่องวัตถุหมด แล้วมันมาพูดถึงเรื่องนี้เป็นธรรมะ เป็นวินัย อย่าไปทำอะไรให้ตัวหมดความนับถือตัวเอง นี่ต้องมาก่อนต้องสำคัญ ถ้าคนอยากมีความสุขต้องมีข้อนี้มาก่อนเสมอถ้าพูดถึงเรื่องบ้านเรือน เรื่องทรัพย์สมบัติ เรื่องการเดินทางท่องเที่ยว เรื่องศิลปะมากมาย แล้วก็ไม่พูดเรื่องที่ว่าคนเราต้องอยู่ด้วยความรู้สึกที่นับถือตัวเองได้ไม่พูด พูดแต่เรื่องเนื้อหนัง แต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องของไอ้คน ปถุชนที่รู้แต่เรื่องวัตถุ ส่วนเรื่องของพระอัยเจ้าจะไม่พูดถึงเรื่องเงิน เรื่องบ้าน เรื่องเดินทาง เรื่องท่องเที่ยว เรื่องศิลปะ เรื่องงานสนุกสนานหวานหอมไม่พูด ผู้มีศีล มีศีลมีความสุข พอมีสมาธิก็ยิ่งมีความสุข มีปัญญาก็ยิ่งหมดทุกข์โดยถาวร สุขัง ยาวะ ชรา ศีลัง นี่ ไปดูพุทธสุภาษิตในหมวดศีล ในหนังสือสุขัง ยาวะ ชรา ศีลัง ศีลมีทุกจนแก่เฒ่า จนตาย แก่แล้วก็ต้องตาย นี่ก็ถือว่าไอ้คนชรา หนักเข้ามันลืมไป ไม่มีศีล ก็ไม่ถูก มีศีลจนชราก็เป็นอันว่าจนตาย และการผลอานิสังฆ์ศีลไว้มากมาย ล้วนแต่เป็นความสุขทั้งนั้น นี่คำว่าศีลมันไม่ได้หมายความเพียงว่าปาติโมกข์ บวชอยู่เป็นพระหรือศีลอุบาสก อุบาสิกา กระทั่งศีลชาวบ้าน มันก็ศีลเหมือนกันแหละ แต่เป็นศีลไหนก็ตามใจมันทำให้ผู้ถือได้รับความพอใจในตัวเอง รักตัวเอง นับถือตัวเอง อุ่นใจในตัวเอง มันก็เลยมีความสุข พยายามมองความสุขกันในแง่นี้ แล้วจะมีความเจริญในทางจิตใจสูงมากเร็วมาก เรียกง่ายๆ ก็คือว่าทำความผิดอะไรไปนิดหนึ่งเสียใจให้มาก ไอ้ที่คุณจะไม่เสียใจกันเลยนั่นแหละ ที่แท้ควรจะเสียใจให้มาก ทำอะไรผิดนิดเดียว ไม่ต้องถึงเรื่องสูบบุหรี่ เรื่องอะไรที่มันผิดน้อยกว่านั้น ทำแก้วน้ำตกแตก ทำหลอดตะเกียงแตก ก็ต้องเสียใจให้มาก เพราะมันผิดศีลในข้อที่ว่า สะเพร่าหรือเลินเล่อ เป็นศีลข้อ ๕ เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท มันเป็นความโง่เอาถ้วยแก้วไปวางไว้ที่ขอบหน้าต่างเวลาล้างหน้า แล้วลมมันพัดบานหน้าต่างมาตีถ้วยแก้วกระจายไปเลย แล้วไปโทษลมหรือไปโทษหน้าต่าง มันโง่สองซ้อน ผิดศีลข้อโง่นี่สองซ้อนสามซ้อน ณ อย่างนี้ก็ต้องเสียใจให้มาก อย่าบอกเป็นธรรมดาที่เราต้องเผลอไปบ้าง อย่าแก้ตัวให้มันอย่างนั้น เป็นธรรมดาที่เราต้องเผลอไปบ้าง ให้คนโง่ๆ เขาปลอบใจว่าถ้าไม่อย่างนั้นเจ๊กมันจะขายไม่ได้ ผมบอกไอ้บ้ามันคนละเรื่อง ไปพูดอย่างนั้นไม่ได้ สำหรับผู้ที่เป็นพุทธบริษัทมันต้องเสียใจให้มาก ที่ทำให้แก้วแตกใบหนึ่งหรือว่าตะเกียงใบหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้สึก จิตใจมันหยาบกระด้างๆๆมาก จนไอ้ที่มันสำคัญก็ไม่รู้สึก นั้นมาจากสิ่งเล็กน้อยเสมอ ฉะนั้นขอให้ถือว่าไม่มีอะไรเล็กน้อย แม้แต่ว่ากุญแจที่มันติดตายอยู่ชนิดที่ว่าใส่กุญแจแล้วต้องบิดอีกทีหนึ่งให้มันอยู่แน่น อย่าให้มันก๊อกแก๊กๆ ได้ อันนี้อย่าถือว่าเล็กน้อย มันจะเสียนิสัย แล้วมันจะเป็นเรื่องใหญ่ ผมเคยเห็นมีอยู่หลายแห่ง ก๊องแก๊งๆ เพราะมันมันไม่ได้บิดได้ทีหลัง อย่าให้มันออกมาได้ มันติดที่กุญแจ เขาคงเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็ไปแล้ว และไม่รู้วันนี้ไอ้เชื้อโรคที่ทำความใหญ่หลวง ผมอย่าว่าอวดดี อย่าหาว่าผมอวดดี ผมถืออย่างนี้มาตั้งแต่ก่อนบวช ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่บิดามารดาควบคุมให้ถืออย่างนี้ เดี๋ยวนี้มารู้บุญคุณอย่างมหาศาลของโยมที่เคร่งครัดในเรื่องอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นผมไม่เป็นคนอย่างนี้ ผมเป็นคนที่รอบคอบหรือละเอียดละออ หรือว่ามองดูอะไรลึกซึ้ง หลายแง่หลายมุมในลักษณะอย่างนี้ เพราะว่ามันถูกอบรมมาตั้งแต่เป็นเด็กๆ แล้ว ทำอะไรพลาดจะถูกวิพากวิจารณ์กันมาก จะต้องพูดกันหลายคำ ไม่มีว่าแล้วกัน ไม่มีว่าเดี๋ยวเจ๊กจะขายไม่ได้ แต่บางทีจะถูกตี ถ้ามันเป็นเรื่องที่เห็นว่าพูดกันหลายแล้วมันไม่เชื่อก็เป็นเรื่องที่ถูกตี ผมคิดว่าพ่อแม่อย่างโยมของผมคงจะหายากมากในสมัยนี้ เพราะว่าผมเห็นเด็กๆ ล้วนแล้วแต่เป็นคนประมาทหรือสะพร่า เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยกันทั้งนั้น แต่บิดามารดาก็ยกโทษให้ เด็กก็เสียนิสัย มันก็ถือศีลถือวินัยให้ดีไม่ได้ มันก็เลยเป็นคนใจหยาบใจกระด้างไปหมด มันก็ไม่สนใจที่จะถือให้ดี หรือถือให้ถูก เพราะใจมันกระด้าง ใจมันอยู่ในระดับตัดทิ้งๆ ไปให้หมด ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว ในที่สุดมันก็จะเห็นอะไรหยาบ อ่านหนังสือก็ไม่ทั่วทุกตัว อย่าว่าแต่จะถือเอาความหมายของหนังสือได้ทุกตัว แม้แต่เห็นก็ไม่เห็นทุกตัว แม้จะตรวจพรูฟที่โรงพิมพ์ก็ทำไม่ได้ดี นี่คนชนิดนี้ นี่พูดกันวันนี้แล้วก็พูดกันว่าไม่มีอะไร เป็นของเล็กน้อย สำหรับธรรมะ สำหรับวินัย สำหรับศาสนา ไม่มีอะไรเป็นเรื่องเล็กน้อย ขอช่วยจำไว้ด้วย ฉะนั้นขอให้ระมัดระวังทุกอย่างทุกเหตุการณ์ เรื่องหัวเราะ เรื่องเล่นหัว เรื่องสะเพร่า เรื่องขี้เดียด เรื่องบานปลาย เรื่องอะไรต่างๆ ไม่มีอะไรเป็นของเล็กน้อย และต่อไปก็จะเข้มแข็ง มั่นคง และก็ละเอียดละออ ไม่มีสะเพร่า มันก็จะมีความก้าวหน้าแน่นอนในทางของธรรมวินัย ไม่ใช่ในทางจิตใจก้าวหน้า ทางวัตถุไม่ไปไหนเสีย มันจะมาโดยถูกต้องเหมือนกัน ให้ทางจิตใจมันถูกต้องไว้ก่อนเถอะ จะไม่มีความทุกข์ จะไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรเกิน มันจะพอดี ในเรื่องวินัยหรือว่าในโลกของวินัยไม่มีอะไรเป็นสิ่งเล็กน้อยในทางปฏิบัติ ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเชื่อผมก็ได้ ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งได้ตรัสไว้อย่างนี้ หรือที่ดีไปอีกก็คือเชื่อตัวเอง ให้เราทำดูเอง ไอ้เล็กน้อยแหละมันจะเป็นเชื้อโรค แล้วมันจะใหญ่ขึ้นมาเอง แล้วมันจะทำลายบุคคลนั้นเอง เชื้อโรคมันตัวเล็กที่มองไม่เห็น มันใหญ่คือมันฆ่าคนได้ ไม่มีอะไรเล็กน้อยหมายความว่าอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันมีเรื่องที่ยั่วให้คนเราประมาท อวดดีไม่ละอายต่อบาปมากขึ้นในโลกสมัยนี้ หนังสือพิมพ์บางฉบับหยิบขึ้นมาเปิดดูทุกหน้าแล้วมันรู้สึกเหมือนจะเป็นลม เพราะมีแต่จะทำให้คนเราไม่เป็นคน นี่เมื่อตะกี้ก็วางอยู่ที่ตรงหน้ามันมีแต่รูปยั่วยวน หรือสิ่งยั่วยวน หรือเรื่องยั่วยวน ข้อความยั่วยาวน อันยั่วยวนทั้งนั้น แล้วเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ไม่มีศีล ไม่มีเครื่องบังคับตัวนี่ มันก็กลายเป็นคนมึนเมาเสพติด ซึ่งต่อไปมันก็ไม่มีทางที่จะรับผิดชอบอะไรได้นอกจากว่าตัวได้อะไรที่ต้องการแล้วก็เป็นดี นี่เป็นกรรมของคนในโลกสมัยนี้ ที่ว่าไอ้ความชั่วหรือพญามารมันได้โอกาส กำลังเป็นโอกาส เป็นชัยชนะของพญามาร คือสิ่งเหล่านี้มันมีขึ้นในโลกได้มากขึ้นๆ เด็กๆ ของเราเกิดมาก็ไม่มีจิตใจที่จะเป็นมนุษย์ได้ มันถูกทำให้มึนเมา ให้เสียความทรงตัว สติสัมปชัญญะ เสียอะไรไปหมด และมันคงลำบาก โตขึ้นก็ยิ่งเป็นมากขึ้น บังคับตัวเองไม่ได้ เป็นทาสแก่เนื้อหนัง มันก็ต้อโกง แล้วจะเต็มไปด้วยคนโกง นี่คุณลองตั้งข้อสังเกตไว้ดูแต่เดี๋ยวนี้บ้างก็ได้ ผมรู้สึกอย่างนี้ ว่าถ้าสมมุติว่ามันมีคนดีมาเผด็จการการปกครองบ้านเมืองเรานี่ได้ แต่ว่ามันจะเอาคนที่ไหนมาทำงาน มันเป็นอย่างนั้น แม้หัวหน้าจะดี จะยึดหลักดี อะไรถูกต้อง แล้วจะเอาลูกน้องที่ไหนมาทำงาน เป็นพันๆหมื่นๆแสนๆ เพราะประเทศมันอยู่ได้ด้วยการบริหารของคนเป็นหมื่นเป็นแสน แล้วคนตั้งหมื่นตั้งแสนนี้เป็นทาสของเนื้อหนังไปหมด มันพร้อมที่จะโกงอยู่ทุกเมื่อ แล้วคนที่ว่าจะมีอำนาจบริหาร ยึดอำนาจบริหารอะไรได้ มันจะเอาอำนาจอะไรมาบังคับ ให้คนเหล่านี้กลับตัวได้ มันก็ล้มก็เหลวอยู่ดี ล้มละลายอยู่ดี มันจะรอดได้เพราะทุกคนมันดีมีธรรมะ มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ไปอีกนานแหละ กว่าจะไปเห็นโทษของสิ่งเหล่านี้กันมากขึ้นๆ แล้วก็มีคนดี พูดให้มันชัดกว่านี้ก็สมมุติว่าเอาละมอบอำนาจให้คนๆ หนึ่งให้สั่งฆ่าคนนั้นคนนี้ได้เลย แล้วบ้านเมืองมันจะสงบ แล้วจะเอาคนชนิดนั้นมาจากไหน มันมองไม่เห็นตัว มันไม่พอที่จะเอามาอยู่กันทั่วไปทุกอำเภอ ทุกจังหวัด มันก็ทำไม่ได้ นั้นอย่าเข้าใจว่าโลกมันจะรอดอยู่ได้ด้วยการปล่อยไปตามอำนาจของอำนาจ หรือว่าของกิเลส มันต้องรอดอยู่ได้ด้วยความดี ความถูกต้องของคนนั่นเอง เดี๋ยวนี้มันยิ่งร้ายหนักขึ้นทุกที คุณยังหนุ่มๆ อยู่ออกไปนี่คงพอดี คงไปคงได้เห็นที่มันร้ายกว่าที่ผมจะได้เห็น เพราะผมจะตายก่อนแน่ แล้วคุณอยู่ทีหลังได้เห็นที่มันร้ายกว่ากว่าที่ผมได้เห็น ยิ่งถ้าคุณไปผสมโรงกับเขาด้วยแล้วก็ยิ่งสนุกใหญ่แน่ ผสมโรงด้วยการที่เห็นว่าเป็นของเล็กน้อยไปหมด นั่นแหละถ้าคุณยังถือลัทธิว่าอะไรที่มันเล็กน้อยไม่เป็นไป ก็ผสมโรงไปกันเข้าด้วยกัน มันจะเข้า อะไรที่มันหนักไปกว่านั้นอีก ไอ้ลูกหลานของคุณจะได้เห็นสิ่งที่ร้ายหนักไปกว่านี้อีก คอยดู ถ้าว่าเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง แล้วมันก็ควรจะช่วยกัน คือช่วยกันทำตามพระพุทธเจ้า ท่านต้องการท่านแนะให้ เป็นคนคงอยู่ในความถูกต้อง บูชาความถูกต้อง เอาชนะไอ้สิ่งยั่วยวนเหล่านั้นให้ได้ เราคงอยู่ในความถูกต้อง เราพยายามที่จะเป็นตัวอย่างแก่คนอื่น แล้วดึงคนอื่นให้มีความถูกต้องนี่ มันจะกลับมาในทางดีเร็วขึ้นๆ ถ้าเราไปผสมโรงกับเขาด้วย แล้วมันก็จะไม่มีอะไรเหลือและมันก็จะหนักยิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นการได้บวชนี้ การได้เข้ามาอยู่ในร่มเงาของพระพุทธเจ้ามากกว่าธรรมดานี้ ควรจะรู้เรื่องนี้ และก็อยู่ในฝักฝ่ายของพระพุทธเจ้า ช่วยกันต่อต้านไอ้สิ่งที่เลวร้าย โดยการที่เราอยู่ให้มันถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการมากกว่านี้ คุณฟังให้ดีนะ ท่านต้องการแต่เพียงอยู่ให้ถูกต้องเท่านั้น อยู่อย่างมีศีล มีอะไรที่ถูกต้องเท่านั้น ท่านต้องการเท่านั้น และเราก็มีความสุขด้วย ผู้อื่นที่เป็นได้พบได้เห็นก็จะทำตามเราด้วย ไอ้คนเลวมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนนิสัยได้ ในเมื่อมันมีคนดีมาให้เห็นมากเข้าๆ ไอ้คนเลวๆ มันเปลี่ยนนิสัยได้ ไม่ต้องพูดกัน นี่คือออานิสงค์ของการเป็นอยู่ให้ถูกต้อง และคนที่จะเป็นอยู่ถูกต้องได้ ต้องไม่มีการเห็นว่าอะไรเป็นของเล็กน้อย ไม่มีอะไรเล็กน้อย คนโบราณเขาเก็บไว้แม้แต่เข็มที่ก้นหักแล้ว คือไม่มีรูที่จะร้อยได้แล้วก็ยังเก็บไว้ เพื่อเอาไว้ใช้อย่างของบ่มหนามของอะไรได้ คนเดี๋ยวนี้คงทิ้งขว้างแม้ว่ามันยังมีรูอยู่ เอาละไปดูเองว่าคนเดี๋ยวนี้เห็นเป็นของเล็กน้อยไปเสียหมดอย่างไร ขอให้ทุกองค์มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางของพระศาสนา ของสมเด็จพระบรมศาสดา ด้วยการอรรธอธิฐานจิตว่าเราจะเห็นเป็นภัยแม้ในโทษที่มีประมาณน้อย ตามความมุ่งหมายของพระวินัยในพุทธศาสนานี้ทุกๆ ท่าน