แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขอให้ถืออย่างที่ได้กล่าวมาแล้วเมื่อวันก่อนนั้น ว่าการบรรยายนี้อยู่ในลักษณะเป็นการถวายความรู้รอบตัว มิได้เป็นโอวาทอะไรโดยตรง ผมพยายามจะนึกให้ดีที่สุดว่าเรื่องอะไรที่ควรจะเอามาบรรยายถวายให้ฟังในฐานะเป็นความรู้รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะปฏิบัติหน้าที่พระอาจารย์ผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยวิธีของการบำเพ็ญสมณธรรมหรือที่เรียกว่าวิปัสสนาดังที่กล่าวแล้ว ขอให้ทบทวนข้อความในวันแรกที่ว่าการบำเพ็ญสมณธรรมนี้เป็นการเผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ได้ในตัว แม้ว่าไม่ต้องพูดกันเลยก็ยังได้ ขอแต่ให้เป็นการบำเพ็ญสมณธรรมที่มันแสดงอะไรออกมาอยู่ที่เนื้อที่ตัวของผู้บำเพ็ญสมณธรรมนั่นเอง มันเป็นการทำที่ประหลาดอย่างอยู่หนึ่งว่าผู้ทำก็ได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง ผู้ที่เพียงแต่ได้เห็นทำเห็นการกระทำนั้น เห็นผู้ที่ปฏิบัติกระทำอยู่นั้น ก็เป็นการได้ผลไปด้วย เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใสและเผยแผ่พระพุทธศาสนาพร้อมกันไปด้วย โดยหลักที่ว่าเห็นสมณะเป็นการดีคือทำให้จิตใจสบายมีความสุข แล้วก็มีความสนใจในธรรมะหรือในการปฏิบัติธรรมะยิ่งขึ้น
ทีนี้ก็อยากจะพูดขยายความต่อไปอีกเล็กน้อยเกี่ยวกันไปว่า เพราะเหตุไรมันจึงเป็นอย่างนั้นได้ เกี่ยวกับข้อนี้ขอให้ระลึกถึงพระพุทธภาษิตข้อหนึ่งที่ว่า มณฺฑเปยฺยมิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ น่าดื่มหรือชวนดื่มเหมือนมัณฑะ สำหรับสิ่งที่เรียกว่ามัณฑะนั้น เป็นภาษาบาลีแล้วก็เป็นภาษาโบราณ มีอยู่ในพระบาลีนั้นเดี๋ยวนี้อาจจะเรียกเป็นอย่างอื่น มัณฑะคือยอดของเนยใส ที่เอาเนยใสมาปรุงโดยวิธีให้มีรสชาติสูงขึ้น ที่จริงเนยใสเองก็เป็นโครสที่สูงสุดอยู่แล้วมีค่ามากอยู่แล้ว เขารีดเอานมสดหรือขีระมาทำเป็นนมเปรี้ยวคือทธิ เอามาลอยฝาเป็นทธิ เอาทธิมาทำเป็นเนยธรรมดาเรียกว่านวนีตะ จากนวนีตะนี้ทำเป็นสัปปิคือเนยใส ทีนี้จากเนยใสสัปปินั้นเอามาทำเป็นสัปปิมัณฑะยอดของเนยใส ก็เป็นการสูงสุดขั้นสุดท้ายของโครส คือรสที่เกิดจากโค นี่สัปปิมัณฑะนี้เอง เรียกในที่นี่สั้นๆ ว่ามัณฑะ มณฺฑเปยฺยํ อิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ สนธิก็เป็น มณฺฑเปยฺยมิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ชวนดื่มเหมือนมัณฑะ คนอินเดียเขารู้จักกันดี คนจนๆ เพียงแต่ได้เอามาทาหนวดก็ยินดีอย่างยิ่งแล้วไม่ต้องได้กิน แล้วแพงที่สุดของสิ่งที่เรียกว่าโครส ที่ออกมาจากโค
มีคนเล่าให้ฟังว่าเมื่อพระพุทธเจ้าหลวงคือรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปประเทศอินเดีย พระราชาอินเดียถวายของที่ระลึกก็มีกระปุกสัปปิมัณฑะนี้อยู่ด้วย ซึ่งพวกคนไทยก็ไม่ค่อยสนใจอะไรนัก แล้วเผอิญมันมาตกแตกที่ชานชาลาสถานีรถไฟ นี่ก็เขี่ยทิ้งเลย ชาวอินเดียเขามารีบกอบรีบกำเอาไปเช็ดเอาหมด กระทั่งเอามาทาหนวด ไม่มีอะไรเหลือ นี่เขาเล่าให้ฟังอย่างนี้ สัปปิมัณฑะมันแพงมาก มันวิเศษมากสำหรับสิ่งที่เป็นรสอร่อยจากวัว นี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพรหมจรรย์นี้ชวนดื่มหรือน่าดื่มเหมือนมัณฑะ ขอให้คิดดูว่าพระพุทธเจ้าท่านประสงค์อย่างไรจึงได้ตรัสประโยคนี้ออกมา ยังต่อท้ายด้วยว่าพระศาสดาก็อยู่ที่นี่แล้ว พรหมจรรย์นี้ก็น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ท่านทั้งหลายจงปรารภความเพียรในการปฏิบัติธรรม ดูว่ามันจะถึงที่สุดเท่านั้นแหละ ของนี้ก็ดีชวนดื่มน่าดื่มอย่างยิ่งอยู่แล้ว และพระศาสดาก็อยู่เป็นเพื่อนที่นี่แล้วเป็นผู้แนะนำแล้ว ท่านทั้งหลายจงปรารภความเพียร ทีนี้เรารู้สึกในข้อเท็จจริงอย่างนี้หรือเปล่า ว่าการบำเพ็ญสมณธรรมนี้มันอร่อยเหมือนการดื่มมัณฑะหรือเปล่านั่นแหละ และอีกทีหนึ่งก็ว่าพรหมจรรย์นี้ที่เราปฏิบัติอยู่นี้ มันทำให้ชาวบ้านผู้ได้เห็นรู้สึกว่ามันเหมือนกับมัณฑะหรือเปล่า คือชาวบ้านก็เห็นการบำเพ็ญพรหมจรรย์นี้แล้วเขารู้สึกอยาก รู้สึกอยากจะกิน อยากจะลิ้มรส เหมือนกับเขาเห็น สัปปิมัณฑะหรือเปล่า นี่คือปัญหา
ข้อที่แรกก็ว่าผู้ปฏิบัติสมณธรรมนั้นรู้สึกเหมือนได้ดื่มมัณฑะหรือเปล่า หรือว่าทำไปอย่างละเมอๆ หรือว่าด้วยความหวังว่าจะได้ประโยชน์เป็นวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างอื่น มิใช่ตัวเองได้มีความรู้สึกเหมือนกับว่าได้ดื่มมัณฑะคือได้ดื่มรสของพระธรรมที่แสนจะวิเศษเหมือนกับคนธรรมดาเขาดื่มสัปปิมัณฑะ นี่ขอให้ไปทดสอบ แล้วพวกทายกทายิกาพวกศรัทธาทั้งหลายที่เขาบำรุงอุปัฏฐากอยู่ด้วยปัจจัย ๔ นี้ เขารู้สึกต่อการปฏิบัติของเราในลักษณะที่เขาก็อยากอย่างยิ่งด้วยหรือเปล่า หรือเพียงแต่ว่าช่วยกันทำบุญละเมอๆ เพ้อฟันไปอย่างนั้นเอง ถ้ามันเป็นอย่างทีแรก มันก็น่าพอใจน่าปลื้มอกปลื้มใจที่สุด แต่ถ้ามันเป็นอย่างหลัง ก็ต้องถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขแล้ว ต้องปรับปรุงแก้ไขให้ยิ่งขึ้นไป ให้ผู้ปฏิบัติรู้สึกเหมือนได้ดื่มมัณฑะ ให้ผู้เห็นรู้สึกกระหยิ่มอยากจะกินด้วยอยากจะร่วมชิมร่วมกินด้วย นั่นแหละให้ตรงตามความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมกรรมฐานภาวนาแบบไหนก็สุดแท้ ต้องได้รับการจัดการทำชนิดที่ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างที่ว่านี้ ผู้ปฏิบัติก็ได้รับความพอใจเหลือประมาณ คือพอใจในทางธรรมที่เรียกว่ารสที่เกิดจากธรรม ในบทที่ว่า สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ นี่ หรือ ธมฺมนฺนนฺทิ เป็นต้น ไม่ใช่มีผลเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะเป็นต้น เพราะว่ามันมีพระพุทธภาษิตที่ชัดอยู่แล้วเหมือนกันว่าภิกษุทั้งหลายพรหมจรรย์นี้มิใช่มีลาภ ยศ ชื่อเสียง สรรเสริญเป็นอานิสงส์ แต่ว่าพรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ทีนี้วิมุตตินี้มันก็อย่างเดียวกันแหละ ถ้าวิมุตติจริงมันก็มีรสอันนี้ มีรสเหมือนมัณฑะนี่ แม้ที่สุดแต่ว่าตทังควิมุตติ มันก็ต้องมีรสอย่างเดียวกัน ตรงนี้ผมขอถวายความเห็นส่วนตัวผมว่า ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติก็ตาม ทั้ง ๓ นี้มีรสเหมือนกัน รสอร่อยเท่ากัน มันจะผิดกันก็เพียงแต่ว่าอันหนึ่งมันถาวรยั่งยืน อันหนึ่งมันหนักแน่น แต่ว่ารสของวิมุตตินี้จะต้องเหมือนกันคืออร่อยเหมือนกัน เพราะว่าคำว่าวิมุตตินี้ก็แปลว่าตอนนั้นเป็นอิสระจากกิเลส ในระยะนั้นในขณะนั้น ถ้าตทังคะ มันก็บังเอิญ วิกขัมภนะมันก็ข่มไว้ได้บังคับไว้ได้ตามต้องการ ชั่วเวลาที่ต้องการ ถ้าสมุจเฉทะ มันก็แน่นอนหรือตลอดกาลเท่านั้นเอง ฉะนั้นวิมุตตินี้จะต้องมีรสเหมือนกับว่าเรารู้สึกด้วยลิ้นนะ เหมือนกัน เหมือนกับว่าตัวอย่างสินค้ากับสินค้าจริง ถ้าไม่เล่นโกงกันแล้วก็ต้องเหมือนกัน พวกชั่วคราวมันก็เป็นชั่วคราวหรือชิมลองเหมือนกับตัวอย่างสินค้า เพราะฉะนั้นมันทำให้มีความหวังขึ้นมากทีเดียวว่าถ้าได้ชิมแม้แต่รสของวิมุตติที่เป็นตทังคะ มันก็รู้รสของพระนิพพานได้ มันมีผลทำให้มีความตั้งใจมีความแน่ใจมีความบากบั่นพยายามเพื่อจะให้วิมุตตินี้เป็นอกุปปธรรมต่อไป คือให้เป็นสมุจเฉทะต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็ไปไม่รอด ถ้ามันเป็นของเล็กน้อยแล้วนี้แล้วก็มันก็ล้มละลาย มันไม่ชวนดื่มเหมือนมัณฑะ ฉะนั้นเราจะต้องทำให้เป็นที่แน่นอนว่าแม้แต่ตทังควิมุตติ ก็จะต้องชวนดื่มเหมือนมัณฑะ เพียงแต่เป็นตัวอย่างให้กินนิดหน่อย แล้วก็มีช่องทางที่ว่าทายกทายิกาทั้งหลายจะพลอยดื่มเป็นตัวอย่างได้ หรือเข้าใจได้ง่ายมองเห็นได้ง่ายว่าผู้ที่ได้ดื่มมัณฑะของวิมุตตินี้มันน่าเลื่อมใสจริง สมัยนี้เขาเรียกว่าน่าอิจฉา ภาษาของคนกิเลสของคนมีกิเลสหรือคนบ้า เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมันก็ว่าน่าอิจฉา ฟังดูสิ คือแทนที่จะพูดว่าน่าเลื่อมใสน่าเอาอย่างนี้ มันพูดว่าน่าอิจฉา เขามีความสุขอย่างน่าอิจฉา นี่มันภาษาของคนมีกิเลส นี้ผมมีความเห็นไปในทำนองว่าส่วนที่จะต้องปรับปรุงนี้ยังมีอยู่ในวงการปฏิบัติสมณธรรมของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยก่อน ถ้าจะพูดให้มากไปทั้งหมดทุกประเทศมันก็ไม่แน่ใจ ลำบาก แต่ว่าเท่าที่เห็นอยู่ในประเทศไทยเราทั่วไปทุกหนทุกแห่งนี้ รู้สึกว่ายังต้องมีการปรับปรุงเป็นแน่นอน ปรับปรุงไปในทางที่ให้เข้ารูปกันกับพระพุทธภาษิตนี้ ว่าพรหมจรรย์นี้น่าดื่มชวนดื่มเหมือนมัณฑะ ทีนี้พรหมจรรย์นี้มันก็มีเบื้องต้น มีท่ามกลาง มีเบื้องปลายนี่ ในขั้นศีล ในขั้นสมาธิ ในขั้นปัญญา หรือแม้ที่สุดแต่ว่าในขั้นปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ มันเป็นชั้นๆ แต่ว่าทุกชั้นจะต้องแสดงลักษณะที่ชวนดื่มเหมือนมัณฑะ พูดเป็นภาษาไทยก็ไม่ทราบว่าจะพูดว่าอะไรดี ไปนึกเอาเองก็แล้วกันทุกๆ ท่านไปนึกเอาเองก็แล้วกัน ถ้าพูดแบบชาวอินเดีย น่าดื่มที่สุดมันก็คือมัณฑะ ทีนี้เป็นไทยผมก็ไม่ทราบ ถ้าเป็นหัวกะทิมันก็ชวนเอียนเหลือเกิน มันคงจะไม่น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ขนมหม้อแกงก็ยิ่งเอียน น้ำอัดลมก็ไม่ไหว ยังนึกไม่ออกว่าถ้าจะพูดเป็นภาษาไทยนี้จะเปรียบด้วยอะไรดี แล้วสัปปิมัณฑะนั้นถ้าเอากับมันจริงๆ มาให้เราก็คงไม่ไหวเหมือนกันแหละ คนไทยกับเนยนี้มันไม่เข้ากัน มันก็ต้องเห็นใจเห็นน้ำพระทัยพระพุทธเจ้า ก็ต้องเปรียบอย่างชาวอินเดียแหละสำหรับมัณฑะ แต่คนไทยนี้จะอะไรล่ะ จะน้ำอะไรที่ว่าเห็นเข้าแล้วอดกันไม่ได้ อยากดื่มจะขาดใจ
นี้ขอให้แก้ไขปริยัติธรรมปฏิบัติธรรมให้มันเห็นเข้าแล้ว มันน่าปฏิบัติ น่าลองปฏิบัติ นี่พูดถึงกว้างๆ นะ ถ้าพูดแคบๆ ศีล เอ้า,รักษาศีล ก็ให้มันคนอื่นเขาเห็นแล้วกระหยิ่มที่สุดยินดีเลื่อมใสพอใจที่สุด ทำสมาธิก็เหมือนกัน ให้มันน่ากระหยิ่มที่สุด ทีนี้ถ้าบรรลุฌาน บรรลุปัญญาวิปัสสนาแล้วก็ยิ่งถึงที่สุด เดี๋ยวนี้แม้แต่ชั้นศีลมันก็ยังมีปัญหา คนเขายังตำหนิติเตียน บางทีแม้แต่เพียงการนุ่งห่มมันก็รุ่มร่าม มันเหมือนกับหาบคอนกางมุ้งอะไรมา นี่การนุ่งห่ม ทีนี้การมีศีลมันก็ต้องยิ่งไปกว่านั้น มีศีลชนิดที่พระอริยเจ้าพอใจนี่ ไม่พบความบกพร่อง ไม่ติเตียนได้ซึ่งตนเองด้วยตนเอง แม้แต่ในขั้นศีลก็ถ้าว่าทำดีแล้วคนก็จะรู้สึกเลื่อมใส ว่าพรหมจรรย์นี้แม้ในขั้นศีลแล้วก็ยังน่าดื่มเหมือนมัณฑะ แสดงออกมาทางมรรยาทมากทีเดียว เรื่องราวที่เกี่ยวกับพระอัสสชิเดินไปในสายตาของอุปติสสะ โกลิตะหรือผู้ที่จะเป็นพระสารีบุตรโมคคัลลานะนั้น นี่มันมีผลมาก อินทรีย์ผ่องใส กิริยาท่าทางน่าเลื่อมใส มีตาที่แสดงแววของบุคคลผู้ไม่มีความชั่วความลับหรือความทุกข์ นี่คนเขาก็รู้สึกเหมือนกับว่านั้นมันน่าชิม น่าสนใจ น่าลอง แล้วเรื่องก็เป็นไปอย่างนั้นจริง ทุกองค์ทราบอยู่แล้วผมไม่ต้องเล่า รวมความว่าอุปติสสะ โกลิตะ ได้มาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นพระสารีบุตร โมคคัลลานะอัครสาวกนี้ก็เพราะว่าความน่าดื่มเหมือนมัณฑะของพรหมจรรย์ที่แสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวของพระอัสสชิ เรื่องนี้ขอให้นึกถึงพระอัสสชิ ภาวนาถึงพระอัสสชิ แล้วก็ขอให้มีอะไรๆ แสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวของผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชั้นวิปัสสนา นี่แสดงออกมาอย่างนั้น แสดงความน่าดื่มเหมือนมัณฑะ อยู่ที่อากัปกิริยาที่เนื้อที่ตัวที่จะเรียกว่าพรหมจรรย์ในชั้นศีลก็ได้ แสดงทางมรรยาทได้ แต่ว่าสำหรับพระอรหันต์นั้นมันก็มาจากทางใจที่หมดกิเลสแล้วมีจิตที่สงบแล้ว จึงทำให้อากัปกิริยาเหล่านั้นมีลักษณะอย่างนั้น น่าชวนดื่มเหมือนมัณฑะ เป็นพรหมจรรย์สมบูรณ์ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แสดงออกมาทางเนื้อทางตัวของพระอรหันต์ผู้เป็นสมุจเฉทวิมุตติ
ทีนี้สำหรับผู้ที่จะอาศัยตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตตินี้ก็ต้องทำได้ เพียงแต่ว่ามันต้องระวังสังวร แล้วก็ทำได้ตลอดเวลาที่ยังระวังสังวรบังคับอยู่ มันก็จะมีอาการที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวได้เท่ากัน ขอให้ประคับประคองจิตใจในลักษณะที่ไม่มีกิเลสรบกวน มีจิตใจผ่องใส เวลานั้นฉลาดที่สุดไม่ต้องการอะไร ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ฉะนั้นปรากฏการณ์ที่แสดงออกมาก็ต้องเหมือนกับพระอรหันต์ชั่วขณะหนึ่งเป็นแน่นอน
ทีนี้เดี๋ยวนี้มันมีปัญหามาก ปัญหานับตั้งแต่ปัญหาที่หยาบที่สุดต่ำที่สุด อย่างพระไทยเรานี่ถูกหาว่าเสพติดเป็นทาสของสิ่งเสพติด เช่นบุหรี่และหมากเป็นต้น ที่ประเทศจีน ที่ประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น เขาก็ติเตียนพระที่สูบบุหรี่อย่างมากนี่ว่าเป็นผู้อดไม่ได้บังคับไม่ได้นี่ ทีนี้แม้เรื่องอาหารเขาก็ยังพิถีพิถันถึงกับว่าถ้ายังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็เรียกว่ายังไม่น่าไว้วางใจนี่ ยังเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยอยู่หรือไม่สนับสนุนในเรื่องของเมตตากรุณานี่ เขายังว่าไม่น่าไว้วางใจ เพียงแต่ไปสูบบุหรี่ให้เห็น กินเนื้อสัตว์ให้เห็น หรือกิริยาเก้งก้างตามถนนหนทางให้เห็น มันหมดแล้วความน่าดื่มเหมือนมัณฑะของพรหมจรรย์นั้นไม่แสดงออกมาเลย นี่ผมมีความเห็นอย่างนี้ จะผิดหรือถูกก็ขอฝากถวายไว้ไปเป็นเครื่องพินิจพิจารณาเอาเอง
สำหรับผมมีความเห็นว่าถ้าเราเอาชนะเรื่องนี้ได้ ก็จะช่วยให้พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะในสายตา มหาชนมากขึ้นแม้ในประเทศไทยซึ่งได้ปล่อยกันไปมาก มากจนไม่รู้สึกกันแล้วในเรื่องนี้ก็เถอะ แต่ถ้ากลับมาได้อีกว่าอะไรที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความเสพติดหรือว่าทำไปไม่มีประโยชน์หรือว่ามันแสดงความเห็นแก่ตัวนี้ ละมันเสียให้หมด ในปรากฏการณ์ภายนอกกิริยาท่าทางอะไรต่างๆ มันก็แสดงความอดทนความจริงใจในการบังคับตัวเอง ความบริสุทธิ์ ความกล้าหาญ ความเปิดเผยอะไรได้มาก นี้ในเรื่องต่ำๆ หยาบๆ พื้นฐาน
ทีนี้ก็เรื่องศีลที่สูงขึ้นมาก็เรื่องปาฏิโมกข์นี่ อาทิพรหมจาริยกาสิกขา กระทั่งที่รองลงไปคืออภิสมาจาริยกาสิกขา มันเนื่องจากว่าเราเป็นอิสระอีกนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เป็นอิสระจากกิเลส เป็นอิสระจากการที่ใครมาบังคับเราไม่ได้ แม้แต่กฎคณะสงฆ์ก็บังคับเราไม่ได้ เราเป็นอิสระมาก กฏคณะสงฆ์ที่ออกมาเป็นหมันอยู่บ่อยๆ และเป็นอยู่มากๆ บังคับใครไม่ค่อยจะได้ สิ่งที่ไม่น่าดูมันก็เกิดขึ้น ถ้าผมพูดว่าสิ่งที่ไม่น่าดูหรือว่าตำหนิกันอยู่มากเมื่อ ๑๕ ปี มานี้ เดี๋ยวนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าดูไปแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ตำหนิติเตียนกันไปแล้ว ไปคิดดูว่าคืออะไร นี่มันค่อยๆ เป็นมาอย่างนี้ ในวงคณะสงฆ์ส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเมื่อเรายังรักตัว รักธรรมะ รักพระพุทธเจ้าอยู่ก็ต้องระวังให้ดี อย่าไปประสมโรงกับเขา มันมีแต่จะทำอะไรๆ ให้ลดลงไป ลดลงไป นี่เราจะเล่นอิสระบ้างล่ะทีนี้ คืออิสระไม่ทำตามเขา ไม่ทำตามหมู่มาก แม้หมู่มากเขาจะทำกันอย่างไร เราจะเกิดอิสระขึ้นมาบ้าง อิสระไม่ทำตามคนเหล่านั้น อิสระในการที่จะทำตามพระพุทธเจ้า จะรักษาคำว่า มณฺฑเปยฺยมิทํ ภิกฺขเว นี้ ไว้ให้ได้ ให้มีการกระทำทางมรรยาท ทางศีล ทางวินัยอะไรให้มันมีลักษณะเป็นที่กระหยิ่มแก่เทวดาและมนุษย์ นี่สำนวนในบาลี ภิกษุผู้ปฏิบัติดี สมณะผู้ปฏิบัติดีย่อมเป็นที่กระหยิ่ม แก่เทวดาและมนุษย์ ไปหาอ่านเอาเองในพระคัมภีร์เหล่านั้นก็แล้วกัน เช่นอย่างในอรรถกถาธรรมบทนี้มีมากที่สุด คำว่าเป็นที่กระหยิ่มแก่เทวดาและมนุษย์ ผมก็จะใช้คำว่าพวกเราขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเราคือพวกที่หวังจะทำอะไรๆ อย่างที่พูดกันแล้วครั้งแรกนั่นแหละ พวกเราควรจะรู้จักทำตัวให้เป็นอิสระ ถอนออกมาจากที่มันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่น่ากระหยิ่มของเทวดาและมนุษย์ หมายถึงเทวดาและมนุษย์ที่เป็นสัตบุรุษผู้ที่มีจิตใจมั่นคงในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไม่ใช่มนุษย์ที่เป็นอันธพาล มนุษย์อันธพาลเขาก็จะถือหลักว่าถ้าพลอยได้นั่นได้นี่ด้วยแล้วก็ยิ่งดีแหละ อย่างนี้เอาเป็นประมาณไม่ได้ ต้องเอามนุษย์ที่เป็นสัตบุรุษที่เขาจะกระหยิ่มได้ด้วยวิธีใดแล้วก็เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าพรหมจรรย์นี้เป็นอย่างนั้นจริง พรหมจรรย์นี้ของผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างนั้นจริง น่าดื่มเหมือนมัณฑะ เป็นที่กระหยิ่มของเทวดาและมนุษย์
นี่ผมขอยืนยันข้อนี้ว่ามันกำลังเป็นเมฆหมอกที่มันตั้งขึ้นมา แล้วมันจะครอบงำอย่างใหญ่หลวง แม้ว่ายังไม่ครอบงำมากมายนักในขณะนี้ แต่ในกาลเป็นอนาคตนั้นดูว่ามันจะมากยิ่งขึ้น ฉะนั้นขอให้เตรียมเนื้อเตรียมตัวเถิด เมื่อยังรักสมณธรรม รักพรหมจรรย์ รักสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็ควรจะเตรียมตัวได้แล้ว มันเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เรื่องเล็ก มันต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นระยะยาวพอสมควร ในครั้งที่แล้วมาผมก็ได้พูดแล้วว่ามันเป็นโชคดีที่เราได้เกิดมาแล้วพอใจในงานชิ้นนี้ของพระพุทธเจ้าและหวังกันอยู่ว่าจะถือเอาเป็นหน้าที่จนตลอดชีวิตเลย นี้เป็นข้อที่แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง ทีนี้เมฆหมอกมันก็เกิดขึ้นในลักษณะที่ว่าจะเป็นอุปสรรคแก่สิ่งนี้และในที่สุดจะเป็นอันตรายทำลายล้างความถูกต้องหรือว่าความน่าดื่มเหมือนมัณฑะของธรรมะ จะเป็นมากเหมือนที่เรียกว่าโรคระบาดที่ร้ายกาจก็ได้ ถ้าเป็นถึงขนาดนั้นแล้วก็น่าเศร้า น่าเศร้าอย่างยิ่ง แล้วถ้าเราเฉยเมยกันอยู่ มันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้จริงๆ ไม่เชื่อคอยดูเถิด ถ้ามัวแต่คิดว่าตัวใครตัวมัน ก็คอยดูเถิด สิ่งเหล่านี้จะลุกลามขึ้น จะทำลายสิ่งที่เรียกว่าพระศาสนาหรือพรหมจรรย์ในพระศาสนานั่นแหละให้มันไม่น่าดื่มเหมือนมัณฑะ แล้วมันจะสูญหายไปได้ แต่ว่าถ้าทุกคนทำตัวเหมือนกับผู้อาสาสมัครของพระพุทธองค์ด้วยการเสียสละชีวิตต่อสู้กันเรื่อยไปทุกคน มันอาจจะกู้เอาไว้ได้ กู้การประพฤติปฏิบัติกระทำที่ถูกต้องที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะนี้เอาไว้ได้ตลอดไป เรียกว่าพระศาสนาไม่ขาดสูญและก็ไม่เสื่อมด้วย ด้วยการปฏิบัติรักษาความถูกต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะเอาไว้ได้ นี้เป็นความคิดหรือว่าหลักการที่กว้างขวางครอบคลุมไปทั้งหมด แต่มันรวมเราอยู่ด้วยนะ ทีนี้เราก็ต้องตั้งต้นทำหน้าที่อันนี้ของเราด้วยการชำระสะสางตัวเองก่อน ตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการตรวจสอบทดสอบชำระสะสางก่อน อย่าเพิ่งไปชำระสะสางผู้อื่นเลย อย่าไปมองผู้อื่นว่านั่นผิดนี่ถูกอย่างนั้นอย่างนี้ ดูตัวเองก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็จะดูอะไรไม่เป็น มันจะเป็นเรื่องของกิเลสบันดาลไปหมด เราต้องจัดการกับตัวเองก่อน ตั้งตัวเป็นผู้ทดสอบตัวเองอย่างเที่ยงตรงยุติธรรมที่สุด เรื่องของผู้อื่นนั้นรอไว้ก่อน ตอนนี้ก็ถือหลักพระพุทธภาษิตที่ว่า น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ, อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย กตานิ อกตานิ จ นี่ อย่าไปฟังคำพูด หรือว่าดูการกระทำหรือไม่ได้กระทำอะไรก็ตามของผู้อื่นเลย แม้ว่าผู้อื่นมันจะพูดแสยง พูดอะไร วิโลมานิ น่ะ แสยงขน ก็อย่าไปฟังมันเลย มันจะด่าจะว่าจะวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็อย่าไปฟังมันเลย มันจะทำอะไรหรือไม่ได้ทำอะไรก็อย่าเพิ่งไปดูมันเลย ในขณะนี้นะ อตฺตโน ว อเวกฺเขยฺย พิจารณาแต่ตัวเองนั่นเเหละว่าอะไรทำแล้วอะไรยังไม่ได้ทำ ถ้าเอากันอย่างนี้จริงพบเเน่ว่าเรามีอะไรที่ทำแล้วมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ มีอะไรที่ยังต้องทำต่อไป ผมว่าไม่มีอะไรหรอก มันมีอยู่อย่างกำปั้นทุบดินว่าเรายังไม่ได้ทำให้พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะแสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัวเราเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ บางทีจะหายาก นี่มีอากัปกิริยายังไม่น่าเลื่อมใส มีสายตาแสดงความหิวความกระหายอยากจะได้อะไรก็ไม่รู้ มันไม่รู้จักอิ่ม มีบุคลิกลักษณะที่แสดงว่าถูกกิเลสเบียดเบียนครอบงำย่ำยีจนกลายเป็นผู้ผอมแห้งแรงน้อยเพราะว่าถูกกิเลสเบียดเบียนครอบงำย่ำยีนี่ ไม่มีความสุข นี่คือสิ่งที่เราจะต้องดูเดี๋ยวนี้ ว่าจะต้องทำอะไร ทำอย่างไร ทำต่อไป นี้เรียกว่าพรหมจรรย์ส่วนรวม พูดรวมๆ กันไปเป็นศีล สมาธิ ปัญญา
ทีนี้ส่วนศีล ก็แก้ไขไปตามส่วนศีล ส่วนสมาธิก็แก้ไขตามส่วนสมาธิ ส่วนปัญญาคือเรื่องทิฏฐิ ก็แก้ไขไปตามเรื่องของปัญญา มีความบริสุทธิ์ทางกายทางวาจา นี่ส่วนศีล มีความบริสุทธิ์ทางจิต นี่ส่วนสมาธิ มีความบริสุทธิ์ทางทิฏฐิ นี้คือความบริสุทธิ์ทางทิฏฐิหรือทางปัญญา ความบริสุทธิ์ของปัญญา แต่ว่ามันรวมกันได้ง่ายนะ ข้อสังเกตที่รวมกันได้ง่ายนั้น คือว่ามันมีความเห็นแก่ตัวกูของกูหรือเปล่า ลักษณะที่ร้ายกาจอันหนึ่งก็คือความเห็นแก่ตัว ตัวกูหรือของกูหรือพรรคพวกของกูนี่ ตัวกูหมายถึงตัวกู ของกูหมายถึงพรรคพวกของกู อะไรของกู อะไรที่มันเป็นของกู ถ้าเป็นภาษาสุภาพหน่อยก็เรียกว่าเห็นแก่ตนและของตน ตามภาษาบาลี ๒ คำ อตฺตา คำหนึ่ง อตฺตนียา คำหนึ่ง อตฺตา ว่าตัวตน อตฺตนียา ว่าเนื่องกันกับตัวตน นั่นแหละคือของตน ลักษณะนี้เป็นลักษณะที่แสดงให้เห็นชัดง่ายที่สุด ถ้ายังมีอะไรที่เป็นการเห็นแก่ตนแก่พรรคพวกของตนแก่อะไรของตนอยู่แล้ว น่าขยะแขยง ปราศจากความน่าดื่มเหมือน มัณฑะเป็นแน่นอน ขออย่าให้มีอะไรๆ ที่มันแสดงออกมาหยาบคายมากถึงขนาดนี้เลยในบรรดาพวกเรา ในความหมายอย่างที่ผมพูดเมื่อวันแรกว่าพวกเรานั้นคืออะไรมีหน้าที่อย่างไร อย่าให้สิ่งที่ทำลายหมดแสดงออกมาคือความเห็นแก่ตัวกูหรือของกูนั่น ที่ต้องพูดถึงข้อนี้ก็มิใช่ว่าจะมุ่งหมายอะไรมากมาย มุ่งหมายไปในทางที่ว่าอันนี้เห็นยากที่สุด ที่เห็นของตัวเองเห็นยากที่สุด แต่ที่ผู้อื่นจะมาเห็นของคนนั้นเห็นง่ายที่สุด คือว่าเราจะเห็นกิเลสนี้ของเราได้ยากที่สุด แต่ชาวบ้านจะมองเห็นกิเลสนี้ของเราได้ง่ายที่สุด คือตัวกูของกู เราจะมองเห็นด้วยตัวเราเองของเราเองนี้ยากที่สุด แต่ประชาชนทั้งหลายเขาจะมองเห็นของเราได้ง่ายที่สุด เดี๋ยวมันโผล่ หางโผล่ หัวโผล่ ตีนโผล่อะไรมาให้เห็นทุกที นี้มันเป็นเรื่องทำลายความเป็นสิ่งที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะของส่วนรวมของพระศาสนาส่วนรวมเสียหมด
ผมจึงพูดมากเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูนี่ พูดบ่อยๆ คือพูดให้เป็นที่เข้าใจให้รู้จักกันให้ดี ให้กำจัดมันให้ได้ ให้อยู่ในเป้าหมายที่เราจะกำจัดมันให้ได้ เป็นสิ่งที่ควรกำจัด แล้วมันสะดวกหน่อยที่ว่าไม่ต้องหลายเรื่องหลายราวนัก ถ้ากำจัดตัวกูของกูออกไปได้แล้วมันก็จะเป็นการดีทั้งแก่ศีล แก่สมาธิ แก่ปัญญา เพราะว่าความไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญามันก็มาจากตัวกูของกูนี้ เพราะฉะนั้นการที่กำจัดตัวนี้ตัวเดียวมันก็กำจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งหมด ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ ทั้งความไม่มีศีลความไม่มีสมาธิความไม่มีปัญญานี่ ฉะนั้นเมื่อมันไม่มีตัวกู มันก็มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา จะเป็นชนิดตทังคะ หรือวิกขัมภนะหรือว่าสมุจเฉทะก็ตามใจ แล้วมันเป็นสิ่งที่มองเห็นง่าย ถ้าเราไม่ประมาทเกินไปมันจะพอมองเห็นได้ แต่ขออย่างเดียวว่าอย่าไปคอยมองของผู้อื่น ตามพระพุทธภาษิตนั้น น ปเรสํ วิโลมานิ น ปเรสํ กตากตํ นั่นมันไปมองคนอื่น นั่นแหละมันจะช่วยเพิ่มตัวกูของกูให้แก่เราอีก เพราะเราไปขอเขามาเพิ่มให้แก่เรา มันจะต้องมองของเราด้วยความตั้งอกตั้งใจ หลีกออกไปสู่ที่สงัด ไม่มีใครมายุ่งด้วยแล้วก็มองสิ่งนี้ ให้ตั้งอกตั้งใจค้นหามันให้ดีๆ มันซ่อนอยู่ที่ไหน ในกาย วาจา ใจ ของเราหรือว่าในสันดานของเรา ในส่วนลึกของจิตใจของเรานี่ ค้นมันให้พบ เมื่อไหร่มันออกมา เมื่อไหร่มันซ่อนตัวอยู่
ชื่อนี้มันเป็นชื่อสมมติของกิเลสประเภทอนุสัยซ่อนอยู่ คือว่ามันเคยชินมากจนเป็นนิสัย แล้วบางคราวมันก็โผล่ออกมาเป็นกรรมกิเลสคือการกระทำที่เลวทรามอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้น เป็นตัวกูที่ออกมาแสดงตัวให้เห็นนี่ เหมือนกับปู บางเวลาลงไปซ่อนอยู่ในรู บางเวลาขึ้นมาให้แสดงเห็น ตัวกูของกูมันก็คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ ถ้าเราดูเอง มันดูยาก คนอื่นดูเรามันดูง่าย และมันเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องใช้ความไม่ประมาท ความไม่ประมาทเกือบไม่ต้องอธิบายกันแล้วสำหรับพวกเราว่าคืออะไร มันยังเหลืออยู่แต่ว่าทำไมมันจึงไม่ค่อยมี ทำไมมันจึงทำให้มีขึ้นมาไม่ค่อยจะได้ ความไม่ประมาท มันก็วนไปวนมาอยู่ที่นี่แหละ เพราะมันไปเห็นแต่ที่จะมองคนอื่นไม่มองตัวเอง มันก็เป็นความประมาทเสียเรื่อย แต่ถ้าว่าโดยที่จริงนั้น มันมีปัญหามาก เพราะว่าคำว่าความประมาทก็ดี คำว่าความไม่ประมาทก็ดีนี่ มันมีความหมายกว้างขวางนัก ถ้าเป็นเรื่องผิดแล้วมันเป็นประมาทไปทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องถูกแล้วเป็นเรื่องไม่ประมาทไปทั้งนั้น กี่เรื่องๆ ถ้าผิดไปรวมอยู่ที่ประมาท ถ้าถูกไปรวมอยู่ที่ไม่ประมาท ฉะนั้นเรื่องไหนแขนงไหนมันเป็นปัญหาด่วนหรือเป็นปัญหาอันตรายมาก ก็ไปจัดการก่อนก็แล้วกัน ผมคิดว่าการนึกถึงพระพุทธองค์อยู่เสมอนี่ จะช่วยได้มากที่สุด แล้วรองลงมาก็นึกถึงพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ว่าน่าดื่มเหมือนมัณฑะนี่ ก็จะช่วยได้มากเหมือนกัน ถ้าเราทำผิดไปจากนี้มันก็เป็นความประมาทเต็มตัวอยู่แล้ว
ทีนี้ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยนั้นมันมีละเอียดไปทุก เรียกว่าทุก,ทุกอะไรล่ะ ทุกขุมขน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี่ เผลอนิดเดียวมันก็เป็นความประมาท เป็นความประมาทอย่างยิ่งด้วย ฉะนั้นมันจึงต้องการความไม่ประมาทคือความไม่เผลอ คือความรู้ที่แจ่มเเจ้งชัดเจนอยู่ในใจ ความรู้อย่างถูกต้องที่แจ่มแจ้งชัดเจนอยู่ในใจนั่นแหละ อันนั้นอยู่เราก็ประมาทไม่ได้ ถ้ามืดมัวไปแล้วก็ มีอื่นเข้ามาแทนที่แล้วก็ คือความประมาท ฉะนั้นจึงว่ามีสติทุกอิริยาบถนั่นแหละ สติอยู่ในความถูกต้อง ต้องมีอยู่ทุกอิริยาบถ หรือว่าอย่างน้อยก็มีสติอยู่ในอะไรที่มันเป็นกลางๆ ที่ความประมาทเกิดขึ้นไม่ได้อย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าให้ดีมันก็ต้องมีความแจ่มแจ้งของสติปัญญาความรู้ที่ถูกต้องหรือพระธรรมนั่นแหละอยู่แจ่มแจ้งอยู่ มีธรรมะแจ่มแจ้งอยู่ในสติในปัญญานั้น ก็เรียกว่าไม่ประมาท พอเราไปสนใจอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่มันมาเกี่ยวข้องกันนั้น มันก็เป็นช่องทางของความประมาท บุคคลสังคมนี้ร้ายกาจที่สุดแหละ ผมจึงยอมให้เขา อะไร เขาจะด่าจะว่าจะประณามอะไรก็ตามใจ ผมชักจะถอยหลังจากสังคม นี่ผมไม่ได้ไปไหนมาไหนตั้ง ๔ ปี ๕ ปีแล้ว อยู่แต่วัด มันรบกวนแต่ในทางที่จะให้เฉออกไปหาความประมาททั้งนั้น ขี้เกียจระวัง คือว่ามันชักจะยอมแพ้แล้ว คืออายุมันมากเข้ามันชักจะยอมแพ้ ไม่อยากจะไปตะลุมบอนกับเรื่องเหล่านั้น ก็ยังเหลือของต่างๆ ที่ว่าแม้ไม่ใช่สังคมนี่ เรื่องการงานเรื่องอะไรต่างๆ เรื่องคนข้างเคียงใกล้ๆ นี้ก็เหมือนกัน เผลอนิดเดียวมันก็เป็นที่ตั้งของความประมาท ที่จะทำนั่นทำนี่ สร้างนั่นสร้างนี่ด้วยแล้วก็ระวังเถิด เผลอนิดเดียวก็เป็นความประมาท เท่านี้ก็เรียกว่าเต็มที่แล้ว เป็นบทเรียนที่หนักเต็มที่แล้ว เราอยู่อย่างสงบคนเดียวนั้นได้เปรียบมาก มันยากที่จะมีอะไรที่มายั่วให้ประมาทหรือว่ายุ่งยากลำบาก แต่เดี๋ยวนี้มันอยู่ไม่ได้ มันยังอยากจะทำอะไรบ้างเหมือนกันที่เป็นเรื่องเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น โดยเฉพาะการเผยแผ่นี้ ก็เรียกว่าสืบอายุพระศาสนาแง่หนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่แล้วก็อย่าลืมว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ประมาท จะสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอะไรก็ตาม เผลอนิดเดียวเป็นเรื่องร้ายไปทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอย่างนั้น แม้แต่เรื่องขึ้นธรรมาสน์เทศน์นี้ก็เหมือนกัน เผลอนิดเดียวก็แย่แล้ว ก็ประมาทแล้ว ก็เกิดกิเลสแล้ว รวมความว่าเผลอก็ไม่ได้ อยู่คนเดียวนั่งนอนอยู่คนเดียวก็ยังเผลอไม่ได้ มันก็จะเกิดความประมาทนั่นแหละ ฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงที่ไปอยู่ท่ามกลางความแวดล้อมของอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายยั่วยวน
นี่คิดดูสิ ว่าเรานั่งอย่างนี้ มานั่งกันอยู่ที่นี่อย่างนี้ มันได้เปรียบกว่าที่จะไปอยู่ในท่ามกลางความยั่วยวน นี้เป็นเครื่องพิสูจน์ชัดอยู่แล้ว ฝากเนื้อฝากตัวไว้กับธรรมชาติ ผมคิดว่าอย่างนั้น ธรรมชาติแท้ๆน่ะ อยากจะเป็นพระตามธรรมชาติ ไม่อยากเป็นพระวิทยาศาสตร์ ฟังถูกหรือไม่ถูก อย่าเพิ่งว่าผมด่า เป็นพระวิทยาศาสตร์นั้นคือเป็นวิทยาศาสตร์ก็แล้วกัน เป็นพระธรรมชาติก็อยู่เป็นบ้าๆ บอๆ อยู่กับธรรมชาตินี้ โง่ๆ ง่ายๆ อยู่กับพื้นดินตามธรรมชาตินี้ เป็นพระวิทยาศาสตร์ก็ไปอยู่อย่างพระวิทยาศาสตร์ไม่ต้องพูดมากแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นคำพูดที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด ไม่ต้องอธิบาย มันเหลืออยู่ก็เพียงว่าไปเลือกเอาสิ เราจะเป็นพระวิทยาศาสตร์หรือจะเป็นพระธรรมชาติ บรรดา พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายนี้ จะเป็นพระวิทยาศาสตร์หรือจะเป็นพระธรรมชาติ ง่ายนิดเดียวที่จะตัดสินตัวเอง ถ้าเป็นพระวิทยาศาสตร์ ผมคิดว่ายากมากที่จะทำให้พรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ มันจะน่าดื่มเหมือนอะไรอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่น่าดื่มเหมือนมัณฑะแล้ว คือว่าของที่ไม่น่าดื่ม แต่ถ้าว่าสัตว์บางชนิดมันก็ชอบดื่มชอบกิน นั่นแหละถ้าไปเกิดเป็นสัตว์ชนิดนั้นเข้า มีอยู่สูตรหนึ่งกระทบจิตใจมาก กล่าวถึงสัตว์ชนิดหนึ่งชื่อกังสรกะ กังสรกะจะเป็นสัตว์สี่ขาคล้ายกับแย้หรือตะกวดอะไรทำนองนั้นมากกว่า เขากินอุจจาระคูถเป็นอาหาร ทีนี้กังสรกะตัวนั้นมันตะโกนว่าคูถของเราก็กินอิ่มจนท้องป่องแล้ว แล้วคูถกองใหญ่นี้ก็ยังอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา คือมันขึ้นไปกกกอดกองคูถไว้ ชะเง้อหัวว่าในท้องก็เต็มไปแล้ว กองนี้ก็ยังกองใหญ่อยู่ นี่ตัวกังสรกะ พระพุทธเจ้าตรัสอุปมาอย่างนี้แล้วก็ตรัสอุปมัยว่า เหมือนกับภิกษุบางรูป ลาภสักการะเต็มอยู่แล้วในที่อยู่ที่อาศัยนั่นน่ะ แล้วก็ยังมีคน มีอุปัฏฐาก มีคนที่คอยพร้อมที่จะคอยให้ลาภสักการะอยู่รอบด้านนั่น ภิกษุรูปนี้ก็พูดขึ้นว่าเรามีบุญมาก มีวาสนามาก มีสักการะอยู่ที่นี่ มีสักการะอยู่ทุกหนทุกแห่ง ภิกษุอื่นมีบุญน้อยมีลาภน้อยมีสักการะน้อยนั่น เขาดูถูกภิกษุอื่นที่ไม่มีลาภสักการะอะไรเหมือนตัวกังสรกะ นั่นแหละคิดดูเถิดว่าประมาทมากหรือประมาทน้อย ถ้าถึงขนาดนี้มันประมาทมากหรือประมาทน้อย แล้วก็เป็นพระวิทยาศาสตร์หรือพระธรรมชาติ ในลักษณะอย่างนั้นเรียกว่าพระธรรมชาติหรือพระวิทยาศาสตร์ นี่ผมพูดเผื่อนะ ไม่ใช่ว่าอะไรมาก พูดเผื่อว่าถ้าบางองค์ยังไม่เคยคิดหรือยังไม่เคยฟัง ก็จะได้ฟังแล้วก็จะได้คิด แล้วก็คงจะคิดไปทางที่จะต่อต้าน ไม่ให้เป็นการเสียหายแก่สถาบันของพระพุทธเจ้าคือพรหมจรรย์ที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะ พระพุทธองค์ตรัสว่าจงไปประกาศพรหมจรรย์นี่ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสถ ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ ให้งามในเบื้องต้น ให้งามในท่ามกลาง ให้งามในเบื้องปลายนี่ นี้มันน่าดื่มเหมือนมัณฑะ มันถึงพร้อมด้วยอรรถะและพยัญชนะ คือมันกระจ่างดีทั้งโดยคำพูดและโดยความหมาย แล้วมันสมบูรณ์ บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ครบถ้วน ถูกต้องและครบถ้วน ถูกต้องถ้าไม่ครบถ้วนใช้ไม่ได้ ถ้าไม่ถูกต้องจะไม่มีการครบถ้วนได้ เพราะว่ามันไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทีนี้มันเหลือแต่ความงาม หรือความน่าดื่ม มันก็น่าดื่มทั้งเบื้องต้น น่าดื่มทั้งตรงกลาง น่าดื่มทั้งตรงปลาย ถ้าจะเอามาใช้กันกับศีล สมาธิ ปัญญา มันก็นั่นแหละ เรื่องวิปัสสนานี้แหละจะเป็นเรื่องที่ทำให้มีลักษณะชวนดื่มที่สุด ให้เกิดธรรมปีติ ให้เกิดรสที่สูงสุดของธรรมะ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตรงตามพระพุทธประสงค์
เมื่อตะกี้ผมไม่ทันพูด นี่นึกได้ก็อยากจะพูด ที่ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าพรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ แล้วพระศาสดาก็อยู่ที่นี่แล้ว นี้ขอให้ถือว่าครั้งกระโน้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับภิกษุเหล่านั้นมันก็จริงสิ มันเป็นความหมายที่ธรรมดาสามัญที่สุดที่ว่าพระศาสดาก็อยู่ที่นี่แล้วเพราะว่าท่านนั่งอยู่ตรงนั้น ทีนี้พอมาถึงเดี๋ยวนี้เราจะเอาพระศาสดาชนิดไหนที่จะมานั่งอยู่ที่ตรงนั้น นี้ต้องหันไปหาหลักที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราแหละ ที่เราก็สวดกันอยู่ทุกคราวแล้วว่าผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานนานดีแล้วแต่ยังทรงอยู่โดยพระคุณนั่น หรือว่าเมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะปรินิพพาน ท่านก็ตรัสว่าธรรมวินัยที่ได้บัญญัติแล้วแสดงแล้วนี้จักอยู่เป็นศาสดาของพวกเธอหลังจากที่ตถาคตล่วงลับไปแล้วโดยร่างกายนี่ โดยร่างกายก็ล่วงลับไปแล้ว แต่โดยเนื้อแท้โดยพระคุณนั้นยังอยู่ นี้ก็ให้ถือว่าพระศาสดาก็อยู่ที่นี่คือธรรมวินัยยังอยู่ที่นี่ หรือว่าธรรมะนั้นเห็นที่ไหนก็ได้ เห็นที่ไหนก็คือเห็นพระพุทธเจ้าที่นั่น ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต และยังมีชัดอยู่อีกบทหนึ่งว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาทผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ควบกันทั้งอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปปาโทก็มี เพราะเห็นปฏิจจสมุปบาทก็คือเห็นอิทัปปัจจยตา ก็เป็นอันว่าคำพูดที่ว่าพระศาสดาก็อยู่ที่นี่แล้วนี่ ยังอยู่ ยังใช้ได้ ยังมีความหมาย คือธรรมหรือธรรมวินัยที่เห็นได้ด้วยเรานี้ นี่เป็นพระศาสดาที่ยังอยู่ที่นี่ เราไปที่ไหนอยู่ที่นั่น ทีนี้พรหมจรรย์นี้ก็น่าดื่มเหมือนมัณฑะอยู่แล้ว พระศาสดาก็อยู่ที่นี่ ฉะนั้นไม่มีข้อแก้ตัว มันจะต้องทำไปในลักษณะที่ถูกต้องให้สำเร็จประโยชน์ทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นทั้งสองฝ่าย และมีความน่าดื่มทั้งแก่ตัวผู้ปฏิบัติและแก่ผู้ที่ได้พบเห็นการปฏิบัติ
เอาล่ะ,เป็นอันว่า ผมหมายความว่าเราจะต้องเตรียมการกระทำของเรานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญภาวนานี้จะต้องแยกแยะดู จะต้องเช็คดู ทดสอบดูอะไรดูว่ามันมีความถูกต้อง แล้วมันมีผลจริง ทำให้ผู้อื่นมองเห็นได้จริง พิสูจน์อยู่ในตัวมันเองว่ามันไม่มีทางผิด ทำอย่างนี้แล้วต้องได้พบกันกับรสของพระธรรมแน่ แต่อย่าไปบังคับเขาด้วยปากด้วยวาจาด้วยอะไรนั่นนี่ มันเป็นไปไม่ได้ มันหลอกกันได้เดี๋ยวเดียวถ้ามันไม่จริง แต่ถ้ามันจริงมันก็ไม่ต้องบอกเขาไม่ต้องขอร้องเขา เขาจะมองเห็นเอง เขาจะเข้าใจได้ในที่สุด จะได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เรานี้เหมือนกับตัวละครโลดเต้นไปเลย เขาก็เหมือนกับผู้สนับสนุนหรือเป็นผู้ให้ความอุปถัมภ์ในการที่จะสืบอายุพระศาสนาหรือพรหมจรรย์ที่น่าดื่มเหมือนมัณฑะเอาไว้ในโลกนี้ อย่าคิดว่าประเทศไทยกันเลยเดี๋ยวมันจะวกมาหาพวกกูหรือตัวกูไม่ทันรู้ พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสว่าประเทศนั้นประเทศนี้ ประเทศสักกะหรือประเทศมคธ ท่านว่าโลกทั้งปวงแหละ ทั้งเทวดาและมนุษย์แหละ ฉะนั้นเราก็ควรจะมีปณิธานอย่างนั้น สิ่งที่ทำอยู่ปฏิบัติอยู่เผยแผ่อยู่อะไรอยู่นี้ต้องเพื่อโลกทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์แหละ มันป้องกันได้ ไม่ให้เห็นแก่ตัวกูหรือพวกกูได้ ถ้าเพื่อประเทศไทยเดี๋ยวมันแคบเข้ามา เพื่อบ้านของตัวแล้วเดี๋ยวก็เพื่อพวกพ้องของตัวเพื่อตัวขึ้นมา ถึงแม้ว่าเราทำอยู่ที่นี่ เราก็มีจิตใจกว้างว่าเพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งโลก โดยถือหลักว่าถ้าศาสนาที่แท้มันมีอยู่ในโลก โลกทั้งโลกได้รับประโยชน์ทั่วกันทั้งโลก แล้วยังแถมโลกอื่นด้วย คือเทวโลก มารโลก พรหมโลกด้วย ลองไม่มีการปฏิบัติธรรมแล้ว มันก็ไม่มีเทวโลก มารโลกอะไรเหลืออยู่ได้ คือเรื่องบุญกุศลมันไม่มี มันก็ไม่มีเทวโลก มารโลก พรหมโลกไปได้
ที่แท้ตัวพรหมจรรย์นี้มันก็มุ่งหมายจะพ้นโลก หรือจะเป็นอันตรายแก่โลกด้วยซ้ำไป มันเคราะห์ดีที่ว่าคนส่วนมากมันไม่รับเอา ไม่รับเอาพรหมจรรย์ถึงที่สุดที่ว่าจะทำลายเสียซึ่งกิเลส เขาต้องการเอาแต่เพียงทำบุญนั่น คนส่วนมากต้องการจะรับเอาแต่เพียงทำบุญเท่านั้นแหละ พรหมจรรย์แท้ๆ ไม่ต้องการ มันมีน้อย ส่วนใหญ่ชาวโลกเขาต้องการแต่บุญ นั่นแหละมันเป็นเหตุให้สวรรค์ไม่ร้าง ถ้าลองมารับเอาพรหมจรรย์นี้กันหมด สวรรค์ก็ร้างแหละ ไม่มีใครไปสวรรค์ซึ่งมันมีแต่บุญ ทีนี้พรหมจรรย์นี้มันเป็นไปเพื่อดับกิเลส ดับภพ ดับชาติ ดับวัฏฏสงสาร มันก็เลย,มันเหลืออยู่ โลกสวรรค์โลกเทวดามันยังเหลืออยู่เรื่อย แล้วก็อยู่ในสภาพที่น่าสงสารอยู่เรื่อยแหละ เราก็สงสารเขาสิ ทำอะไรก็ทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์อยู่เรื่อยไป แม้ว่าคนเหล่านั้นเขายังไม่สมัครจะขึ้นมาหาความพ้นโลก มันก็ได้ เขายังอยู่ที่นั่น น่าสงสาร ทีนี้เราก็ทำให้เป็นประโยชน์แก่เขาในลักษณะที่ว่าสักวันหนึ่งเขาก็อยากจะมา เดี๋ยวนี้เขาไม่อยากจะมา เขาอยากจะคลุกคลีกันอยู่กับบุญ กับกามาวจรกุศลหรืออะไรเหล่านั้นไป แต่ถ้าเราประกาศพรหมจรรย์ให้ถูกต้องตามแบบนี้ มณฺฑเปยฺยมิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ นี้ แสดงความที่อันนี้มันน่าดื่มเหมือนมัณฑะให้ดูอยู่เรื่อย ไม่เท่าไหร่คนที่เขาหลงอยู่แต่ในกามาวจรกุศล ก็จะค่อยๆ หันไปชอบโลกุตตรกุศล หรือว่าเหนือกุศลขึ้นไปเลย
ผมคิดว่าวันนี้เราก็พูดกันแต่หัวข้อนี้พอแล้ว ว่าพรหมจรรย์นี้น่าดื่มเหมือนมัณฑะ ทั้งพระศาสดาก็อยู่ที่นี้แล้ว ท่านทั้งหลายก็จงปรารภความเพียรเถิด นี่พระพุทธภาษิตว่าอย่างนี้ ผมชอบที่สุด ผมจึงเอามาพูดให้ฟัง คำตรัสของพระพุทธเจ้าข้อนี้ผมชอบที่สุด ผมจึงเอามาเล่าให้ฟัง ที่นี่ก็ใช้สวดกันอยู่เสมอเวลาเทศน์จบ มณฺฑเปยฺยมิทํ ภิกฺขเว พฺรหฺมจริยํ จำไว้ด้วย เอาล่ะ,พอกันที