แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
.......เอ่อ ได้นามว่า สัพพะโลกะ ติกิจฉะโก เป็นผู้รักษาเยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง เป็นหมอที่รักษาโรคไม่ใช่หมอเล่นกล หมอความ เดี๋ยวนี้ไปใช้คำว่าเวชโช เวชชะนี่มันแปลว่า หมอ แต่มันเป็นหมอเล่นกลก็ได้ หมอความก็ได้ หมอคดโกงก็ได้ แต่ถ้าใช้คำว่าเตกิจฉา หรือติกิจฉาแล้ว ไม่ดิ้นได้อย่างนั้น เป็นแต่หมอรักษาโรคให้หายอย่างเดียว นี่ช่วยจำกันไว้ด้วยว่าไอ้เวชโช เวชชะที่แปลว่าหมอนั้น อันธพาลก็ได้ คือเล่นไม่ซื่อก็ได้ มีความมุ่งหมายไปในทางหลอกหลวงก็ได้ แต่คำว่า เตกิจโฉ หรือเตกิจฉโกนี่เป็นหมอบริสุทธิ์ คือพระพุทธเจ้าหรืออย่างพระพุทธเจ้า มุ่งรักษาโรคภัยไข้เจ็บจริงๆ ไม่ใช่หมอถ้อย หมอความ หมองู หมอเวทมนตร์คาถาอะไรต่างๆ นี่เป็นประเด็นอันหนึ่งที่ควรจะนึกถึงว่าโลกกำลังเป็นอย่างนี้ กำลังเป็นโรคกันทั้งโลกแล้วก็ไม่สนใจกับยา จะล้อใครดี ไปล้อคนอื่นมันไม่ปลอดภัยเลยล้อตัวเองดีกว่า สำหรับอาตมานี้เคยตะโกนอย่างนี้แล้วไม่มีใครฟัง เดี๋ยวนี้ก็มีคนชักจะฟัง เพราะเขาไปได้ความจริงมาจากทางอื่นไม่ใช่ได้จากอาตมา ก็เลยต้องเอามาล้อตัวเอง นี่ขอให้ท่านทั้งหลายกำลังมองดูโลกในปัจจุบันนี้ว่าเป็นโรคทางวิญญาณหนักขึ้น หนักขึ้น แล้วก็ไม่สนใจกับยาของพระพุทธเจ้า ไม่สนใจกับความเป็นแพทย์ของพระพุทธเจ้า นี่ก็คือเรื่องหนึ่ง
ทีนี้เรื่องถัดไปมันก็เป็นเรื่องโรคอีกเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นโรคที่ไม่เห็นว่าเป็นโรค นี้คือประโยชน์ที่น่าเศร้าของสิ่งที่เรียกว่าสงคราม โลกเจริญมาก สงครามมันก็ใหญ่มากขึ้น การฆ่ากันตายในสงครามมันก็มีปริมาณมากขึ้น นี่เราขอบใจสงคราม ว่าช่วยควบคุมปริมาณของคนโลกให้อยู่ในสภาพที่พอเป็นไปได้ ถ้าสงครามไม่มาช่วยควบคุมแล้ว มันจะล้นโลกเต็มโลกยิ่งกว่านี้ ปัญหาคุมกำเนิดจะมากกว่านี้ ปัญหาข้าวไม่พอกินอะไรทำนองนี้ มันจะมากกว่านี้ นี่สงครามกลับเป็นประโยชน์ กลับน่าปรารถนาที่ว่า จะมาช่วยควบคุมปริมาณคนในโลกให้พอเหมาะกับโลก เขามองดูสงครามในลักษณะที่น่าเกลียดน่าชังไปเสียทั้งนั้น แต่อาตมาอยากจะให้มองในแง่ที่มันเป็นความดีก็ยังมี เพราะมันจะช่วยควบคุมปริมาณคนในโลกให้พอดี แต่ว่าอานิสงส์อย่างนี้เล็กน้อย อานิสงส์ที่มากกว่านั้นก็คือว่าไอ้สงครามนี้ จะช่วยสอนธรรมะ ให้เห็นโทษของกิเลสของคนในโลก ให้เห็นโทษของวัตถุนิยม ให้เห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาของสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก นี่หนทางอันหนึ่งที่เราจะต้องใช้ในการต้อนรับสงคราม ในเมื่อสงครามมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็อย่าวิ่งหนีไปไหนเลย ต้อนรับสงครามกันด้วยลักษณะอย่างนี้ มนุษย์สมัยนี้มันเก่งในทางวิชาแพทย์ วิชาอนามัย คนมันก็ไม่ตาย เกิดมาเท่าไหร่มันแทบจะไม่ตาย เมื่อสักยี่สิบปีก่อนได้ยินกันว่าคน เด็กๆ เกิดมารอดชีวิตสักสามเปอร์เซนต์ เอ้ย,สักสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น เดี๋ยวนี้เด็กๆ เกิดมาจะรอดชีวิตอยู่ได้ตั้งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นคนมันก็มีมากเร็วขึ้นในโลก ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาช่วยควบคุมปริมาณของคนในโลก ถ้าเป็นสมัยโบราณ ดึกดำบรรพ์ สมัยป่าเถื่อน สมัยหินนั่นน่ะมันไม่ก้าวหน้าในทางนี้ มันก็เกิดน้อย หรือตายมาก มันก็ควบคุมกันอยู่ในตัว ไม่ล้นโลก ไม่ต้องมีวิชาคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้ไอ้ความก้าวหน้าทางแพทย์ ทางอนามัยมันมีมาก จนมันตายน้อยมันรอดมาก มันก็เดือดร้อนถึงเรื่องต้องคุมกำเนิด นี่มันเป็นเรื่องน่าหัวของความเจริญ ความก้าวหน้าในทางวัตถุ เดี๋ยวนี้เขามีสงครามเพื่อจะแย่งกันเป็นเจ้าโลก ฉะนั้นคงจะช่วยควบคุมปริมาณคนในโลกได้ดี นี่เอามาสงสารตัวเองว่าเกิดมาในยุคอย่างนี้มันเป็นบุญหรือเป็นบาป เราทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ในเวลาที่มันกำลังเป็นอย่างนี้เรียกว่าเราเป็นคนมีบุญหรือคนมีบาป อาตมารู้สึกว่ามันเป็นทำนองคนมีบาปหรือถูกสาป เพราะฉะนั้นเอามาสังเวชตัวเอง มาล้อตัวเอง
ฉะนั้นจะแก้กันได้อย่างไร ก็ต้องธรรมะนั่นแหละ ธรรมะอีกนั่นแหละ ที่จะมาช่วยทำอะไรให้มันถูกต้องให้มันพอดี ควบคุมกำเนิดโดยธรรมะนั่นปลอดภัย ไม่เสื่อมเสียทางศีลธรรม และเอาธรรมะมาเป็นเครื่องป้องกันสงครามนั้น มันมีหวังที่จะเป็นไปได้ เดี๋ยวนี้เขาจะเอาอำนาจ อาวุธ อำนาจอะไรเหล่านี้มาป้องกันสงคราม มันทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องเขลายิ่งกว่าเขลา ที่จะทำให้โลกมีสันติภาพด้วยอำนาจหรือด้วยอาวุธ คนเหล่านี้เขาดูถูกพระเจ้า ดูถูกพระศาสดา ดูถูกธรรมะของทุกๆ ศาสนา นี่มันหลับหูหลับตาก้าวหน้าในทางวัตถุแล้วมันเป็นอย่างนี้ ก็เลยต้องดันทุรังไปตายเอาดาบหน้า ว่าเจ้าอาวุธนี้จัดโลกนี้ให้มีสันติภาพ เรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น อย่าไปเชื่อเลย เอามาล้อเราว่าช่างเคราะห์ร้าย ที่เกิดมาในยุคที่มันยุ่งยาก แต่ทีนี้อยากจะแนะเหนือเมฆขึ้นไปอีกว่า อย่าไปเห็นเป็นเคราะห์ร้าย ไปเห็นเป็นเคราะห์ดีเสียก็ได้ คือว่าจะได้ฉลาดเร็วๆ เห็นความทุกข์ ความยาก เห็นความลำบากนี่มันทำให้ฉลาดกว่าที่จะเห็นอะไรๆ มันเป็นไปในทางราบรื่นเสียหมด ตรงนี้ขอแทรกคำ ประโยค คำพูดประโยคหนึ่ง ที่จะต้องพูดกันทุกปีว่า ไอ้สิ่งต่างๆ นั้นถ้าดูให้ดีแล้ว มีแต่ดีทั้งนั้น จะมีประโยชน์ทั้งนั้น แม้แต่ความตายก็มีประโยชน์ ความเจ็บความไข้ก็มีประโยชน์ สงครามก็มีประโยชน์ ขอให้ดูให้ดี ถ้าดูให้ดี ดูเป็นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เกิด นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ นิพพานทั้งนั้น แล้วเราไม่มีทางที่จะเสีย จะเสียเงิน เสียลูก เสียเมีย เสียทรัพย์สมบัติ เสียเกียรติยศ เสียอะไรก็ตาม กระทั่งเสียชีวิต ถ้าดูให้ดีแล้วจะมีประโชน์ทั้งนั้น ไม่มีทางขาดทุน ขอให้ใช้เคล็ดลับอันนี้กันบ้าง คือธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่าให้คงที่ ให้ปกติ อย่ายินดียินร้าย และพิจารณาสิ่งเหล่านั้นให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ผลที่ได้มาก็คือนิพพาน จากอะไรก็ตามถ้าเราดูเป็นแล้วเป็นความฉลาดแล้วเป็นไปเพื่อนิพพาน นี่ต้องช่วยจำไว้ด้วยในฐานะเป็นความรู้ทั่วไป
ทีนี้ก็ดูกันต่อไปถึงเรื่อง หรือภาวะในโลกนี้ที่ว่าเราสังเกตดูแล้ว หรือว่าจะดูจาก ไอ้ที่ดูกันง่ายๆ ก็คือหน้าหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์ชั้นดี โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ฝรั่ง แล้วไปดูในหน้า โซเชียล ก็จะเห็นแต่เรื่องราว ชนิดที่เขาเรียกกันว่าเหมือนกับสวรรค์ เหมือนกับการอยู่ในสวรรค์ มีกิน มีเลี้ยง มีเล่น มีอะไรสารพัดอย่าง ในหน้าโซเชียลนั้นของนักธุรกิจ ของนักการเมือง ของนักการทหาร เวลาที่เขากิน เขาเล่น เขาเลี้ยงต้อนรับ เขาเลี้ยงอะไรอย่างนี้ เหมือนกับพวกเทวดา ก็แปลว่ามันมีสวรรค์ชนิดหนึ่งแบบกามาวจรนั้นแหละ อยู่ในโลกนี้ ในสายตาของคนโง่ๆ มองดูตัวเองหรือว่ามองดูผู้อื่นว่ามันช่างน่าดู สวยสดงดงาม แต่ถ้าเรามองดูเข้าไปในจิตใจของคนเหล่านั้นแล้ว มันเป็นเทวดาแห่งความโง่ เทวดาแห่งความคดโกง ในสมัยปัจจุบันนี้พวกที่เขาประสบความสำเร็จ มีเงินมาก สนุกสนานได้สบาย เขาจะทำอะไรสักนิดหนึ่ง เขาก็ต้องหาความสนุกสนานเพลิดเพลินมาก เขาไปธุระนิดหนึ่ง เขาจะต้องไปด้วยเรือบินชั้นหนึ่ง เขาได้รับการต้อนรับอย่างรับเทวดา ไปที่ไหนที่เมืองไหนประเทศไหน ธุระของเขานิดเดียว แล้วธุระนั้นก็เป็นไปเพื่อทำโลกให้ยุ่ง ช่วยดูให้ดี ในโลกมันกำลังเป็นอย่างนี้ ไอ้นักธุระต่างๆ ในโลกนี้เป็นธุระที่ทำโลกให้ยุ่ง ไม่จำเป็นต้องทำ ถ้าอยู่กันอย่างสมัยโบราณแล้วก็มีสันติภาพมากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันไปนิยมไอ้อย่างนั้น ว่าเป็นผู้มีประโยชน์แก่โลก ทำโลกให้มีสันติภาพ แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องทำโลกให้ยุ่ง ธุระของเขานิดเดียว แล้วก็ยังเป็นเรื่องทำโลกให้ยุ่ง แล้วเขาเรียกร้องเอามาก การกิน การอยู่ การเดินทาง การอะไร เป็นเหมือนกับของพวกเทวดา แต่มันเป็นเทวดาแห่งความโง่ เทวดาแห่งความคดโกง ทำโลกให้ยุ่งมากขึ้น นี่ไปดูเหอะ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ในหน้าโซเชียล เห็นได้ง่าย อาตมาก็ดูอยู่บ่อยๆ แล้วมันนึก มันรู้สึกอย่างนี้ หนังสือพิมพ์ก็ไม่ได้มีสตางค์รับมาอ่าน แต่คนที่เขาสงสารเขาส่งมาให้อ่าน จึงได้รู้เรื่องนี้ ฉะนั้นขอให้ไปดูกันบ้างว่า โลกนี้มันกำลังเป็นโลกของใคร เป็นโลกของพวกที่ทำโลกให้ยุ่ง และเขาก็เป็นอยู่อย่างเทวดาแห่งความโง่และความคดโกง โลกนี้จะไปทางไหน จะหันไปทางไหน เขาเรียกกันไพเราะว่าการสังสรรค์ มันก็ของพวกเทวดาในเมืองมนุษย์ เทวดาที่อยู่ในเมืองมนุษย์ มีการสังสรรค์กันอย่างนี้ เพื่อธุระการงานนิดเดียว เป็นธุระการงานที่ทำโลกให้ยุ่งไปกว่าเดิม น่าเศร้า น่าสังเวช ตัวเองน่ากินยาตายเสียเอง คือโลกมันมีสภาพอย่างนี้ เสร็จแล้วยังมองเห็นได้ว่าที่พูดนี้มันยังเป็นเพียงส่วนน้อยของส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่มันยังมีมากกว่านี้ ที่เรามองเห็น ที่เรารู้นี้มันสักหนึ่งส่วนในแสนส่วนกระมัง ฉะนั้นโลกนี้มันน่าทุเรศ น่าขยะแขยงมาก มันเป็นการสรวลเสเฮฮากันในบ้านในวิมานของพวกเทวดา แต่ว่าเพื่อให้เกิดความยุ่งยากขึ้นในโลก ให้เกิดการฆ่ากันอย่างเลือดเย็นในโลกคราวละแสนละล้าน นี่มันมีอาการอย่างนี้อยู่หลังฉาก ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ทำโลกนี้ให้มีแต่วิกฤตการณ์อันถาวรไม่มีสิ้นสุด นี่พวกเทวดา พวกนั้นมีอำนาจมากจึงมีเงินมาก แล้วจึงมีโอกาสที่จะเป็นอยู่อย่างเทวดาได้มาก แล้วก็เป็นเทวดาที่ทำโลกให้มีวิกฤตการณ์ถาวร ทีนี้ในส่วนบุคคลเหล่านั้นเขายังมีเรื่องส่วนตัว ส่วนที่เป็นของหน้าที่ของประเทศนั้นเขาก็มี หรูหรา แต่ส่วนตัวก็มีอยู่หลังฉากคือประโยชน์ส่วนตัว เบื้องหลังของงานนั้นๆ มันมีเรื่องส่วนตัว ทีนี้คนเหล่านั้นก็ทำไปด้วยโมหาคติบ้าง ด้วยฉันทาคติบ้าง โทสาคติบ้าง ภยาคติบ้าง ไม่ได้ทำด้วยสัมมาทิฏฐิหรือสติปัญญาเลย โลกเราจึงอยู่ในสภาพที่น่าสงสาร สิ่งใดที่เขาจัดไว้ว่าดี ว่ามีโชค ว่ามีเกียรตินั่นแหละ กลับเป็นสิ่งที่มองดูแล้วพุทธบริษัททนไม่ไหว ทีนี้พอทนไม่ไหวก็ไปทำผิด คือสละความเป็นพุทธบริษัท กระโดดออกไปเอากับเขาด้วย นี่มันยิ่งน่าเศร้ามากขึ้นอีก นี่ก็ขอเตือนไว้ว่า ช่วยนึกถึงพระพุทธเจ้ากันบ้าง นึกถึงธรรมะกันบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว พุทธบริษัทจะแหกคอกออกไปเป็นอันธพาลในโลกนี้มากขึ้นทุกวันๆ ทีนี้มันไปเรียนเมืองนอกเมืองนามา ไปติดวัตถุนิยมมา พ่อแม่ก็ส่งเสริม มันก็เลยกระโดดออกไปเป็นพวกนั้น ยิ่งชั้นลูกชั้นหลานชั้นเหลนก็ยิ่งเป็นมากขึ้น นี่โลกของพุทธบริษัทจะร้าง ฉะนั้นถ้าใครสงสารหรือว่าเป็นห่วง ก็ช่วยกันในข้อนี้หน่อย อย่าให้ถึงกับร้างเสียเลย
เขาพูดกันว่าพุทธศาสนากำลังเจริญรุ่งเรืองในโลก แผ่ไปทั่วโลกมากขึ้น นี่มันก็จริงอย่างโกหก คือว่ามันมองกันในทางวัตถุ มันก็จริง แต่ถ้ามองกันในทางจิตใจแล้ว มันไม่จริงมันโกหก ที่ว่าพุทธศาสนากำลังเจริญนี่ ถ้ามองกันในแง่วัตถุก็จริง มันมีอะไรเกิดขึ้นมาก มีการศึกษาเล่าเรียนมาก เป็นเรื่องวัตถุไป แต่พอมองจิตใจแล้วไม่ไหว มันไม่มีความเป็นพุทธบริษัทด้วยซ้ำไป จึงเรียกว่ามันโกหกในทางธรรม ในทางนามธรรม มันจริงแต่ในทางวัตถุ ฉะนั้นขอให้อย่าไปตกหลุมพรางกับเขา อย่าไปเข้าใจผิดตามๆ กันไปกับเขา เราควรจะรักตัว รักเกียรติของตัว เพื่อความเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นเรื่องเหมาะแล้ว ที่จะมาพูดกันในวันวิสาขบูชา เพราะว่าเห็นแก่พระพุทธเจ้า ท่านทรงหวังไว้มากเหลือเกินว่าสัตว์โลกทั้งหลายจะรอด จะรอดจากอันตราย จากความทุกข์นี่ เดี๋ยวนี้มันมองดูแล้ว มันไม่เป็นไปในลักษณะอย่างนั้น มันจะเป็นไปในทางจม ไม่รอด ถ้าขืนอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ก็น่าอันตรายเหลือเกินว่า ในเวลาอันสั้นนี้ มันจะละลาย มันจะสูญหายก็ได้ เว้นไว้เสียแต่ว่าพวกเรานี่แหละรู้สึกตัวทันท่วงที แล้วก็ช่วยกันขยับขยายแก้ไข ให้มันเลี้ยวมาเสียใหม่ให้มันถูกทาง อาตมาเรียกว่า ควรจะถอยหลังเข้าคลองให้ถูกคลอง เดี๋ยวนี้มันถอยหลังไม่เข้าคลอง มันถอยหลังผิดคลอง มันก็ยิ่งร้ายไปกว่าเดิม ที่พูดว่าถอยหลังนี่ คือมันไกลจากความสงบสุข การถอยหลัง มันถอยหลังถอยอย่างผิดคลอง มันก็ไม่เข้าไปในคลองของการที่จะมีความสงบสุขแต่เดิม ทั้งโลกมันกำลังถอยหลังผิดคลองอยู่ทั้งนั้น ไม่ใช่ก้าวหน้า พูดว่าก้าวหน้านั้น มันก้าวหน้าแต่ทางวัตถุ มันจริงแต่ทางวัตถุแล้วมันเท็จในทางจิตใจ มันไม่ได้ก้าวหน้า มันไม่ได้เจริญ นี่เอ่อ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญสำหรับพุทธบริษัท จะทำอะไรๆ เพื่อบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ก็อยากจะพูดว่า การช่วยกันทำให้ธรรมะของพระองค์เป็นประโยชน์แก่โลก นั่นแหละเป็นพระพุทธประสงค์
เอ้า,ทีนี้เราก็มาดูกันต่อไป ถึงอุปสรรคในการแก้ไข มันจะต้องดูย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ถึงข้อที่ว่าเดี๋ยวนี้กำลังตกเป็นเหยื่อของวัตถุนิยม บูชาวัตถุนิยมเป็นพระเจ้า บูชาความสุข ความสนุก เอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเป็นพระเจ้า จนถอนตัวไม่ขึ้น จนยอมรับเอาไอ้สิ่งนั้นเป็นพระเจ้า คิดดูซิ รับเอากิเลสมาเป็นพระเจ้า มันก็เกิดความคิดที่ผิด การกระทำที่ผิด เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น ฉะนั้นทุกๆอย่างมันเลยกลายเป็นความหลอกลวง จิตใจมันต้องการประโยชน์ทางวัตถุทางเนื้อหนัง แต่ปากมันพูดว่าสร้างความสงบสุข มันเป็นเรื่องการหลอกลวงไปหมด นับตั้งแต่การศึกษาในโลกเวลานี้ก็เป็นการหลอกลวง การศึกษาของโลกปัจจุบันนี้ ที่ว่าก้าวหน้านั้นแหละก้าวหน้าไปในทางหลอกลวง หลอกลวงให้คนหลงวัตถุนิยมมากขึ้น การศึกษาเรียนแต่เรื่องทางวัตถุ ไม่มีเรื่องทางจิตใจ มีแต่เรื่องวัตถุให้คนสามารถประดิษฐ์ ประดอยวัตถุแง่นั้นแง่นี้ สร้างนั่นสร้างนี้ สำหรับจะได้หลงไหลให้มากขึ้น อย่างนี้เราเรียกว่าการศึกษานี้มันเป็นการหลอกลวง ให้มนุษย์มีความทุกข์มากขึ้น ทั้งโลกกำลังมีแต่การศึกษาชนิดนี้ ไม่มีการศึกษาอย่างแบบเก่าแบบโบราณ ที่มีเรื่องทางจิตทางใจคือธรรมะให้คนกลัวบาป ให้คนรักบุญ รักกุศล เดี๋ยวนี้การศึกษามันไม่ได้ทำให้คนกลัวบาป หรือรักบุญรักกุศล มันกลับทำไปในทางให้คนเหยียบย่ำธรรมะ เหยียบย่ำบุญกุศลแล้วก็ไปเอาบาป เพราะหลงไหลในรสอร่อยของอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในเรื่องวัตถุนิยมนั่นเอง การศึกษาก็ยังเป็นการหลอกลวง กลายเป็นการตกเบ็ดคน ให้ติดเบ็ดอยู่ในวงของการเป็นทาสของเนื้อหนัง นี้เมื่อการศึกษาเป็นอย่างนี้แล้ว มันก็ลามขึ้นมาถึงการศาสนา การศาสนาก็ถูกกระทำให้เป็นมิใช่ศาสนา คือกลายเป็นศาสนาที่หลอกลวงและเป็นการ เป็นศาสนาที่ตกเบ็ด หมายความว่าใช้ศาสนาเป็นเครื่องหลอกล่อ เพื่อจะเอาประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง ทางวัตถุทางเนื้อหนังทั้งนั้น สำหรับบุคคลผู้ที่ฉลาด ที่จะใช้ให้เป็นเครื่องมือสำหรับการหลอกลวง ปากพูดว่าสันติภาพ แต่การกระทำจริงมันก็ตรงกันข้าม นี่มันกำลังลุกลามเข้าไปในศาสนาทุกๆ ศาสนา ไม่ใช่เฉพาะแต่พุทธศาสนา เรียกว่าถือศาสนาแต่ชื่อหรือแต่ทะเบียน ส่วนจิตใจหรือการกระทำจริงๆ นั้นไปตามอารมณ์ของกิเลส มันก็เลยเป็นเรื่องหลอกลวงโดยไม่ได้เจตนา แล้วก็ค่อยๆ กลายเป็นเจตนา เจตนาอย่างรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที ทีนี้เมื่อการศึกษาและศาสนาก็เป็นเรื่องหลอกลวงเสียอย่างนี้แล้ว มันก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทหาร การเศรษฐกิจ การเมือง สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องหลอกลวงหนักขึ้นไปอีก เป็นเรื่องตกเบ็ดคนไปเสียทุกแง่ทุกมุมทุกหัวระแหง นี่รวมกันแล้วมันก็เลยเป็นเรื่องของการหลอกลวงหรือการตกเบ็ดทุกหนทุกแห่ง แม้บนธรรมาสน์นี่ก็ระวังให้ดี มันจะมีเรื่องหลอกลวงหรือมีเรื่องตกเบ็ดก็ได้ ที่หน้าบูชาพระ ที่หน้าบูชาพระพุทธรูปนั่นก็ระวังให้ดี มันจะเป็นเรื่องหลอกลวงเป็นเรื่องตกเบ็ดคนก็ได้ มันมีพ่อมดแม่มดอาศัยพระพุทธรูปเป็นเครื่องมือหลอกลวงคนก็ได้ พระพุทธรูปจะช่วยอะไรได้เพราะมันเป็นวัตถุเท่านั้น นี่คืออันตรายที่มันใกล้เข้ามา จนว่าสถาบันใหญ่ๆ มันก็เป็นเรื่องหลอกลวง แคบเข้ามาก็เป็นเรื่องหลอกลวง หมู่คณะน้อยๆ ก็เป็นเรื่องหลอกลวง ส่วนตัวบุคคลแต่ละคนก็เป็นเรื่องหลอกลวง คือกลายเป็นเรื่องตกเบ็ด ผู้หญิงก็ตกเบ็ดผู้ชาย ผู้ชายก็ตกเบ็ดผู้หญิง นี่ไม่ต้องอธิบาย นี่มันจะเลยไปถึงว่าแม่ก็ตกเบ็ดลูก ลูกก็ตกเบ็ดแม่ นี่น่าเศร้า เมื่อพ่อแม่ตกเบ็ดลูก ลูกก็ตกเบ็ดพ่อแม่ อาจารย์ก็ตกเบ็ดลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็ต้องตกเบ็ดอาจารย์ นี่ไปหาความหมายเอาเอง อาตมายืนยันไอ้ข้อเท็จจริงอันนี้ ข้าราชการก็จะตกเบ็ดประชาชน ประชาชนก็จะตกเบ็ดข้าราชการ ท่านสมภารก็จะตกเบ็ดทายกทายิกา ทายกทายิกาก็ไม่ยอมเสียเปรียบ ก็ตกเบ็ดท่านสมภารเข้าบ้าง มันก็เลยมีแต่เรื่องตกเบ็ด แล้วก็ใช้เหยื่อก้อนใหญ่ๆ มากขึ้นทุกที แล้วสันติภาพมันก็คืองานตกเบ็ด เรียกว่าสันติภาพที่แท้ก็คืองานตกเบ็ดแก่กันและกันระหว่างประเทศ ระหว่างพรรคพวกที่เขาจับกันเป็นพวกๆสำหรับทำงานใหญ่ๆ ในโลกนี้เป็นเรื่องตกเบ็ดทั้งนั้น ในที่สุดแองเจิลหรือนางฟ้าหรือเทวีที่เป็นทูตสันติของพระเจ้าก็กลายเป็นนางเบ็ด เหมือนที่เขียนไว้ในตึกหลังนั้นน่ะ เข้าไปดูรูปนางเบ็ด ตกเบ็ดเพราะมันมีเบ็ดคาไปทั้งตัว กระทั่งปลาหัวโล้นก็พลอยไปติดด้วย มันน่าเศร้า ขอให้มองกันอย่างที่เรียกว่ามันเป็นเรื่องจริงแต่ไม่มีใครยอมรับ มันน่าสงสารที่ว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครยอมรับ สิ่งที่ศาสนาหรือว่าไอ้สิ่งที่ดีๆ น่ะเขาได้ช่วยสร้างช่วยทำให้มีมานานแล้ว มันกลายเป็นเรื่องเสียหายหมด เพราะคนไม่รู้จักธรรมะไม่รู้จักของจริง ไม่รู้จักสิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้ ปล่อยไปตามอำนาจของกิเลส เอากิเลสเป็นที่พึ่งมันก็เป็นอย่างนี้ ฉะนั้นจะต้องนึกคิดไปในทางที่ว่า ถ้าขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วอย่าเอากะมันเลย กลัวให้มาก ถอยหลังให้มาก อย่าเห็นว่าเป็นของเล็กน้อย ไม่มีเล็กน้อยสำหรับกิเลส ถ้าว่าเห็นเป็นของเล็กน้อยก็คือกำลังโง่ กำลังเข้าใจผิด สิ่งที่เรียกว่ากิเลสไม่เป็นของเล็กน้อยได้ และเดี๋ยวนี้โลกของเราก็กำลังจะวินาศเพราะสิ่งที่เรียกว่ากิเลสนั่นเอง กิเลสได้เปรียบ กิเลสกำลังครอบงำบุคคล ทำให้บุคคลเป็นอันธพาล โดยเปิดเผยก็มี โดยเร้นลับก็มี โดยตรงก็มี โดยอ้อมก็มี แต่ว่าข้างในเป็นอันธพาล เป็นอันธพาลทางวิญญาณกันอยู่ทั้งนั้น นี่คือภาวะที่น่าหวาดเสียวน่าสะดุ้งที่สุดสำหรับโลกมนุษย์เราแห่งยุคปัจจุบัน อาตมามองเห็นแล้วก็สงสารตัวเอง ก็เลยเอามาล้อตัวเอง ในวันที่กำหนดไว้สำหรับการล้อชีวิตของตัวเอง จะเรียกว่าโชคดีก็ไม่ได้ จะเรียกว่าโชคร้ายก็ไม่ดี ก็เลยไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร นอกจากจะเรียกว่ามันน่าสงสารที่สุด ฉะนั้นต้องระมัดระวังให้มากขึ้นไปอีก ที่จะทำให้มันเป็นประโยชน์แก่พวกเรา จึงเอามาพูดให้รู้เท่าทันมันไว้ มันจะได้เป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์ อย่างน้อยก็ให้รู้จักกลัวความชั่ว แล้วก็ไม่ทำเล่น ไม่ทำเล่นๆ กับกิเลส นี่พุทธบริษัทกำลังถูกจูงจมูกไปโดยไม่รู้สึกตัว ไปสู่อำนาจของกิเลสอย่างนี้
ตรงนี้อยากจะขอพูดซ้ำอีกนึดนึงว่าพุทธบริษัทนี่มันโง่ลง โง่ลง เหมือนที่พูดมาเมื่อตะกี้นี้ ว่าพุทธบริษัทแต่โบราณเขาพูดว่า สวรรค์อยู่ใน อกนรกอยู่ในใจ ซึ่งถูกอย่างยิ่ง แต่แล้วพุทธบริษัท ขี้โกงนี้ เอาสวรรค์ไว้บนฟ้า นรกไว้ใต้ดิน มันแสดงความโง่ออกมาให้เขาเห็น เดี๋ยวนี้เขารู้กันแล้วว่าไอ้คำว่าบนฟ้าน่ะมันหมายถึงอะไร ใต้ดินน่ะมันมีอะไร นี่พุทธบริษัทที่พลอยเข้าใจไปตามนั้นว่าสวรรค์บนฟ้า นรกใต้ดินนี้มันเป็นคนที่ไม่รู้ความหมายคำๆ นี้ ถ้ารู้ความหมายของคำว่าบนฟ้า หรือใต้ดินให้ถูกต้องแล้ว ก็ไม่เป็นไร จะไปพบในที่สุดว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จิตใจที่เลวมันก็เป็นนรก ใจที่ดีมันก็เป็นสวรรค์ แล้วก็ให้ถือหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตรงๆดีกว่า ว่านรกก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์ก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จงกระทำให้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่มันพ้นจากความเป็นนรกเสียทีก่อน อย่าให้มันเกิดเดือนร้อนเพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันไปหลงอะไรเข้าจนติดเบ็ด ทีนี้ขั้นที่สองก็ทำให้มีนรก เอ่อ มีสวรรค์ขึ้นมาที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเพราะว่าเรายังไม่ดีไปกว่านั้น เรายังชอบไอ้สิ่งเหล่านี้อยู่ มันก็สร้างให้ได้รับความพอใจ ความเพลิดเพลินที่สุจริต ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็พอจะเรียกว่าสวรรค์ได้ แต่แล้วมันก็เป็นเบ็ดเหมือนกัน จงรู้ว่าสวรรค์ก็เป็นเบ็ดแต่เบ็ดที่ไม่แสดงความเป็นเบ็ด คือไม่แสดงความเจ็บปวดให้รู้สึก เอาความมัวเมามากลบไว้ ทีนี้ก็มองเห็นพร้อมกันทีเดียวว่าทั้งนรกและทั้งสวรรค์นี้อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้จริงๆ อย่างนี้เรียกว่าพุทธบริษัทฉลาด ถ้าพุทธบริษัทไปเอาสวรรค์ไว้บนฟ้า นรกไว้ใต้ดินก็เป็นพุทธบริษัทโง่หรือไม่เป็นพุทธบริษัท เพราะไปพูดตามพวกอื่นพูด ไม่พูดตามที่พระพุทธเจ้าตรัส จึงไม่ใช่พุทธบริษัท เขาไม่ยอมเชื่อว่านรกสวรรค์อยู่ในใจ หรือว่าไม่ยอมเชื่อว่ามันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็ไม่ยอมเชื่อว่าไอ้พรหมโลกที่สูงไปกว่าสวรรค์นั้นน่ะ มันอยู่ที่ปิดหน้าที่ทางกามารมณ์ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเสีย นี่มันจะสูงกว่าสวรรค์ ไอ้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ไปผูกพันอยู่ด้วยเอร็ดอร่อยนี่เรียกว่าเป็นสวรรค์ แล้วเป็นไปในแง่ของกามารมณ์คือเพศตรงกันข้าม ทีนี้ก็ปิดหนทาง ปิดหน้าที่ของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจในส่วนนี้เสีย มันก็สะอาดกลายเป็นพรหม ไอ้สิ่งที่เรียกว่าพรหม มันก็อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นแหละอีกเหมือนกัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่เร่าร้อนมันก็เป็นนรก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่หวานอร่อยมันก็เป็นสวรรค์ แต่ถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่จืดสนิทมันก็เป็นพรหม ฉะนั้นทั้งนรก ทั้งสวรรค์และพรหมโลกมันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผู้ใดเข้าใจอย่างนี้ผู้นั้นเป็นพุทธบริษัทที่เข้าใจตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ไปเข้าใจตามไอ้คำพูดปรัมปราที่พูดกันมาโดยคนโง่ๆ ไม่รู้สิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง หรือจะกล่าวสรุปความอีกที่ก็ได้ว่าไม่รู้ว่าทุกสิ่งเลยมันสรุปอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเป็นเรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องนรกสวรรค์วิมาน พรหมโลกอะไรก็ตาม มันสำเร็จอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทั้งนั้น นี่มันเป็นวิทยาศาสตร์กว่ามันมีเหตุผลกว่า มันมองเห็นได้ชัด มันไม่ต้องรอตอนตายแล้ว จึงจะได้ จึงจะถึง แต่มันอาจจะถึงได้ที่นี่ถ้าต้องการ แต่มันอาจจะละเว้นได้ที่นี่ ถ้าหากว่าเราต้องการ มันจริงอย่างนี้ ขอให้ตกอกตกใจกันให้มากว่าพุทธบริษัทกำลังไม่เป็นพุทธบริษัท กำลังไปหลงผิดๆ ชนิดที่พุทธบริษัทไม่ควรจะหลง
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงข้อที่ว่า ผู้ที่อ้างตัวเองเป็นนักอภิธรรมก็ยังพูดว่าสวรรค์อยู่ข้างบน นรกอยู่ใต้ดิน นี่ไม่ใช่จะกระทบกระแทกผู้เป็นนักอภิธรรม ที่ต้องพูดก็เพราะว่านักอภิธรรมนั้นต้องถือว่าเป็นผู้มีความรู้ถูกต้องและสูงสุด ทีนี้ผู้ที่ได้รับเกียรติได้รับการขนานนามว่ามีความรู้ถูกต้องและสูงสุดนี้กลับมาสอนว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าข้างบน นี่มันไม่ไหว ก็เลยจะต้องถือเสียว่าอย่างนั้นยังไม่ใช่อภิธรรม ถ้าเป็นอภิธรรมจริงจะต้องสอนว่านรกอยู่ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สวรรค์อยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พรหมโลกอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่จึงจะเป็นนักอภิธรรมที่สมแก่นามว่าอภิธรรม แต่ถ้าจะเป็นยอดอภิธรรมแล้วต้องถือว่าเรื่อง สุญญตานั่นแหละเป็นยอดของอภิธรรม ถ้าใครรู้เรื่องสุญญตาก็จะเรียกว่ารู้ยอดสุดของอภิธรรม คือมันพ้นไปจากนรก จากสวรรค์ จากพรหมโลก พ้นจากวัฏสงสารทุกอย่างทุกประการได้ นี้จึงจะเรียกว่าเป็นยอดของอภิธรรม เดี๋ยวนี้ก็มีคนชอบอภิธรรมตั้งตัวเป็นผู้สอนอภิธรรม แล้วก็มามัวสอนอยู่แต่ว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่ข้างบน นี่มันไปไม่รอด มันก็เป็นอภิธรรมเก๊ พออาตมาว่าอย่างนี้เขาก็โกรธแล้วก็รุมกันด่า ด่าจนไม่รู้จะเจ็บยังไงแล้วก็เลยไม่เจ็บ แล้วก็จะพูดต่อไปว่ามันไม่เป็นอภิธรรม ถ้าพูดว่าสวรรค์อยู่บนฟ้า นรกอยู่ใต้ดินนี้ไม่เป็นอภิธรรม ถ้าเป็นอภิธรรมต้องพูดว่ามันอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้ายิ่งไปกว่านั้นมันก็ขึ้นพ้นไปเป็นสุญญตา คืออยู่เหนืออำนาจของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ เป็นพระนิพพาน ไอ้นิพพานก็อยู่ เกี่ยวข้องกันอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นเหมือนกัน คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่หลุดพ้นแล้ว ที่ไม่ถูกเกี่ยวข้องผูกพันได้อีกต่อไปนั่นแหละ ไม่เห็นอะไรเป็นตัวเป็นตนอีกต่อไป ไม่รู้สึกอะไรเป็นตัวเป็นตนอีกต่อไป มันก็เป็นไปในทางของนิพพาน เราเรียกว่าสุญญตา นี่คือยอดของอภิธรรม ยอดสุดของอภิธรรม เป็นธรรมอย่างยิ่ง
ทีนี้เมื่อพูดถึงอภิธรรมแล้วมันก็นึกไปถึงอีกคำหนึ่งว่า คือคำว่า ปรัชญา คำนี้สูงเด่นกันทั้งสองคำ อภิธรรมก็สูงลิบ ปรัชญาก็สูงลิบ นักปรัชญาก็เป็นพวกที่ถือว่ามีเกียรติ มีความรู้อย่างสูงลิบ ก็เลยนิยมปรัชญากันเป็นการใหญ่ ก็เลยมีผลอย่างเดียวกันกับหลงอภิธรรม พวกปรัชญาก็ไปหลงแต่ที่จะตั้งความรู้ ตั้งปัญหาที่จะช่วยให้ตนเป็นคนฉลาด ช่วยให้ตนได้เป็นคนฉลาด มัวแต่ตั้งปัญหาอย่างนั้น พออาตมาพูดว่าไอ้เรื่องปรัชญาเป็นเรื่องเฟ้อหรือเรื่องเพ้อเจ้อนี่ เขาก็โกรธ โกรธจนไม่รู้ว่าจะโกรธอย่างไร พวกที่หลงปรัชญานี่มันเป็นพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างหนึ่ง คือว่าไปหลงในเรื่องชนิดที่พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้โดยกาลามสูตร ชอบขยายเรื่องออกไปไกลออกไปจากภาวะที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ หรือจะมองเห็นได้ด้วย ยถาภูตะ ญาณทัศนะ นี่มันฝากไว้กับเหตุผล ไกลออกไป ไกลออกไปนี่มันเรื่องปรัชญา ที่อาตมาเอาเรื่องนี้มาพูดก็เพราะเห็นว่าเดี๋ยวนี้โลกกำลังเมาปรัชญา บางท่านอาจจะยังไม่ทราบ ขอให้ทราบเสียเถิดว่าไอ้นักศึกษาหนุ่มๆ คนหนุ่มๆ ของเรานี้ก็กำลังเมาปรัชญา บูชาปรัชญา เทิดทูนปรัชญา ที่เขาเรียกกันว่า Philosophy ถ้าเอาหลักที่เป็นเรื่อง Philosophy แล้วเป็นเรื่องล้าหลังที่สุด แต่ถ้าเอาหลักที่คำว่าปรัชญาที่ถูกต้องตามความหมายในภาษาสันสกฤตแล้วยังพอไปได้ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าปรัชญาในภาษาไทยนี่มันไปฝากไว้กับคำว่า Philosophy คือความรักที่จะรู้เกินขอบเขตออกไป ไกลออกไป ไกลออกไปด้วยความความบ้ารู้ นี่คือ Philosophy มันก็ไม่มีเรื่องการปฏิบัติ นักปรัชญาจึงไม่สนใจกับสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมหรือศาสนา เพราะว่าเรื่องทางศีลธรรมหรือเรื่องศาสนานี่มันมีขอบเขตจำกัด มันจำกัดอยู่แต่เพียงว่าทำอย่างไร จะถามเพียงว่าทำอย่างไร แล้วก็ทำเท่านั้นหรือถ้ายังสงสัยอีก ก็จะถามอีกทีว่าทำไมจึงต้องทำอย่างนั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ให้เหตุผลก็มองเห็นได้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเราจึงต้องทำ หรือแม้ว่าจะให้เหตุผลว่าถ้าไม่ลองทำดูก่อนมันจะไม่รู้ว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นพวกที่ถือหลักทางศีลธรรมทางศาสนานี่ไม่ใช่นักปรัชญาเพราะเป็นนักศีลธรรม เป็นนักปฏิบัติในทางศาสนา เขาจึงถามแต่เพียงว่าทำอย่างไร พอได้รับคำตอบก็ลงมือปฏิบัติตาม เพราะว่าบทบัญญัติทางศีลธรรมและทางศาสนานั้นมันชัดเจนจนไม่ต้องถาม เช่นมีบทบัญญัติว่าความโลภไม่ดี เป็นของร้อน นี่มันก็มองเห็นได้ทันทีไม่ต้องมีเหตุผล เพราะใครๆ ก็เคยโลภ โลภทุกทีมันก็ร้อนทุกที ก็เลยไม่ต้องถามว่าทำไมความโลภจึงเป็นของร้อน ถ้าถามว่าทำไมความโลภจึงเป็นของร้อนมันก็กลายเป็นเรื่องทางปรัชญาไป ทีนี้ทางศีลธรรมเขาบอกทีเดียวก็พอว่าความโลภเป็นของร้อน ทีนี้ก็จะละอย่างไร ถามว่าจะละอย่างไร ก็บอกให้ดูว่าไอ้ความโลภนี่ มันเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นในเวทนาที่เนื้อที่หนังนั่นแหละ นี้ก็ทำได้โดยการที่พิจารณาว่าเวทนานี้มันเป็นมายา พอจะมองเห็นได้ไม่ต้องถามว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ฉะนั้นจึงไม่มีคำถามว่าทำไมๆ จึงเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีก แล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีก นี่มันจะไม่มีอีกในวงของศีลธรรมหรือศาสนา มันไปมีอยู่ในวงของพวกปรัชญา ที่จะถามว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น พอตอบแล้วก็ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ตอบแล้วทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอีก มันก็ไกลออกไป ไกลออกไปนี่คือพวกปรัชญา พวกที่บ้าถาม บ้าคิด บ้าแสดงโวหารเพื่อความเป็นนักปราชญ์ ดังนั้นเรากล่าวได้เลยว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ปรัชญา พุทธศาสนาเป็นศาสนาหรือว่าเป็นศีลธรรมมีหลักเกณฑ์ไปแต่ในทางว่า ทำอย่างไร ปฏิบัติอย่างไร ไม่มีหลักเกณฑ์ที่จะตั้งคำถามว่าทำไม ทำไม ทำไม อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ฉะนั้นพวกนักปรัชญามันก็เอาตัวไม่รอด บุคคลอย่าง Socrates นี่เขา ชาวคริสต์คนนี้เขาถือว่าเป็นจอมนักปรัชญา แล้วก็ยังช่วยตัวเองไม่รอด ยังถูกบังคับให้ฆ่าตัวเองตาย มันก็ต้องถือว่าสมน้ำหน้าของปรัชญา ที่มันรู้ท่วมหัวมันก็เอาตัวไม่รอด เขาจะแก้ว่า เอ้ามันบูชาอุดมคติ อุดมคตินั้นก็คือตัวปรัชญา มันไม่ต้องบูชาอุดมคติจนถึงกับว่าตาย ถ้าคนมีความรู้จริงไม่มีปัญหาเรื่องที่ว่าจะต้องบูชาอุดมคติจนถึงกับตัวตาย มันก็มีหนทางที่หลีกเลี่ยงมาเสียได้โดยที่ตัวก็ไม่ต้องตายและทุกอย่างก็เป็นไปอย่างที่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเราไม่บูชาปรัชญา แต่เราบูชาศีลธรรมหรือศาสนา พุทธบริษัทอย่าไปหลงเห่อ หลงไหลในเรื่องปรัชญาเข้า จะหมดความเป็นพุทธบริษัทที่เนื่องกันอยู่กับศีลธรรมและศาสนา นี่เป็นปัญหาที่กำลังคุกคามอยู่ในเวลานี้ คุกคามพวกพุทธบริษัทเราอยู่ในเวลานี้ อย่าไปบ้าตามก้นฝรั่ง บูชาปรัชญา ยิ่งๆ สุก เอ่อ หนักเข้าไปอีก หนักเข้าไปอีก แล้วก็อย่าเป็นสิ่งหนึ่งที่เป็นมูลเหตุให้สูญเสียความเป็นพุทธบริษัทหรือว่าทำให้พุทธศาสนาเสื่อมหายไปจากโลกได้ เพราะพุทธบริษัทไปมัวเมาสิ่งที่เรียกว่าปรัชญา ไม่มัวเมาหรือยึดมั่นในสิ่งที่เรียกว่าศาสนาหรือศีลธรรม ฉะนั้นถ้าเราจะเรียนปรัชญากันบ้าง มันก็เรียนในขอบเขตที่จำกัดไม่ให้มาขึ้นหน้าศีลธรรมและศาสนา แต่สำหรับอาตมาสนใจปรัชญาในฐานะเป็นของเล่น เป็นของดูเล่นเหมือนเลี้ยงแมวไว้ดูเล่น เลี้ยงปลาไว้ดูเล่นอย่างนั้นมากกว่า
เนื้อแท้เราต้องมีพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา ศาสนาหรือ religion นั้นไม่ใช่ปรัชญา ไอ้ religion นี่คือระบบปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อให้เกิดความหลุดพ้น หลุดพ้นนี้ หลุดพ้นจากความทุกข์ มันต้องเป็นระบบการปฏิบัติที่ปฏิบัติได้ แล้วก็ได้ผลมาเป็นความหลุดพ้นจากความทุกข์นี้เรียกว่าศาสนา แต่ถ้าเป็นปรัชญาเป็นเรื่องอุดมคติแล้วก็เพ้อเจ้อเพื่อความเป็นนักปราชญ์ เด่นในทางผู้มีสติปัญญา อย่าให้ไปปนกันเสีย ถ้าเป็นศีลธรรมเป็น moral เป็น morality นี้ก็ ก็ยังอยู่ในประเภทศาสนาแต่ว่าลดต่ำลงมา เป็นเรื่องของสังคม ฉะนั้นศีลธรรมไม่ใช่ปรัชญา ศาสนาไม่ใช่ปรัชญา ปรัชญาก็ไม่ใช่ศีลธรรม ปรัชญาก็ไม่ใช่ศาสนา แต่ว่าโดยทั่วไปใช้ปรัชญาเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับเสาะหาเหตุผลในเรื่องใดๆ ก็ได้ แม้เรื่องศีลธรรมหรือเรื่องศาสนาก็ตาม ถ้าเกิดสงสัยในเหตุผลขึ้นมา ก็ใช้วิธีการของปรัชญาเพื่อค้นหาเหตุผลได้ แต่ว่าไม่จำเป็นสำหรับพุทธศาสนา เพราะว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสอะไรที่หลุดออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์แล้ว จะมีเหตุมีผลเพียงพอ หรือว่ามันจะมีความเนื่องกันอยู่ด้วยความรู้สึกในจิตใจของบุคคลนั้นเอง ที่เขาเรียกว่า spiritual experience ที่ทุกคนมีกันอยู่ทุกคนตั้งแต่เกิดมานั่นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสอะไรออกมาจะไปเข้ารูปกับสิ่งนั้น แล้วคนนั้นก็เข้าใจได้ทันที จะไม่ถามว่าทำไม เช่นพระพุทธเจ้าตรัสว่าเราจะต้องมีความถูกต้องแปดประการ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป นี่เพื่อจะดับทุกข์ คนก็เข้าใจได้ทันที ไม่ต้องถามว่าทำไม ไม่ต้องถามว่าทำไมนี่จึงดับทุกข์ได้ นี่คือหัวใจหรือว่าตัวเนื้อด้วยของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เรากำลังจะละทิ้งสิ่งที่ดีที่มีประโยชน์ที่ปลอดภัยนี้ ไปตามก้นเขาผู้หลงไหลในเรื่องเพ้อเจ้อ นี่อาตมาจะยืนยันอยู่อย่างนี้ แล้วก็เชื่อว่าจะต้องถูกด่าเพราะเหตุนี้อีกมาก มากขึ้นเพราะว่าพวกที่ไปบ้าปรัชญามาจากเมืองนอกนี่มันมีมากขึ้น มากคนขึ้น ฉะนั้นอาตมาก็ต้องถูกด่าโดยคนพวกนี้มากขึ้น มากขึ้นเหมือนกัน แต่ก็ไม่กลัว นี่จะยืนยันอยู่ที่แหละว่าอย่าไปบ้าปรัชญา จงยึดมั่นอย่างถูกต้องในเรื่องของศาสนาและเรื่องของศีลธรรม นี่มันจะช่วยกันกู้พระพุทธศาสนา ยังคงอยู่เป็นยาของสัตว์โลกทั้งปวงตามพระพุทธประสงค์ได้ เห็นไหมว่านี่มันเป็นเรื่องที่ควรจะพูดกันในวันวิสาขบูชาเช่นนี้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธประสงค์ จึงหวังว่าท่านทั้งหลายจะได้เอาไปคิด เอาไปนึก เรื่องที่มันเป็นเรื่องเป็นเรื่องตาย เรื่องอยู่ของพุทธศาสนาด้วย อาตมาเห็นว่าเวลาทั้งหมดของเรา ควรจะใช้ไปแต่ในทางที่เป็นการแก้ปัญหา หรือว่าป้องกันความเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับพุทธศาสนา
ที่นี้เรื่องต่อไปก็อยากจะพูดถึงเรื่องที่น่าหัวมากไปกว่านั้น ที่มันเกี่ยวกับศาสนาและมันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ในเวลานี้ ถ้าพูดก็ต้องพูดว่าอาตมากำลังถูกด่าอย่างมากอยู่อีกแง่หนึ่งหรือสายหนึ่ง คือถูกด่าเพราะไปพูดว่า ในพุทธศาสนาก็มีพระเจ้า นี่ถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง เมื่อพูดว่าในพุทธศาสนามีพระเจ้าคือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคือพระเจ้า นี่จะถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง คือพวกพุทธด้วยกันนี่จะด่าว่านี่เป็นขบถแล้ว ทำลายพุทธศาสนาแล้ว เอาพุทธศาสนาไปยกให้ศาสนาอื่นแล้ว นี่ถูกด่าจากภายใน ทีนี้ถูกด่าจากภายนอกก็คือ พวกศาสนาอื่นที่เขาสงวนหวงแหนพระเจ้าของเขานั่นแหละ หาว่าเราไปตู่ เอาพระเจ้าของเขามาเป็นพุทธศาสนา นี่มันเป็นเรื่องที่ควรจะเอามาล้อตัวเองหรือไม่ก็ช่วยคิดดู อาตมาตกอยู่ในระหว่าง อะไรล่ะที่เขาเรียกว่าเขาควาย คือจะถูกเสียบทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งซ้ายทั้งขวาอะไรทำนองนี้ ก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง แล้วก็เอามาล้อตัวเองด้วย ในวันที่ตั้งใจว่าจะล้อชีวิตของตัวเอง ฉะนั้นจะต้องทำความเข้าใจกันบ้างที่ว่า สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้านั้นคืออะไร พระเจ้านั้นอย่าไปเอาตัวหนังสือมาพูดกัน แต่เอาไอ้ตัวสิ่งนั้นทีเดียวว่ามันคืออะไร มันทำหน้าที่อย่างไร และมันกำลังทำหน้าที่อย่างไร อยู่ที่ไหน พระเจ้านั้นคืออะไรก็ตามใจเถิด แต่มันเป็นสิ่งที่มีอำนาจในหลายๆ ทาง คืออำนาจที่จะบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น แล้วควบคุมสิ่งต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎของมันเอง แล้วก็ยุบ เลิกสิ่งต่างๆ ในบางโอกาส แล้วมันมีอำนาจครอบงำอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง อย่างที่เรียกว่าไม่มีใครจะหนีพ้นสิ่งนี้ แล้วสิ่งที่ว่านี้เขาเรียกว่าพระเจ้า แต่เราเรียกว่าพระธรรม ฉะนั้นเราก็มีพระเจ้าคือพระธรรม พุทธศาสนาก็มีพระเจ้าในนามว่าพระธรรม ที่พูดนี้ก็เผื่อว่า ถ้าท่านทั้งหลายไปถูกถามโดยคนต่างศาสนาว่า พุทธศาสนามีพระเจ้าไหม ถ้าถูกถามอย่างนี้ อย่าเพิ่งไปผลุนผลันตอบว่ามีหรือไม่มี พวกเราบางคนไปเมืองนอกแล้วถูกฝรั่งเขาถามว่า ในพุทธศาสนามีพระเจ้าไหม อย่าไปผลุนผลันตอบว่ามี หรือว่าไม่มี มันจะ เขาจะเรียกว่าห้าแต้ม จะต้องถามเขาก่อนว่าที่เรียกว่าพระเจ้านั้นคืออย่างไร พอเขาอธิบายว่าพระเจ้าคือสิ่งที่สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ยกเลิกสิ่งทั้งปวง ควบคุมอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งทุกเวลา อย่างนี้แล้วเราก็บอกว่ามี แต่เราไม่เรียกว่าพระเจ้าเราก็เรียกว่าพระธรรม พระธรรมนั่นแหละคือสิ่งที่ทำหน้าที่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันน่าหัวอยู่หน่อยนึงว่า เอ่อ พวกฝรั่งเขาเรียกพระเจ้านี้ว่า God แปลว่าพระเจ้าในภาษาไทย แต่เราก็มีคำสำหรับเรียกสิ่งนั้น ที่น่าหัวไปกว่าคือตัวก ไก่ ฏ ปฏักสะกด อ่านว่า กฏ ไอ้กฏนั่นแหละคือพระเจ้า เมื่อเขาเรียกว่า God เราเรียกว่า กฏ กฏของอิทัปปัจจยตา กฏของธรรมชาติอันลึกซึ้ง จะบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น สิ่งต่างๆ เป็นไป ให้สิ่งต่างๆ ยุบลง และสิ่งที่มันเป็นของธรรมชาตินี้จะมีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ แล้วมันตรงกันเผงเลยกับสิ่งที่เขาเรียกว่า God เราเรียกว่ากฏ ถ้าเขาถามว่ามี God ไหม มี แต่เราเรียกสั้นว่ากฏ คือ The law ที่มาจากธรรมชาติ หรือเป็นตัวธรรมชาติที่ควบคุมสิ่งทั้งปวง นี่พุทธบริษัทสมัยนี้มันลำบากมากขึ้นมาถึงอย่างนี้แล้ว คือจะต้องเผชิญกันกับพวกที่เขาถือว่ามีพระเจ้า แล้วเขาก็พร้อมที่จะดูถูกดูหมิ่นเราหรือว่าจะทำร้ายเรา หรือว่าจะช่วยสนับสนุนเราก็ได้ ถ้าเราพูดกันไม่รู้เรื่อง พูดกันไม่เข้ารูปแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ นี่ขอให้ระวังให้ดีอย่างนี้
ทีนี้มันก็มาถึงเรื่องเด็กๆ เพราะเด็กๆคือผู้ที่จะอยู่หลังจากที่เราพากันเข้าโลงไปแล้ว เราก็ต้องนึกถึงเด็กๆ จะต้องเตรียมสำหรับที่ว่าเด็กๆเขาจะไม่เสียหาย จะไม่เสียประโยชน์ หมายความว่าเราจะต้องทำให้เด็กๆ ของเรามีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง เอาตัวรอดได้ ในการที่จะเผชิญกับโลกในอนาคต เด็กๆ ของเราจะต้องได้รับการศึกษาอบรมให้เข้าใจว่า ความรู้ที่ถูกต้องที่แท้จริงนั้นมันมีอยู่อย่างไร และอะไรเป็นสิ่งที่จะทำให้เราไม่เข้าใจ ทำให้เราเข้าใจผิด หลงกลับกันเสีย อยากจะพูดว่าขอร้องให้ทุกๆ คนเอาใจใส่ให้เด็กๆมีศีลธรรมมีศาสนา อยู่ในวัฒนธรรมที่ดีของชาวพุทธ ของบิดามารดา ปู่ยาตายายที่ได้ทำไว้ดีแล้ว อย่าไปเรียนปรัชญาเพ้อเจ้อ และอย่าไปหลงติดปรัชญาเพ้อเจ้อ อย่างที่เขาไปขนเอามาจากเมืองนอกเป็นลำเรือ เป็นลำเรือมาทีเดียว เราจะต้องป้องกันเด็กๆ ของเราให้พ้นจากความหลงผิดอันนี้ ให้เด็กๆ เข้าใจเรื่องศีลธรรมเรื่องศาสนาซึ่งเป็นเรื่องจริงของชีวิต แล้วก็ให้สูงถึงขนาดที่เรียกว่าปรมัตถธรรมด้วย มีคนเป็นอันมากค้านว่าเด็กๆ ไม่ควรเรียนธรรมะ อย่าว่าถึงชั้นปรมัตถ์เลย แม้แต่ธรรมะก็ไม่ต้องเรียน ธรรมะธรรมดาก็ไม่ต้องเรียน นี้เข้าใจผิดสองซ้อน เด็กๆ จะต้องเรียนพร้อมกันไปทั้งศีลธรรมและทั้งปรมัตถธรรม เรื่องปรมัตถธรรมนั้นมันเป็นเรื่องที่ทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ให้กลัว ไม่ให้โง่ ในเรื่องที่เกี่ยวกับกิเลสหรือเรื่องที่มันลึกซึ้ง เราอยากจะให้เด็กๆ ของเราร้องไห้น้อยลง ไม่อยากจะให้เด็กๆ ของเราผลุนผลันฆ่าตัวตาย ฉะนั้นเราต้องให้เขารู้ไอ้ความรู้ทางธรรมที่เป็นธรรมขั้นปรมัตถ์ด้วย และก็ให้รู้ศีลธรรมสำหรับเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานทั่วๆ ไปด้วย เดี๋ยวนี้มันน่าเศร้าและน่าใจหายที่ว่าเด็กๆ ไม่ได้รับความรู้ทั้งสองประการเลย เรื่องทางศีลธรรมพื้นฐานก็ไม่รู้ เรื่องปรมัตถธรรมชั้นลึกของจิตใจก็ไม่มีทางที่จะรู้เพราะเขาเห็นว่าไม่ควรจะมาสอนกับเด็ก ที่อาตมาพูดนี้คงไม่มีใครเห็นด้วยสักกี่คนแต่ก็ต้องพูด ก็ได้แต่ขอร้องอ้อนวอนว่าช่วยเอาไปคิดไปนึก ว่าเด็กๆนี้ ต้องมีความรู้ทั้งทางศีลธรรมและปรมัตถธรรม ก็จะป้องกันเด็กนั้นไว้ได้ จากการที่ตกเป็นเหยื่อของอารยธรรมเนื้อหนังในโลกปัจจุบันคืออารยธรรมทางวัตถุ
เมื่อไม่กี่วันมานี้อ่านหนังสือบันทึกสถิติของอนามัยโลก เอ้ย,ขององค์การโลกนี่ว่าปัจจุบันนี้ทั้งโลกมีคนฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนโดยเฉลี่ย นี่อาตมาอ่านแล้วก็ยังไม่เชื่อ ไม่ค่อยเชื่อ ท่านทั้งหลายก็คงไม่เชื่อว่าอาตมาอ่านมาแล้วจำมาถูก แต่ดูแล้วดูอีกมันก็มีอย่างนั้นแหละ หนังสือนั้นหนังสือแถลงการณ์นั้น คนกำลังฆ่าตัวตายอยู่ในโลกโดยเฉลี่ยวันละ ๑,๐๐๐ คน คิดดูสิว่าทำไมจะต้องฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนก่อนนี้ไม่เคยมี นี่มันคือความหลงผิด มิจฉาทิฏฐิ มันร้ายกาจของอารยธรรมเนื้อหนังคือความเจริญในทางวัตถุ นี่เด็กๆ ของเราจะไปรวมอยู่ในบุคคลที่ ประเภทที่ฆ่าตัวตายวันละ ๑,๐๐๐ คนเข้าก็ได้ ถ้าไม่มีการป้องกันที่ทันท่วงที ถ้าไม่มีธรรมะในพุทธศาสนาเข้าไปช่วยป้องกันให้ทันท่วงที มันก็จะถึงขนาดนี้ แล้วก็ยิ่งไปกว่านี้ นี่ให้มันเป็นอยู่ที่ส่วนอื่นของโลกก็อย่ามาเป็นอยู่ในเมืองไทยในเมืองของพุทธศาสนาเลย นี้เราจะต้องเอาใจใส่เด็กๆ ให้ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง อย่าให้มันตกไปในลักษณะที่ว่า สรุปแล้วจะต้องฆ่าตัวตายกันวันละ ๑,๐๐๐ คน ให้ส่วนเฉลี่ยนั้นมันอยู่ในฝ่ายมุมโลกอื่น อย่ามาอยู่ในฝ่ายมุมโลกเมืองพุทธศาสนา นี่ต้องรักษาดวงวิญญาณ ป้องกันดวงวิญญาณของเด็กๆ ของเราไว้ มิฉะนั้นก็จะเป็นคนตาย เด็กๆ นี่มันยังอยู่ในลักษณะที่ว่ายังไม่แน่ว่าจะเป็นอย่างไร แล้วมันขึ้นอยู่กับการศึกษาที่เขาจัดไว้ให้ การศึกษานั่นแหละจะนำเด็กๆ ไปทางไหนหรือเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้เรามันเหมือนกับว่าสร้างโรงเรียนให้กับคนที่ตายแล้วอาละวาดหนักขึ้น ฟังแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจ ว่าโรงเรียนที่เราสร้างกันขึ้นในโลกนี้ในเวลานี้ มันสร้างให้คนตายแล้วลุกขึ้นมาอาละวาดหนักขึ้น พวกคนหนุ่มคนสาวที่มีความเจริญแผนใหม่ทางวัตถุนิยมนั้นน่ะ มันเป็นทาสของกิเลสมีค่าเท่ากับตายแล้ว ที่เราสร้างโรงเรียนให้เขาฉลาด ฉลาดมากขึ้นอีกที่เขาจะเป็นทาสของกิเลส นี่มันก็อาละวาดในโลกนี้มากขึ้นหนักขึ้น ไอ้โลกนี้ก็มีคนตายแล้วลุกขึ้นมาอาละวาดมากขึ้น เพราะว่าการสร้างโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษานั้นมันโง่ แสนที่จะโง่ เรียนเท่าไหร่ก็เรียน เรียนๆๆ จนไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ผลสุดท้ายก็เกิดมาเป็นฮิปปี้อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นความโง่เขลาที่ว่าทำตัวเองให้ลำบาก ถ้าว่าจะต้องเลือก ถ้าว่าจะต้องเอาไปทางที่สะดวกสบายแล้วโกนหัวดีกว่า ไว้ผมยาว อย่างนี้เป็นต้น การศึกษามันทำให้เขาเห็นว่าการไว้ผมยาวนั้นดีกว่าที่ไว้ผมตามปกติ นี้มันไม่มีเหตุผลแล้ว เรียกว่าสร้างโรงเรียนให้คนตายแล้วลุกขึ้นมาอาละวาดหนักขึ้น นี่ใครจะโกรธ ใครจะด่า ใครจะว่าอย่างไรก็ยังพูดอย่างนี้อยู่เสมอ เดี๋ยวนี้ก็สร้างโบสถ์ สร้างวัดให้คนตายแล้ว มันไม่มีประโยชน์อะไร คนมันไม่รู้หลักพุทธศาสนามันตายแล้ว ที่จะสร้างโบสถ์สร้างวัดให้มากมายสวยงามหรูหราขึ้นมาทำไม มันสร้างโบสถ์สร้างวัดให้คนตายแล้ว มันก็ไว้ดูเล่นให้เกะกะไปเท่านั้น มันต้องไปรักษาคนให้หายตายเสียก่อน แล้วจึงจะสร้างอะไรให้เขา หรือว่าถ้าสร้างโบสถ์สร้างโรงเรียน มันก็สร้างเพื่อรักษาให้คนตายนี่ให้มันเป็นขึ้นมา การตายในความหมายนี้หมายถึงความโง่ หรือมิจฉาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เย ปะมัตตา ยะถา มตา คนเหล่าใดเป็นผู้ประมาทแล้วคนนั้นคือตายแล้ว นี่ตายในภาษาพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ความตายอย่างนี้มีความ หมายอย่างเดียวกับในคัมภีร์ไบเบิลของพวกคริสเตียน คือพระเจ้าห้ามอาดัมกับอีฟว่าอย่าไปกินผลไม้ของต้นนั้นเข้า ถ้ากินแกจะตาย อาดัมไม่เชื่อ อีฟไม่เชื่อมันไปกินเข้าแล้วมันก็ตายในทางวิญญาณ คือรู้ดีรู้ชั่วเข้า แล้วก็เกิดยึดมั่นในอุปาทาน มีความทุกข์ทรมานทางวิญญาณ เรียกว่าบาปดั้งเดิมมันตั้งต้น original sin มันตั้งต้นที่ผัวเมียคู่นี้ที่ดื้อพระเจ้า ไปกินของที่ทำให้เกิดความตายทางวิญญาณ เมื่อก่อนนี้ไม่มีความทุกข์เพราะเหตุนี้ เดี๋ยวนี้มีความทุกข์เพราะความยึดมั่นถือมั่น ในพุทธศาสนาก็มีหลักเกณฑ์อย่างนั้น คือเป็นคนประมาทแล้วก็คือคนตายแล้ว ฉะนั้นเราจะต้องทำให้คนไม่ประมาท อย่าให้เป็นคนตาย เดี๋ยวนี้คนมันถึงขนาดตายแล้ว แล้วก็ไปสร้างอะไรให้คนตายแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่น่าหัว พวกแพทย์พวกหมอก็เหมือนกัน รักษาคนที่ตายแล้ว คือคนที่ประมาทแล้วมีค่าเท่ากับคนที่ตายแล้วในทางวิญญาณ นี่ไปช่วยรักษาให้เขารอดชีวิตอยู่ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เว้นไว้แต่จะรักษาโรคทางวิญญาณให้มันพ้นตายทางวิญญาณเสียก่อน แล้วจึงไปช่วยให้เขารอดตายในทางร่างกายนี่มันก็จะน่าดู นี้มันก็หลับหูหลับตาตะพึดอุดมคติอะไรก็ไม่รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าชีวิตแล้วต้องช่วย ก็ช่วยคนตายให้มาเกะกะอยู่ในโลกนี้ แม้แต่คนอันธพาลเป็นโจร เป็นขโมย เป็นเสือ เป็นอะไร มันก็ได้รับการช่วยให้ชีวิตรอด อะไรอยู่นี้โลกนี้เขามีอุดมคติกันอย่างนี้ ก็ถูกเหมือนกันเพราะว่าต้องการอุดมคติอย่างนั้น มีอุดมคติอย่างนั้น มันก็เป็นการช่วยให้คนตายนี่เกะกะอยู่ในโลก รักษาคนที่ตายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันควรจะแก้ไขให้มันมีชีวิตเป็นขึ้นมาพร้อมกันทั้งทางวิญญาณและทั้งทางร่างกาย เดี๋ยวนี้คุณเห็นไหมว่าโลกนี้ฝูงคนตายมันรบกันกับฝูงคนตาย คือในสงครามนั่นแหละ ที่มันกำลังรบราฆ่าฟันกันอยู่ที่ไหนในรูปของสงครามนั่น มันคนตายแล้วทั้งนั้น มันลุกขึ้นมารบกันเป็นฝูงๆ มันไม่ถือธรรมะของพระเจ้า ไม่ถือธรรมะของศาสนา มันตกเป็นทาสของวัตถุของเงินของอะไรก็ไม่รู้ มันเป็นคนที่เหมือนกับที่ตายแล้ว อย่างที่เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกคือ เย ปมัตตา ยถา มตา แต่แล้วมันก็น่าหัวที่ว่าคนตายเหล่านี้มันลุกขึ้นมารบกันเป็นฝูงๆ มันรบกันอยู่อย่างคนตายแล้วที่ไม่มีความหมายอะไร มันจะรบกันไปทำไม รบเพื่อตายอีกทีหนึ่ง มันเป็นคนตายอยู่แล้ว นี่เรียกว่ามันเป็นปัญหาอยู่ที่เรื่องสองเรื่อง คือทางกายกับทางวิญญาณ แต่คนเขาสนใจแต่เพียงเรื่องเดียว มันก็ไปแก้ปัญหาแต่เรื่องทางร่างกายเท่านั้น มันก็เลยกลายเป็นคนตายลุกขึ้นมารบกัน มีความตายทางวิญญาณ ตายสนิทเลย แล้วก็ร่างกายยังเคลื่อนไหวได้ ก็ลุกขึ้นมารบกันเพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องทางร่างกายและเรื่องทางวิญญาณ ไม่มีความรู้ทางภาษาคน ไม่มีความรู้ทางภาษาธรรมให้ควบคู่กันไปทั้งสองอย่าง พออาตมาไปบอกว่าทุกคน ชาวบ้านนี่แหละจะต้องมีความรู้ทั้งสองอย่าง คือทั้งเรื่องกายและเรื่องจิต คือทั้งเรื่องศีลธรรมและเรื่องปรมัตถธรรม ก็มีคนล้อว่าทำอย่างนี้มันเหมือนขนมปังแผ่นหนึ่งทาเนยสองหน้า มันไม่มีใครต้องการ นี่มันหลับตาพูด ทำไมไม่มองว่าไอ้ขนมปังสองแผ่นใส่แซนด์วิชไว้ตรงกลางมันไม่ดีกว่า แม้ว่าขนมปังสองแผ่นนั้นจะเป็นขนมปังคนละชนิดมันก็ยังได้ มันมีประโยชน์กว่า มันอร่อยกว่า มันปลอดภัยกว่า ฉะนั้นอย่าไปมองให้เห็นเป็นขนมปังทาเนยสองหน้า แต่ว่าขนมปังมันเป็นแซนด์วิช มันมั่นคงกว่า มันปลอดภัยกว่า เดี๋ยวนี้โลกในปัจจุบันนี้มันยิ่งต้องการขนมปังทาเนยสองหน้านี้ก็ยังได้ มันจะสกปรกมือสักหน่อยแต่มันก็ยังถูกต้องตามความประสงค์กว่า ทีนี้ถ้าทำให้เป็นแซนด์วิชเสียมันก็ยิ่งดี เหมาะสมกับความต้องการสมัยนี้ เพราะชีวิตของเรานั้นควรจะถูกประกบไว้ด้วยสิ่งสองข้าง คือความถูกต้องในทางร่างกายข้างหนึ่ง ความถูกต้องในทางจิตหรือวิญญาณอีกข้างหนึ่ง ขนาบอยู่สองข้างอย่างนี้แล้ว ชีวิตนี้จะปลอดภัย จะถูกต้อง จะไม่มีความทุกข์เลย เดี๋ยวนี้มันขาดอยู่ข้างหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าอะไร มันปล่อยปละละเลยจนไม่รู้ว่าอะไรเอามาใช้ไม่เป็น ในโลกมันก็เป็นอย่างนี้ คือรู้แต่ด้านเดียวๆแล้วก็มากเกินไป ขอให้ช่วยเอาไปคิดในฐานะที่มันเป็นปัญหาของเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายของเราด้วยกันทั้งโลก แล้วมันก็มาเป็นปัญหาแก่เด็กๆ ของเรา ในครอบครัวของเราพุทธบริษัท เรียกว่าจะต้องระวังกันแล้ว โลกมันมาถึงยุคถึงสมัยที่จะต้องระวังกันให้เป็นอย่างยิ่งแล้ว เรามีโชคดีหรือว่ามีโชคร้ายในการที่ได้มาเกิดพ้องสมัยกับเขาในลักษณะเช่นนี้ อาตมาถือว่ามันไม่ใช่โชคดี ก็เลยเอามาล้อตัวเองเล่น แต่เมื่อมันหลีกไม่พ้น มันก็ต้องหาทางที่จะแก้ไข เรียกว่ามันจำเป็นที่จะต้องสู้ ที่จะต้องเผชิญหน้ากับมันให้ลุล่วงไปให้ได้ นี่ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ว่าน่าหัวก็น่าหัว น่ากลัวก็น่ากลัว น่าเศร้าก็น่าเศร้า น่าละอายก็น่าละอาย เป็นเรื่องที่ควรจะเอามาล้อตัวเองเล่น ในฐานะที่ว่ามันไม่มีสมรรถภาพเสียเลยบ้าง หรือว่ามันเป็นโชคดีชนิดไหนกันที่ได้มาอยู่ในท่ามกลางสถานการณ์อย่างนี้ในโลกนี้ ถึงว่าเป็นสิ่งที่จะเอามาล้อกันเล่นในโอกาสนี้ปีละครั้ง คือวันที่เรียกว่าทำบุญล้ออายุ มันจะมีประโยชน์อะไรหรือไม่ก็ไปสังเกตเอาเองก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้ประโยชน์แก่ใคร มันจะได้ประโยชน์แก่อาตมาเองที่มันถูกล้อ หนักเข้ามันก็คงจะฉลาดยิ่งขึ้นกว่าเดิม คำพูดเหล่านี้สรุปความแล้วมันเป็นเรื่องล้อ ล้อชีวิต ล้ออายุได้ด้วยผลของการที่มองเห็นโลกหรือมองเห็นชีวิตมาเป็นเวลาสิบๆ ปี เช่นว่าชั่วสี่สิบปีนี้เคยเข้าใจอย่างไรเมื่อครั้งกระโน้น เดี๋ยวนี้มันเข้าใจตรงกันข้าม อย่างเรื่องแรกที่สุดว่าเคยบูชาประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้มาจ้างให้ก็ไม่เอา ต้องการธรรมาธิปไตย แม้เผด็จการก็ได้ นี่ความคิดมันเปลี่ยนอย่างนี้ชั่วระยะสามสิบสี่สิบปีนี้ มันก็แหวกแนวคนอื่น มันก็หลีกไม่พ้นที่ว่าจะต้องถูกด่า ถูกประนาม ถูกว่า ถูกล้อ อ้างต่อไปอีก แต่แล้วก็จะมองมันในแง่ที่เป็นผลดีทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรดูให้ดีมีแต่ได้ ไม่มีเสีย ทุกคนควรจะท่องไว้ในใจให้แม่นยำว่า ทุกอย่างนั่นแหละ ไม่ว่าอะไรดูให้ดีเหอะ จะมีแต่ได้ไม่มีเสีย ไอ้การได้นั่นถ้าดูไม่ดีจะกลายเป็นเสีย ที่ว่าได้เงิน ได้ทอง ได้ของ ลองดูไม่ดีจะกลายเป็นเสียหาย ฉิบหายหมด นี้เราจะทำในทางที่ตรงกันข้ามว่าเมื่อดูให้ดี คือจัดให้ดี ทำให้ดีแล้ว ทุกอย่างไม่มีเสีย มีแต่จะได้ มันจะเสียอะไรไป หรือมันจะได้อะไรมา เมื่อเราดูดีแล้ว มันจะมีแต่ความเป็นประโยชน์ ความเป็นอานิสงส์ ฉะนั้นอย่าลืมสติสัมปชัญญะอย่างยิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอน อย่าลืมความรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา อันนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้มันง่ายที่สุดในการที่จะดูอะไรให้ดีๆ แล้วเมื่อดูให้ดีแล้วจะมีแต่ได้ ไม่มีเสียเลย คือจะไม่มีความทุกข์เลย จะมีแต่ความสงบสุข แล้วก็เคลื่อนไหลไปในทิศทางของพระนิพพานได้โดยเร็วด้วย ฉะนั้นการล้อชีวิตคือล้ออายุในลักษณะเช่นนี้ คงจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย แล้วแต่ว่าผู้นั้นจะรู้จักเอาไปใช้มันในลักษณะไร เดี๋ยวนี้โรคภัยไข้เจ็บมันหนักนักแล้ว มันเรื้อรังนักแล้ว มันจะต้องขูดกันอย่างเจ็บปวดแล้ว ก็ต้องพูดกันอย่างนี้ ฉะนั้นขออย่าได้ถือว่าเป็นคำรุกรานหรือด่าว่า ถากถาง ขอให้ถือว่าเป็นคำพูดที่ชักชวนกันด้วยความหวังดี ให้ขจัดความทุกข์หรือกิเลสนี้ออกไปเสียให้พ้น ด้วยการล้อมันเล่น ความหมายก็มีอยู่เท่านี้ เรื่องที่ตั้งใจจะพูดในตอนนี้ก็มีอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นขอให้กำหนดจดจำออกไป มันจะเป็นประโยชน์ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น นี่เหนื่อยแล้วก็ขอยุติการบรรยายตอนนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อน