แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายตอนนี้เป็นเรื่องพิเศษ ตามธรรมดาก็แสดงธรรมเทศนา แต่เป็นธรรมเทศนาในลักษณะที่เป็นการล้อ เรียกว่า ล้ออายุ ในปีก่อนๆ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ถือว่าเป็นวันที่เขาเรียกกันว่าวันทำบุญอายุหรือวันทำบุญวันเกิดหรือ(อะ)ไรทำนองนั้น เพราะว่าอาตมาเกิดวันที่ ๒๗ พฤษภาคม นี่เผอิญปีนี้ วันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี้ก็มาตรงกันพอดีกับวันวิสาขบูชา ก็(เรื่อง)นี้อยากจะบอกให้ทราบว่ามันก็ไม่แปลกประหลาดอะไร ถ้าท่านผู้ใดมีวันเกิดในเดือนพฤษภาคมแล้ว มันก็คงจะไปตรงกับวันวิสาขบูชาเข้าในวันใดวันหนึ่งแห่งปีใดปีหนึ่งเป็นแน่นอน ดังนั้นขอให้สังเกตดูเถอะ คนที่เกิดในเดือนพฤษภาคมนั้น วันเกิดคงจะไปตรงกันเข้ากับวันวิสาขบูชาได้ในวันใดวันหนึ่ง ในๆๆปีใดปีหนึ่ง ไม่ใช่เป็นของแปลกประหลาดอะไร แต่ทีนี้มันมีปัญหาหากเกิดขึ้นสำหรับอาตมาเองว่า วันที่ ๒๗ พฤษภาคมนี้เคยแสดงธรรมเทศนาในลักษณะที่เป็นการล้ออายุของตัวเอง เป็นการล้อในลักษณะหนึ่ง คือล้อว่ามันได้มีความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในลักษณะที่แปลกประหลาด หรือว่ามันทำไมมันอยู่มาจนได้พบกันกับอาการที่แปลกประหลาดนี้ ให้ลองไปอ่านดูในหนังสือที่มีชื่อว่า ล้ออายุ ปีก่อนๆ ก็จะพบว่า คำว่าล้ออายุในที่นี้มีความหมายว่าอย่างไร อายุของใครก็ตาม มันก็เป็นอันเดียวกับที่เรียกว่าชีวิต ชีวิตก็คืออายุ อายุก็คือชีวิต ถ้าใครฉลาดในการที่จะล้อมันเล่น มันคงจะมีผลบ้าง ในทางที่ให้มันเป็นไปในทางดี มีความสลด มีความสังเวช อะไรทำนองนั้น มันเหมือนกับไปเฆี่ยนไปตีมันเข้า ให้ได้สำนึก ให้ได้อะไรต่างๆ เสร็จแล้วก็ทำไปในความหมายที่สนุกสนาน เหมือนกับการล้อเล่น ถ้าใครเห็นด้วยว่ามันจะเป็นประโยชน์ ก็หาวิธีล้ออายุของตัวเองดูบ้างก็แล้วกัน อย่างวันที่เป็นวันเกิดอย่างของอาตมาในวันนี้ เริ่มขึ้นก็ล้อมันเล่นด้วยวันนี้ไม่ฉันอาหาร เพราะว่าใครก็ตามในวันที่เกิดมาในโลกนี้วันแรกนั้นนะไม่ได้กินอาหารกันทั้งนั้นแหละ เพราะว่ามันไม่รู้จักกิน แม้แต่น้ำ มันก็ยังไม่รู้จักกิน ก็เรียกว่าวันเกิดนั้นนะเป็นวันที่ไม่ได้กินอาหาร เพราะฉะนั้นวันนี้จึงล้อมันด้วยการไม่กินอาหาร คือ ถ้าใครอยากจะให้ของขวัญวันเกิดแก่อาตมาก็เรียกเอาของขวัญคือ ต้องไม่กินอาหารด้วยอีกคนหนึ่ง ถ้าหลายๆ คนให้ของขวัญในลักษณะนี้ มันก็ประหยัดอาหารได้แยะ ถ้าสมมุติว่าวันนี้เกิดมีคนให้ของขวัญสัก ๑๐๐ คน ไม่กินอาหารตลอดวัน คงจะคุ้มอาหารไปได้สัก๑๐๐ ชุด ถ้าชุดหนึ่ง ๒๐ บาท มันก็ตั้ง ๒๐๐๐ บาทใช่ไหม นี่มันดีอย่างนี้ ประหยัดเงิน ได้ช่วยเศรษฐกิจของประเทศชาติได้ ถ้ามีการให้ของขวัญกันแบบนี้มากๆ จำนวนตั้ง ๑๐๐๐ คน ๑๐๐๐๐ คน ก็ประหยัดเงินได้ตั้ง สมมุติว่า ๑๐๐๐๐ คนก็ ๒๐ หมื่นบาทนะ บางคนกินอาหารวันหนึ่งมากกว่า ๒๐ บาทอาจจะตั้ง ๑๐๐ บาทก็ได้ นี่มันจะเป็นการช่วยประหยัดเศรษฐกิจได้ด้วยไม่ใช่เป็นเรื่องล้ออายุอย่างเดียว นี่เป็นที่รู้กันมาหลายปีแล้วว่าอาตมาไม่ต้องการของขวัญอย่างอื่น ในวันเกิดนั้นต้องการของขวัญชนิดที่ว่ามาช่วยกันไม่กินข้าว ไม่กินอาหารเสียสักวันหนึ่ง ก็มีคนใจดีให้ของขวัญแบบนี้แก่อาตมาอยู่บ่อยๆ เป็นพระเป็นเณรก็มี เป็นฆราวาสก็มี ดูเหมือนจำนวนจะเพิ่มขึ้นด้วย ที่มองดูกันในแง่ที่ดีหน่อยก็ว่า ทำให้คนโง่หายโง่ หรือโง่น้อยลงไป มันโง่ว่าถ้าไม่ได้กินอาหารแล้วจะเป็นลม ทำไมไม่เห็นเป็นลม (ใน)คนที่ไม่ได้กินอาหารเอง หรือว่า(คน)ที่ให้ของขวัญวันนี้ก็ไม่เห็นเป็นลม แล้วที่เคยโง่ว่าไม่ได้กินอะไรแล้วจะเป็นลม มันโง่ นี่ของขวัญนี้มันกลับให้ประโยชน์แก่ผู้ให้ คือหายโง่หรือโง่น้อยลง บางคนมันอ่อนแอ ไม่กล้า ไม่กล้าจะอดอาหารสักวันหนึ่ง มันอ่อนแอ ถ้ามันเกิดให้ของขวัญแบบนี้ขึ้นมามันก็เข้มแข็งขึ้นมาเท่านั้นเอง การรู้จักทำจิตให้เข้มแข็งนี้มีประโยชน์มาก ทั้งทางโลกๆ และทั้งทางธรรม ในทางโลกๆถ้ามีจิตเข้มแข็งก็ทำอะไรได้ดีกว่าคนที่มีจิตอ่อนแอ ในทางธรรมนั้นยิ่งต้องการมาก สำหรับผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งจะได้มาโดยวิธีใดก็ตามต้องเข้มแข็ง ถ้ามันเป็นเรื่องเข้มแข็งได้แล้วก็มีประโยชน์ทั้งนั้น ไอ้เรื่องเข้มแข็งของจิตนี่มันก็เป็นเรื่องจิต แล้วมันมีอุบายหลายๆ อย่างที่จะทำให้มันเข้มแข็ง แต่ถ้าสรุปความแล้วก็หมายความว่ามันมีอารมณ์อะไรที่เข้มแข็งรุนแรง เข้ามากระตุ้นเอาไว้ มาหล่อเลี้ยงเอาไว้ มันก็เข้มแข็งอยู่ได้ มันอดอาหารได้ วันหนึ่ง ๒ วัน ๓ วันอะไรก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆก็ไม่ได้ฉันอาหาร ว่าตั้งหลาย ๑๐ วันถ้าถือตามตัวหนังสือในพระคัมภีร์ ๗ วัน ๗ วันนี่หลายหน เรื่องของพระเยซูก็มีคล้ายๆกันนะ พระเยซูบรรลุธรรมแล้วก็ไม่ฉันอาหาร ไม่รับประทานอาหารตั้ง ๔๐ วันอะไรทำนองนี้ มันอยู่กันได้ด้วยอะไร คนที่อ่อนแอ จิตใจอ่อนแอในเรื่องกินอาหารไม่ยอมเชื่อ หาว่าพระคัมภีร์นี้โกหก ได้ผลคือพระคัมภีร์โกหก เขาเขียนไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันอาหารตั้งหลายสัปดาห์ พระคัมภีร์อื่นๆ ก็พลอยโกหก พลอยถูกหาว่าโกหกไปด้วย นี่มันไม่ใช่คัมภีร์โกหก มันเป็น เป็นความอ่อนแอของคนที่ได้ยินนั้น พอได้ยินว่าอดข้าวมื้อเดียว มันก็คิดว่าต้องตายแน่ เอาตัวเองเป็นประมาณ ดังนั้นการที่รู้จักทำให้กล้าหาญอย่างนี้นั้นมันก็ดี มันจะได้รู้ความจริงอะไรได้ด้วย ถ้ามันกล้าหาญ มันเข้มแข็งด้วย มันหายโง่ด้วยอย่างที่ว่ามาแล้ว อาตมาก็เคยถูกพวกหมอหลอก พวกหมอนี่ตัวดีนักแหละ ว่าถ้ากินอาหารไม่เป็นเวลาหรือว่างดเว้นไปมันจะทำความเสียหายให้แก่ร่างกาย เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่าไม่จริง พวกหมอก็ขี้ขลาดและอ่อนแอ จึงได้พูดอย่างนั้น ไม่เชื่อก็ลองมาพิสูจน์กันก็ได้ พวกเณรหรือว่าพระบางองค์ก็อดอาหารได้ตั้งหลายๆ วันไม่เห็นเป็นอะไร แต่ถ้าเขาไปเชื่อว่ามันจะเป็นอะไรแล้วมันอาจจะเป็นได้จริงๆ เหมือนกัน เพราะมันเป็นเรื่องจิต ถ้าเชื่อว่าจะเป็นลมมันก็คงจะเป็นลมเหมือนกัน ถ้าเชื่อว่าจะท้องเสียมันก็จะท้องเสียเหมือนกัน มันเป็นเรื่องของจิตที่ประหลาดๆอยู่ แต่เรื่องอดอาหารนี้ไม่ใช่เป็นไปทางท้องเสียแบบกินอาหารมาก ถ้าเสียมันก็เสียไปในทางอื่น แต่แล้วมันก็ไม่ควรจะเสีย เพราะว่าไม่ได้กินอะไรเข้าไปรบกวนท้องให้ท้องเสีย เรื่องนี้ธรรมชาติเป็นผู้บงการแล้วก็ไม่มีกฎที่แน่นอน สัตว์เดรัจฉานเช่นงูเป็นต้น กินอาหารไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ มีก็กินไม่มีก็(ไม่)กิน(12.50) หลายวันจึงกินทีหนึ่งก็ได้ กินทุกวันก็ได้ ไม่ปรากฏว่าท้องเสียหรืออะไรทำนองนั้น ไอ้คนเราทีแรกก็คงเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน(กับ)สมัยที่เป็นคนป่า บางวันก็ได้กินทุกวัน บางวันหาไม่ได้ก็ไม่ได้กิน เพราะว่าเขาไม่มีอุปาทาน เพราะไม่รู้จักคิด(ไม่รู้)จักนึก อย่างคนที่สมัยนี้คิดนึก ปัญหามันก็ไม่ค่อยมี อาตมาเห็นว่าการล้ออายุ ด้วย(การ)ไม่กินอาหารในวันที่จะล้อนั้นนะ เป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ ทั้งในทางแง่โลกๆ หรือในแง่ของธรรมะ อย่างเช่นว่ามาแล้วว่ามันหายขี้ขลาด มันหายอ่อนแอ มันหายเข้าใจผิด แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่พร้อมอยู่เสมอที่ว่าเหตุการณ์มันจะเป็นอะไรก็ตามใจมัน คนโง่ๆ หมูขึ้นราคาหน่อยก็เดือดร้อนจะเอาหัวชนฝาตายเสียแล้ว นี่ไม่ใช่ว่าอดอาหารเพียงแต่ว่าหมูมันแพงไปหน่อย มันก็จะหัวชนฝาตาย หรือว่าไปต่อว่าคนนั้นคนนี้(ให้)ยุ่งไปหมด รัฐบาลก็พลอยสั่นคลอนไปด้วย เพราะว่าหมูมันแพงนิดเดียว ทำไมมันไม่ฉลาดสักหน่อยว่าก็อย่ากินมันก็แล้วกัน ไปกินอย่างอื่นแทน แล้วถ้าไม่มีอะไรจะกินก็ไม่กินอะไรเสียเลยบ้างบางวัน มัน(ก็)จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ในทางจิตใจก็จะเข้มแข็ง ในทางร่างกายก็แก้ปัญหาได้ ในทางเศรษฐกิจก็แก้ปัญหาได้ จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะลอง ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเพราะไปอ่านพระสูตรที่ตรัสเล่าไว้เอง ว่าการบำเพ็ญวัตรอย่างเดียรถีย์มันเป็นอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับอาหารก็มี เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่มก็มี เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยก็มี เกี่ยว(กับ)การทรมานอย่างอื่นก็มี ในพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นและเป็นพระคัมภีร์ชั้นพระไตรปิฏกเสียด้วย คือคัมภีร์ชั้นบาลีไม่ใช่ชั้นอรรถกถา พระพุทธเจ้าเคยอดอาหารไม่ฉันเลยก็มี แล้วเรียกว่าอาหารวิบัติ(15.40) คือเปลี่ยนให้มันแปลกๆ แตกต่างกันไป ในส่วนอาหารที่ฉัน ในเวลาที่ฉัน ในวิธีที่ฉัน ก็ต่างๆ กันไป ฉันวันละ ๑๐ คำบ้างก็ลดลงมา ๙ คำ ๗ คำ ๖ คำ จนกระทั่ง ๑ คำ ครึ่งคำอย่างนี้ กระทั่งเท่าเมล็ดบัวอย่างนี้ก็มี หรือว่าฉันหลายวันต่อครั้งก็มี อย่างนี้ก็แปลกจนถึงกับว่า ฉันใบไม้เป็นอาหารก็มี เหมือนกับภิกษุพระยานรรัตน์นั้นเขาว่ากัน(ว่า)ก็เคยฉันใบไม้ หญ้าอะไรเป็นอาหาร ก็ไม่แปลกจากที่พระพุทธเจ้าท่านเคยทำมาแล้ว พระพุทธเจ้าฉันมูตรและกรีส อุจจาระ ปัสสาวะของสัตว์เช่นวัวเป็นต้น บางทีก็ฉันมูตรกับกรีสของลูกวัว บางทีก็ไม่มีจะฉันก็ต้องฉันมูตรและกรีสของพระองค์เอง ฟังแล้วน่าสะดุ้ง ก็ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ยังได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในตอนหลัง คือไม่ดับขันธ์(ไป)เสียก่อน เมื่อน่าจะนึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกลัวให้มันมากเกินขอบเขต ความจริงมันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความเอร็ดอร่อยหรือความเคยชิน ความจริงไม่อยากลองไม่กล้าลอง นี่จึงไม่มีการให้ของขวัญวันเกิดแก่อาตมาทุกคนหรือทุกองค์ มีแต่บางคนหรือบางองค์เท่านั้นที่กล้าให้ของขวัญแบบนี้ ทั้งที่เวลาก็ล่วงมาหลายปีแล้ว อย่างนี้เรียกว่าล้ออายุว่าในวันเกิดนี้เราไม่ได้กินอาหารแล้วเราก็ไม่ควรจะกินลองดูบ้าง ทั้งนี้ก็ยังมีวิธีล้ออย่างอื่นๆ แล้วแต่ว่ามันจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นไปในทางเข้มแข็งในทางที่ทนได้อยู่อีกหลายอย่างหลายประการ
แล้วก็มีล้ออย่างอื่นก็คือว่าในทางสติปัญญา ไม่ใช่ทางวัตถุเช่นอาหารเป็นต้น ว่าอยู่มา ทำไมจึงได้อยู่มา หรือมีโชคดีที่อยู่มาจนได้ประสบกับเหตุการณ์ต่างๆในโลกที่เป็นอยู่ในเวลาวันนี้ ถ้าล้อกันในเวทีนี้แล้ว อาตมาก็ล้อแทนท่านทั้งหลายได้ด้วย เพราะว่าท่านทั้งหลายก็มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ในขณะที่โลกมันเปลี่ยนแปลงอย่างน่าขยะแขยงก็มี น่าเกลียดน่าชัง น่าเอือมระอา น่าหัวเราะ น่าสงสาร อย่างนี้ควรจะรู้สึกกันได้ทุกคน แต่ว่าแทนที่จะไปว่าคนอื่นนี่กลับเอามาล้อตัวเองว่าแหมโชคดีจริงนะได้อยู่ในโลกในลัก(ษณะ)ในเวลาที่มันเป็นอย่างนี้ แต่แล้วก็พิจารณาอย่างละเอียดว่าที่มันเป็นอย่างนี้นั้นมันเป็นอย่างไร คือมันโง่หรือฉลาด มันเป็นคนดีหรือเป็นคนร้าย นี้เรียกว่าล้อกันในวงกว้างๆ ทีนี้มองแคบๆ เข้ามาในวงพุทธบริษัทแท้ๆ ก็ยังมีส่วนที่จะต้องล้อ พระพุทธบริษัทของเราในเวลานี้เป็นอย่างไร ถ้ามันไม่สมกับที่เรียกว่าพุทธบริษัทมันก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ควรจะถูกล้อหรือยิ่งกว่าถูกล้อก็(คือ)ควรจะถูกด่า ถ้าว่ามีการด่ากันบ้างก็อย่าโกรธเลย มันอยู่ในสภาพที่เรียกว่าควรจะถูกด่าหรือยิ่งกว่าถูกด่าก็ตามใจ นี่เราเอามาเป็นเครื่องล้ออายุตัวเองประจำปี มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเองเกี่ยวกับสถานการณ์ในโลก ในสังคมหรือว่าในวงพุทธบริษัท แล้วก็เอาจำๆ เอาไว้ บางทีก็ถึงกับจดเอาไว้ แล้วเอามาคิดบัญชีสักทีหนึ่งในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม เรียกว่าเป็นการล้ออายุ คนอื่นเขาทำบุญด้วยการต่ออายุให้มันยาวออกไป อาตมาก็ทำบุญด้วยการล้อมันเล่นสนุกๆ ถ้าใครทำบุญอายุกันแล้วก็ลองคิดดูว่าทำบุญแบบไหนดี ทำบุญอายุแบบอาตมาก็ล้ออายุมันเข้า ถ้าทำบุญแบบที่เขาทำทั่วๆไปก็ต่ออายุมันเข้า แต่คงจะเสียสตางค์มาก ไปจ้างคนให้มาต่ออายุนี่มันก็ต้องเสียแล้ว แล้วมันก็ยังต้องกินอยู่ปูอะไรกันอีก มันก็เลยเสียสตางค์มาก แล้วถ้ามาทำบุญแบบล้ออายุอย่างนี้ก็คงจะไม่ต้องเสีย ก็ชวนกันให้ของขวัญแบบนี้ แล้วก็เลยไม่ต้องเสียสตางค์ ทั้งคนเจ้าอายุและคนที่ให้ของขวัญ เรื่องนี้ไม่ใช่พูดเล่น ขอให้ทุกคนเอาไปคิดด้วยว่าถ้าจะทำบุญเกี่ยวกับอายุกันแล้วควรจะทำอย่างไร ให้มันเป็นการก้าวหน้า ที่ว่าก้าวหน้านี้คือให้มันใกล้พระนิพพานเข้าไปทุกที อาตมายืนยันว่าทำบุญอายุแบบนี้จะใกล้นิพพาน แต่ทำบุญแบบต่ออายุอย่างออดแอด อย่างขี้ขลาด อย่างละโมบ อย่างผลที่เป็นวัตถุเป็นอะไรนั้นนะ มันยิ่งไกลนิพพาน ยิ่งไกลนิพพานออกไป ทำบุญอายุอย่างที่เขาทำกันนั้นมันเป็นเรื่องจะทำให้ไกลนิพพานออกไปมากกว่าที่จะใกล้นิพพาน ถ้ามาล้ออายุอย่างนี้ มันประชดร่างกายด้วย มันประชดกิเลสด้วย ร่างกายก็อยากให้มันคึกคะนองไปได้ ในเรื่องกิเลสนี่ก็ล้อมันเล่น ขู่มันไว้ จึงเชื่อว่ามันจะต้องเป็นไปเพื่อใกล้ต่อนิพพาน คือ หมดตัวกูของกูนี้อะไรง่ายขึ้น ขอให้ไปคิดดู ในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราเองมันก็น่าล้อ แล้วในเรื่องของสังคม สังคมที่มีเรารวมอยู่ด้วยคนหนึ่ง นี่มันก็น่าล้อ มันจึงเอามาล้อได้ทั้งนั้น ทีนี้วันนี้มันเผอิญวันเกิดวันนี้เผอิญมาตรงกับวิสาขบูชาก็เลยไม่ค่อยกล้าจะล้อ เดี๋ยวมันเผลอเกิดไปล้อเอากับพระพุทธเจ้าเข้ามันก็จะตกนรก ก็เลยต้องระมัดระวังหน่อยสำหรับปีนี้ในการที่จะล้ออายุ ไม่เหมือนปีก่อนๆ ที่พูดได้อิสระไม่ค่อยยั้ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็อดไม่ได้ที่ว่าเป็นวันกำหนดไว้สำหรับการล้ออายุ ก็เลยตั้งใจว่าจะล้ออย่างสำรวมระวัง ก็เลยมองออกไปไกลจากตัว หรือว่าถ้าจะมองที่ตัว มันก็มองในๆ ลักษณะที่ปลอดภัย
เอาละทีนี้ก็มาถึงบทที่จะล้อ บทที่ ๑ เมื่อปีที่เรามีสวนโมกข์กันในปีนั้นเป็นปี ๒๔๗๕ มีสวนโมกข์ขึ้นมาบางคนยังไม่ทราบก็ถือโอกาสบอกซะเดี๋ยวนี้เลยว่าไอ้สวนโมกข์นี่มันเกิดขึ้นปีเดียวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย คือปี ๗๕ เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี ๗๕ เรามีสวนโมกข์เป็นวันวิสาขะเหมือนกัน ทีแรกประเดิมอยู่สวนโมกข์ ทีนี้พอเดือนมิถุนายนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มันจำไว้ได้ง่ายๆ ว่าสวนโมกข์นี่แก่กว่าการเปลี่ยนการปกครอง ๑ เดือน พอเขาเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ เป็นประชาธิปไตยนี้ ก็มีผู้มานิมนต์ให้เทศน์เรื่องประชาธิปไตยกับพุทธศาสนา คณะนั้นเขาเห็นเขาเข้าใจกันว่าอาตมาคงจะเทศน์ได้ดี เรื่องไอ้ประชาธิปไตยก็เกี่ยวกับพุทธศาสนา ก็เลยรับปากทันที รู้สึกว่าเขาให้เกียรติอย่างยิ่งในการที่เชิญเราพูดเรื่องประชาธิปไตยกับพุทธศาสนา ในตอนนั้นก็แรกบวชได้ไม่กี่พรรษาความรู้แค่หางอึ่งเท่านั้นเอง ก็ยังกล้าพูดเรื่องยากๆ เรื่องสูงๆ เรื่องลึกๆ ประชาธิปไตยกับพุทธศาสนา พูดเสียเป็นคุ้งเป็นแควก็สารภาพว่าก็หลงประชาธิปไตยกะเขาด้วย ก็เลย pro ประชาธิปไตยเป็นการใหญ่ อ้างหลักพุทธศาสนาในของคณะสงฆ์เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สนับสนุน spirit ของประชาธิปไตย ด้วยความรู้แค่หางอึ่งนั่นแหละ แต่พูดเสียเป็นคุ้งเป็นแควเป็นชั่วโมงๆ เลย พอมานึกเดี๋ยวนี้แล้วใจหาย นี่ ๒๐, ๔๐ กว่าปีมานี่แล้วใจหายเลย นี่เวลานั้นมันพูดเสียอย่างเป็นคุ้งเป็นแควและก็ด้วยความรู้แค่หางอึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่ชอบประชาธิปไตยแล้ว แต่ว่าชอบธรรมาธิปไตย ถ้าพูดเดี๋ยวนี้แล้วก็จะไม่พูดได้เลยว่าประชาธิปไตยนี่มันมีอะไรดี ก็ดูสิ(ว่า) ๔๐ ปีมันก็พิสูจน์ เดี๋ยวนี้เกิดชอบธรรมาธิปไตย เลยปล่อย(ให้)เกิดความแน่ใจว่าเดี๋ยวนี้เรามาถือธรรมะเป็นที่พึ่งกันเถิด อย่าถือประชามติเป็นที่พึ่งเลย ถ้าทุกคนมันโง่ มันก็พาไปลงนรกหมดเลยทีเดียวหมดทั้งโลกเลย เพราะว่าเอามติของทุกคนเป็นหลัก ถ้ามันไม่ประกอบด้วยธรรมแล้ว มันก็ยิ่งร้ายมากที่จะจมลงไปในความผิดหรือว่าในกองทุกข์ ประชาธิปไตยนั้นมันจะเป็นไปได้ก็แต่สำหรับคนดี คนซื่อ คนเสียสละ เท่านั้นแหละ ถ้าเป็นพระอริยะเจ้ากันทุกคนแล้วละก็ ระบอบประชาธิปไตยก็จะดีแน่ แต่ถ้ายังเป็นอันธพาลกันมากๆ อย่างนี้ระบอบประชาธิปไตย(ก็)ใช้ไม่ได้ ขืนใช้ก็อันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มกรุงเทพมหานครแล้วยังจะมาเต็มที่ไชยา นี่เขาว่าเป็นเรื่องประชาธิปไตยที่ปล่อยไปตามความต้องการของคนที่มันไปหลงวัตถุนิยม เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายหลงวัตถุนิยมตามก้นฝรั่ง แล้วคนเหล่านี้ทั้งหมดเกิดประชาธิปไตยขึ้น มันก็พาสังคมมนุษย์ไปหาวัตถุนิยม ศาสนามันก็หมด สิ่งที่เกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมืองก็คืออันธพาล นี่ประชาธิปไตยมันต้องเป็นของคนซื่อ คนดี คนเสียสละ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ไม่ประชาธิปไตยเสียดีกว่า ที่ใช้อำนาจเผด็จการอะไรชนิดที่มันอยู่ในเหตุผลนี่ยังดีกว่า ถ้าพูดอย่างนี้เดี๋ยวถูกจับก็เลยไม่พูด แต่จะพูดว่าธรรมาธิปไตยดีกว่า ไอ้ธรรมะนี่คือความถูกต้อง ความจริง ความบริสุทธิ์ ยุติธรรม แต่สรุปแล้วคือความไม่เห็นแก่ตัวที่มันจะได้มาจากการบังคับตัวเอง บังคับกิเลส บังคับตัวเองให้ได้ แล้วก็จะได้ความไม่เห็นแก่ตัวนี้จะเป็นธรรม ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมเพียงคำเดียวนี่มันไปขยายออกไปเป็นความไม่เห็นแก่ตัวทุกชนิดเลย ดังนั้นเราจะต้องหันหน้าไปพึ่งไอ้ธรรม คือความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ไม่เห็นแก่ตัวนี้อย่าเข้าใจผิดว่าปล่อยให้มันฉิบหายไปเลย ไม่เห็นแก่ตัวก็คือว่าไม่ให้กิเลสนี่มันทำอะไรไปในลักษณะที่เข้าข้างตัว เอาแต่ประโยชน์ตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ความดี ความจริง ความถูกต้องนั้น คำว่าไม่เห็นแก่ตัวมันก็มีความหมาย ๒ อย่างจนพูดได้ว่าไอ้คำพูดของมนุษย์ทุกคำนี่มีความหมายเป็น ๒ อย่าง คือ ทั้งดีและทั้งร้ายอย่างตรงกันข้าม อย่างคำว่าความว่างนี่เป็นอันตรายอย่างยิ่งก็มี เป็นอานิสงส์อย่างยิ่งก็มี แล้วแต่มันจะเป็นชนิดไหน ความไม่เห็นแก่ตัวก็หมายความว่า ไม่เห็นแก่กิเลส ไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็ปล่อยหมดไม่ทำอะไร ไม่มีอะไรที่จะสงวนตัวถนอมตัวอย่างนั้นไม่ใช่ กิเลสเกิดขึ้นแล้วก็จะแสดงความเห็นแก่ตัว ความโลภนี้มันก็เห็นแก่ตัว ไปดูให้ดีๆ มันโลภ มันเห็นแก่ตัว มันจึงโลภ เราเคยโลภ เราก็ดูให้ดีว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัว ไอ้ที่โกรธนั้น(มันเป็น)ความเห็นแก่ตัวเพราะมันไม่ได้ตามใจตัวมันจึงโกรธ ดังนั้น ความโกรธก็เป็นความเห็นแก่ตัว ทีนี้ความหลงใหลมัวเมานี่ก็จึงเป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวที่ยัง ยังมืดมัว ยังไม่โผล่ออกมาอย่างชัดแจ้ง แต่ก็เป็นเรื่องความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ความไม่เห็นแก่ตัวก็คือความไม่มีกิเลสหรือว่าสามารถจะควบคุมกิเลสไว้ในอำนาจได้ นี่คือความไม่เห็นแก่ตัว
ในสมัยนั้นอาตมาก็ประชาธิปไตย ประชาธิปไตย แล้วก็พูดถึงว่าคณะสงฆ์นี้ก็มีหลักประชาธิปไตยคือไม่มีอะไรเป็นทรัพย์สมบัติของแต่ละคน เป็นของสงฆ์ไปหมด ตรงกับอุดมคติของประชาธิปไตยเลยเถิดไปเป็นคอมมิวนิสต์เลย เดี๋ยวนี้มามองเห็นว่ามันคนละเรื่อง ถ้าเป็นพระสงฆ์จริงปัญหามันไม่มี จะประชาธิปไตยกันอย่างไรก็ได้ถ้าเป็นพระจริง แต่พอเป็นพระไม่จริงเข้ามามันก็ชกต่อยกัน ทั้งๆ ที่ว่ามีหลักประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้จะขอยืนยันว่าที่พูดไปคราวนั้นเมื่อ ๔๐ ปีมาแล้วนั้นมันผิด ขอถอนคำพูด ว่ายังไงๆ พวกเรามาถือหลักธรรมาธิปไตยกันเถิด ถือธรรมเป็นใหญ่เถิด อย่าถือบุคคลเป็นใหญ่ อย่าถือโลภเป็นใหญ่ อย่าถือคณะเป็นใหญ่ อย่าถือคนทุกคนเป็นใหญ่ ถือธรรมเป็นใหญ่ เป็นหัวใจไว้ก่อน เมื่อถือธรรมเป็นใหญ่แล้ว ต่อไปจึงค่อยไปนึกถึงประชาธิปไตยหรือเผด็จการหรืออะไรก็ตาม ให้ธรรมมันมาก่อนเป็นใหญ่ก่อนแล้วประชาธิปไตยก็จะใช้ได้ เผด็จการก็ใช้ได้ เผด็จการยิ่งดีมันไม่อืดอาดเหมือนประชาธิปไตย แต่ขอให้มีธรรมเป็นหัวใจ นี่ถ้าเราหาระบบการปกครองไหนๆในชนิดไหนในโลกไม่ได้แล้ว ก็ยึดธรรมาธิปไตยไว้เถิด ให้เหลือแต่เราคนเดียวก็เอา คนอื่นเขาไม่เอาเราเอาคนเดียวก็ยังได้ ยังถูก ยังจริงที่สุดอยู่ ถ้าเขาไม่ถือธรรมกันแล้วเหลือแต่เราคนเดียวก็ถือไปเถอะ อาตมาขอยืนยันว่าแน่ใจอย่างนั้นแล้วก็แนะนำอย่างนั้น คนทั้งโลกเขาไม่ถือธรรมะกันแล้ว เหลือแต่เราคนเดียวก็ถือเถอะ ถือธรรมะเป็นใหญ่เถอะ อย่าไปเอาว่าพวกมากลากไปหรือว่าไอ้ตาเหล่แล้วพลอยเหล่ตามไปด้วยมันไม่ถูก มันต้องถือธรรมกระต่ายขาเดียวไว้เรื่อยจนวินาทีสุดท้ายเหลืออยู่คนเดียว นี่ก็เอามาล้อตัวเองว่ามันเคยโง่มาหลาย ๑๐ ปี ก็ค่อยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนจะอะไรๆ มาเป็นธรรมาธิปไตย ธรรมะก็ธรรมะในพระพุทธศาสนา แล้วก็ตรงกับธรรมะสากลทั่วๆ ไปด้วย นี่ของขวัญที่อาตมาให้พื้นแก่ท่านทั้งหลายที่ให้ของขวัญแก่อาตมาเป็นข้อแรก ว่าแม้สมัยนี้สมัยปิงปองอันแสนจะตลบตะแลงนี้ก็ขอให้ถือธรรมาธิปไตยเถิด (เรื่อง)นี้เป็นเรื่องหนึ่งที่จะเอามาล้อตัวเองในวันนี้ แล้วก็ไม่กระทบกระเทือนพระพุทธเจ้า
อีกเรื่องถัดไปอีกก็คือ ทีนี้ไม่ใช่ความโง่แล้ว แต่เป็นความฉลาดที่ไม่มีใครเล่นด้วย เรื่องที่ ๒ นี่เป็นเรื่องความฉลาดที่ไม่มีใครเล่นด้วย อาตมามองเห็นแล้วก็พูดในทำนองที่ว่าเป็นตะโกนแล้วด้วยซ้ำไปว่าขอให้อาศัยธรรมะเป็นเครื่องบำบัดโรคกันเถิด ให้อาศัยธรรมะเป็นเครื่องมือบำบัดโรคส่วนตัว เป็นเครื่องมือบำบัดโรคของสังคม กระทั่งว่าเป็น(เครื่องมือ)บำบัดโรคของโลก มันก็เคยพูดว่าเรื่องจิตนั่นแหละสำคัญ ให้ฝึกจิตให้ดีเถิด ให้ถึงที่สุดเถิดมันจะแก้ปัญหาต่างๆ ของมนุษย์เราได้ แม้ในเรื่องการรักษาโรคที่พวกหมอเขารักษากันนั่นแหละ ก็ตอนนั้นไม่มีหมอคนไหนยอมรับฟัง หาว่าอาตมาบ้าแล้ว จะเอาเรื่องจิตมารักษาโรคทางกายนี้ ทีนี้มันล่วงมาหลายปีๆ มันก็มีคนเห็นด้วย เดี๋ยวนี้เขามีความหวังที่จะใช้อำนาจจิตรักษาโรคทางกายกันขึ้นแล้วนะ ในหมู่พวกหมอนั่นแหละในประเทศหรือนอกประเทศอะไรก็ตาม แต่เราอยากให้เขามองกว้างออกไปหรือไกลออกไปเกินกว่าเรื่องจิตอย่างเดียวให้เลยไปถึงเรื่องธรรมะด้วย ไอ้เรื่องธรรมะนี่มันก็เป็นเรื่องจิตไม่ใช่เป็นเรื่องกาย แต่ถ้าว่าเราใช้คำว่าเรื่องธรรมะนี่มันได้ถึง ๒ แขนง หรือจะเป็นกำลังจิตที่จะบังคับกายให้ร่ายกายพ้นจากโรคนี้ก็ได้ หรือว่าจะเป็นธรรมะในส่วนปัญญา ญาณทัศนะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ยินดีไม่ยินร้าย นี้มันก็แก้โรคในส่วนลึกคือโรคทางจิตได้และโรคทางกายก็ได้ ที่ใช้คำว่าอาศัยกำลังของธรรมะมาบำบัดโรคกันเถิด จะบำบัดได้ทั้งโรคทางกายและโรคทางจิต กระทั่งโรคทางวิญญาณ ซึ่งไปไกลจนถึงไอ้โรคกิเลสนั่น โรคนี่มันจะมีอยู่เพียง ๓ ชนิดเท่านั้นคือโรค(ทาง)กายล้วนๆ แล้วก็โรคจิตชั้นต่ำที่มันเนื่องกันอยู่กับกายเป็นระบบ mentality (40.47) อีกโรคอีกพวกหนึ่งเป็นระบบspirituality ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร อาตมาเลยเรียกเอาเองว่าระบบวิญญาณ โรคระบบวิญญาณนี้คือโรคกิเลส โรคมิจฉาทิฐิ ร่างกายก็สบาย โรคจิตชนิดที่ไปโรงพยาบาลสราญรมย์ก็ไม่เป็น แต่แล้วก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณคือมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ถูกลอตเตอรี่ก็ร้องไห้ ไม่ถูกลอตเตอรี่ก็ร้องไห้นี่ อย่างนี้ก็เรียกว่ามันเป็นโรคทางวิญญาณ มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นลักษณะเป็นอาการ เป็นอยู่ด้วยกันทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ถ้าใครยังไม่เป็นพระอรหันต์ นี่พูดโดยไม่กลัวโกรธ ว่าทุกคนนี่เป็นโรคทางวิญญาณ ถ้าใครยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ควรจะสนใจ วิธีบำบัดโรคด้วยธรรมะ ซึ่งเป็นเรื่องทางจิต แก้โรคทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณได้หมดสิ้น อาตมาเคยพูดอย่างนี้เมื่อหลาย ๑๐ ปีแล้วเขาว่าบ้า เดี๋ยวนี้เขารักษาว่าไม่บ้าแล้ว คำพูดนี้มีเหตุผลก็ฟังกันมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับคำอธิบายจากอาตมาก็เถอะ แต่เดี๋ยวนี้ความเห็นชักจะตรงกันแล้ว นี่ก็เป็นที่น่ายินดีสำหรับเวลานี้ แต่มานึกถึงไอ้ที่เราเคยพูด เคยตะโกนแล้วก็สงสารตัวเอง ก็เอามาล้อกับความฉลาดของเราที่เขาประณามว่าโง่นั้นมันมีมาตั้งหลาย ๑๐ ปีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ดีใจ พอใจ ว่าไอ้ความประสงค์นั้นมันๆ ดี มันมีคนเห็นด้วย ขอให้นึกว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง นี่พูดหลายซ้ำหลายซากแล้วก็ยังไม่หยุด ก็จะพูดอยู่เรื่อยว่ามีอยู่ในพระบาลีคัมภีร์เถรคาถาพระอรหันต์องค์หนึ่งได้กล่าวข้อความยืดยาว แต่ประโยคที่สำคัญที่สุดนั้นมีว่า “มหาการุณิโก สัตถา สัพพะโลกะวิจิตโก”(43.39) มหาการุณิโกสัตถา แปลว่าพระศาสดาของข้าพเจ้าเป็นผู้ประกอบไปด้วยกรุณาอันใหญ่หลวง สัพพะโลกะวิจิตโก แปลว่าเป็นผู้เยียวยารักษาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง นี่คือพระพุทธเจ้านะ เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง คนไข้ของพระพุทธเจ้าก็คือมนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลาย แต่ในกรณีอย่างนี้อย่างยกเว้นสัตว์เดรัจฉาน เอากันเสียอย่างเป็นมนุษย์ แล้วก็สูงขึ้นไปถึงเทวดา มาร พรหม มนุษย์ที่เป็นไข้หนัก ก็เป็นไข้โรคเปรต ที่มนุษย์คนไหนหิว หิวด้วยกิเลสตัณหา หิวอย่างใจจะขาดนั้นมันเป็นโรคเปรต มนุษย์คนนั้นกำลังเป็นเปรต ต้องเยียวยารักษาด้วยยาของพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายแพทย์ของโรคทั้งปวง คือธรรมะที่สอนให้บรรเทาความอยาก ให้หยุดความอยากเสียได้ เมื่อไม่มีความอยาก ไม่มีความหิวทางวิญญาณแล้วก็ไม่ต้องเป็นเปรต ทีนี้ถ้าใครมีความหิวในทางวิญญาณ ทางกิเลสตัณหานั้นมาก คนนั้นก็เป็นโรคเปรตแล้วก็ได้เป็นเปรต ทีนี้คนไหนมันมีจิตใจ อ่อนแอ มันร้อนใจเป็นไฟเผาอยู่เรื่อย นี้มันเป็นโรคสัตว์นรก ดังนั้นกลัวกันเสียบ้าง อย่าปล่อยโอกาสให้ความเห็นผิดครอบงำแล้วก็ร้อนใจ ทั้งเช้าทั้งเย็นทั้งวันทั้งคืน มีแต่ความร้อนใจนั้นมันเป็นโรคสัตว์นรก คนนั้นเป็นสัตว์นรก ยาอื่นรักษาไม่หายนอกจากยาของพระพุทธเจ้าอีกเหมือนกัน อย่าโง่ให้มากจะเป็นโรคเดรัจฉานจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่าขี้ขลาดให้มากจะเป็นโรคอสูรกาย นี่คือโรคทางวิญญาณที่เป็นกันทุกคน คนไข้ของพระพุทธเจ้า เป็นมนุษย์ แล้วเป็นเทวดา จนกระทั่งเป็นพรหม เป็นรูปพรหม อรูปพรหมขั้นสูงสุดก็ยังเป็นโรคทางวิญญาณ ยังเป็นคนไข้ของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไอ้ที่ว่าที่ตรัสว่าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โรคทั้งปวง มันมีความหมายอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าจะรักษาโรคเหล่านี้ได้ทั้งหมดทั้งของมนุษย์ ทั้งของเทวดา ทั้งของพรหม
แต่แล้วเดี๋ยวนี้มามองดูโลกของเรา โลกทั้งหมดเวลานี้ มันกำลังเป็นไข้ เป็นคนไข้ชนิดนี้มากขึ้นๆ คือเป็นคนไข้ด้วยโรคทางวิญญาณนี้มันมากขึ้นๆหนักขึ้นๆ ตามอัตราของวัตถุนิยมที่กำลังเจริญขึ้นๆในโลกนี้ โลกนี้กำลังเป็นวัตถุนิยมหนักขึ้นๆ นี้เคยพูดกันมาแล้ว ที่มนุษย์ก็เป็นคนไข้ด้วยโรคนี้หนักขึ้นๆมากขึ้นกว่าแต่ก่อน นี่เป็นที่น่าหนักใจ ทีนี้คนในโลกเป็นโรคชนิดนี้มากขึ้น มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่มันระบาดเข้ามาในวงพุทธบริษัท ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นโรคนี้กันมากขึ้น ระวังให้ดี เดี๋ยวนี้แม้แต่พุทธบริษัทนี่ก็เป็นโรควัตถุนิยมกันมากขึ้น ไอ้ที่วัดนั่นเองแหละมันกลายเป็นที่ตั้งของวัตถุนิยมเสีย(เอง) อะไรๆ ก็จัดไปอย่างหาเงินหาวัตถุหาอะไรทั้งนั้น กระทั่งกลายเป็นเรื่องหลอกลวง นั่นแหละคือโรคของวัตถุนิยม ที่มันเป็นโรคทางวิญญาณแบบนี้แล้ว ไม่เท่าไหร่ก็ต้องเป็นโรคทางจิตหรือเป็นโรคทางกายในที่สุด จะเป็นบ้านี่ก็เรียกว่าเป็นโรคจิต ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันสูง เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคอะไรต่างๆที่มันเนื่องมาถึงร่างกายนี้ได้ด้วย แปลว่าคนไข้ของพระพุทธเจ้านี้เพิ่มมากขึ้น อย่างเหมือนกับวิ่งทีเดียวในโลกนี้ แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าเขาเป็นคนไข้ที่ต้องรักษาด้วยหยูกยาของพระพุทธเจ้า ยังหันไปพึ่งไอ้คนที่มันเป็นต้นตอก่อสร้างวัตถุนิยมนั้นอีกแหละ มันก็เลยไปกันใหญ่ มันซับซ้อนหนักขึ้น เพราะมัวแต่แก้ปัญหาทางวัตถุเท่านั้น เดี๋ยวนี้เรามีการอนามัยที่เจริญ เพื่อให้ต้องคุมกำเนิด อุตส่าห์ลงทุนทางอนามัยก็มีผลเพื่อให้ต้องคุมกำเนิด เป็นเรื่องที่เล่นตลกและน่าหัวที่สุด นี่โทษของการที่ไม่คำนึง ไม่มองดูพระพุทธเจ้าหรือหยูกยาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์ผู้เยียวยาโรคของสัตว์โลกทั้งปวง คนในโลกนี้เป็นคนไข้ของพระพุทธเจ้ามากขึ้นจนเป็นกันทุกคนแล้ว ทีนี้ก็ดูต่อไปว่าอะไรเป็นยาที่พระพุทธเจ้าท่านใช้รักษาโรค ก็คือธรรมะหรือบางทีก็เรียกว่าศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นนายแพทย์และธรรมะเป็นยาที่ท่านใช้รักษาโรค พระสงฆ์ทั้งหลายก็เป็นเจ้าหน้าที่บริการ อุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นผู้ร่วมมือเพื่อจะเป็นคนไข้บ้างหรือว่าช่วยเป็นกำลังในการบริการบ้าง เห็นๆ กันอยู่อย่างนี้
(แต่)ทั้งๆที่ว่าธรรมะนี่มันเป็นยาสำหรับบำบัดโรคทางวิญญาณอย่างนี้ แต่คนในโลกก็ไม่มองเห็นอย่างนี้ มองเห็นเป็นเสียอย่างอื่น เดี๋ยวนี้แถมพุทธบริษัทเองก็ไม่มองเห็นอย่างนี้ ไม่มองเห็นว่าธรรมะนี้เป็นยารักษาโรคทางวิญญาณ พุทธบริษัทก็พลอยไปเห็นตามไอ้พวกที่เข้าใจผิดว่าธรรมะนี้เป็นของน่ารำคาญ เป็นของถ่วงความเจริญไม่สนุกสนานก็หันหลังให้ธรรมะ เหลือความเป็นพุทธบริษัทแต่บัญชีหรือทะเบียน (ดังนั้น)มันก็เป็นมากขึ้นไปอีก มีโทษร้ายหนักขึ้นไปอีก ขอให้เข้าใจและให้เห็นแจ้งให้เห็นจริงว่าธรรมะนั้นเป็นยาสำหรับรักษาโรคทางวิญญาณ ศาสนานั้นเป็นยาสำหรับรักษาโรคทางวิญญาณ ทำไมไปมองเห็นศาสนาหรือธรรมะนี่ไม่ว่าในฐานะเป็นศีลธรรมเล็กๆน้อยๆของสังคม เป็นไอ้เรื่องสำหรับแก้ปัญหาทางศีลธรรมของสังคม อย่างนี้มันตีราคาให้แก่ธรรมะของพระพุทธเจ้าน้อยไป ก็พวกครูบาอาจารย์ บัณฑิต นักปราชญ์ ศาสตราจารย์ในประเทศไทยก็พลอยเข้าใจอย่างนั้น ธรรมะหรือศาสนามีค่าเพียงเท่านี้ ก็คิดดูมันก็น่าสังเวชที่พุทธบริษัทมันมาเป็นเสียอย่างนี้ แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัวด้วย
นี่อีกทางหนึ่งคนอีกจำนวนหนึ่งมากเหมือนกันเห็นว่าธรรมะหรือศาสนานี้เป็นบันไดสำหรับไปสวรรค์ มันสวรรค์เก๊ สวรรค์ที่ว่าเอาเอง ธรรมะนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีความมุ่งหมายที่ว่า(จะ)เป็นบันไดไปสวรรค์ เป็นบันไดรักษาโรคทางวิญญาณของสัตว์โรคทั้งปวงให้หายโรค ก็เอาจับเอามาเป็นบันไดไปสวรรค์เสีย มันก็เป็นสวรรค์เก๊ สวรรค์ที่กลัวเอาเองหรือสวรรค์ที่หวังเอาเอง ที่นึกเอาเอง มันเป็นสวรรค์ที่ว่าเอาเองสืบๆ ต่อๆ กันมา จนเป็นยาเสพย์ติด คือละความคิดเห็นอันนี้ไม่ได้ สวรรค์ที่แท้จริงนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของคนๆ หนึ่งๆ ที่เขาประพฤติพระธรรมอย่างถูกต้อง เพราะเขามีความประพฤติพระธรรมอย่างถูกต้องเท่านั้น สวรรค์จะอยู่ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของบุคคลนั้น ปู่ ย่า ตา ยายก็เคยพูดไว้ถูกต้องแล้วว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ แต่ลูกหลานมันเลิกเสีย มันไปเอาสวรรค์บนฟ้า สวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้ นี่อุตส่าห์ทำบุญมากมายจะไปเอาสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนสวรรค์ที่จริงที่มีอยู่จริงที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าง(ที่)พระพุทธเจ้าท่านตรัสนี้ไม่สนใจ แล้วมาเกณฑ์ให้ธรรมะหรือศาสนาทั้งหมดนี้เป็นบันไดสำหรับไปสวรรค์เก๊ ที่จริงมันเป็นบันไดสำหรับไปสวรรค์ที่จริง คือธรรมะนี่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้พ้นจากความเป็นนรก แล้วก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา ทำไมไม่มองธรรมะในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ที่ร้ายไปกว่านั้นก็เป็นเรื่องปลีก เรื่องฝอย เรื่องเปลือก เห็นธรรมะเป็นเรื่องสนุกสำหรับศึกษาเล่าเรียนสำหรับเอาไว้ให้เป็นนักปราชญ์ แล้วก็ให้เถียงกันเล่น ไว้ทะเลาะกันเล่น ใช้ธรรมะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความเป็นนักปราชญ์ของตัวเอง พูดเพ้อพ่นน้ำลายทั้งนั้นแล้วก็ว่าเผยแผ่พุทธศาสนานี่ก็ให้ระวังให้ดี บางคนก็พูดว่าธรรมะนี้เป็นจิตวิทยา ตามความรู้สึกของเขานั้นเป็นจิตวิทยา(เป็น)ไอ้วิชาไปทั้งนั้นไม่ใช่ปฏิบัติ จิตวิทยาถ้าเช่นนั้นจะไปใช้ประโยชน์อะไรโดยตรงนี้ไม่ได้ จะมีกำลังจิตใช้ในการรักษาโรคก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเพียงสัก(แต่)ว่าจิตวิทยา คือมันไม่ใช่จิตปฏิบัติ มันต้องเป็นในเรื่องจิตปฏิบัติจึงจะใช้ประโยชน์ได้ ทีนี้มันเป็นจิตวิทยาแล้วก็เฟ้อไปในทางปรัชญามันก็เลยเป็นของเฟ้อ เป็นเรื่องสำหรับเรียนวิชาขนาดหนักเท่านั้นเอง เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ มัวแต่ถามว่าทำไมๆๆๆ ไม่มีถามว่าอย่างไรซะเลย เพราะว่ามันหลงไปในเรื่องของวิชาความคิดความนึก นี่เดี๋ยวนี้ยาของพระพุทธเจ้าที่จะแก้โรคของสัตว์โลกทั้งปวงได้นั้น มันเคราะห์ร้าย มันไม่ถูกใช้ในลักษณะที่เป็นยา มันเอาไปใช้เป็นอะไรๆ ก็ไม่ทราบ กระทั่งเป็นบันไดไปสวรรค์หรือเป็นอะไรที่มันไม่ตรงกับความหมายเดิมที่รักษาโรคทางวิญญาณของสัตว์โลกทั้งปวง ทั้งหมดนี้มันเป็นคำตอบว่าไอ้ยารักษาโรคของพระพุทธเจ้านั้นคือธรรมะนั่นเอง บางทีก็เรียกว่าศาสนา บางทีก็เรียกว่าพรหมจรรย์ ขอให้ช่วยกันรู้จักยาของพระพุทธเจ้าในลักษณะอย่างนี้กันบ้าง (และควร)ที่จะพิจารณากันถึงตัวยาที่แท้จริง ให้เห็นชัดขึ้นมาสักหน่อย
ตัวยาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ไอ้คำ ๓ คำนี้มันคล่องปากคล่องอะไรแก่พุทธบริษัทมากแต่ว่ามันคล่องแต่ปาก มันพูดได้แต่ปาก มันไม่เป็นไอ้ตัวศีล สมาธิ ปัญญาจริง ขอให้คิดดู เป็นศีล สมาธิ ปัญญา ตัวหนังสือหรือเป็นเสียงสำหรับพูดมันก็เป็นยาไปไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นตัวจริง เป็นศีลจริง สมาธิจริง ปัญญาจริง มันก็เป็นยาที่แท้จริงขึ้นมาทันทีเหมือนกัน ที่ว่าศีลแก้โรคทางกายและวาจา สมาธิแก้โรคทางจิตที่เนื่องอยู่กับกายโดยตรง ปัญญาแก้โรคทางวิญญาณ คือจิตคือส่วนที่เป็นอิสระออกไปจากกาย ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นยารักษาโรคแท้จริงอย่างเต็มตัวอย่างนี้ แต่ถ้ามันไม่มีการปฏิบัติขึ้นมาแล้วมันไม่เป็นยาได้ มันเป็นตัวหนังสือ เป็นคำพูดอยู่เรื่อยไป แต่ถึงอย่างไรก็ดีสิ่งทั้ง ๓ นี้ต้องไปด้วยกัน คล้ายๆกับว่ายาขนานนี้ต้องประกอบไปด้วยส่วนประกอบ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันเข้าแล้วเป็นยาขนานหนึ่งของพระพุทธเจ้า แล้วก็จะแก้โรคทุกโรคทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางวิญญาณ ทีนี้มันไม่ใช่แก้โรคอย่างเดียว มันทำให้รู้สึกเป็นสุขอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไปนิพพานได้ในที่สุดเมื่อถึงปลายทาง ถ้าใครอุตริต้องการอำนาจพิเศษ อำนาจ ปาฏิหาริย์ อำนาจทิพย์มันก็ยังช่วยให้ได้นะ นี่ดูศีล สมาธิ ปัญญา ดูซิว่ามันมีประโยชน์ มีอานิสงส์ มีสมรรถภาพอย่างไร นี่ขอทบทวน ขอซ้ำย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ไอ้ศีล สมาธิ ปัญญานี้รวมกันแล้วเป็นยาของพระพุทธเจ้า (ที่) ๑.ทำให้คนหายโรคและเป็นสุขอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ ๒. ก็เป็นไอ้การเดินทางไปสู่นิพพานในวาระสุดท้าย แล้วก็ ๓. นี่เป็นเรื่องแถมพกถ้าใครต้องการ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ก็อาจช่วยให้เขามีฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์ มีอิทธิวิธีตามความประสงค์ อำนาจทิพย์มันก็เป็นเรื่องหลอกลวงหน่อย อำนาจจิตโดยตรงมันก็เป็นเรื่องจริง อำนาจจิตที่ฝึกได้โดยตรงนี้จะเป็นเรื่องจริง ถึงขนาดที่บังคับตัวเองก็ได้ บังคับผู้อื่นก็ได้ บังคับตัวเองให้ค่อยๆ หายโรคขึ้นมาทีละน้อยก็ได้ บังคับผู้อื่นให้ค่อยๆหายโรคขึ้นมาทีละน้อยก็ได้ แต่ขอให้มันเป็นสมาธิจริง เป็นอำนาจจิตจริง แล้วอย่าว่าแต่บังคับจิตเลย บังคับกายก็ได้ อย่าว่าแต่บังคับกายเลย บังคับวัตถุล้วนๆ ก็ได้ ตามเป้าหมายของพวกโยคีที่ว่าเขาจะมีฤทธิ์เดชถึงขนาดที่จะเคลื่อนย้ายภูเขาหิมาลัยก็ได้ เขากล้าคิดกันอย่างนี้และเป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าว่ามันทำถูกต้องจริง มันมีหลักที่กล่าวไว้ว่าจิตวิสัยหรือฌานวิสัยนี้เป็นอจินไตย คือมันยังจะทำอะไรๆ ได้อีกมากแต่ว่ามนุษย์ยังทำไม่ได้เท่านั้นเอง เหมือนสติปัญญาคนสมัยนี้ไปโลกพระจันทร์ได้ แทนที่จะเป็นเรื่องขี้ผงเป็นเรื่องเด็กอมมือไปตอนหลังๆ คือเขาจะทำอะไรได้มากไปกว่าที่ว่าจะไปโลกพระจันทร์ เรื่องทางจิตหรือเรื่องทางอำนาจจิตนี่ก็เหมือนกันยังไปได้ไกลอีกมาก แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันยังไม่ได้พิสูจน์ว่าทำได้แต่มันเหลือไว้สำหรับค้นคว้าต่อไป เมื่ออำนาจจิตแท้ๆ บังคับตนเองก็ได้ บังคับผู้อื่นก็ได้ บังคับจิตก็ได้ บังคับกายก็ได้ บังคับวัตถุก็ได้ แล้วฉะนั้นก็นำมาใช้ในการรักษาโรคได้ บำบัดโรคโดยการอาศัยอำนาจจิตนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้อย่างนี้ ดังนั้นขอให้สนใจไอ้ยาของพระพุทธเจ้าขนานเดียวที่ประกอบไปด้วย ingredient นี่ ๓ อย่าง คือ ศีล สมาธิ ปัญญา กินเข้าไปแล้วจะเป็นสุขตลอดเวลา แล้วก็จะเขยิบใกล้เข้าไปยังนิพพาน ถ้ายังต้องการอิทธิฤทธิ์ก็ยังได้ ที่มันสำคัญอยู่ที่ว่าจิตนั่นแหละเป็นตัวการเป็นตัวสำคัญในยาทั้ง ๓ นี้ ในยาขนานนี้ ซึ่งมี ๓ องค์ประกอบนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าจิตหรือสมาธินั่นแหละสำคัญ ขอให้สนใจในสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือสิ่งที่เรียกว่าสมาธิ ๓ อย่างนี้มันเนื่องกัน ศีล สมาธิ ปัญญานี้มันเนื่องกัน แยกกันไม่ได้ แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นมันอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าสมาธิ คือกำลังจิต สมาธินี่มันเหยียบอยู่บนศีล ต้องมีศีลเป็นพื้นฐานรองรับสิ่งที่เรียกว่าจิตแล้วเรียกว่าจิตนี้ มันเหยียบ สมาธินี่มันเหยียบอยู่บนศีล ทีนี้สมาธินั้นมันเป็นตัวกำลังอย่างยิ่ง ให้กำลังแก่ตัวจิตเอง ให้กำลังแก่สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วในที่สุดไอ้สมาธินี่มันงอกเงยออกไปเป็นปัญญา หรือว่ามันทำให้ปัญญาที่ซ่อนอยู่นั้นปรากฏออกมา สมาธิก็เลยทำให้ปัญญาปรากฏออกมา และยังอาจจะทำให้ไอ้สิ่งที่ลึกลับที่เรียกว่าของทิพย์ อำนาจทิพย์ออกมาได้ด้วย ให้ยาโดยตรงมีความมุ่งหมายแก้โรค แต่โดยอ้อมมันไปใช้กินเล่นหรือไปใช้ทำอะไรที่ไม่ใช่โรคก็ได้ มันเป็นเรื่องนอกรีตนอกรอย เราก็เอาแต่ที่มันเป็นเรื่องตรงตามประสงค์ดีกว่า นี่ยาของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ทีนี้ศีล สมาธิ ปัญญานี้อยากจะแนะแล้วแนะเล่าว่าในที่สุดก็ไปรวมอยู่ที่คำว่าจิตว่าง จิตที่ว่างจากการที่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละ เป็นศีล สมาธิ ปัญญาอยู่ในตัวเองอย่างเต็มที่ จิตที่ว่างจากอุปาทานไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นหละมันไม่ผิดศีลเลย จะทำผิดศีลไม่ได้ และมันจะเป็นจิตที่ฟุ้งซ่านไม่ได้ จิตที่ว่างจากอุปาทานนั้นมันเป็นจิตที่เป็นสมาธิยิ่งกว่าสมาธิ และมันก็เป็นปัญญาอย่างยิ่ง ไอ้ที่ว่างจากอุปาทานมันเป็นตัวปัญญา เป็นผลของปัญญา ดังนั้นจึงว่าศีล สมาธิ ปัญญา รวมกันอยู่ที่คำๆเดียวว่าจิตที่ว่างจากอุปาทาน ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ยาขนานนี้ที่เรียกว่าสุญญตา ที่ประกอบอยู่ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาเป็นเครื่องรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ทั้งทางกาย ทางจิต และทางวิญญาณ รักษาคนไข้ได้ทั้งที่เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นมาร เป็นพรหม