แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๑๔ สำหรับพวกเราที่นี่ล่วงมาถึงเวลาสี่สามสิบนอแล้ว เป็นเวลาที่ได้กำหนดไว้ สำหรับจะพูดกันถึงสิ่งที่เรียกว่าปัญหาของธรรมทูตข้อใดข้อหนึ่ง ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า การสอนพุทธศาสนาโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิ้ล คัมภีร์ไบเบิ้ล หมายถึง คัมภีร์ของคริสต์ คริสตศาสนา ทำไมจึงพูดอย่างนี้หรือโดยหัวข้อเช่นนี้ หัวข้ออย่างนี้ได้เอ่ยถึงมาครั้งหนึ่งแล้ว ในฐานะที่เรียกว่าเป็นวิธีการที่ใช้สิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว เป็นเครื่องช่วยให้เข้าใจถึงสิ่งที่เข้ามาใหม่ เป็นวิธีการอย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในการทรมานชฎิลพันรูป และเป็นวิธีการที่ยังใช้ได้อย่างดีเต็มที่ แม้ในยุคปัจจุบันวันนี้ ถ้ากล่าวโดยใจความก็คือเป็นวิธีการที่จะทำความเข้าใจกันได้ง่ายที่สุดกว่าวิธีอื่น ธรรมทูตเป็นผู้มีหน้าที่ที่จะต้องไปทำความเข้าใจ ไม่ใช่ไปทำการทะเลาะวิวาท ไม่ใช่มิชชันนารีการเมือง ไม่ใช่มิชชันนารีทัศนาจร ไม่ใช่มิชชันนารีแสวงหาประโยชน์อะไรบางอย่าง เหมือนกับมิชชันนารีบางพวกซึ่งที่แท้ก็ไม่ควรเรียกว่าธรรมทูตเลย การส่งพวกมิชชันนารีออกแสวงหาความได้เปรียบทางการเมือง นี้ก็เป็นสิ่งที่ได้ทำกันอยู่ในโลกสมัยปัจจุบัน แม้ในครั้งพุทธกาลก็เคยได้อ่านถึงการส่งนักบวชออกสืบความลับ อย่างนี้เป็นต้น โดยความประสงค์ของชนชั้นปกครอง เช่นพระราชา นี่เราจะไม่พูดถึงไอ้งานธรรมทูตจอมปลอมเช่นนั้น ธรรมทูตเป็นทูตแห่งธรรม เป็นทูตแห่งสันติ เป็นทูตแห่งการทำความเข้าใจซึ่งกันและกันหมดทั่วโลก จึงจะเป็นทูตของสันติ นี้เรียกว่าธรรมทูต ฉะนั้นวิธีการอันใดที่จะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ โดยที่มีผลเป็นความสงบสุขแก่ทุกฝ่าย นี้ก็เรียกว่างานธรรมทูตที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านไปโปรดชฎิล มีใจความสำคัญตรงที่ว่า ไม่ใช่ไปปราบศัตรู หรือว่าไปเข่นฆ่าศัตรูอะไรทำนองนั้น แต่ไปเพื่อช่วยคนเหล่านั้นให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องในสิ่งที่เขาปรารถนา นักบวชทั้งหลายก็ต้องการไอ้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อเดินผิดทางหรือว่าไม่รู้จักไอ้สิ่งที่ดีที่สุดนั้น มันก็มีการกระทำที่ไม่สำเร็จประโยชน์ ฉะนั้นไปช่วยเขาให้สำเร็จประโยชน์ ทีนี้เขาสนใจอะไรอยู่ เข้าใจอะไรอยู่เป็นอย่างยิ่งแล้ว เช่นพวกชฎิลเข้าใจเรื่องไฟ เรื่องความร้อนเรื่องไฟ ว่าจะช่วยเผาผลาญความชั่วหรือไอ้ต่างๆเหล่านี้ได้ ก็ทรงใช้เรื่องไฟนั้นน่ะเป็นเรื่องสำหรับทำความเข้าใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มันจึงสำเร็จได้โดยง่ายโดยเร็ว นี่คือวิธีการที่ยังจะต้องใช้ต่อไป แม้ในอนาคต คือพูดกันให้รู้เรื่องด้วยสิ่งที่เขาเข้าใจดีอยู่แล้ว ทีนี้สำหรับพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่ของต่างประเทศก็คือ การถือศาสนาอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาคริสเตียน ซึ่งมีมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในโลก มันก็ต้องเลยเพ่งเล็งดูว่า มันมีช่องทางอย่างไรที่จะใช้วิธีการอย่างที่ ใช้ความรู้ที่เขารู้อยู่แล้ว เพื่อเป็นสื่อหรือเป็นชนวนหรือเป็นอะไรก็ตาม ให้ได้รับความรู้ที่ยังไม่เคยรู้ นี่ผมเรียกว่าการเผยแผ่พุทธศาสนาโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิ้ล ข้อนี้มันมีความสำคัญอันลึกซึ้งอยู่ที่ว่า มนุษย์ทุกคนต้องการอย่างเดียวกัน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องการอย่างเดียวกัน สิ่งนั้นก็คือความเป็นอยู่อย่างสงบสุข ทีนี้ศาสนาทุกศาสนาก็ต้องมีวัตถุประสงค์มุ่งหมายอย่างเดียวกัน เพื่อให้มหาชนในโลกเป็นอยู่ด้วยความสงบสุข ถ้ามันต้องการผิดไปจากนี้ก็เป็นศาสนาบ้า นี่เราเรียกว่าศาสนาบ้า ความมุ่งหมายอันแท้จริงมันอยู่ที่ว่าต้องการให้สิ่งที่มีชีวิตนี่อยู่กันด้วยความสงบสุข Sentient being หมายความว่าไอ้สัตว์ที่มีความรู้สึก คือรู้สึกในทางที่จะเกลียดหรือกลัวความทุกข์ แล้วก็ปรารถนาจะได้ความสุข ฉะนั้นเราจึงจับไอ้สิ่งสำคัญได้อย่างหนึ่งว่า การไม่เบียดเบียนเป็นสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ในประเทศอินเดียมีหลักธรรมเก่าแก่ที่เรียกว่า เอโส ธัมโม สะนันตะโน ว่า อหิงสา ปรโม ธัมโม อหิงสาความไม่เบียดเบียน ธัมโมเป็นธรรม ปรโมอย่างยิ่ง เป็นธรรมสูงสุด นี่มันจะกล่าวก่อนศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาอะไรที่รู้จักกันดีเวลานี้ มันก็เกิดขึ้นโดยความรู้สึกตามสัญชาตญาณของมนุษย์ ค่อยๆเข้มข้นเข้า แล้วค่อยมีความหมายลึกซึ้งเข้า ทีแรกมันคงจะตั้งจุดตั้งต้นขึ้นมาเพียงว่า คนไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันในทางสังคม ต่อมาไอ้ความไม่เบียดเบียนนี่มันขยายออกมาจนถึงว่าไม่เบียดเบียนตัวเอง คำว่าอหิงสา ไม่เบียดเบียนนี่ต้องหมายถึงไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น การไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั้นต้องไม่เบียดเบียนตัวเองก่อน เบียดเบียนตัวเองมันคือโง่ มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นเพราะความโง่ เพราะอวิชชานั้น มันก็ทำตัวเองให้ลำบากเดือดร้อน ด้วยความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวก็ดึงไปกระทำการเบียดเบียนผู้อื่น ฉะนั้นขอให้เข้าใจให้ถูกกันเสียทีว่า การเบียดเบียนผู้อื่นนั้นมันเป็นผลเกิดมาจากการเบียดเบียนตัวเอง หรือมาทีหลังการเบียดเบียนตัวเอง ต้องมีอวิชชา มีความโง่ขนาดทำให้ตัวโง่ เห็นแก่ตัว เดือดร้อน เร่าร้อนอยู่ในใจ แล้วมันจึงไปคิดเอาเปรียบผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น ทีนี้คำว่าอหิงสาความไม่เบียดเบียนนี้ มันกินความกว้างกระทั่งว่าไม่เบียดเบียนอะไรเลย ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง เป็นบรมธรรม นี่คือหัวใจ หัวใจที่แท้จริงด้วย ของศาสนาทุกศาสนา ศาสนาไหนไม่มีหัวใจอย่างนี้ให้ถือเป็นศาสนาบ้า ไม่จำเป็นจะต้องให้ความสนใจในศาสนาชนิดนั้น ทีนี้เราก็มองเห็นชัดต่อไปว่า ไอ้เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น อะไรก็ตามใจ มันมาจากความเห็นแก่ตัว ที่เรียกกันว่า Selfish เอ่อ Selfishness นี่ความเห็นแก่ตัว มันต้องมีตัวมันจึงจะเห็นแก่ตัวได้ เพราะฉะนั้นมันจึงมีสิ่งที่เรียกว่าตัวกูและของกู เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิต ภาษาบาลีเรียกว่าอัตตา เรียกว่าอัตตนียา อัตตาคือตัว อัตตนียาคือเนื่องกับตัว อัตตาคือตัวตน อัตตนียาคือของตน ถ้าเดือดจัดขึ้นมาก็เป็นตัวกูเป็นของกู คำที่มีความหมายรุนแรงกว่านั้นก็คือคำว่า อหังการะ มมังการะ อหังการะนี่คือตัวกู มมังการะนี่คือของกู ศาสนาที่ถึงขนาดเช่น เวดันตะ เช่น ปริวัตชีตา (นาทีที่ 13:15) อะไรก็ตามมันก็พูดถึงเรื่องนี้ทั้งนั้น จะต้องทำลายไอ้อหังการ มมังการทั้งนั้น ทีนี้มองดูไปถึงศาสนาคริสเตียนเป็นต้น ก็เห็นชัดว่ามีเจตนารมณ์อย่างยิ่งที่จะทำลายอหังการ มมังการ ซึ่งเป็นกิเลส สมมติเรียกว่าซาตาน เพราะมองเห็นชัดว่าเพราะอหังการ มมังการนี่ มันทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ไอ้ตัวกูความรู้สึกว่าเป็นตัวฉันที่ยังไม่ถึงขนาดรุนแรงนั้น มันก็เป็นชั้นพื้นฐาน เช่น Egoism, Egoistic idea หรืออะไรก็ตามมันเป็นเพียงความรู้สึกที่ว่ามีตัวตน แต่มันยังไม่เป็นอันตรายแก่ใคร พอมันเกิดเห็นแก่ตนขึ้นมาเท่านั้นก็เป็นอันตรายทันที ไอ้ Selfishness นี่ก็คือปฏิกิริยาที่ออกมาจาก Egoism อย่างใดอย่างหนึ่ง แง่ใดแง่หนึ่ง เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น แล้วเมื่ออะไรก็ตามใน ๖ อย่างนี้ ความคิดประเภท Selfishness นี่ก็จะเกิดขึ้นโดยง่าย มันก็เบียดเบียนผู้นั้นทันที แล้วก็เบียดเบียนผู้อื่นทันที ฉะนั้นจึงถือว่าอหังการ มมังการนี่เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของมนุษย์ ทั้งโดยส่วนตัว บุคคล คนเดียว และทั้งของสังคมในโลก หลักธรรมในศาสนาที่แท้จริงมันก็คือการทำลายความเห็นแก่ตัว อหังการ มมังการนี่ ทีนี้สำหรับศาสนาคริสเตียน ก็มีคำสอนเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว อยู่อย่างลึกซึ้งแล้วก็ครบถ้วนเหมือนกัน แต่เข้าใจยาก จนชาว คริสเตียนเองก็ไม่เข้าใจและไม่สนใจคำสอนเหล่านั้น ส่วนนั้น ไปยึดมั่นในคำสอนเรื่องให้เชื่อพระเจ้า ทีนี้ถ้าเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็สอนไม่ให้เห็นแก่ตัวเหมือนกัน นี่มันไปอ้อมวกไปทางไอ้ทางปุคคลาธิษฐาน เราต้องไปเชื่อพระเจ้า มอบทุกอย่างให้พระเจ้า พอเห็นแก่พระเจ้ามันก็ไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน และคำสอนมันก็มีอยู่ชัดว่าการเชื่อพระเจ้านั้นคือการไม่เห็นแก่ตัว ทีนี้คำสอนตลอดทั้งพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นมันก็ นี่ๆหมายถึงคำสอนที่พระเยซูสอน คือเรียกว่า New testament เป็นเรื่องมุ่งหมายอย่างรุนแรงที่จะทำลายความเห็นแก่ตัว ไอ้คัมภีร์เก่านั้นเป็นประวัติเท่านั้นเอง เป็นประวัติโลกเกิดขึ้นมาอย่างไร และมนุษย์เป็นมาอย่างไรจนกว่าจะถึงพระเยซู นั้นเรียกว่าคัมภีร์เก่า Old testament พอมาถึงไอ้คัมภีร์ New testament นี่ก็พระเยซูสอนเรื่องธรรมะ ที่ทำลายความเห็นแก่ตัวชัดเจนขึ้นมา ส่วนสาวกชั้นหลังจะสอนอะไรผิดไปจากพระเยซู ไปเที่ยวเบียดเบียนคนนั้นคนนี้ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสเตียนหรือพระเยซู ไม่เห็นแก่ตัวอย่างที่เรียกว่าไม่มีตัว ว่างจากตัวนี่ก็มีสอนในคำสอนของพระเยซู แต่วางไว้ในรูปปุคคลาธิษฐาน เห็นพระเจ้า เห็นแก่พระเจ้า มอบให้แก่พระเจ้าหมด ไอ้ตัวเลยไม่มี ทีนี้เมื่อพระเยซูล่วงลับไปแล้ว พระสาวกที่สำคัญเช่น เซนต์ปอล ก็รวบรวมคำสอนของพระเยซูทั้งหมดทั้งสิ้น มาประมวลให้ทายกทายิกาปฏิบัติโดยง่าย นี่ก็เลยไปสอนให้ประชาชนชาว Corinthian โดยเฉพาะ ถึงเรื่องอนัตตา สุญญตาสูงสุด ไปดูได้ในคัมภีร์ Corinthian new testament ตอน Corinthian จะพบประโยคที่ผมเคยเอามาพูดใส่หูพุทธบริษัทว่าอย่าได้เลวกว่าพวกคริสเตียนเลยนี่ อยู่เสมอๆว่า เซนต์ปอลได้สอนชาว Corinthian ว่าหัวใจของศาสนานั้นก็คือว่า มีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข แล้วก็มีความทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีความทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมา พูดอย่างสำนวนธรรมดาก็อย่าเอาอะไรมา พูดสำนวนภาษาธรรมก็ว่าอย่าถือเอากรรมสิทธิ์ ซื้อของที่ตลาดนั้นอย่าถือเอากรรมสิทธิ์ในของนั้น นี่บางทีใช้ภาษาธรรมดาชัดๆว่าอย่าเอาอะไรมา ข้อแรกที่ว่ามีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยานี้คงจะพูดกับผู้ชายทั้งนั้น มันก็เป็นอันกล่าวได้ว่าถ้ามีสามีก็จงเหมือนกับไม่มีสามี โดยพูดตรงกันข้าม หมายความว่าอย่าได้ยึดมั่นถือมั่นว่านี่ของเรา นี่ภรรยาของเรา เช่นเดียวกับหลักในพุทธศาสนา จะมีภรรยามีสามีมีครอบครัวนี้ก็ ระวังอย่าถึงกับยึดมั่นถือมั่นมากเกินไปว่าเป็นของเรา มันจะต้องน้ำตาไหลเช็ดหัวเข่า เพราะไอ้ความยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น ฉะนั้นคนโบราณเขาจะมีอุดมคติว่าเหมือนกับล่องลอยมาพบกันสำหรับช่วยกันไปนิพพานอย่างนี้ ผัวเมียอุดมคติ ถือเสมือนไอ้ความบังเอิญมาพบกัน แล้วช่วยเหลือซึ่งกันและกันสำหรับไปนิพพานอย่างนี้ อย่างนี้ก็ไม่ได้ถือว่าภรรยาของเรา กลายเป็นเพื่อนเดินทางหรือเป็นอะไรทำนองนั้น ทีนี้คำสอนที่ว่ามีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยาก็มีความหมายอย่างนี้ ทีนี้ทรัพย์สมบัติก็เห็นได้ง่าย มีทรัพย์สมบัติก็ถือเป็นของธรรมชาติ ของพระเจ้า ของใครก็ไม่รู้ไม่ใช่ของเรา เรามีโอกาสยืมใช้ หรือว่าขออาศัยใช้ ไม่ใช่ของเรา นี้เรียกว่ามีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ เพราะจิตใจไม่ได้ยึดถือมั่นหมายว่าของเรา ทีนี้มีความทุกข์ เอ่อ มีความสุขก็จงเหมือนกับไม่มีความสุข นี่คือคำสอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างยิ่ง ชัดเจนอย่างยิ่ง คือไม่ยึดมั่นในเวทนาทั้งปวง จะเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม สักว่าเวทนา ให้มีความหมายแห่งความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ก็คือไอ้เรื่องสติปัฏฐานที่เรากำลังพูดกันอยู่ทุกวันนี้ ซื้อของที่ตลาดไม่เอาอะไรมา ก็หมายความว่าเอาเงินให้เขาแล้วเอาของกลับมาบ้าน เอามากินมาใช้ แต่ในใจไม่เคยรู้สึกว่าของฉัน มีความหมายเท่ากับไม่ได้เอาอะไรมาอย่างนี้ นี่ก็คือหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งที่ไปอยู่ในศาสนาคริสเตียนในคัมภีร์ไบเบิ้ล หัวใจของพุทธศาสนาก็เหมือนกับหัวใจของคัมภีร์ไบเบิ้ล ไอ้เราสนใจหัวใจพุทธศาสนาในแง่นี้มาก แต่เมื่อผมไปสนทนากับอาจารย์คริสเตียนที่เป็นเพื่อนฝูงกัน เขากลับว่ายังไม่ได้สนใจเลย ไม่รู้ว่าความหมายว่าอะไร ตอบอย่างกันเองก็ตอบอย่างนี้ เพราะไม่ได้สนใจว่ามีความหมายว่าอะไร ฉะนั้นเราก็ไปบอกเขาก็ได้ว่าคุณดูเถอะ หัวใจของพุทธศาสนาอยู่ในคัมภีร์ Corinthian ของ New testament นี่ลองคิดดูว่ามันจะทำความเข้าใจกันได้อย่างไร มากน้อยเพียงไรในทันที ถ้าเขาเป็นคริสเตียนที่ดี ก็ต้องปฏิบัติตามหลักนี้ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่นอะไรโดยความเป็นตัวกูของกู เพียงเท่านี้ก็เกือบจะไม่ต้องพูดอะไรกันแล้ว ที่เหลือต่อไปมันเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดกันทั้งนั้น หัวใจของศาสนาทุกศาสนาต้องอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ถึงความที่มันไม่มีตัวสิ ทุกอย่างไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ของตัว ที่ไม่เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ใครล่ะ ก็เห็นแก่ความถูกต้อง ความเป็นจริง ความยุติธรรม เห็นแก่ธรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อัตตะ ทีปา อัตตะ สะระณา ธรรมะ ทีปา ธรรมะ สะระณา 24.20 การมีตนเป็นที่พึ่งที่อาศัยนั้นคือการมีธรรมเป็นที่พึ่งที่อาศัย มีตนเป็นที่พึ่งคือมีธรรมเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่อาศัยคือมีธรรมเป็นที่อาศัย ก็เอาสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นเข้ามาแทนคำว่าตนเสีย ถ้าอยากจะมีตนก็ต้องให้มีที่ธรรม อย่าให้มีที่ตัวกิเลสที่เป็นไอ้ความเห็นแก่ตัวหรือเป็น Egoistic idea อย่างใดอย่างหนึ่ง ฉะนั้นเราต้องเข้าใจคำสอนในพุทธศาสนาบางทีก็ว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแก่ตน ไม่มีอะไรจะเป็นที่รักยิ่งไปกว่าตน นี่เป็นคำพูดภาษาชาวบ้านธรรมดา พูดอย่างมีตน เพื่อให้ดึงเข้าไปหาไอ้ธรรมะ ให้รู้จักตนที่แท้จริง เมื่อพระพุทธเจ้าออกพบกับพวกปัญจวัคคีย์ ท่านก็ได้ใช้ประโยคเกี่ยวกับตนนี่ทำให้สำเร็จประโยชน์อย่างยิ่ง พวกปัญจวัคคีย์ เอ้ย..พวกภัทวัคคีย์ ภัทวัคคีย์สามสิบคนอะไรนั่นที่เที่ยวตามหาหญิงโสเภณีที่หลอกลวงตน พระพุทธเจ้าท่านถามว่า เอ้ย..เที่ยวหาผู้หญิงดีหรือเที่ยวหาตัวเองดี หาตัวเองดีกว่า ไอ้นี้ก็หยุดชะงัก ถึงคำว่าหาตัวเองดีกว่า เพราะใครๆมันก็เห็นแก่ตนทั้งนั้น ฉะนั้นเที่ยวหาตนดีกว่าหาผู้หญิง ก็เลยได้ยินได้ฟังไอ้เรื่องธรรมะที่เป็นเรื่องอริยสัจ เรื่องอะไรขึ้นมาก็สำเร็จประโยชน์ ก็คนรักตนเห็นแก่ตนอยู่แล้ว ก็เปลี่ยนไอ้ตนนี้ให้มันถูกต้อง เป็นตนที่ควรจะยึดถือเป็นที่พึ่ง คือธรรมะ ตนคือธรรมะ ไม่เห็นแก่ตนก็หมายความว่าไม่เอากิเลสเป็นตน เอาธรรมะเป็นตน เอาพระเจ้าเป็นตน นี่คือหัวใจของศาสนาทุกศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหนที่เป็นศาสนาที่แท้จริง นี่เราก็ชี้ให้เขาดูคำสอนเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตาของพุทธศาสนาที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นี่โดยรายละเอียดปลีกย่อยที่มันจะประกอบให้รู้เรื่องที่สำคัญนี้ดีขึ้นไปอีก หรือว่าที่จะใช้วิธีชนิดที่เรียกว่าวิธีปราบชฎิล หลักธรรมที่สำคัญที่สุดในศาสนาก็คือเรื่องความรักเพื่อนมนุษย์ เกิดแก่เจ็บตายดัวยกัน เราพร่ำพูดถึงว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน จงมีสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลยนี่ เรียกสั้นๆว่า “เมตตา” เป็นหัวใจของทุกศาสนา ต้องการจะให้ทุกคนปฏิบัติในลักษณะที่เป็นความเมตตา ในศาสนาคริสเตียน ส่วนคัมภีร์ใหม่ที่พระเยซูสอนว่า เขาตบแก้มซ้ายให้เขาตบแก้มขวาด้วย คือไม่ให้โกรธ เมื่อเขาขโมยเสื้อไปเสียแล้วให้เอาผ้าห่มตามไปให้เขาด้วย คือไม่จับตัวขึ้นศาล กลับเอาผ้าห่มตามไปให้ด้วย หรือถ้าว่าคดีมันคาราคาซังในโรงศาลคือตำรวจจับไป จับผู้ที่ขโมยเสื้อของเราไปนี่ เรารีบเอาผ้าห่มตามไปให้ด้วยบอกว่าเราไม่ต้องการที่จะเอาเสื้อคืนหรือว่าจะเอาเขาใส่ตาราง นี่ถ้าเขาตบแก้มซ้ายแล้วจงให้เขาตบแก้มขวาด้วย ถ้าเขาขโมยเสื้อไปแล้ว เอาผ้าห่มตามไปให้เขาด้วย นี่ก็คือความหมายที่เป็นเมตตา อย่าถือเอาตามตัวหนังสือเลย ถือเอาใจความก็คือว่าเมตตาถึงที่สุด ไม่โกรธ ทีนี้ทางพุทธศาสนามีอะไรบ้างที่กล่าวไว้ในลักษณะเท่านี้ คุณก็เป็นนักธรรม จบมาเป็นเปรียญนี่ลองคิดดู ถ้าคิดไม่ออกหรือมองไม่เห็นผมก็จะบอกว่า ไอ้บาลีกกจูปมสูตรในมัชฌิมนิกายนี่ มีน้ำหนักเทียบเท่าอันนี้ได้ บาลีนั้นชื่อว่า “กกจูปมสูตร” คือ กกจะ อุปมาสูตร (นาทีที่ 29:51) สูตรที่มีเลื่อยเป็นอุปมา พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ถ้าโจรจับเธอไปแล้วมัด แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อยเธอ พอฟันเลื่อยบาดผิวหนังน่ะมีความเจ็บปวดเกิดขึ้น ถ้าเธอมีจิตประทุษร้ายในโจรนั้น เธอไม่ใช่คนของฉันนะ ทีนี้โจรเลื่อยต่อไป ผิวหนังขาดแล้วก็กล้ามเนื้อขาด มันก็เจ็บกว่าเดิมนะ นี่ถ้าเธอมีใจประทุษร้ายต่อโจรนั้น คือมีจิตผิดปกติไปในทางขุ่นเคืองต่อโจรนั้นแล้วก็เรียกว่าเธอไม่ใช่คนของฉันนะ ทีนี้โจรเลื่อยต่อไปจนถึงกระดูก ความเจ็บปวดทวีขึ้นอีกมาก เลยมีจิตประทุษร้ายขัดเคือง แล้วเธอไม่ใช่คนของฉัน แล้วถ้าโจรเลื่อยลงไปจนถึงเยื่อในกระดูก ก็เหมือนกันอีก ถ้ามีจิตขัดเคืองเกิดขึ้นเธอไม่ใช่คนของฉันนะ ความให้อภัย ความไม่โกรธ ความมีเมตตากรุณาขนาดนี้จึงจะเท่ากันกับที่พระเยซูสอน เรื่องตบแก้มซ้ายแล้วให้ตบแก้มขวาด้วยเป็นต้น คือจะมีความโกรธไม่ได้ แม้ในบุคคลที่เขากำลังทำอันตรายเรา นี่เหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นธรรมทูต ถ้าถือหลักข้อนี้ เต็มไปด้วยความเมตตา ความให้อภัย ความไม่โกรธ ในศาสนาคริสเตียนก็มี ในศาสนาพุทธก็มี ถึงขนาดที่เรียกว่าไม่น่าเชื่อ เป็นคำสอนที่มีไว้สำหรับให้เราถือเป็นหลักว่า ไอ้สิ่งที่เราเมตตานี้ต้องเป็นไปถึงที่สุดหรือสูงสุด ที่จะเอาอะไรเป็น Motive เป็นไอ้มูลเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดเมตตาอย่างนี้ มันก็ค่อยว่ากันไปคนละเรื่อง จะเห็นแก่พระเจ้าก็ได้ แล้วก็ไม่โกรธ เชื่อพระเจ้าแล้วก็ไม่ให้โกรธ ไอ้เราก็เห็นแก่พระธรรม เห็นแก่สิ่งที่ดีกว่านะ สิ่งที่ดีกว่าความโกรธน่ะเราจะเห็นแก่สิ่งนั้น แล้วเราจึงไม่โกรธ แม้ว่าถูกเลื่อยด้วยเลื่อย อย่างที่กล่าวไว้ในบาลี ฉะนั้นการสอนหรือการเผยแผ่พุทธศาสนาแก่บุคคลที่เขาเข้าใจศาสนาคริสเตียนอย่างถูกต้องแล้วมันง่าย หรือมันเกือบจะไม่ต้องสอนเลยเพราะมันเหมือนกัน ไปชี้ไอ้ความเหมือนกันมากกว่า แล้วก็เลยเป็นพุทธบริษัทกันขึ้นมาได้โดยหลักที่ว่า ถ้าคุณเป็นคริสเตียนที่ดี คุณก็เป็นพุทธบริษัทที่ดี แล้วคนที่เป็นพุทธบริษัทที่ดี ก็เป็นคริสเตียนที่ดีอยู่แล้ว ฉะนั้นจงมองดูกันซึ่งกันและกันด้วยสายตาแห่งความรัก ความเมตตา ความร่วมมือ ทีนี้เรื่องใหญ่ๆต่อไปอีกก็เช่นเรื่องพระเจ้า ไอ้เรื่องพระเจ้านี่มีปัญหามาก อย่างที่พูดมาแล้ววันก่อนว่า พระเจ้าในภาษาคนก็คือ Personal god มีพระเจ้าอย่างคน มีอะไรเหมือนคน รูปร่างเหมือนคน จิตใจเหมือนคน เดี๋ยวโกรธเดี๋ยวรัก เป็นบ้าไปเลย นี่พระเจ้าอย่างคน ทีนี้พระเจ้าอย่างไม่ใช่คนเป็น Impersonal god เป็นนามธรรม เดี๋ยวนี้มันก็เกิดปัญหาที่ทำให้ทะเลาะวิวาทกันเรื่องพระเจ้าก็เพราะว่าพูดกันคนละที ไอ้คนหนึ่งพูดพระเจ้าอย่างคน ไอ้คนหนึ่งพูดพระเจ้าอย่างธรรม แต่พระเจ้าแท้จริงเป็นพระเจ้าอย่างธรรม อย่างนามธรรม อย่างธรรมาธิษฐาน ทีนี้ไอ้เรื่องธรรมาธิษฐานนี่เป็นเรื่องพูดให้คนธรรมดาสามัญเข้าใจยาก เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องพูดด้วยภาษาคนเป็นปุคคลาธิษฐาน เพื่อเป็นสมมติอุปมาอย่างบุคคล ทีนี้คนไม่รู้มันไปยึดถือจับฉวยเอาไอ้คำพูดอย่างคนนี่มากเกินไป มันก็เลยเกิดความเชื่ออย่างแน่นแฟ้น หลับหูหลับตา งมงายไปทางหนึ่ง สำหรับเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ขัดแย้งกันในระหว่าง เอ่อ.. กับอีกพวกหนึ่งซึ่งถือพระเจ้าอย่างถูกต้อง อย่างเป็นธรรมาธิษฐาน ไอ้เรื่องนี้เราจะต้องนึกถึงในเรื่องปุคคลาธิษฐานต่างๆในพระคัมภีร์ของเราเองที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ไอ้ที่มันเชื่อไม่ลงนั้นน่ะ เพราะว่าเรามันโง่ ไม่รู้ความหมายที่เป็นธรรมาธิษฐาน เรื่องปาฏิหาริย์ต่างๆเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าหรือเกี่ยวกับใครในพุทธศาสนานั้นไม่ต้องยกเลิก มีใจความหรือมีความจริงที่เป็นใจความ เป็นความถูกต้องซ่อนอยู่ในนั้น ถ้าเราเข้าใจข้อนี้ได้แล้ว เราก็จะหมดปัญหาที่จะต้องเถียงกันเรื่องพระเจ้า หรือว่าขัดแย้งกันด้วยสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า เช่นว่าพุทธศาสนาไม่มีพระเจ้า ศาสนาอื่นมีพระเจ้า เพราะฉะนั้นไม่เหมือนกัน พอไม่เหมือนกันเลยไปถึงเป็นข้าศึกศัตรูกัน เป็นคู่ปรปักษ์ต่อกัน อย่างนี้มันผิด ผิดใหญ่โตออกไปจนเรียกว่าเป็นไม่ใช่ศาสนาด้วยกันทั้งสองฝ่าย มันจะเป็นไปก็การเบียดเบียน เพื่อการทำลายล้างซึ่งกันและกัน หรือเป็นศาสนาบ้าด้วยกันทั้งสองฝ่าย ถ้ามันไปเถียงทะเลาะวิวาทกันด้วยปัญหาเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อกล่าวโดยธรรมาธิษฐาน พระเจ้ามันก็ได้มีอยู่จริง อย่างที่เราเรียกว่าพระธรรม ได้มีอยู่จริง ในฐานที่ทำหน้าที่ทุกอย่างเหมือนกับที่พระเจ้าในศาสนาที่เขาถือพระเจ้า ได้มีอยู่จริงและได้ทำอะไรต่างๆจริง ข้อแรกเราจะพูดถึงรูปร่างของพระเจ้า พระเจ้าที่แท้จริงเป็นนามธรรมไม่มีรูปร่าง หรือว่ายิ่งกว่านามธรรมนี้ ก็ไม่มีคำพูดอะไรจะต้องเรียกว่านามธรรม ไม่มีรูปร่าง ทีนี้พอจะให้พระเจ้ามีรูปร่างขึ้นมา มันก็ต้องพูดอย่างไอ้สมมติหรือปุคคลาธิษฐาน ก็มีรูปร่างอย่างทุกสิ่งนะ พระเจ้าของคนก็ต้องมีรูปร่างอย่างคนสิ นี่เรียกว่าพระเจ้าที่ไม่มีรูปร่าง แล้วก็ต้องการจะทำให้มันมีรูปร่างขึ้นมา ไม่รู้จะพูดอย่างไร ฉะนั้นในศาสนาคริสเตียนเขาก็ว่าพระเจ้ามีรูปร่างอย่างคน เพราะว่าพระเจ้าได้สร้างคนขึ้นมาด้วยความเหมือนของพระเจ้า Likeness แปลว่าความเหมือน พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมาในความเหมือนกับพระเจ้า นี่เป็นเหตุให้เขาถือว่าพระเจ้ามีรูปร่างอย่างคน พอเขียนรูปพระเจ้าให้เด็กๆดูเป็นคนธรรมดา มีหนวดยาวเฟื้อยนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างนี้ ไอ้นี่เป็นมูลเหตุที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน เพราะเป็นพระเจ้าที่สมมติขึ้น ปรุงขึ้นในรูปของปุคคลาธิษฐาน มีรูปร่างอย่างคน พูดกันในภาษาคนพระเจ้ามีรูปร่างอย่างคน พูดกันในภาษาธรรมพระเจ้าไม่มีรูปร่าง ไม่มีรูปร่างเป็นอะไร แต่เป็นอำนาจหรือเป็นพลังอะไรก็ตามชนิดหนึ่งซึ่งทำอะไรได้ทั้งหมด อย่างนี้เราเรียกว่าพระธรรม เข้าใจคำว่าพระธรรมให้ดีๆหน่อย พระธรรมสร้าง พระธรรมแต่ง พระธรรมอะไรทุกอย่างอยู่เป็นฝีไม้ลายมือของพระธรรมทั้งนั้น พระธรรมนั่นมันเป็นนามธรรมที่มันไม่มีรูปร่าง เรามาพูดอย่างเป็นนายช่างที่จะปั้นหม้อหรือจะสร้างอะไรขึ้นมาอย่างนี้ บางคนหนักไปกว่านั้นก็เรียกว่าผี ผีสร้างคน สร้างมนุษย์สร้างคน ทีนี้อาณาจักรของพระเจ้าไม่มีขอบเขต คิดดูสิ พระเจ้าเป็นสิ่งที่มีอาณาจักร มีขอบเขต เป็น Omnipresent คือว่ามีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งในคน นอกคน นอกโลก ในโลกอะไรพระเจ้ามีอยู่ไปทั่วทิศทั่วทุกแห่ง นี่คือพระเจ้าจริง พระเจ้าที่ไม่ได้เป็นคน แล้วก็มีอยู่ในที่ทุกแห่ง ไม่มีใครจะรอดอำนาจของพระเจ้าไปได้ เช่นเขาทำผิดทำชั่วแล้วจะหนีไปอยู่ก้นเหวบาดาลอะไรก็มันไม่พ้นอำนาจพระเจ้าไปได้ เพราะพระเจ้ามีในที่ทุกหนทุกแห่งอย่างเราเรียกว่า “กฎแห่งกรรม” จะครอบงำหรือควบคุมสัตว์ไปทั่วทุกหนทุกแห่งไม่ว่าเขาจะหนีไปอยู่ที่ไหน ในบาลีธรรมบทก็มี ไปดูให้ดี นั่นคืออาณาจักรของพระเจ้า คือทั้งหมด ไม่มีไอ้ส่วนไหนที่จะไม่อยู่ในอาณาจักรหรือเป็นอาณาจักรของพระเจ้า แต่เราเรียกว่าพระธรรม จึงมีอำนาจไปทุกหนทุกแห่งเป็น Omnipotent รู้ไปเสียทุกหนทุกแห่งเป็น Omniscience นั่นน่ะคือคุณสมบัติของพระเจ้า แล้วก็เป็นอาณาจักรที่ทั้งหมดเลย ไม่มีคำพูดจะพูดก็พูดว่าทั้งหมดเลย ทีนี้ต้นตอของสิ่งทั้งปวง มนุษย์เกิดจะรู้ขึ้นมาว่าไอ้ทุกอย่างนี่มันออกมาจากอะไร มันมาจากไหน นี่หมายความว่ามนุษย์มันเริ่มมีความคิดมากแล้ว พวกที่ถือพระเจ้าก็ตอบให้ลูกเด็กๆฟังเสียเลยว่ามาจากพระเจ้า แล้วมันก็ถูกที่สุด ถูกอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่เราจะตอบให้ลูกเด็กๆว่า ทุกอย่างมาจากพระธรรม พระธรรมในความหมายที่กว้างที่สุดน่ะคือธรรมชาติอันหมายถึงทุกสิ่งนี่ โลกนี้ก็ดี สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ก็ดี อะไรก็ดี ทุกอย่างทั้งหมดนี้มาจากพระธรรม โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี ดวงดาว ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อะไรก็ตามมันมาจากสิ่งๆเดียวที่เรียกว่าพระธรรม นี่เขาเรียกว่า Source เราเรียกพระธรรมว่าเป็น Source ของสิ่งทั้งปวง เขาก็เรียกว่าพระเจ้าเป็น Source ของสิ่งทั้งปวง ทีนี้ใครเกิดจะถามว่าแล้วพระเจ้ามาจากไหนล่ะ มันก็ต้องตอบพระเจ้ามาจากพระเจ้าได้ในตัวเอง ในตัวเองของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระธรรมนี่ ถ้าถามว่ามาจากไหน คุณก็เรียนมาหลายปีแล้ว พระธรรมมาจากไหน ลองคิดดู ในโรงเรียนบาลีเขาสอนกันว่าอวิชชามาจากอวิชชา ถามอีกก็มาจากอวิชชา ถามอีกก็มาจากอวิชชานี่ คือมาจากสิ่งที่เรายังไม่รู้ว่าเป็นอะไร พระธรรมมันเป็นไอ้ เป็นทั้งหมดเกี่ยวกับเนื้อที่หรือเกี่ยวกับเวลาก็ตาม ฉะนั้นจึงเป็นตัวเองได้ และก็เป็นที่ออก เป็นที่ไหลออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง พระธรรมไม่ต้องมาจากไหน พระเจ้าไม่ต้องมาจากไหน มาจากตัวเองได้ คือมีขึ้นมาเองได้โดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามาจากไหน มนุษย์ไม่อาจจะรู้ว่าสิ่งนี้มาจากไหน แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่าสิ่งนี้มาจากไหน โดยให้ถือว่ามันเป็นตัวเอง มาจากตัวเอง สิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือธรรมชาตินี่ ศาสนาคริสเตียนเรียกว่าพระเจ้า ศาสนาพุทธเราเรียกว่าพระธรรม ไอ้นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเรียกว่าธรรมชาติ แล้วธรรมชาติก็มีในภาษาบาลีใช้สำหรับเป็นคำกลางเรียกสิ่งทั้งปวง ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติ บรรดาสังขารธรรมทั้งหลายก็เป็นธรรมชาติ อสังขารธรรมมีพระนิพพานเป็นความหมายนี้ก็เป็นธรรมชาติ นิพพานก็เป็นธรรมชาติ วัฏสงสารก็เป็นธรรมชาติ นี่นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องใช้คำว่าธรรมชาติเป็นต้นตอ เป็นที่มา หรือเป็นสิ่งทั้งปวง เราก็เรียกว่าพระธรรมเป็นที่มา เป็นต้นตอของสิ่งทั้งปวง พวกที่เขาถือพระเจ้าก็เขาใช้คำว่าพระเจ้าแทนไอ้คำนี้ เรื่องพระเจ้าลงโทษ พระเจ้าให้รางวัลนั้นคือกฎของธรรมชาติ เด็กๆฟังไม่ถูก ก็ต้องให้พระเจ้าเป็นคนเลย ลงโทษและให้รางวัลกันอย่างที่เห็นกันในห้องเรียนในโรงเรียนนี่ การลงโทษหรือการให้รางวัลของพระเจ้ามีความหมายที่ว่า ทำอย่างไรก็จะได้ผลอย่างนั้นตามกฎแห่งกรรมนี้ พูดอย่างนั้นลึกไปก็พูดให้เป็นคนขึ้นมา ให้กรรมนั้นเป็นคนขึ้นมาเป็นพระเจ้า พระเจ้าของศาสนาคริสเตียนมีการสรุปเป็น Trinity “ตรีนิตี้” หรือ “ตรีมูรติ” ในภาษาสันสกฤต องค์สามของพระเจ้าคือพระบิดา พระจิตและพระบุตร God the father นี่พระบิดา แล้วก็ The ghost, The holy ghost วิญญาณสูงสุด นั่นคือพระจิต แล้ว The sun, God the sun คือพระเยซู ไอ้พระบิดาคือตัวพระเจ้าตามธรรมชาติอย่างที่ว่ามาแล้ว ไม่มีรูปร่าง ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครบอกได้ว่าอยู่ที่ไหนเพราะอยู่ในทุกที่ทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้น The ghost ที่แปลว่าผี อย่าไปแปลว่าผีนะมันฟังไม่ถูกหรอก แปลว่าวิญญาณ วิญญาณในที่นี้ให้เอาความรู้อันหมายถึงความรู้แจ้ง ญาณแปลว่ารู้ วิญญาณแปลว่าความรู้แจ้ง นั่นน่ะคือพระธรรมในแง่ที่จะมาปรากฏแก่มนุษย์ โดยอาศัยอำนาจไม้มือของพระบุตรคือพระเยซู ผมพูดอย่างนี้พวกคริสเตียนบางคนว่าผมพูดเอาเอง เอาเปรียบ แล้วผิดอย่างยิ่ง แล้วผมก็ยังพูดอย่างนี้อยู่นั่นแหละ ในเมื่อจะอธิบายไอ้ Trinity ของคริสเตียน พระบิดาคือพระเจ้า พระธรรมในฐานะที่ว่าเป็นต้นตอของสิ่งทั้งปวง พระวิญญาณหรือพระจิตนี่คือพระธรรมที่ออกมาเป็นกฎ เป็นคำสั่งสอน เป็นการปฏิบัติ เป็นอะไรนี่ พระบุตรคือพระเยซูก็คือผู้ทำหน้าที่ให้พระจิตหรือพระธรรมปรากฏแก่มนุษย์ ในความหมายทั่วไป พระบุตรหรือพระเยซูนี่ก็คือเป็นสื่อที่ทำให้ตัวพระเจ้านี่ถึงกันได้กับมนุษย์ โดยเอาพระจิตของพระเจ้ามายื่นให้แก่มนุษย์ นี่คุณก็จะมองเห็นว่ามันเหมือนกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างยิ่ง ในความหมาย ไอ้ตัวหนังสือไม่เหมือน เมื่อเล็งตัวบุคคลก็ไม่ค่อยจะเหมือน แต่ใจความมันเหมือน คือมันมีอะไรอยู่อย่างหนึ่งซึ่งเป็นต้นตอของสิ่งทั้งปวง เป็นกฎความจริงของสิ่งทั้งปวงมีอยู่ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ทีนี้ต้องมีใครสักคนหนึ่งเอาความรู้อันนั้นมาแสดงแก่มนุษย์ให้ได้ พระธรรมก็เลยกลายเป็นพระเจ้า พระพุทธเจ้าก็ และพระสงฆ์ก็เลยกลายเป็นผู้ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้มันเข้าถึงสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไอ้ลำดับมันจะกลับกันบ้างก็ได้เช่น พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ แต่อย่าลืมว่าพระธรรมน่ะเป็นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้านะ เพราะพระพุทธเจ้าเคารพพระธรรมนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต อนาคต ปัจจุบันเคารพพระธรรม แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าพระธรรม ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมนั่นน่ะคือทุกสิ่ง ในฐานะเป็นต้นตอ เป็นเหตุก็ได้ ในฐานะเป็นผลปรากฏการณ์ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ฉะนั้น Trinity ของศาสนาไหนก็เหมือนกัน จะต้องมีหลักที่ว่ามันมีอะไรอยู่อันหนึ่งซึ่งลึกลับเหลือประมาณและเป็นทุกอย่าง แล้วก็จะต้องมีคนๆหนึ่งซึ่งไปเอาความรู้เรื่องนั้นมาสอนแก่คนทั้งหลาย นี่คือที่พึ่ง สรณะหรือที่พึ่ง จะเป็นสาม สามอย่างนี้เสมอ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าพระบิดา พระจิต พระบุตร อะไรก็ตาม ต้องไปพูดกันอย่างมิตรสหาย หวังดีสิ อย่าไปพูดกันอย่างศัตรู แล้วก็มันมีหลักเกณฑ์อยู่อย่างนี้มันก็พูดกันรู้เรื่อง ทีนี้ที่อยากจะให้สังเกตอีกทีหนึ่งก็คือว่าในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้น โดยเฉพาะคัมภีร์โยฮัน The book of Johann บรรทัดแรกขึ้นมาว่า At the beginning the word was แรกเริ่มเดิมที The word มีอยู่แล้ว The word คำพูดนี่ คำพูดด้วยปากนี่ก็ The word อย่างนี้ At the beginning the word was ก็ลองถามดูสิในเมื่อยังไม่มีคนสักที The word ของใครล่ะ คำพูดของใครล่ะ นี่เขาก็ไม่เข้าใจแล้วไม่สนใจไอ้ประโยคอย่างนี้ The word นั่นแหละคือพระธรรม พระธรรมนั้นคือกฎธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นผู้พูด เป็นคำพูดของธรรมชาติ นั่นคือกฎของธรรมชาติ The word นั้นคือประกาศิตของธรรมชาติ At the beginning the word was แรกเริ่มเดิมทีก่อนสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมี The word อยู่แล้ว คัมภีร์ของเราก็มีว่า ธัมโม หะเว ปาตุระโหสิ ปุพเพ “ธัมโม” พระธรรม “หะเว” เว้ย “ปาตุระโหสิ” ปรากฏอยู่แล้ว “ปุพเพ” ในกาลก่อน คือก่อนสิ่งใดทั้งหมด ธรรมะปรากฏอยู่แล้วโว้ย นี่ผมไปบอกเพื่อนที่เป็นคริสเตียนน่ะว่าไอ้ The word ของคุณน่ะ อย่าไปแปลว่าคำพูด ใครจะไปเข้าใจได้ ให้ใช้คำว่าพระธรรม ซึ่งเป็นกฎของธรรมชาติ พูดโดยธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ที่เขาเคยแปลกันว่าพระคำน่ะเขาเปลี่ยนเป็นคำว่าพระธรรม ผมเห็นไอ้ฉบับหลังๆที่เขาพิมพ์ออกมาเร็วๆนี้ ก่อนนี้เขาใช้คำว่า “พระคำ” แรกเริ่มเดิมทีนี่พระคำได้มีอยู่แล้ว เปลี่ยนเป็น “พระธรรม” เสียดีกว่าจะได้เข้ากันหมดทั้งโลก อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้คำต่อไปมันก็คือว่า The word นั้นคือ The light คือแสงสว่างน่ะ The light นั้นคือ God เพราะฉะนั้น The word, The light, God นี่เป็น สาม อย่างนี่เป็นของสิ่งเดียวกัน ไอ้ Light ในที่นี้หมายถึงไอ้วิวัฒนาการ กฎแห่งวิวัฒนาการ เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์นี่เป็นแสงสว่างที่ทำให้ไอ้วัตถุธรรม วัตถุธาตุ วิวัฒนาการ ฉะนั้น The light นี่มันหมายถึงไอ้อำนาจที่มันทำให้เกิดวิวัฒนาการ ข้อนี้รู้ได้จากไอ้คัมภีร์เก่าของคริสเตียน บรรทัดแรก หน้าแรกของไบเบิ้ลที่ว่า พระเจ้าสร้าง The light นี่ขึ้นก่อนสิ่งทั้งหลาย วันที่หนึ่งสร้าง The light แสงสว่าง กว่าวันที่สี่จึงสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ไอ้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาวทั้งหลายนี่มันของหยิบมือเดียว มันขึ้นอยู่กับ The light ทั้งหมด นี่ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็หาว่าไอ้บ้า พูดบ้าๆบอๆ สร้างแสงสว่างก่อนสร้างดวงอาทิตย์ เพราะมันเข้าใจไอ้ความหมายของคำนี่ไม่ถูกต้อง มันจึงมีปัญหาอย่างนี้ อันแรกก็มีกฎของธรรมชาตินี่ซึ่งมีมาแต่ไหนใครก็ไปรู้มันเล่า ก็คือพระธรรมน่ะกฎของธรรมชาติ มันมีอันนี้มาก่อนที่มนุษย์จะรู้สึกได้ รู้จักได้ อันนี้มีอยู่ก่อนใครทั้งหมด ก็อันนี้น่ะบันดาลให้เกิดวิวัฒนาการ เกิดอะไรต่างๆ และเรียกอันนี้ว่าพระเจ้า สิ่งที่มีอยู่ก่อน ก่อนสิ่งทั้งปวงนี่ก็คือพระเจ้า แล้วเราก็เรียกว่าพระธรรม เพราะฉะนั้นเรื่องสร้างโลกจึงเป็นเรื่องที่มีความหมายลึกซึ้ง พุทธศาสนาก็มีเรื่องสร้างโลก คือความเป็นมาตามกฎของธรรมชาติ ตามหลักของพระธรรม นี่คือการสร้างโลก ถามว่าใครสร้างโลก พระธรรมสร้างโลก เมื่อเขาพูดว่าพระเจ้าสร้างโลก เราพูดว่าพระธรรมสร้างโลก ไปๆมาๆเป็นเรื่องเดียวกัน ฉะนั้นคัมภีร์ไบเบิ้ลตอนคัมภีร์เก่า ซึ่งมีอยู่ก่อนพระเยซูนั้นก็เป็นคัมภีร์ของไอ้ชนชาติฮิบรู คือพวกยิวเดี๋ยวนี้ ที่เขาได้รจนาร้อยกรองเขียนขึ้นเป็นพระคัมภีร์ Old testament ถ้ามองด้วยสายตาของไอ้คนโง่ของนักปราชญ์ที่โง่ที่สุดแห่งสมัยปัจจุบันนี่ เราพูดกันวันก่อนแล้วว่าไอ้นักปราชญ์ที่โง่ที่สุดของสมัยปัจจุบันมีปริญญายาวเป็นหาง มันจะมองเห็นไอ้คัมภีร์ไบเบิ้ลตอนนี้ว่าเป็นนิยายโง่ๆของชาวฮิบรู ทำไมสร้างแสงสว่างในวันที่หนึ่งมาสร้างดวงอาทิตย์วันที่สี่นี่ ไอ้เรื่องอย่างทำนองนี้เต็มไปหมด ก็เลยเป็นเรื่องราวโง่ๆของชาวฮิบรู ต่อเมื่อได้ศึกษาโดยแท้จริงแล้วก็ว่านี่คือปัญญาที่เฉลียวฉลาดของมนุษย์ มันมีกฎธรรมชาติอยู่แล้ว มันมีสิ่งต่างๆเป็นไปตามนั้น เป็นบันทึกทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ที่คัมภีร์นี้พูดว่ามนุษย์จะเพิ่งมีขึ้นราวแปดพันปีมานี่เอง ก็หมายความว่ามนุษย์นี่มันเพิ่งจะมีคุณสมบัติอย่างมนุษย์เมื่อสักแปดพันปีมานี่เอง มันมารู้ไอ้กฎข้อนี้ตามคัมภีร์ไบเบิ้ลนี้ ไอ้มนุษย์ก่อนนั้นเป็นไม่ใช่มนุษย์ ทีนี้วิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์มีมาเป็นแสนปีมาแล้วนี่มันยังไม่เป็นมนุษย์ จนกว่าจะมาถึงสมัยที่มันจะกินไอ้ผลไม้ของพระเจ้าที่อดัมกับอีฟเป็นตัวแทนกินเข้าไปนั่นน่ะ ประมาณแปดพันปีมานี่เอง มีความเป็นมนุษย์ขึ้นมา แล้วก็เป็นมนุษย์ที่ทนทุกข์ทรมานเพราะยังโง่อยู่แปดพันปีมาแล้วนี่โง่มา โง่มา ยึดมั่นถือมั่น เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่องบุญเรื่องบาป จนเป็นความทุกข์เรื่อยมา จนกว่าจะมาเกิดไอ้คนที่รู้ว่าโอ้ยอย่าไปยึดถือไอ้สิ่งเหล่านั้น พระพุทธเจ้าจะเป็นผู้นำที่สุดในเรื่องนี้ว่าอย่าไปยึดถือเรื่องดีเรื่องชั่ว เพราะเราเขียนไว้ชัดมาก ส่วนคัมภีร์คริสเตียนนั้นเขียนไว้โดยอ้อม โดยอ้อมค้อม ต้องตีความหมายถูกจึงจะเข้าใจ มันก็เขียนเรื่องต้นไม้สองต้น ต้นไม้ต้นที่ ๑ เรียกว่าต้นไม้แห่งความรู้อันดีและชั่ว Tree of knowledge of good and evil ต้นไม้แห่งความรู้เรื่องดีและชั่วออกลูกมา พระเจ้าห้ามว่าอย่ากินเข้าไปนะ กินจะตาย นี่อดัมกับอีฟไม่เชื่อ กินเข้าไป หาว่างูหลอกลวงให้กิน ก็คือมนุษย์เกิดมีความเห็นว่าพระเจ้าเป็นอย่างไรเราก็จะเป็นอย่างนั้น ให้กินไอ้ผลไม้ต้นนี้เข้าไปก็ทำให้รู้เรื่องดีเรื่องชั่ว ดีกว่ามนุษย์ที่ยังไม่นุ่งผ้า ก็รู้ดีรู้ชั่ว พอรู้ดีรู้ชั่วก็เกิดยึดถือดีชั่ว เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ดี เป็นทุกข์เพราะได้ชั่ว อะไรก็ตาม มันเป็นความทุกข์เพราะรู้ดีรู้ชั่ว นี่ยุคหนึ่ง รู้จักกินแต่ไอ้ต้นผลไม้ต้นนี้ ต้นไม้ต้นที่ ๒ เขาเรียกว่า Tree of life คือต้นไม้แห่งชีวิต นี่ชีวิตนิรันดร ถ้ากินเข้าแล้วจะไม่ตายจะเป็นอย่างเดียวกับพระเจ้า นี่คือเรื่องอมตธรรมในพุทธศาสนา นี่พระเจ้าเห็นว่าไอ้มนุษย์มันดื้อไม่เชื่อฟัง มันไปกินไอ้ต้นผลไม้ต้นที่เราห้าม ต้นที่ ๑ ก็แล้วมันจะไปกินต้นที่ ๒ อีก เพราะฉะนั้นพระเจ้าตั้งอารักขาเทวดาถือดาบแกว่งอยู่รอบต้นไม้นั้น มนุษย์ก็เข้าไปกินได้ นี่ก็คือความยากลำบากที่มนุษย์จะรู้เรื่องอมตธรรมหรือโลกุตรธรรม เพราะธรรมชาติได้กีดกันไว้ถึงอย่างนี้ รู้ปุคคลาธิษฐานและบรรยายไว้อย่างนี้ พวกฝรั่งยุคปัจจุบันก็ว่านิยายโง่ๆของชาวฮิบรู แต่จริงๆนี่คือความฉลาดที่สุดของมนุษย์และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เป็นมา พอไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กันได้ มันก็พอที่จะไม่มีอะไรที่จะขัดขวางกันในระหว่างศาสนาคริสเตียนกับพุทธศาสนา เป็นคริสต์ศาสนิกชนที่ถูกต้องที่ดี ก็เป็นพุทธศาสนิกที่ถูกต้องที่ดี เป็นพุทธศาสนิกที่ดีก็เป็นคริสต์ศาสนิกที่ดี เลยเป็นคนของธรรมชาติหรือของพระเจ้าเหมือนกันหมดทั้งโลก ไม่มีใครจะทำอันตรายแก่ใครในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เป็นความไม่เบียดเบียนอย่างยิ่ง อหิงสา ปรโม ธัมโม เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น นี่ขอให้ถือว่าทุกศาสนาที่แท้จริง ที่เป็นศาสนาจริงๆไม่ใช่ศาสนาบ้า ศาสนาที่เป็นศาสนาทุกศาสนามีไอ้จุดศูนย์กลาง มีนิวเคลียสอันเดียวกัน อันเดียวกันไม่ใช่ว่าเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามีนิวเคลียสคนละอันแล้วเหมือนกัน มีนิวเคลียสอันเดียวกัน นี่การสอนพุทธศาสนาโดยผ่านทางคัมภีร์ไบเบิ้ลมีช่องทางมากอย่างนี้ ประหยัดเวลาได้มาก ฉะนั้นจะไปสอนในหมู่ชนที่เขาเคยรู้ศาสนาคริสเตียนมาก่อน จะสอนได้อย่างง่ายที่สุดในวิธีการอย่างนี้ พวกฝรั่งมาถึงที่นี่เป็น Professor เป็นอะไรมาก็ตามน่ะผมชวนคุยเรื่องนี้ก่อนเสมอ พักเดียวรู้เรื่องพุทธศาสนาโดยไม่ต้องสอนพุทธศาสนา คือสอนพุทธศาสนาให้โดยรูปของพระคัมภีร์ไบเบิ้ล นี่เป็นหัวข้อเอาไปสังเกตพิจารณาหาลู่ทางดู จะใช้วิธีการอย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าโปรดชฎิล เวลาของเราก็หมด