แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การศึกษา การศึกษาหารือของพวกเราเกี่ยวกับเมืองตำปรื้อ ล่วงมาถึงครั้งที่ ๙ ในวันนี้ วันก่อนพูดกันเรื่องธรรมะ สำหรับโลกจะได้ไม่กลิ้งลงเหว วันนี้จะพูดในหัวข้อว่า การศึกษาที่ไม่ประกอบด้วยธรรม คือไม่ประกอบด้วยธรรมที่จะป้องกันโลกไม่ให้กลิ้งลงเหวนั่นเอง ธรรมะที่ไม่ประที่ ไม่ประ การศึกษาที่ไม่ประกอบด้วยธรรมะ มีอย่างไรบ้าง เราจะได้พูดกันให้เป็นที่เข้าใจ คำว่าธรรม มีใจความสรุปอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว คนพูดกันต่างๆ สำหรับคำว่า ธรรม หรือใจความของธรรม อาจจะพูดอย่างอื่นได้ แต่ในที่นี้เราจะระบุใจความที่จำเป็นจะต้องทราบ และจำเป็นจะต้องปฏิบัติให้ได้ผล ใจความของธรรมคือความไม่เห็นแก่ตัว จะเป็นยอดสุดของธรรมเพราะอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว จะเป็นพื้นฐานของธรรมเพราะอยู่ที่ความไม่เห็นแก่ตัว จะเป็นหัวใจของธรรมคือความไม่เห็นแก่ตัว ขอยืนยันในข้อนี้ คำว่าธรรมในความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านต้องการ คือความไม่เห็นแก่ตัว อย่าเอาคำว่าธรรม ตามธรรมดาในทางภาษา คำว่าธรรมในทางภาษาทั่วไป หมายถึง ทุกสิ่ง ทุกสิ่ง แต่ว่าธรรมในความหมายที่พุทธบริษัทต้องการ พระพุทธเจ้าสอน คือ ความไม่เห็นแก่ตัว ต้องมีความไม่เห็นแก่ตัวเป็นรากฐาน ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นตัวการ ความไม่เห็นแก่ตัวเป็นผลที่มุ่งหมาย ทั้งนี้ก็เพราะว่ามนุษย์ค่อยๆ ดีขึ้นมากกว่าสัตว์ มีสติปัญญามากขึ้น รู้จักเห็นแก่ตัวมากขึ้น เท่าที่สติปัญญามันมากขึ้น สัตว์มีความรู้สึกคิดนึกมีสติปัญญาน้อย คล้ายๆ ว่าจะหลับอยู่ตลอดเวลา ความเห็นแก่ตัวก็เลยมีน้อยมีพอสมกัน มนุษย์ฉลาดขึ้นดีขึ้นกว่าสัตว์ ความเห็นแก่ตัวก็ขยายตามตัวมากขึ้น มากขึ้น มันจึงเห็นแก่ตัวมากกว่าสัตว์ ปัญหาก็ย่อมเกิดขึ้นมากกว่าสัตว์ มีความทุกข์มากกว่าสัตว์ มีความเบียดเบียนกันมากกว่าสัตว ถ้าเราปล่อยไปตามธรรมดา ไม่มีธรรมะไม่มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง มนุษย์ก็คือสัตว์ที่เห็นแก่ตัวสุดยอด ฉะนั้นเราจึงต้องมีการศึกษาหรือมีธรรมะที่ถูกต้อง คือธรรมะที่จะช่วยทำลายความเห็นแก่ตัว หรือว่าธรรมะที่จะไม่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ สัตว์มีความเห็นแก่ตัวน้อย แต่มนุษย์นี้มีการศึกษาชนิดที่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ให้มากขึ้น พูดแล้วไม่ค่อยมีใครเชื่อ หมายความว่ามนุษย์มีการศึกษาที่ทำให้ฉลาดอย่างเดียว ไม่ทำให้รอบรู้ในเรื่องที่จะควรรู้ มันฉลาดไปแต่ในทางที่จะเห็นแก่ตัว เขาเรียกว่าฉลาดเหมือนกันเป็นเฉโก ไม่ใช่เป็นปัญญา ไม่ใช่เป็นญาณทัศนะ การศึกษาที่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ให้มากขึ้น คือสิ่งที่เป็นอันตรายที่สุด คือไม่ประกอบด้วยธรรม เป็นสิ่งที่เราจะต้องเอามาพูดกัน มาปรึกษากัน มานึกคิดกัน ขอให้ระลึกนึกถึงข้อที่ว่า เมืองตำปรื้อนี้เคยเจริญรุ่งเรืองด้วยธรรมเมื่อพันกว่าปีมาแล้ว มีความเสื่อมทรามอย่างไร คุณอายุเท่านี้อาจจะไม่ทันเห็นความแตกต่างมากนัก แต่ถ้าผมอายุเท่านี้ได้เห็นความแตกต่างกันมากทีเดียว สมัยก่อนไม่มีการศึกษาอย่างที่พวกคุณเรียนกัน ไม่มีวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัย ไม่มีแม้แต่โรงเรียนอนุบาล ที่เขาเรียนไปตามสบายอยู่วัด เรียนไป อย่างอยู่วัด เช่นบวชเณรบวชพระจนเห็นพอสมควร การศึกษาในวัดกับการศึกษาสมัยปัจจุบันนี้ต่างกันลิบลับ การศึกษาในวัดนั่นมันการศึกษาธรรมะโดยตรงและโดยอ้อมทั้งนั้น การศึกษาปัจจุบันเป็นเรื่องเรียนหนังสือเรียนวิชาชีพทั้งนั้น คนเขาพูดว่าเมื่อก่อนวัดก็สอนวิชาชีพ เช่น ตีเหล็ก ทำไม้ นั่นมันไม่ถูก มันมองแต่ประโยชน์ทางวัตถุ ไม่ใช่ตัวจริงไม่ใช่ตัวความประสงค์มุ่งหมาย การศึกษาในวัดของสมัยก่อนเพื่อเรียนธรรมะโดยไม่รู้สึกตัว คือเรียนการทำลายความเห็นแก่ตัวโดยไม่รู้สึกตัว มีระเบียบมีธรรมเนียมมีวินัยควบคุม ยากที่จะมีความเห็นแก่ตัว ทีนี้คนจึงมีธรรมะโดยไม่รู้สึกตัวอยู่ อยู่ในเลือดในเนื้อในวัฒนธรรม คนสมัยก่อนผิดกับคนสมัยนี้อย่างยิ่งเลย แม้แต่ในตัวผมทันเห็นนี่ก็ยังผิดกันมาก คนสมัยก่อนกลัวบาปและหวังบุญ เป็นเลือดเป็นเนื้อเป็นนิสัย คนสมัยนี้ต้องการแต่จะได้วัตถุ ถือว่าได้นั่นแหละดี คนสมัยก่อนมันไม่รู้จะเห็นแก่ตัวไปทำไมนัก มันไม่มีเรื่องกินเรื่องใช้เรื่องอะไรมากมายเหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ขยายการกินการใช้การมันมีความก้าวหน้านั่นแหละ ทั้งของตัวเองทั้งของลูกหลานมากแล้วมันก็เลยต้องการมาก มันก็ต้องเห็นแก่ตัวมาก คนสมัยก่อนมันมีเรื่องน้อยมันก็เห็นแก่ตัวน้อย นี่เป็นข้ออย่างหนึ่งอยู่แล้ว สมัยนี้มันมีเรื่องมายั่วให้เห็นแก่ตัวมาก แล้วคนทั้งโลกก็เลยลืมตัวไปเห็นแก่ตัว ทีนี้เราจะ เปรียบเทียบโรงเรียนวัดกับโรงเรียนอย่างที่คุณเรียนวิทยาลัยมหาวิทยาลัย โรงเรียนวัดสมัยผมอยู่ อยู่วัดนี่ต้องทำงานให้วัดให้อาจารย์ให้ ให้แล้วแต่จะใช้ทุกวัน วันหนึ่ง ๒-๓ ชั่วโมง สมัยนี้มีที่ไหนโรงเรียนไหนวิทยาลัยไหน หรือมหาวิทยาลัยไหนที่ว่าทำงานให้โรงเรียนหรือให้วันละ ๒-๓ ชั่วโมงตอนเย็น ทีนี้คนเขาจะพูดว่า โอ้, สมัยนี้เขามีเงินใช้ เขาก็เอาเงินนั้นแหละให้เสียค่าเรียนค่าอะไรแล้วก็ เด็กก็ไม่ต้องทำการไม่ต้องทำงาน ให้โรงเรียน ให้มหาวิทยาลัย ไอ้นั่นมันถูกอย่างคนโง่ เพราะการที่เราต้องทำงานให้วัดวันละ ๒-๓ ชั่วโมงตอนเย็นนี้ มันขูดนิสัยความเห็นแก่ตัวของเราทุกวันทุกวันวันละ ๒-๓ ชั่วโมงจนกว่าจะออกจากวัด เราถางหญ้าให้วัดตอนเย็นก็เราคือถากความเห็นแก่ตัวในใจของเราตอนเย็นทุกวันเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่เป็นการเหงื่อไหลไคลย้อยให้วัดตอนเย็นวันละ ๒-๓ ชั่วโมง ให้เหงื่อมันออกมามันก็ล้างไอ้ความเห็นแก่ตัวของเราวันละ ๒-๓ ชั่วโมงเรื่อยไป สมัยนี้พวกคุณในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยไม่เคยทำ เพราะถือว่าเสียเงินให้แล้วบ้างหรือเรียนฟรีก็ตามใจไม่ทำ นั่นเป็นหลักการที่โง่ รวมๆ กันทั้งโลก จัดการศึกษาแบบนี้ ยิ่งเรียนก็ยิ่งเห็นแก่ตัวยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว เพราะไม่ต้องทำอะไรเพื่อผู้อื่น หรือเพื่อธรรมะหรือเพื่อส่วนรวม ทำไปเพื่อตัว เรียนไปก็เพื่อตัว ไอ้ความรู้นี้ก็เพื่ออาชีพของตัว กว่าจะเรียนจบ ๑๐ ปีมันมีความเห็นแก่ตัวหนาแน่นมาทั้ง ๑๐ ปี ถ้าโรงเรียนวัดทำไปอยู่ไปมันก็ขูดเกลาความเห็นแก่ตัวเรื่อยไป ไอ้คำว่าโรงเรียนวัดนั่นมันมีคำว่าศาสนาหรือธรรมรวมอยู่ด้วย ทีนี้โรงเรียนไอ้โลกๆ นี้มันก็มีมีแต่เพียงเรียนหนังสือหรือเรียนวิชาชีพอย่างเดียว การที่ว่าเอาโรงเรียนออกมาเสียจากวัด นั่นมันก็เท่ากับเอา เอาเด็กออกมาเสียจากศาสนาของตัว เอาโรงเรียนออกมาเสียจากวัดจากหลักการจากโรงเรียนวัดนั่นคือเอาเด็กออกมาจากศาสนา เอาเด็กออกมาจากธรรมะเอามาใส่ลงไปในความเห็นแก่ตัว คุณไปเรียนความเห็นแก่ตัวตั้งแต่ชั้นอนุบาลขึ้นมาถึงชั้นประถม มัธยม วิทยาลัยมหาวิทยาลัย สมมติว่าบรมมหาวิทยาลัยข้างหน้าถ้ามันจะมี นั่นมันยอดสุดของความเห็นแก่ตัว ยิ่งทำไปก็ยิ่งส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ คือความเห็นแก่ตัว ถ้าออกมาก็เป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวจัดกันทุกคน พร้อมที่จะเอาเปรียบแข่งขันแย่งชิงกันทุกคนในระหว่างบุคคล ในระหว่างหมู่คณะ ในระหว่างประเทศ มันก็เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความแย่งชิง เพราะความเห็นแก่ตัว เพราะการศึกษานี่มันส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ เมืองตำปรื้อของเรา ๑,๒๐๐ กว่าปีมาแล้วเมื่อบาง เมื่อบางกอกยังอยู่ใต้น้ำยังไม่ผุดไม่เกิด เมืองตำปรื้อเป็นเมืองพุทธศาสนาอย่างสมัยศรีวิชัย มีปราชญ์มีอะไรแสดงอยู่ทั่วไปคือความไม่เห็นแก่ตัว สมัยนี้ไม่มีการทำชนิดนี้ เช่นว่า สร้างพระธาตุสร้างไอ้อะไรขึ้นไปทั่วๆ สมัยนี้เขาไม่ทำหรือทำไม่ได้ ถ้าคิดจะทำก็ทำด้วยความเห็นแก่ตัวอย่างใดอย่างหนึ่งเสียมากกว่า เราดู เราดูได้ที่ขนบธรรม เนียมประเพณีของความไม่เห็นแก่ตัว มันก็ไม่เบียดเบียน มันมาอยู่ในรูปของศาสนาคือความกลัวบาป แม้จะเป็นลักษณะของความเชื่อมั่น ความยึดถือเป็นพิธีรีตองก็มีประโยชน์ มันกลัวบาป ไอ้กลัวบาปนี่ทำให้ไม่เห็นแก่ตัว สมัยผมยังทันเห็นเงินไม่ต้องใส่กุญแจ เจ้าของเรือนจะไปป่านี่ก็ปิดประตูไว้เฉยๆ ก็ได้ หรือบางทีก็แขวนไม้ขวางไว้อันหนึ่งพอ อย่าให้สุนัขมันดันประตูเข้าไปเท่านั้น บางทีก็ร้องสั่งเพื่อนข้างบ้านคำเดียว ดูบ้านด้วย แล้วก็ไปป่าไปทำไร่ทำนา สมัยนี้มีที่ไหน ถ้ามีก็มีในถิ่นที่การศึกษาสมัยใหม่ยังไปไม่ถึง อยู่ในป่าในดง พอถนนไปถึงไหนก็มีบาร์มีไนท์คลับที่นั่นแหละ ความเจริญแผนใหม่ไปถึงไหน ถนนไปถึงไหนก็มีบาร์มีไนท์คลับที่นั่น แล้วมันก็เปลี่ยนหมด เมื่อความเจริญเช่นนี้ไปถึงที่ไหนความเห็นแก่ตัวมันก็หนาแน่นถึงที่นั่น คนมีลักษณะเห็นแก่ตัว เด็กที่ไม่เคยเห็นแก่ตัวก็เกิดเห็นแก่ตัว ไม่เคยหลงใหลในเนื้อหนังก็หลงใหลในเนื้อหนัง คนหลงใหลในเนื้อหนังก็คือหมด หมด หมด ถึงที่สุดของความเห็นแก่ตัว สมัยก่อนเขาทำไร่ทำนาทำสวน เขาทำเผื่อนกเผื่อหนูเผื่อลิงเผื่อค่างด้วย สมัยนี้ทำเพื่อตัวเองก็ไม่พอ ทำได้มากกี่เกวียนกี่ร้อยเกวียนเพื่อตัวเองคนเดียวก็ไม่พอ สมัยก่อนๆ เขาไม่ได้ทำมากเท่านี้แต่เขาทำเผื่อนกเผื่อหนูเผื่อลิงเผื่อค่าง เผื่อคนที่มันทุพพลภาพขัดสนยากจนก็เอาไปเลย ธรรมเนียมโบราณมันมีถึงกับว่าถ้าต้องการเพียงเก็บกินเอาไม่ ไม่ ไม่ผิด ปลูกแตง ปลูกอะไรไว้ก็ตาม เมื่อคนเดินทางมาผ่านไปเพียงเก็บกินเพราะมันเหนื่อยมันหิวน้ำอะไรไม่ถือว่าผิด ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดธรรมะ และไม่ผิดธรรมเนียมประเพณี สมัยนี้ผิดกฎหมายผิดธรรมเนียมประเพณีของคนเห็นแก่ตัว มันเป็นกฎหมายคนเห็นแก่ตัว ถึงว่าผิดกฎหมายด้วย และว่าสำหรับขนบธรรมเนียมประเพณีมันของคนเห็นแก่ตัว สมัยก่อนไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดขนบธรรมเนียมประเพณี เขา เขาทำไปโดยคิดว่า สัตว์กินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน นี่ปู่ย่าตายายของคนเมืองตำปรื้อ ปู่ย่าตายายของพวกคุณนั่นแหละ คุณก็เมืองตำปรื้อลูกหลานเมืองตำปรื้อ หารู้ไม่ว่าปู่ย่าตายายเขาถือหลักกันอย่างนี้ สัตว์กินเป็นบุญคนกินเป็นทาน สมัยก่อนถ้าจะต้องทำบาปอะไรบ้างนี่ โอ๊ย, เดือดร้อนมาก สัตบุรุษ ทายก ทายิกา จนมาก จนมากต้องเลี้ยงหมูขายสักที ต้องยกมือไหว้พระพุทธเจ้า ไหว้แล้วไหว้อีกว่า ขอ ขอ ขอโทษขอโอกาสขออะไรสักที มันจนนัก มันก็ต้องไปเลี้ยงหมูขายสักที พอฟื้นตัวแล้วจะเลิก นี่ไม่ใช่ทำล้อพระพุทธเจ้าไม่ใช่ทำล้อเลียนพระพุทธเจ้า ทำด้วยใจบริสุทธิ์ มองเห็นกันชัดๆ ว่าไอ้เลี้ยงหมูนี้มันไม่เหมาะกับความเป็นพุทธบริษัท พระพุทธเจ้าก็ไม่แนะนำให้หาเลี้ยงชีวิตด้วยสัตว์เป็น ไอ้คนนี้มันเหลือทนเพราะไม่มีทางที่จะทำอย่างอื่นได้ มองเห็นแต่ทางเดียวที่ทำได้ ยกมือขอโอกาสขออนุญาตเลี้ยงหมูแก้จนสักทีแล้วก็เลิก พอฟื้นตัวได้ตั้งตัวได้ก็เลิก สมัยนี้มันมีเหรออย่างนี้ ถึงมันจะมีก็ไม่ได้ทำด้วยความรู้สึกที่มี หิริ และ โอตัปปะ ชนิดนี้ มันแสดงว่าคนสมัยก่อนมีหิริโอตัปปะมากเหลือเกิน สมัยนี้มีแต่ความกระด้าง กระด้างเพราะความเห็นแก่ตัว จำไว้ให้ดี ไอ้พวกคนลูกคนเมืองตำปรื้อจำไว้ดีๆ มันเคยดีถึงขนาดนี้ คำว่ายอมสมัยนี้ไม่มี สมัยดึกดำบรรพ์ในเมืองตำปรื้อของเรานี้เต็มไปด้วยคำว่ายอม ยอมให้ด่า ยอมให้ว่า ยอมให้เอาเปรียบ ยอมให้ข่มเหงในที่สุด ยอมหมายว่าไม่ทำให้มีเรื่อง เขาด่าก็ไม่ด่าตอบ เขาไม่ทำให้มีเรื่อง ยอมแพ้ จนกระทั่งเกิดเป็นคำพูดชนิดที่คนสมัยนี้ไม่ยอมรับ เช่นคำพูดว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร คุณไปพูดให้ฝรั่งยอมรับคำพูดข้อนี้ที แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ถ้ามันยอมรับเหมือนกันแหละ ถ้ามันยอมรับธรรมะข้อนี้ มันหารบกันได้ไม่ คนเรา ทีนี้เอาไปพูดให้พวกเพื่อนๆ ของคุณในวิทยาลัย ในมหาวิทยาลัยเชื่อทีเถอะ มันจะได้หมดระเบิดขวด หรือว่ายกพวกระหว่างคณะตีกัน แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร พ่อแม่คนเมืองตำปรื้อถึอหลักอย่างนี้ เขตแดนของเมืองตำปรื้อนี้มาตั้ง ๑,๐๐๐ กว่าปี พุทธศาสนาฝังอยู่ในจิตใจ ทีนี้คุณก็ลองคิดต่อว่า เหตุไรมันจึงมีจิตใจชนิดนี้มีหลักเกณฑ์ชนิดนี้ ก็เพราะมันเรียนในวัดมันไม่ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเหมือนพวกคุณ เพราะมันเรียนในวัดมันเติบโตขึ้นมาในวัด จิตใจมันจึงเป็นเช่นนี้ แล้วคำพูดมันจึงหลุดออกมาเช่นนี้ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็น มาร มันดีที่สุด มันคือชนะ พอมาถึงสมัยนี้ก็มันหาว่า อู๊ย, ไม่มีฝีมือ สู้ใครไม่ได้ก็พูดอย่างนี้ นั่นมันอันธพาล ในมหาวิทยาลัยจึงเต็มไปด้วยอันธพาล คือไม่ยอมรับข้อที่ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร หรือว่าไม่ยอม ไม่ยอม ถือลัทธิยกหูชูหางไม่ยอมเห็นแก่ตัวไม่ยอม ในที่สุดก็เลยเป็นอันธพาลในมหาวิทยาลัย เพราะว่าเรียนทุกกระเบียดนิ้วเรียนเพื่อเห็นแก่ตัว ไม่มีส่วนไหนสอนการเสียสละ นี่คือโทษของการ ของการลากโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยออกไปเสียจากวัด ใน พ.ศ. เดียวกันกับสมัยเมืองตำปรื้อเจริญ ในอินเดียก็มีความเจริญถึงขนาดมีมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนาลันทา วิกรมศิลา โอทันตบุรี โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยนาลันทาในประเทศอินเดีย ตามบันทึกของ ฮ่วนเจียง ที่เราเรียกกันว่า ถังซำจั๋ง มีลูกศิษย์เป็นหมื่นคน และก็มีครูเป็นพันๆ คน มีทวารบาลอยู่ประตู ๔ ทิศ นักศึกษามาจากประเทศต่างๆ ประเทศจีน ประเทศทิเบต ประเทศไหนก็ตามใจ มาจะเข้ามหาวิทยาลัยนี้ มันก็ต้องมาโต้กันที่ทวารบาลนี้ ทวารบาลเป็นผู้สอบ ถ้า ถ้าตอบได้ คือว่าแสดงความสามารถตอบได้ ตอบเป็นที่พอใจ ทวารบาลจึงจะปล่อยให้เข้าไปในมหาวิทยาลัยในนาลันทา ให้เรียนตามแต่จะเรียน ฮ่วนเจียง บันทึกไว้ว่า ดูเหมือนจะมีสัก ๑๕ เปอร์เซ็นต์ ที่ ที่เข้าไปได้ ลักษณะสอบเอ็นทรานส์เหมือนสมัยนี้ ๑๕ เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นต้องกลับต้องไปต้องไปเรียนที่อื่นหรือกลับบ้าน นั่นน่ะมหาวิทยาลัยนาลันทา สมัย ๑,๒๐๐ มาแล้ว ประเทศอเมริกายังไม่เกิด มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดยังไม่รู้อยู่ที่ไหน ในอินเดียมีมหาวิทยาลัยชนิดนี้ แต่ว่ามันไม่สำคัญเท่าข้อที่ว่าในมหาวิทยาลัยนั้นมันมีการสอนธรรมะ มันไม่ได้สอนแต่วิชาชีพอย่างเดียว มันมีมีสอนวิชาธรรมะไปทุกแขนงเลย เพราะมันเป็นมหาวิทยาลัยของนักบวช เข้าไปมันต้องไปเป็นนักบวช ต้นตอของพุทธศาสนาสมัยศรีวิชัยเจริญที่สุดและแพร่หลายไปรอบไปทุกหนทุกแห่ง มหาวิทยาลัยนั้นมันต้องการจะจัดการมนุษย์ในทางจิตทางวิญญาณมากกว่าทางเนื้อหนังร่างกาย เป็นสิ่งที่ให้เรียนเป็นหลักสูตรบังคับนั้นเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ หลักสูตรทางอาชีพทางอะไรนี่มันกลายเป็นไม่บังคับกลายเป็นของเล็กน้อย คำว่าโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยสมัยโบราณในอินเดีย เขาเรียก ศึกษาลัย ศึกษาลัยนั่นแหละ ออกเสียงว่า ศึกษาลัย ที่เราเรียกมหาวิทยาลัย สมัยนั้นเขาเรียก ศึกษาลัย ศึกษาลัย สอนคนไม่ให้เป็นสัตว์ไม่ให้เห็นแก่ตัว สมัยนี้มหาวิทยาลัยสอนคนให้เป็นสัตว์ให้เห็นแก่ตัว กระทั่งฟัดกันในมหาวิทยาลัยอย่างน่าเกลียดน่าชังหมดเครดิตหมดความนับถือของประชาชน เปรียบเทียบมหาวิทยาลัยกับเปรียบเทียบศึกษาลัยดู
เอ้า, ทีนี้พูดถึงเมืองตำปรื้อ แผ่นทองแดงที่พบที่นาลันทาจารึกสมัยนั้น เขาว่าได้รับความ
ช่วยเหลือบำรุงของพระเจ้าแผ่นดิน ชื่อ ตาลปุตตะ หรืออะไรลืมไปเสียแล้วแหละ จากนี้สุวรรณภูมินี้ จากอาณาจักรศรีวิชัยนี้ หมายความว่าบ้านเราเมืองตำปรื้อนี้ พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นองค์หนึ่งยกเมืองหรือยกบ้าน บ้านหนึ่งให้เป็นสมบัติของวิทยาลัยนาลันทาที่อินเดีย โดยเก็บประโยชน์เก็บภาษีเก็บอะไรได้จากเมืองนั้น แล้วก็ส่งไปให้มหาวิทยาลัยนาลันทาที่ประเทศอินเดีย อาจารย์ใหญ่ก็เป็น เป็นพระมหาเถระ ไว้ควบคุมแล้วก็มีอาจารย์รองรองลงมาหลายๆๆๆ พัน ๘,๐๐๐ จำได้คล้ายๆ จำนวน อาจารย์ ๘,๐๐๐ ต่อจำนวนนักเรียนหมื่นเดียว มันก็คุมกันได้ดี ทวารบาล ๔ ทิศตรงประตูมันเก่งเหลือเกินมันไม่ปล่อยให้เข้า ต้องกลับตั้ง ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ถ้าสมัยนี้ทำอย่างนั้นพวกคุณก็เดินขบวนกันตาย รับไว้เพียง ๑๕ เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้เข้าใจ การศึกษาประกอบด้วยธรรมะกับการศึกษาที่ไม่ประกอบด้วยธรรมะต่างกันอย่างไร เมื่อก่อนศึกษาลัยก็คือเรื่องที่สอนคนทางจิตทางวิญญาณเป็นเบื้องหน้า เป็น เป็น เป็นข้อแรกแล้ววิชาอาชีพนี่ตามหลังตามหางมา คนจึงประกอบด้วยความไม่เห็นแก่ตัวมาก เรียนเสร็จแล้วก็ยอมลำบากไปเที่ยวเผยแผ่เที่ยวสั่งสอนเที่ยวอะไรได้ ไปสอนความไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ ถ้าโลกมันเป็นโลกที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวมีความเห็นแก่ตัวน้อยมันก็สบาย นี่เราเรียนเพื่อความเห็นแก่ตัว เป็นตัวอย่างแห่งความเห็นแก่ตัวตลอดทุกกระเบียดนิ้ว สิ่งที่จะเป็นเครื่องแก้ความเห็นแก่ตัวกลับเอามาเป็นเครื่องมือเพิ่มความเห็นแก่ตัว เช่น การกีฬา เขาให้พวกสมาชิกชกต่อยกันในสนามกีฬา พวกกองเชียร์ก็ไปนั่งเชียร์พวกตัวเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัวนิสัยสันดานแห่งความเห็นแก่ตัว กองเชียร์คือโรงเรียนของความเป็นภูตผีปีศาจแห่งความเห็นแก่ตัว ไอ้พวกกองเชียร์ ผมพูดอย่างนี้แหละไม่กลัว คุณเที่ยวไปบอกต่อๆ กันด้วย ว่ากองเชียร์โรงเรียนทำคนให้เป็นปีศาจของความเห็นแก่ตัว เขาคงไม่เชื่อผม ผมก็พูดไปตามภาษาผม จะจริงไม่จริงคุณก็มีอิสระที่จะคิดดูเอง นี่คือการศึกษาที่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ สัตว์ยังไม่ถูกส่งเสริมถึงขนาดนี้มันก็ดีกว่าคน เพราะคนมันมีความเห็นแก่ตัวมากกว่าสัตว์ นี่คือการศึกษาที่ไม่ประกอบด้วยธรรมะ ทำให้โลกนี่เต็มไปด้วยอันธพาลทางวิญญาณ คือสัตว์เดรัจฉานทางวิญญาณ มีความเห็นแก่ตัวพร้อมที่จะขบกัดฟัดเหวี่ยงกันตลอดกาล ไม่มีสันติภาพจะมีวิกฤติการณ์ตลอดกาล การศึกษาที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรมะ มีแต่ความเห็นแก่ตัวยิ่งเรียนยิ่งเห็นแก่ตัว ทีนี้พอมาเป็นครูเข้าแล้วก็เป็นครูที่เห็นแก่ตัว นักเรียนก็เลยเอาอย่างครู ไอ้ความเห็นแก่ตัวยิ่งมากขึ้นทุกๆ ชั้นของนักเรียน ทุกๆ ช่วง ทุกๆ อะไร ทุกๆ ช่วงของนักเรียน ทุก generation ของนักเรียน มันก็เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวทั้งโลกหมด ทีนี้คุณจำไว้สักนิดว่า ถ้าไม่เห็นแก่ตัวจะเห็นแก่อะไร พวกอันธพาลจะถามเราว่าถ้าไม่เห็นแก่ตัวจะเห็นแก่อะไร เราบอกว่าเห็นแก่ธรรมโว้ย เห็นแก่พระธรรมโว้ย ถ้าเราจะเอาตัว มีตัว เป็นตัว ให้เอาพระธรรมเป็นตัวไม่เอากิเลสเป็นตัว ไอ้ตัวของพวกคุณมันกิเลสทั้งนั้น ไอ้พระธรรมไม่ใช่กิเลส ถ้าเราเห็นแก่พระธรรมก็ไม่เห็นแก่กิเลส ถ้าอยากจะเรียกพระธรรมว่าเป็นตัวก็ได้เหมือนกัน ในบาลีของเรานี้ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎกนี่ก็มีคำสอนว่า เอาธรรมะเป็นตัว ถ้าจะมีตัว ถ้าอยากจะมีตัวมีตนให้เอาธรรมะเป็นตัวเป็นตน อย่าเอากิเลสอย่าเอาตัวกูเป็นตัว สลัดไอ้ตัวกูออกไปเสียก่อน ให้มีธรรมะและสติปัญญา ถือว่านี่คือตัว เอานี้เป็นตัวปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อันนี้ ไม่เห็นแก่ตัวคือเห็นแก่ธรรม ก็เราก็เลยมีหลักเกิดขึ้นมาว่าเรานี้เกิดมาเพื่อธรรม ไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวกู เกิดมาเพื่อธรรมเห็นแก่ธรรม จะพูดว่าเห็นแก่ธรรมคือเรามีความรู้สึกเราว่าเกิดมาเพื่อธรรม ทำงานเพื่อธรรมมีชีวิตอยู่เพื่อธรรม ตัวธรรมนั้นเป็นตัวที่ไม่มีความทุกข์อยู่ในตัวแล้ว แล้วพอกันแหละตอนนี้ก็มีประโยชน์ต่อผู้อื่น กว้างออกไป กว้างออกไป ธรรมเป็นอย่างนี้ ถ้าว่าถามว่าเกิดมาทำอะไรกัน คนก็ตอบไปต่างๆ ตามความรู้สึกของตัว เด็กๆ จะตอบว่าเกิดมาเพื่อกินเพื่อสนุกสนาน ไอ้หนุ่มสาวมันเกิดมาเพื่อแฟน คุณลองหยั่งความรู้สึกของพวกคุณเวลานี้สิ เป็นหนุ่มเป็นสาวมันยังอยู่ในช่วงเรียน มันเกิดมาเพื่อแฟนแท้ๆ มันเอาแฟนเป็นสรณะ ปากว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ แต่หัวใจมันอยู่ที่แฟน แฟนมันยิ่งกว่าอะไรหมด ระยะนั้นมันเกิดมาเพื่อแฟน ทีนี้พอมีครอบครัวแล้วมันเกิดมาเพื่อทรัพย์สมบัติ เพื่อลูกเพื่อหลาน เพื่อ เพื่อวงศ์ตระกูล พอแก่เฒ่าขึ้นมาก็ชักจะงงไม่รู้เกิดมาเพื่ออะไร ถ้าโง่นักก็เหมือนกับตอบว่าเกิดมาเพื่อตาย ทีนี้ไอ้การศึกษาหรือธรรมะนี้มันสอนให้รู้ ว่ามันมีหลักที่วางไว้ชัดว่ามันเกิดมาเพื่อธรรมะ ถ้าเกิดมาเพื่อธรรมะก็หมายความว่า เกิดไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงยอดสุดของธรรมะ ธรรมะคือความไม่เห็นแก่ตัว เกิดมาเพื่อธรรมะ ก็หมายความว่า เริ่ม เริ่มเกิดมาแล้วก็เริ่มทำความไม่เห็นแก่ตัวเรื่อยๆ จนหมดความเห็นแก่ตัว จนหมดแม้แต่ตัว ความเห็นแก่ตัวมัน มันหมดไป มันก็ มันความหมดในตัวหมดความรู้สึกว่าตัว อย่างนี้พระพุทธเจ้าเรียกว่า นิพพาน ดับสนิทแห่งความยึดถือมานะว่าตัว อัสมิมานะ มานะว่าตัวกูมีอยู่ อันนี้ดับไปหมด ของกูก็ดับไปหมด ไอ้ความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีที่ตั้ง ไม่มีที่ตั้งที่อาศัย จิตบริสุทธิ์ด้วยความสะอาด สว่าง สงบ มีความรู้ว่าทำอย่างไรต่อไปมันก็ทำแหละ มันก็ทำไปในลักษณะแจกของส่องตะเกียง ไอ้เรื่องของเราหมดก็ต้องเรื่องช่วยคนอื่น นี่เพื่อธรรมเกิดมาเพื่อธรรม เป็นความไม่เห็นแก่ตัวตลอดเวลาเรื่อยๆ ๆ จนสูงสุดคือหมดตัว ก็คือ นิพพาน เกิดเพื่อนิพพาน เกิดมาเพื่อนิพพาน พอเราบอก เอ้า, เกิดมาเพื่อนิพพานโว้ย ทุกคนสั่นหัวเลย เด็กๆ ฟังไม่เข้าใจ คนหนุ่มคนสาวก็ฟังไม่เข้าใจ เพราะว่ามันเป็นจุดหมายปลายทางที่ไกลเกินไปหรือว่ามันลึกเกินไป ทีนี้เราต้องร่นเข้ามาร่นเข้ามาหา ว่านิพพานคือความเย็นเว้ย เย็นคือเย็นอกเย็นใจ เราเกิดมาเพื่อความเย็นอกเย็นใจ ไอ้เด็กตัวเล็กๆ ก็ต้องรู้จักว่าเราเกิดมานี่อย่าทำความร้อนใจ ให้มันมีความเย็นอกเย็นใจอยู่เรื่อย พอเป็นรุ่นหนุ่มรุ่นสาวขึ้นมาก็อย่าเอาความร้อนมาใส่ในอกในใจ ให้มันเย็นๆ อยู่อย่างนั้นแหละ อย่าอะไรกันเหมือนสมัยนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องสร้างวิมานในอากาศ ชิงสุกก่อนห่าม หัวใจร้อนรุ่มเหมือนกับตกนรกทั้งหนุ่มทั้งสาวเลย นี่ก็ไม่ ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่อเย็น ไม่ ไม่ ไม่รู้ว่าเกิดมาเพื่อความเย็น ความเย็นคือนิพพาน วันก่อนเราพูดกันทีหนึ่งแล้วเรื่องนิพพานว่าเย็นอย่างไร มีกี่ระดับ เย็นจะมาต่อเมื่อไม่เห็นแก่ตัว พอเห็นแก่ตัวร้อน พอไม่เห็นแก่ตัวเย็น ถ้าเด็กเล็กๆ อนุบาลนี่มันในเวลาที่มันไม่มีความเห็นแก่ตัวมันก็เย็นเหมือนกันแหละ เป็นนิพพานน้อยๆ ของเด็กๆ พอเป็นคนหนุ่มคนสาวเล่าเรียนอะไรดี ได้สติปัญญาดี สัมปชัญญะดีไม่ไปบ้าเหมือนกับส่วนมากมันก็เย็นเหมือนกัน มันก็มีนิพพานอย่างของคนหนุ่มคนสาวไปตามเรื่องแหละ พอเป็นพ่อบ้านแม่เรือนมันก็เย็นยิ้มเหมือนกัน มีลูกมีหลานมันก็ยังเย็น จนกว่าจะพ้นภาระหน้าที่และก็เย็นถึงที่สุด นิพพานจริง นิพพานถาวรไปเลย เวลานี้เป็นนิพพานน้อยๆ นิพพานตัวอย่าง นิพพานขั้นต้น นิพพานชั่วคราวไปก่อน เกิดมาเพื่อเย็นดีกว่า มาเป็นเด็ก มาเป็นเณร มาเป็นพระ มาเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ ล้วนแต่เกิดมาเพื่อเย็นทั้งนั้น ฉะนั้นการศึกษาที่จะทำให้คนเราเข้าถึงความเย็นตลอดเวลาตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงชั้นมหาวิทยาลัยนี้ การศึกษาที่ถูกต้องและไม่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ เรื่องชกต่อยในมหาวิทยาลัยก็ไม่มีแหละ เพราะมันเย็นและยอมนี่ มันหยุดนี่ แล้วก็บอกขอร้องให้จำกันไว้ ๓ คำเว้ย มันต้องยอม มันต้องหยุด แล้วมันต้องเย็น หยุดมาก่อนก็ได้ ยอมแล้วก็เย็น เดี๋ยวนี้ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักยอม ไม่รู้จักเย็น มันพลุ่งพล่านไปด้วยตัวกูของกู ขอให้หลับตานึกถึงปู่ย่าตายายเมืองตำปรื้อสมัย ๑,๒๐๐ ปีมาแล้ว มันเต็มไปด้วยความหยุดความเย็นความยอม เงียบสงบคล้ายๆ เรานั่งกันอยู่ที่นี่ สมมติว่าเวลานี้คุณเหาะไปลงที่บางกอกกลางสนามกลางไอ้ กลางเมืองเลย คุณจะเห็นความวุ่นวายความโกลาหลความอะไรเหมือนกับที่คุณรู้อยู่ดี เปรียบกับเรานั่งที่สวนโมกข์เวลานี้มันต่างกันลิบ ความวุ่นวาย ความสงบ ความร้อน ความเย็น ความวิ่ง ความหยุด ความไม่รู้จักยอม ความที่ยอมเปรียบเทียบกันได้ เรียกว่าการศึกษาที่ไม่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ตรงกันข้ามกับการศึกษาที่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ การศึกษาสัญชาตญาณอย่างสัตว์ย่อมนำโลกไปสู่ความวินาศ สัตว์เดรัจฉานไม่เคยวินาศตามลำพัง นอกจากมนุษย์ไปทำ ทีนี้ไอ้การศึกษาของมนุษย์นี้ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ให้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ กลายเป็นยักษ์เป็นมารเห็นแก่ตัว ทำให้เกิดความวินาศส่วนตัว ในจิตใจร้อนเต็มไปด้วยนรก นี่เรียกวินาศหมดทางวิญญาณ ความวินาศทางวิญญาณ เดี๋ยวหัวใจเป็นนรก เดี๋ยวหัวใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวหัวใจเป็นเปรต เดี๋ยวหัวใจเป็นอสูรกาย โดย อุปปาติกะ กำเนิด เดี๋ยวคนเราเกิดเป็นนรกร้อนใจดังไฟเผา คนหนุ่มคนสาวเป็นมาก เดี๋ยวก็เปลี่ยนไปเป็นโง่ โง่อย่างไม่น่าเชื่อนี่ก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวเป็นเปรตหิวกระหาย หิวกระหายในสิ่งที่ไม่ควรไปหิวกระหาย เดี๋ยวก็กลัววิตกกังวล คนแก่เป็นมาก นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย มันคือความวินาศ วินาศไม่มีอะไรเหลือทางวิญญาณ ความวินาศทางวิญญาณของแต่ละบุคคล มีความวินาศทางวิญญาณแล้วก็ ความวินาศมันก็ออกมาถึงทางข้างนอก คือทางสังคม ทางโลกทั้งโลก ความวินาศของสันติภาพของโลกหรือของสังคม พูดกันหนาหูกันทุกวันว่าในบางกอกอยู่ยากเต็มทีแล้ว อยู่ในบางกอกยากลำบากเต็มทีแล้ว มีแต่อันตรายรอบด้านไม่รู้ตรงไหนจะปลอดภัย นี่คือความวินาศของสังคมน้อยๆ ซึ่งได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว เมื่อก่อนไม่เคยมี ที่วินาศของสังคมใหญ่ก็คือโลกนั่นแหละ มันมีแต่ความฆ่า การฆ่าฟันกันพร้อมที่จะฆ่าฟันกันอยู่เสมอและฆ่าฟันกันเรื่อย เวลานี้มีกี่คู่คุณว่า ที่อินโดจีนมีตั้ง ๓ คู่ เขมร ลาว ญวน ที่อินเดียก็มีคู่หนึ่งแล้ว ปากีสถาน ปากีสถานใหม่ ที่ปาเลสไตล์ ก็มี อาหรับกับอิสราเอล ถ้ามีตลอดกาลก็คงจะ ไอ้ระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับคอมมิวนิสต์มีตลอดเวลาเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็น ต่างก็เบียดเบียนกันเพราะความกลัวจะแพ้ เมื่อเกิดความกลัวจะแพ้แล้วก็ไม่ ไม่ถือพระเจ้าไม่ถือธรรมะ ถือกิเลสเป็นตัวเป็นสรณะ นี่คือความวินาศ ทั้งทางกายทั้งทางจิตใจของมนุษย์ในโลก เพราะเรามีแต่การศึกษาจะทำโลกให้วินาศ การศึกษาที่มีอยู่ในปัจจุบันเวลานี้ทั้งโลก คือการศึกษาที่ทำโลกให้วินาศทางวิญญาณและทางร่างกาย คุณฟังให้ดี ถ้าคุณเรียนกันแต่วิชาชีพเรียนกันแต่หนังสือแล้วก็ มันก็ทำให้เห็นแก่ตัวแล้วเข้าสมาชิกนั่นแหละ เป็นสมาชิกของกลุ่มนั้น กลุ่มที่ทำโลกให้วินาศ นี้คุณมาบวชช่วงปิดภาครีบเข้าโรงเรียนของพระพุทธเจ้า เท่าที่จะทำได้เอาไปปนกันเข้า เอาไปรวมกันเข้าให้มีการศึกษาแบบทำลายความเห็นแก่ตัว เป็นยาหรือเป็นวัคซีนอะไรก็ตามใจที่จะป้องกันโรคความเห็นแก่ตัวไม่ให้มันเกิดลุกลามขึ้น พวกคุณเรียนวิชาชีพแขนงไหนก็ตาม วิชาเทคนิคแขนงไหนก็ตาม มันไม่ลืมตัว มันไม่ตกไปเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว อาชีพหรือวิชาของคุณก็ไม่ ไม่ทำอันตรายคุณ ถ้าคุณไม่มีเครื่องป้องกันอันนี้ อาชีพที่เรียนจะทำอันตรายคุณ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มันทำให้เห็นแก่ตัวแล้วเพิ่มความเห็นแก่ตัว เพิ่มความเห็นแก่ตัว เผลอเมื่อไหร่ก็แสดงบทบาทเต็มที่ออกมา คือทุจริต คือโกง นี่วินาศทางวิญญาณ แล้วก็ได้รบราฆ่าฟันกันจน จนตายไปข้างหนึ่ง หรือตายไปทั้งสองข้าง ความวินาศทางร่างกาย เราจึงถือว่าไอ้การศึกษาที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวนั้นแหละ คือการศึกษาที่ทำโลกให้วินาศ มันเป็นการศึกษาที่ส่งเสริมสัญชาตญาณของสัตว์ ในที่สุดเราก็มองเห็นได้ทันทีว่า ไอ้การศึกษาของเรามันไร้ความหมายหรือล้มละลาย ก็เพราะความเห็นแก่ตัวมันแทรกเข้ามา สิ่งที่จะทำให้การศึกษาของมนุษย์อันมหาศาลอันกว้างขวางไร้ความหมายไร้คุณค่าคือความเห็นแก่ตัวแหละ เอ้า, เรียนไปเถอะเรียนถึงไหนเรียนไป ให้ถึงบรมมหาวิทยาลัยเรียนไป แต่ชีวิตนี้ก็ไม่มีความสงบเย็นได้ไร้คุณค่าไร้ความหมาย เพราะการศึกษานั้นมันไม่ทำลายความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวคือสิ่งที่ทำให้นักศึกษาไร้ความหมาย ชีวิตของนักศึกษามันไร้ความหมาย การศึกษาก็ดีชีวิตของนักศึกษาก็ดีไร้ความหมายไปแล้ว เพราะสิ่งเดียวนี้คือความเห็นแก่ตัว เอาล่ะ ถึงตอนนี้แล้วผมก็จะพูดว่าอย่าเชื่อผม หลักกาลามสูตร ที่เคยพูดกันแล้ว เอามาวัด เอามาจับ หลักกาลามสูตร ๒ ข้อสุดท้าย อย่า อย่า อย่าเชื่อด้วยเหตุว่าผู้พูดนี่อยู่ในฐานะที่น่าเชื่อ หรือผู้พูดนี้เป็นอาจารย์ของเรา อย่าเชื่อเพราะเหตุว่าผู้พูดอยู่ในฐานะชวนเชื่อ หรือว่าผู้พูดนี้เป็นอาจารย์ของเรา ที่ผมพูดนี้ก็ขอร้องว่าอย่าเชื่อ แต่ว่าขอร้องให้เอาไปคิดดู ให้มันเห็นจริงด้วยตัวเองจงเชื่อตัวเอง เพราะว่าไอ้การได้ ความเสื่อมเสียหรือความเจริญนี้มันเป็น มันเป็นเรื่องของความจริง เราจะไปว่าไม่ได้ มัน มันเสื่อมเสียเราจะว่าดี เราจะว่าเจริญมันก็ไม่ได้ เราจะมาพูดกันว่า โอ้, มันดีแล้วสมัยนี้เขาทำกันทั้งโลกแหละ มันต้องเป็นของดี ความเห็นแก่ตัวเป็นของดี มันไม่ได้ ไอ้สิ่งที่มีอำนาจยิ่งกว่านั้นมันมี คือ พระเจ้า คือธรรมชาติมันมี มันดีไปไม่ได้ เอาเถอะดีก็ดีสำหรับคนที่จะรบราฆ่าฟันกัน ดีสำหรับคนที่มีความทุกข์เรื่องนี้ ความเห็นแก่ตัว แต่มันไม่ดีสำหรับคนที่ต้องการจะไม่มีความทุกข์ ดีสำหรับคนที่มีความทุกข์ มันน่ากลัวหรือไม่น่ากลัว เราอุตส่าห์เล่าอุตส่าห์เรียนมาจนตลอดชีวิต อุตส่าห์พยายามทำไปตามที่เล่าที่เรียนมา แล้วมันเกิดไร้ความหมายไร้คุณค่า มีแต่ในทางให้เกิดความระส่ำระสายเดือดร้อนในทางจิตใจของเราเอง โลกนี้ก็เดือดร้อน นี่เพราะเรามันหันหลังให้พระพุทธเจ้า แล้วไปตามก้นของพวกมาร ไปตาม ตามหลังพวกมาร หันหน้าไปให้หาพญามารหันหลังให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นคือผู้ที่หมดความเห็นแก่ตัว เรียกว่าหันหลังให้เสียไม่เอา หันหน้าไปหาพญามารคือยอดสุดของความเห็นแก่ตัว อันนี้เราก็โทษใครไม่ค่อยจะได้ มันค่อยๆเป็นมาโดยไม่ โดยไม่รู้สึกของสังคมอันกว้างขวาง ก็ต้องพูดรวมๆ ไปว่าเป็นความผิดของมนุษย์ ตามยุคตามสมัยในโลกเวลานี้ แต่ที่เราเห็นในระยะใกล้ๆ สั้นๆ เพราะว่าเราไปตามก้นฝรั่ง นี่เป็นคำด่า บอกตรงๆ คำว่าฝรั่งนี้ไม่ได้หมายความว่าฝรั่งทุกคน คำว่าฝรั่งนี้ในที่นี้เราหมายถึงเราใช้เป็นชื่อของฝรั่งที่ก้าวหน้าไปในทางวัตถุนิยม เพราะฝรั่งมันก้าวหน้าในทางวัตถุนิยม ยิ่งกว่าใครหมดแหละ พวกไหนก็สู้ไม่ได้ แล้วถึงยกให้เป็นของฝรั่งฝีไม้ลายมือของฝรั่ง แต่ว่าฝรั่งมีจำนวนหนึ่งที่มันมีจิตใจไม่เป็นวัตถุนิยม แต่ยังเคร่งศาสนานี่ก็มีเหมือนกัน แต่เวลานี้ถ้าเราพูดว่าตามก้นฝรั่งก็หมายถึงตาม ตามก้นพวกวัตถุนิยม ก้าวหน้ามากในทางวัตถุล่อให้หลงไปในทางวัตถุ เพราะว่าการศึกษาของประเทศไทยกำลังตามก้นฝรั่ง ผมกล้ายืนยันตะโกนให้ดังทั่วประเทศ เอาไปคิดกันดู ไปเรียนหลักวิชาครู ไปเรียนหลักการศึกษา ไปเรียนหลักที่สอนการสอน มาจากพวกฝรั่งทั้งนั้นแล้วก็ทำเท่านั้นแหละ ลากโรงเรียนออกมาเสียจากวัด ลากศาสนาออกไปเสียจากโรงเรียน ลากธรรมะออกไปเสียจากจิตใจของเด็ก นี่คือการศึกษาอย่างฝรั่ง เสร็จแล้วได้เป็นฮิปปี้ ยอดสุดมันไปอยู่ที่นั่นได้การตามใจตัวเอง ฮิปปี้นี่ไม่ ไม่ได้หมายความถึงอะไรนัก หมายถึงการตามใจตัวเองสุดเหวี่ยง สุดเหวี่ยง จะโทษใครก็ตามใจแต่ว่าทั้งหมดการศึกษากำลังไปตามก้นฝรั่ง เพื่อตามใจกิเลส เพื่อเห็นแก่ปากแก่ท้องแก่วัตถุเนื้อหนังร่างกายอย่างเดียว ไม่เห็นแก่วิญญาณ คำว่าวิญญาณตัดออกไปเลย คำว่า spiritualist lism นี่ตัดออกไปเลย เหลือแต่ materialist ก้าวหน้าให้มาก ผลสุดท้ายคือความวินาศของมนุษย์นั่นเอง คำว่าศึกษาคำเดียวมันต้องเป็นเรื่องที่ว่า จิตใจมาก่อนแล้วจึงมาถึงร่างกาย เช่น วัฒนธรรมไทยแต่โบราณของเรา พอลูกเกิดมาตาดำๆ นี่ก็ประสิทธิ์ประสาทไอ้ความรู้ความถูกต้องในทางวิญญาณให้ก่อน ให้เป็นเด็กดี ให้รู้จักละอายบาป ให้รู้จักเคารพนับถือพ่อแม่คนเฒ่าคนแก่ พ่อแม่มีคุณ พ่อแม่เป็นผู้ที่เป็นเป็นนายเป็นเจ้าหนี้เป็นเจ้าชีวิตของเรา และมีบุญคุณสูงสุดนั่นน่ะคือพ่อแม่ เด็กๆ มีความรู้สึกอย่างนั้น เด็กๆ สมัยพวกคุณมันไม่รู้สึกขนาดนี้ รู้สึกว่าพ่อแม่คือผู้ที่ต้องตามใจเรา พ่อแม่ต้องให้ ให้เราได้ทำตามที่เราต้องการ เพราะทำให้เราเกิดมา ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่ตามใจลูกไม่เรียกว่าพ่อแม่เลย สมัยนี้มันพลิกกลับกันเป็นหน้ามือเป็นหลังมือ เด็กๆ นั้นคิดว่าเราทำให้ชื่อเสียงให้ ทำชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูลให้พ่อแม่ พ่อแม่ต้องนับถือเรา เป็น เป็นหนี้บุญคุณเรา เราเป็นเจ้า เจ้า เจ้าบุญคุณของพ่อแม่นี่เรื่องจริง คุณไม่เคยได้ยินผมเคยได้ยิน ผู้หญิงคนหนึ่งไปเรียนสำเร็จมาจากเมืองนอก กลับมาถึงบ้านทำตัวเป็นนายพ่อแม่ ตลอด ตลอด ตลอดเวลาทุกอย่าง พ่อแม่ทนไม่ไหวบ่นขึ้นมาว่า ไอ้ลูกนี่ช่างไม่รู้จักบุญคุณพ่อแม่เสียที เสียเลย ไอ้ลูกสาวนั้นก็ตวาดว่า แม่ไม่รู้จักบุญคุณของลูก ลูกไปเรียนมาทำให้พ่อแม่มีหน้ามีตา นี่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่อง make up มีชื่อระบุคนที่นั่นที่นั่น อย่าไปออกชื่อมันไม่ดี ไม่ใช่เรื่องผมเอามาเล่าหลอกคน make up ขึ้นมาเอง วันนั้นเขาชี้ตัวให้ดูเลยที่กรุงเทพฯ ไอ้ลูกชนิดนี้มันก็จะมาถึงเมืองตำปรื้อระวังให้ดี ถ้าอยู่กันแต่ที่กรุงเทพฯ ก็ตามใจ มันเพิ่งเกิดนี่เมืองกรุงเทพฯ ถ้าเปรียบกับเมืองตำปรื้อ กรุงเทพฯ มันเพิ่งเกิดเป็นเด็กอมมือ เมืองตำปรื้อเจริญมาเล้วกว่า ๑,๕๐๐ ปี นี่ขอให้รู้จักการศึกษาที่ไม่ประกอบด้วยธรรมะ และ การศึกษาที่ประกอบด้วยธรรมะ ครั้งที่ ๙ นี้เราพูดปรารภเมืองตำปรื้อ ว่าเมืองตำปรื้อเคยมีการศึกษาที่ประกอบด้วยธรรมะ อยู่ในวัดในวาเป็นเช่นวิทยาลัยของมนุษย์ สมัยก่อนวัด คือโรงเรียน คือวิทยาลัย คือมหาวิทยาลัยของประชาชน แต่ว่าสอนเรื่องวิญญาณเป็นเบื้องหน้า สอนเรื่องวัตถุเป็นตาม เป็นตามหลังช้าง ช้างเท้าหลัง เด็กเข้าไปในวัดต้องแสดงความไม่เห็นแก่ตัว ต้องทำงานให้วัดเหงื่อไหลไคลย้อย ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมงตอนเย็นตอนเลิกเรียน ผมก็เคย โรคความเห็นแก่ตัวมันก็น้อย ถ้าจะเอาหลักการอันนี้มานะผมอยากจะพูดสักอย่างว่าให้รัฐบาลเปลี่ยนหลักการศึกษาเสียใหม่ อย่าไปตามก้นฝรั่ง หลักสูตรในมหาวิทยาลัย เรียนครึ่งวันแล้วก็ทำงานหนักเอาเหงื่อล้างตัวกูครึ่งวัน เอาเหงื่อล้างตัวกูครึ่งวันหมายความว่าสร้างมหาวิทยาลัย เราจะตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงอะไรขึ้นมาใหม่ เราทำโรงมุงจาก ให้มันนอนให้มันอยู่ให้มันเรียนกันแหละครึ่งวัน แล้วอีกครึ่งวันมาสร้างตัวอาคารให้เป็นตึกด้วยแรงของนิสิตทุกคน พอเรียนจบหลักสูตร ๖ ปี มหาวิทยาลัยก็เสร็จ เราก็มีความรู้ สมมติว่าถ้าต้องขยายเวลาออกไปอีกเท่าตัวเป็น ๑๒ ปี มันก็ยังดี เรียนเสร็จ เรียนเสร็จแล้วไม่เป็นสัตว์ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีการขว้างระเบิดขวดแน่ เพราะตลอด ๑๒ ปีมันทรมาน อยู่ด้วยความที่ล้างความเห็นแก่ตัวอยู่เรื่อย พอออกมาถึงความรู้ก็มี ธรรมะก็มี จิตใจก็สูง แต่อย่างนี้เขาว่าบ้า เป็นเรื่องบ้า หรือเป็นความคิดที่บ้าไม่มีใครเอา ไม่ใครรับ เพราะว่าไอ้โรคที่ตามก้นฝรั่งมันขึ้นสมอง จริงไม่จริง อะไรก็ต้องทำเหมือนกับฝรั่งไปหมด นี่มันหลักการที่ว่าเราอยู่ในวัด อาบเหงื่อ เหงื่ออาบตัวล้างตัวกูนี่ วันละ ๒-๓ ชั่วโมง แล้วต้องไหว้คนเฒ่าคนแก่ บางทีเราถางหญ้าอยู่แท้ๆ นี่คนแก่เดินผ่านมากลางวัดต้องมาไหว้ วางจอบมาไหว้ บางครั้งมันก็กระอักกระอ่วนต้องไหว้ไม่ไหว้อาจารย์ตี จะไหว้ได้อย่างไร คนแก่บางคนนั้นเราเห็นนี่มันคนบ้าหรือมันบ้าๆ บอๆ ก็ไม่รู้อาจารย์ไม่รู้ด้วย ท่านแก่แล้วต้องไหว้ นี่มันก็ลดความเห็นแก่ตัว ลดความทะนงตัว ลดความยกหูชูหาง พวกคุณไม่ยอมทำแน่หลักสูตรการเรียนสมัยนี้ไม่มีไหว้คนเฒ่าคนแก่ แม้แต่ครูมันก็ยังเขกหัวเล่น นักเรียนจะไปไหว้คนเฒ่าคนแก่ที่บ้าๆ บอๆ ได้อย่างไร มันล้อเลียนครูหรือมันแกล้งครูเรียกครูว่าไอ้อี ถ้าอย่างไรก็ลองไปคิดกันดู ไอ้หลักการของโบรมโบราณนั่นแหละคือการศึกษาแท้จริง สมัยนี้ไม่ใช่การศึกษา การย้อมคนให้เห็นแก่ตัว แล้วเป็นภัยเป็นอันตรายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าการศึกษาชนิดนี้มันส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ให้ร้ายไปกว่าสัตว์ เอาละ สรุปความสั้นๆ กันอีกทีว่า เมืองตำปรื้อของเราคือปักษ์ใต้นี้ สมัยเดียวกับมหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย พ.ศ. สมัยเดียวกัน เคยส่งเงินไปช่วยจากนี่ สมัยนั้นเขาใช้ทองคำเป็นเงินตราก็ส่งทองคำ บำรุงมหาวิทยาลัยในอินเดีย ถึงเราจะไม่ได้รับอิทธิพลนั่นนี่อะไร แต่พิมพ์ดินดิบที่พบแถวบ้านเรานี่เหมือนกันมากกับที่นาลันทา แล้วยังไปเหมือนทางบาหลี ทางชวา มันคราวเดียวกันมันถึงกัน อะไรๆ เหมือนกัน ตัวอักษรที่ใช้หลังจากพิมพ์ดินดิบ คืออักษรที่ใช้ที่นาลันทาในอินเดียสมัยนั้น นี่ทำเล่นกับตำปรื้อนะ อย่าให้มันตกต่ำสุดโต่งไปตามหลังชาวบางกอก ไปตามหลังฝรั่ง เมืองตำปรื้อรักษาเกียรติของเมืองตำปรื้อไว้ให้ได้แล้วรอดตัวแหละ มหาวิทยาลัยที่บางกอกเขาจะขว้างระเบิดขวดก็ตามใจ มหาวิทยาลัยสงขลาอย่าทำ มหาวิทยาลัยนครศรีธรรมราชอย่าทำ เพราะว่าเป็นลูกหลานเมืองตำปรื้อ ลูกหลานคนเมืองตำปรื้อ เรารับผิดชอบร่วมกัน ความคิดที่เป็นชาตินิยมชนิดนี้ไม่เป็นภัยไม่เป็นอันตราย เพราะเป็นชาตินิยมที่รักษาความดีเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ให้เมืองตำปรื้อคงเป็นเมืองตำปรื้อในสายตาของชาวบางกอก ดูถูกเราว่าเมืองตำปรื้อแต่โดยแท้จริงเรามีจิตใจแบบที่ว่าไม่ใช่ตำปรื้อ ไม่ใช่บ้าๆ บอๆ เคอะๆ เงอะๆ งะๆ มีความเจริญด้วยธรรมะ ด้วยความไม่เห็นแก่ตัวมาแล้ว ๑,๐๐๐ กว่าปี มีการศึกษาที่แท้จริงในวัด ไม่ส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างสัตว์ ไม่นำมาซึ่งความวินาศ ทำให้ อ่า, ไม่ ไม่ทำให้ชีวิตนี้ไร้ความหมาย เอาละพอกันทีเรื่องเมืองตำปรื้อครั้งที่ ๙