แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกันตอนหัวค่ำครั้งที่ ๘ นี้จะได้พูดโดยหัวข้อว่า ธรรมะสำหรับโลกไม่กลิ้งลงเหว ธรรมะเป็นสิ่งมีสำหรับโลก เพื่อโลกจะไม่ได้กลิ้งลงไปในเหว วันก่อนได้พูดกันแล้วด้วยหัวข้อว่า ธรรมะนั้นคือแสงสว่างของวิญญาณ ทีนี้จะพูดด้วยหัวข้อว่า ธรรมะนั้นคือสิ่งที่จะป้องกันไม่ให้โลกกลิ้งลงไปในเหว สำหรับคำว่าธรรมะ ย่อมหมายความถึง ธรรมะที่มีอยู่ในทุกๆ ศาสนา หรือสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นคือตัวศาสนา จะเป็นศาสนาไหนก็ได้ เขาเรียกว่าธรรม ธรรมะทั้งนั้น ถ้าพูดตามหลักภาษาในภาษาอินเดียหรือภาษาบาลี คำว่า ธรรมะ นี้เป็นคำที่กว้างที่สุดใช้เรียกธรรมะในลัทธิไหนก็ได้ ในลัทธิผิดๆ เป็นมิจฉาทิฎฐิก็ได้ ที่ว่าธรรมที่ผิดธรรมที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ หรือว่าธรรมดำ ธรรมขาวคือธรรมถูก ธรรมดำคือธรรมผิด อีกอย่างหนึ่งคำว่า ธรรมะ หมายถึงสิ่งทั่วไปทุกสิ่งเลย ไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าธรรม คือธรรมชาติ แต่ว่าธรรม คือคำสอนนี้แล้วก็หมายถึงทุกศาสนา จะเป็นศาสนาผิดหรือศาสนาถูกก็เรียกว่าธรรม ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นขอให้เรามีจิตใจกว้างพอที่จะเรียกว่าที่จะพูดว่า ศาสนาทุกศาสนาก็มีธรรมะ ธรรมะก็มีสำหรับทุกศาสนามีในทุกศาสนาและเป็นศาสนานั่นเอง โดยหลักใหญ่ๆ ก็ย่อมจะตรงกัน เพราะว่าศาสนานี้ ก็หมายถึง สิ่งที่จะคุ้มครองคนไม่ให้ตกลงไปในเหวทางวิญญาณ นี่ที่พูดนี้คุณสังเกตว่าจะตั้งใจพูดเพื่อให้ฟังกันง่ายๆ ด้วยภาษาธรรมดา พูดด้วยภาษาธรรมดาพูดด้วยการอุปมาจึงจะช่วยให้เข้าใจเรื่องดีขึ้น หลักธรรมะที่สำคัญมีอยู่ข้อหนึ่งซึ่งตรงกันทุกๆ ศาสนาน่าประ หลาด คือข้อที่ว่า อย่าแสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็น พูดในภาษาพุทธ พุทธศาสนาก็คือ อย่าโลภ อย่าแสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็น อันนี้มันเป็นรากฐานเป็นต้นตอของความที่จะไม่กลิ้งลงไปในเหวของความไม่ผิด ถ้าแสวงหาหรือมีไว้เกินจำเป็น ก็จะเป็นเรื่องผิดเรื่องกลิ้งลงไปในเหว คือมันมีความโลภมีความเห็นแก่ตัวมากเกิน จนเป็นความต้องการของอวิชชาของกิเลส ถ้าต้องการด้วยสติปัญญาต้องการเท่าที่จำเป็น ถึงเราจะขยายไปว่าจำเป็นสำหรับเราและจำเป็นสำหรับช่วยผู้อื่น มันก็เท่าที่จำเป็นนั่นแหละมันพอดี มันก็ไม่มีไอ้เรื่องที่จะต้องทุกข์ร้อนเหมือนสมัยนี้ ร่องรอยอันนี้เห็นได้ในบ้านเราในเมืองตำปรื้อ ปู่ย่าตายายของเรามีจิตใจประหลาดไม่เหมือนกับลูกหลาน คือว่าไม่ชอบมีอะไรมากเกินจำเป็น ถ้าใครจะมีอะไรเกินจำเป็นและเกินฐานะแล้วก็ละอาย จะปลูกบ้านให้ดีกว่าเพื่อนสักทีก็คิดแล้วคิดเล่า มันละอาย เครื่องนุ่งห่มกินอยู่มันมีเท่าที่จะพอดีเขาเรียกว่าเจียมตัวหรือเรียกว่าสันโดษก็ตามใจ เช่นเสื้อผ้านี้จะมี ๒-๓ ผืน คราวนี้ลูกหลานมันมีเสื้อผ้านับไม่ไหว คุณไปเทียบกันดูว่าจิตใจมันต่างกันอย่างไร ในสมัยปู่ย่าตายายเร็วๆ ทันเห็นนี้ก็ยังมีอาการที่เรียกว่า จะไม่ไปขวนขวายให้มันเกินความจำเป็น หาเงินหรือหาอะไรก็มันรู้จักพอใจรู้จักเพียงพอและก็ไม่หิวเป็นเปรตเหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้อยากหรือต้องการเกินความจำเป็น อาการหิวเหมือนกับหิวอย่างเปรต ปู่ย่าตายายของเราต้องการแต่พอดีไม่มีความหิวอย่างเปรต มีความต้องการโดยสติปัญญาพอดี นี่ก็ไปดูศาสนาอื่นแล้วก็เหมือนกัน ต้องการให้มนุษย์เห็นแก่พระเจ้า อย่าไปเอาของพระเจ้ามามากเกินเป็น สมบัติทั้งหลายทั้งปวงเป็นของพระเจ้า ตัวเราก็เป็นของพระเจ้า ข้าวของบุตรภรรยาสามีอะไรก็เป็นของพระเจ้า อย่าไปเอามันมาเกินจำเป็น ใครเอาใครหาใครเอาใครมีเกินจำเป็นแล้วก็เรียกว่าเป็นบาป เป็นบาปที่มันไม่มีทางจะ จะหมดบาปได้เลย จนกว่าจะเอาไปคืน ศาสนาตะวันตกศาสนาตะวันออกศาสนายุคไหนก็ตามใจมันมีหลักข้อนี้ คือไม่โลภเกินจำเป็นไม่ ไม่ต้องการเกินจำเป็น พูดสั้นๆ ว่าไม่โลภ พอใช้คำว่าโลภก็หมายความว่าเกินจำเป็น ไอ้หลักธรรมที่ว่าไม่ต้องการไม่แสวงหาไม่มีไว้เกินจำเป็น นี่คือหลักธรรมที่ใหญ่หลวงที่สูงสุด ที่เป็นรากฐานของไอ้ศาสนา ว่าจะทำให้คนเราไม่ต้องมีความทุกข์กันทั้งโลกอย่างไร โลกคนเมืองตำปรื้อพูดกันมาแล้วว่า มันเจริญด้วยพุทธศาสนาอย่างมหายาน มีอุดมคติของโพธิสัตว์เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกแทนที่จะเห็นแก่ตัวเรา ฉะนั้นสิ่งอะไรที่จะเป็นไปเพื่อให้เพื่อนมนุษย์ทั้งโลกอยู่สบาย สิ่งนั้นต้องคิดต้องนึกต้องสนใจที่สุด นี่หลักธรรมพอที่จะทำให้โลกไม่กลิ้งลงไปในเหว ต้องสนใจที่สุด คำว่าโลกหมายความว่าทุกคน ฉะนั้นถ้าพูดถึงหลักธรรมหรือธรรมแล้วก็ ต้องเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้โลกหมุนกลิ้งลงไปในเหว เสมอไปทุกศาสนาทุกยุคทุกสมัย นี่เราไม่ต้องพูดกันมากในเรื่องอื่น ถ้าป้องกันไม่ให้พลัดลงไปในเหวได้แล้วก็หมด หมดปัญหา หมดปัญหาทั้งหมดเลย คือไม่ต้องไปมัวแจกให้มีธรรมะมากข้อมากเรื่องเรียนให้เวียนหัว เรียนธรรมะให้มันพอดีสำหรับที่จะไม่พลัดลงไปในเหวกันทั้งโลกแล้วก็มันใช้ได้แหละ อันตรายในปัจจุบันนี้คือโลกกำลังกลิ้งไปหาเหว คนเป็นนักศึกษาทั้งทีจะมองแต่แคบๆ จะมองแต่เรื่องของตัว มันหัวเก่าเกินไปถ้าจะพูดว่าพระเณรไม่ต้องสนใจกับเรื่องนอกวัด นั่นมันมีความหมายอย่างอื่น ว่าอย่าไปยุ่งกับเรื่องนอกวัดมันคือเรื่องบ้าๆ บอ เรื่องไม่มีสาระ แต่ว่าพระเณรควรจะนึกถึงเพื่อนมนุษย์ทั้งโลกเหมือนกัน เราจะอ่านหนังสือ พิมพ์บ้าง จะฟังข่าวต่างประเทศบ้าง ก็เพื่อว่ารู้ว่าโลกนี้มันเป็นอย่างไรอยู่ในสภาพอย่างไร จะได้ทำตัวให้เป็นประโยชน์ ที่นี้จากไอ้การสังเกตนี้มันรู้ได้ว่าโลกนี้มันกำลังมืด มันกำลังมืดขึ้นทุกที มืดยิ่งขึ้นทุกที มันก็มืดยิ่งกว่าแต่ก่อนนะ เมื่อก่อนโลกมันไม่มืดเท่านี้ นี่มันยิ่งมืดกว่าแต่ก่อนและยิ่งมืดขึ้นทุกที ยิ่งมืดยิ่งหลงว่าไอ้ความมืดนี้เป็นความสว่าง ยิ่งจุดไฟฟ้ามากขึ้นยิ่งมืดขึ้นทุกที ถ้าเข้าใจก็จะดี และคงจะไม่ลืมเลย ผมพูดให้คุณฟังว่าไอ้โลกยิ่งเจริญด้วยกิจการไฟฟ้ามากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมืดลงเท่านั้น แล้วจริงที่สุด หมายความว่าเจริญด้วยกิจการไฟฟ้า มันไม่ใช่พอจุดไฟฟ้าเข้าแล้วจะทำให้หัวใจสว่างได้นี่ข้อหนึ่งแล้ว คราวนี้ถ้าเรายิ่งมีความเจริญด้วยเรื่องของไฟฟ้า มีประดิษฐ์กรรมประดิษฐ์กรรมที่เกี่ยวกับไฟฟ้า ที่ทำให้โลกมีการเป็นอยู่คล้ายๆ เมืองเทวดามากขึ้น จะต้องใช้ไฟฟ้าจะต้องใช้พัดลมหรือจะต้องใช้ตู้เย็นหรือจะต้องใช้ทำอะไรสารพัดอย่าง ซึ่งเวลานี้มันไปไกลลิบ ให้คนสะดวกสบายสนุกสนานเอร็ดอร่อยเรื่องสีเรื่องแสง แม้แต่ในโรงละครเขาจะให้บ้ากันมากๆ โรงหนังโรงอะไรก็ตามใจ มันก็ต้องอาศัยเครื่องไฟฟ้าทั้งนั้น ไอ้เครื่องไฟฟ้านี้ทำให้โง่ลงทางเนื้อ เอ่อ, ทางวิญญาณ ให้ตกจมทางเนื้อหนัง ทีนี้ยิ่ง ยิ่งพูดได้ว่ายิ่งเจริญด้วยไฟฟ้าเท่าไหร่ยิ่งมืดลงเท่านั้น แม้ที่สุดไฟฟ้าแสงสว่างนี้มันก็ไม่ ไม่ ไม่ทำให้คนสว่างในจิตใจได้ มันเพียง เพียงความสะดวกในการที่จะดูด้วยตาได้ทำการทำงาน แต่ในจิตใจก็มันยังมีอวิชชาอยู่นั่นแหละ ยิ่งไปชอบเจริญด้วยไฟฟ้านี่มันยิ่งโง่มากขึ้นไปอีก คือมันบ้าเกินจำเป็น นี่ราพูดกันเสียทีแรกทีหนึ่งก่อนว่า การ การ การไฟฟ้ายิ่งเจริญโลกมันยิ่งมืด เรายิ่งเจริญด้วยไฟฟ้าชีวิตระบบใช้ไฟฟ้านี้มันยิ่งฟุ่มเฟือย ยิ่งสำรวยยิ่งฟุ่มเฟือย พูดเท่านี้ก็ควรจะฟังถูก เข้าใจ ว่ายิ่งฟุ่มเฟือยก็มันยิ่งโง่ยิ่งมืด แต่ระวังนะ เราเองนั่นแหละกำลังจะชอบไอ้ความฟุ่มเฟือย เราอุตส่าห์เรียนก็เพื่อให้มีความรู้ให้มีวิทยฐานะ ให้ทำงานได้เงินเดือนมาก แล้วก็จะสะ สะดวกสบายสนุกสนานให้เต็มที่เพราะเรามีเงินเดือนมาก ไปซื้อหาไอ้วัตถุปัจจัยที่จะให้สนุกสนานฟุ่มเฟือยนั่นแหละ คุณคิดดูให้ดี พวกเราที่กำลังนั่งพูดกันอยู่นี้ก็เป็นเสียเอง แล้วมันก็อยู่ในสภาพที่ว่าต้องล้มละลายแน่ ไม่มีใครช่วยต้านทานไม่มีใครช่วยห้ามล้อว่าอย่าให้มันหมุนลงไปในเหว มันมีแต่คนช่วยผลักดันไสส่งไปให้มันลงไปในเหวด้วยความพร้อมเพรียงกันเลย ทีนี้คำว่าโลกปัจจุบันกำลังมืดแล้วมืดยิ่งขึ้น แล้วยิ่งโง่เอาความมืดเป็นความสว่างมากขึ้น นี่ก็คือความที่มันเป็นมิจฉาทิฎฐิที่จะสมัครที่จะกลิ้งลงไปในเหว ถ้ามีธรรมะมันก็คุ้มได้ถ้าไม่มีธรรมะมันก็ไม่มีใครช่วยได้ พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้เพราะพระเจ้านั่นคือธรรมะนั่นเอง พระเจ้าห้ามว่าอย่ามีอะไรเกิน เกินจำเป็น อย่าไปกินไปใช้อะไรที่มันเกินจำเป็นไม่มีใครเชื่อ ทีนี้เราพูดเปรียบเทียบเป็นคู่กันไว้โลกมืดน่ะมันมืดด้วยอะไรโลกสว่างนี่มันสว่างด้วยอะไร โลกมืดด้วยอำนาจอวิชชาโมหะความโง่ แต่โลกจะสว่าง ก็สว่างด้วยของตรงกันข้ามแหละคือวิชชา นี่เขาสงวนไว้นะเขียนด้วย ช ช้าง ๒ ตัว วิชชา หมายความว่าวิชชาทางธรรมทางศาสนาทางวิญญาณ เอาตัว ช ออกเสียตัวหนึ่งเหลือแต่วิชาให้พวกคุณเอาไปใช้ในเรื่องโลกเรื่องโรงเรียน เรียนวิชา แต่ถ้าเรียนวิชชาแล้วมันต้องของธรรมะของศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นแสงสว่างทางวิญญาณ ใครไม่พูดเราพูดก็แล้วกัน เราพูดกันให้รู้เรื่องเฉพาะพวกเราก็ได้ ไอ้วิชานี่มันยังไม่พอที่จะทำโลกแสงสว่าง มีแสงสว่างแล้วกำลังเดินผิดทางไอ้วิชาทำให้โลกยิ่งมืดขึ้นทุกที เจริญด้วยความเจริญสมัยใหม่ ยิ่งมีการไฟฟ้าเจริญโลกยิ่งมืด นี่ไอ้วิชาอย่างนี้มันไม่ไหว ไม่ ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณ เรื่องทางวิญญาณเราจะเรียกว่าวิชชา ถ้าโลกมีวิชชาโลกสว่าง ถ้าโลกมีอวิชชาแล้วก็คือไม่มีวิชชาชนิดนี้ ที่ว่านี้แหละโลกมันก็มืด มืดเพราะอวิชชา สว่างเพราะวิชชา คราวนี้ไอ้วิชาของชาวโลกนั่นมันนับรวมอยู่ในอวิชชา เพราะว่าเป็นวิชาที่ทำให้โลภมากขึ้น ให้โง่หลงใหลในความเจริญทางเนื้อหนังมากขึ้น นี่เราบัญญัติสำหรับพูดกันเวลานี้ให้ฟังง่ายๆ ที่นี่เวลานี้เข้าใจได้ คงเอาไปใช้สากลไม่ได้ คำว่าวิชชา วิชชา นั้นมันหมายถึง ไอ้ความรู้อย่างแจ่มแจ้งอย่างถูกต้อง ในภาษาบาลีมีคำอื่นอีกหลายคำ เช่นคำว่าจักษุ ซึ่งแปลว่า ดวงตา ในที่นี้เขาก็หมายถึงดวงตาทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ตา ตา ๒ หน่วยนี้ นี่เขาเรียกว่า ญาณ ความรู้ที่เขาเรียกว่าปัญญา บางทีก็เรียกว่าแสงสว่าง อาโลกะ แปลว่าแสงสว่าง ที่คุณสวดบาลี ธรรมจักร จะมีคำเหล่านี้ จักขุง อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ดวงตาเกิดขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เมื่อประพฤติเป็นอยู่อย่างถูกต้อง ในมรรคมีองค์ ๘ นี่ ไอ้นี่ก็เกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้น วิชชา ปัญญา แสงสว่าง ดวงตา ทำให้โลกนี้ไม่มืด โลกมันมืดด้วยอวิชชา ทำให้หลงในวัตถุ คือความก้าวหน้าทางวัตถุโดยเฉพาะสมัยปัจจุบัน เป็นผลของเทคโนโลยีซึ่งกำลังก้าวหน้าเร็วและกว้างขวางที่สุด เอ้อ, คนบางคนเป็นนักเรียนโรงเรียนเทคนิค นี่ระวังให้ดีดี ไอ้เทคนิคหรือเทคโนโลยีของคุณมันจะพาไปไหน ถ้าเทคนิคมันประกอบด้วยวิชชามันก็พาไปหาแสงสว่างแหละ ถ้ามันประกอบด้วยอวิชชาก็มีความโลภมันก็พาไปหาเหวแหละ ลงเหว เทคโนโลยีส่วนใหญ่ของโลกเวลานี้เป็นเทคโนโลยีพาไปลงเหวทั้งนั้น คือเทคโนโลยีเพื่อเจริญด้วยวัตถุ ด้วยความฟุ่ม ฟุ่มเฟือยทางวัตถุ เทคโนโลยีสมัยปัจจุบันไม่มีพูดถึงเรื่องวิญญาณ ยิ่ง ยิ่งเจริญเท่าไหร่ก็ยิ่งพาไปหาไอ้ความหลงใหลในวัตถุ เป็นทาสของวัตถุยิ่งขึ้นก็คือลงเหวนั่นเอง ระวังไอ้สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยีนี้ให้ดีดี มันต้องมีอะไรควบคุม ปู่ย่าตายายของเรามีธรรมะมีศาสนาพอสำหรับควบคุมในเรื่องการทำมาหากิน มีศิลปะการทำมาหากินได้ เพราะมันมีธรรมะมีศาสนามากไอ้เรื่องการงานทางวัตถุทางกายมันมีน้อย ไอ้ธรรมะหรือศาสนามันก็คุมไอ้การงานการอาชีพการอะไรนี่ได้ พอมาถึงคนสมัยนี้ ไอ้ทางธรรมทางศาสนานั้นเลือนหายไปหมดจางหายไปหมดตกต่ำ แล้วมามากขึ้นในทางเทคโนโลยีทางวัตถุมันคุมกันไม่ได้ ไอ้เทคโนโลยีมันอาละวาดใหญ่แหละ ไม่มีใครคุม เพราะศาสนามันถูกทำให้ ให้เงียบไป ให้ไม่มีความหมายไป ไม่มีใครสนใจพระเจ้าตายแล้วศาสนาไม่มี มันก็ต่างกันโลกสมัยปัจจุบันกับโลกสมัยปู่ย่าตายายของเรามันต่างกัน มันตรงกันข้ามมากขึ้นทุกที นี่เราเรียกว่าโลกมันมืดลงทุกที มันไม่ใช่สว่างขึ้น ถึงเราจะสร้างไอ้การไฟฟ้าให้เจริญกว่านี้อีกกี่ร้อยเท่ามันก็ โลกก็ยิ่งมืดเท่าลงไปเท่านั้นเท่าเหมือนกันแหละ เพราะมันสร้างขึ้นมาเพื่อความฟุ่มเฟือยทางเนื้อหนัง นี่ดูให้ดีไอ้โลกนี้มันยิ่ง ยิ่งมืดขึ้นทุกที แล้วก็ไปหลงเอาความมืดว่าเป็นความสว่าง มันก็เป็นทาสของความโง่ ไปหลงในวัตถุ เราเรียก เราเรียกในที่นี้ว่าตกเหว พลัดลงไปในเหว คือเหวทางวิญญาณ จิตใจมันพลัดลงไปในเหวคือตกต่ำ ที่นี้ร่างกายมันจะสวยงามจะอย่างไรมันก็ไปไม่รอด เหวนี้มนุษย์สร้างขึ้นมาเองแล้วก็ตกเอง นี่เป็นเรื่องที่น่าขัน ความเจริญก้าวหน้าไอ้ทางวัตถุนี่มัน มันก็คือสร้างเหวขึ้นมาเอง แล้วก็ตกเองพลัดเอง นี่พูดตามภาษาตรงๆ ไม่พูดเป็นภาษาอ้อมค้อม ว่าพญามารหรือซาตานไหนมาหลอกลวง ไอ้ความโง่ของมนุษย์แหละมันหลอกลวง แล้วความโง่มันค่อยๆ โง่ไปทีละนิดๆ ไม่ใช่โง่ทีเดียวได้มากๆ เพราะว่าเราไม่อยากโง่นี่ ทีนี้มันโง่ได้ทีละนิดๆ โดยไม่รู้สึกตัวเท่านั้น ความว่าหลงไปในวัตถุมากขึ้นทีละนิดๆ ๆ ถ้าบ่อย ถ้าเรื่อยไปๆ มันก็มากเหมือนกัน นี่เปรียบเทียบดู ไอ้วัตถุนิยมในโลกนี้กำลังใหญ่หลวง สมัยก่อนไม่ ไม่ ไม่ใหญ่หลวงสมัยนี้ใหญ่หลวงอย่างไม่น่าเชื่อ ในข้อที่ว่ามันสร้างเหวขึ้นเองแล้วตกเอง แล้วตกมากขึ้นลึกขึ้นเป็นของที่พูดไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นของจริงแล้วก็เป็นอยู่จริงๆ เวลานี้ อยากจะ อยากจะมองเห็นก็ไปดูเอาเอง ทีนี้พูดต่อไปอีกว่า เทคโนโลยีนี้มันเป็นเรื่องของโลกตะวันตก ที่เราเรียกกันว่าฝรั่ง ที่พูดนี้ไม่ใช่พูด มานั่งพูดไอ้แช่งฝรั่งหรือนินทาฝรั่ง พูดให้มองเห็นความจริง ว่าโลกตะวันตกคือโลกฝรั่งนั่นแหละ ฝรั่งคนไหนก็ไม่ต้องระบุมันแหละ เพราะฝรั่งมันก็ไม่ใช่เป็นเหมือนกันทุกคน แต่เราใช้คำว่าฝรั่งรวมๆ คือพวกโลกตะวันตกนี้มันจะ ก้าวหน้าในทางเทค เทคโนโลยี เหมือนกับวิ่ง ก้าวหน้าอย่างวิ่งไม่ใช่ก้าวหน้าอย่างเดิน มันก็เลยคลุมโลกนี้ด้วยเทคโนโลยี มุ่ง มุ่งโลกทั้งโลกด้วยเทคโนโลยี หรือว่าถมเสียเลยเอาเทคโนโลยีมาถมโลกนี่มิดเสียเลย เป็นโลกที่มัวเมาในเทคโนโลยีอย่างแบบตะวันตกนี่มากขึ้นๆ พวกโลกตะวันตกเขาเจริญด้วยวัตถุธรรม ด้วยเครื่องมือคือไอ้เทคโนโลยีวิชาเทคโนโลยี ทำให้เจริญด้วยวัตถุธรรม วัตถุธรรมนะ ไม่ใช่ธรรมที่กำลังพูดนะ คือธรรมดำนะ วัตถุธรรมคือธรรมดำ เป็นทาสของวัตถุ แล้วทำให้คนนี้มีจิตใจไม่เป็นธรรมขาวแหละ มัน มันบูชาธรรมดำมันลุ่มหลงอยู่ในธรรมดำ ประกอบไปด้วยธรรมดำ มันก็ไม่ได้บูชาธรรม ธรรมขาว ธรรมที่เรากำลังพูด มันไปบูชาธรรมที่ทำให้พลัดเหว ไม่บูชาธรรมที่ทำให้ไม่ ไม่พลัดเหว นี่เขาเรียกว่ามันเจริญด้วยวัตถุธรรม แล้วมันอยากจะครองโลก ถ้าได้ครองโลกมันก็ได้อะไรมากขึ้นอีก ได้หมด ไอ้ความหิวมันไม่หยุด มัน มันขยาย ทั้งอยากจะเอาหมดทั้งโลก นี่โลกตะวันตกคือโลกของพวกฝรั่ง ที่เราเรียกพวกฝรั่งที่ว่าเก่งนักนั่นแหละ ที่นี้มาดูโลกตะวันออก พวกเรานั่นแหละ พวกที่อยู่ฝ่ายตะวันออกนี่รวมทั้งไทยด้วย เป็นโลกที่ล้าหลัง ล้าหลังพวกฝรั่ง ล้าหลังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางวัตถุ ทางวัตถุธรรมนี้ล้าหลังกว่าพวกฝรั่ง มันฟลุ๊คหรือมันบังเอิญก็รู้ไม่ได้ พวกฝรั่งมันไปก่อนไปไกล เรามันก็ล้าหลัง บางทีก็เพราะว่าเรามันชอบไอ้เรื่องทางวิญญาณ ทางจิตใจ ทางมโนธรรมเสียจนชิน ไม่อยากจะวิ่งไปทางวัตถุมันก็เลยล้าหลัง แต่พอมาถึงสมัยนี้พอเห็นพวกฝรั่งมันวิ่งไปไกลทางวัตถุ ทีนี้พวกเราพวกโลกตะวันออกนี่ก็เลยลืมไป เผลอลืมตัวไป ไปเกิดเลื่อมใส เลื่อมใสพวกตะวันตก แล้วก็เดินตามหลัง เดินตามหลังพวกฝรั่ง เดินตามก้นพวกฝรั่ง ขนาดจะเป็นสุนัขรับใช้หรือจะขนาดจะเป็นอะไรก็ได้ทุกอย่างแหละ เดินตามก้นพวกฝรั่ง เดินต้อยๆๆๆ เหมือนกับลูกสัตว์เล็กๆ เดินตามแม่มันนั่นแหละ นี่มันก็เลยตามก้นพวกตะวันตกมากถึงขนาดสูญเสียไอ้ของเดิม คือสูญเสียแสงสว่างทางวิญญาณ เมื่อก่อนเรามีแสงสว่างทางวิญญาณมากพอ ไปเกิดเลื่อมใสไอ้พวกวัตถุนิยมเดินไปตามก้น แล้วก็จนถึงว่าสูญเสียหรือยอมสลัดไอ้ความสว่างทางวิญญาณ ก็เลยต้องหันหลังให้ศาสนาเหมือนกับพวกตะวันตก มีศาสนาแต่ปากหันหลังให้ศาสนา หันหลังให้พระเจ้าเหมือนกับพวกที่เจริญด้วยวัตถุ ก็เลยกลายเป็นทาส เป็นเขาโดย โดยทางจิตใจ เป็นทาสของพวกตะวันตกหรือพวกฝรั่งทางจิตใจ ที่อยาก อยากได้เหมือนฝรั่ง อยากเป็นเหมือนฝรั่ง เด็กหญิง หญิงสาวในมหาวิทยาลัยคนไหนร้องเพลงฝรั่งเหมือนฝรั่งได้รับเกียรติที่สุด ไม่ใช่ว่าร้องเพลงไทยได้ดี ร้องเพลงฝรั่งได้เหมือนฝรั่งเสียงเหมือนฝรั่งอะไรเหมือนฝรั่งจนใครไม่รู้ว่าเป็นฝรั่งหรือเป็นไทย ไอ้ผู้ชายหนุ่มๆ ก็ไปทูนหัวกันเลย นี่ตามก้นบูชาฝรั่งถึงขนาดนี้ นี่เรื่องจริงไม่ใช่เรื่องที่ make up ขึ้นมาเอง อุตส่าห์ทนฟังนี่ มันเล่นมันหัวกันทางวิทยุ นี่เป็นตัวอย่างที่เรื่องตามก้นฝรั่งว่ามันมากน้อยเท่าไหร่บูชาฝรั่งมากน้อยเท่าไหร่ เราเรียนวิชาของพวกฝรั่งทั้งนั้น ได้พวกฝรั่งมาเป็นครูแล้วก็ดีใจกันใหญ่ ทีนี้พวกฝรั่งมาสำแดงเดชในคราวนี้ คราวสงครามดูกันเสีย รู้กันแล้ว ว่ามันมีอะไรอย่างไร จิตใจของคนไทยวัฒนธรรมของคนไทยกระจุยกระจายไปไหนหมดก็เห็นกันคราวนี้ นี่สมน้ำหน้าตามก้นฝรั่งบูชาฝรั่ง จะเล่าเรียนอย่างฝรั่งหรือคล้ายๆ ว่าจะถ้าเราเรียนพุทธศาสนาก็จะให้พวกฝรั่งมาสอน แต่ถ้าเรียนพุทธศาสนาอย่างฝรั่งก็รู้แต่เปลือกนั่นแหละ คุณฟังให้ดีๆ ผมกำลังพูด ว่าถ้าเรียนพุทธศาสนาตามอย่างวิธีของฝรั่ง จะรู้จักแต่เปลือกของพุทธศาสนา ฝรั่งเรียนพุทธศาสนาอย่างประวัติศาสตร์อย่างโบราณคดีอย่างปรัชญาอย่างนี้ นี่เป็นเปลือกของพุทธศาสนามันรู้มากเก่งกว่าเราแหละ เธอก็เป็นเนื้อแท้เนื้อในของพุทธศาสนานะยัง ยังไม่เก่ง คุณอย่าไปตามก้นถึงขนาดที่ว่าจะศึกษาพุทธศาสนาจากพวกฝรั่ง หรือตามวิธีที่พวกฝรั่งเขาใช้จะได้มาแต่เปลือก นี้เป็นเรื่องที่ว่า ระวังให้ดีมันจะได้แต่เปลือก เปลือกมันคือวัตถุ วัตถุมันคือเนื้อหนัง ไอ้เนื้อในคือใจนะ คือจิตคือวิญญาณนั่นมันเนื้อใน ไอ้เปลือกนี่มันคือร่างกายคือเนื้อหนัง เช่นถ้าไปทำตามแบบตะวันตกจะได้แต่เรื่องเทคโนโลยีอย่างประเสริฐเลิศที่สุดแต่เป็นเรื่องเนื้อหนังทั้งนั้น วิชาเทคโนโลยีทางวิญญาณยังไม่มี เทคโนโลยีทางวิญญาณมีแต่ของพระพุทธเจ้า บทว่า วิชชาจรณสัมปันโน คือเทคโนโลยีอย่างสูงสุดในทางวิญญาณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามี ทั้งเทคนิคทั้งเทคนีคสำหรับจะเอาชนะกิเลสสำหรับจะไม่ลงเหวพระพุทธเจ้ามี นี่เราก็ดูให้ดี ถ้า ถ้า ถ้าชอบ ชอบคำว่าเทคนิคชอบคำว่าเทคโนโลยีก็ขอให้นึกถึงเทคโนโลยีทางวิญญาณบ้าง ซึ่งเวลานี้ยังไม่มีใครพูดถึงและยังไม่มี พวกฝรั่งที่เป็นเจ้าตำรับก็มีเทคโนโลยีแต่ทางฝ่ายวัตถุ ซึ่งมันทำได้มันเห็นง่ายมันเป็นวัตถุ เทคโนโลยีทางวิญญาณเป็นนามธรรม เอามาให้ดูไม่ได้สอนกันยากเข้าใจกันยากเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฎฐิโกอย่างนี้ สอนกันได้เพียงว่าให้ไปทำขึ้นเองโดยวิธีนั้นๆ แล้วก็มาพบเอง แต่อย่างนี้เราไม่เรียกเทคโนโลยี เราเรียกว่ามโนธรรมหรือว่าเรื่องทางวิญญาณเรื่องทางธรรมเรื่องทางศาสนา ที่จริงก็คือเทคโนโลยีทางนามธรรม ในโลกนี้เวลาพูดถึงเทคโนโลยีก็คือเทคโนโลยีของพวกฝรั่ง เรื่องทางวัตถุ ทีนี้เรามันก็ไปหลงเทคโนโลยีทางวัตถุของพวกฝรั่ง ทั้งๆ ที่ในเลือดในเนื้อมี มีเทคโนโลยีทางฝ่ายวิญญาณฝ่ายมโนธรรมอยู่แล้ว วันก่อนพูดกันแล้วว่าคนเมืองตำปรื้อนี้มีพุทธศาสนามาตั้ง ๑,๒๐๐ กว่าปี เป็นอยู่ด้วยความผาสุกนั่นคือเทคโนโลยีทาง ไอ้ทางวิญญาณ ที่เรียกว่าทาง spiritual อะไรก็เป็นทาง spiritual ทั้งนั้น ที่เป็นเรื่องทางวิญญาณ ทีนี้เราก็มาทิ้งไอ้ ไอ้ ไอ้เรื่องทางวิญญาณเสีย เป็นเทคโนโลยีที่เคยมีแล้วก็ทิ้งเสียแล้วก็ไม่ ไม่เคยใช้คำนี้ มาได้ยินคำใหม่เรื่องทางวัตถุเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนังเลยเฮมาทางนี้หมด เรื่องทางวิญญาณก็ปล่อยให้สูญไป สูญไป สูญไปเหมือนพวกฝรั่งเลยแหละ ที่จริงถ้าว่าพูดกันตรงไปตรงมา ไอ้โลกตะวันออกนี่มันสูงสุดทางวิญญาณ ถึงแม้ว่าทางตะวันตกจะมีศาสนาบ้าง มันก็ไม่มีอะไรที่น่าดูนัก แล้วถ้าเราพูดกันตรงๆ เราพูดได้ว่าไอ้ศาสนาที่สำคัญๆ ในโลกมีเต่ทางตะวันออก เช่นศาสนาคริสเตียนอย่างนี้ มันอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ดินแดนนี้ผนวกกับฝ่ายตะวันออก ศาสนาอิสลามในประเทศอาหรับนี่ก็ แผ่นดินนี้มันผนวกไว้ฝ่ายตะวันออกเป็นตะวันออกไกลของพวกฝรั่ง ศาสนาทั้งหมดมันมารุมเกิดกันอยู่แต่ในฝ่ายตะวันออก สุดไปทางนั้นก็มันคริสเตียน อิสลาม ไล่เข้ามาก็เป็นโซโรอัสเตอร์ เป็นศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาไชนะ ศาสนาเต๋า ศาสนาอะไรเล็กๆ น้อยๆ กระทั่งศาสนาชินโตของญี่ปุ่น อยู่ที่ตะวันออกทั้งนั้น ตะวันออกก็เป็นที่รุ่งเรืองด้วยศาสนา หรือแสงสว่างทางวิญญาณจึงเป็นเทคโนโลยีเหมือนกันแหละ เอาตัวรอดได้ในทางวิญญาณ ตะวันตกมันเคยมีศาสนากะปริบกะปรอย รับไปจากทางตะวันออก มันก็ไม่ถือกันจริงจังได้เท่าไหร่ ถือเพื่อประโยชน์ทางวัตถุเสียเรื่อยไป เพื่อทางการเมืองเสียเรื่อยไป เนื้อแท้ของคนตะวันออกแม้แต่ศาสนายิว นี่มันก็เป็นศาสนาที่มีแสงสว่างมากเหมือนกัน แต่แล้วพวกฝรั่งก็ไม่ได้ถือคริสเตียนไม่ได้ถือศาสนายิวไม่ถืออะไรอย่างแท้จริง ได้รับไปรับไปเพราะไอ้มันมีความผันผวนทางการเมืองมากกว่า เลยพูดได้เต็มปากว่าตะวันตกมันไม่เคยรุ่งเรืองด้วยแสงสว่างทางวิญญาณมากเหมือนกับฝ่ายตะวันออก มีแสงสว่างทางวิญญาณเต็มเนื้อเต็มตัวเลย แต่แล้วเหตุไรมาตามก้นพวกตะวันตกได้ น่าเศร้าน่าละอายน่าสงสารมากเลย พูดไม่ถูก ไอ้โลกทิศตะวันออกนี่มันไปตามก้นทิศตะวันตก พูดง่ายๆ โดยเฉพาะคนไทยไปตามก้นพวกฝรั่ง ไปนิยมบูชาแล้วก็ได้ไปเอาอะไรอย่างฝรั่งมาหรือว่ารู้เท่าฝรั่งอะไรก็ดี นี่ก็ดีแหละ ก็มาดีทางวัตถุแหละ แต่ไม่เห็นดีทางวิญญาณ นี่ข้อนี้เลยเป็นเหตุทำให้โลกทั้งโลกนี่มันดีแต่ทางเนื้อหนังไม่ดีในทางวิญญาณ คุณฟังไม่เข้าใจ เป็นเหตุให้โลกทั้งโลกทั้งหมดมันดีแต่ทางวัตถุทางเนื้อหนังไม่ดีในทางฝายจิตฝ่ายวิญญาณ และก็สภาพการมันก็แสดงให้เห็นอยู่เวลานี้ว่าเป็นอย่างไร หย่อมหญ้าไหนที่มันเย็นบ้างทั้งโลกมีแต่ร้อนมากขึ้นร้อนมากขึ้น แล้วถ้าผมพูด นี่ก็พูดว่าไอ้โลกนี้มันเลยไม่ได้ไม่ได้เทียมด้วยควาย ๒ ตัวเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนโลกส่วนใหญ่หรือชีวิตของคนในโลกส่วนใหญ่มันเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางกาย ตัวหนึ่งเป็นเรื่องทางวิญญาณ พูดตามไอ้แบบวิทยาศาสตร์ ที่ว่าตัวหนึ่งเป็นเทคโนโลยีทางฝ่ายวัตถุ ตัวหนึ่งเป็นเทคโนโลยีทางฝ่ายวิญญาณ ชีวิตของเราเทียมด้วยควาย ๒ ตัวนี้ก็เลยสบาย มันควบคุมกันได้แล้วมันก็มีแรงมากพอ ไอ้ตัวที่เป็นเรื่องทางวัตถุทางกายนั้นเขาเรียกว่าเป็นตัวแรง แล้วอีกตัวก็เป็นทางจิตใจทางวิญญาณมันเป็นตัวรู้ ตัวหนึ่งเป็นตัวรู้ตัวหนึ่งเป็นตัวแรง ๒ ตัวรวมกันมันก็เลยดี คุณไม่เคยเห็นไอ้ไถนาควาย ๒ ตัว บางคนจะเคยเห็นบางคนจะไม่เคยเห็น เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ ไม่ค่อยจะไถ ๒ ตัว แล้วเครื่องจักรมา มา มาไถเสียมากแล้ว ควายก็หมดไปหมดไป เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ต้องเอาควาย ๒ ตัวจึงจะได้ผลดี เอาควายตัวมีแรงมาเป็นตัวลากเป็นตัวปลาย เอาควายตัวฉลาดมาเป็นตัวต้นสำหรับฟังคำสั่งจากผู้ไถ ไถนาจากเจ้าของ ที่เขาพูดดังลั่นอยู่ในทุ่งนาพูดกับตัวเดียวนั้นแหละ ควายตัว ตัว ตัวเดียวตัวต้น ไอ้ตัวหนึ่งมันพลอยทำไปอย่างนั้นแหละ ครั้นเมื่อเขาบอกให้ตัวต้นมันหยุด ไอ้ตัวปลายตัวแรงมันยังเดินอยู่มันก็เลี้ยว เขาบอกไอ้ตัวนี้หยุดนั่นแหละคือให้มันเลี้ยว พอตัวหนึ่งมันหยุด ตัวหนึ่งมันยังเดิน ทีนี้การที่เดินไปอย่างนั้น ไอ้ตัวที่มีแรงมันเดินก่อน ไอ้ตัวนี้มันคอยฝาก ฝากแรงไว้ตัวที่แข็งแรง มันก็ได้ผลดีตัวหนึ่งมันมีแรงตัวหนึ่งมันมีรู้ ชีวิตเทียมด้วยควาย ๒ ตัวมันก็ได้ผลดีเหมือนกัน ไอ้ตัวที่รู้รู้ธรรมะรู้ศาสนามันควบคุมไอ้ตัวที่มีแรง เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเนื้อเรื่องหนัง มันก็เลยไปกันได้ดี แต่เดี๋ยวนี้มันทิ้งไปหนึ่งตัวก็เหลือแต่ตัวที่หลอกลวง ตัวที่แท้จริงจะเป็นที่พึ่งได้จริงมันก็ทิ้งเสียนี่ ไม่สนใจเหลือแต่ตัวก็จะหลอกลวงให้ลงเหว นี่โลกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เหลือแต่ตัวทางเนื้อหนังตัวใหญ่ ตัวควายเปลี่ยวแข็งแรงจะพาโลกไปลงเหว แล้วมีหวังจะตกไอ้นรกนิรันดร คือตกนรกตลอดกาล ที่จริงมันมีนิรันดรไม่ได้ มันมีความเปลี่ยนแปลง แต่ว่ามันนานเกินไป ในศาสนาบางศาสนาเขาเรียกว่านรกนิรันดร ศาสนาคริสเตียนศาสนาอิสลามเครือเดียวกันนี้พูดถึงนรกนิรันดร ศาสนาพุทธพูดไปตามเหตุการณ์มันเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันก็นานจนรู้สึกคล้ายๆ กับว่ามันตลอดกัปตลอดกัลป์อยู่เหมือนกัน นี่มันทำผิดมากจนขนาดว่ามันจะลงนรกนิรันดร อย่าลืมว่าเมืองตำปรื้อของเราไม่เคยเป็นอย่างนั้น ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยเป็นอย่างนั้น เคยเจริญด้วยธรรมะศาสนา ชีวิตเทียมด้วยควาย ๒ ตัวเรื่อย พูดอีกทีหนึ่งให้มันโก้ๆ มันเรียนกันแต่ศิลปศาสตร์มันไม่เรียนธรรมศาสตร์ ที่คุณเรียนอยู่ในเรื่องเทคนิคหรือวิชาครูวิชาอะไรคุณเรียนกันแต่ศิลปศาสตร์ไม่เรียนธรรมศาสตร์ นี่มันคือควายตัวเดียว ถ้าเรียนทั้งศิลปศาสตร์และธรรมศาสตร์มันเป็นควาย ๒ ตัวพากันไปได้ นี่มันน่าขันน่าเศร้าที่ว่าคนสมัยนี้มันหลงวัตถุนี้นะ มันไปเอาคำธรรมศาสตร์มาใช้ผิดๆ กลายเป็นเรื่องไอ้ทางเนื้อทางหนังทางที่ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ไปแล้ว สูญเสียความหมายเดิมของคำว่าธรรมศาสตร์ เป็นเรื่องทางจิตทางวิญาญาณล้วน ทีนี้จะเอาธรรมศาสตร์มาเป็นชื่อของไอ้เรื่องโลกๆ อย่างนี้มันไม่ถูกนะ แม้จะเอามาเป็นชื่อของการเรียนกฎหมาย หรือเป็นทนายความอย่างนี้มันก็ไม่ถูก มันเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น เรื่องที่ขึ้นอยู่กับอำนาจของโลกเป็นทาสของโลก ถึงจะเอามาเรียกว่าธรรมศาสตร์มันก็ไม่เป็นธรรมศาสตร์ได้ ธรรมศาสตร์ต้องเป็นเรื่องจิตใจล้วน เป็นเรื่องดับทุกข์ของทางศาสนาล้วนจึงจะถูก ฉะนั้นการที่เรียนกฎหมายหรืออะไรนี่ก็เป็นศิลปศาสตร์โดยแท้ โดยแท้จริงใม่ใช่ธรรมศาสตร์ มันเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเนื้อเรื่องหนังเรื่องของสังคมทางวัตถุทั้งนั้น เรียกศิลปศาสตร์จะดีกว่า ศิลปศาสตร์นี่มีมากมายหลายร้อยหลายพันแขนงแหละ ธรรมศาสตร์นี้มันก็มีแขนงเดียวที่จะทำให้วิญญาณดีขึ้นดีขึ้นดีขึ้นจนหลุดพ้นไปได้ นี่คือธรรมศาสตร์ ทีนี้โลกมันไม่เรียนไม่รู้จัก ยืมชื่อมาใช้ผิดๆ เสียอีก มันน่าสงสาร ถ้าเรียกกันถูกเราก็พูดได้ว่าเรียนโดย เรียนโดยให้มันมีเป็นคู่อย่างนี้ เรียนทั้งศิลปศาสตร์เรียนทั้งธรรมศาสตร์ ไอ้เพื่อเนื้อหนังร่างกายเพื่อสังคมอย่างนี้มันเป็นศิลปศาสตร์ เพื่อดวงวิญญาณล้วนๆ ของผู้นั้นเป็นเรื่องธรรมศาสตร์ ทีนี้เอาธรรมศาสตร์ไปเป็นทาสของศิลปศาสตร์ไปเป็นทาสของการเมือง ทำบาปอีกอันหนึ่งเป็นความมืดอีกอันหนึ่ง ที่เอาธรรมศาสตร์ไปเป็นทาสเป็นขี้ข้าของศิลปศาสตร์หรือของการเมืองไปเสีย นี่มนุษย์กำลังทำบาปร้ายแรงอีกอันทั่วไปทั้งโลก ไอ้โลกมันก็เลวลงเป็นโลกที่ไม่สะอาดสกปรกมากขึ้น เป็นโลกที่ว่ามันมืดมากขึ้นไม่สว่าง แล้วก็ไม่สงบ มันก็คือกระวนกระวายเดือดร้อนระส่ำระสายมากขึ้น เพราะมันทำผิดข้อนี้ เขาก็ไม่มีเอา ไม่มีธรรมะไม่เอาธรรมะเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต เป็นควายตัวต้นสำหรับไถนา สำหรับพาชีวิตให้เดินไปให้ถูกทางอย่าไปลงเหว
นี่เวลายังเหลือนิด ก็อยากจะพูดถึงหลักในพุทธศาสนา ที่ว่าให้คนเรามีชีวิตที่เทียมด้วยควาย ๒ ตัว เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอย่างไร คำสอนนี้ว่าอย่างไร เมืองตำปรื้อ พูดว่า พรือรื้อ ดีกว่า พระพุทธเจ้าได้สอนไว้พรือรื้อ ถ้าเป็นบาลีมันมีว่า อัปปมัตโต อุโภ อัตเถ อธิคัณหาติ ปัณฑิโต ทิฏเฐ ธัมเม จะ โย อัตโถ โย จัตโถ สัมปะรายิโก อัตถาภิสะมะยา ธีโร ปัณฑิโตติ ปะวุจจะติ
อัปปมัตโต อุโภ อัตเถ อธิคัณหาติ ปัณฑิโต บรรทัดนี้มันว่า คนที่ไม่ประมาทเป็นบัณฑิต ย่อมถือเอาได้ซึ่งประโยชน์ทั้งสอง
ทิฏเฐ ธัมเม จะ โย อัตโถ โยจัตโถ สัมปะรายิโก คือประโยชน์ในทิฐธรรม คือในธรรมที่ตนเห็นและรู้สึกอยู่นี่ด้วย และในธรรมอันจะถึงในโอกาสข้างหน้าด้วย ตัวหนังสือว่าอย่างนั้น ทิฏเฐ ธัมเม จะ โย อัตโถ นี่คือว่าแค่กำลังรู้สึกอยู่ในใจ กำลังมี experience ซึมซาบอยู่ในใจนี่เขาเรียกอันหนึ่ง ประโยชน์หนึ่งอย่างหนึ่ง สัมปะรายิโก นี้คือจะถึงในเบื้องหน้าต่อไปข้างหน้าอีกอันหนึ่ง หมายความว่าหลังจากนี้ไปแล้ว ยังไม่ทันตายไม่ต้องตายเข้าโลงหรือว่าตายเข้าโลงไปแล้วก็ได้ ถ้ามันมี มีตัวเราแต่เราจะไม่พูดแบบนั้น เราพูดว่าแค่กำลังรู้สึกอยู่นี้ปัจจุบันนี้เอาให้ได้ แล้วจะต่อไปข้างหน้าก็ต้องเอาให้ได้ ทีนี้คำว่า สัมปะรายิโก ข้างหน้ามันก็ มันหมายความได้ว่าอันอื่นไม่ใช่อันนี้ ก็เลยได้ความชัดว่าอันนี้ก็ต้องเอาให้ได้แล้วอันอื่นก็ต้องเอาให้ได้ อันนี้คือประโยชน์อย่างเนื้อหนังอย่างธรรมดาสามัญอย่างที่บุถุชนคนธรรมดาเขามีกันได้นี่คืออันนี้ แล้วทีนี้อันอื่น คืออันที่ดีกว่านี้สูงกว่านี้ลึกกว่านี้เข้าใจยากกว่านี้เอาได้ยากกว่านี้ จะหมายความว่าทั้งเรื่องโลกและเรื่องธรรม ทั้งเรื่องศิลปศาสตร์เรื่องธรรมศาสตร์เอาให้ได้ คนที่ไม่ประมาทเป็นบัณฑิตย่อมถือเอาได้ถึงประโยชน์ทั้งสอง คือประโยชน์อันนี้และประโยชน์อันอื่น
บรรทัดสุดท้าย อัตถาภิสะมะยา ธีโร ปัณฑิโตติ ปะวุจจะติ ผู้รู้ผู้ที่มีความรู้กล่าวว่าเป็นบัณฑิตเป็นบัณฑิตเป็นนักปราชญ์ ก็เพราะว่าทำประโยชน์ทั้งสองนี้ให้สำเร็จได้ ถ้าทำสำเร็จได้ประโยชน์เดียวยังไม่เป็น ธีโร ยังไม่เป็น บัณฑิโต ผู้ที่เป็น บัณฑิโต หรือว่าเป็น ธีโร นี้ก็เพราะว่ามี อภิสมัย ในประโยชน์นี้ทั้งสอง อภิสมัย แปลว่า ถึง ถึงเอาได้ ก็เหมือนกับภาษาอังกฤษว่า obtain obtain คือเอามาได้เป็นของเราเป็นความรู้สึกในจิตใจเรา อัตถาภิสะมะยา เพราะอภิสมัยในประโยชน์นั้น คือว่าถือเอาได้โดยแท้จริงไม่ใช่เท่าแต่เรียนๆ ท่องๆ รู้เรื่องนี้มันไม่พอ มันต้องได้ปฏิบัติสิ่งนั้นไปเสร็จแล้ว เป็นประโยชน์เสร็จแล้ว เขาเรียกว่าได้รับ ได้มีประโยชน์ทั้งฝ่ายศิลปศาสตร์และฝ่ายธรรมศาสตร์เสร็จแล้ว นั่นน่ะเป็นบัณฑิต ทีนี้เวลานี้เขาให้ปริญญาบัณฑิต อะไร บัณฑิต มหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิตโดยเรียนจบศิลปศาสตร์ สะเก็ดใดสะเก็ดหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมดของศิลปศาสตร์ แม้จะเป็นมหาบัณฑิต ดุษฎีบัณฑิต ล้วนเป็นเรื่องศิลปศาสตร์ทั้งนั้นไม่มีเรื่องธรรมศาสตร์ ไม่มีเรื่องจิตไม่มีเรื่องวิญญาณไม่มีเรื่องที่ว่าฆ่ากิเลสได้อย่างไร เพราะเขาเอาคำว่าบัณฑิตนี้มาใช้อย่างโลกอย่างโลกอย่างวัตถุอย่างเนื้อหนังเสียแล้ว แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้คำนี้ในลักษณะนั้น คำว่าบัณฑิตของพระพุทธเจ้าหมายความว่ามันฉลาดในประโยชน์ทั้งสอง คือทั้งประโยชน์ทางเนื้อหนังร่างกาย และประโยชน์ทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ เขาจึงขึ้นต้นว่า อัปปมัตโต อุโภ อัตเถ คนไม่ประมาทถือเอาได้ซึ่งประโยชน์ทั้งสอง อุโภ แปลว่า ทั้งสอง อันมีประโยชน์ถึงที่สุดทั้งฝ่ายศิลปศาสตร์และฝ่ายธรรมศาสตร์ หมายความว่าทั้งฝ่ายกายและฝ่ายใจนี่คือบัณฑิต แล้วจะเอา เอาช่องไหนไปตกเหวคุณคิดดู มันก็ถูกหมดทั้งร่างกายและจิตใจมันไม่มีโอกาสจะตกเหว
นี่พุทธภาษิต ข้อนี้ว่าให้มีหลักเหมือนกับที่เรากำลังพูดว่า ให้ชีวิตนี้มันเทียมด้วยควาย ๒ ตัว ทั้งเรื่องโลกและเรื่องธรรม ทั้งเรื่องกายและทั้งเรื่องใจ ทั้งเรื่องศิลปศาสตร์และเรื่องธรรมศาสตร์ พูดง่ายๆ ว่าชีวิตหรือโลกทั้งโลกก็ตามมันเทียมด้วยควาย ๒ ตัวแล้วมันก็ปลอดภัย เอาละ ก็ไม่มีอะไรสำหรับจะพูดอีกแล้ว แล้วมันก็สรุปความว่าโลกนี้มันกำลังจะลงเหว ลงไปในความมืดยิ่งขึ้นทุกที เพราะหันไปบูชาเนื้อหนังตามก้นพวกฝรั่งที่รู้แต่เรื่องเทคโนโลยีทางวัตถุ ไม่ประสีประสาต่อเทคโนโลยีทางร่างกาย ก็เลยได้ควายเปลี่ยวที่บ้าที่คลั่งที่เดือดลากรถลากเกวียนลากไถไปฉิบหาย ที่มีความทนทรมานนิรันดร ผิดหลักของพระพุทธเจ้า ที่ว่าผู้เป็นบัณฑิตต้องถือเอาประโยชน์ได้ทั้งสอง สองส่วน ทั้งส่วนกายและส่วนจิต ขอให้ทุกคนถือว่าให้ชีวิตนี้เทียมด้วยควาย ๒ ตัว
ทีนี้พูดว่าลูกคนเมืองตำปรื้อคือพวกคุณที่อยู่ที่เมืองตำปรื้อนี้ เมื่อได้ยินได้ฟังชนิดนี้แล้ว จะสมัครตามก้นเขาไปลงเหวก็ตามใจคุณ เป็นสิทธิของคุณเป็นเสรีภาพสมัยประชาธิปไตย แต่ผมพูดแล้วพูดเล่าพูดอีกว่าให้นึกถึงปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว อย่าให้เสียเกียรติเสียชื่อของบรรพบุรุษของเมืองตำปรื้อ ที่เจริญด้วยพุทธศาสนามาตั้งพันกว่าปี นี่บอกให้รู้ ว่าธรรมะ หรือศาสนา มีไว้สำหรับโลกเพื่ออย่าให้กลิ้งลงไปในเหว พอกันที