แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
.........การบรรยายในวันนี้ก็ยังอยากจะพูดเกี่ยวกับการบวชต่อไปอีก แต่ว่าไม่ใช่การบวชสำหรับพระบวชใหม่ หรือจะพูดอย่างกว้างๆ ก็เพื่อให้พระบวชเก่าก็จะต้องสนใจหรือใช้เป็นประโยชน์ได้
โดยจะพูดโดยหัวข้อว่า จะเป็น พระ ให้มากที่สุดเอาไว้ได้อย่างไร? ซึ่งพระเก่าก็มักจะลืม และพระใหม่ก็ยังไม่ได้เคยฟังในบางส่วนที่ควรจะได้ฟัง สำหรับเรื่องที่จะไปหาอ่านดูได้จากหนังสือ ก็ไม่จำเป็นที่จะเอามาพูดก็ได้ แต่ว่าเรื่องเบ็ดเตล็ดออกไปจากนั้นมันต้องพูด เมื่อพูด...เมื่อมีหัวข้อขึ้นมาว่า จะเป็น พระ กันให้ได้มากอย่างไร? ก็คิดนึกเอาเองบ้างก็ได้ แต่ผมจะพูดโดยหัวข้อที่ว่าธรรมดาสามัญ ที่ไม่ค่อยจะคิดนึกกัน แล้วบางทียังจะเห็นว่าไม่สำคัญด้วยซ้ำไป โดยหลักใหญ่ๆเราก็ต้องพูดว่า หมดจากความเป็นฆราวาส แล้วก็เป็น พระ ให้ถึงที่สุด นี่คือ ความหมดจากการเป็น ฆราวาส ให้ได้มากที่สุดเท่าไหร่ก็จะเป็น พระ ให้ได้มากที่สุดด้วย ที่ว่าหมดจากความเป็น ฆราวาส นี้โดยส่วนใหญ่ก็มองเห็นกันได้อีกแค่นั้น แต่เดี๋ยวนี้เมื่อเป็น พระ เข้าแล้วนี้ยังมีข้อเบ็ดเตล็ดปลีกย่อย แต่ว่าอาจจะเอามาใช้ให้เป็นหลักปฏิบัติได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้เราก็ไม่กินอยู่ นุ่งห่ม พูดจา กริยาอะไรอย่าง ฆราวาส นะ แต่มันก็ยังมีอะไรติดมา เช่นว่า การเป็นอยู่ของ พระ อย่างนี้ ถ้าใครจะทำได้มากเท่าไหร่ ก็จะต้องไม่มีการใช้เงินหรือใช้ทรัพย์สมบัติหรือใช้เงินมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พวกที่จะบวชชั่วคราวควรจะสนใจให้มาก เช่น ในระหว่างที่บวชอยู่นี่จะลองถือหลักในข้อที่ว่า จะไม่ใช้เงิน พยายามเป็น-อยู่ให้เหมือนกับ พระ ในสิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้เงินนั้นมันก็มีเหมือนกัน แต่ว่าเรามักจะวาดไว้กว้างเกินไป เพราะไม่ได้ตั้งข้อสังเกต-ระวังให้มากในเรื่องนี้ ก็เลยไม่มองเห็นในแง่ที่ว่าไอ้ที่เราอาจจะงดเสีย-ไม่ใช้นี้มีมาก เดี๋ยวนี้มีข้อขลุกขลักขัดแย้งกันว่า บวชใหม่ระยะสั้นมีนั่น มีนี่ จะต้องทำ จะต้องใช้ มันก็เลยต้องใช้เงิน แต่ถ้าเตรียมให้ดีช่วงเวลาที่เหลือนี้ลองอธิษฐานการไม่ใช้เงิน หรือว่าใช้ก็ให้มันถึงขนาดที่ว่าเรื่องเป็น-เรื่องตาย นี่ เพราะว่า ฆราวาส ต้องใช้เงินนั้นนี่ พอเป็น พระ เข้าก็เลยตรงกันข้าม พยายามจะมีชีวิตที่ไม่ต้องใช้เงิน ไปคิดนึกให้มาก ไปพยายามให้มาก มันจะลดลงได้มาก คิดไปถึงครั้งพุทธกาลเลย ไม่รู้จักเงิน แล้วนักบวชที่แท้ของเขาก็ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะไม่ใช่ พระขอทาน เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเยอะในอินเดีย พระ นักบวชที่เขาไม่ใช้เงิน ไม่มีเงินและไม่ใช้เงินจริงๆ ไม่ใช่นักบวชในพุทธศาสนา ภิกษุไทยเราไปในอินเดียก็ไปใช้เงิน ยิ่งใช้อย่างใช้เงินเป็นเบี้ย ดูว่าประเทศไทยจะรวยกว่าประเทศไหนๆในบรรดาที่ไปอยู่กันในอินเดีย แต่ว่าพระที่แท้จริงแต่เดิมของเขาแต่เดิมนั้นจะไม่รู้จักเงิน จะไม่ใช้เงิน มันเป็น ศีล เป็นระเบียบ เป็นวินัย เป็นธรรมเนียม ทั้งภิกษุในพุทธศาสนาก็แล้ว ทั้งในพุทธกาล แล้วก็เรื่อยมาจนถึงสมัยที่มันไม่เจริญก็ยังไม่มีการใช้เงิน แล้วก็ไม่มีเงินจะใช้ด้วย มันประกอบกัน ทุกอย่างทำได้โดยไม่ต้องใช้เงิน การเล่าเรียน-บอกกันด้วยปาก เมื่อมันจริงมันก็มีความรู้ แม้จะต้องมีขีดเขียน มีอ่านก็ใช้เวลากลางวัน กลางคืนไม่มีตะเกียง นี่ มันเป็นอย่างนั้น ลองอยู่อย่างนั้นดูบ้าง ผมเคยเป็นปีๆ หรือว่าลองอยู่อย่างให้มันเป็น พระ ในความหมายที่ถูกต้องให้มากที่สุด เมื่อพูดถึงตะเกียงที่จะเรียนหนังสือนี้พระ-เณรเดี๋ยวนี้เขาจำเป็นที่สุด ต้องมีเงินซื้อน้ำมัน ซื้อตะเกียง พระ สมัยอุปัชฌาย์อาจารย์ของรุ่นผมนี่ก็ยังมี ท่านเล่าให้ฟัง เรียนหนังสือด้วยกองขยะ คือ กวาดใบไม้มารวมๆ ไว้ตั้งแต่กลางวัน พอกลางคืนก็จุดกองขยะเพื่อเรียนหนังสือที่ตรงนั้น เป่าวูบก็อ่านสักทีหนึ่งแล้วก็นั่งคิด นั่งนึก นั่งท่อง เป่าวูบไปไฟลุกทีหนึ่ง ก็รีบดูทีหนึ่ง นี่ ก็เป็นของธรรมดา เพราะเงินไม่มีจะใช้หรือไม่อยากจะใช้เงิน หรือว่ามันขลังขึ้นมายังไงก็ตามใจ มันก็มีความเป็น พระ มากไม่ต้องสงสัย ไปคิดดู ยิ่งใช้เงินน้อยเท่าไหร่ยิ่งเป็น พระ มากเท่านั้น ยิ่งไม่ใช้เงินเลยยิ่งเป็น พระ มากที่สุดในด้านนี้ ลองไปปรับปรุงขยับขยายดู ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ที่จะทำได้ มันจะได้ชิมดู-รู้รสทุกอย่างทุกประการ เมื่อเราไม่บวชเราก็ใช้เงินกันว่ามันเป็นเครื่องอำนวยอะไรทุกอย่าง พอบวชเข้ามาเราจะไม่ใช้ มันก็หาทางออกได้ นี่ ยกตัวอย่างๆนี้ ก็ไปหาหลักเกณฑ์สรุปเอาเองว่า มันจะทำได้อย่างไร? สักกี่อย่าง? อธิษฐานว่าจะไม่ใช้เงิน ยิ่งไม่ใช้เงินยิ่งเป็น พระ มาก เมื่อไม่ใช้มันก็หมายความว่าไม่ต้องมี-เป็นผู้สละแล้ว ออกบวชแล้วก็ไม่มี ไอ้ทำอย่างนี้มันต้องทำถึงความหมายของมันด้วยจิตใจจริงๆ แล้วก็จะรู้สึกอย่างไร? รู้สึกสบายหรือรู้สึกอย่างไร? เราอ่อนแอกันก็เพราะมีเงินใช้
ทีนี้ ก็ข้อถัดไปก็ว่าอยากจะพูดว่า ไม่มีของ ไม่มีหรือไม่ใช้ของอย่าง ฆราวาส แต่ว่าจะมี หรือใช้ของกับแบบ อนาคาริก คือ แบบนักบวช เช่น เรียกว่าเราใช้เครื่องนุ่งห่ม-จีวรแบบนี้ แต่ว่าบาตร จีวร แบบนี้ ถึงของอื่นๆ มันก็จะต้องมีหลักอย่างเดียวกัน ของที่มันสวย ของที่มันแพง ของที่มันหรู เราจะต้องไม่มี ยิ่งไม่มีเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็น พระ มากเท่านั้น นี่ ขอให้ลองดู ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ตลอดชีวิต แต่ผมก็เคยลองเป็นระยะ ระยะยาว รู้สึกว่ามันดีกว่ากันมาก คือ มันสบายกันมาก เราจะไม่ต้องมีอะไรถ้าเป็นอยู่อย่าง พระ จริงๆ เกือบจะไม่ต้องมีอะไร มีดินสอ ปากกาสำหรับเขียนหนังสือนี้มันก็ยังมากแล้ว ยังมีไฟฉาย ยังมีอะไร มันก็ยิ่งมากขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เคยมีสำหรับ พระ สำหรับ นักบวช แต่กาลก่อน และเดี๋ยวนี้ก็ยกเว้นหรือว่าผ่อนผันให้ตามสมควร แล้วก็ดูอย่าให้มันเกินความจำเป็น เรียกว่าอย่าเข้าข้างตัว ไม่จำเป็นก็ต้องไม่จำเป็นจริงๆ เดี๋ยวจะแก้ตัวให้ตัวเอง ไอ้หลักการเหล่านี้มันก็สูญเสียไป ไอ้ของที่ไม่ใช้ ไม่ต้องมี ไม่ต้องใช้โดยแน่นอนนั้นมีอีกแยะที่ใช้กันอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ลองหันไปใช้อย่างครั้งพุทธกาลดูบ้าง เช่น เครื่องชำระฟันอย่างนี้มันก็ไม่ต้องมี แปรงถูฟันหรือยาถูฟันครั้งพุทธกาลเขาก็ใช้อะไร ใช้เคี้ยวกิ่งไม้สดเล็กๆชนิดที่มันเอามาใช้เคี้ยวได้ แทบทุกชนิดนั้นใช้ได้ แล้วพูดถึงประโยชน์มันมีมากมาย คือ จะได้รู้เรื่องใน วินัย ที่เกี่ยวกับไม้สีฟัน ก็ได้รู้ของจริงเกี่ยวกับไม้สีฟันของ พระ และยังจะรู้ประโยชน์อานิสงส์อันแท้จริงของมันด้วย คนที่เล่าเรียนมาอาจจะไม่เชื่อ ไอ้ไม้ถูฟันอย่างครั้งพุทธกาลนั้นไปอ่านดูใน วินัย ในเรื่องราวใน วินัย เขาพรรณนาอานิสงส์ไว้หลายอย่างหลายประการ เช่น ฟันทน เช่น ย่อยอาหารดี เช่น ขับเสลด อะไรก็มีหลายอย่างผมก็จำไม่ได้แล้ว แต่รู้สึกว่ามันจริงทั้งนั้นเลย เดี๋ยวนี้ที่อินเดียก็ยังใช้กันอยู่ทั่วไป แม้แต่ชาวบ้านก็ใช้ ใช้วิธีกาชำระฟันอย่าง พระ ครั้งพุทธกาล ไม้เท่าๆดินสอ ไม้สด ตัดยาวสักคืบหนึ่งก็เคี้ยวเข้ามาให้ยุ่ยเป็นขน ถูฟันไปพลางเคี้ยวให้ยุ่ยต่อไปอีก ไม้ที่ดีที่สุด เช่น ไม้สะเดา แล้วก็ไม้ข่อย ไม้ข่อยดีที่สุดเท่าที่ลองมาแล้ว ฟันก็ขาว ขาวใสเหมือนกับฟันแมว ฟันนี้ คอยดูถ้าใช้ไม้ข่อยเคี้ยวอยู่เป็นประจำ ฟันจะขาวใสเหมือนกับฟันแมว นี่เราใช้ยาถูฟันหอมๆ ใช้แปรงอย่างนั้น อย่างนี้ บ้างใช้แปรงไฟฟ้าเดี๋ยวนี้มีคนซื้อมาให้ผม นึกแล้วก็น่าหัว หัวก็ไม่รู้จะหัวกับใคร เขาจะโกรธเอา เอาละอย่าคิดอะไรมาก คิดว่าลองมันให้รู้เรื่องต่างๆที่มันเป็นเรื่องในพระบาลี แล้วก็เป็น พระ กันอย่างไร? เมื่อเวลาอ่าน กิจวัตร - วัตร ต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งของเครื่องใช้นี้ สังเกตให้มาก จับใจความให้ได้ ไปพิจารณาดูเองว่า สิ่งไรควรจะตัดออกไปได้? สมัยปู่-ย่า ตา-ยาย นี้ก็ยังไม่มีอะไรมากก็ยังคล้ายครั้งพุทธกาลอยู่มาก นี่ มีใช้ของอย่าง อนาคาริก ใช้
เดี๋ยวนี้เรามันเคยชินมาตั้งแต่เล็ก อย่างสบู่ถูตัวนี่ต้องมี ไม่มีนี่มันระคายรำคาญ นี่มันก็จริง แต่ก็ใช้อย่างที่มันพอแก้ปัญหา ไม่ต้องให้มันหอมหรือให้มันเป็นอะไรมากนัก ในบาลีเขามีพูดถึงว่า ในโรงอาบน้ำของวัดนั้นมีกองไฟติดไว้ด้วย แล้วก็มีรางที่เขาใส่ของหมักนิดหนึ่ง เป็นดินเป็นขี้เถ้าเป็นอะไรแล้ว แล้วจะมีไม้ยาอะไรบ้างก็ไม่ทราบ มันหมักไว้เป็นของเละๆ สำหรับเอามาถูตัว ถูๆๆๆ ตัวให้ทั่ว แล้วก็ล้างน้ำเหมือนกับเราใช้สบู่ มันก็มีผลเหมือนกัน มีผล ผมเคยลองแล้วมันมีผล ไอ้ดินนั้นมันเข้าไปในรูขน และขี้เถ้านี่มันก็มีผลอย่างเดียวกันกับสบู่ มันเป็นธาตุอย่างเดียวกับสบู่ เป็นด่าง แล้วก็ยังมียางไม้อะไรบางชนิด เอามาไล้ๆๆๆ เหมือนกับไล้โคลน เหมือนเอาโคลนมาทาตัว แล้วไปล้างน้ำให้สะอาด ล้างน้ำ ไฟนั้นมีไว้สำหรับย่าง รม ให้เหงื่อออก เมื่อต้องการให้เหงื่อออกเขาจึงมาอาบน้ำอย่างว่า วิธีอย่างว่า นี่ ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ก็ไปเอาดินเหนียวในลำธารถูดู เอาดินเหนียวมาไล้ตัวถูๆๆ พอทั่วดี รอนิดหน่อยแล้วก็ไปล้างน้ำ มันก็มีผล มีผลเหมือนกับที่ว่าเราไม่มีสบู่จะใช้แล้วมันแก้ปัญหาได้อย่างนั้น มันช่วยดูดซับเอาเหงื่อหรือน้ำมันในเหงื่อออกไปได้มาก ผิดกันมากที่ว่าจะไม่ทำอย่างนี้ ลำพังน้ำเหงื่อมันไม่หลุดออกไปจากผิวหนังง่ายนัก ถ้าใช้ดินเหนียวช่วย ดินโคลนช่วยมันออกไปได้เกือบหมด นี่ ลองไปนึกอย่างนี้ดูบ้าง ที่เรารู้สึกว่าจำเป็น สบู่ถูตัว ยาถูฟัน ถ่านไฟฉายอะไรนี้ ไปแก้ไขเสียให้มันเป็น พระ มากขึ้น คือ จะเว้นเลยหรือไม่เว้นเลยก็สุดแท้ผมก็ไม่ได้บอกอย่างนั้น แต่ว่าแก้ไขให้เป็น พระ มากขึ้น
ยารักษาโลกในบาลีนั้นมี มูตร คูถ เถ้า ดิน ( นาทีที่ 22.33น ) อุจาระ ปัสสาวะ ขี้เถ้าและ ดิน / อุจจาระ ปัสสาวะนี่ก็เกี่ยวกับของสัตว์มากกว่าคน เช่น วัว แล้ว ขี้เถ้า แล้วก็ ดิน ธรรมดา เป็นของไม่ต้องประเคน ท้องอืดกิน ดินบางชนิดเข้าไปมันก็หาย กินถ่านหินเข้าไปมันก็หายมันอยู่ในพวกขี้เถ้า ไอ้ปัสสาวะนี้คนสมัยนี้คงไม่เชื่อ มันเป็นของที่ออกมาจากสัตว์หรือคนก็ตามมันระงับความร้อน กินเข้าไปแล้วมันระงับความร้อน คนเป็นไข้นี่กินน้ำปัสสาวะเข้าไประงับความร้อนได้ พวกที่นิยมเป็น ยาเสียง ก็เอาปัสสาวะเหมือนกัน เขาเอาหมักหรือทำอย่างไรไม่ทราบให้เสียงดีให้เส้นเสียงในคอมันดี น้ำปัสสาวะไปผสมกับยาสมุนไพรแล้วผึ่งแดดไว้หลายๆ วันนี้ มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าเกลียด สิ่งที่ไม่เหม็นอะไร ไม่น่าเกลียด กินได้ นี่ธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ก็มองข้ามกันหมดแล้ว แต่มันอาจจะดีที่สุดพอเหมาะที่สุดสำหรับความเป็น พระ เขายังใช้กันอยู่มากที่เขาอยากจะใช้ หรืออยากจะเป็นอยู่ให้ตรงกับครั้งพุทธกาลยังมีอยู่อีกมาก พระตามป่า ตามถ้ำที่ไม่อยากจะใช้ยาสมัยใหม่ แล้วที่เรียกว่า เครื่องใช้-ไม้สอย กระทั่งหยูกยาก็ใช้เป็นครั้งๆ ในครั้งพุทธกาลนี้ อย่าง จีวรนี้มันดีมากเกินไป ครั้งพุทธกาลเขาใช้จีวรที่ทำด้วยผ้าที่ทำด้วยมือ มันหนาและมันหยาบและมันหนักแล้วถูเนื้อ เพราะมันหยาบเส้นมันหยาบและแข็ง จะได้ใช้ผ้าอย่างปัจจุบันนี้สักทีดูจะเป็นของวิเศษ ประเสริฐเป็นอดิเรก (นาทีที่ 25.23น) อย่างยิ่ง พระทั้งหลายจะใช้ผ้าที่เป็นผ้าฝ้ายที่ทำด้วยมือตามธรรมชาติ ที่ชาวบ้านเขาทำกันอยู่ ที่เส้นหนา หนาแล้วคม อาจารย์ของผมเคยใช้ บางเวลาท่านก็เล่าให้ฟัง พี่สาวทำให้ พอห่มจีวรเสร็จแล้วก็เอา สังฆาฏิ มาพาดเข้าตามธรรมดานี่เอง - เสมอหูพอดี ท่านบอก นั่นแหละท่านก็ใช้อย่างนั้น มันทั้งหนักทั้งรำคาญทั้งอะไรหลายๆอย่าง เขาก็อยู่มากันได้ ทำกันได้ มีความอดทน มีอะไรมาก ตรงกับครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าท่านมีจีวรพิเศษ จีวรทำดีหน่อยเนื้อมันบางหน่อย แล้วก็เมื่อวันคราวหนึ่งให้ประทานไปแก่ พระมหากัสสป ในฐานะที่โปรดปรานอะไรขึ้นมาว่าความสันโดษดี อะไรดี
นี่ สรุปแล้วว่าจะเป็น พระ ให้มากได้อย่างไร? ในข้อนี้ก็โดยใช้ของที่มันตรงตามแบบของ บรรพชิต ของ นักบวช อย่างน้อยก็เพื่อรู้เรื่อง..อย่างดีก็ให้รู้ผลอันแท้จริงของมันว่า จิตใจของมันผู้นั้นเป็นอย่างไร จะรู้ความเป็น พระ กันได้จริงๆ ก็ตอนนี้ละ ถ้าไม่ลองมันก็ไม่รู้ว่าจิตใจของความเป็น พระ มันจะมีอดทน สันโดษ มากน้อย บังคับอะไรอย่างนี้ได้อย่างไร
ทีนี้ ข้อต่อไปก็อยากจะพูด เรื่องอย่าเห็นแก่ความสุข เพราะว่า ฆราวาส เราตามสบาย ตามใจ ตามสบายจนชินเป็นนิสัย จะเอาความสุขเข้าไว้ไม่ว่าอะไร จะนอน-ที่นอนหรือหมอนหรืออะไร มันก็ต้องการความสุข แม้แต่เรื่องนอนก็ยังเกี่ยวกับที่สำหรับนอน เวลาที่จะนอน จะนอนให้มากเข้าไว้ แสวงหาความสุขจากการกิน การบริโภค การนอนให้มากเข้าไว้ ทีนี้ ถ้าอยากจะเป็น พระ ก็ต้องลดลงให้น้อยเข้าไว้ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็น พระ มากขึ้น มีบาลีพระพุทธภาษิตขอร้องให้ใช้หมอนไม้ ใช้ท่อนไม้แทนหมอน เพื่อว่าจะเป็นผู้ไม่เห็นแก่การนอน เห็นความสุขจากการนอนหรือนอนมาก นี่เป็นตัวอย่าง เรื่องอื่นก็เหมือนกัน คือมันเอาที่ความหมายว่าไอ้หมอนไม้นี้มันแข็งกระด้าง มันก็นอนมากเกินจำเป็นไม่ได้ นี่เรื่องเสื่อเรื่องอะไรนี้ก็เหมือนกันแหละ ให้มันไปในรูปนั้น ให้มีความหมายอย่างนั้น เพื่อไม่แสวงหาความสุขจากการกิน การนอน ให้นอนเท่าที่จำเป็น สำหรับนักบวชดูจะเป็นบัญญัติแต่งตั้งกันไว้ก่อนพุทธกาล ครั้งพุทธกาลที่เรียกว่า สีหไสยา นอนในท่าบังคับตัวเอง นอนตะแคงข้างขวาอย่างพระพุทธรูปนอนนั่นแหละ พระนอนที่เขาทำตามวัดต่างๆก็คือแบบนั้น แล้วก็นอนเพียง ๑ ใน ๓ ของคืน คือ ๔ ชั่วโมง นอน ๔ ชั่วโมง ถือว่าพอดี คนเดี๋ยวนี้จะค้าน จะคัดค้านว่าจะไม่พอดี จะไม่สบาย ก็ไปลองดู ถ้าใจคอปกติและอยู่อย่าง พระ อย่างที่ว่า ไม่กินมากไม่อะไรมาก แล้วมันก็มีการทำจิตใจถูกต้องตามวิธีของ พระ นี้ นอน ๔ ชั่วโมงนี้พอดีแน่ พอดี-พอสบาย พอดี-พอสดชื่นแข็งแรง แต่เดี๋ยวนี้เขาว่ากันอย่างอื่น พวกแพทย์พวกอะไรนี้เขาว่า เขารู้กันเรื่องนี้ เขาพูดไว้เป็นอย่างอื่น ต้องนอนกัน ๘ ชั่วโมงอะไรนี้ นี่ ระหว่างที่เป็น พระ ลองดู แต่ต้องเป็นอยู่อย่าง พระ ทั้งตลอดวัน มีใจคอที่มันปกติ สงบ ระงับ ใช้อะไรน้อย คือ ใช้กำลังทางกาย-ทางจิตอะไรนี่ให้น้อย แล้วเมื่อจิตมันไม่ประกอบอยู่ใน โลภะโทสะ โมหะ นั้นมันเป็นการพักผ่อนทางด้านลึกด้านวิญญาณอยู่มาก เพราะฉะนั้น การพักผ่อนทางร่างกายก็ไม่ต้องการแล้ว นี่เรียกว่าจะเป็น พระ มากขึ้น ถ้าตัดการแสวงหาความสุขจากการกิน กานนอน การอะไรต่างๆออกไปได้เท่าไหร่ เรื่องสวดมนต์ ภาวนา เล่าเรียนธรรมะบาลีนั้นมันก็ดีไปอย่างอื่น แต่มันจะไม่ได้ช่วยให้เป็น พระ มากเหมือนกับที่ทำอย่างที่ว่านี้ เพื่อที่จะเป็น พระ ได้มากก็อยู่ที่มัน ละ อะไรได้มาก
ทีนี้ ข้อถัดไปมันคู่กันคือว่าเมื่อจะถืออย่างนี้แล้วมันก็ต้อง เสียสละ เสียสละไอ้ที่เราเคยเสพติดนั้น หมายถึง การปล่อยตามใจ ตามอารมณ์ การเล่น การหัว การอะไรต่างๆ การคลุกคลีกันเป็นหมู่ การหัวเราะ หมายความว่า การปล่อยตามสบายนั้น คือ ความไม่เป็นพระ เพราะว่าไม่ได้ควบคุม ไม่ได้บังคับ ไม่ได้สำรวม ก็เลยต้อง เสียสละ ให้มันหมดเท่าที่จะ เสียสละ ได้ ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ไม่น่าดูอย่างอื่น ไอ้เรื่องเสพติดร้ายแรง เรื่องบุหรี่ เรื่องอะไรที่มันเสพติดแบบนี้ นี่มันร้ายยิ่งขึ้นไปอีก มันก็ไม่มีละ แต่ทีนี้ แม้แต่เรื่องแต่เพียงว่าชอบคุยกัน ชอบหัวเราะกัน ชอบคลุกคลีกันเป็นหมู่ ชอบสรวนเส เฮฮาเหล่านี้ต้องสละแล้ว ซึ่งมันก็สละยาก แต่อยากเป็น พระ ให้มากต้อง สละ สิ่งเหล่านี้ ยิ่งในพุทธศาสนานี้ก็ยิ่งต้องการอย่างนี้มาก จะไม่มีเสียงสรวนเสเฮฮาหัวเราะลั่นได้ยินแต่ไกล ไปค้นหารายละเอียดเอาเอง นี่บอกให้แต่ความหมาย ที่มันมีความหมายว่าเป็นเรื่องเล่น เรื่องสรวนเสเฮฮา ปล่อยตามอารมณ์ มีมากเท่าไรก็ว่าเป็น พระ น้อยลงเท่านั้น สละกันได้เท่าไรก็มีความเป็น พระ มากขึ้นเท่านั้น สรวนเส เฮฮาตามสบายใจเป็นเรื่องของ ฆราวาส พอเป็น พระ มันก็เลยตรงกันข้าม
ทีนี้ ถัดไปอีกก็อยากจะสรุปเป็นหัวข้อว่า กินอยู่ให้มันต่ำที่สุด ให้มีการประพฤติกระทำที่มันสูงที่สุด ไม่ใช่ของฝรั่งใหม่ๆ ที่พูดกันเรื่อง High Living / Living High Living ( นาทีที่ 37.11น ) เป็นของที่มีอยู่ในบาลี ในเรื่องราวของทางศาสนามาแต่ตั้งพันๆปีแล้ว การกิน-การอยู่มันต่ำเหลือประมาณเหมือนที่เราพูดกัน สำหรับพวกเราที่นี่ กินข้าวจานแมว-อาบน้ำในคู นี้มีความหมายให้กินให้อยู่ให้มันต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้ากินอยู่ดีมันก็ต้องมีอาหารที่อะไรเป็นลักษณะ คหบดี ไป ทีนี้ กินอาหารชนิดที่เรียกว่า ต่ำที่สุด คือ ตามที่ชาวบ้านที่ยากจนเขาจะมีให้ เราเป็นเปรตชนิดหนึ่งเป็นอยู่ด้วยสิ่งที่ผู้อื่นมีให้ เรื่องในพุทธประวัติประเภทวรรณคดีประเภทนั้น พรรณนาตอนที่พระพุทธเจ้าออกผนวชแล้วอาหารมื้อแรกถึงจะอาเจียนออกมา เพราะไปได้มาจากบ้านคนยากจนเข็ญใจหรือชาวบ้านร้านตลาดตามที่เขาจะใส่ลงไปในบาตรนี้ อาหารมื้อก่อนโน้นมันเป็นเรื่องในวังหลวงเดี๋ยวนี้มันมาเป็นคนขอทาน มันคล้ายๆจะอาเจียนออกมาต้องปรับตัวเราเอง ต้องสอนตัวเองกันมากเหมือนกันจึงจะฉันได้ นี่ก็เปลี่ยนมาอยู่อย่างเรียกว่า กินอยู่อย่างต่ำโดยกะทันหัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมี เพราะว่าวัดทั้งหลายก็มีอาหารการกินไม่ค่อยผิดจากที่บ้าน แต่ว่าที่นี่เราอยากให้มันผิด ให้มันง่ายเท่าที่มันจะง่ายได้ น้ำในคู มันมีความหมายไกลออกไป มันไม่ใช่เพราะว่าอาบน้ำตามธรรมชาติหรือลำธาร คือ หมายความมีหลักมันต้อง ง่าย ไปหมด ไม่ต้องมีห้องน้ำไม่ต้องมี อาบน้ำก็ต้องไปอาบที่ลำธาร แล้วส้วมก็ต้องไปที่ส้วมที่ใช้รวมกัน ไม่ต้องมีส้วมในห้องนอนหรือว่าใกล้ห้องนอน ข้อนี้มันเนื่องกันหมดโดยจิตใจ อะไรสะดวกมันก็มีความประมาทมากขึ้น ถ้าไม่สะดวกมันก็ต้องระมัดระวังมากขึ้น ผมก็เคยนึกได้รู้สึกว่าไม่กล้าจะฉันอะไรตอนหัวค่ำให้มันโลดโผนไปนัก เช่น มะขามป้อม อะไรต่างๆ เพราะว่าส้วมมันอยู่ไกลมากมันอยู่ที่มุมวัดโน้น แล้วมันไปทางป่าช้าด้วย ก็เลยไม่อยากจะไปส้วมดึกๆ มันก็เลยเป็นเหตุให้ต้องระวังเรื่องฉัน เรื่องอยู่ เรื่องท้อง เรื่องไส้ ก็ดีเหมือนกัน แล้วการที่มีห้องน้ำ-ห้องส้วมไว้ไกลๆนั้น มันช่วยให้เป็นธรรมชาติ อยู่อย่างธรรมชาติให้เป็น พระ มากขึ้น เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องใช้ เรื่องสอยอะไรให้มัน ต่ำ ในระดับ ต่ำ แต่ไม่ใช่ เลว คำว่า ต่ำ ไม่ได้หมายความว่า เลว นี่ การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจนี่ให้มัน สูงสุด ที่จะสูงได้ แล้วความคิด ความมุ่งหมายอะไรให้มันสูงถึง นิพพาน มีความมุ่งหมายที่จะไป นิพพาน คือ อยู่เหนือโลกเหนือทุกสิ่งที่มันน่าเกลียด น่าชังนี้ เป็นความทุกข์ทรมานนี้ พระ-เณรสมัยนี้ก็ลืมตัวกันหมดในเรื่องนี้ โดยเฉพาะในเมืองหลวงไม่มีใครคิดจะกินอยู่อย่างต่ำ อุตส่าห์ขวนขวายให้มันมีทางกินอยู่อย่างสูง แล้วการกระทำนั้นก็ไม่สูง เพียงแต่เล่าเรียนอะไรเพื่อประโยชน์ในอนาคตเพื่อเป็นอาชีพเท่านั้น เรียนเป็นเปรียญ ๙ ประโยคนี้เพื่อออกไปรับราชการทีเดียวได้ตำแหน่งพอเลี้ยงชีวิต อย่างนี้ไม่สูง เพราะฉะนั้น พระป่าที่ไม่รู้อะไรนี้ทำนองนั้น ไม่รู้กับเขาหรอกแต่ว่ามีจิตใจสูง มีความมุ่งหมายสูง มีการกระทำสูง ในบาลีเขาเขียนไว้ว่า เทวดาไหว้พระพวกนี้ ในหนังสือภาษาบาลีนะไม่ใช่ในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกอาจจะ แต่นี้หมายถึง อรรถกถา นี้มีเยอะแยะไปหมด เทวดาไม่ไหว้ ไม่ไหว้พระที่ทรงพระไตรปิฎก ไปไหว้พระที่ไม่รู้ ปริยัติ แต่มีการบังคับตัวเอง สำรวมดี อย่างนี้ แสดงว่าครั้งโน้นเขาก็รู้เรื่องนี้กัน เขาคิดนึกเรื่องนี้กัน ว่า สูง นั้นมัน สูง ในเรื่องที่เป็นเรื่องของ ธรรมะ คือ กาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว สูง ไม่ใช่มี วิทยฐานะ ไปสอบไล่แล้วได้มาก
ทีนี้ ผมยังเชื่ออยู่เสมอว่าแม้ออกไปเป็นฆราวาสหลักเกณฑ์อันนี้ยังใช้ได้ ถ้ามันกล้า กล้าพอ เป็นอยู่อย่างต่ำ มีการกระทำอย่างสูง ทีนี้ โลกมันจะฉิบหายก็ข้อนี้แหละ ทั้งโลกนั้นมันตะกละในเรื่องของความสุข เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องอะไร แล้วจิตใจมันก็ไม่สูง เพราะมันกินอยู่ สูง จิตใจมันก็เลยหล่นลงมา ต่ำ จิตใจทราม เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องเสียหายอะไร แล้วถึงกับจะแก้ศีลธรรม แก้ไขระบบศีลธรรมกันแล้วเดี๋ยวนี้ ศีล กาเมสุ มิจฺฉาจาร นี้ไม่ต้องมีแล้วในโลกนี้ นี่ ผลของการตามใจตัวเรื่องเนื้อหนัง ปัญหาทั้งโลกมันเกิดขึ้นเพราะการที่เป็นทาสของวัตถุนิยม เพราะว่ามันอยากกินอยู่สูงแล้วใจมันก็ลงต่ำมาเอง ถ้าจะกินอยู่ต่ำใจมันก็ต้องหนีไปทางสูง เป็นเรื่องที่ธรรมชาติบันดาลให้เป็นไป คล้ายๆว่ามันเป็นอย่างนั้นอยู่โดยธรรมชาติ พอเราพ่ายแพ้แก่รสอร่อยจิตใจมันก็ต่ำ เราชนะแก่รสอร่อยจิตใจมันก็สูง มันก็มีเท่านี้เอง ทีนี้ เมื่อยังเป็น พระ อยู่นี่ก็ยังต้องทำให้มันดี ให้มันมากกว่าตอนที่เป็น ฆราวาส เป็นฆราวาสก็ควรทำอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้ไปดูเถิด พระไม่เป็นพระ เณรไม่เป็นเณร นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ทั่วๆไปทั้งประเทศ ไอ้เราก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย เพราะสิ่งต่างๆมันผลักดันเข้ามา ดังนั้น ในขั้นแรกของการบวชนี้พยายามต่อสู้ให้มันถึงจุดที่แท้จริงของความเป็น นักบวช นี้เข้าไว้ แล้วจึงค่อยๆผ่อนมันไปด้วย สติ-สัมปชัญญะ ถ้าครั้งแรกก็ไม่รู้สึกมันเสียเลยนี้มันก็ไปใหญ่แล้ว ไปชนิดที่ไม่มีอะไรแปลกกว่าที่ไม่ได้บวชนี้ ทีนี้ เราพูดกันในข้อที่ว่า อยากจะเป็นพระให้มากที่สุดเข้าไว้นี่จะต้องทำอะไร แล้วก็รีบทำเสียด้วย
ทีนี้ อันสุดท้ายสำหรับวันนี้ก็อยากจะพูดอีกข้อหนึ่งคือว่า ระหว่างบวชนี้ต้องฝึกในลักษณะที่เรียกว่า ประโยชน์ของผู้อื่นนั่นแหละ คือ ประโยชน์ของตัว ให้ถือว่าประโยชน์ของผู้อื่นนั้น คือ ประโยชน์ของเรา เมื่อเราเป็นฆราวาสเราทำอะไรเพื่อตัวเราทั้งนั้น มันก็ชินเป็นนิสัย ตั้งแต่เกิดมาใครๆ ก็ทำเพื่อตัวทั้งนั้น น้อยนักที่จะทำเพื่อผู้อื่น ที่ทำเพื่อผู้อื่นก็เพื่อเอากำไรกลับมาหาตัว ถึงทำเพื่อประเทศชาติก็ทำเพื่อตัว เพราะว่าประเทศชาติของตัว เมื่อประเทศชาติยังอยู่-เราก็อยู่ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เนื้อแท้มันก็ไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น เพราะ มันยึดมั่น-ถือมั่น ถือเกียรติ ถืออะไรไปมากกว่า มันก็เลยเป็นเพื่อตัวเองทั้งนั้น แม้จะพูดว่าเพื่อผู้อื่น หรือเพื่อประเทศชาติในฆราวาสเขาทำกัน ก็คือ เพื่อตัว ทั้งนั้นแหละ เพราะมันมี-ตัว ทีนี้ ถ้าจะให้ เพื่อผู้อื่นจริงๆ มันต้องเอา ตัว นี้ออกไป มันไม่มี ตัว ที่จะเห็นแก่ตัว หรือเพื่อ ตัว มันก็เป็นของผู้อื่น นี่ เป็น พระ นี่เขาเรียกว่า สละญาติ สละทรัพย์สมบัติ สละบ้าน สละเรือน สละอะไรกระทั่งสละ ตัว เพราะหลักของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนั้น มันก็สละ ตัว ยอมสละ ตัว ทุกๆลมหายใจเข้า-ออกนี้ ทีนี้ มันทำไม่ได้ก็ทำบทเรียนให้มันง่ายลงไป ให้คิดเสียว่าเห็นแก่ตัวนี้มันเลวทราม เห็นไม่ได้ หาอุบายไม่ให้เห็นแก่ตัว ให้ถือว่าประโยชน์ที่ทำไปเพื่อผู้อื่นนั้นเป็นประโยชน์ของตัว เมื่อทำเพื่อผู้อื่นเท่าไหร่-ความเห็นแก่ตัวมันก็ลดลงไปเท่านั้น ทำเพื่อผู้อื่นเท่าไหร่-ก็ไม่ทำเพื่อตัวเท่านั้น ให้จิตใจ สูง ขึ้นไปกว่าธรรมดา แล้วนึกแต่จะทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น อย่าให้วกเข้าไปหาตัวเหมือนที่แล้วๆมา นี่ ก็เป็นเรื่องใหม่ ชิมดู ของใหม่ชิมดูความเป็น นักบวช ไอ้ นักบวช ที่พูดว่า เราออกบวชเพื่อ บรรลุนิพพาน อย่างนี้ ฟังดูคล้ายๆ กับว่า เพื่อตัว แต่ถ้ามีความมุ่งหมายอย่างนั้นแล้วไม่มีวันพบกับนิพพานหรอก แต่คำพูดมันก็พูดกันอย่างนั้น เอาตัวรอดกันที อะไรกันที นิพพานนี่มันพูดกันอย่างหลับตา ถ้าจะนิพพานจริง-มันต้องหมด ตัว ต้องไม่มี ตัว จะเอา ตัว ไหนมาเป็น ของตัว หรือ เพื่อตัว หรือเอาตัวรอดอะไร ไม่มี ตัว รอดอยู่อีก เมื่อมี ตัว รอดอยู่อีกมันก็ไม่มีหรอก ไม่มีหลักพระพุทธศาสนาอย่างนั้น จิตรอดได้ จิตหรือใจ คือ จิตนี้มันรอดจากความยึดมั่น-ถือมั่นของตัว ความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันเป็น ตัว ถ้าจิตรอดไปจากความรู้สึกอันนี้ได้นี้ก็ จิตหลุดพ้น ไม่ใช่เอามาเป็น-ตัวกู เอามาเป็น-ของกูกันอีก ไอ้ จิตหลุดพ้น นั้นคือมัน ว่าง ไปจากการมี ตัว แล้วหลักที่ว่าเอาประโยชน์ผู้อื่นมาแทนประโยชน์ตัวหรือมาเป็นประโยชน์ตัวนั้นมันจะช่วยได้มากตั้งแต่ต้นไปเลย ตั้งแต่แรกลงมือปฏิบัตินี้ นี่ ขอให้สังเกตเพียงนิดเดียวนะว่า ที่อยู่ที่บ้านเป็น ฆราวาส ก็ทำ เพื่อตัว ทีนี้ พอมาบวชแล้วก็ลองกลับตรงกันข้ามดู ไอ้ เพื่อตัว นั้นพักไว้ที หรือเหวี่ยงไปเสียทางหนึ่งชั่วคราว แล้วก็มานึกในลักษณะที่มันไม่เป็นตัว มันไม่ใช่เพื่อตัว ที่ว่ามันทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นได้รับ เมื่อไม่ได้ทำเพื่อเรา ผู้อื่นมันก็ได้รับ แล้วมันก็ตรงกับประโยชน์ของผู้อื่นมากขึ้น มากขึ้น แล้วกิเลสของเรามันก็น้อยลง น้อยลง น้อยลง นั่น มันกลายมาประโยชน์ตัวที่ตรงนี้ ประโยชน์ผู้อื่นก็กลายมาเป็นประโยชน์ตัวที่ตรงนี้ เราทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นแล้วกิเลสของเรามันก็น้อยลง ถ้าใครจะทำอะไรเพื่อผู้อื่น เพื่อประเทศชาติ เพื่อสากลโลกอะไรก็ตาม ก็จะต้องทำไปในลักษณะที่ว่า ความเห็นแก่ตัวมันน้อยลง เหมือนที่เรากวาดลานวัด บิณฑบาต กวาดวัด ในเรื่อง กิจวัตร นี้ มันก็กวาดความเห็นแก่ตัวในหัวใจเรา แต่เราไปกวาดวัดให้สะอาด คือว่า ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ ให้วัดสะอาดก็ให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ แล้วเราได้รับเพียงความไม่เห็นแก่ตัวหรือเห็นแก่ตัวลดน้อยลง ลดน้อยลง นี่ เป็นอยู่อย่างนี้ คือว่า เจตนารมณ์ของความเป็น บรรพชิต เป็นนักบวช เป็น ผู้บวช อย่างอื่นไม่สำคัญเท่า เรื่องเรียนบาลี เรื่องเรียนนักธรรมนั้นก็เรียนไปเถอะมันมีประโยชน์อย่างอื่น แต่มันจะไม่ช่วยให้เป็น พระ มากขึ้นได้ เผลอๆมันก็ทำลายความเป็น พระ เสียอีกก็มี แต่มันมีประโยชน์อย่างอื่นในเมื่อเราไม่เผลอ คือ เราจะมีความรู้กว้างขวางลึกซึ้งเพื่อไปทำประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ลึกซึ้งได้เหมือนกัน แต่มันเป็นของอันตราย เพียงเท่านั้นมันไม่พอ ถ้าไอ้ตัวนี้มันไม่เข้าไปช่วยกำกับเอาไว้ด้วย อันนั้นจะเป็นอันตรายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทางที่เป็น พระ คุณธรรมที่เป็น พระ แท้จริงต้องมีมาก และเหนือกว่าการงานที่ไปเล่า ไปเรียน ไปทำอย่างชนิดที่เห็นแก่ตัว เราต้องมีอย่างที่ไม่เห็นแก่ตัวนี่เหนือเข้าไว้มากเข้าไว้เพื่อจะไปควบคุมชนิดที่จะทำให้เห็นแก่ตัว ถ้าไม่อย่างนั้นล้มละลาย นี่หมายถึง พระ ที่จะอยู่ต่อไปข้างหน้า หรือจะอยู่ไปถึงขนาดที่เรียกว่าไม่มีกำหนด จะทำประโยชน์ในศาสนาอะไรนี้ แต่แล้วมันล้มละลายได้เพราะความเป็น พระ มันน้อยลง น้อยลง ถ้าต้องการให้มันมากขึ้น มากขึ้น ผมคิดว่าอย่างที่ผมว่านี้มันจะช่วยได้
ทีนี้ พระบวชใหม่และบวชในระยะสั้นก็ควรจะได้ชิม และเข้าถึงเจตนารมณ์อันนี้หรือชีวิตแบบนี้ให้ชิน แล้วก็มันต้องมีประโยชน์แน่ จะอยู่หรือจะสึกก็ไป เพราะว่ามันเคยรู้รสของความเป็น พระ ที่ถูกต้องและมากเพียงพอ นี่คือข้อที่ว่า จะเป็น พระ ให้มากเข้าไว้ได้โดยวิธีใด? นับตั้งแต่ ต้องไม่มี-ไม่ใช้เงิน ใช้คำสั้นๆ ว่า ไม่ใช้เงิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับหล่อเลี้ยงความต้องการ มีของใช้ ของอย่าง พระ / ไม่แสวงสุขจาก การกิน การนอน นอนให้อร่อย กินให้อร่อย อะไรให้อร่อย ถ้าต้องการอย่างนั้นต้องเสียสละ ต้องยอมเสียสละความเอร็ดอร่อยเหล่านั้น การเล่น การหัว การสนุกสนานคลุกคลี นี่ สมัครอยู่อย่าง ต่ำ หรืออย่าง ปอน ในทางการเป็นอยู่ การกิน-การอยู่ ส่วนการกระทำทางกาย วาจา ใจนั้นให้มันสูงสุด แล้วถือเอาประโยชน์ผู้อื่นเป็นประโยชน์ตัว ไอ้หลักเกณฑ์เหล่านี้มันก็ไม่มีเขียนไว้ชัดๆในหนังสือตำรา แต่มันก็ถอดออกมาจากหลักเกณฑ์ในหนังสือตำราที่มันพูดไว้ แฝง มีความหมายแฝงอยู่ในนั้น กลัวว่าจะมองด้วยตัวเองไม่เห็น แล้วก็เอามาพูดให้ฟัง เพื่อใครอยากจะเป็น พระ ให้มากที่สุดเร็วๆ จะได้เอาไปคิดดู มีทางที่จะเป็นไปได้ แล้ววันนี้ก็พอกันทีแล้ว