แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๑๔ สำหรับพวกเราที่นี่ ล่วงมาถึงเวลาสี่สามสิบนอแล้ว เป็นเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการพูดกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งในวันนี้จะได้พูดโดยหัวข้อว่า ปัญหาที่เผชิญหน้าธรรมทูตในการเผยแผ่ ทำไมจึงพูดเรื่อง ปัญหาที่เผชิญหน้าธรรมทูตในการเผยแผ่ ท่านทั้งหลายก็คงจะพอเดาได้หรือว่าเข้าใจได้ด้วยตนเอง ที่เอามาพูดนี้ก็เพื่อจะให้ระลึกนึกถึงข้อนี้ ให้มากกว่าที่นึกอยู่ตามธรรมดา ให้นึกเพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านั้น ให้นึกเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับปัญหาที่มากมาย ด้วยมองเห็นว่ามันเป็นปัญหาที่มากมาย ยิ่งมองเท่าไรก็ยิ่งเห็นมากมายยิ่งขึ้นทุกที แล้วปัญหาเหล่านี้มันเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับพวกเรา แม้ผมอยู่ที่นี่ไม่ใช่ไปต่างประเทศก็รู้สึกว่ามันมีปัญหาอย่างเดียวกัน เพราะว่าแม้จะอยู่ที่นี่ก็มีงานธรรมทูต หากแต่มิใช่เป็นธรรมทูตที่ต้องเดินไป เป็นธรรมทูตที่อยู่กับที่ ทั้งนี้ด้วยเหตุที่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็พอจะมีเครื่องมือ ที่จะให้สิ่งต่างๆเหล่านั้น ที่เราต้องการจะเผยแผ่นั้นมันเดินไป ไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ซึ่งต้องเดินไปเท่านั้นจึงจะพูดกันได้ เดี๋ยวนี้มันมีเครื่องมือสำหรับที่จะพูดกันได้โดยที่ไม่ต้องเดินไป มันจึงมีธรรมทูตทั้งชนิดที่เดินไปและอยู่กับที่ ล้วนแต่ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่ด้วยกันทั้งนั้น มันยังมีพวกคนอีกจำนวนมากมายที่ต้องใช้วิธีการที่ต้องเดินไปหา และยังมีความจำเป็นอย่างอื่นบังคับอยู่อีก เช่นว่าบางอย่างสอนกันทางหนังสือไม่ได้ สอนทางหนังสือไม่ได้แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงว่าจะใช้วิทยุ ใช้โทรทัศน์หรืออะไรทำนองนั้น มันต้องไปทำกันด้วยบุคคล โดยบุคคลต่อบุคคลอย่างนี้ก็มี ส่วนที่ทำได้โดยไม่ต้องไปถึงก็มี มันจึงเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำให้ดีทั้งสองอย่าง การธรรมทูตเป็นหน้าที่ของพวกเราเหล่าพุทธทาส หรือธรรมทาส หรือสังฆทาส ทุกคนเป็นผู้ปฏิญาณตนว่าเป็นพุทธทาส ธรรมทาส สังฆทาส อยู่ทุกเวลาที่ทำวัตรเย็น โดยเฉพาะ พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ หรือทาสีวะ ธัมมัสสาหัสมิ ทาสีวะ ทาโสวะอะไรก็ตาม ที่เป็นทาสของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นั้นเป็นอย่างไรกัน คำว่าทาสแปลว่ารับใช้ คำว่าทูตก็แปลว่ารับใช้ คำว่าทาสก็รับใช้ทั่วไปไม่ต้องไปไหนก็ได้ คำว่าทูตนี้ตามความหมายของตัวหนังสือก็ต้องไป เพราะคำว่าทูตแปลว่าผู้เดินทางไปทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็มีแง่ที่ให้เขาเข้าใจผิด คำว่าทาสเป็นขี้ข้า แล้วพุทธศาสนาจะต้องการให้คนเป็นขี้ข้าหรืออย่างไร คำว่าทูตหรือทูตะ มันมาจากรากศัพท์บางรากที่ทำให้แปลว่าประทุษร้ายก็ได้ มีคนแกล้งหาแง่ว่าธรรมทูตนั้นแปลว่าผู้ประทุษร้ายธรรมอย่างนี้ก็มี นั่นมันเป็นแง่ที่จะแกล้งหาเรื่องใส่กันเท่านั้นเอง ขี้อิจฉา เดี๋ยวนี้ถือเอาตามความหมายในภาษาไทย ไม่ใช่เอาความหมายในภาษาบาลี คำว่าพุทธทาส ธรรมทาส ก็แปลว่าผู้รับใช้พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ แล้วท่านก็ไม่ต้องการอะไรจากเรา นอกจากช่วยทำให้พระธรรมหรือพระศาสนานี้มันเผยแผ่ออกไปช่วยคนที่กำลังมีความทุกข์ ฉะนั้นงานของพุทธทาโส หรือพุทธทาสี ธรรมทาโส หรือธรรมทาสี สังฆทาโสหรือ สังฆทาสี มันเหมือนเป็นอันเดียวกันข้อเดียวกัน และเพียงข้อเดียวด้วย คือพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการอะไรจากเรา ฟังดูให้ดี นอกจากช่วยทำให้ธรรมวินัยหรือพรหมจรรย์ของท่านแพร่หลายไป ท่านไม่ต้องการให้เราบำรุงบำเรอท่าน เหมือนกับที่เจ้านายเขาต้องการให้พวกทาสพวกคนใช้บำรุงบำเรอ ท่านต้องการให้พวกเราทำประโยชน์แก่ชาวโลก ด้วยการเอาไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมวินัยไปเผยแผ่ให้ถึงคนเหล่านั้น ฉะนั้นธรรมทาสหรือธรรมทาสี อะไรก็ตาม บางพวกก็ต้องเดินทางไป ด้วยความเสียสละ เรียกว่างานธรรมทูต เป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้าเพื่อนำธรรมะไปให้แก่บุคคลผู้ควรจะได้ธรรมะ นี้บทนิยามสำหรับคำว่าธรรมทูต รับใช้พระพุทธองค์ด้วยการนำธรรมะไปสู่บุคคลที่ควรจะได้รับธรรมะ ไม่มีอะไร ถ้ามองดูในแง่ที่ต้องรับใช้อย่างสุดชีวิตจิตใจก็เรียกว่าทาส ถ้ามองในแง่ที่ต้องพาไปก็เรียกว่าทูต ขอให้ถืออุดมคตินี้เป็นหลักก่อน แล้วก็ตั้งใจจะปฎิบัติหน้าที่ของตน ทีนี้ก็พบกันเข้ากับปัญหาและอุปสรรค ทีนี้เราก็จะพูดเรื่องปัญหาที่เผชิญหน้าเราในฐานะเป็นธรรมทูต เรากำลังมีปัญหานี้และจะตายอยู่ด้วยปัญหานี้ ถ้าใครยินดีหรือซื่อตรงต่อหน้าที่นี้ต้องยอมรับในข้อนี้ เรากำลังมีปัญหานี้สุมอยู่บนเราและเราจะตายอยู่ด้วยปัญหานี้ ไม่ยอมสลัดออกไป หมายความว่าเราจะทำหน้าที่นี้จนตาย ไม่ใช่ทำพอให้ได้เล่นตลกกับตัวเอง คนมาสวนโมกข์โดยมากมาเพื่อ เพียงเพื่อเล่นตลกกับตัวเอง ว่าให้ได้มา พอมาแล้วก็บอกตัวเองว่าได้มา บอกเพื่อนว่าได้มา นั้นมันเพียงเพื่อเล่นตลกกับตัวเอง คือมันยังไม่ได้รับสิ่งที่แท้จริง ไม่ได้ขวนขวายไอ้สิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง มาดูเลิกๆลากๆแล้วก็กลับไป ก็ได้พูดว่ามาแล้ว อย่างนี้เรียกว่ามาเล่นตลกกับตัวเอง ไอ้งานธรรมทูตจะทำอย่างนั้นไม่ได้ จะทำเพียงเล่นตลกกับตัวเองนี้ไม่ได้ มันเป็นขบถและทรยศต่อพระพุทธเจ้า ฉะนั้นเรามีปัญหานี้ ยอมรับยอมแบกปัญหานี้ และจะยอมตายกับปัญหานี้ ศึกษาไปพลางเผยแผ่ไปพลาง ส่วนใดรู้แล้วทำได้แล้วส่วนนั้นจะต้องทำการเผยแผ่ แล้วก็ทำอย่างนี้จนตาย ก็แปลว่ายอมตายอยู่ด้วยปัญหานี้หรือหน้าที่อันนี้ ก็ไม่มีเรื่องที่ต้องคิดมากให้เวียนหัว ทีนี้ก็จะได้พูดถึงไอ้หน้าที่ที่มันเป็นตัวปัญหา เรารับหน้าที่ก็คือเรารับเอาปัญหานี้มาแก้ไข ไอ้สิ่งที่เราจะต้องคิดมากที่สุดเกี่ยวกับปัญหานี้ เกี่ยวกับหน้าที่ของพุทธทาสหรือธรรมทูตอะไรก็ตาม ซึ่งทุกคนถือว่าเป็นหน้าที่นี้ ขอให้มองเห็นข้อเท็จจริงที่อย่างยิ่งสักข้อหนึ่งว่า ศาสนายังไม่เป็นประโยชน์ทั้งแก่เทวดาและมนุษย์ ตามที่พระพุทธองค์ทรงขอร้องว่าลูกเอ๋ยจงไปเพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ จงแสดงธรรมให้ ให้แล้วในเบื้องต้นท่ามกลาง จงประกาศพรหมจรรย์ให้มีความไพเราะในเบื้องต้นท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่เทวดาแลมนุษย์ คำว่าเทวดาแลมนุษย์ถ้าไม่มีความหมายอย่างอื่นที่ดีกว่า ก็ขอให้ถือเอาความหมายแต่เพียงว่าทั้งคนชั้นสูงและคนชั้นสามัญ คนชั้นสามัญทั่วๆไปในโลกเราเรียกว่ามนุษย์ ไอ้คนที่มันมีโชคดีมีบุญวาสนามีอะไรมากเราเรียกมันว่าเทวดา ฉะนั้นในโลกนี้ก็มีเทวดาและมนุษย์จริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส จงเที่ยวไปเพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ มันก็เป็นสิ่งที่เราทำได้แม้ในโลกนี้ ไม่ต้องเหาะขึ้นไปในเทวโลก อะไรข้างไหนที่อยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้ พูดหลับหูหลับตาไปเท่านั้นเอง แต่เทวดาและมนุษย์ในโลกนี้มีอยู่เต็มไปหมด ไอ้คนที่มันกำลังหลงระเริงไปกับความสุขสนุกสนานเพราะมีบุญนี่ พวกนี้ก็เรียกว่าเทวดา ที่เป็นกษัตริษย์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล พราหมณะมหาศาล อะไรก็ตาม ตามที่เขาเรียกกันอยู่ในภาษาบาลี กษัตริษย์มหาศาลนี้ก็คือเจ้านาย แล้วก็คหบดีมหาศาลคือพวกเศรษฐี แล้วพราหมณะมหาศาล ก็มีพวกพราหมณ์ เป็นฆราวาส เป็นปูชนียบุคคลของคนทั้งหลาย นี่เรียกว่าชั้นสูง นอกนั้นก็ชั้นสามัญ ต้องใช้เหงื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นประจำ นี่ชั้นสามัญ แต่ว่าทั้งสองพวกนี้อย่าเข้าใจผิดให้มากไป มันจมอยู่ในกองทุกข์เท่าๆกัน คือถึงเวลาก็จะต้องร้องไห้ แล้วพวกเทวดาน่ะจะร้องไห้หนักกว่าคนสามัญธรรมดาเสียอีก เพราะมันเคยชินแต่ตามใจตัวเอง และถ้ามีเรื่องตัวกูของกูอะไรขึ้นมาพวกเทวดาน่ะมันมีมาก เพราะมันเคยสบาย นี่เขาพูดกันง่ายๆอย่างนี้ ไอ้คนที่เคยตามใจตัว เคยสบายเคยชนะอยู่เรื่อย มันก็มีตัวกูของกูมาก ส่วนคนยากจนก็ต้องเป็นอยู่เองที่จะต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ก็มีตัวกูของกูน้อย ทีนี้ถ้ามีตัวกูของกูที่ไหนเมื่อไหร่ก็นั่นน่ะคือความทุกข์คือกองทุกข์ คือการจมอยู่ในกองทุกข์ ในวัฏสงสาร เพราะเหตุฉะนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าเพื่อประโยชน์ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ พูดถึงเทวดาก่อนเพราะคงจะเป็นเพราะว่า ไอ้พวกนี้มันน่าสงสารมากกว่า ไอ้พวกเทวดานี้มันน่าสงสารกว่าไอ้พวกมนุษย์ ทีนี้เราเห็นว่าพุทธศาสนายังไม่เป็นประโยชน์เต็มที่ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ หนึ่ง ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ สอง ตามที่มันควรจะเป็นไปได้ สาม พูดเป็นสำนวนหน่อยว่าตามที่พระเจ้าต้องการ ไอ้หนึ่งตามที่พระศาสดาทรงพระประสงค์นี่ ก็เห็นชัดอยู่แล้วในคำขวัญของธรรมทูต ซึ่งเป็นความประสงค์ถึงขนาดที่วิงวอน ผมมองออกในลักษณะอย่างนั้น ที่ว่าลูกเอ๋ยพ่อก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แม้ลูกทั้งหลายเล่าก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์นี่ เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ทั้งแก่เทวดาแลมนุษย์ จงประกาศพรหมจรรย์ให้อย่างนั้นๆๆเรื่อยไป นี่คือความประสงค์ของพระพุทธองค์ที่ออกมาในรูปลักษณะขอร้องและวิงวอน เดี๋ยวนี้ศาสนายังไม่เป็นประโยชน์แก่เทวดาแลมนุษย์เต็มตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ ทีนี้เราจะมัวนอนหาความสุข หรือว่าจะปล่อยให้มันเหลวไหลโลเลไปได้อย่างไร มันก็ยังจะต้องขวนขวายสุดความสามารถต่อไป เพราะว่าเราเป็นอะไรของพระพุทธองค์ ไม่ต้องพูด ทีนี้ข้อที่ว่าตามที่มันควรจะเป็นได้นั้น นี้เป็นการขอร้องให้มองอย่างละเอียด เพราะตามที่มนุษย์และเทวดา หรือเทวดาและมนุษย์ควรจะได้รับได้นั้นมันมีอยู่ในระดับหนึ่งแหละ เราก็ยังไม่ได้ทำให้เต็มที่ตามที่เขาควรจะได้ เดี๋ยวนี้เราปล่อยไปตามเรื่อง หรือบางทีก็เหลวไหล และบางทีก็หลอกลวง นี่ใช้คำดังๆโตๆว่ามันบางทีมันก็หลอกลวง ก็มีอยู่มากที่จะเทศน์หรือแสดงธรรมหรือจะอะไรเหล่านี้เพื่อประโยชน์เป็นวัตถุ หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อย่างเทศน์เอาเครื่องกัณฑ์อย่างนี้มันก็ไม่มี ไม่มีทางที่จะสนองพระพุทธประสงค์หรือว่าจะให้ผู้ฟังได้รับประโยชน์เต็มตามที่ควรจะเป็นได้ เพราะมัวแต่ประจบผู้ฟังอยู่ มันก็ยิ่งไปในทางตรงกันข้าม จนทำให้โง่มากขึ้นไปอีก ให้มันมืดมัวมากขึ้นไปอีก ตามที่ควรจะเป็นได้นั้นหมายความว่าถ้าเราพยายามเสียสละให้ถึงที่สุดก็ใช้ความสามารถของเราให้ถึงที่สุด เขาจะต้องได้มากกว่านี้ ตามที่เขาควรจะได้จริงๆ น่ะมันมาก มากกว่าที่ทำกันอยู่ เพราะเรายังไม่เสียสละที่สุด ยังไม่ใช้ความเฉลียวฉลาดพากเพียรพยายามของเราให้ถึงที่สุด ทีนี้ส่วนข้อที่ว่าตามที่พระเจ้าต้องการนั้นมันเป็นพระเจ้าในอัญญประกาศตามภาษาของผม ทีนี้เราจะมองเลยไปถึงว่า ไม่ได้มองอยู่แค่พระพุทธองค์ จะมองไปถึงไอ้ธรรมชาติทั้งหมด ไอ้สิ่งที่เรียกว่าธรรมชาตินี้ ในกรณีนี้เราหมายถึงวิวัฒนาการที่เป็น เป็นวัตถุประสงค์ของธรรมชาติ ถ้าพูดอย่างบุคคลก็เป็นวัตถุประสงค์ของธรรมชาติ ถ้าพูดอย่างไม่ใช่บุคคลมันก็เป็นไอ้กฎของธรรมชาติ ธรรมชาติมีวิวัฒนาการสัตว์ วิวัฒนาการมนุษย์ วิวัฒนาการๆจนถึงจุดสูงสุดของความเป็นมนุษย์ จากก้อนหินก้อนดินมาเป็นพืชมาเป็นต้นไม้มาเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย กระทั่งเป็นสัตว์ใหญ่เป็นสัตว์สูงสุดกระทั่งเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นมนุษย์ที่สูงสุดนี้ พระเจ้าต้องการ พระเจ้าคือธรรมชาติ ถ้าเราจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ มองเห็นธรรมชาติอย่างกว้างขวางทั้งหมด เราก็ต้องยอมรับในข้อนี้ว่าธรรมชาติต้องการให้สิ่งมีชีวิตทั้งหลายวิวัฒนาการไปจนถึงระดับสูงสุด นี่พระเจ้าต้องการ เดี๋ยวนี้ศาสนากำลังไม่เป็นประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์เต็มที่ ตามที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ และตามที่จะมันควรจะเป็นไปได้ในอุปนิสัยของบุคคลนั้นๆ หรือว่าตามที่พระเจ้าต้องการในฐานะเป็นกฎของธรรมชาติ สรุปความแล้วก็เหลือนิดเดียวว่าพุทธศาสนานี้ยังไม่เป็นประโยชน์แก่คนในโลกเต็มตามที่มันควรจะเป็น ทีนี้ก็ดูต่อไปว่าเพราะอะไร นี่คือตัวปัญหา ปัญหาที่เป็นอุปสรรคที่ทำให้ไม่เป็นอย่างที่เราประสงค์ ปัญหานี้มีมาก แล้วปัญหาที่สำคัญก็คือปัญหาที่มองไม่เห็น ปัญหาที่เรามองเห็นดูจะเป็นส่วนน้อย ปัญหาที่เรามองไม่เห็นยังมีมาก นี่พูดอย่างกำปั้นทุบดิน เพราะว่าเรายังทำไม่สำเร็จตามเป้าหมาย เพราะอะไรก็ยังไม่รู้ ไอ้ส่วนที่เรารู้แล้วก็ยังทำไม่ค่อยจะได้ ไอ้ส่วนที่เรายังไม่รู้ก็คือ คือยังไม่ได้ทำ ทีนี้เอาปัญหาที่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งมาพูดกันเท่าที่พอมองเห็น เท่านั้นเอง ปัญหาแรกผมอยากจะพูดว่า ปัญหาที่หนักอกหนักใจของผู้สอนก็คือความโง่ของผู้ฟัง ไม่ใช่พูดดูหมิ่นดูถูก มันเป็นปัญหาที่ประสบอยู่ตลอดเวลาคือความโง่ของผู้ฟัง ผมก็เคยเป็นครูสอนนักธรรม พวกคุณทั้งหลายก็เคยเป็นครูสอนนักธรรมในชั้นเรียน อะไรมันเป็นเครื่องหนักอกที่สุดนอกจากความโง่ของนักเรียน ทีนี้พอมาถึงไอ้สอนประชาชนนี้ก็เหมือนกันมันก็คือความโง่ของผู้ฟังอยู่นั่นแหละ เราไปเรียกเขาว่าเขาโง่ เขาว่าเหมือนกับด่าเขาหรือดูถูกเขา แต่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร นี่ความโง่นี่ ก็ต้องถือว่าคือสิ่งที่เราเรียกกันว่าอวิชชา คนเรามีอวิชชาเป็นเดิมพันกันมาทั้งนั้น บางคนมันก็มีมาก บางคนก็มีน้อยหน่อย แต่ว่าเมื่อพูดถึงเรื่องดับทุกข์ ในทางธรรมก็แล้วดูจะมีมาก มากๆด้วยกันทั้งนั้น ที่จะเอามาเป็นเดิมพันสำหรับต่อรองหรือสำหรับต่อสู้ รับธรรมะเข้าไปไม่ได้ เพราะมีอันนี้เป็นเครื่องต่อสู้ ทีนี้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความโง่นั้นมันมีหลายประเด็นนัก มันโง่เพราะนั่น โง่เพราะนี่ โง่เพราะโน่นมันหลายอย่าง ไอ้โง่เพราะไม่รู้แท้ๆ นี้คงจะไม่ลำบากนัก แต่ถ้ามันโง่เพราะว่ามันติดตัง หรือเมันยึดมั่นถือมั่น เป็นความเคยชินอย่างที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาส อันนี้ลำบากมาก คือโง่ที่ชินเกินไป มันไม่ใช่เพียงไม่รู้เฉยๆ ถ้าไม่รู้มันพูดเดี๋ยวเดียวมันก็รู้ แต่มันมีไอ้ความเคยชินในความโง่ ประพฤติกันมาแต่อ้อนแต่ออกแต่อะไรนี้ เราเรียกกันว่าสีลัพพตปรามาส ถูกสอนให้ถืออย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลักแล้วก็ปฏิบัติมาอย่างนั้นจนชิน ความโง่อย่างนี้แรงมาก เช่นความโง่ที่ยึดมั่นถือมั่นในอะไรที่พ่อแม่สอนมาตั้งแต่เล็ก กลัวผีบ้างกลัวมืดบ้าง หรือว่าเห็นแก่ตัวบ้างอะไรบ้างมันมีมาก แล้วก็มาเห็นแก่พวกพ้อง มาเห็นแก่วรรณะฐานะของไอ้วงศ์ตระกูล เห็นแก่ศาสนาของตัว แม้จะถือศาสนาที่ไม่มีประโยชน์ก็ไม่ยอมทิ้งอย่างนี้ อันนี้ก็รวมอยู่ในสีลัพพตปรามาสนี้ทั้งนั้น ก็คือความโง่ประเภทที่ฝังลงไป ยิ่งกว่าหนาแน่นยิ่งกว่าท่วมท้นเสียอีก คือเป็นความเคยชิน ถ้าเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่รู้อะไรมาเลยมันไม่ ไม่ยากลำบาก เดี๋ยวนี้มันเป็นไอ้ความโง่ของพวกน้ำชาล้นถ้วย อย่างที่พวกเซนเขาล้อกันอยู่ มันมีอะไรอัดอยู่เต็มแน่น ใส่อะไรเข้าไปไม่ได้อีก เหมือนกับน้ำชาที่มันเต็มถ้วยอยู่แล้วจะใส่น้ำอะไรลงไปอีกก็ไม่ได้ มันก็ล้น มันก็ล้นอยู่เท่าเดิม ฉะนั้นขอให้มองในแง่นี้ก่อนว่าเราสอนอะไรลงไปไม่ได้ เพราะเขามีอะไรอัดอยู่เต็ม คอยผลักดันขึ้นมา แล้วฟังก็ฟังอย่างเลวที่สุด คนพวกนี้จะฟังอย่างเลวที่สุด ฟังด้วยความคิดว่าเรารู้แล้ว และเราจะคอยค้านในแง่ที่เราจะค้านได้ คอยเถียงอยู่ข้างใน คอยดื้ออยู่ข้างใน นี่อาการที่เรียกว่าน้ำชาล้นถ้วยมันก็เป็นอย่างนี้ ถ้ามันเป็นผู้ที่เหมือนแผ่นกระดาษขาวยังไม่เคยเขียนอะไรลงไปสักตัว นี้มันก็เขียนลงไปง่าย ถ้ามันเป็นแผ่นกระดาษที่เขียนเปรอะ เลอะมาเต็มที่แล้วเราจะเขียนลงไปได้อย่างไร ถ้าลบอันนั้นไม่ออก นี่คือปัญหาที่หนักอกหนักใจของผู้พูดคือผู้สอน ก็คือความโง่ของผู้ฟัง มันอยู่ในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้ถัดไปอีกก็คือความไม่สนใจที่เพียงพอ เหมือนที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ว่าไอ้คนที่มาสวนโมกข์มาเพียงเพื่อหลอกตัวเอง เล่นตลกกับตัวเอง ไม่มีความสนใจที่เพียงพอที่จะสนใจทุกสิ่งที่ควรจะสนใจในสถานที่นี้ เราแกล้งพูดไปในทำนองให้สนใจว่าก้อนหินก็พูดได้ต้นไม้ก็พูดได้ มันก็ไม่สนใจอยู่นั่นแหละ ไม่เคยมีใครซักถามว่าพูดอย่างไร ไหนช่วยทำให้ผมได้ยินที มันก็ไม่เคยถามอย่างนี้เพราะมันไม่สนใจ แล้วก็คงจะหาว่าผมพูดโกหก มันก็เลยไม่สนใจยิ่งเข้าไปอีก ถ้ามันจะมีความสนใจบ้างว่าต้นไม้พูดได้คืออย่างไร ทำให้ดูที ก็พอจะได้พูดกันต่อไปอีก หรือว่าเข้าไปในตึกโรงหนังนั่น ไปดูเล่อๆล่าๆ เดี๋ยวออกแล้ว ออกมาแล้ว โดยที่ไม่มีความเข้าใจอะไรแม้แต่สักข้อเดียวหรือประเด็นเดียว นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ที่เราเห็นๆกันอยู่ที่นี่ ที่มันทั่วไปทั้งโลกนั่น มันมากกว่านี้มาก ไม่สนใจไอ้สิ่งที่เรียกว่าพระศาสนา แม้ศาสนาที่เคยถือมาตั้งแต่บรรพบุรุษก็ไม่สนใจ จะมาสนใจกับไอ้ศาสนาใหม่นี้มันก็ยังไม่มีหวัง ดูอารมณ์ของตัวเป็นหลักว่าพอใจอะไรก็จะเอาอย่างนั้น ก็เลยละทิ้งไอ้ศาสนาเดิมทั้งที่ยังไม่เข้าใจ ที่จริงศาสนาไหนก็ตามถ้าเข้าใจถึงหัวใจของศาสนาแล้วมันพอมันใช้ประโยชน์ได้ เพราะมันสอนทำลายความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น แต่มันในรูปร่างต่างๆกัน วิธีการต่างๆกัน ในเรื่องนี้ก็ให้นึกถึงไอ้ที่ผมเคยพูดให้ฟังเสมอว่า ศาสนาคริสเตียนเขาก็สอนอนัตตา สุญญตา มีภรรยาแล้วจงมีจิตใจเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติมีจิตใจเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีสุขมีทุกข์มีจิตใจเหมือนกับไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ซื้อของที่ตลาดอย่าเอาอะไรมานั่นน่ะ เรื่องอนัตตา สุญญตา สูงสุด แต่เขาไปสนใจในแง่อื่น ว่าแง่ที่จะมีภรรยาแล้วยิ่งเหมือนกับมีภรรยานั่น มันต้องการอย่างนั้น ซื้อของที่ตลาดนี่คอยจะโกงเอามากกว่าที่ซื้อเมื่อเจ้าของเขาเผลอนั่น มันตรงกันข้ามอย่างนี้ นี้ไม่สนใจในแง่ที่ควรจะสนใจอยู่เป็นปกติ ไปสนใจในแง่ที่ไม่ควรจะสนใจ คือในแง่ที่จะเห็นแก่ตัวเองมากขึ้นยิ่งขึ้น มีความสนใจไม่เพียงพอ ทั้งที่ว่าฝรั่งกำลังสนใจพุทธศานาอย่างนี้ ความสนใจนั้นก็ไม่พอ มันสนใจด้วยความมุ่งหมายอย่างอื่น สนใจหรือเผื่อเลือก ไม่ได้เข้าใจจนถึงกับสนใจหมดชีวิตจิตใจ นี่มันเนื่องไปถึงข้อถัดไปที่ว่า ผู้ฟังนั้นๆ มันกำลังเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ข้อหนึ่งเพราะความโง่ของผู้ฟัง ข้อสองเพราะความสนใจไม่เพียงพอ เพราะว่าข้อสามคือเขากำลังเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าศาสนา จะเป็นศาสนาเดิมของเขาหรือว่าศาสนาใหม่ที่เขากำลังจะเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าโลกสมัยนี้มันกำลังเป็นไปในลักษณะที่ทำให้คนไม่สนใจในศาสนา โลกแห่งวัตถุนิยม มีแต่เหยื่อล่อทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางผิวหนัง ทุกหนทุกแห่งไปรอบด้านไม่ว่าที่ไหน เหลียวไปก็พบแต่เหยื่อชนิดนี้ คนมันก็เลยมาหลงติดในเหยื่อชนิดนี้มากขึ้น ต้องการจะได้แต่สิ่งเหล่านี้ ก็เลยเห็นว่าสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ก็คือการได้สิ่งเหล่านี้ ไอ้ส่วนศาสนานั้นไม่จำเป็นแล้วครึคระบ้าบอ พ้นสมัยล้าสมัย นี่ไม่รู้จักไอ้สิ่งที่เรียกว่าศาสนาอย่างถูกต้อง ว่าศาสนาคือวิธีที่จะได้สิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เขาต้องการมาในลักษณะที่ไม่มีความทุกข์เลย ในลักษณะที่ไม่ทำให้เขาเป็นคนโง่คนหลงคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น คือว่าศาสนาจะช่วยเหลือให้เขาได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ อะไรก็ตาม มาในลักษณะที่ถูกต้องคือไม่มีความทุกข์ ไม่เพิ่มกิเลสไม่เพิ่มความเห็นแก่ตัวแล้วก็เบียดเบียนตนเองเบียดเบียนผู้อื่นนี่ เขาไม่มองศาสนาในแง่นี้ เขามองเป็นของตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาต้องการ แล้วก็เอือม เกลียด สิ่งที่เรียกว่าศาสนา เห็นว่าศาสนาไม่จำเป็น เขาถือการได้เป็นศาสนา อย่างนี้เราต้องพูดว่าเขาเห็นสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาว่าเป็นศาสนา เห็นสิ่งที่เป็นศาสนาว่าไม่เป็นศาสนา กลับกัน เห็นดอกบัวเป็นกงจักร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันกลับกันอยู่ทั้งสองทาง ไปเห็นดอกบัวจริงๆเข้าเห็นเป็นกงจักร พอไปเห็นกงจักรเข้ากลับเห็นเป็นดอกบัว เดี๋ยวนี้มัน มันอยู่ในสภาพเช่นนี้กันมากขึ้นๆๆในโลกนี้ ฉะนั้นจึงเป็นโลกที่เต็มไปด้วยบุคคลที่เห็นศาสนาเป็นของไม่จำเป็น ทีนี้ก็เห็นในแง่ตรงกันข้ามต่อไปอีก เห็นศาสนาเป็นข้าศึกของความเจริญ แม้ในประเทศไทยเมืองพุทธนี้ก็พูด แล้วก็พูดด้วยปากของไอ้นักศึกษาที่มีปริญญายาวเป็นหางมาจากเมืองนอกด้วย เห็นศาสนาเป็นเรื่องถ่วงความเจริญ เป็นข้าศึกของความเจริญ ก็มาเพิ่มปัญหาให้พวกเราธรรมทูตมากขึ้นๆเพราะเราไม่มีปริญญายาวเป็นหางเหมือนพวกเขา ไม่ค่อยมีใครจะเชื่อ คนเหล่านี้เป็นบัณฑิตเป็นมหาบัณฑิตเป็นดอกเตอร์เป็นอะไรทั้งนั้นเลย มีเครดิตแล้วทำให้คนเชื่อ เขารู้สึกว่าไอ้ศาสนานี่ทำให้เสียเวลา ทำให้คนอืดอาด หรือทำให้คนสันโดษแล้วไม่ทำอะไรทำนองนี้ จนว่าเป็นเครื่องถ่วงความเจริญ และที่ร้ายไปกว่านั้นอีกก็คือเขาเห็นว่า เมื่อถือศาสนาอยู่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เสียเปรียบและพ่ายแพ้ข้าศึกศัตรู นี่ยิ่งไปกันใหญ่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่าธรรมะเป็นเครื่องทำให้เกิดชัยชนะ พวกนี้กลับเห็นว่าเป็นเครื่องทำให้เกิดความเสียเปรียบและพ่ายแพ้แก่ศัตรู รายละเอียดไปคิดดูเอง พวกวัตถุนิยมพวกนายทุนพวกอะไรในเมืองหลวงน่ะก็จะมองเห็นว่า มัวถือศาสนาอยู่ก็จะไม่ทันเพื่อน จะเสียเปรียบเพื่อน ในการกอบโกย ถ้ายังมีแต่การเห็นศาสนาเป็นเครื่องถ่วงความเจริญทำให้เสียเปรียบคู่แข่งขันอยู่ละก็ เราไม่มีทางสอนแน่ เพราะเขาต้องเห็นแก่เรื่องส่วนตัวของเขาที่สำคัญที่สุดที่แรงร้ายที่สุด ฉะนั้นหน้าที่ของเรามันก็ลำบากมาก ลำบากมากเหลือเกินที่ว่าจะไปทำให้เขาเห็นกลับตรงกันข้าม ว่าศาสนานี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเจริญ และสิ่งที่ให้ได้เปรียบผู้อื่น ในเมื่อผู้อื่นเป็นทุกข์ เราไม่เป็นทุกข์ เมื่อผู้อื่นมีนรกอยู่ในใจตั้งมากมาย เราไม่มีนรกอยู่ในดวงใจ เราไม่มีความทุกข์เมื่อแสวงหา เมื่อได้มา หรือเมื่อเก็บไว้ เราไม่มีความทุกข์ เขามีนรกอยู่ในใจทั้งเมื่อแสวงหา เมื่อได้มา และเมื่อเก็บไว้ในธนาคารนี่ มันเหมือนกับมีนรกอยู่ในจิตใจตลอดเวลา แล้วถ้าพูดถึงความเจริญก็ต้องแยกเป็นความเจริญทางจิตใจหรือว่าความเจริญในทางเนื้อหนัง คำว่าความเจริญใช้ได้แม้แก่ความเจริญด้วยกิเลสหรือว่าความเจริญด้วยสติปัญญา เจริญด้วยความร้อนหรือว่าเจริญด้วยความเย็น มีคำตลกๆอยู่คู่หนึ่งคือความสุข สุก ก สะกด หรือสุข ข สะกด เขาเจริญด้วยความสุก ก สะกด ทีนี้เราต้องการเจริญด้วยความสุข ข สะกด พูดกันไม่รู้เรื่องในที่สุด ทีนี้ข้อต่อไปอีกก็จะพูดถึงคนส่วนมากที่กุมอำนาจของผู้ครองโลก ที่มีอำนาจ กุมอำนาจในการครองโลกไว้ คือพวกฝรั่งนี่ หรือพวกที่มีความรู้สึกคิดนึกอย่างฝรั่ง สมัยปัจจุบันที่เป็นวัตถุนิยมจัด ผมใช้คำว่าฝรั่ง ฝรั่งเฉยๆ ขอให้เข้าใจอย่างนี้นะ ไม่ใช่เป็นการดูถูกฝรั่งไปทั้งหมด คำว่าฝรั่งนี้เอาไว้ให้เป็นเกียรติแก่พวกที่หลงใหลวัตถุนิยมจัด เป็นนายทุนเป็นอะไรแบบเห็นแต่เรื่องทางวัตถุ เรียกว่าฝรั่ง ซึ่งเรากำลังจะไปตามก้นเขา ทีนี้ก็มาถึงว่าไปต่างประเทศ ก็จะต้องไปพบกับพวกที่เป็นฝรั่งนี้มากขึ้น ทีนี้ฝรั่งเขาไม่ชอบระบบอะไรที่มันทำให้ต้องมีการบังคับตัวเองหรือความอดกลั้นอดทน ฝรั่งสมัยโบราณแม้แต่ว่าผมยังเล็กๆนี่ ผมได้ยินพวกฝรั่งเขาสรรเสริญการบังคับตัวเองกันมากที่สุด ในโรงเรียนเราก็ได้รับคำสั่งสอนว่า สุภาพบุรุษตามความหมายของไอ้พวกฝรั่งในสมัยนั้น คือการบังคับตัวเอง ก็นับถือฝรั่งกันมาในแง่นี้ มีการบังคับตัวเองเป็นระเบียบเฉียบขาดอะไรดีกว่าคนไทย บังคับตัวเองก็คือบังคับกิเลส พอเดี๋ยวนี้ไม่ทันถึงร้อยปีนี่ ไม่เห็นไอ้ความเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว เราเห็นแต่ฝรั่งขี้โมโห ฝรั่งที่ละโมบโลภลาภในการที่จะได้ประโยชน์ โดยไม่ต้องดูหน้าดูหลังดูอะไร สูญเสียความเป็นสุภาพบุรุษ ออกอาละวาดทั่วโลก ทีนี้ใจความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่าไม่ ไม่ยอมรับหรือไม่ชอบระบบที่ต้องใช้ธรรมะหรือขันตีหรือการให้อภัย ทมะ แปลว่าบังคับใจ ขันตี อดกลั้นอดทน อภัยคือการให้อภัย การขออภัยและให้อภัย พวกญี่ปุ่นเคยวิเศษมาก เดี๋ยวนี้ก็ได้ยินว่าชักจะลางเลือนไปเหมือนกัน ก็แปลว่าไอ้โลกรวมๆทั่วๆไปนี้ เขาไม่ชอบไอ้ความที่ต้องบังคับกิเลส เช่น อยากดูหนังอย่าไปดูหนัง อยากจะกินเหล้าไม่กินเหล้า อยากจะสูบบุหรี่ไม่สูบนี่ เราต้องบังคับทางกามารมณ์ด้วย ทีนี้เขาต้องการจะส่งเสริมมัน ฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความอดกลั้นอดทนน่ะ ทนน้ำตาไหลก็ไม่ยอมทำให้มันผิดไปจากไอ้ความถูกต้อง เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงการอดโทษหรือให้อภัยกันแหละ ก็คือความไม่ยอม เห็นแต่ตัวผิดก็ยังไม่ยอม จะดันทุรังไปให้ชนะให้จนได้ทั้งที่ผิดๆ นี่คือลัทธิใหม่ที่เกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์ในโลกสมัยนี้ ก่อนนี้เขาละอาย เขามีหิริโอตัปปะ ถ้าผิดแล้วละอาย กราบตีนขอโทษ เดี๋ยวนี้ไม่มีใครทำ นี่โลกปัจจุบันไม่ชอบระบบที่ต้องใช้ขันตีบังคับตัวเองและอดทนและให้อภัย ผิดกับโลกสมัยก่อน ทีนี้ก็พาลหาเรื่องมาถึงศาสนา เพราะศาสนาล้วนแต่สอนให้บังคับตัวเองให้อดทนให้อภัยให้ยอมแพ้ พูดตรงๆ ก็ว่าให้ยอมแพ้ ทางภายนอกนี้ และก็ให้ชนะในทางภายใน พวกเราเคยเรียนธรรมบทกันมาทุกคน มีอยู่ดีที่สุดในคาถาธรรมบทคาถาหนึ่ง ไอ้คนที่มันไม่เห็นแก่ความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้น มันก็ไม่ยอมแพ้ มันไม่ยอมสละเวร แล้วเวรนั้นก็เกิดขึ้น ตอบแทนกันไปตอบแทนกันมา ตอบแทนกันไปตอบแทนกันมาจนฉิบหายไปทั้งสองฝ่าย เรื่องอะไรผมไม่บอก เพราะคุณก็ต้องรู้สิ ก็เป็นมหาเปรียญขึ้นมาได้มันก็ต้องฟังธรรมบท บอกก็ทำให้ขี้เกียจและไม่สนใจค้นคว้าย้อนหลังอะไร แต่ขอให้ถือเป็นหลักว่าการที่ไม่มองเห็นไอ้ความฉิบหาย มันเกิดขึ้นจากการไม่ยอมให้อภัยนั่นแหละ มีหลายเรื่องในธรรมบท เรื่องทั่วไปก็มี เรื่องที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์โดยเฉพาะก็มี เรื่องสงฆ์แตกกันที่โกสัมพี เพราะเรื่องยกหูชูหาง ต่างฝ่ายต่างยกหูชูหาง ไม่ยอมกันไม่ให้อภัยกัน เกิดแตกกันเป็นสังฆเภท จนพระพุทธองค์ทรงลำบากยุ่งยากไปด้วย ก็ไปอ่านดู นี่ความไม่บังคับตัวเองความไม่อดทนความไม่ให้อภัย มันฉิบหายมากอย่างนี้ แม้แก่ภิกษุสงฆ์เองในประวัติศาสตร์ที่แล้วมา และในทุกวันนี้ ในประเทศไทยเรานี้ มีความเสียหายเกี่ยวกับเรื่องนี้ในคณะสงฆ์ เขารู้สึกไปในทำนองว่าถ้ามีการบังคับหรือถูกบังคับ แล้วก็เสียเสรีภาพ นี้ไม่ยอมแม้แต่พ่อแม่จะสอน พ่อแม่สอนแล้วก็เสียเสรีภาพ เราควรจะทำอะไรตามที่เราต้องการนี่ ฉะนั้นคนหนุ่มคนสาวสมัยนี้จึงเป็นไอ้ภูตผีปีศาจทางเนื้อหนังไปหมดแล้ว ไม่เคารพถ้อยคำของพ่อแม่คนเฒ่าคนแก่ ปีศาจทางวัตถุทางเนื้อทางหนังมันสิงมากเกินไป ตามก้นฝรั่ง เป็นแต่เพียงคำตักเตือนเท่านั้นสูญเสียเสรีภาพแล้ว จนเราต้องระมัดระวังอย่างเหลือเกินที่เราจะไปตักเตือนใครสักคำหนึ่ง เพราะไม่อยากจะเกิดเรื่อง ถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นผลที่ได้มันไม่คุ้มกัน เลยนิ่ง พูดเพียงให้เขานึกได้นั้นเขาก็รู้สึกว่าเสียเสรีภาพแล้ว ผู้ที่มีการศึกษาอย่างสมัยใหม่ตามแบบฝรั่งมันก็รู้สึกอย่างนี้มาก ว่าศาสนาก็บังคับอย่างนั้นศาสนาก็บังคับอย่างนี้อย่างหยิมหยุมหยิมไปหมด ฉะนั้นก็เลยว่าเราสูญเสียเสรีภาพขัดกับหลักประชาธิปไตย นี่คือปัญหาที่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ คนตามใจเนื้อหนังของตัวเองมากขึ้น ถ้ามีอะไรมาทำให้เขาไม่ได้ไอ้สิ่งนั้นเขาก็เรียกว่าเสียเสรีภาพ นี่คือไอ้มูลเหตุของไอ้ Hippism คือลัทธิฮิปปี้ที่มีอยู่ในจิตใจของมนุษย์ทั่วๆไปในโลกเวลานี้ แม้ไม่ได้ไปนอนอยู่กลางสนามหญ้ามันเป็นฮิปปี้อยู่บนตึกบนไอ้วิมานเหมือนกัน ไอ้ฮิปปี้ที่ทำอะไรสกปรก ไว้ผมยาวอยู่ตามสนามหญ้านั้นหยิบมือเดียว มันหยิบมือเดียวเท่านั้น แต่คนทั้งโลกเป็นฮิปปี้อยู่ในวิญญาณนั้นไม่รู้ ไม่รู้สึก เพราะมันไม่ชอบไอ้สิ่งที่บังคับ แม้ความถูกต้องน่ะมันก็ไม่ชอบเพราะถ้ามันเป็นการบังคับ มันต้องการเสรีภาพอย่างไม่มีขอบเขต ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ต้องการเสรีภาพมากถึงขนาดนี้ ทีนี้เราก็มองกว้างออกไปถึงทั้งโลก ว่ายุคนี้ทั้งโลกนี้มันเป็นยุคที่คนมิได้ทำอะไรเพื่อมนุษยธรรมเหมือนที่ปากเขาพูด คุณไปอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านอะไรต่างๆดู ทุกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายที่มันรบกันมันก็เพื่อมนุษยธรรมทั้งนั้น ที่มันรบกันนี้ก็เพื่อมนุษยธรรม เพื่อความถูกต้อง บางทีก็เลยไปถึงว่าเพื่อเสรีภาพของคนในโลก นี่เขาเรียกว่าเพื่อมนุษยธรรม ปากพูดอย่างนั้นแล้วพูดมากขึ้นทุกที แล้วก็เอาลูกระเบิดโยนใส่กันมากขึ้นเพื่อมนุษยธรรม ไอ้พวกที่ไม่มีก็ต่อสู้ไปตามเรื่อง เพื่อมนุษยธรรมเหมือนกัน ไอ้ฝ่ายหนึ่งเอาระเบิดปรมาณูโยนใส่ก็เพื่อมนุษยธรรม ฝ่ายหนึ่งมีแต่มือเปล่าหรือว่ามีแต่หอกดาบนี้มันก็สู้ไปก็เพื่อมนุษยธรรม ทุกคนพูดว่าเพื่อมนุษยธรรมแต่จิตใจนั้นมันเพื่อตัวกู นี่โลกเวลานี้เป็นอย่างนี้ พูดให้เพราะกว่านั้นก็เพื่อการเมืองของตัว แต่ละประเทศมีปัญหาทางการเมือง มีสปิริตทางการเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มันต่อสู้มันอะไรกันอาละวาดกันก็เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ของประเทศของตัวที่ต้องการผลประโยชน์อย่างนั้นอย่างนั้น อย่างดีที่สุดก็เพื่อว่ารอดอยู่เป็นเอกราชมีชาติเท่านี้ แต่ที่ว่าเพื่อชาติเพื่อเอกราชของชาตินั้นโกหกลึกซึ้งเลย เพราะว่าเขาถือว่าถ้าชาติยังอยู่เขายังเป็นไอ้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัตินี้อยู่ อย่างสมมติว่าผมเป็นนายทุนมีเงินล้านๆอย่างนี้ พอลองชาติสูญเสียเอกราชสิผมก็เสียเงินจำนวนนี้ไป ใจจริงเขาก็ไม่อยากจะเสียเงินจำนวนนี้ จึงต้องช่วยให้ชาติอยู่ นั้นมันไม่ใช่เพื่อชาติเพื่อเอกราชของชาติ มันเพื่อประโยชน์ของตัว นี่มันเป็นเหตุให้เกิดลัทธิต่อสู้กันเป็นสองพวก คือพวกมั่งมีกับพวกยากจน นี้คนมันก็มีจิตใจมีกิเลสมันก็เห็นแก่ตน ก็เลือกเอาฝ่ายที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ตน ฉะนั้นไม่ถือว่าทำอย่างนี้เป็นเพื่อ เป็นไปเพื่อมนุษยธรรม มันเป็นไปเพื่อตัวกู ก็มีระบบการเมืองของกู เพื่อประโยชน์แก่พวกของกู นี่คือการเมือง ก็แปลว่าไม่ได้ทำอะไรเพื่อมนุษยธรรมแต่ทำเพื่อการเมืองของกู แล้วเราธรรมทูตตัวเล็กๆ นี่จะไปปะทะกับไอ้วัตถุนิยมตัวโตๆ นี้จะทำอย่างไร เหมือนมดสักตัวหนึ่งจะไปกัดช้างให้ตาย ฟังคล้ายๆอย่างนั้นมากกว่า ผมก็รู้สึกอย่างนี้บ่อยๆ แต่ก็หาทางออกต่อไปอีกว่า บางทีมันจะเป็นมดที่ฉลาด แล้วก็กัดช้างให้ตายได้เหมือนกัน นิทานยายกับตาผมไปคัดลอกมาจากบานหน้าต่างที่วัดพระเชตุพนกรุงเทพ มาเขียนไว้ในตึกนี้ ไปดู ในที่สุดไอ้แมงหวี่เป็นตัวทำให้สำเร็จประโยชน์ ทำให้ช้างยอมแพ้เพราะมันไปตอมตาช้าง แล้วก็ช้างก็ไปเหยียบตลิ่งทับน้ำ น้ำก็กลัวไปดับไฟ ไฟก็กลัวไปไหม้ไม้ฆ้อน ไม้ฆ้อนก็กลัวไปตีหัวหมา หมาก็ไปกัดแมว แมวก็ไปกัดหนู นายพรานก็กลัวไปยิงกานี้ ในที่สุดไอ้เรื่องมันก็สำเร็จลงด้วยดี ฉะนั้นอย่าดูถูกของเล็กน้อยเช่นแมลงหวี่ บางทีธรรมทูตนี้จะต้องถืออุดมคติแมลงหวี่นี้ก็ได้ ก็ไปเอาชนะช้างได้เหมือนกัน ช้างคือลัทธิวัตถุนิยมในโลก แล้วธรรมทูตตัวเล็กๆ เหมือนแมงหวี่นี้จะไปชนะลัทธิวัตถุนิยมในโลก ก็ต้องมีวิธีการที่ดี นี้เดี๋ยวนี้คนในโลกกำลังทำอะไรเพื่อตัวกู ถือประโยชน์ของตัวนั่นแหละ หรือพวกตัวเป็นที่ตั้ง แม้ในองค์การระหว่างชาติที่เขาตั้งขึ้น องค์การระหว่างชาติตั้งขึ้นอย่างใหญ่โตมโหฬาร องค์การสหประชาชาติ องค์การนั่นนี่เยอะแยะไปหมดในโลกนี้ เรียกว่าองค์การระหว่างชาติที่เขาตั้งขึ้นมานี่ แม้ในที่ประชุมขององค์การนั้น ก็เป็นเพียงการถกเถียงกันในระหว่างบุคคลผู้เห็นแก่ประโยชน์ของตัวพวกของตัว มันก็ไม่ใช่เพื่อมนุษยธรรมไปได้ แล้วมันยุติธรรมที่ไหน มันก็มีชาติที่เป็นพรรคเป็นพวกของชาติที่มีอำนาจ มันไม่ใช่ความจริง มันเป็นการคุมพวกตามที่จะคุมกันได้ ฉะนั้นแม้ในองค์การระหว่างชาติอันมีเกียรติหรูหรานั้นมันก็ไม่มีความเป็นไปเพื่อมนุษยธรรม มันเป็นไปเพื่อตัวกู และยุคนี้เป็นยุคปิงปอง ผมก็อ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ผมจึงรู้ว่ายุคนี้เป็นยุคปิงปอง ที่เขาเชิญคณะปิงปองให้ไปเล่นกันเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างชาติที่เกลียดชังกันอย่างเข้ากระดูกดำคืออเมริกากับจีนแดงนี้ เขาใช้ปิงปองเป็นสื่อสัมพันธ์ ที่เราเรียกว่ายุคปิงปองไม่ใช่หมายความว่าเพียงเท่านั้นหรอก ดูลูกปิงปองที่มันเต้นต๊อกแต๊กๆ อยู่บนโต๊ะ มันมีอะไรจริงที่ไหน ยุคปิงปองก็คือว่ามันยุคไม่มีอะไรจริง เหมือนลูกปิงปอง ในยุคปิงปองนี้บางทีจะเป็นยุคใหม่ยิ่งกว่ายุคอวกาศเสียอีก ยุคปรมาณูล้าสมัยไปแล้ว ยุคอวกาศเข้ามา แล้วเดี๋ยวนี้จะมียุคปิงปองเข้ามาแทนยุคอวกาศ เรื่องไปโลกพระจันทร์จะไม่มีความหมายอะไร ไอ้ลูกปิงปองจะมีความหมายกว่า เป็นโลกยุคปิงปอง เล่นปิงปองให้พระเจ้าดู คือเล่นตลกตลบตแลงให้พระเจ้าดู เล่นปิงปองให้พระเจ้าดู ทุกคนว่านับถือพระเจ้าตามความหมายของตน ใครๆก็มีพระเจ้าตามความหมายของตนที่บูชาอยู่ในใจ แต่แล้วการกระทำนั้นเหมือนกับเล่นปิงปอง ก็เคือเล่นปิงปองให้พระเจ้าดู นี่เราสรุปความว่ามันมีแต่การซ่อนไว้ซึ่งไอ้ความเท็จ เป็นยุคที่ซ่อนไว้ซึ่งความเท็จในจิตในใจ ไม่มีความบริสุทธ์อยู่ในใจ ถ้าธรรมะคือความบริสุทธ์ มันก็เลยประสบปัญหาที่เป็นอุปสรรคเหลือประมาณอย่างที่ว่ามานี้ นี้วันนี้เราพูดกันแต่เรื่องปัญหา แต่จะแก้ปัญหาอย่างไรนั้นมันยังมีอีกมาก แต่ว่าแก้ปัญหาอย่างไร พูดอย่างกำปั้นทุบดินดีกว่า ว่าทำอย่างกลับตรงกันข้ามจากที่ว่ามาแล้วนี้ นี้เราต้องทำก่อน เราอย่าเป็นอย่างนั้น อย่างไรก็ตายยอมตายเราอย่าเป็นอย่างนั้น เราสมัครเป็นธรรมทูตหรือว่าเป็นพุทธทาสธรรมทาสสังฆทาสอะไรไปจนตาย ไม่ยอมเป็นอย่างนั้น นี่อุดมคติอันแรกของการจะแก้ปัญหาเหล่านี้ มีหลักใหญ่ๆว่าเราจะบูชาพระพุทธประสงค์ด้วยชีวิตจิตใจ ว่าลูกเอ๋ยจงไปเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์นี่ ต้องเอาอันนี้มาเป็นข้อแรก แล้วเข้าไปมองไอ้อุปสรรคที่เกะกะขวางทางเดินอยู่นี้ ก้าวไปให้ดีๆเลาะลัดไปให้ดีๆให้มันไปถึงจุดที่ควรจะทำ เราทำหมดไม่ได้ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าเองท่านก็ทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็โปรดคนทั้งโลกไม่ได้ จะโปรดได้แต่เวไนยสัตว์ ฉะนั้นเราก็ก้าวข้ามอันธพาลไปให้ดีๆอย่าไปสะดุดกับมัน ก็ไปถึงตัวเวไนยสัตว์ ก็ทำด้วยวิธีที่แยบคายที่สุดอย่าประมาทเลย อย่าประมาทแม้แต่นิดเดียวเลย มันก็จะช่วยไอ้พวกเวไนยสัตว์ได้บ้าง คำว่าบ้างนี่พอแล้วมันคุ้มกันแล้วกับที่เราคนเดียวที่ทำได้บ้าง ทีนี้เมื่อมันได้พรรคพวกมากเข้าๆ มันก็ค่อยชนะมากขึ้นเอง ครั้งแรกอย่างเพิ่งไปปะทะกับอันธพาล ก็มุ่งหมายไปหาสัตตบุรุษที่เขาพร้อมที่จะรู้ธรรมะนี้ แล้วให้ได้พรรคพวกมากขึ้นแล้วจึงค่อยหันไปหาไอ้อันธพาลชั้นดี เพื่อจะกลับจะ convert คนเหล่านี้ให้มาในทางของสัตตบุรุษ งานนี้ยากเท่าไร นี้คือปัญหาที่เป็นอุปสรรคเผชิญหน้าพวกธรรมทูตในการเผยแผ่พรหมจรรย์ ที่เราเรียกกันว่าศาสนา และเวลาที่กำหนดไว้ก็หมด