แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจ ในธรรมทั้งหลาย การบรรยายวันนี้เราจะพูดกันถึง หัวข้อ ที่ ๔ ที่ว่ามันจะสำเร็จได้โดยวิธีใด ในการเล็งผลเลิศ นี้ก็ต้องขอทบทวนอยู่บ่อยๆ ว่า
หัวข้อที่ ๑ ว่ามันคือ อะไร
หัวข้อที่ ๒ ว่ามันมาจากอะไรหรือว่าเพราะเหตุใด
หัวข้อที่ ๓ ก็เพื่อประโยชน์อะไรในที่สุด
หัวข้อที่ ๔ ว่าจะสำเร็จได้อย่างไร
เราได้พูดกันถึงปัญหาของสังคม แล้วก็มูลเหตุของมัน แล้วก็ผลเลิศ ถ้าว่าเราแก้ปัญหานี้สำเร็จ เดี๋ยวนี้ก็จะพูดในพวก ที่ว่าจะทำโดยวิธีใด
ถ้าเป็นพุทธบริษัท เมื่อมีปัญหาหรือความทุกข์อะไรเกิดขึ้น เขาก็จะ คิดถึงหลักของพระพุทธศาสนา ที่มีอยู่เป็นหลัก ว่า สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง แปลว่า คนเราจะล่วงพ้นความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะสมาทานสัมมาทิฏฐิ นี้มันเป็นหลักที่กว้าง อย่างไม่มีทางผิด คือมันจะถูกในทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าเป็นความทุกข์ประเภทไหน จะเอาชนะได้กันด้วย การมีสัมมาทิฏฐิ นี้สัมมาทิฏฐินี้มันมีหลายแง่หลายอย่างด้วยกัน สัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเข้าใจหรือความเห็น หรือความเชื่อ หรือความรู้อะไรก็ตาม ที่เรียกว่า ทิฏฐิ น่ะแปลว่า ความเห็น สัมมาทิฏฐิ แปลว่า มีความเห็นชอบ เข้าใจชอบ เห็นชอบ รู้ชอบ เชื่อชอบ มันรวมอยู่ในคำๆ นี้ ชอบนี้คือ ถูกต้อง พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เพราะมี สัมมาทิฏฐิ คำว่า สมาทาน นั้นแปลว่า ถือไว้ตลอดเวลา เช่น สมาทานศีล สมาทาน คำว่า สมาทานนี้ แปลว่าถือไว้ตลอดเวลา นี้สมาทานสัมมาทิฏฐิ ก็แปลว่า มันมีสัมมาทิฏฐิอยู่ตลอดเวลา นี้สัมมาทิฏฐิมันเป็นคำกว้าง มีทั้งอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง อย่างโลกนี้ อย่างโลกหน้า อย่างโลกไหน ทั่วไปหมด เราก็จะพูดถึงเรื่องนี้ ให้ทุกแง่ทุกมุม
เฉพาะในวันนี้ จะพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า สื่อสังคม หรือสื่อประสานสังคม ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ คือถูกต้อง สำหรับสิ่งที่เรียกว่าสื่อ นั้นมันมีหลายชนิด คือมันสื่ออย่างนั้น สื่ออย่างนี้ สื่ออย่างโน้น จะต้องพิจารณากันอย่างทั่วถึง วันนี้จะพูดถึงกันเรื่องสื่อสังคมนี่ก่อนเป็นเรื่องแรก ในบรรดาเรื่องที่จะต้องทำด้วยสัมมาทิฏฐิทั้ง หลาย คนมักจะมองกันในแง่ สั้นๆ ตื้นๆ ว่าสื่อนี้ก็เพียงการติดต่อ ก็เลย เอ่อ..ยังไม่แน่ว่า มันจะติดต่อกันในรูปไหน ดีหรือร้าย ก็ยังไม่แน่ งั้นสื่อสำหรับแจ้งเรื่องราวให้ทราบทั่วถึงกันโดยเร็ว นี้มันก็เรียกว่าสื่อได้เหมือนกัน ที่แท้ก็เป็นการโฆษณา ที่สื่อที่จะประสานสังคมนี้มันต้องเป็นเรื่องสื่อของการ ชี้แจง ชักจูง ให้ร่วมมือกันทำตามอุดมคติในการที่จะแก้ปัญหา อย่างนี้มันไม่ใช่การโฆษณา ไม่ใช่สื่อสำหรับเพื่อเพียงให้รู้เรื่องกันเท่านั้น ไม่ใช่โฆษณาขายของ
สื่อที่จะทำให้เกิดความเข้าใจถูกต้อง ให้เกิดความร่วมมือกัน ในการทำ ให้สำเร็จตามอุดมคติเนี่ย เราต้องการในที่นี้ เดี๋ยวนี้ไอ้สื่อสาร หรือว่าสื่อมวลชน หรือที่มันมีๆ อยู่นี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้ ขอให้คิดดูให้ดี พิจารณาดูให้ดีๆ ว่า ไอ้พวกสื่อมวลชน หรือสื่อสังคมที่เรามีๆ อยู่นี่ มันตกอยู่ใต้อำนาจของวัตถุนิยม หรือความเห็นแก่ตัว ชนิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ขอให้สังเกตกันตรงนี้ก่อน ที่เขาสื่อๆ ๆ อะไรกันนี่ มันไม่ใช่สื่อโดยบริสุทธิ์ รับใช้ ทำงานของพระเจ้า ของศาสนา ทำนองนั้นไม่มี มันจะสื่อออกไป เพื่อล้วงเอาอะไรของผู้อื่น มาใส่กระเป๋าของตัว มันมีแต่สื่ออย่างนี้ สื่อที่เป็นยาเสพติด เป็นเครื่องมือหากิน กระทั่งกลายเป็นองค์การค้า เป็นอุตสาหกรรม หากินด้วยการสื่อไปเสีย เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็จะ น้อมไปแต่ในทางที่จะแสวงประโยชน์เพื่อเห็นแก่ตัว ไม่ใช่สื่อที่เป็นบุญ เป็นกุศล ขอให้มองดูว่า ไอ้สื่อๆ มันมีอยู่หลายชนิด อย่างน้อยก็สัก ๓ ชนิด อย่างที่ว่ามานี้ คือสื่อโฆษณาเฉยๆ แล้วก็กระทั่งว่า กลายเป็นเรื่องเอาเปรียบ หลอกลวง
ส่วนสื่อที่แท้จริงนั้น เราหมายถึง การทำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อจะให้เกิดความสัมพันธ์กัน เกิดความผูกพันกัน เป็นการประสานกันให้แน่นแฟ้น ถ้าร่วมใจกันทำให้สำเร็จตามอุดมคติ หรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้ มันยังมีสื่ออย่างอื่นอีกมากมาย สื่อรับจ้าง เช่น แม่สื่อ พ่อสื่อ ไม่ต้องพูดถึง เราจะพูดถึงแต่สื่อที่ เราต้องการ เราก็ต้องดูมันว่า มันมีอะไรบ้าง สำหรับสื่อที่เราประสงค์ในที่นี้ ซึ่งจะให้คำจำกัดความว่า มันเป็นสื่อประสานสังคม ให้ตั้งมั่นอยู่แต่ในทางที่ถูกต้อง อย่าไปคิดถึง หนังสือพิมพ์ อย่าไปคิดถึงวิทยุกระจายเสียง อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันเป็นเพียงเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ ของการสื่อ แล้วไปหลงเรียกมันว่าเป็นการสื่อเสียอย่างนี้
ไอ้การสื่อนั้น มันมีความหมายมากกว่าเครื่องอุปกรณ์ หมายความว่า ต้องทำหน้าที่ ประสานกันได้ตามความประสงค์ ทีนี้ไอ้เครื่องมือ เช่น พวกหนังสือพิมพ์ วิทยุเหล่านี้ เป็นสื่อสำหรับแตกแยกก็ได้ เป็นสื่อสำหรับเอาเปรียบผู้อื่น หากินก็ได้ มันเป็นเพียงอุปกรณ์ที่จะใช้มันอย่างไรก็ได้ เพราะเดี๋ยวนี้เราจะเอามาใช้ในทางบริสุทธิ์ ที่จะสร้างประโยชน์อันแท้จริงให้แก่มนุษยชาติ เพื่อมนุษยธรรมอะไรเหล่านี้ นี้การสื่อนี่ มันได้กับสิ่งที่เรามองข้ามอยู่เสมอ
นั้นข้อแรก ก็อยากจะแนะว่า ให้ ถือเอาความหวัง หรือวัตถุประสงค์ มุ่งหมายที่มันร่วมกัน เราต้องมี ความประสงค์มุ่งหมาย เอ่อ ที่มันร่วมกัน แล้วก็ใช้สิ่งนี้เป็นสื่อสำหรับผูกพัน เช่นว่าทุกคนมีปัญหาเหมือนกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน ลำบากอยู่ด้วยกัน ไอ้อยู่ด้วยกันนี้ก็ล้วนแต่ต้องการจะแก้ปัญหาเหล่านี้ นี่พูดง่ายๆ ทุกคนมันก็อยากจะได้ความสุข ซึ่งหมายถึงความสุขที่แท้จริง ไอ้ความต้องการร่วมกันนี้ มันจะดึงคนเข้ามาหากัน ถ้าเราไม่ต้องการร่วมกันหล่ะ มันไม่เข้ามาหากัน ไม่รักใคร่ผูกพันกัน คนโบราณเขาพูดว่า ไอ้วัวก็เข้าฝูงวัว ไอ้ควายก็เข้าฝูงควายนี้ หมายความว่ามันมีอะไร ที่มุ่งหมายร่วมกัน เดี๋ยวนี้เรายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นความมุ่งหมาย แล้วไม่รู้ว่าอะไรมันร่วมกัน แล้วมันจะรู้ว่าร่วมกันได้อย่างไร ความมุ่งหมายที่ไม่แน่นอน ความมุ่งหมายที่ไม่บริสุทธิ์ ความมุ่งหมายที่มันมีอะไรหน้าฉากหลังฉาก มันก็ เอ่อ มันก็ไม่มีรากฐานคอยเสียตั้งแต่ทีแรกแล้ว ไอ้ความที่จะดึงดูดเข้าหากัน ประสานกันนี้มันก็เลื่อนลอยไป
นี้ถ้าเราจะดูต่อไปอีกว่า ถ้าเรายังไม่มีไอ้สื่ออันนี้ เราก็จะดูต่อไปอีก ว่าไอ้การศึกษา หรือการทำความเข้าใจถูกต้องนี่มันจะช่วย ไม่มีใครค่อยคิดกันหรือพูดกันในลักษณะอย่างนี้ ว่าไอ้การศึกษานี้จะเป็นสื่อที่ดี ถ้ามันเป็นไปถูกต้อง เดี๋ยวนี้มันการศึกษาหลับหูหลับตา ไม่รู้ไปทิศไหนทางไหน มันไปแต่ตามอำนาจของกิเลสตัณหาของมนุษย์ การศึกษาไม่เป็นอิสระ การศึกษาถูกควบคุมด้วยกิเลสของมนุษย์ มันก็ไม่เป็นการศึกษาชนิดที่มันจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อสันติภาพ สันติสุข แม้ว่าจะมีการศึกษาอย่างมากมาย ท่วมไปทั้งโลกนี่
อย่าเข้าใจว่าการศึกษานี่มันจะช่วยสร้างสันติภาพ มันก็จะช่วย ให้โกงเก่ง ให้ทำความแตกแยกเก่ง ให้เอาเปรียบคนอื่นเก่ง ไปเสียเท่านั้นเอง เพราะการศึกษาบางชนิดมันก็ทำให้เวียนหัวมากขึ้น พอเรียนจบก็ได้เป็นฮิปปี้ นี้ก็เป็นผลของการศึกษาเหมือนกัน หมายความว่า ศึกษาที่จะเป็นสื่อทางอุดมคติ ระหว่าง มนุษย์ กับพระเป็นเจ้า ใช้คำอย่างนี้ มันจะเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง ตามแบบของพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าในที่นี้หมายถึงสิ่งสูงสุด ความสุขสูงสุด หรืออะไรสูงสุดที่ควรปรารถนา การศึกษาจะต้องบริสุทธิ์ การศึกษามันเป็น เอ่อ เครื่องช่วยให้ทำความเข้าใจกันได้ ถ้าการศึกษาถูก มันจะทำความเข้าใจได้ถูก มันก็จะเข้าใจกันได้ คือไปเป็นเรื่องเดียวกันไปในทางที่ถูก และยิ่งเรียน เดี๋ยวนี้ยิ่งเรียนมันก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน แล้วพูดตรงๆ ก็ว่า เรียนเพื่อปากเพื่อท้องเท่านั้น ไม่ใช่เรียนเพื่ออุดมคติของมนุษย์ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทั้งโลก มันก็ง่วนกันอยู่แต่ไอ้เรื่องปากเรื่องท้อง ในแขนงต่างๆ ไปๆ มาๆ เพื่อปากเพื่อท้องทุกแขนง ไม่ได้เรียน ความรู้เพื่อเข้าถึงพระเป็นเจ้า ไม่ได้เรียนเพื่อจะ รู้เรื่องที่มันลึกไปกว่า เรื่องปากเรื่องท้อง จนกระทั่งว่า เกิดมาทำไม ก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่เพียงว่า เกิดมาเพื่อปากเพื่อท้อง
การศึกษาชนิดที่มีๆ อยู่นี้ เลยไม่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์ กับสิ่งสูงสุด สิ่งที่ดีที่สุด ที่ประเสริฐที่สุดของมนุษย์ ที่เห็นง่ายๆ ก็ว่ามันไม่นำไปสู่ผลไอ้ดีที่สุด สำหรับมนุษย์ อย่างน้อยไอ้เหตุผล ๔ ประการ ทางจริยธรรม ความเป็นสุขที่แท้จริง ความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์ หน้าที่เพื่อประโยชน์แก่หน้าที่ ไอ้ความรักษาตนนี่ เป็นหลักที่ถือ ในเอาไว้ในที่นี้ว่า มันเป็นสิ่งสูงสุด เป็นจุดหมายปลายทาง หรือว่า เป็นโลกของพระเจ้า โลกของพระศรีอารย์ นี้การศึกษาของเรามันไม่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับโลกของพระเจ้า หรือโลกของพระศรีอารย์ มันเป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับยมบาล นรก เปรต เดรัจฉาน อสุรกายอย่างนี้
ยิ่งเรียนมากยิ่งมีความทุกข์มาก ยิ่งเป็นอันธพาลลึก ยิ่งฆ่ากันเป็นหมื่นเป็นแสน การศึกษาเลยไม่เป็นสื่อระหว่างมนุษย์กับสิ่งสูงสุดของมนุษย์ เราก็โทษใครไม่ได้ เพราะเราไม่มีอำนาจ หรือว่าอะไรกันนัก มันคล้ายๆ กับว่ามันลากกันไปตามบุญตามกรรม ในสังคมของมนุษย์ ผู้เป็นวัตถุนิยมมากขึ้นทุกที การศึกษาก็เศร้าหมอง หรือว่าถูกลูบคลำด้วยกิเลส อยู่ตลอดเวลา ความเข้าใจซึ่งกันและกันมีไม่ได้ เพราะต่างคนต่างเห็นแก่ตัวจัด แล้วจะเอาสื่อมาแต่ไหน แม้ในทางสังคม ให้เกิดความเข้าดีถูกต้องระหว่างกันแหละกันนี้ มันก็ยังมีไม่ได้ เราจึงไม่มีการศึกษา ที่มีความมุ่งหมายร่วมกัน
นี้เราดูต่อไปอีก ก็จะดูที่ การทำการงาน หรือการแสวงหาประโยชน์ ไอ้การทำการงานนี้ ต้องถือว่า เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำหรับสิ่งที่มีชีวิต การงานมันก็คือชีวิต เพราะว่าการงานก็คือ การทำการหล่อเลี้ยงชีวิต ที่จะไม่มีงานนั้น มันเป็นไปไม่ได้ ไอ้นกกระจิบ นกกระจอกมันก็ยังต้องทำงาน ที่เที่ยวหาอาหาร สิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดจะต้องทำงาน แม้แต่รากต้นไม้มันก็ยังต้องดูดน้ำกิน หรือว่าต้องทำอะไรไป ตามเรื่องของสิ่งที่มีชีวิต ที่มันจะต้องทำงาน เพราะงานคือชีวิต ชีวิตคืองาน นั้นการงานมันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในสิ่งที่มีชีวิตโดยเฉพาะคนเรานี่ เพราะว่าเรามีการงานถูกต้องร่วมกัน มีการแสวงหาประโยชน์ที่ถูกต้องร่วมกัน ก็เป็นสื่อที่ประสานที่ผูกพันธ์อย่างยิ่ง เดี๋ยวนี้เรามันมีการงานชนิดที่ว่า ตัวใครตัวมัน การงานก็กลายเป็นการเอาเปรียบกันเท่านั้น
การงานของมนุษย์ที่ถูกกิเลสครอบงำนั้นก็คือการเอาเปรียบคนอื่นมากๆ หรืออย่างดีที่สุดก็ชิงเอาเสียก่อนคนอื่น เราเอาเสียก่อน มันก็แข่งขันกันแต่ลักษณะอย่างนี้ มันก็สร้างความเกลียดชัง ความแตกสามัคคี ความอะไรต่างๆ นั้นสู้สัตว์บางชนิดก็ไม่ได้ สัตว์เดรัจฉาน ไปไหนไปกันเป็นฝูง แล้วก็ทำเหมือนกันหมด แล้วก็อยู่ร่วมกันด้วยความเป็นผาสุข ดังที่ได้พูดให้ฟังวันแรก ว่าชีวิตของสัตว์ประเภท อนาคาริก เช่น ปลาตระกูลที่ไม่อยู่เป็นที่ ตระกูลที่ว่ายกันไปเป็นฝูง ไม่ยึดครองที่ดิน ไม่ยึดครองคู่ผัวตัวเมียอะไรเหล่านี้ มันมีการงานชนิดที่ ไม่เป็นที่ตั้งของความเห็นแก่ตัว
นี้มนุษย์มันเป็นสัตว์ประเภท อาคาริก ยิ่งขึ้นทุกทีอย่างนี้เอง มีอะไรก็ของกูๆ ๆ ๆ มีของรักของกู มากขึ้นๆ ไอ้การงานก็คือ การแย่งกันหาไอ้ของรักของกูนี่ อย่างนี้ไม่มีทางที่จะว่า เป็นสื่อสัมพันธ์ สื่อประสานสื่ออะไรให้มนุษย์ มองดูกันด้วยสายตาแห่งความรัก เข้ากันได้สนิท เหมือนน้ำนมกับน้ำ สำนวนอย่างนี้สำนวนในพระคัมภีร์ นี้เรามองกันด้วยสายตาอันเกลียดชัง อย่างดีก็สายตาอันระแวง มันเข้ากันไม่ได้เหมือนน้ำนมกับน้ำเลย ไอ้เรื่องวัฒนธรรมต่างกัน แล้วก็ไอ้กิเลสต่างกัน อะไรต่างกันนี่ มันเข้ากันไม่ได้ นี่คือการงานหรือการแสวงหาประโยชน์ที่มันไม่อาจที่จะร่วมกันได้ ถ้าทุกคนจะคิด ไปในทางอุดมคติว่า มนุษย์ทุกคนนี้เกิดมาทำไม หรือว่าเกิดมาเพื่อทำโลกนี้ให้งดงาม ให้มันมีวัตถุประสงค์ร่วมกันสักอย่างเดียวเท่านั้น ว่าทุกคนจะต้องเกิดมาเพื่อช่วยกัน ทำให้โลกนี้มันงดงามน่าอยู่น่าดู เพียงเท่านี้ก็จะเป็นเครื่องผูกพัน เครื่องประสาน เครื่องเชื่อมโยงสื่อซึ่งกันและกัน ในลักษณะที่ดี เดี๋ยวนี้มันคิดว่า ตัวเราก็ตัวเรา ตัวเขาก็ตัวเขา ไอ้โลกจะงามหรือไม่งามไม่รู้ ปากก็พูดไปอย่างนั้น ว่ามันจะช่วยมนุษยชาติ แต่ใจมันก็เป็นอย่างอื่น นี่สื่อประสานสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์มีไม่ได้แม้แต่ในเรื่องหน้าที่การงาน มันเห็นแก่ตัว
ทีนี้ก็อยากจะพูดเลยไปถึงว่า การบริโภคผลงาน คือการมีความสุข อันนี้ต้องขอแทรกว่า วิธีการของการเผยแผ่พุทธศาสนา จะสำเร็จประโยชน์ได้ดีก็อยู่ตรงข้อนี้ คือเราเป็นผู้มีความสุขให้เขาดู ไอ้พูดสอนแต่ปาก ไอ้นั่งพูดอยู่แต่ ธรรมาสน์อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ มันก็ได้บ้าง ได้ความรู้เอาไปคิดไปนึก แต่มันไม่ประทับใจ หรือดึงจิตใจมาได้หมด นั้นต้องปฏิบัติให้ดูเสียก่อน ว่าให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ ไม่ได้พูดแต่ปาก แล้วคนก็เชื่อมากขึ้นหน่อย เอ่อ..เชื่อมากขึ้นอีก ทีนี้ถ้าดีกว่านั้น ก็ว่าเป็นผู้มีความสุขให้ดู คือรับผลของการปฏิบัติให้ดูว่า ไอ้การปฏิบัตินี้มันมีผลอย่างนี้จริงๆ อย่างนี้ไม่ต้องพูดกันสักคำเดียวเลยก็ได้ มันพูดทางจิตใจ ทางไอ้ตาที่เห็นอยู่นี้ คนเชื่อ คนรับปฏิบัติทันที
นี่การสอนธรรมะ สอนศาสนาหรือเผยแผ่ ลัทธิอะไรก็ตาม การพูดด้วยปากนี้มีค่านิดเดียว การทำให้ดูมีค่ามากกว่า เพราะการรับประโยชน์ ผลประโยชน์ที่แท้จริงให้ดูนี้มีค่าสูงสุด คนสมัครทำตามเป็นแถว ก็ดูตัวอย่างต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก ในตลาดนี้ พอใครทำอะไรได้ผลได้กำไรขึ้น คนอื่นก็ทำตามเป็นแถว ไม่ได้พูดกันด้วยปากหรอก ทีนี้สอนเรื่องมรรคผลนิพพาน ต้องปฏิบัติ ให้บรรลุมรรคผลให้เห็นอยู่ คนก็สมัครทำตามเอง นั้นขอให้ถือว่า การสร้าง การบริโภคผล การเสวยผลของการงานให้ดูนี้ เป็นสื่อที่ดีที่สุด จะทำให้คนทุกคนทำตามได้ นั้นถ้าประเทศไทยเราถ้าจะเป็นได้ พุทธบริษัทเรา จะเป็นผู้อยู่ด้วยความสงบ ให้ประเทศอื่นๆ ดู ให้คนทั้งโลกดู นี่เขาจะเชื่อเรา จะนับถือเรา จะทำตามเรา
เดี๋ยวนี่เราไปตามก้นเขา มันน่าสังเวช ถ้าเราเป็นไทจริงๆ เราจะเป็นไทจริงๆ จงเป็นไทให้ดู เป็นอิสระให้ดู เป็นพุทธบริษัทแท้จริงให้ดู ก็มีความสงบสุขให้ดู เขาจะทำตามเราทันที เขาจะนับถือ เขาจะเชื่อฟัง นี่การ..ไอ้การ..การบริโภคผลงานให้ดูนี่ มีน้ำหนักมาก มีกำลังมาก นั้นเราจะดึง ผู้อื่น หรือสังคมอื่น มาสู่อุดมคติของเรานี่ เราตั้งหลักในข้อที่ว่า จะเป็นผู้ เอ่อ ได้รับผลดีให้ดู อย่างน้อยก็ปฏิบัติให้ดู พูดกันแต่ปาก มันก็พูดให้ เท่าไหร่ๆ มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เดี๋ยวนี้มันก็มีแต่พูดแต่ปาก ก็ยังพูดเพ้อเจ้อกัน นั้นอย่าพูดกันนัก คือทำให้มาก แล้วทำให้ดี สำเร็จประโยชน์ แล้วก็เสวยประโยชน์นั้นให้ดู ในทุกกรณี
แต่ว่าครูบาอาจารย์ เป็นผู้บริโภคผลของความดีให้ดู คือว่า เป็นผู้ประพฤติดีแล้ว มีความสุขอยู่จริงๆ มีความดีที่น่า น่าๆ ๆ บูชา หรือน่าเอาอย่าง ให้เห็น คนก็ทำตามทันที นี่เราไปสอนเขาไปเฆี่ยนเขา ไปอะไรเขา มันก็ลำบาก ยุ่งยากไปหมด แล้วก็ไม่ได้ผล แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่ใช้วิธีนั้นเสียเลย เพียงแต่เราไม่ไปหวังพึ่งวิธีอย่างนั้น มันเหมือนกับว่า กลิ้งครกขึ้นภูเขา มันลำบาก นั้นเราถือหลักว่า ไม่พูดกันมากแล้วทีนี้ จะปฏิบัติ แล้วก็เสวยผลให้ดู เป็นสื่อที่จะดึง บุคคลรอบๆ ข้าง รอบๆ ตัวนั้น มาสู่ อุดมคติอันนี้ มาเป็นสังคมที่มีความสงบสุขด้วยกัน การทำอย่างนี้ อาตมาเรียกว่าสื่อประสาน สื่อสัมพันธ์ คนอื่นเขาอาจจะไม่เรียกก็ได้ หรือไม่ยอมเรียกก็ได้ มันก็เป็นเรื่องตามใจ ทีนี้เรามันแสดงความคิดเห็นหรือความรู้สึก หรือว่า ไอ้ความเจนจัดอะไรก็ตาม ที่เคยนึกเคยคิด เคยกระทำมาแล้วให้ฟัง แล้วก็อาศัยหลักในพระพุทธศาสนาด้วย
ทีนี้อันสุดท้ายที่ว่ามันเป็นสากลที่สุด กำปั้นทุบดินที่สุด ก็คือ อุดมคติ ถ้าอุดมคติไม่น่านับถือ ไม่น่าเลื่อมใส ไม่น่าไว้ใจ มันก็ทำไปไม่ได้ นี้การแสดงอุดมคตินั้นต้องแสดง แสดงกันทุกท่า ทุกๆ ๆ ทาง การพูดจา การอะไร ก็ให้มันเป็นการแสดงอุดมคติไปหมด การกระทำก็แสดงไอ้ผลของการกระทำ ก็แสดง นี่แสดงอุดมคติด้วยของจริง อย่าพูดแต่ปาก เพราะนั้นเราต้องมีอุดมคติที่เป็นหลัก จะเรียกว่า ปรัชญา หรือจะเรียกว่า ศาสนา หรือจะเรียกว่าลัทธินั้น ลัทธินี้อะไรก็ได้ ที่มันมีอุดมคติ ที่เป็นพุทธบริษัทแล้วง่ายนิดเดียว คือไอ้หัวใจของพระพุทธศาสนานี่ มันเป็นอุดมคติ คนเหล่าอื่น ก็มีศาสนา มีลัทธิ ปรัชญา แม้แต่ว่าลัทธิปรัชญาของตัวเองมันก็มีทั้งนั้น คนจะอยู่โดยไม่มีอุดมคตินั้นไม่ได้ หรือพูดอีกทีหนึ่งว่า คนจะอยู่โดยไม่มีศาสนานั้นไม่ได้ มีฝรั่งหนุ่มๆ มาที่นี่หลายคนถามว่า ถือศาสนาอะไร บอกว่าไม่มีศาสนา ยังแต่จะโพล่งว่า มึงโกหก แต่ว่ายับยั้งไว้ได้ เพราะว่าทุกคนจะไม่มีศาสนานั้นไม่ได้ เพราะมันไม่ถือศาสนาอื่น ที่เขาเรียกชื่อกันอยู่จริงแล้ว มันก็ถือศาสนาเงิน ถือศาสนาเนื้อหนัง
เพื่อนกันคนหนึ่งเขาเล่าให้ฟังว่า พวกญี่ปุ่นที่เข้ามายุ่มย่ามในเมืองเรามากขึ้นนี่ เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าหน้าที่ ก็คุ้นเคยกันดี กินข้าวด้วยกัน คุ้นเคยกันดี ถามว่า คุณถือศาสนาอะไร มันว่าถือศาสนาฮิตาชิ ฟังดู พูดเท่าไหร่ๆ ก็ยังถือศาสนาฮิตาชิ มันเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทฮิตาชิ มาทำหน้าที่ เขาเลี้ยงดูมันอะไรต่างๆ นั้นการที่จะพูดว่า ฉันไม่มีศาสนา มันโกหก มันต้องถือศาสนาแห่งความรัก แก่ความหวัง ความหลง อะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ทุกคนแหละ นี้ศาสนาชนิดที่เห็นแก่ตัวแบบนั้น มันใช้ไม่ได้ เป็นอุดมคติไม่ได้ เขาต้องมีศาสนาที่เป็นศาสนาของพระเจ้า คือของความถูกต้อง ความเป็นธรรมของมนุษย์
ทีนี้ไอ้เรื่อง ปรัชญา มันก็เหมือนกันแหละ ถ้ามันเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ มันต้องมีอุดมคติที่ถูกต้อง มันเพียงสำหรับตอบปัญหา ของทางศาสนามากกว่า ปรัชญามีไว้สำหรับคนขี้สงสัย ถ้าเป็นอย่างคนสมัยก่อนเขาไม่ขี้สงสัย ก็ไม่ต้องมีปรัชญา บอกว่าทำอย่างนี้ เขาทำไป ก็เห็นไป ก็เข้าใจไป ไม่ต้องพิสูจน์ด้วยเหตุผล ด้วย logic ด้วยวิธีการของปรัชญา ยุ่มย่ามไปหมด ศาสนาทุกศาสนามีแง่มีมุมที่จะเอามาพูดในรูปของปรัชญาได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่พุทธศาสนาเราไม่ต้องการอย่างนั้น ต้องการให้ดู เท่าที่เห็น แล้วก็ทำลงไปๆ ๆ มันเป็นลักษณะวิทยาศาสตร์มากกว่าที่จะเป็นปรัชญา แต่แล้วมันก็มีอุดมคติ อุดมคติที่แสดงอยู่ในตัวการกระทำ ไม่ใช่อุดมคติด้วย เหตุผลทางปรัชญา อย่างนี้เป็นอุดมคติกว่า ดูที่ว่าเราจะรักใคร นับถือใคร บูชาใคร มันจะดูที่ อะไรที่มันแสดงออกมาที่บุคลิกภาพของเขา เราไม่เชื่อน้ำมนต์ ไม่เชื่อปรัชญาอะไรของเขา บุคคลอุดมคติ บุคคลอุดมคติก็หมายความว่า เขามีบุคลิกภาพที่แสดงอยู่ อย่าไปเชื่อว่าเขาพูด เขาอะไร เขาถือ เขาอะไร นั้นมันไม่แน่ นี้ถ้าเรามีอุดมคติ ถูกต้อง แล้วก็ร่วมกัน นี่คือสิ่งที่จะรึงรัดจิตใจให้ประสาน ให้สัมพันธ์ ให้ไปด้วยกัน ให้อยู่กันเป็นผาสุข อย่างยิ่ง นี่คือตัวสื่อที่แท้จริง นอกนั้นมันเป็นเพียงอุปกรณ์ของการสื่อ เครื่องมือของการสื่อ เดี๋ยวนี้มีมากเกินแล้ว มีมากเกินจนใช้ จนใช้ผิดๆ ใช้เป็นโทษ เช่นว่าวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ไอ้สิ่งโฆษณาอย่างอื่นนั่นแหละ เราใช้ในทางที่ทำลายโลกนี้ ไม่ใช้ในทางที่จะทำสันติภาพถาวรให้แก่โลก เพราะมีมาก ใช้เพื่อสันติภาพแก่โลกนี้ ไม่ต้องมีมากขนาดนั้นหรอก เพราะมันไม่ค่อยต้องพูดกันมาก เดี๋ยวนี้มันทำขึ้นด้วยอำนาจของกิเลส แล้วก็ใช้ไปเพื่อกิเลส หยั่งวิทยุกระจายเสียงนี่ ก็ดูเถอะมันมีเรื่องทำลายโลก โฆษณาสิ่งที่ไห้เกลียดชังกัน นี่เรื่องการเมืองมีมากกว่าอย่างอื่น ก้องไปทั้งโลก ไอ้โฆษณาขายของก็คือไอ้สิ่งที่หลอกลวงที่สุด ให้คนไปซื้อ ไปหา ไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องมีต้องทำ แล้วไอ้เพลงดนตรีนี่ เดี๋ยวนี้ยิ่งเป็นเครื่องมือของกิเลสมากขึ้น สารคดีก็เป็นทาสของวัตถุนิยม ที่เขาเรียกกันว่าสารคดีในที่ส่งอยู่ ในสื่อ สื่อมวลชนนั้นแหละ ล้วนแต่เป็นทาสของวัตถุนิยม ไม่ได้ทำให้ฉลาดขึ้นเลย มีแต่ไปในทางที่ว่าเพื่อความเจริญทางวัตถุทั้งนั้น สารคดีอย่างนี้ไม่ช่วยโลก ไม่ช่วยมนุษย์
บางนี้ก็ไปทำสิ่งที่ว่า รู้กันเฉยๆ รู้กันสนุกสนาน เป็นอาหารของสมอง ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นี้ก็เรียกว่าสารคดีก็มีมาก ไอ้สารคดีที่จะทำให้มนุษย์รู้จักตัวเอง ให้รู้จักชีวิต ให้รู้จักโลก ให้เป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ กับสิ่งสูงสุดของมนุษย์นี้มันเห็นไม่มี ไม่ค่อยมี การโฆษณาทางศาสนาเดี๋ยวนี้ก็เฉ เขวไป ไปตามก้นวัตถุนิยม นี่เรียกว่ากำลัง เป็นจังหวะที่น่าสงสาร น่าวิตกกังวลที่สุด ที่โลกมันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์สื่อ สื่อแก่กันและกันนี่กลายเป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์มากขึ้น คือเห็นแก่ตัวมากขึ้น
นั้นเรามาดูกันใหม่ โดยหลักของพุทธศาสนาว่า สัมมาทิฏฐิ เท่านั้นที่จะทำให้ล่วงความทุกข์ทั้งปวงได้ สัมมาทิฏฐินี้มันเป็น ความถูกต้อง นั้นต้องให้มีความถูกต้องในสิ่งเหล่านี้ ในการศึกษา อาชีพการงาน ในอุดมคติในอะไรต่างๆ ต้องเป็นไปอย่างสัมมาทิฏฐิ ในทางพุทธศาสนานี้ถ้าพูดว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็คือ คำด่าที่ร้ายกาจที่สุด เพราะเราต้องการสัมมาทิฏฐิ คือบูชาสัมมาทิฏฐิ อยากจะเป็นสัมมาทิฏฐิ เรากำลังขาดไอ้สิ่งที่จะ จะผูกพันมนุษย์ไว้กับสิ่งสูงสุดที่ถูกต้อง คือสื่อที่ถูกต้อง โลกกำลังมีแต่สื่อที่หลอกลวง ไปดูไอ้สิ่งที่มนุษย์กำลังทำกันมากที่สุด ที่ใกล้ๆ ก็ไอ้ความจำเป็นบังคับ เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องการทหาร หรืออะไรเหล่านี้มันเอาความบริสุทธิ์ไม่ได้ ความจำเป็นมันบังคับ เพราะว่ามันกลัวตาย แล้วมันก็กลัวจะเสียเปรียบมันก็ต้องเอาได้ เอาได้เข้าว่า เอาเห็นแก่ตัวเข้าว่า
นั้นไอ้สื่อทั้งหลายที่เนื่องอยู่กับกิจการนี้มันก็เป็นเรื่องหลอกลวง เพื่อประโยชน์ตน ความเห็นแก่ตัวที่ผิดทางที่บังคับไว้ไม่ได้ หรือไม่สามารถจะบังคับ แม้ที่สุดแต่สิ่งที่เรียกกันว่าวัฒนธรรม ที่คุยโว คุยโม้ กันนัก ชาตินั้นก็มีวัฒนธรรม ชาตินี้ก็มีวัฒนธรรม เจริญด้วยวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การติดต่อทางวัฒนธรรมนี่ ดูเถอะวัฒนธรรมคืออะไร ถ้ามันเป็นไปเพื่อความเจริญของมนุษย์ มันก็เรียกว่าวัฒนธรรมได้ แต่ว่าไอ้ว่า ความเจริญทางวัตถุนั้น มันไม่ได้เป็นไปเพื่อ สันติภาพของโลก ทำโลกให้ แต่มันทำโลกให้ลำบาก ความเจริญทางวัตถุ วัฒนธรรมทางวัตถุ เดี๋ยวนี้พอพูดถึงวัฒนธรรมล่ะก็ หมายถึงวัตถุทั้งนั้นแหละ แม้แต่อิฐปูนก็เป็นวัฒนธรรม เป็นมากถึงอย่างนั้น ความหมายที่ถูกต้อง ของคำๆ นี้ ของเดิมไม่ได้หมายถึงวัตถุ หมายถึงจิตใจที่เจริญ นี้จิตใจมันเจริญแล้ว มันก็แสดงออกมาทางวัตถุ สร้างวัตถุที่แสดงความเจริญ เดี๋ยวนี้จิตใจมันทราม มันเห็นแก่เนื้อแก่ตัว แก่เนื้อแก่หนัง แก่ความสุขทางเนื้อหนัง มันสร้างอะไรออกมาในลักษณะที่เลวทรามอย่างเดียวกัน เพราะนั้นดูวัตถุศิลปะของสมัยนี้มันเป็นยังไงบ้าง รูปไม่นุ่งผ้า ขายเป็นแสนๆ นี้แสดงออกมาอย่างนี้ วัฒนธรรมอย่างนี้ มันควรจะเรียกว่า วัฒนธรรมฉิบหาย หรือ หายนธรรมมากกว่า ถ้ามีจิตใจสูงไปในทาง สะอาด สว่าง สงบ เป็นผาสุข แล้วแสดงออกมาเป็นวัตถุ มันก็เป็นวัตถุที่เพื่อความผาสุข ไม่ใช่ยั่วกันให้เป็นทาสของกิเลส ในสมัยหนึ่ง ปืนใหญ่ เรียกว่าวัฒนธรรม พวก อะบิสซิเนีย หรือว่าพวกอิตาลี เอาวัฒนธรรมมาให้ คือปืนใหญ่ เอามายิง ฉิบหายหมด นั่นวัฒนธรรมของฝรั่ง คนป่ามันยังด่าได้อย่างนั้น เขาเรียกว่าความเจริญ แต่เจริญสำหรับขยี้ผู้อื่น ก็เรียกเรื่องนี้ว่า วัฒนธรรม เขาพูดกันว่า ถ้าว่า ใช้ระเบิดปรมาณู ไฮโดรเจนอะไร กันลงมาแล้ว จะทำลายวัฒนธรรมหมด อย่างนี้ก็คือวัฒนธรรมทางวัตถุเท่านั้นแหละ ทำลายเสียให้หมดก็ดีเหมือนกัน จะได้สร้างวัฒนธรรมทางจิตใจกันเสียใหม่ อย่าให้มีวัฒนธรรมวัตถุที่มันล่อลวงคน
ในตำราวัฒนธรรมหรือการสอนไปในทางวัฒนธรรม ในการศึกษาอันสูงสุดของโลกปัจจุบันนี้ เป็นวัฒนธรรมวัตถุ พลอยให้คนมึนเมาบ้าหลังในทางวัตถุ ไม่มีวัฒนธรรมทางจิตใจ ซึ่งมีอยู่ในศาสนาทุกๆศาสนาถูกมองข้ามไป ถูกรังเกียจเดียจฉัน ถูกเหยียบย่ำ เพราะนั้นไอ้สิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรมของสมัยนี้ที่อวดกันนัก ที่ยกขึ้นเป็นเครื่องอ้างอันนี้ ระวังให้ดี มันจะเป็นสื่อ ชนิดที่จะพาลง ไม่ใช่พาขึ้น คือพาลงไปสู่ความตกต่ำ เสื่อมโทรมในทางจิตใจ นี้ดูไอ้สื่อต่างๆ ที่เขาใช้กันอยู่ในเวลานี้ ก็คือการโฆษณาชวนเชื่อ มีวิธีการต่างๆ ทางคำพูด ทางหนังสือ ทางวัตถุ ทางไอ้การแสดงทางกาย ก็ตามใจ มันโฆษณาชวนเชื่อ ก็บอกว่า เพื่อความเป็นผาสุขร่วมกัน อะไรร่วมกันนี่ แล้วก็ทำไปในนามของ ของประเทศชาติ ของศาสนา ของความเป็นธรรม ความอะไรด้วยนะ ว่าเราทำนี้ ทำไปในนามของไอ้ความเป็นธรรม เพื่อมนุษยธรรม เพื่ออะไรอัน สูงสุดในโลกนี้ ปากก็พูดอย่างนี้ แต่ในจิตใจแท้จริงนั้นมันเพื่อประโยชน์ส่วนตัว อย่างนี้ก็เรียกว่า ไอ้สื่อ ที่หลอกลวง ให้รบกัน ฆ่ากัน เป็นหมื่นๆ แสนๆ นี้มันก็ว่าทำเพื่อมนุษยธรรม เพื่อความเป็นธรรม เพื่อความถูกต้อง เพื่อความยุติธรรม ฝ่ายโน้นพูดได้ ฝ่ายนี้ก็พูดได้ แล้วก็ มันก็ได้ฆ่ากัน ตายไปเหมือนกับ เหมือนกับฆ่าเนื้อ ฆ่าปลา นี่เพราะสื่อที่หลอกลวงมันยังมีอยู่อย่างนี้เรื่อยไป เขาเรียกกองโฆษณาชวนเชื่อ ใช้จิตวิทยาสูงสุด โฆษณาให้เป็นผลดีแก่ฝ่ายตนที่สุด เรื่องผิดเรื่องถูกไม่ต้องรู้ ถือว่าเรื่องได้ประโยชน์นั้นน่ะ คือเรื่องถูก นี่ก็ถือศาสนาได้ ได้แล้วก็เป็นดี นี่ตัวอย่างของไอ้สื่อที่มันหลอกลวงโลก ให้โลกหมุนไปใน ในทางที่ว่าจะไม่มีสันติภาพ ไม่มีสันติสุข
นี้มาดูกันอีกทีหนึ่ง ว่าไอ้สื่อที่ควรประสงค์นั้นมันเป็นอย่างไร สิ่งแรกอยากจะพูดว่า ไอ้หัวใจของศาสนา ทุกศาสนา จะเป็นสื่อที่ดีที่สุด แต่แล้วปัญหามากมายเกิดขึ้น ที่ว่า จะควักเอาหัวใจศาสนาทุกศาสนามาหลอมเป็นอันเดียวกันได้อย่างไร เพราะว่า เดี๋ยวนี้ แม้แต่ระหว่างศาสนามันก็เกลียดชังกัน ในนามของศาสนา หรือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของศาสนาโดยตรง มันยังคิดทำลายล้างกัน ศาสนานี้คิดจะทำลายศาสนานี้ เข้ามาแย่งชิงเนื้อที่ของศาสนานี้ ไม่ต้องออกชื่อศาสนาไหน พูดเท่านี้ก็คงฟังกันถูก ว่าไอ้ศาสนาต่อศาสนา มันยัง ก็ยังคิดทำลายกันอย่างป่าเถื่อน มีแผนการณ์ใต้ดิน แล้วเจ้าหน้าที่ของศาสนามันก็ยังป่าเถื่อน ยังคิดจะทำลายศาสนาอื่น มันก็ยัง คิดจะทำลายกันไม่มีที่สิ้นสุด แตกแยกกันในวงศาสนาเอง ศาสนาหนึ่งก็มีหลายนิกาย แต่ละนิกายก็คิดจะทำลายล้างกัน อย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าหัวใจของศาสนาอยู่ที่ไหน ควักออกมาไม่ได้ มันยิ่งลึกๆ ๆ ลงไป นั้นมีแต่สิ่งสกปรกโสมม แสดงเป็นเนื้อเป็นตัวอยู่
ไอ้เรานี่ต้องการควักเอาหัวใจแท้จริงของศาสนาทุกศาสนามาหลอมรวมกัน เพราะคนก็จะไม่มีเขามีเรา ไม่มีพวกนั้นพวกนี้ ความคิดของสมาคมบางสมาคม นับว่าดีที่สุด ถูกต้องที่สุด แต่แล้วมันก็ตัน ตีบตัน ไปไม่ได้ สมาคมที่ตั้งขึ้นเพื่อการทำความเข้าใจระหว่างศาสนานั้นนี่มีมาก ที่ก้าวหน้าที่สุดเรียกกันว่า สมาคมเคียวโตฟีร์ (นาทีที่ 51.31) ก็ยังทำอะไรไม่สำเร็จ พยายามมาตั้ง ห้า หกสิบปี มันยากตรงนี้ ตรงที่ว่า เจ้าหน้าที่ทางศาสนาเอง มันก็เป็นยักษ์เป็นมารไปเสีย ถ้าพูดอย่างอุดมคติ พูดได้ เพราะไอ้ศาสนามีสัตย์ มีหัวใจเหมือนกันหมด ทุกศาสนามีหัวใจที่จะทำลายกิเลสของมนุษย์ ทำลายความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทุกศาสนาจะเป็นอย่างนี้ ไปดูเถอะ ไปดูทุกศาสนา จะพบว่า ไอ้สิ่งที่มันตรงกันทุกศาสนาคือจะทำลายความชั่วร้าย ความเลวทรามของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเห็นแก่ตัว นั้นถ้าเราเอาไอ้ศาสนา มาเป็นสื่อได้ศาสนาที่แท้ คือหัวใจของศาสนาที่แท้มาเป็นสื่อ รวมมนุษย์ชาติให้มันเป็นชาติเดียวในโลกได้ล่ะก้อ เป็นอุดมคติสูงสุด ทำได้หรือไม่ได้ ก็ไปคิดดูเอง ไอ้เรื่องนี้มันอาจจะเป็นไปได้ ถ้ามนุษย์มันสำนึกบาป ความผิด ความชั่ว ความบาปขึ้นมามีมาแล้วแต่หนหลัง เกิดสำนึกกันได้ มันก็จะพูดกันรู้เรื่อง แล้วก็หันมาสนใจศาสนา ควักเอาหัวใจศาสนามารวมกัน เพราะมันเหมือนกัน ก็เลยเป็นคนศาสนาเดียวกันในโลก มันก็ง่าย ที่จะอยู่โดยผาสุข
ตรงนี้ขอบอกเลยว่าพวกเราอย่าโง่ถึงขนาดเห็นว่า ศาสนาทั้งหลายไม่เหมือนกัน แตกแยกกัน ตรงกันข้าม อาตมาก็เคยโง่มาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ค่อยๆ หายโง่มากขึ้น เพราะว่า มันรู้จักมองถึงส่วนลึกของหัวใจของศาสนาทุกศาสนา เขามุ่งหมายที่ทำลายความชั่วร้ายของมนุษย์ทั้งนั้น แต่โดยเหตุที่ว่า ไอ้ภูมิประเทศต่างกัน กินอยู่ต่างกัน วัฒนธรรมต่างกัน คนละยุคคนละสมัย จะให้มันเหมือนกันได้อย่างไร จะให้พูดเหมือนกันได้อย่างไร พันสอง อ้า..สองพันห้าร้อยปีมาแล้ว มีพุทธศาสนา ในประเทศอินเดียที่คนนับว่าฉลาด ภูมิประเทศก็ยังมีความสุข ต่อมาห้า ราวสมมุติว่าห้าร้อยปี เกิดศาสนาคริสเตียน ในหมู่ชนที่มีการเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วต่อมาอีกสัก ๔-๕๐๐ ปี จะเกิดศาสนาอิสลาม ในถิ่นที่แห้งแล้งกันดาร คนไม่รู้หนังสือ โหดร้ายป่าเถื่อนนี้ มันมีวิธีการเหมือนกันไม่ได้หรอก ทั้งที่ความมุ่งหมายเหมือนกัน แล้วมันจึงพูดไว้ในรูปร่างต่างกัน แต่ถ้าเราดูแล้วจะพบว่าหัวใจมันเป็นอย่างเดียวกันคือ จะทำลายความชั่วร้ายของมนุษย์ ในจิตใจของมนุษย์
นั้นเราอย่าไปเห็นว่าศาสนาไหนผิด หรือเป็นข้าศึก ถ้าเอาหัวใจมาเป็นเดิมพันกันแล้วก็ จะไปด้วยกันได้ อย่าไปรังเกียจ อย่าไปรังเกียจศาสนาใดๆ ถ้าเขาทำอะไรมาอย่างน่าเกลียด น่ารังเกียจแล้ว นั่นเขาทำผิดแล้ว ไม่ใช่ศาสนาเขาสอนอย่างนั้น เขาทำผิดเอง แล้วมาดูทางพวกเราสิ มันก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถือพุทธศาสนา แล้วก็ไม่รู้จักพุทธศาสนาสักนิด ว่าทำอะไรผิดหลักของพุทธศาสนาทั้งนั้น โดยบุคคคลก็ดี โดยสมาคมก็ดี สมาคมพุทธศาสนาก็ยังทำอะไรผิดๆ เดี๋ยวนี้เราต้องการจะเอาหัวใจของพุทธ.. ของศาสนาทุกศาสนา มาหลอมกันเป็นสื่อกลาง เป็นจุดศูนย์กลางสำหรับจะดึงดูด รอบด้านเข้ามาหาไอ้อุดมคตินี้ จะเป็นสื่อประสานสัมพันธ์ ผูกพัน กันดีที่สุด ทำให้สังคมมนุษย์มันน่าดู
ที่เขาเรียกกันว่าพระเจ้าๆ นั่นน่ะ อย่าไปเข้าใจ อย่างที่เขาสอนลูกเด็กๆ พระเจ้าเป็นคน หรือพระเจ้าเหมือนกับคนนี้มันไม่ใช่ พระเจ้าคือสิ่งสูงสุด คือเป็นทุกสิ่งหรือว่า มันเป็นกฎ เป็นอำนาจ เป็นพลังอำนาจอันหนึ่ง ซึ่งสูงสุดไม่มีใครสู้ได้ ก็คือ คือธรรมชาตินั่นเอง คือกฎของธรรมชาติ พลังของธรรมชาติ ถ้าพูดอย่างนี้คนเขาไม่เชื่อ ในสมัยนั้นเขาไม่เชื่อ ก็ต้องพูดเป็นพระเจ้า เป็นคน เป็นอะไรที่มัน ที่เขาจะพอใจ จะกลัวและจะรับเชื่อได้ ในพุทธศาสนานี้ก็มีพระเจ้า สิ่งสูงสุดที่ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาเต็มไปหมดนี้ ก็คือกฎของธรรมชาติ แต่เราเรียกว่าพระธรรม ถ้าขยันอ่าน ขยันฟัง สักหน่อยก็จะได้ยิน เคยได้ยินคำนี้ ว่า พระธรรมสร้างมาทั้งนั้น ไม่ว่าอะไรในโลก หรือในจักรวาลนี้ทั้งหมด พระธรรมสร้างมาทั้งนั้น คนโบราณ สมัยปู่ ย่า ตา ยาย เขายังรู้ เขายังพูดถูก ไอ้ลูกหลานสินี้กลับไม่เข้าใจ
คือว่า กฎของธรรมชาติอันสูงสุดนั้น ในพุทธศาสนาก็เรียกว่า ธรรม อันนี้มันเป็นต้นตอ ที่ศาสนาอื่น เขาเรียกว่า sourer (นาทีที่ 58.01 )ของสิ่งทั้งปวง ออกมาจากพระเจ้า ไอ้เราก็มีพระเจ้าเช่นนี้เหมือนกัน นี้เป็นตัวอย่างเพียงเรื่องหนึ่ง ที่มาแสดงให้เห็นว่าเราในยังเข้าใจผิด กันในเรื่องเหล่านี้ทุกเรื่อง เดี๋ยวมองดูหน้ากันไม่ได้ มึงถือพระเจ้ากูไม่ถือ มันก็ต่างกันสิ เป็นปรปักษ์ต่อกันสิ มันล้วนแต่ไม่รู้ทั้งนั้น พวกถือพระเจ้า ก็ถืออย่างงมงาย พวกไม่ถือพระเจ้า ก็ไม่ถืออย่างงมงาย เราถือถูกกันเมื่อไหร่ เมื่อนั้นจะเป็นอันเดียวกันได้
ทีนี้สิ่งถัดมา ที่จะใกล้มือเข้ามาทุกที จะหยิบฉวยมาได้ง่ายขึ้นก็คือสิ่งที่เรียกว่า วัฒนธรรม อีกนั่นเอง จะขอให้เข้าใจวัฒนธรรมให้ถูกต้อง วัฒนธรรมนี้จะไปรวมจุดอยู่ที่หัวใจของศาสนานั้นๆ อย่างวัฒนธรรมไทยนี่ ดูซิ ถ้าเป็นวัฒนธรรมที่แท้จริง ของไทยจริงๆ มันจะออกมาจากหัวใจของพุทธศาสนา ไม่รัก ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่กลัว ไม่อะไรเหล่านี้ ให้อภัยได้เรื่อย ยิ้มแย้มแจ่มใส อ่อนโยน วัฒนธรรมของเรามีหลักอย่างนี้ เพราะมันออกมาจากใจ ของใจ ของพุทธศาสนา พวกอื่นก็อย่างเดียวกันแหละ นั้นวัฒนธรรมที่แท้ต้องเอามาจากหัวใจของสิ่งที่เรียกว่าศาสนา มันเพียงแต่ว่าเอามาทำกันเป็นพื้นฐานทั่วไป ตามบ้านตามเรือนทุกหนทุกแห่ง แล้วในระดับที่ เป็นเรื่องของเรื่องโลกๆ เรื่องของบ้านเรือน มันกลายเป็นขนบธรรมเนียม ประเพณีไป อย่างนี้เราไม่เรียกว่าศาสนา เพราะมาต่ำ มาอยู่ตามบ้านตามเรือน ตามที่ทั่วไปแล้ว เรียกว่าประเพณีบ้าง วัฒนธรรมบ้าง อะไรบ้าง แล้วมันก็ไม่ทิ้งหลักของศาสนาได้ ที่เป็นดังนี้ก็เพื่อว่า ให้มันง่าย เข้าใจง่ายแก่ลูกเด็กๆ หรือแก่คนที่ไม่มีสติปัญญา อย่าให้มันต้องถาม ต้องพูดอะไรมาก ให้มันปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ หรือที่ถือกันอยู่เป็นประเพณีก็แล้วกัน
ทีนี้ไอ้วัฒนธรรมนี้ก็เหมือนกันอีก ถ้าเป็นวัฒนธรรมดีแท้ มันก็จะเป็นเครื่องรับใช้ศาสนา นั้นมันก็เป็นไปตามอุดมคติของศาสนา ก็คือกำจัดความชั่วร้ายของมนุษย์อีกเหมือนกัน จึงจะเรียกว่าวัฒนธรรม ทำความเจริญในทางจิต ทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางวัตถุ สำหรับคำว่า วัฒนะ ในภาษีบาลีนั้น น่าหัวมาก แปลว่า รกขึ้น หรือ หนาขึ้น ไม่ได้หมายว่า ดีหรือชั่ว ถ้าว่ารกขึ้น หนาขึ้น ก็เรียกว่าวัฒนะ ทั้งนั้นแหละ ไอ้หญ้ารกก็เรียกว่าวัฒนะหรือเจริญ หรือว่าผมบนหัวรกนี่ก็เรียกว่าวัฒนะเหมือนกัน ไอ้คำๆ นี้ มันมีแต่ว่า มันมีความหมายได้เพียง มันมากขึ้น หรือหนาขึ้น ต่อเมื่อมาเป็นภาษาไทยนี่เราให้ความหมาย จำกัดความอย่างอื่น กลายเป็นเรียกว่า ดี ว่าในด้านดีด้านเดียว เอาหล่ะก็ถือเอาตามความหมายในภาษาไทย ที่เป็นไปในทางดีด้านเดียว คือว่ามันจะช่วยกำจัดความชั่วร้ายในสังคม ชาติใดมีวัฒนธรรมดี ความชั่วร้ายในสังคมนั้นจะหายาก หรือจะสูญไป เขาใช้วัฒนธรรมเป็นสื่อ
ทีนี้ ก็ถัดไปก็อยากจะให้มองไปในวิธีการอันหนึ่ง ที่มันจะเป็นสื่อได้ดี คือว่าเราอย่าว่าใครดี ใครเลว ใคร อะไรกัน ต่างคนต่างปฏิบัติ ทำ ไอ้ส่วนที่ดีของตน ถือศาสนาไหน ถือวัฒนธรรมไหน ก็ปฏิบัติแต่ที่ดีที่สุด ในวัฒนธรรมนั้น ในศาสนานั้น นี้มันๆ ๆ ตัดไอ้ความกระทบกระทั่งกันได้ ไม่ต้องกระทบกระทั่งกัน ไม่ดูหน้ากัน ในชั้นนี้ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาประพฤติ ปฎิบัติ โดยหลักวัฒนธรรมหรือศาสนาของตน ของตน อ้าว, พอเงยหน้าขึ้นมาที่ไหนได้เป็นอันเดียวกันแล้ว มันก็รักใคร่กลมเกลียว มัน เอ่อ อะไรกัน โดยไม่ต้องยุ่งยากลำบาก เดี๋ยวนี้เรามันคอยดูแต่เรื่องของผู้อื่น อย่างนี้ทางพุทธศาสนาถือว่าผิด ไปดูป็นรู้แต่เรื่องของผู้อื่น เรื่องของตัวไม่ดู ชอบนินทา คนที่มีการศึกษาธรรมะน้อยน่ะ จะไปคอยดูเรื่องของผู้อื่น แล้วเอามานินทา นี่ไปดูเอาเองก็แล้วกัน มีทั่วๆ ไป ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย แต่ใครจะเป็นมากกว่ากันนั้นไปดูเอาเอง ไปมัวดูเรื่องคนอื่น ไม่ก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตนเอง อย่างนี้มันจะเกิดเรื่องตลอดเวลา คือจะเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา นั้นในระหว่างสังคมก็ดี ในระหว่างศาสนาก็ดี ทุกคนก้มหน้าก้มตาทำในเรื่องของตน พอเงยหน้าขึ้นมา ที่ไหนได้ มันดีกันไปหมด มันคบกัน ในสภาพ ในภาวะที่ดี ที่เข้ากันได้ ที่รักใคร่กันได้ กลมเกลียวกันได้ ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาปฏิบัติหน้าที่ หรือว่าอุดมคติของตัวให้ดี เป็นสิ่งที่ดี ที่จะประสานมนุษย์ โดยวิธีอัตโนมัติ ให้เป็นสังคมโลกที่ดี เดี๋ยวนี้มีแต่วิ่งว่อนไปหมด ที่จะไปเที่ยวลักล้วงเอาประโยชน์ของผู้อื่นมาเป็นของตัว หรือว่าไปหาวิธีที่จะ ต่อสู้ แข่งขัน หรือว่าไล่ให้ทันเขา มันมีอยู่แต่อย่างนี้ มีแต่เรื่องของวัตถุ เรื่องของกิเลส ไม่มีเรื่องทางจิตใจ
นี้สิ่งถัดไปก็อยากจะหยิบขึ้นมาพูด คือระบบการปกครอง ระบบการปกครองที่ทำโลกให้แตกแยก กับระบบการปกครองที่ทำโลกให้กลมกลืนกลมเกลียวกัน เดี๋ยวนี้มันก็ก้องไปแต่คำว่า ประชาธิปไตย ทีนี้ก็ดูให้ดีว่า ประชาธิปไตยนี้มันก็คือคนนี่ ทีนี้เมื่อคนทุกคนแสดงอะไรของตนออกมา มันก็คงจะแสดงกิเลสทั้งนั้นแหละ ที่แสดงออกมาเพราะว่ามันเป็นคนที่เต็มไปด้วยกิเลส นั้นประชาธิปไตยก็มีความหมายว่ามีสิทธิเสรีที่จะแสดงกิเลส จะใช้กิเลส น่าหวาดเสียว นี้ถ้าว่าเปลี่ยน ใช้สักคำหนึ่งว่า เป็นธรรมาธิปไตย คำว่า ธรรม นี้ก็ธรรมแท้จริง เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าเอาคน คน คนเป็นใหญ่ ทุกคนก็มีศาสนา เอาหัวใจของศาสนาออกมา แล้วก็เป็นใหญ่ แล้วก็มีการปกครองระบบธรรมาธิปไตย ควบคุมกิเลสของคนไว้เสีย กำจัดกิเลสของคนออกไปเสีย โลกนี้ก็จะน่าดู เดี๋ยวนี้มันเป็นระบบประชาธิปไตยของคนที่มีกิเลส ต่างคนต่างแย่งโอกาส หรือใช้สิทธิเสรีในการที่จะใช้กิเลส เป็นระบอบประชาธิปไตย
นั้นอยากจะ พูดว่า ไอ้การปกครองที่เหมาะแก่โลกทั้งโลกนี้ มันจะต้องระบบธรรมาธิปไตย ถูกต้อง ซึ่งมีอยู่แล้วในทุกศาสนา ดึงเอาออกมาจากศาสนา ของทุกๆ คนในโลก จะร่างรัฐธรรมนูญหรือว่าอะไรก็ตามใจ ให้มันเป็นระบอบธรรมาธิปไตยให้มากเข้าไว้ หาวิธีแก้ไขทุกอย่าง ทุกทาง ที่ให้การปกครองมันเป็นระบบนี้ มันคงจะดีขึ้น การปกครองไอ้ระบบที่ให้ธรรมะปกครองนี้จะ เป็นสิ่งประสานไอ้มนุษย์ ให้อยู่ในขอบ ในเขต ในความเป็นมนุษย์ เหมือนกันทั้งโลก ในที่สุดก็นำไปสู่ ไอ้ผลที่พึงปรารถนา คือความรัก สากล ความรักที่ไม่เราไม่มีเขา สิ่งนั้นก็จะเป็นสื่อที่ดีเหมือนกัน ถ้าเราทำให้เห็นประจักษ์ออกมา สมาคมไหนตั้งขึ้นแสดงความรักสากล บริสุทธิ์ คนอื่นเห็นเข้าก็คงจะเอาอย่าง เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องเขาเรื่องเรา แข่งขันกัน ถือเอาประโยชน์เพื่อสังคม เพื่อสมาคมของตัว ไม่มีความรักสากล ในประเทศๆ หนึ่ง ก็ยังแบ่งแยกเพื่อเป็นศัตรูกัน เป็นนายทุนบ้าง เป็นกรรมกรบ้าง เป็นอะไรบ้าง ความรักสากล แม้ในประเทศเดียวก็ยังมีไม่ได้ นี้ในหมู่บ้านก็ยังมีไม่ได้ บางทีในครอบครัวก็ยังมีไม่ได้ เพราะมันขาดหลักต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ที่อยู่ในรูปของสัมมาทิฏฐิ มันโง่ มันไม่มีสัมมาทิฏฐิ นั้นคำพูด สั้นๆ อย่างลืมเสียว่า สัมมาทิฏฐิ สมาทานา สัพพัง ทุกขัง อุปัจจคุง จะข้ามล่วงก้าวพ้น ไอ้ความทุกข์ ทุกชนิดจะได้ ด้วยการสมาทาน สัมมาทิฏฐิ นี้เรายังจะพูดเรื่องนี้ต่อไปอีก
วันนี้พูดแต่ในเรื่องสื่อสังคมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่อะไรที่ยังเป็นสัมมาทิฏฐิ ยังจะต้องมีอีก แล้วเราจะพูดกันวันหลัง นี่ขอให้พิจารณาดูว่า ไอ้สื่อสังคมนี้เป็นเครื่องมืออันแรก ที่จะแก้ไขปัญหาสังคม ถ้ามีผิดหรือใช้ผิด มันต้องล้มละลาย จะต้องทำให้ถูก ให้มีเครื่องมืออันวิเศษ ให้มีไอ้การกระทำ การใช้เครื่องมือนั้นถูกต้อง สังคมก็จะดีขึ้น อย่าให้มันเป็นเรื่อง เพียงว่า สื่อ จะลากกันไปเป็นฝูงๆ กอดคอเดินกันไป แต่ไม่ใช่เดินไปหาพระเจ้า เดินไปกินเหล้า กินเหยื่อของซาตาน ของพญามาร นี้มันเป็นเสียอย่างนี้ในส่วนน้อยก็ดี ในส่วนใหญ่ก็ดี หรือรวมกันทั้งโลกก็ดี ต่างคนต่างสมัครเป็นลูกน้องของซาตาน ของพญามาร คือความเห็นแก่ตัว ทุกชาติทุกประเทศเห็นแก่ตัว ผูกพันกันเป็นจริงเป็นจัง เพื่อจะไปหา ไอ้ความเป็นอย่างนั้น ไม่ไปหาพระเจ้า พระเจ้าในที่นี้หมายความว่าสิ่งสูงสุดของมนุษย์ ที่มนุษย์ควรจะได้ ทันในชีวิตนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราเรียกว่าพระเจ้า เพื่อให้มันสากลสักหน่อย เพราะว่าคนเขาส่วนใหญ่ในโลกนี้เขาชอบพระเจ้า ในพุทธศาสนานี้ก็มี คือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับนั้นพระเจ้าจริง นอกนั้นพระเจ้าหลอกเด็ก มีเครื่องมือ มีอุปกรณ์ มีวิธีใช้อุปกรณ์นั้นให้คนกอดคอกันไปสู่โลกของพระเจ้า นั่นแหละคือสังคม คือสื่อสังคมที่ดี ที่ควรจะนึกไว้ แม้ว่าจะเป็นความฝัน ที่ยังอยู่ไกล เพราะมันไม่เรื่องอื่น มันไม่มีทางอื่น เดี๋ยวนี้มันอยู่ไกลกับไอ้ความถูกต้องนั้น เพราะว่ามันเดินมาไกลในทางที่ตรงกันข้าม นี่กำลังเป็นจังหวะที่โลกนี้จะวินาศ นี้จะวกกลับทัน หรือไม่ก็คอยดูกันต่อไป นั้นวันนี้ก็พอกันที