แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำบรรยายสำหรับคนลูกของคนเมืองตำปรื้อมีต่อไปตามเคยเป็นครั้งที่ ๗ เราพูดกันในเขตแดนของเมืองตำปรื้อ และก็พูดเพื่อลูกคนเมืองตำปรื้อโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นเราจึงพูดด้วยภาษาและสำเนียงคนเมืองตำปรื้อ เหนื่อยน้อยกว่าพูดบางกอก เดี๋ยวผมลองไปสังเกตดู พูดบางกอกพูดภาษากลางกินแรงงานมากกว่า นี่เราก็ดีกว่าแล้วแหละประหยัดประหยัดแรงงานทุกๆ อย่างมองในแง่ดีกว่าเพราะว่าเขาดูถูกคนเมืองตำปรื้อนี้ วันนี้จะพูดถึง ถึงเรื่อง จะพูดโดยหัวข้อเรื่องว่า หลักพุทธศาสนามีให้เราครบทุกชนิดและทุกชั้น พระพุทธศาสนามีให้เราครบทุกชนิดและทุกชั้น ที่จริงถ้าจะพูดก็พูดว่าหลักธรรมะคือธรรมชาติมีให้ มี ย่อมจะมีให้แก่มนุษย์ครบทุกชนิดและทุกระดับ ทีนี้เราพูดในวงแคบเข้ามาหลักพุทธศาสนาเฉพาะพุทธศาสนาก็มีให้ครบทุกชนิดและทุกระดับ ถ้าเราจะพูดว่าหลักธรรมที่ธรรมชาติมีให้เรา ย่อมจะกินความทั่วทุกศาสนา แม้ไม่ถึงขนาดเป็นศาสนามันก็รวมอยู่ในคำว่าธรรมชาติให้ ธรรมชาติอาจจะให้หรือได้ให้หรือว่ามีให้ ถ้าเราต้องการถ้าเราค้นคว้ามีให้ จะมีให้ ทีนี้พูดว่าหลักพุทธศาสนามีให้เราครบทุกชนิดและทุกชั้นก็แคบเข้ามา ทีนี้อยากจะอวดว่าในแผ่นดินเมืองตำปรื้อนี้มีครบที่สุดแห่งหนึ่งด้วยเหมือนกัน มีเหตุผลมีความจำเป็นที่จะต้องพูดเรื่องนี้กับพวกคุณ เฉพาะ ที่เป็นลูกหลานคนเมืองตำปรื้อ แล้วก็จะมุ่งหมายถึงพวกคุณที่บวชกันคราวนี้ในระหว่างปิดภาคเรียนนี้โดยแฉพาะ ว่ามันมีว่าหลักธรรมมีให้เราอย่างเพียงพอ หมายความว่าภิกษุหนุ่มและสามเณรต้องการจะรู้เรื่องพุทธศาสนาก็จริง และต้องการจะรู้ในส่วนที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าแก่ชีวิต ตามที่ตัวต้องการ นี่ไม่ใช่ดูถูกมองเห็นอย่างนั้นเลย ว่าเด็กๆ หรือว่าคนหนุ่มต้องการอะไร ก็ต้องการเพื่อความก้าวหน้าในชีวิตตามที่ฝันไว้ ถึงแม้จะต้องการกันในแบบนี้พุทธศาสนาก็มีให้ ทีนี้เราจะพูดกันถึงชนิดของคนที่มีหลายชนิด แล้วชนิดหนึ่งมีหลายๆ ชั้นพอสมควรเสียก่อน ชนิดของคนหรือของมนุษย์ในโลก อาจจะแบ่งได้โดยหลักเกณฑ์หลายๆๆๆ หลัก ดังนั้นจึงมีหลายๆ กลุ่ม อันแรกที่สุดอยากจะพูดโดยเอานิสัย นิสัยสันดานเป็นหลัก คนพวกหนึ่งมีนิสัยสันดานชอบใช้ความเชื่อ ชอบจะพึ่งพาอาศัยความเชื่อ ชอบจะเชื่อเป็นเรื่องใหญ่เพราะไม่ต้องการ ไม่ต้องการจะคิดมาก ต้องการจะฝากไว้กับความเชื่อแล้วก็สบายใจ พวกนี้เขามีความเชื่อเป็นเบื้องหน้า
พวกที่สอง มีนิสัยสันดานที่ชอบใช้กำลัง กำลังกายหรือกำลังจิต หวังพึ่งตัวเองด้วยการใช้กำลัง ไม่ใช่กำลังของความเชื่อ เต่กำลังของการที่จะกระทำลงไปทีเดียว ชอบใช้กำลังจะมีความมุมานะ ไม่ฝากไว้กับความเชื่อต้องการจะต่อสู้ที่จะทำลงไปจริงๆ นี่เขาเรียกพวกมีความกล้าหาญใช้ความกล้าหาญหรือใช้กำลัง
คราวนี้พวกที่สามมันต้องการจะใช้ปัญญา จะพึ่งพาอำนาจของปัญญา นับตั้งแต่ว่าไม่ ไม่อยากจะเหน็ดจะเหนื่อยอยากจะหากินกับปัญญา เบาเป็นงานเบา รวมความแล้วมันมีพวกที่จะใช้ความเชื่อเป็นที่พึ่ง ใช้กำลังเป็นที่พึ่ง ใช้ปัญญาเป็นที่พึ่ง ถึงแม้ว่าทั้ง ๓ อย่างนี้จะต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จะต้องมีบ้างทั้งครบทั้ง ๓ นั่นแหละแต่ตามความเป็นจริงนั้นมันมีอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียวออกหน้า เด่นออกมาข้างหน้า จนกลายเป็นนิสัยสันดานของคนนั้น พวกจะมีอย่างนี้เด่นออกมาพร้อมกันทั้งสามอย่างไม่ได้ จะมีอย่างใดอย่างหนึ่งออกหน้า เลยเขายึดเอาอย่างนั้นแหละ ออกหน้าอย่างที่ออกหน้าเป็นหลัก ว่าคนนี้มันมีนิสัยสันดานอย่างนี้ ไอ้หลักการอันนี้เขาได้ใช้มานมนาน ในเรื่องราวทางศาสนาในประเทศอินเดีย จนกระทั่งแม้ว่าพระพุทธเจ้าหรือผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี่ก็ยังแบ่งได้ ๓ พวก ฉะนั้นพระพุทธเจ้าแต่ดึกดำบรรพ์มากเกินไปโน่น มีประเภทที่มีความเชื่อเป็นเบื้องหน้าก็มี ประเภทที่ใช้กำลังจิตเป็นเบื้องหน้าก็มี ประเภทที่ใช้กำลังปัญญาเป็นเบื้องหน้าก็มี แต่ว่าพระพุทธเจ้าของเราที่เห็นชัดในปัจจุบันนี้ในศาสนานี้ใช้กำลังปัญญาเป็นเบื้องหน้า ไม่แต่พระพุทธเจ้าคนทั่วไปก็เหมือนกัน มันมีไอ้ ๓ อย่างนี้เป็นเครื่องวัดเป็นเครื่องแบ่ง ทีนี้เราก็ลองสังเกตตัวเองเรามันชอบอะไร หรือว่าเพื่อนของเราบางคนมันมีนิสัยอย่างไร บางคนมันเชื่อง่ายเป็นนิ เป็นนิสัย บางคนมันเชื่อยากเป็นนิสัย แล้วมันคิดจะบุกเอาด้วยกำลัง บางคนก็ชอบงานเบาชอบใช้ปัญญาอันนี้พอ พอจะพอมองเห็นได้ ไอ้หลักธรรมมันก็มีให้ครบในพุทธศาสนานี้ คนไหนที่ชอบใช้ความเชื่อเป็นหลัก ก็มีวิธีปฏิบัติไปตามแบบนั้น ถ้าใช้ปัญญาเป็นหลักก็มีวิธีปฏิบัติไปตามแบบนั้น แม้ว่าทั้งหมดจะต้องเจือกันเราต้องมีทั้งความเชื่อความเพียรและปัญญาเจือกัน แต่ก็ยังมีนิสัยปัจจัยมี มีอุปนิสัยมีอินทรีย์ บางคนมัน มันก็ยังหนักอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทีนี้มันน่าเห็นใจว่าคนบางคนมันไม่มีกำลังแล้วทำอย่างไร มันเกิดมาไม่มีกำลังทั้งกำลังกายและกำลังใจมัน มัน มันผลักไม่ขึ้นมันฉุดไม่ขึ้น ทีนี้คนบางคนมันเกิดมาไม่มีปัญญานี่จะทำอย่างไร มันไม่อาจจะมีปัญญานี่ มันก็จำเป็นจะต้องฝากเนื้อฝากตัวไว้กับความเชื่อ เพื่อให้เกิดความมั่นใจสบายใจแล้วไม่กลัวแล้วไม่ ไม่มีความทุกข์ได้เหมือนกัน เชื่อพระเจ้าเชื่ออะไรนี่มันก็อยู่ในพวกนี้ เพราะฉะนั้นศาสนาที่เชื่อพระเจ้าหรือเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรก็มีเฉพาะ เขาก็ไม่ ไม่มีความทุกข์ได้เหมือนกันถ้าถือกันให้จริง แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้วคนเรามันมีต่างๆ ควรจะให้เป็นเสรีภาพให้เลือก เรามันมีอะไรเราเหมาะกับอะไรเราก็ทำอย่างนั้นก็แล้วกัน พุทธศาสนาอาจจะให้เสรีภาพหรือว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าศาสนาอื่นตรงนี้ก็ได้ ทีนี้ข้อสังเกตที่สอง คนเราต่างกันโดยเกิดมาในหมู่คนที่มีวัฒนธรรมสอนกันมาให้ ให้พึ่งตัวเอง กับเกิดมาในหมู่คนที่มีวัฒนธรรมเพื่อจะพึ่งผู้อื่น อันนี้มันก็เนื่องมาจากหลักศาสนาหรือว่าหลักวัฒนธรรมประจำชาติ แต่ในที่สุดมันก็เนื่องมาจากศาสนาหรือศาสนาก่อนๆ ซึ่งมีอยู่ก่อน ก่อน ที่ศาสนานี้จะมาถึง เหมือนกับพวกเราพวกเมืองตำปรื้อ พุทธศาสนาเพิ่งมาถึงไม่เกิน ๑,๕๐๐ ปี เมื่อ
ก่อนนั่นมันนับถือศาสนาอะไรมันถือวัฒนธรรมอะไร มันก็ต้องมีอย่างหนึ่งแหละ ถือศาสนาหรือวัฒนธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ก่อน ก่อนที่จะรับพุทธศาสนา มันก็มีนิสัยสันดานที่เกิดมาจากวัฒนธรรม เป็นไปใน ทางที่จะอยากพึ่งตัวเอง หรือว่าชินในการพึ่งตัวเองหรือว่าชินในการพึ่งผู้อื่น ถ้าสมมติว่าศาสนาพราหมณ์มาสอนอยู่ก่อนก็เป็นเรื่องพึ่งผู้อื่นแน่นอน เพราะว่าศาสนานี้มีพระเจ้าสอนให้พึ่งพระเจ้า เราก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขมาในสันดานมีวัฒนธรรมพึ่งผู้อื่น แต่พอพุทธศาสนาเข้ามากลายเป็นศาสนาที่พึ่งตัวเอง นี่มันก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้างแล้วมันก็เปลี่ยนได้เหมือนกัน ทีนี้เราก็มองในแง่ที่ว่า ไอ้คน เรามันมีสันดานที่จะพึ่งตัวเองหรือว่าจะพึ่งผู้อื่น ถ้าจะพึ่งตัวเองไอ้หลักธรรมมันก็มีให้ ถ้าจะพึ่งผู้อื่นหลักธรรมมันก็มีให้เหมือนกัน ฉะนั้นก็ไม่ต้องกลัว อันไหนดีกว่าเลือกเอาอันนั้น หรือในบางกรณีเป็นส่วนน้อยจะต้องผิดแผกแตกต่างออกไปมันก็มีข้อยกเว้นและมีหลักธรรมให้ โดยหลักใหญ่เราพึ่งตัวเองแล้วโดยส่วนน้อยเราจะต้องพึ่งเพื่อนพึ่งเจ้านายอะไรอย่างนี้ มันก็มีหลักธรรมให้ มันมีให้ครบแบบนี้ให้สังเกต ทีนี้อีกแนวหนึ่งอีกชนิดหนึ่งที่ว่า คนเรานี้บาง บางพวกมันมีสติปัญญาน้อยเกือบๆ เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน มันจึงรู้จักแต่เรื่องวัตถุ รู้แต่เรื่องปากเรื่องท้องเรื่องกินเรื่องอะไรอย่างนี้รู้แต่เรื่องวัตถุ เพราะปัญญามันน้อยคนพวกนั้น โดยมากชาวบ้านนอกคอกนาที่ไร้การศึกษา แต่ก็ไม่แน่นะ คราวนี้พวกหนึ่งมันมีสติปัญญามากมันรู้เรื่องที่ลึกซึ้งเรื่องจิตใจเรื่องมโนธรรม เรื่องธรรมเรื่องพระธรรมที่มันสูงกว่าวัตถุ เพราะว่าคนมันรู้จักแต่เพียงวัตถุมันง่ายมันง่ายๆ เขาก็มีหลักธรรมง่ายๆ ให้ ว่าอย่าให้ทำผิดในทางวัตถุ อย่า อย่าได้ทำผิดในเรื่องเกี่ยวกับวัตถุ แล้วคนมันฉลาดมองลึกถึงเรื่องมโนธรรม หลักธรรมในพุทธศาสนาก็มีให้สูงสุด มันก็จะเจริญในทางด้านมโนธรรม ฉะนั้นเวลาพระพุทธศาสนาเข้าไปในประเทศหนึ่ง ซึ่งมีทั้งคนโง่และคนฉลาดนี่นะ ก็ต้องไม่มีอะไรที่เกิดยุ่งยากลำบากกระทบกระทั่ง เมื่อแจกอย่างนี้ให้คนโง่แจกอย่างนี้ให้คนฉลาด เราจึงเรียกว่าโชคดีในการที่จะให้ในการที่จะรับก็ตามมัน มันมีโชคดีเพราะว่าหลักธรรมในพุทธศาสนานั่นมันมีครบ เอ้า, จะพูดยกตัวอย่างอันสุดท้ายอีกอันหนึ่งว่า คนที่มันเจริญเกิดมาหรือเจริญขึ้นมาในถิ่นหรือว่าท่ามกลางธรรมชาติที่ ที่ทารุณโหดร้าย เช่นพวกที่เกิดอยู่แต่ในหมู่ทะเลทรายแห้งแล้งแร้นแค้นลำบากยุ่งยาก กับคนที่เกิดมาในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์มันต่างกันลิบ คนที่เกิดในทะเลทราย แถบอาฟริกาแถบนี้มันก็ไม่เหมือนกันกับคนที่เกิดบ้านเรา ที่เต็มไปด้วยแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ฉะนั้นในธรรมะที่มันจะรับเอาได้มันต้องต่างกันแหละ คนที่ต้องต่อสู้กับธรรมชาติที่ทารุณโหดร้าย มันก็ต้องมีความอดทนมาก แดดก็เปรี้ยงจะเผาให้สุก น้ำก็ไม่มีจะกิน ข้าวก็ไม่มีจะกิน มันไม่มีน้ำและก็ไม่มีข้าว มันก็กินถั่วกินอะไร พวกชาวอาหรับจะกินถั่วบางชนิดเหมือนกับเรากินข้าว ต่อมาเขาแก้ปัญหาได้เขาไอ้ความเจริญอย่างวัตถุ ปัจจุบันแก้ปัญหาให้มีน้ำ หรือมีนาที่ปลูกข้าวได้มันก็เปลี่ยนแปลงไปบ้าง นี่คนก็ต้องต่างกันแหละ ฉะนั้นศาสนาจะรับเอาได้มันต้อง ก็มันต้องคนละแบบ เรียกว่าศาสนาที่มันเกิดขึ้นในดินแดนที่แห้งแล้งที่สุดก็ต้องต่างกับศาสนาที่มันเกิดขี้นในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ นี่เรามันโชคดีแผ่นดินทองหรือแหลมทองหรือว่าสุวรรณภูมินี่มันอุดมสมบูรณ์ ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร เราจึงมีจิตใจที่ไม่กระวนกระวายนัก อาจจะรับเอาหรือเข้าใจธรรมะที่ละเอียดปราณีตสุขุมได้เพราะไม่ต้องมีอะไรต่อสู้มากนัก แต่คนที่มันอยู่ในดินแดนที่มันแห้งแล้งเช่นทะเลทราย อย่างนี้มันก็ต้องมีอะไรกระด้างๆ ให้พออยู่กันไปได้ในท่ามกลางความทารุณโหดร้าย ธรรมชาติก็โหดร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็โหดร้าย มันก็ไม่ไหวที่จะมาทำแบบไอ้นิ่มนวลเหมือนกับเรานี่มันก็ไม่ได้ เอามาพูดนี้เพื่อจะให้คุณเล็งสังเกตดูว่า ไอ้ธรรมะนี้ประหลาดจำเป็นกับคนทุกชนิด และมันก็มีให้กับคนทุกชนิดเหมาะสมเรื่อยไป โดยเฉพาะพุทธศาสนาเราก็มีเรื่องที่ต้องพิจารณา ในฐานะที่มันเกี่ยวข้องกับเราบนดินแดนนี้ บนดินแดน เมืองตำปรื้อนี้อยู่ปลายแหลมมลายู ทีนี้อย่าลืมว่าไอ้คนมันเป็นชนิดไปตามนิสัยสันดาน ตามสิ่งแวดล้อมที่ได้พูดมาแล้ว แล้วมันยังมีแบ่งเป็นชั้นๆ เช่นว่า เป็นเด็ก เป็นหนุ่มสาว เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้สูงอายุ เป็นคนแก่ชรา ผมชอบแนะนำให้พวกคุณสังเกตว่ามันสัก ๕ ชั้นอย่างน้อย เด็กๆ ชั้นหนึ่ง แล้วก็หนุ่มสาวชั้นหนึ่ง แล้วผู้ใหญ่เต็มตัวอีกชั้นหนึ่ง แล้วคนสูงอายุอีกชั้นหนึ่ง แล้วคนชราคนแก่หง่อมอีกชั้นหนึ่ง มันไม่ค่อยเหมือนกัน หรือมันไม่เหมือนกันทีเดียว คน คนผู้ใหญ่ คนสูงอายุและคนชรานี่ไม่เหมือนกัน คนผู้ใหญ่นี่เราหมายถึงว่าคนสักอายุ ๓๕ ปีถึง ๕๐ ปี คนผู้ใหญ่ ทีนี้คนสูงอายุนั่นมันอายุ ๕๐ ปีถึง ๖๐-๗๐ ปีมันไม่เหมือนกัน แล้วคนชราต้อง ๗๐ ปีขึ้นไปแหละ ๗๐ ปี ๘๐ ปี ๙๐ ปีจนถึง ๑๐๐ ปี ถ้า ถ้ามันอยู่ไปได้ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของจิตใจของมันสมองมันต่างกันมาก ปัญหามันก็เกิดขึ้นตามมา ปัญหาที่เป็นความทุกข์มันก็เกิดขึ้นต่างๆ ธรรมะต้องมีให้ครบ ให้พอที่จะใช้แก้ปัญหาได้ทุกชั้น แล้วพวกเราเมืองตำปรื้อนี้ เรียกว่าถือว่าโดยธรรมชาติคล้ายๆ กันอย่างเดียวกัน แล้วมันยังมีเด็กมีคนหนุ่มคนสาวมีผู้ใหญ่มีผู้สูงอายุมีผู้เฒ่า จะมีธรรมะข้อไหนเหมาะกับพวกไหนโดยเฉพาะ มันต้องค่อยพูดกันคราวอื่น เวลานี้ เวลามันไม่พอ ทีนี้ก็ เราก็จะพูดแต่ไอ้ ไอ้หลักเกณฑ์ใหญ่ๆ เกี่ยวกับเมืองตำปรื้อดีกว่า คนในเมืองตำปรื้อนี้ มีเลือดเนื้อเป็นพุทธศาสนาอย่างมหายานในยุคโบ โบราณ แต่เวลานี้กลับมาถือพุทธศาสนาอย่างเถรวาท ที่เรียกว่าสมัยศรีวิชัยนั่นเป็นพุทธศาสนาอย่างมหายาน แล้วพอสิ้น สิ้น สิ้นไป สิ้นไปนี่ก็สมัยสุโขทัยพวกเถรวาทมา แล้วก็กลายเป็นเถรวาทจนบัดนี้ ทีนี้เราไม่นึกบ้างเสียหรือว่ามันถือพุทธศาสนาอย่างมหายานอยู่ตั้งหลายร้อยปี มันก็ฝังในเลือดในเนื้อในวัฒนธรรมในขนบธรรมเนียมประเพณีในจิตในใจ มาเปลี่ยนเป็นเถรวาทนี่มันก็เป็นเถรวาทอย่างลังกา ไม่ใช่มันจะถูกต้องไปทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เถรวาทรุ่นลังกานี้มันก็ เมื่อสัก ๗-๘๐๐ ปีมานี้ที่มา มาประเทศไทย ตกลงว่ามันไม่เต็มไม่ ไม่ถูกต้องเต็ม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์กันทั้งนั้นแหละ ยังไม่พูดได้ว่าไอ้ชนิดไหนมันเป็นแบบเดิมแท้ จะว่ามหายานถูกต้องแบบเดิมแท้ก็ไม่ถูกไม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือจะว่าเถรวาทถูกต้องเป็นของเดิมแท้ก็ไม่ ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เดิมแท้และไม่ใช่ถูกต้องทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ต่างคนต่างมีของใหม่เป็นเนื้องอกเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ คือมันก็จะยิ่งมีอะไรแปลก หรือยิ่งไปกว่าเดิม เช่นถ้าหลวมก็หลวมไปกว่าเดิม ถ้าเคร่งก็เคร่งไปกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไป ลองแยกธาตุพวกเราดู คนเมืองตำปรื้อถือพุทธศาสนาอย่างมหายานอยู่หลายร้อยปีแล้วมาถืออย่างเถรวาทอีกหลายร้อยปี มันก็มีอะไรปนอยู่ครบในนั้น ฉะนั้นในฐานะที่เป็นศาสนาของเราด้วยเลือดด้วยเนื้อมานานก็ควรจะเข้าใจกันบ้าง ทีนี้พูดเรื่อง
มหายาน โดยการเปรียบเทียบมหายานกับเถรวาท เพราะเรามีเลือดมีเนื้ออยู่สองอย่างนี้ จึงต้องเปรียบเทียบในระหว่างสองอย่างนี้มันต่างกันอย่างไร แต่การเปรียบเทียบนี้จะพูดทีละอย่าง พูดทีละฝ่ายในการเปรียบเทียบ ถ้ามันจะยุ่ง ที่จะพูดอย่างว่ามหายานมันเป็นอย่างไร มหายานนั่นตัวหนังสือมันก็บอกอยู่แล้วว่ายานใหญ่ มหาใหญ่ ยานพาหนะ พาหนะใหญ่พาคนไปได้มากพาคนไปได้ไกล พาคนไปได้สูงเขาเรียกตัวเองว่าเป็นมหายาน ทีนี้เรียกพวกอื่นที่ไม่ใช่มหายานว่าเป็นพวกยานเลวยานต่ำยานเล็ก ถ้าพวกมหายานเป็นยานที่เทียมด้วยวัว แล้วก็พวกเถรวาทนี่เป็นยานที่เทียมด้วยแพะ มัน มันเคยพูดกันถึงขนาดนี้ ยานที่เทียมด้วยวัว ยานที่เทียมด้วยกวาง ยานที่เทียมด้วยแพะ เขายกตัวเองว่าเป็นยานที่เทียมด้วยวัว ดีกว่ายานที่เทียมด้วยแพะ มันเล็งถึงความกว้างขวางของหลักการที่จะพาคนไปได้มากหรือน้อย ทีนี้ลักษณะเฉพาะของมหายาน ข้อแรก มันก็ใช้การนึกถึงผู้อื่นมีหลักการให้นึกถึงผู้อื่นทั้งหมด ก่อนนึกถึงตัวเองอันนี้เป็นหลักสำคัญของมหายานที่มีโพธิสัตว์ โพธิสัตว์นี่คือคนที่นึกถึงคนอื่นไม่นึกถึงตัวเอง มันถึงสาบถสาบานว่า ถ้าคนยังไม่พ้นทุกข์กันอยู่ ยังเหลืออยู่แม้แต่คนเดียว เราจะไม่เข้านิพพาน เขาวางรูปคำสาบานไว้ให้อย่างนี้ ถ้าคนในโลกมันยังเหลืออยู่แม้เพียงคนเดียวยังดับทุกข์ไม่ได้เราจะไม่ยอมเข้านิพพาน ก็จะอยู่ช่วยคนสุดท้ายนี่เป็นเรื่องที่น่าขัน เด็กๆ มันก็อาจจะล้อได้ว่า เอ้า, ก็มันเกิดมาเรื่อย เมื่อไหร่จะเป็นคนสุดท้าย โพธิสัตว์ก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องไปนิพพาน จะล้ออย่างนั้นก็ได้เหมือน กัน แต่เขาต้องการให้ว่า ให้มีอุดมคติชนิดนั้นทำได้เท่าไหร่ก็ทำ แล้วมันก็ตายสบายใจด้วยการที่ได้ทำชนิดนั้น เป็นนิพพานอยู่ในตัว อุดมคติมันเป็นเรื่องเห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าตัว คำว่าโพธิสัตว์นี้มันเปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนจากคำว่าสัตว์ที่จะ จะตรัสรู้ เปลี่ยนจากอุดมคติว่าโพธิสัตว์คือสัตว์ที่จะตรัสรู้ มันเปลี่ยนเป็นว่าโพธิสัตว์คือคนที่จะขนคนทั้งโลกไปเลย โพธิสัตว์อย่างมหายานมันไม่เหมือนกับโพธิสัตว์อย่างเถรวาท โพธิสัตว์อย่างเถรวาทนี้มันก็จะพาตัวเองไป และกำลังจะเป็นพระพุทธเจ้าดีขึ้นๆ เขาเรียกว่าโพธิสัตว์ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี แล้วเป็นคน เป็นอะไร เป็นพระเวสสันดรครั้งสุดท้าย แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้านี่เป็นโพธิสัตว์ แต่ส่วนมหายานเขาไม่ ไม่บัญญัติความหมายของโพธิสัตว์ในทำนองนั้น บัญญัติว่าคือผู้ที่จะขนคนไปทั้งโลกเลย มันคล้ายกับว่าเป็นพระพุทธเจ้าเสียเลย หรือว่าการที่จะเป็นพระพุทธเจ้านี้มันต้องการจะขนคนทั้งโลกไปเท่านั้น อุดมคติมันก็เปลี่ยนจากที่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า มากลายเป็นว่าจะช่วยคนทั้ง ทั้ง ทั้งโลก นี่อุดมคติข้อนี้ก็หมายถึงว่ามันนึกถึงคนอื่น ทีนี้มันก็มีแปลกประหลาดที่ว่าไอ้คำว่าคนอื่นนี้ มันเลยไปถึงว่ามันมีหลักการที่จะพึ่งคนอื่น เพราะว่าเมื่อคนคนหนึ่งต้องการจะพาคนทั้งหมดไป ก็กลายเป็นว่าทุกๆ คนนั้นจะต้องพึ่งคนอื่น หลักของมหายานมันจะกลายเป็นจะพึ่งคนอื่น ในเมื่อหลักการของเถรวาทมันจะพึ่งตัวเอง จะช่วยตัวเองจะทำความรอดให้แก่ตัวเองไม่ ไม่พึ่งคนอื่น ไอ้หลักของมหายานมันก็ไปในทางว่าพึ่งคนอื่น มีผู้ที่จะคอยช่วยคนทั้งโลกให้รอดไปได้ รออยู่เสมอพร้อมอยู่เสมอและมีมากด้วย ไอ้นิสัยมันเกิดขึ้นในทางที่จะพึ่งตัวเอง เพราะฉะนั้นหลักเกณฑ์ฝ่ายมหายานมันจึงเปิดโอกาสให้พึ่งพระเจ้าให้พึ่งพระโพธิสัตว์ มันครึ่งๆ น้องๆ มันเจือด้วยศาสนาพราหมณ์ไปเลย เพราะคิดว่าคิดพึ่งโพธิสัตว์นั่นมันก็คือพึ่ง พึ่งคนอื่น ไอ้ที่เราปั้นไว้บนเสาอยู่ในบ่อตรงโน้นก็โพธิสัตว์องค์ใหญ่ นั่นก็เป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่งใน ในหลายๆ องค์ ที่จะช่วย ช่วยสัตว์ ช่วย ช่วยขนสัตว์ ช่วยพาสัตว์ไปเหมือนกับพระพุทธเจ้าแหละเพราะว่าทำตามคำสั่งตามอุดมคติของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อันนี้มันมีลักษณะเหมือนกับพระเจ้าด้วย เป็นผู้ เป็นผู้สนองอะไร เขาเรียกอะไร สนองพระโอษฐ์หรือสนองพระโองการของพระพุทธเจ้า ทีนี้พระพุทธเจ้าก็มีมากมีมากเหลือเกินเขาบัญญัติขึ้นให้มัน มัน มันน่าอัศจรรย์ หรือว่าให้เป็นที่พอพอใจแก่คนทั้งหลาย แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ให้มีมาก มีไอ้พระพุทธเจ้าต้นตอองค์แรกองค์ องค์หนึ่งแล้วก็ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ออกมาจากพระพุทธเจ้าองค์นั้น มากมาย ออกมาเป็นพระพุทธเจ้าชนิดไม่ใช่มนุษย์เป็นพระพุทธ เจ้า เขา เขาเรียกว่า ฌานีพุทธ ทำนองไม่ใช่มนุษย์แต่ก็ว่าไม่ใช่ผี และจากพระพุทธเจ้าชนิดนั้นก็มีพระพุทธเจ้าอย่างมนุษย์ออกมาเป็นคู่เป็นคู่กันไปเลย ฉะนั้นพระพุทธเจ้าของเราองค์นึ้เป็นแต่เพียงหนึ่งในหลายๆ ๆๆ สิบองค์นั่นแหละ แต่พระพุทธเจ้าก็เป็นต้นตอสายนี้เขาเรียกว่าพระพุทธเจ้าอมิตาภะ ออกมาจากพระพุทธเจ้าองค์แรกองค์เดิม อาทิพุทธะ พระพุทธเจ้าอมิตาภะ นี้มีโพธิสัตว์องค์นี้องค์ที่เราทำไว้แล้วรูปนี้ เป็นผู้สนองพระโองการหรือว่าเป็นผู้รับทำให้มันตามความประสงค์ ก็มีลักษณะเป็นเหมือนกับพระเจ้าด้วยเลย เขาจึงเรียกว่าอิศวร อวโลกิต อวโลกิตอิศวร กลัวจะแข่งขันกับพระอิศวรในฝ่ายศาสนาฮินดู แต่คำว่าอิศวรที่คุณเข้าใจคือ คือ คือคำว่าพระเจ้านั่นเอง แต่เราเอาไปให้แก่พระอิศวรของมาฮินดูเสียนานแล้วก็เลย เลยผูกขาดไปเสีย คำว่า อิศวร หรือ อิศร ตามตัวหนังสือนี้ แปลว่า ผู้ ผู้เป็นใหญ่ผู้สูงสุดคือพระเจ้า จะเป็นองค์ไหนก็ตามใจ แต่ถ้าถึงขนาดสูงสุดแล้วก็เรียกว่า อิศวร ก็มีหลายๆ ชนิดหลายๆ คราว นี่เขาเรียกว่า อวโลกิตอิศวร แปลว่าพระอิศวร เป็นเจ้าผู้มองดูโลก คราวนี้เพื่อจะแข่งขันกับศาสนาปรปักษ์ เช่น ศาสนาพราหมณ์ ก็เลยให้พระอวโลกิเตศวร นี้เป็นเสียทุกอย่างเลย เป็นพระเจ้าสำหรับจะดลบันดาลให้คนมีความสุขหรือว่าจะไปอ้อนวอนก็ได้ ถ้าคนมันยังชอบอ้อนวอนในศาสนาพุทธ ถ้าพวกพุทธบริษัทบางพวกที่มันยังไม่มีจิตใจสูงยังชอบอ้อนวอนแล้วก็ อ้อนวอนไอ้ตัวนี้ อวโลกิเตศวร อย่าไปอ้อนวอนกับพระพุทธ เจ้าโดยตรง มันเพียงแต่ว่าให้ในพุทธศาสนามีผู้ที่เป็นเจ้าแล้วก็ได้รับการอ้อนวอน ฉะนั้นไอ้รูปอวโลกิเตศวรจึงแพร่หลายยิ่งกว่าพระพุทธรูป แล้วถึงจะไปติดตั้งที่ไหนก็ติดตั้งเด่นกว่าพระพุทธรูป เพื่อให้คนไปไหว้ไปอ้อนวอนไปทำทุกอย่างที่ตาม แล้วแต่จะต้องการ ฉะนั้นใน ในที่บูชาอันใหญ่โตรโหฐานของราชสำนักก็ตามก็ติดรูปอวโลกิเตศวรตั้งไว้แทนพระพุทธรูป แต่อย่าลืมว่าเป็นผู้รับใช้พระพุทธเจ้านะ มันมีพระพุทธเจ้าอยู่ตรงเหนือหน้าผากนี่องค์หนึ่งเสมออย่างน้อย ยิ่งกว่านั้นจะมีพระพุทธเจ้ามากองค์ บนหัวนี้มีหลายองค์ก็มี ตามบ่าก็มี มีตามมือมือหลายๆ มือแต่ละมือมีพระพุทธเจ้าทั้งนั้น อวโลกิเตศวรมีหลายแบบมากแบบมากมือ มาก ๒ มือก็มี ๔ มือก็มี ๘ มือก็มี ๓๒ มือก็มี บางพวกขยายไปมากจนหมด ตามตัวนี่เต็มไปด้วยพระพุทธเจ้าก็มี อวโลกิเตศวร ทั้งตัวเลยรูปพระพุทธเจ้าติดอยู่ นี่ของเรามีแต่ที่หน้าผาก นี้เรียกว่า โพธิสัตว์โลเกศวร รวบเอาพระพุทธเจ้ารวบเอาอะไรต่ออะไรไว้ที่นั่นหมดเลย พระอิศวรก็อยู่ที่นั่นพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่นอะไรๆ ที่มนุษย์จะต้องการก็อยู่ได้ที่นั่นไปเอาได้ที่นั่น คนก็เลยสบายมันไม่ ไม่ต้องไปถือพระอิศวรฝ่ายศาสนาพราหมณ์ก็ได้ หรือกลัวขึ้นมาโง่นักก็ไปอ้อนวอนอย่างนั้นอย่างนี้ก็ได้ ขอให้ช่วยขอให้โปรดขอลูกขออะไรก็ได้นี่เป็นอย่างนี้ ที่ในญี่ปุ่นยังมีกวน เขาเรียก (นาทีที่ 39.02) แกวนนอน-คันนง (Kannon) คือไอ้ตัวนี้ อวโลกิเตศวร เมืองจีนเขาเรียก กวนอิม ในญี่ปุ่นเขาเรียก (นาทีที่ 39.10) แกวนนอน-คันนง (Kannon) บ้านเราเรียกโพธิสัตว์โลเกศวรเรียกเต็มๆ อย่างต้นตอของเดิมในอินเดียเขาเรียก อวโลกิเตศวร ทำขึ้นเพื่อต่อสู้ศาสนาพราหมณ์เพื่อจะแข่งกับศาสนาพราหมณ์ เพื่อจะรักษาไอ้พรรคพวกของเราไว้ได้ อย่าให้มันไปนับถือศาสนาพราหมณ์นั่นแหละ รูปอวโลกิเตศวรบางรูปเขาทำให้เหยียบพระอิศวรโดยตรงเลยก็มี เล่นสบประมาทกันซึ่งหน้าเลย เราทำรูปอวโลกิเตศวรชนิดนี้ขึ้นมาใต้ ใต้ตีนเหยียบพระอิศวรพระอุมาเลย อย่างนี้ก็ยังมี นี้มันหยาบคาย ตัวนี้หามีไม่ ไอ้ที่บ้านเรานี้ไม่มี มีแต่ที่อินเดียเขาเรียกว่า ตรีโลกวิชัย อวโลกิเตศวรปางเป็น ตรีโลกวิชัยเหยียบพระอิศวรฮินดู เหยียบพระอุมาของฮินดู มันเรื่องเกินขอบเขต นี่มหายานเกินขอบเขตมันเป็นเนื้องอกไปเกินขอบเขตไม่ ไม่ใช่ของเดิม แต่มันก็เจตนาดีที่จะป้องกันตัวเอง นี่ไอ้หลักการของมหายานที่มันต่างกับเถรวาท มันจะช่วยผู้อื่นก็จริงแต่มันก็ต้องพึ่งผู้อื่น มันก็เลยมีที่พึ่งชนิดที่เป็นผู้อื่นคือพระเจ้าแทนที่จะพึ่งตัวเอง ทีนี้ที่เขาเรียกมหายานๆ นี่มันให้มันกว้างออกไปขยายขอบเขตให้กว้างออกไป จนถึงคนโง่ที่สุดก็รับเอาได้ มี มี มีส่วนที่จะเจียด เจียด เจียดให้คนที่โง่ที่สุด ถ้าถือพุทธศาสนาตรงๆ ตามแบบเดิมจะไม่มี มันเป็นศาสนาของผู้มีปัญญาเกินไป จนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จถึง อู๊ย, ไม่สอนแล้วโว้ย คุณคิดดู สิ่งที่ตรัสรู้มันมี มีเฉพาะคนมีปัญญา พระพุทธเจ้าเคยคิดจะไม่สอน แต่ทีนี้มาคิดว่า โอ้ย, มันไม่ใช่โง่ทั้งหมดมันคนมีปัญญามีอยู่บ้าง เราก็จะสอนให้มันเป็นประโยชน์ต่อคนมีปัญญา จึงเผยแผ่พุทธศาสนาที่ได้ตรัสรู้ นี้เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องสำหรับคนโง่ ทีนี้คนโง่ในโลกมันยังมีและมีมาก ทีนี้พวกมหายานเขาเห็นว่าไม่ได้โว้ย ครั้นถ้าเราจะปล่อยให้คนโง่หลุดไปเอาไว้แต่คนปัญญา เดี๋ยวเหลือ ๒-๓ คนแหละ ก็เลยต้องประดิษฐ์หลักการอันนี้ขึ้นมา หลักการที่มี อวโลกิเตศวร คอยช่วยคนโง่ ให้คนโง่เทความเชื่อความหวังอะไรลงไปใน อวโลกิเตศวร ดึงคนโง่ไว้ได้ใน ในพุทธศาสนา เราจะเห็นจริงมันเป็นมหายานมัน มันเก่งกว่าเรามันเก่งกว่าเถรวาท มันมีหลักการที่จะดึงคนโง่เอาไว้ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ทีนี้มันไม่ใช่เฉพาะแต่คนนี่มันเลยไปถึงสัตว์เดรัจฉานเลย ขอให้คนเมตตากรุณาสัตว์เดรัจฉานไม่กินเนื้อ สัตว์เดรัจฉานอะไรนี่ นี้มันไปไกลเกินเถรวาท ฉะนั้นผู้ที่ถือมหายานจะไม่กินเนื้อสัตว์ มันก็มีส่วนดี แต่ส่วนที่ลำบากมันก็มี ส่วนดีก็มี ใครไม่กินเนื้อสัตว์นี่ดีหลายอย่างผมยอมรับ เพียงแต่ว่าทำไม่ได้ก็ยังต้องกินเนื้อสัตว์อยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับว่าไม่กินเนื้อสัตว์นี้ดี คุณไปลองดู ผมเคยอยู่นานเหมือนกันแหละ แต่ทีหลังนี่ปล่อยตามความสะดวก แต่ก็มันไม่ชอบ ที่จริงมันก็ไม่ชอบจะกิน มันรู้สึกสกปรกรู้สึกเหม็น แต่บางทีมันก็เพื่อความไม่ยุ่งยากลำบากมันก็กินเหมือนกันแต่มันไม่เหม็นที่มันไม่สกปรก แต่ขอให้เข้าใจว่าฝ่ายมหายานก็ต้อง การจะขยายไปจนถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย อยู่ในขอบเขตแห่งความเมตตากรุณา ฉะนั้นโพธิ โพธิสัตว์อวโลกิเตศวร นี้เป็นทุกอย่างเป็นทุกอย่างสำหรับสัตว์สำหรับคนสำหรับทั้งหมดเลย หลักธรรมส่วนใหญ่ก็ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ ท่องไว้ดี สุทธิ บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด ปัญญาคือรู้รู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ แล้วเมตตาสงสารเพื่อนรักเพื่อน แล้วขันติต้องอดทน ครั้นจะเมตตาผู้อื่นต้องอดทนแหละ แม่รักเราที่สุดแต่แม่ต้องอดทนเท่าไหร่ มีเมตตาเท่าไหร่ก็ต้องอดทนเท่านั้น ถ้าทุกคนถือหลัก สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ โลกนี้ก็สบาย เป็นโลกที่สบายบอกไม่ถูกเลย นั่นแหละอวโลกิเตศวรมันช่วยโลกนี้ไว้ได้ เพราะว่ามัน มันเพื่อจะทำให้คนมี สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ เขามีอุดมคติลึกดีมาก สูงมาก เหมาะสำหรับทุกคนทั้งคนโง่และคนฉลาด นี่ลักษณะของมหายาน แปลว่า พาหนะอันใหญ่ที่จะขนคนไปทั้งหมด แต่อย่างไรก็ดี มันเนื่องจากที่ว่าเกิดขี้นในประเทศอินเดียใน ในส่วนที่เขาถือศาสนาฮินดูถือศาสนาพราหมณ์กันอยู่เป็นส่วนมาก มันก็เลยยืดหยุ่นให้มันพอไปกันได้ คือให้มีเจตนารมณ์ที่จะเข้ากันได้กับไอ้ กับพระเจ้าในศาสนาพราหมณ์ และด้วยเหตุที่ว่ามันอยู่ใกล้ชิดกันมากมันเลยติดติดติดกันเหมือนกับโรคติดต่อ คือต้องการให้ ให้ ให้ ให้พุทธบริ ให้บริษัทนี่ ให้พุทธบริษัทนี่นับถือ อวโลกิเตศวร เหมือนกับพวกฮินดูนับถือพระเจ้า กลิ่นไอของการถือพระเจ้าอย่างศาสนาฮินดู มันก็มีอยู่ในลัทธิมหายาน คุณไปสังเกตศึกษาเรื่องพิธีที่ใหญ่โตแม้แต่ราชพิธีในวังในอะไรก็มีลักษณะของฮินดูปนอยู่ในพิธีของพุทธนั้นแหละ มันปนเปกันไปแบบนี้ พิธีทางพุทธศาสนามีพราหมณ์หรือฮินดูเจืออยู่โดยเห็นได้ชัด แต่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้กลัวจะอาย นี่อิทธิพลของมหายานที่ยังเหลืออยู่ในหมู่คนไทย แม้ได้เปลี่ยนเป็นนับถือเถรวาทแล้วก็ยังอยู่ คือมีเรื่องของพราหมณ์ของฮินดูมาเจืออยู่ในเรื่องของพุทธศาสนา หลักธรรม เรียกว่าหลักปฏิบัติบางอันมันจึงเปิดช่องไว้ให้ไปถือพระเจ้าหรือไปถือเทวดาหรือไปถืออะไร ซึ่งเป็นของพราหมณ์มาก่อน ทีนี้แม้ถ้าจะมองกันในแง่วัตถุ วัตถุหมายถึงวัตถุศิลปะ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมหรือศิลปกรรมก็ตาม พวกมหายานมันไปชอบอย่างฮินดู มันจึงมีแบบสถาปัตย์หรือศิลปะอย่างฮินดู เช่นสร้างพระเจดีย์สร้างแบบอย่างฮินดูอย่างพราหมณ์ นี่เรียกว่านอกคอก ถ้าเป็นพุทธแท้มันจะสร้างพระเจดีย์แบบพระสถูป แบบพุทธแต่เดิมทีแรกซึ่งมีอยู่ อยู่ในอินเดียทีแรก พระสถูปคือองค์เดียวก้อนเดียวและก็มียอดแหลมมีฐานๆ เดียว มีตัวอันเดียวมียอดแหลมยอดเดียว นั่นนะคือแบบพระสถูป เหมือนแบบเหมือนพระปฐมเจดีย์นั้นเห็นได้ชัด ทีนี้พวกมหายานมันไม่ชอบมันต้อง การให้ ให้เข้ากันได้กับลัทธิที่มีพระเจ้าหรือมีอะไรมากเหมือนพวกฮินดู มันก็ไปรับเอาไอ้สถาปัตย์หรือศิลปะของฮินดูมาทำมากยอดเหมือนกับพระธาตุไชยา ไปดูแล้วไม่ใช่เหรอ พระธาตุไชยากี่ยอดคุณว่า หา, มันจะมีเท่าไร ๙ ยอด ๙ ยอดรอง รองเป็นชั้นๆ ๆ ยอดตรงกลางมันมียอดจริงๆ แหละ แต่มันก็มีด้านละ ๓ องค์รวมกันแล้วเป็น ๙ ลงมาทีละชั้นทีละชั้น ชั้นใหญ่ ใหญ่ขึ้นไป หลาย ๙ รวมเป็นหลายสิบยอดแหละ องค์มันไม่ใช่เกลี้ยงๆ กลมๆ อย่างนั้นไปดูสิ มัน มัน มันศิลปะของฝ่ายพราหมณ์ฝ่ายฮินดูมาก่อน พวกมหายานเขารับเอามาเป็นของพุทธอย่างมหายาน แม้แต่แบบศิลปะมันก็ต่างกัน พระธาตุฯ ที่เมืองนครศรีธรรมราชเขาเชื่อกัน เหมือนกับที่กรมพระยาดำรงฯเขียน คนเขาเชื่อกันว่า องค์เดิมที่อยู่ข้างในองค์ใหญ่เหมือนกับพระธาตุไชยา คือแบบมีเหลี่ยมมากมียอดมากเหมือนกับพระธาตุไชยา คือมันถูกหุ้มถูกปิดเสียทีหลังให้มันดูเกลี้ยงกลมให้เป็นแบบ แบบเถรวาทไปเลย นี่เขาว่าพวกฮิน เอ่อ, พวกลังกา เถรวาทลังกามาขึ้นที่นครศรีธรรมราชนี่แล้วก็มาเปลี่ยนแปลงเสีย คล้ายๆ ว่าเป็น เป็นมหายานนั้นพยายามให้ทำลายหรือให้เปลี่ยนแปลงก็แล้ว แล้วแต่ความเหมาะสม แล้วพวกลังกาก็ถือว่าพวกมหายานนี้ผิด หรือเป็นมิจฉาทิฎฐิเพราะเหตุถืออวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ พวกลังกาบ้าไม่เอา มันจะเคร่งไปตามเดิม เอาพระพุทธรูปล้วนๆ ขึ้นมา แล้วเปลี่ยนแบบพระเจดีย์พระสถูปให้กลับไปหาแบบเดิม คือมีเนิน เนินโค้งๆ เหมือนกับมะนาวผ่าซีกคว่ำลงแล้วใส่ยอดเข้า แล้วก็มีฐานฐานบ้าง นั่นแบบเดิม อยู่ในเมืองตำปรื้อของเรานี่เมื่อก่อนมันมีมหายาน พระเจดีย์ก็แบบมหายาน รูปบูชาก็แบบมหายานคือตัวนี้ ตัวอวโลกิเตศวรนี้ นี่รวมความว่ามัน มัน มัน มันจะตรงกันข้ามเกือบทุกอย่างก็ว่าได้ มหายานกับเถรวาท แล้วจะเปรียบ เปรียบเทียบกันดูว่ามหายานกับเถรวาทเป็นอย่างไร มันก็ตรงกันข้ามจากที่ว่ามาแล้ว มหายานว่านึกถึงคนอื่นก่อน เถรวาทก็ว่านึกถึงตัวเองก่อน มหายานว่าพึ่งคนอื่นพึ่งพระเจ้าพึ่งอะไร เถรวาทว่าพึ่งตัวเอง คราวนี้มหายานว่า เอ้า, ต้องเอาให้หมดคนโง่คนอะไรเอาให้หมด เถรวาทเขาจะเอาแต่คนมีปัญญา นี่พวกมหายานใช้อุบายที่เรียกว่ายืดหยุ่นยืดหยุ่น มีส่วนผสมกับลัทธิอื่นได้ไม่ต้องไม่ต้อง ไม่ต้องตึงเครียดไม่ต้องตัวกูจัดเกินไป ยืดหยุ่นให้คนอื่นเข้ามาปนเปได้แต่ตัวเองก็สมัครจะปนเปกับผู้อื่น ทีนี้ไอ้การที่จะต่อต้านข้าศึกมันใช้วิธียืดหยุ่นหรือสวมรอย ที่จะต่อ ต้านลัทธิพราหมณ์ศาสนาฮินดูมันไปคว้าดีๆ เอาของฮินดูมาใส่เข้าไปในของตัวเองนี่มันเรียกว่าสวมรอย มันฉลาดแกมโกงหรืออะไรแล้วแต่จะเรียก แต่มันเจตนาดีที่จะทำให้ศาสนานี้อยู่ได้ ไอ้เถรวาทตรงกันข้ามหมด แต่ทีนี้มันยังมีสิ่งที่จะต้อง ต้องพิจารณากัน ถ้าจะตั้งปัญหาถามว่าใน ๒ อย่างนี้คือเถ มหายานกับเถรวาทนี้ อัน อันไหนใกล้ของเดิมของจริงของพระพุทธเจ้าที่สุด ก็ต้องบอกว่าเถรวาท ถึงเวลานี้พวก พวกที่ถือมหายานก็ยอมรับ สมาชิกที่ถืออย่างมหายานในเนปาล ทิเบต ญี่ปุ่นมันก็ยังยอมรับว่าไอ้เถรวาทนี่จะเก่ากว่าหรือว่าใกล้ชิดของ เดิมมากกว่า ถึงไม่ร้อย แต่ว่าไม่ใช่ ๑๐๐เปอร์เซ็นต์ ทีนี้ถ้าเอาพวกฝรั่งมาเป็นหลักพวกฝรั่งมันไม่เข้าใครออกใคร มันไม่เคยถืออะไรมาก่อน มันเก่งในการศึกษาค้นคว้าทางโบราณคดี ทางอะไร ในที่สุดพวกฝรั่งลงมติเป็นเอกฉันท์ ว่าเถรวาทใกล้แบบเดิมที่สุดแหละ แต่ไม่ใช่ทั้ง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะเถรวาทมันก็มีอะไรเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน เช่นว่าถ้าเคร่งมันก็เคร่งมากเกินไป นี่เหมือนกับมหา มหายานก็หลวมหลวมเกินไป มันไม่ใช่เดิมแท้ด้วยกันทั้งคู่แหละ แต่อันไหนใกล้เดิมที่สุดต้อง ต้องเป็นเถรวาท หรืออย่างที่เรากำลังถือกันอยู่เวลานี้ ในเถรวาทมันก็มีแบบ แบบที่ไปง่ายๆ เงียบๆ สงบไม่คึกคักไม่ครึกครื้นไม่ ไม่หรูๆ หราๆ อะไรไอ้ข้างมหายานก็ต้องการให้มันแก้ไขไปในทางครึกครื้นหรูหรา ทีนี้เขา เขายอมรับกันอีกทีหนึ่งแล้วว่า ถ้าดูทีเดียวหมดแล้วก็จะพบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่าไอ้พวกเถรวาทที่มันเคร่ง เคร่งวินัย ทีนี้พวกมหายานมันไปเคร่งปรมัตถ์ คือไม่เห็นว่าวินัยเป็นของสำคัญ ไปถือเอาความรู้ทางวิชาทางปรัชญาเป็นปัญญาอะไรเป็นของสำคัญ วินัยก็ไม่ใคร่จะเอื้อเฟื้อ ทีนี้เถรวาทนี่ถือวินัยอย่างเคร่งครัด อย่างเรียกว่าเครียด เคร่งเครียดเลย ฉะนั้นเขา เขาก็จัดให้เป็นคู่ตรงข้ามแหละ ในเมื่อเถรวาทเคร่ง แล้วมหายานมันก็หลวมไม่เคร่ง เถรวาทมันก็เป็นอะไร เป็น Orthodox เป็น Conservative อะไรพวกนี้ ไอ้มหายานก็เป็น Liberal อะไรอย่างนั้นคือเปิดไปตามเหตุผล ไปตามสบาย ไม่ไม่ไม่กักขังตัวเอง เถรวาทก็ยังคงกักขังตัวเองแหละ เช่นว่าเราลงโบสถ์นี่ เราสวดปาฎิโมกข์เรื่องเกี่ยวกับภิกษุณีอยู่นั่นแหละ นี่มันรักษาแบบฉบับมากเกินไป แต่ผมว่าดีเหมือนกัน ไอ้เคร่งไว้ดีกว่าหลวม ฉะนั้นคุณอย่าไป อย่าไปเอาอย่างมหายานในข้อนี้ให้เคร่งๆ ไว้ ถึงจะเคร่งเกินไปบ้างก็ยังดีกว่าหลวม ฉะนั้นอย่าปล่อยตามอารมณ์ปล่อยตามใจอะไรมากให้มันเคร่งๆ ไว้บ้างก็ดี มหายานมันหลวมถือปรมัตถ์ถือสุญญตาถืออะไรชนิดที่ว่าทำให้มันหลวมได้ไม่ต้องเคร่งวินัย เถรวาทก็เคร่งวินัย มันก็ มันก็ ไม่ ไม่มีใครถูกทั้งหมดหรือผิดทั้งหมด ถ้าไปมัวเคร่งวินัยมันก็ติดตันได้เหมือนกัน แต่ว่ามันก็ยังดีกว่าไม่เคร่งในบางอย่างบางแง่ ปล่อยให้มันหลวมมันไปเตลิดเปิดเปิง ทีนี้เราเล่นมาเหนือเมฆเอาปนเข้าไปไอ้ทั้ง ๒ อย่างนี่เราเอาปนเข้าไป เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่าเมืองตำปรื้อของเราเคยมีทั้งมหายานและเถรวาท ในแผ่นดินของเรานี้พวกมหายานมาเหยียบย่ำสั่งสอนไว้แน่นหนาตั้งหลายร้อยปีแหมือนกันนะ จึงเถรวาทเข้ามานะ ฉะนั้นเมืองตำปรื้อไม่รู้ว่าเป็นเถรวาทหรือเป็นมหายาน โดย โดย โดยเนื้อแท้มันมีทั้ง ๒ อย่าง เราก็เล่นๆๆ อะไรเล่นอุบาย หรือเล่นไอ้วิธีที่มันฉลาดเรารวมมันเข้าไปแหละ เอา ๒ อย่างนี้รวมเข้าไป แล้วเลือกเอาใหม่มาเป็นของเรา คุณว่าดีไม่ดี เอาทั้งมหายานทั้งเถรวาทขยำเข้าเสียก่อนแล้วก็เลือกเอาแต่ที่มันดีๆ ผมว่าดี คือมันดีตรงที่ว่ามันจะใกล้ความจริงใกล้ของเดิม ใกล้ของเดิมสมัยพระพุทธเจ้ามากขึ้น เถรวาทก็เหไปทางหนึ่ง มหายานก็เหไปทางหนึ่ง เถรวาทมันเหไปทางเครียดทางเคร่ง ทางเคร่งกว่า กว่า กว่าเป็นจริง ไอ้มหายานก็หลวมหลวมหลวมไปเอามาขยำกันใหม่เอาตรงกลางมีหวังว่าจะได้ดีๆ คล้ายๆ กับของเดิมของพระพุทธเจ้า ก็เลยเป็นว่าไม่เคร่งและก็ไม่หลวม พอดี พอดีคือไม่เคร่งและไม่ ไม่หละหลวม พอดี ตามความรู้สึกของผม ผมถือเป็นหลักผมไม่ ไม่เป็นเถรวาทไม่เป็นมหายาน เป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าเป็นแหละ เถรวาทก็เพิ่งเกิด มหายานก็เพิ่งเกิด ของเดิมเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ เรียกง่ายๆ ว่าพุทธศาสนาที่ถูกต้องแหละ พุทธศาสนาที่ถูกต้องไม่ใช่เถรวาทไม่ใช่มหายาน ทีนี้เราเมืองตำปรื้อนี่ทำได้ง่าย เพราะแผ่นดินของเรามันเคยมีทั้งเถรวาททั้งมหายานฝังรกรากอยู่ในวัฒนธรรม ในจิตใจนิสัยสันดานของประชาชน อาจจะเลือกเอาแต่ที่เหมาะสมที่ดีเท่านั้น ที่เกินก็ไม่เอาที่ขาดก็ไม่เอาที่หลวมก็ไม่เอาที่เคร่งก็ไม่เอา เอาให้พอดีให้ถูกต้องให้พอดี นี่ผมพูดในฐานะที่พูดกับคนเมืองตำปรื้อ คนที่เป็นลูกของคนเมืองตำปรื้อมีโอกาสดี มีช่องทางที่ทำให้ดี อย่าให้พวกบางกอกล้อว่าเมืองตำปรื้อ ถ้าคุณต้องการทำอย่างนี้มันจะ มันจะเกิดไอ้ความถูกต้องขึ้นมา ในศาสนาในพุทธศาสนาในบ้านในเมืองของเรา ไม่เป็นทั้งเถรวาทไม่เป็นทั้งมหายานโดยจิตใจ และก็ไม่ตั้งนิกายใหม่ขึ้นมานะ อย่าไปเสือก ไปตั้งนิกายใหม่อะไรขึ้นมา มันบ้าไปอีกไม่เป็นเถรวาทไม่เป็นมหายานหมายความว่ากลับไปหาของเดิมของพระพุทธเจ้า นี่เราพูดกันแต่คนเมืองตำปรื้อว่าขอร้องให้ถือแบบนี้ แต่หลักเกณฑ์นี่ถือได้ทั่วไปแหละ ทุกๆ ประเทศถ้าถือกันได้แบบนี้แหละดี ลังกาก็อย่าอวด ไอ้พวกเถรวาทลังกา เช่นพม่าที่ไหนก็อย่าอวดเคร่ง เคร่งหลับหูหลับตา พวกจีนพวกญี่ปุ่นพวกทิเบตก็อย่าเตลิดเปิดเปิงไปโน่นไปนี่มากนัก ฝ่ายมหายานก็อย่าๆๆๆหลวมไปเรื่อยไม่มีขอบเขต ฝ่ายเถรวาทก็อย่าเคร่งจนไม่รู้จะเคร่งไป ไปไหนกันเหรอ เคร่งจนจะ จนๆ มันจะงมงายมันจะผิดในความเคร่ง ถือหลักว่าพอดี มัชฌิมาปฏิปทา หรืออะไรก็แล้ว แล้วแต่จะเรียก ให้ถูกต้องและพอดี คุณจำไว้แหละ ถ้าจะให้ผมพูด ผมพูดว่าถูกต้องก็พอ ถ้าถูกต้องต้องพอดี หาต้องพูดว่าทั้งถูกต้องและทั้งพอดีไม่ ถ้าไม่พอดีก็ไม่ไม่ถูกต้องแหละ ทีนี้เราเอาว่าถูกต้องก็แล้วกัน ถูกต้องแล้วมันก็พอดีอยู่ในตัว มัชฌิมาปฏิปทา นี่มันถูกต้อง ถูกต้องทั้งไอ้เนื้อหาสาระถูกต้องทั้งปริมาณถูกต้องทั้งคุณภาพแล้วมัน มันถูกต้องไปหมดแหละ คำว่าพอดีอยู่ในตัว อย่าไปยึดถือไอ้เรื่องเถรวาทเรื่องมหายานให้มันลำบากตัวเองหรือว่าให้มันเกลียดชังซึ่งกันและกัน เลิกเสียแล้วก็เป็นพุทธศาสนาชนิดของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง เอาละวันนี้ก็พูดเท่านี้ขอให้รู้ว่า พุทธศาสนามีให้ครบถ้าเป็นพุทธศาสนาที่ถูกต้องมันก็ต้องมีให้ครบและเพียง พอ ให้คนโง่ก็ได้ได้รอดตัว คนที่ไม่ค่อยโง่ไม่ค่อยฉลาดได้รอดตัว คนที่ฉลาดได้รอดตัว เราจะเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง นี่มันเจืออยู่ทั้งเถรวาทเจืออยู่ทั้งมหายาน ถ้าถือหลักชนิดนี้ ให้เรามีครบและมั่นคงเป็นพุทธศาสนา ที่จะอยู่เป็นที่พึ่งของมนุษย์ได้ทุกชนิดและทุกชั้นเหมือนที่ว่ามาทีแรก พอกัน