แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันเป็นครั้งที่ ๖ นี้ ผมจะชี้ให้เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นหรือควรจะเข้าใจเกี่ยวกับไอ้งานธรรมทูตนี่อีกสักอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นศิลปะของงานธรรมทูต ตัวงานธรรมทูตนั่นมันเป็นสิ่งที่มีค่า มีความหมาย มีลักษณะอะไรเหมือนกับเป็นศิลปะ แต่เราเข้าใจกันไม่ค่อยจะได้ในเรื่องนี้ เพราะไม่เข้าใจคำว่า ศิลปะ หรือว่าเราเข้าใจกันไปเสียกันคนละอย่างคนละทาง ถ้าเราถึงในวงแห่งการพูดจานี่คำว่าศิลปะมันก็เป็นคำที่กำกวม ถูกใช้ในทางดีเลิศก็มี ถูกใช้ในทางคดโกงหลอกลวงก็มี คำว่า ศิลป์ ๆ นี่ก็มักจะหมายถึงไอ้ของหลอกลวง การตลาด ที่จริงควรจะรู้หรือควรจะเข้าใจกันให้ถึงที่สุดแหละ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าศิลป์ หรือจะออกเสียงว่าศิลปะก็ตามใจ คำว่าศิลปะนี่ถ้าแท้จริงตามที่เป็นจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่มีปาฏิหาริย์อยู่ในตัวมันเอง คือ มันสามารถจะจับดึงเอาจิตใจของคนผู้ที่ได้พบเห็นไปได้ตามความมุ่งหมายของศิลปะ ถ้าไม่ถึงขนาดที่ว่าจะจับดึงจิตใจของคนไปได้แล้วก็มันไม่ถึงขนาดที่จะเรียกว่าศิลปะ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องอาศัยพระพุทธภาษิตที่ว่า จงแสดงธรรมให้งดงามในเบื้องต้น ให้งดงามในท่ามกลาง ให้งดงามในเบื้องปลาย แล้วก็ถือว่าเป็นศิลปะ นี่ก็ถูกอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็ตอบความเป็นศิลปะอยู่อย่างยิ่ง ก็อาศัยความงามเป็นกำลัง ไอ้สิ่งที่เรียกว่าศิลปะนั้นมันอาศัยความงามเป็นกำลัง กำลังให้สำเร็จประโยชน์ มันมีองค์ประกอบอย่างอื่น เช่นว่ามันจะต้องมีประโยชน์ด้วย ไม่ใช่งามเฉย ๆ หรือว่ามันจะต้องเป็นของที่ละเอียดประณีตทำได้ยาก น่าอัศจรรย์ตรงที่ว่ามันทำได้ยาก มันเป็นปาฏิหาริย์ตรงที่มันทำได้ยาก ดังนั้นจึงพูดว่าไอ้ศิลปะนี่มันมีปาฏิหาริย์อยู่ในตัวมันเอง ถ้ารู้จักใช้แล้วก็จะสำเร็จประโยชน์ในเรื่องนั้น ๆ หรือจะมองกลับไปอีกทีหนึ่งว่าไอ้ศิลปะนี่เป็นปาฏิหาริย์สูงสุดแหละ ถ้าเกี่ยวกับเผยแผ่ธรรมะ และการปฏิบัติธรรมะ คือเราจะพูดได้ว่าสิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด เป็นปาฏิหาริย์ที่สุด ไม่มีอะไรจะสูงสุดเท่ากับการใช้ธรรมะทำให้กิเลสหมดสิ้นไป อิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ที่ได้ยิน ได้ฟังได้รู้กันอยู่นั้น มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์จริงจังอะไร แต่เป็นเรื่องเด็กเล่นมากกว่า อิทธิปาฏิหาริย์ทั้งหลาย ถ้าปาฏิหาริย์ที่ทำให้กิเลสหมดนั่น มันเป็นปาฏิหาริย์จริงแท้จริง น่าอัศจรรย์จริง สูงสุดจริง การทำให้กิเลสในสันดานหมดไปเป็นยอดปาฏิหาริย์แหละ ถ้าดูในแง่ของการกระทำก็เป็นยอดของศิลปะ ศิลปะอะไรไม่สวยไม่งามไม่ยาก เท่ากับว่าทำให้กิเลสสิ้น ดังนั้นพรหมจรรย์เป็นศิลปะสูงสุด ที่เป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าน่าอัศจรรย์ ก็ไม่มีอะไรน่าอัศจรรย์เท่ากับว่าทำให้กิเลสมันสิ้น เรื่องเหาะเหินเดินอากาศ เรื่องล่องหนหายตัว เรื่องปาฏิหาริย์ นิรมิต นั่นนี่ก็สุดแท้ มันเป็นของเด็กเล่นไปหมด ถ้าเอามาเทียบกับปาฏิหาริย์คือการทำให้กิเลสหมดสิ้นไป นี่เราพูดกันด้วย(นาทีที่ 06.54)วิธีกันก่อนว่า ไอ้ความหมายของศิลปะ หรือความหมายของปาฏิหาริย์ มันหมายความว่าอะไร
พระพุทธองค์ทรงใช้ปาฏิหาริย์อยู่ตลอดเวลาคือทำงานที่ยาก การทรมานคน มิจฉาทิฐิให้เป็นสัมมาทิฐิ เป็นงานที่ยากถ้าทำสำเร็จก็เป็นปาฏิหาริย์ แล้วก็เป็นศิลปะยิ่งยวด คือ มันยาก มันยากอย่างยิ่งแล้วก็มันก็น่าดู น่างดงาม น่าสรรเสริญ น่าพอใจอย่างยิ่ง แล้วท่านทำด้วยอุบาย จะวิธีที่ไม่ต้องมีความยากลำบาก ไม่ต้องมีการรบราฆ่าฟันอะไรกัน ไม่ต้องเดือดร้อน เลือดตกยางออกอะไร มีวิธีแนบเนียน นี่คือความหมายของคำว่าศิลปะ ไอ้ไทยเรา ภาษาไทยเรามันเรียกรวม ๆ กันไปเสียว่าศิลปะ แม้ที่คดโกง หลอกลวง ปลอมเทียม อะไรนั้นก็เรียกว่าศิลปะ ที่จริง เหลือจริง เหลือดี เหลือประเสริฐ ก็ยังเรียกคงเรียกว่าศิลปะ ฝรั่งเขาแยกคำออกเป็น ๒ คำว่าไอ้ศิลปะเทียมมันก็มีคำหนึ่ง ศิลปะจริง จริงที่สุดก็มีอีกคำหนึ่ง Artistic Artistic นี่คือศิลปะแท้ Artificial นั้นก็ศิลปะปลอม แต่ก็รวมเรียกว่า Art เหมือนกัน แต่ธรรมดาคำว่า Art หรือศิลปะนี้จะให้มุ่งหมายไปในทางดีเสมอแหละ แต่เนื่องจากเอามาใช้ในทางโกงทางปลอมทางอะไรได้มันก็เลยยุ่ง คำอะไรนี้ยุ่ง ความหมายมันยุ่ง ในการพูดจาในเมืองไทยเรามันก็เคยใช้คำว่าศิลปะนี่ไปในทางเทียม ของปลอมเทียม นี้เป็นของศิลปะคือเป็นของเทียม พระองค์นี้เป็นพระศิลปะ ก็หมายถึงพระหลอกลวง คำอย่างนี้ผมเคยได้ยินใช้ ได้ยินผู้แก่ผู้เฒ่าเขาใช้ ไอ้พระองค์นี้มันศิลปะ คือมันพระปลอมเทียม (นาทีที่ 09.51) เดี๋ยวเราจะมาดูกันในทางที่ถูกต้อง ไม่เอาไปใช้อย่างที่เรียกว่าปลอมเทียม ก็จะใช้มันอย่างถูกต้อง
ในการเผยแผ่ก็ใช้ หรือกระทำให้มันเป็นศิลปะอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย ฉะนั้นการที่ธรรมกถึกองค์หนึ่งจะสรรหาคำพูด วิธีพูด หรืออะไรก็ตาม มาพูดให้ไพเราะงดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง เบื้องปลาย และสำเร็จประโยชน์ในการโปรดญาติโยมรายนั้นไป นี่มันก็เป็นศิลปะอยู่ในตัวการกระทำ ให้การกระทำเป็นศิลปะอยู่ในตัวได้ ทีนี้ศิลปะนั้นในความหมายอื่นมันก็เป็นอุปกรณ์ได้ เราเอาศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่งเอามาเป็นอุปกรณ์ ไอ้เนื้อเรื่อง เนื้อหาของเรื่องนั้นเป็นศิลปะสูงสุด ความหมายของเรื่อง ก็ยังมีอุปกรณ์เช่นว่า พูดให้มันเพราะ ๆ พูดให้เสียงไพเราะ อันนี้ก็เป็นศิลปะส่วนเสียงไพเราะเข้ามาเป็นองค์ประกอบมาช่วย หรือว่ากิริยาท่าทางให้มันน่าดู ให้มันน่าเลื่อมใส หรือว่าไอ้ประดับประดาตกแต่งทั้งหลาย ให้มันเป็นที่จับอกจับใจ บรรยากาศดี
เขาเตลิดเลยไปถึงกับว่าเอาดนตรี เอาไอ้ภาพอะไรมาช่วยประกอบเข้าอีกด้วย ให้การแสดงธรรม หรือเผยแผ่นี่มันเป็นไปได้มากขึ้น เหลือเป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่กระทั่งบัดนี้ เช่น วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศจบก็มีพิณพาทย์บรรเลง ปาฐกถาจบก็มีพิณพาทย์บรรเลง และเขาเคยทำกันมาอย่างนั้นจริง มันยังเหลือให้เห็นอยู่ พระขึ้นธรรมาสน์มีเพลง ๆ หนึ่ง มันก็มีพระย่างขึ้นสู่ธรรมาสน์มันก็มีเพลงขึ้นธรรมมาส จะใช้เพลงขึ้นพลับพลา หรือเพลงอะไรก็ไม่ทราบ ผมก็ไม่ค่อยจำได้ พอพระเทศน์จบ มันก็มีเพลงอีกเพลงเทศน์จบ พระลงธรรมาสน์ก็มีเพลงอีก นี่ดูว่ามันจะเกินไปก็ได้ ไอ้ศิลปะนี้มันอาจจะเกินไปก็ได้ แต่เขาก็เคยใช้แหละ เคยใช้และสำเร็จประโยชน์ บางทีมันก็สำเร็จประโยชน์ในทางอื่นโดยอ้อมก็มี เช่น คนอยู่ไกล ๆ เขาก็รู้แล้ว โอ้,พระขึ้นธรรมาสน์แล้วโว้ย เตรียมฟังให้ดี หรือว่าพระลงธรรมาสน์จะจบแล้วโว้ย ยิ่งเทศน์มหาชาติก็ยิ่งจำเป็นมากที่ต้องมีอะไรแสดงให้รู้ว่าขึ้นธรรมาสน์แล้ว พูดเทศน์แล้ว ลงแล้วอะไรแล้ว นี่ก็เอาศิลปะมาใช้ประกอบศิลปะ ศิลปะใหญ่จริงแท้ คือ ศิลปะของการเผยแผ่ และมีศิลปะปลีกย่อยอีกมากมายมาใช้ร่วมกันให้มันสำเร็จประโยชน์เต็มที่ ไอ้พวกที่ต้องใช้เขียนก็เขียนเป็นอักษรคือมีศิลปะหรืออะไรไปตามเรื่อง เสียงก็ให้มันเป็นศิลปะ ไอ้ห้องที่สวดพระคัมภีร์ให้ชาวบ้านฟัง ยังหอมด้วย
ในอินเดียผมเคยไปเห็นหลายแห่ง ไอ้โบสถ์ที่เขาจะสวดพระคัมภีร์ให้ชาวบ้านไปนั่งฟังนั่นแหละหอมด้วย มีดนตรี มีรูปสวย ๆ มีภาพพระเจ้าสวย ๆ ยืนอยู่ด้วย มันรวมกันเข้าหลาย ๆ ชนิดหลาย ๆ อย่างมันก็มีอิทธิพลมากต่อในการที่จะจูงใจคน แต่อย่างไรก็ดีนี่มันเป็นของทีหลัง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ใช้อุปกรณ์มากอย่างนี้ เพราะว่าท่านเป็นศิลปินเอก ท่านสามารถจะใช้ไอ้ตัวงานกิจการแท้ ๆ แหละเป็นศิลปะ สำเร็จประโยชน์ได้ ด้วยพระปรีชาญาณปฏิภาณอะไรของท่าน พูดพาคนไปได้ ฉะนั้นไปอ่านสูตรบางสูตรซึ่งมีอยู่มากเหมือนกันในพระไตรปิฎก สูตรพิเศษคือแปลกออกไป บางสูตรเขาจะมีเรื่องแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ทรงใช้ปาฏิหาริย์ คำพูดท่านเป็นปาฏิหาริย์ แล้วก็สำเร็จประโยชน์ตรงที่กลับใจ หรือเอาชนะบุคคลคนนั้นได้ เช่น พราหมณ์ขี้เหนียว ขี้ตืด ขี้ตัง หรืออะไรท่านชนะได้ และยังมีวิธีต่อ ๆ ไปอีก เช่น พอพราหมณ์ยอมถวายอาหาร ไอ้พราหมณ์ขี้เหนียวคนนั้นยอมถวายอาหาร พระพุทธองค์ก็สั่งให้เอาไปเททิ้งในหนองน้ำโดยบอกว่าอาหารชนิดนี้ไม่ควรกิน นี่มันก็ยิ่งเป็นศิลปะมากขึ้นไปอีก อาหารที่ได้มาด้วยการโต้ตอบกับคาถา คำคาถา อะไรนี้ได้มาด้วยเหตุนี้ อาหารนี้ไม่ควรกินเอาไปเทในหนองน้ำ ยิ่งทำให้เขาเลื่อมใส หรือยอมมากขึ้น
ฟังดูถ้อยคำของพระเยซู ก็พอจะมองเห็นว่า มีความหมายของศิลปะ ที่ชวนชาวประมงอย่าจับปลาเลยไปจับคนกันดีกว่า แล้วก็พาคนตอนนั้นไปเป็นสาวกชุดแรกสี่ห้าคน คำว่าไปจับคนกันดีกว่า มันมีความหมายแยบคายพิเศษ ลึกซึ้ง หรือก็เป็นศิลปะเพราะว่าจับคนนั้นมันไม่ใช่มีใครเคยพูดหรือเคยกระทำกัน ดังนั้นเราจะเป็นที่ยุติกันว่า ไอ้การเผยแผ่ธรรมะนี่มันเป็นศิลปะ คือ ยากและงดงาม คือมีประโยชน์สูงสูด คือเป็นงานละเอียด งานฝีมือละเอียด อย่างเราจะทำของเล่นสักอย่างใช่ไหม มันก็ฝีมือละเอียดมันจึงจะเป็นศิลปะ มันทำยากฝีมือละเอียด แล้วก็มันงามนะ มันมีความงามเป็นความหมาย แล้วก็มันมีประโยชน์ ประโยชน์อันละเอียด ประโยชน์อันสูงสุด นี่เราลองคิดกันดูบ้าง ตั้งอกตั้งใจสนใจที่ว่าจะไปเทศน์ จะไปปาฐกถา จะไปอะไรก็ตามให้มันมีลักษณะเป็นศิลปะ หากเขาบัญญัติไอ้ความหมายของคำว่าศิลปะไว้ในต่าง ๆ ๆ ๆ กันในตำราในอะไรผมก็ไม่ค่อยสนใจแหละ และผมก็ไม่ค่อยชอบที่จะเอาตามคนอื่น เราจะเอาตามที่เราได้สังเกตดูแม้ว่าของเขาพูดไว้อย่างไรก็เอามาพิจารณาดูเหมือนกันแหละ แต่แล้วเรามันมักจะสรุปเอาของเราเอง ว่าคำว่าศิลปะนี้มันจะต้องงดงาม เป็นความหมายเบื้องหน้า แล้วมันก็ประณีต ละเอียด คือทำยาก แล้วมันมีประโยชน์มาก
ทีนี้คำว่าประโยชน์มากนั่นแหละเอามาใช้ให้ถูก (นาทีที่ 19.33) ไอ้พวกที่มันพูดว่าศิลปะเพื่อศิลปะ มันก็ทำเป็นบ้าเป็นหลังเราดูไม่ออกว่าศิลปะ ไปดูเกือบตายก็ไม่เห็นว่าอันนี้มันจะเป็นศิลปะได้ยังไง ภาพเขียนบางภาพ ของแกะสลักบางอัน เราดูไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร นั่นมันของพวกศิลปะเพื่อศิลปะ เดี๋ยวนี้เขาก็ว่าศิลปะเพื่อประชาธิปไตย ศิลปะเพื่อจะรับใช้ประชาชน ถ้ามันหัวซ้ายจัดมันก็ว่าศิลปะเพื่อทำลายนายทุน ศิลปะของไอ้พวกคนรุ่นหลัง คือ ศิลปะเพื่อจะแก้ปัญหาสังคม คือแก้ปัญหาสังคมของไอ้คนพวกนี้ก็ไม่มีอะไร นอกจากเป็นฝ่ายซ้ายและทำลายนายทุน เขาก็ให้ความหมายกันอย่างนั้น ใช้กันอย่างนั้น เราไม่เอา เราไม่เล่นด้วย เราไม่เอาด้วย ในความหมายอย่างนั้น หรือใช้กันอย่างนั้นไม่เอา เรามีความมุ่งหมายจะจับคนเหมือนพระเยซูว่า เราจะใช้ศิลปะในทุกแง่ทุกมุม ไปจับคนเอามาให้ได้ คือจับอะไร ก็จับหัวใจเขามา เอาหัวใจเขามาให้ได้ แล้วหัวใจของเขาก็คือทิฐิของเขา เมื่อคืนก่อนผมก็ได้พูดแล้ว จนได้ขอร้องด้วยให้สนใจคำนี้เป็นพิเศษ ในฐานะมีความหมายใหม่หรือแปลก ว่าทิฐินั่นแหละมันคือคน ๆ นั้นไม่ใช่คนนั้นเป็นเจ้าของทิฐิอะไรอีกที ไอ้ตัวทิฐิว่าอย่างไรคือตัวคน ๆ นั้น เขามีทิฐิว่าอย่างไร เขาจะคิดอย่างนั้น จะรู้สึกอย่างนั้น จะบริหารร่างกายอย่างนั้น จะคิด จะพูด จะทำ จะอะไรทุกอย่าง อย่างนั้นเป็นตามทิฐินั้นเสมอ ดังนั้นทิฐิอย่างไรมันก็คือคน ๆ นั้น
ที่เราไปจับคน ก็คือไปจับทิฐิเขามา ถ้าเขาเป็นมิจฉาทิฐิ ก็จับเอามาทำให้มันเป็นสัมมาทิฐิเสีย คือเปลี่ยนเสียให้มันมีประโยชน์ พูดเป็น ปุคคลาธิษฐาน หน่อย มันก็จับมาเป็นคนของพระเจ้า จับมาเป็นคนของพระเป็นเจ้า พูดเป็นธรรมาธิษฐาน ก็ว่ามาเป็นคนของพระธรรม มาถึงธรรม มาเข้าถึงธรรม ไอ้หลักการมันมีอยู่ มันเป็นหน้าที่ของพระศาสดาที่จะต้องทำให้คนพ้นทุกข์ ก็ไปจับคนเอามาเสียจากกองทุกข์ เอามาสู่ความพ้นทุกข์ นี่คือการจับคน ซึ่งคนที่เห็นแก่ตัวมันทำไม่ได้ ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็จับเอามาใช้เพื่อประโยชน์ของตัว ก็ยิ่งไม่เป็นการทำที่ถูกต้อง เหมือนกับจับคนเอามาใช้เป็นประโยชน์แก่ตัวนี้ไม่ใช่เรื่องเผยแผ่พระธรรม ไม่ใช่เรื่องประกาศพรหมจรรย์ เรื่องประกาศพรหมจรรย์ต้องเป็นเรื่องจับมาให้พ้นภัย ให้พ้นอันตราย จะเรียกว่าปลดปล่อยก็ได้ เมื่อก่อนเขามาถูกผูกพันอยู่ในกองทุกข์ นี่เอามาเสียจากกองทุกข์ จะเรียกว่าปลดปล่อยเป็นภาษาคอมมิวนิสต์ก็ได้ แต่มันคนละความหมาย ปลดปล่อยทางการเมือง ทางภาษาคอมมิวนิสต์มันก็เหมือนกับที่เขากำลังปลดปล่อยกันอยู่ แต่ถ้าปลดปล่อยในภาษาพระพุทธเจ้าแล้วก็ ปล่อยคนออกไปจากอำนาจของกิเลส เพราะว่ากิเลสครอบงำเขาอยู่ ผูกพันเขาอยู่ ก็ปล่อยคนให้หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส ที่เรียกว่าวิมุต วิมุต ทำให้มันหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส หลุดพ้นเองแล้วก็ช่วยผู้อื่นให้หลุดพ้นได้ด้วย เป็นงานของพระพุทธเจ้า
ไอ้ตัวศิลปะประเสริฐที่สุด มันอยู่ในตัวการกระทำนั้นแล้ว ทีนี้พอตกมาถึงไอ้คนที่มันไม่ค่อยมีปัญญา ไม่สามารถ มันก็เอาศิลปะปลอม ศิลปะยั่วยวน ศิลปะอะไรมาประกอบไอ้การกระทำ เกิดพิธีรีตองอะไรขึ้นมากมาย เพื่อสนุกสนาน สรวลเสเฮฮา มันกลายเป็นเพียงว่าหลอกคนมาวัด ไอ้ศิลปะแบบนี้ที่มันจะทำได้ก็เพียงว่ามันหลอกคนมาวัด แล้วมาทำไม เที่ยวมาล้วงกระเป๋าเขา ไม่ใช่ปลดปล่อยให้พ้นจากกิเลสและความทุกข์ นี่สถานการณ์ในบ้านในเมือง หรือว่าในวงพระศาสนาของเรามันกำลังเป็นอย่างนี้ เขาใช้ศิลปะหลอกคนมาวัด แล้วมาเพื่อทำให้หมดกิเลส หรือว่าเอามาให้มันหลงเข้าไปในกิเลส เพราะงานวัดนั้นมันเป็นงานอบายมุขเสียโดยมาก แล้วบางทีก็มันเป็นเห็นชัด ๆ ว่าเอามาล้วงกระเป๋าเขา ดังนั้นไกลจากพระพุทธประสงค์ เราไม่ต้องทำหรอก ที่จะจัดงานแบบนั้นเราไม่ต้องทำ ธรรมทูตไม่ต้องทำแบบนั้น มันนอกขอบเขต แล้วมันเลยเถิดเสียแล้ว ธรรมทูตมีหน้าที่ปลดปล่อยโดยแท้จริง ให้คนหลุดพ้นจากกิเลส อำนาจของกิเลส หรือกองทุกข์ นี่ก็ทำอย่างดีที่สุดแล้ว ทำไมจึงทำดีที่สุด ทั้งที่มันยากลำบาก ก็เพราะว่ามันเมตตา กรุณา แหละเพราะมันมีเมตตา กรุณา มันจึงอดทนได้ ทำให้ดีที่สุด คุณคนที่ไม่อดทนมันจะทำอะไรหยาบ ๆ ทั้งนั้นแหละ ผู้ไม่อดทนจะทำอะไรหยาบ ๆ หวัด ๆ ฉะนั้นศิลปินที่แท้จริงเขามีความอดทนมากแล้วทำได้ดี เดี๋ยวนี้จะเป็นธรรมทูตให้ดีอย่างศิลปินก็ต้องอดทนมาก แม้ที่สุดแต่ว่าคิดนึกมาก ทบทวนมาก กว่าจะพูดออกไป ไม่พูดพล่อย ๆ ง่าย ๆ ด้วยความคิดนึกชั่วขณะ คืออวดดีนั่นเอง มันก็เป็นไอ้ศิลปะไปไม่ได้
ทีนี้เราจะลองนึกดูว่าถ้ามันไม่เป็นศิลปะ ก็คือทำไปอย่างที่ไม่ต้องมีความงดงาม ไม่มีความดึงดูดใจ มันก็ได้ผลแกน ๆ ไปอย่างนั้น โดยเหตุที่ว่าไอ้ตัวงานชิ้นนี้มันเป็นศิลปะนี่จะทำยังไง ถ้าทำให้ถูกต้องตามความหมายของงานชิ้นนี้ มันก็ต้องทำให้เป็นศิลปะอยู่ดี มันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส การแสดงธรรมนั้นต้องเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส คือ ดึงใจเขาไปได้ด้วยความที่เขาก็สมัครใจแหละ มันก็เปลี่ยน ก็เป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมาทันที แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์น่าอัศจรรย์ อย่าคิดไปเสียว่าเป็นปฏิปทาของพระพุทธเจ้าเท่านั้นไม่ใช่ของเรา ก็ไม่ขวนขวายอย่างนี้ก็ไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ผูกขาดไอ้วิธีการอย่างนี้ ท่านยังแนะไว้ว่า ธรรมกถึก จะต้องแสดงธรรมอย่างนั้น ๆ ๆ ๆ หลายข้อไปดูเถอะมันมีปาฏิหาริย์ แสดงธรรมเร้าใจผู้ฟัง ดัดใจผู้ฟัง ทำให้เกิดความเลื่อมใส ให้กล้าหาญ ให้ร่าเริง หรือเหมือนกับยุให้คนเหล่านั้นกล้าที่จะปฏิบัติตามนี้ เพราะว่าธรรมดาเขาก็กลัว กลัวการปฏิบัติยากลำบากบ้าง เหลือวิสัยบ้าง หรือว่ากลัวไป เลยไปถึงกับว่า โอ๊ย,ไม่เป็นเรื่องได้ประโยชน์อะไร เสียเวลาทำมาหากิน ไม่อยากจะทำ กลัวอยู่ ก็เพราะว่าผู้แสดงธรรมนั่นมันแสดงธรรมบกพร่อง ไม่ได้แสดงธรรมไปในลักษณะให้กล้าหาญ ร่าเริง ดังนั้นจึงหวังว่าเราจะลองดูวิธีการที่เราจะปรับปรุงใหม่ ก็ถือเป็นการทดลอง เป็นรายที่หนึ่ง เป็นรายที่สอง รายที่สาม เรื่อย ๆ ไปให้มันดีกว่าที่แล้ว ๆ มา คือ มันตรงตามพระพุทธประสงค์ หรือตรงตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้ามากขึ้น และเป็นประโยชน์แก่มหาชนมากขึ้น เป็นประโยชน์แก่โลกมากขึ้น อันนี้จะทำให้กู้ กู้พระศาสนา เรียกร้องความสนใจกลับมา เรียกร้องความเลื่อมใสกลับมาสู่พระศาสนายิ่งขึ้น ๆ ถ้าที่แล้วมามันไม่ประสบความสำเร็จ เราก็มีแผนการกันใหม่ แม้โดยส่วนตัวองค์หนึ่ง ๆ ก็มีแผนการใหม่ จะทดลองวิธีอย่างนั้น ทดลองวิธีอย่างนั้น หรือจะรวมกัน รวมหัวกันมันก็ยิ่งดี มีแผนการที่ถูกต้อง แล้วไปปฏิบัติ แล้วประเมินผลมาดูว่าเป็นอย่างไรเอามารวมกัน ประมวล ประมาณ ประเมินอะไรดูว่ามันถูกแล้วโว้ย มันถูกแล้วโว้ย มันควรจะทำไปอย่างนี้ นี่ผมหมายถึงไอ้ตัวงานแท้ ๆ ของการจับคนตามภาษาพระเยซูเรียก งานจับคนนั้นมันเป็นไอ้งานศิลปะ งานละเอียด ประณีตอย่างยิ่ง
เรายังจะต้อง ต้องมีศิลปะโดยอ้อม รอบนอกหรือป้องกัน คือ ศิลปะอื่น ๆ ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุปสรรค เกิดอันตราย เกิดอะไรขึ้น อันนี้ก็มีมาก ความระมัดระวังอันนี้มีมาก มันมีมากแต่มาพูดได้บ้างเป็นตัวอย่าง เช่นว่าอย่าให้มันไปกระทบกระทั่งโดยไม่จำเป็น คือพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่าอย่าให้ไปเกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้นโดยไม่จำเป็น เดี๋ยวนี้มันมีแล้ว มันได้มีแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่สมมุติขึ้น คือว่าไอ้เราสอนถูก หรือดีเกินไปก็ตาม เราสอนถูกดีเกินไป มันต้องไปกระทบกระทั่งกับที่มันไม่ถูกหรือมันไม่ดี อันนี้มันช่วยไม่ได้ ใครจะช่วยได้ เมื่อเขาทำกันอยู่ ถือกันอยู่ ประพฤติปฏิบัติกันอยู่ มันไม่ถูก มันเป็นงมงาย มันเป็นมิจฉาทิฐิ พอเราสอนถูกสอนจริง มันก็ไปกระทบกระทั่งนี่ก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ดังนั้นควรที่จะมีศิลปะเหนือศิลปะอีก คือ ป้องกันการกระทบกระทั่ง หรือว่าเอาชนะได้ เอาชนะการกระทบกระทั่งนี้ได้ แต่ผมคิดว่าไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งนั่นแหละดี อันนี้เป็นอุทาหรณ์เป็นตัวอย่างที่ดีอยู่ในพระพุทธจริยา คือสิ่งที่พระองค์ประพฤติอยู่เป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อจะต้องไปกระทำชนิดที่มันจะกระทบกระทั่งกันขึ้น คือ ไปพูดกับคนที่เขามีมิจฉาทิฐิ หรือเป็นมิจฉาทิฐิ คือถือลัทธิมิจฉาทิฐิ เราอย่าไปว่าเขาผิด อย่าไปว่าเขาผิดสิ เราไม่ไปวิจารณ์ว่าผิดหรือถูก ไอ้ที่เขาทำอยู่ แต่เราบอกว่ามาลองอย่างนี้สิ นี่มาฟังอย่างนี้ มาดูอย่างนี้ มาฟังอย่างนี้ มาลองอย่างนี้ ไอ้ที่คุณทำอยู่นั้นก็ ก็มันก็ถูกของคุณนั่นแหละ แต่ว่าคุณลองมาฟังอย่างนี้ มาสนใจอย่างนี้ มาดูอย่างนี้ ผมหลายแห่งแล้ว ผมไปที่บ้านที่สำนักงาน ที่มันมีศาลพระภูมิ มันมีศาลพระภูมิ ที่ผมช่วยอธิบายแทนเจ้าของบ้านให้พวกฝรั่งมันรู้ เผอิญมันมีฝรั่งไปด้วย ว่านี่เรียกเสียใหม่เถิด เรียกว่าศาลพระธรรม อย่าเรียกว่าศาลพระภูมิเลย แล้วก็ไม่ต้องถอนทิ้ง ขอให้ตั้งอยู่ในฐานะมันเป็นศาลพระธรรม ทำไมต้องทำสวยทำพิเศษแยกออกมาจาก นั่นก็เพราะว่ามันควรจะมาอย่างนี้ มันไม่ควรจะอยู่รวมในหลังคาเดียว บ้านเดียว เรือนเดียวกันกับไอ้ฆราวาส กับชาวบ้าน ก็แยกออกมาอยู่เด่นต่างหาก ทำสวยงาม เป็นศาลพระธรรม เป็นที่สถิตของพระธรรม ทำให้สวยก็ได้ ถ้าปฏิบัติต่ออย่างพระธรรม แล้วมันก็เป็นของถูกต้องไป เป็นวัฒนธรรมที่ถูกต้องไป แล้วเมื่อเป็นศาลพระภูมิถือผีถืออะไรนี่ ฝรั่งจะหัวเราะเยาะเอา ที่ผมพูดนี่ผมหมายความถึงว่าเมื่อผมไปที่ฟินแลนด์แต่ก่อนนี้ เขาจัดเพื่อแสดงอะไรต่าง ๆ มีศาลพระภูมิใหญ่ ๆ อยู่ ฝรั่งเขาเดินมาด้วยเราก็อธิบายให้เขาฟังว่านี่เรามีเป็นศาลพระธรรม
ที่ว่าเป็นพระพุทธ พุทธจริยานั้นก็อย่างในบาลีมีทั่ว ๆ ไป คือ ถ้าพวกมิจฉาทิฐิ พวกเดียรถีย์อื่น ลัทธิอื่นเขามาเสนออะไร มาถามอะไร มาแสดงลัทธิของเขาก็ตาม ทำนองจะจับผิดจับถูก หรือว่าวิพากษ์วิจารณ์อะไร พระพุทธเจ้าท่านจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ ท่านก็จะตอบว่าถูกของท่านแล้ว ไอ้ที่ว่าท่านมีอยู่อย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของท่านแล้ว แต่ว่าเราไม่ว่าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายลองฟังคำของเราดูบ้าง แล้วท่านก็จะว่าไปเลย มีผลถึงกับว่าไอ้เดียรถีย์อื่นนั้นเลื่อมใสพอใจยอมรับเอาเลย โดยที่ไม่ต้องทะเลาะกันเลย ถ้ามันมีการทะเลาะกัน ก็แล้วมันหมายความว่ามันผิดแล้ว มันไม่ใช่ปฏิปทาของพุทธสาวกแล้ว นั่นไม่ใช่ปฏิปทาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่ทำ เดี๋ยวนี้ว่าเราที่เป็นสาวกนี่ ถ้าเขาเสนอข้อขัดแย้งอะไรมา เราก็ไม่ต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อสู้อะไร บอกว่า มันก็ของคุณว่าอย่างนั้นก็ดีแล้ว แต่ของเราว่าอย่างนี้ ๆ ขอให้ท่านลองฟังดู ก็ว่าไปโดยละเอียด โดยพิสดารนี้ก็ได้ผล โดยมันยกเลิกไปเอง ไอ้เรื่องฝ่ายมิจฉาทิฐิมันยกเลิกไปเอง ฉะนั้นอย่าไปกระทบกระทั่งกับเขาดีกว่า เรื่องผีสางเทวดาก็ให้มันแล้วไปแล้ว เมื่อคุณทำอยู่ก็ตามใจ แต่คุณลองฟังอย่างนี้ดู ซึ่งไม่เป็นการติเตียนเขา ไม่หมิ่นประมาทเขา ก็ว่าไป เดี๋ยวเขาก็เห็น เห็นด้วย ในกรณีอย่างนี้ก็มีโอกาสที่จะใช้ภาษาธรรม เหมือนที่ผมเคยอธิบายให้ฟังวันก่อน นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดี อะไรที่สามารถจะเป็น สันทิฏฐิโก ที่นี่และเดี๋ยวนี้ได้นี่ เราก็เอาอันนี้ใส่เข้าไป ไม่ไปแตะต้องนรกใต้ดินที่เขาเชื่อมั่นอยู่แล้ว สวรรค์บนฟ้าที่เขาเชื่อมั่นอยู่แล้ว นิพพานเป็นเมืองแก้วอยู่ที่ไหน ก็ตามใจอีกหลายแสนชาติจึงจะไปถึง เขาเชื่ออยู่แล้วก็ช่างเขาสิ อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ให้มันกระทบกระทั่ง เรียกว่ามาสนใจไอ้นรกที่กำลังแผดเผาเราอยู่ดีกว่า หรือว่าสวรรค์ ก็สวรรค์ชนิดที่เราจะเอาได้เดี๋ยวนี้ หรือนิพพานก็เป็นนิพพานที่เราจะเอาได้เดี๋ยวนี้ แม้ในระยะ แม้ในปริมาณอันน้อยอันสั้น
ที่จริงผมก็พูดอยู่อย่างนี้ แต่ไอ้คนที่เขาฟังหรือเขาไปพูดต่อนั้นเขาพูดเอาเองมันมากไปว่าผมไปยกเลิกของเขา บางคนไปพูดว่าผมไปด่าเขา ไปประณามเขา ไอ้เราไม่เคยทำอย่างนั้น ถ้าว่ามาสนใจไอ้เรื่องนรก สวรรค์ เรื่องนิพพานอย่างนี้ดูบ้าง สวรรค์ในอก นรกในใจ นิพพานที่นี่เดี๋ยวนี้ดูบ้าง ถ้ามันทำได้ที่นี่อย่างนี้แล้วก็ไม่ต้องกลัว ไอ้พวกนู้นก็ได้เหมือนกันแหละ ไม่ตกนรก ได้สวรรค์แล้วไปนิพพานเหมือนกัน ขอให้ทำนิพพานอย่างที่นี่เดี๋ยวนี้ เล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ที่นี่เรื่อย ๆ ไปแหละ นิพพานมันก็ต้องได้เหมือนกัน ไม่ตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ตกนรกต่อตายแล้วและที่ไหน อันนี้จะถือว่าเป็นศิลปะก็ได้ คือเป็นศิลปะที่จะทำไม่ให้เกิดเรื่อง ศิลปะที่จะทำให้ไม่กระทบกระทั่งแก่กันและกัน แต่ที่จริงมันก็เป็นพุทธจริยา เป็นตัวอย่าง ทิฏฐานุสสติ อยู่ในพุทธจริยา มันมีหลักที่จะไม่ให้กระทบใคร คุณว่าอย่างนี้ก็ว่าไปสิ มันก็เรื่องของคุณ แต่ฉันไม่ว่าอย่างนี้ ฉันว่าอย่างนี้ลองฟังดูบ้างสิ แล้วมันก็ไปนั่นกันเอง ไม่ต้องว่าใครผิดใครถูก คนเขาก็เลือกเอาที่มัน เขาพอใจ และเป็นประโยชน์ ถ้ามันพิสูจน์ความมีประโยชน์นั่นแหละถูก มาพิสูจน์ความมีประโยชน์กันดีกว่า อย่าไปว่าใครผิดใครถูก แต่พยายามพิสูจน์ความมีประโยชน์ ให้ชี้ให้เห็นว่ามันมีประโยชน์อย่างนั้นอย่างนี้ ๆ จะไม่ลองดูบ้างเหรอ ดังนั้นเราคงจะพบอุปสรรคน้อย ไอ้การเผยแผ่นี้จะมีอุปสรรคน้อยขึ้น เพราะเรารู้จักหลีกเลี่ยงไอ้การกระทบกระทั่งเป็นชั้นแรกข้อแรก แล้วเรารู้จักทำให้การกระทบกระทั่งนั้นเป็นเรื่องสนุกชวนหัวไปเสียก็ได้ คือไม่ให้การกระทบกระทั่งมันดุร้ายขึ้นมา ให้มันยกเลิกกันไปเสียก็ได้ ดูในแง่หนึ่งมันก็คือศิลปะอย่างยิ่งเหมือนกันแหละ ปัดเป่าอุปสรรคออกไปได้ด้วยวิธีการอันเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณมีอะไรอย่างนี้ ถ้าว่ารู้จักใช้ ทำให้ถูกวิธี รู้จักใช้แล้วจะไม่พบอุปสรรค เกี่ยวกับผมนี้ก็เป็นมากเหมือนกันแหละ เพราะว่าพอพูดไปอย่างหนึ่ง เขาเอาไปขยายความต่อเป็นอย่างอื่นไปก็มี แล้วก็ไอ้คนผู้ฟังทั้งหลายมันก็ไม่ใช่เป็นคนฉลาดไปทุกคน และมักจะระแวง ระแวงไอ้การพิทักษ์ประโยชน์ของตน หรือเกียรติยศชื่อเสียงของตนเอาไว้ก่อน ผมเล่าเรื่องของผมก็ได้ แต่อย่าหา อย่าถือว่าเป็นเรื่องอวดอะไร เล่าเรื่องที่มันเคยประสบมา ซึ่งเชื่อว่าท่านทั้งหลายก็คงจะไปโดนเข้า หรือถึงเข้าในกาลข้างหน้า
ข้อที่เราพูดให้ทุกศาสนาเข้ากันได้โดยหลักธรรมนี่ คนบางคนเขาเห็นเป็นเรื่องว่าทำให้พุทธศาสนาด้อยค่าลงไป บางคนถึงกับใช้คำว่าเอาพุทธศาสนาไปขายเสียแล้ว เขาเขียนตรง ๆ อย่างนี้ เขียนถึงผม ผมเอาพุทธศาสนาไปขายให้พวกศาสนาอื่นเสียแล้ว เรากลายเป็นทำคอร์รัปชั่น หาประโยชน์โดยการพูดให้พุทธศาสนาเหมือนกับศาสนาอื่น เช่น เรื่องเมตตา กรุณา เรื่องรักผู้อื่นหรืออะไร เขาคิดว่าเราได้ประโยชน์ เขาจึงใช้คำว่าขาย ก็แย่มากในการกบฏ ทรยศต่อพุทธศาสนา เอาไปแล้ว ถ้าเพื่อมันเอาไปขายให้เพื่อศาสนาอื่น ให้เพื่อประโยชน์แก่ศาสนาอื่น นี่ภายในวงในกันเองเขาว่าอย่างนี้ ทีนี้ดูจากวงนอก ภายนอก คือศาสนาอื่น ทีนี้ที่พวกศาสนาอื่นเขาพูด เขาไม่พูดอย่างนั้นนะ เขาไม่ยอมรับข้อนี้ เขาพูดว่าผมนี่กำลังจะกลืนศาสนาของเขา นี่เขากลัวมากถึงอย่างนั้น ไอ้ว่าที่เราทำมานี่มันจะกลืนศาสนาของเขา มันเป็นเรื่องที่ว่าเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง ทั้งสองฝ่ายแหละ ถ้าเราจะพิสูจน์ความเหมือนกันของศาสนาสองศาสนานี่มันเหมือนกัน แล้วประวัติศาสตร์มันก็ยืนยันอยู่ว่า ศาสนาพุทธเกิดก่อนศาสนานั้น น้ำหนักของศาสนานั้นก็หมดไป เพราะมันก็เหมือนกับศาสนาที่เกิดอยู่ก่อน จะกลายเป็นเรื่องถูกกลืน พวกนั้นศาสนานั้นเขาก็หาว่าผมนี้กำลังมีแผนการที่จะกลืนศาสนาของเขา เขาก็ประกาศเป็นศัตรูเหมือนกันแหละ ทีนี้ในภายใน ในวงในนี้ก็ เขาก็ประกาศตัวเป็นศัตรูว่าผมกบฏแล้ว เอาพระพุทธศาสนาไปขายให้พวกอื่นเสียแล้ว ก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ฉะนั้นเรารู้ไว้สิมันจะมีอย่างนี้แหละ ดังนั้นถ้าว่าไม่มีวิธีการ หรือมีอะไร คือศิลปะนั่นแหละที่เพียงพอแล้วมันก็จะยุ่ง จะลำบาก หรือจะเสียหายขึ้นก็ได้
ฉะนั้นรู้จักพูดให้ดี ๆ ไอ้รู้จักพูดให้ดี ๆ นั่นคือมีศิลปะ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ประเทศชาติมันก็ต้องการไอ้ความสงบ ทั้งโลกมันก็ต้องการความสงบ ด้วยการกลมเกลียวกันในระหว่างศาสนา ศาสนาไม่เป็นข้าศึก อุปสรรคแก่กัน ร่วมมือกันทำให้โลกนี้มีสันติภาพ แต่พอเราไปทำให้มันเข้ากันได้ ร่วมมือกันได้ กลับมีปฏิกิริยาออกมาอย่างนี้ ฝ่ายหนึ่งก็ว่าเอาไปขายเสียแล้ว ฝ่ายโน้นก็ว่าระวังนะมันจะกลืนเอานะ ดังนั้นเราดูไอ้ข้อที่มันยาก ดูข้อที่มันยากหรือลำบาก เราก็จะพบว่านั่นมันจำเป็นที่ต้องใช้ศิลปะ ไม่ใช่ศิลปะหลอกลวง ศิลปะบริสุทธิ์ ศิลปะถ่องแท้ ถูกต้องนี่เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ ฉะนั้นพูดให้ดี ๆ อย่าให้มันกลายเป็นเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมา นี่หมายถึงว่าถ้าจะเผยแผ่เป็นไปเรื่อย ๆ จริง ๆ นะไม่ใช่ว่าทำเล่น ๆ พอเป็นพิธี ถ้าทำให้กว้างออกไปทั่วโลก แล้วมันก็จะประสบปัญหาอย่างนี้ แต่ผมก็ไม่กลัว ไม่มีอะไรที่ต้องกลัว มีวิธีที่จะอธิบายให้มันเรียบร้อย และก็รู้สึกว่ามันก็ได้ผลนะ คือมันพอจะสัมพันธ์กันได้ เป็นผลดีแก่ประชาชน แก่ประเทศชาติได้ นี่เท่าที่พูดมานี้ก็เพื่อ วันนี้นะเท่าที่พูดมา เผื่อใครเห็นว่ามันมีอะไรซับซ้อนอยู่ในนั้น มีความลึกซึ้งบางอย่างอยู่ในนั้น คือความที่มันเป็นศิลปะอันละเอียดอ่อนในการเผยแผ่นี่ ในงานของธรรมทูตนี่มันมีมาก ถ้าพูดหมดก็ไม่ได้ในเวลาอันสั้น แต่พูดให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ แล้วก็ไปสังเกตเอาเอง ไปคอยนั่นเองเองจะพบว่ามันมี
เอาเป็นว่าวันนี้สรุปความว่า เราจะต้องเตรียมตัวพร้อม สำหรับเผชิญกับงานที่มันละเอียดอ่อนเป็นศิลปะ แล้วเราก็จะประสบความสำเร็จ อย่าบ้าบิ่น อย่าทำหวัด ๆ ชุ่ย ๆ แบบอวดดีนะ มันเป็นไปไม่ได้ มันมีความงาม จับอกจับใจ เป็นกำลัง เป็นกำลังสำคัญในการที่จะบุกเบิกออกไป ความมีประโยชน์ ความถูกต้องนั้นมัน มันมีกำลังน้อยกว่า แล้วมันอยู่ทีหลัง มันเป็นเรื่องเดินทีหลัง ตามทีหลัง ไอ้ความน่าเลื่อมใส น่าพอใจ น่าจับใจหรือมันจับใจเลยนั้นแหละมันเดินหน้า พระพุทธองค์จึงตรัสว่า จงแสดงธรรมให้ไพเราะเบื้องต้น แสดงธรรมให้ไพเราะท่ามกลาง แสดงธรรมให้ไพเราะเบื้องปลาย ก็หมายความว่าไม่มีอุปสรรคตลอดทั้งสาย และไม่เกิดอุปสรรคขึ้นตลอดสาย ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย เพราะว่าเราทำมันงาม กัลยาณัง แปลว่างาม ใช้ความละเอียดอ่อน ใช้ความรัก เป็นกำลังและก็ต้องตั้งจิตเมตตา กรุณาเป็นเบื้องหน้า แล้วมันจะเป็นศิลปะง่าย ถ้าทำด้วยความโกรธแค้น หรือว่าอิจฉาริษยา หรืออะไรเหล่านี้มัน มันติดขัดไปตั้งแต่ต้น อ้อยเข้าปากช้างเขาว่าดึงไม่ออก ผมลองดูมันจริง มันดึงไม่ออก (นาทีที่ 55.03) แต่ว่าไอ้ลูกช้างตัวเล็ก ๆ มันดึงออกมาได้ อ้อยที่อยู่ในปากของแม่ช้างเราดึงไม่ออก แต่ลูกช้างตัวเล็ก ๆ มันดึงออกมาได้ ไอ้ความหมายของไอ้ความเมตตา กรุณา ความรัก ความน่าเอ็นดู ความ ความรักมันก็คือความรัก ทุกอย่างมันจะพ่ายแพ้แก่ความรักที่แท้จริง มันมีเน้นอยู่เกือบจะทั่วไป ไม่ (นาทีที่ 55.57)แต่ในตำราอะไร แสดงธรรมด้วยเมตตา แสดงธรรมด้วยจิตที่ประกอบไปด้วยเมตตา ถ้าเราจะแสดงธรรมด้วยจิตที่จะเอาอะไร มันก็เมตตาไม่ค่อยได้ จะแสดงธรรมเอาชื่อเสียง จะแสดงธรรมเอาเครื่องกัณฑ์ จะแสดงธรรมเอาประโยชน์ นี่มันก็ยากแหละที่จะเป็นการแสดงธรรมด้วยเมตตา ฉะนั้นคำพูดที่ออกมามันจะต่างกันลิบ ถ้ามันทำไปด้วยจิตเมตตา แสดงธรรมไปด้วยจิตที่เมตตา คำพูดออกมาจะเป็นความงดงามจับใจผู้ฟัง มันเป็นศิลปะแท้บริสุทธิ์ แต่ถ้าจะแสดงธรรมเพื่อหาชื่อเสียง เพื่อเอาเครื่องกัณฑ์ เพื่อว่าให้เขาหลงใหลในเราอย่างนี้มันออกมาอีกอย่างหนึ่งแหละ แล้วมันอาจจะมีผลร้ายขึ้นมา เพราะว่ามันไม่ใช่ศิลปะจริง คือมันเป็นศิลปะลวง ศิลปะในความหมายลวง ปลอม เป็นจิตวิทยาหลอกลวง ก็ทำกันอยู่เหมือนกัน และบางทีจะมากเสียด้วย นี่เป็น อาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้การเผยแผ่ธรรมะของเราไม่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ ในแผ่นดินนี้ เพราะว่าผู้แสดงธรรมของเราไม่ได้ทำไปด้วยศิลปะบริสุทธิ์แห่งความเมตตา ความพากเพียร ความมีคุณธรรมครบถ้วน
ทำเมตตาเป็นเบื้องหน้า แล้วนึกถึงไอ้ความเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน แล้วก็พูด คือความเมตตาตั้งใจดีที่สุด เหมือนกับจะช่วย เหมือนกับจะช่วย แล้วก็ช่วยคนที่เรารักนั่นแหละ หรือว่าเราจะต้องช่วยบิดา มารดา บุตร ภรรยา อะไรที่เรารัก เราก็ช่วยอย่างดีที่สุด สุดความสามารถ เดี๋ยวนี้ก็จะช่วยเพื่อนมนุษย์ เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันโดยบริสุทธิ์ใจ ก็ต้องทำดีอย่างนี้(นาทีที่ 59.12) ไม่ได้คิดเอาอะไร ทำนาบนหลังใคร ไม่ได้คิดทำนาบนหัวใคร แล้วเรื่องก็จะถูกต้อง ทำนาบนหัวเขาบนหลังเขาก็เป็นศิลปะ ถ้าทำนาโดยไม่เป็นอย่างนั้นก็เป็นศิลปะ ใช้คำว่าศิลปะได้ด้วยกันทั้งนั้น ไปเลือกเอาเอง แล้วผมพูดมาตามที่ตั้งใจไว้ว่าจะพูดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ขอยุติการพูดวันนี้ ซึ่งดูจะเป็นครั้งสุดท้าย เพราะพรุ่งนี้กลับแล้วใช่ไหม เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ในที่สุดนี้ก็ถือโอกาสแสดงความยินดี อนุโมทนา ในการตั้งจิตปรารถนาดีของทั้งหลายของท่านทุกองค์ ที่จะทำงานเพื่อพระศาสนา สนองพระพุทธประสงค์ ไม่เห็นแก่ความยากลำบาก และก็ทำจริง อุตสาห์ขวนขวายทุกอย่างทุกประการ ชื่อว่าเป็นกุศลกรรม ขอให้สำเร็จประโยชน์ ประสบผลสมตามความประสงค์มุ่งหมายเจริญก้าวหน้างอกงามอยู่ทุกทิพาราตรีกาล เทอญ