แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องพูดสำหรับคนเมืองตำปรื้อมาถึงเรื่องที่ ๖ แล้ว จะพูดกันวันนี้เรื่อง ศาสนาคือแสงสว่างทางวิญญาณ ทั้งนี้ก็เพื่อให้รู้จักคำว่าวิญญาณกันเสียบ้าง ความจริงตั้งใจจะพูดเรื่องมโนนิยม วิญญาณนิยม วัตถุนิยม หรือว่ามโนนิยม วัตถุนิยมมันนิยมวัตถุเป็นใหญ่ มโนนิยม นิยมเรื่องทางจิตใจเป็นใหญ่ เขาเรียกว่าเรื่องทางวิญญาณ ศาสนานี้เป็นเรื่องทางวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องทางวัตถุ เป็นเรื่องทางวิญญาณเป็นในฐานะเป็นแสงสว่าง ตัวศาสนานี้หมายถึงคำสอนเป็นแสงสว่างทางวิญญาณ และศาสนาหมายถึงการปฏิบัติเป็นการปฏิบัติเพื่อความรอดในทางวิญญาณ ผลของการปฏิบัตินั่นก็คือรอดพ้น พวกเธอโดยเฉพาะสามเณรควรจะได้ยินคำนี้ เรื่องความรอดพ้นทางวิญญาณ จะเป็นนักเรียนครูหรือว่านักเรียนวิชาแขนงอื่นก็ตาม โดยมากก็จะเรียนเพื่อเป็นครู คำว่าครูนี้มีความหมายมากพิเศษสูงสุด แต่สมัยนี้กลับรู้จักครูในความหมายที่แคบหรือต่ำ มันลดเกียรติหรือถอดยศของครูลงไปเสียมาก จนจะต้องกู้กลับมาโดยการรู้เรื่องซึ่งเป็นหน้าที่ของครู ของบุคคลประเภทครู ว่ามันสูงสุดอย่างไร แท้จริงแล้วสูงสุดเพราะไม่มีเพราะไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุอะไรนัก แต่เกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณ ที่เราจะพูดกันวันนี้ ในฐานะ ใน ใน ผู้ที่อยู่ในดินแดนเมืองตำปรื้อ เป็นลูกของคนเมืองตำปรื้อ จะต้องมีเกียรติให้สมกับความศักดิ์สิทธิ์ของไอ้ดินแดนเมืองตำปรื้อ มีความศักดิ์สิทธิ์มาแล้วตั้งพันกว่าปี ลูกหลานไม่ควรจะเลวลง อย่าว่าแต่คุณผมก็เหมือนกันแหละ ผมก็เป็นคนเมืองตำปรื้อหรือว่าลูกหลานคนเมืองตำปรื้อ หัวข้อของเราว่า จงรู้จักศาสนาหรือธรรมะในฐานะเป็นแสงสว่างทางวิญญาณ บางทีเราเรียกว่าศาสนาบางทีเราเรียกว่าธรรม พระพุทธเจ้าเรียกสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนานี้ท่านเรียกว่าธรรม ไอ้พวกเราไม่ค่อยชอบเรียกว่าธรรม แต่มาเรียกว่าศาสนา เอาคำว่าธรรมไปใช้ในความหมายอย่างอื่น ครั้งสมัยพุทธกาลนับถือศาสนานี่เขาเรียกว่าถือธรรม คำว่าศาสนาไม่มีใช้ใน ในความหมายเช่นนั้น พอมาถึงสมัยนี้ถือศาสนาก็คือถือธรรมสมัยพุทธกาลนั่นเอง ศาสนากับธรรมเป็นสิ่งเดียวกันในกรณีนี้ ทีนี้เรารู้จักไอ้สิ่งเหล่านี้ในฐานะเป็นแสงสว่างทางวิญญาณ ไม่ใช่ทางวัตถุไม่ใช่ทางร่างกาย พระศาสดาคือพระพุทธเจ้าเป็นผู้ เป็นยอดเป็นจอมเป็นใหญ่ของผู้นำในทางวิญญาณ ในครูทั่วๆ ไปเป็นผู้นำทางวิญญาณในระดับทั่วๆ ไปในระดับธรรมดา ไม่ใช่หัวหน้า วันก่อนพูดกันเรื่องพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มามากแล้ว พูดเรื่องบวชเรื่องเรียนมากแล้ว แต่มันก็ยังเกี่ยวข้องกันอยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้าที่เราเรียกว่าพระพุทธรัตนะนี้เป็นผู้ส่องแสงสว่างทางวิญญาณผู้ปลุก แสงสว่างทางวิญญาณนั่นแหละคือตัวพระธรรม เราอุตส่าห์มา มา มา มาฟังมาอบรมมาเรียนกันนี่ก็เพื่อให้รู้จักเรื่องนี้ เรื่องพระธรรมหรือเรื่องศาสนาหรือเรื่องแสงสว่างทางวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเกี่ยวกับบุคคลประเภทครู พวกเธอมีเป็นครูอยู่มาก เมื่อเรียนวิชาอะไรก็ตั้งใจจะไปเป็นครูกันเสียมากกว่าที่จะไปทำอาชีพนั้นๆ เรียนวิชาครูก็เพื่อไปเป็นครู เรียนวิชาชีพก็เพื่อจะไปเป็นครู อย่างไรก็ขอให้ถือว่าครูคือผู้นำทางวิญญาณ ถ้าเป็นคำแปลกๆ สำหรับใครผู้ใดก็ขอให้เข้าใจกันใหม่ อย่าให้เห็นเป็นคำแปลกๆ นี่เป็นความจริงเป็นความมุ่งหมายแต่เดิม คำว่าครูในครั้งโบราณครั้งพุทธกาลเขาไม่ได้แปลว่าผู้สอนหนังสือไม่ได้หมายถึงผู้สอนหนังสือ พวกเราคือผู้นำในทางวิญญาณ เขาสอนหนังสือเขามีคำอื่นใช้ไม่ใช้คำว่าครู คำว่าครูนี่มีเกียรติสูงมากคือผู้นำในทางวิญญาณ พระเจ้าแผ่นดินก็มีครูเป็นผู้นำในทางวิญญาณ ตลอดตลอดชีวิตเลย เขาเรียกว่าครู ผู้สอนวิชาชีพเขาเรียกอุปัชฌาย์ ประหลาดไม่ประหลาด สมัยโบราณพุทธกาล หรือก่อนพุทธกาล อุปัชฌาย์คือผู้สอนวิชาชีพ แล้วใช้จนเวลานี้อุปัชฌาย์บวชพระบวชเณรนี่ก็มันคือว่าให้อาชีพของสมณะ มันคงเข้ารูปกันกับคำนี้ได้ อุปัชฌาย์คือผู้สอนวิชาที่จะไปทำมาหากิน เป็นอาชีพอะไรก็ตามใจ แม้แต่วิชาดนตรีนี่เขาเรียกอุปัชฌาย์ พระเณรต้องการอาชีพทางวิญญาณ เขาเรียกว่าสาชีพ หรือสมณะสาชีพ อาชีพของสมณะคืออาชีพทางวิญญาณ อุปัชฌาย์ช่วยจัดนำให้ ให้ไปถึงอาชีพทางวิญญาณ ส่วนคำว่าครูคือผู้นำในวิชาธรรม วิชาธรรมะวิชาทางวิญญาณโดยตรงไม่ใช่วิชาชีพ มา มาถึงสมัยนี้มันไขว้เขวกันอย่างไร ครูกลายเป็นง่ายที่สุดก็เป็นลูกจ้างสอนหนังสือก็เรียกว่าครู ไม่ใช่ผู้นำทางวิญญาณ ฉะนั้นถ้าว่าครูเป็นครูกันแล้วก็ วิเศษที่สุดในโลกนี้ คือครูเป็นผู้นำในทางวิญญาณ คนเกิดมาลืมหูลืมตาไม่โง่เง่างมงายเดินไปถูกทางโลกนี้ก็มีความสุข ดังนั้นขอให้ถือที่ความหมายว่าพวกเธอทั้งหมดอย่าได้ถือว่า ครูนี่เป็นเพียงการทำอาชีพอย่างหนึ่ง การเป็นครูคือการเป็นการทำอาชีพอย่างหนึ่ง อย่างนี้มันเท่ากับว่าทำลายตัวเองขุดหลุมฝังตัวเอง ขอให้นึกถึงความหมายเดิมของคำว่าครูผู้นำทางวิญญาณ มันมีค่ามากกว่าที่จะเป็นผู้สอนหนังสือ แล้วมันทำพร้อมกันไปได้ทั้งสอนหนังสือและทั้งนำในทางวิญญาณ อย่างนี้อย่าหาว่าดูถูก ขอเสียทีขอว่าอย่าหมายมั่นปั้นมือว่าเราจะเป็นอาชีพครู มีอาชีพครูเป็นครูเพื่ออาชีพ อย่างนี้มันน้อยไป มันได้น้อยไป อาชีพก็อาชีพ แต่ว่าอาชีพผู้นำทางวิญญาณดีกว่า ฉะนั้นถ้าเรามาคิดว่าเสียว่าเราเป็นผู้อา ผู้มีอาชีพสอนหนังสือ เราก็ไม่รับผิดชอบในทางวิญญาณ คือไม่ขวนขวายที่จะทำวิญญาณของเด็กให้มันสูง และขวนขวายไม่เป็นด้วย เพราะว่าครูไม่ได้รับ ครูสมัยนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนแต่เพียงเรื่องอาชีพสอนหนังสือ ไม่เหมือนกับครูสมัยโบราณ ที่มีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบทางวิญญาณ ทีนี้ผมมาขอร้องพวกคุณว่าให้เลื่อนชั้นสักนิด จะผิดหรือจะถูกหรือว่าจะเกินไปหรืออะไรก็เถอะ ค่อยไปคิดกันทีหลัง แต่ว่าต้องขอร้องเพื่อเอาบุญ ทีนี้พูดเป็นส่วนกลางๆ ใครว่าคนไหนโลกนี้ทั้งหมดมันเลวลง เลวลง เลวลง พวกครูพวกครูสมัยปัจจุบันนี้มันถือเอาหน้าที่ของตัวเพียงสอนหนังสือ ยิ่งครูเมืองฝรั่งเท่าที่ได้ยินว่ายิ่งแล้วเลย ลูกจ้างสอนหนังสือชัดๆ มัน มันรับภาระแต่เพียงเท่านี้นี่ ฉะนั้นโลกมันก็เลวลง เลวลง ไม่มีใครที่จะรับผิดชอบในฝ่ายวิญญาณ ถึงเมืองฝรั่งก็เหมือนกัน สมัยก่อนครูมันรับหน้าที่ทางวิญญาณอยู่มากพราะว่าไอ้ครูสอนหนังสือโดยมากมันเป็นพระ เป็นบาทหลวงเป็นเจ้าหน้าที่ในทางศาสนาเป็นครู เขาเรียกว่าใส่ธรรมะใส่ศาสนาเข้าไปในเด็ก ให้เด็กให้ได้รับการแนะนำทางวิญญาณ ต่อมาเขาเอาคนชาวบ้านนี่เป็นครู พระนักบวชเหินห่างไป จวนเจียนจะหมดไปจากไอ้หน้าที่ครู เช่นเดียวกับเมืองไทยเมื่อก่อนการเล่าเรียนอยู่ในวัดพระเป็นครู ต่อมาเอาโรงเรียนไปจากวัดชาวบ้านเป็นครู แล้วก็ยิ่งไม่ชอบเรื่องทางวิญญาณ ชอบแต่เรื่องเนื้อหนังเรื่องวัตถุเรื่องร่างกาย สอนกันแต่หนังสือแล้วก็สอนวิชาชีพไปเลย อย่างเขาเรียกอย่างเข้มงวดกวดขันอย่างไม่เหลียวแลศาสนา ทีนี้โลกมันก็เลวลงเลวลง เพราะว่าคนยุวชนมันรู้จักแต่เรื่องเนื้อหนังรู้จักแต่เรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ไม่รู้จักความสงบสุขทางวิญญาณ นี่เป็นคำด่าที่สุดแล้ว ทั้งครูทั้งนักเรียนสมัยนี้รู้จักแต่เรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ทางรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ไม่รู้จักความสงบเย็นในทางวิญญาณ โลกมันก็เลวลงเลวลง เป็นอาชีพธรรมดานี่เอง อาชีพสอนหนังสืออย่างธรรมดาอย่างอาชีพธรรมดาทั่วไปเพียง เพียงแต่เรามันมีหน้าที่สอนหนังสือ อันธพาลทางวิญญาณจะมีมากขึ้นในโลกและโลกนี้จะร้อนเป็นไฟมากขึ้น และจะถึงมิคสัญญีในวันใดวันหนึ่ง รู้เรื่องมิคสัญญีเหรอ คำว่ามิคสัญญีแปลว่ามีความสำคัญว่าเป็นสัตว์เป็นเนื้อ เป็นเนื้อเนื้อเนื้อสัตว์เนื้อทรายสัตว์เป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะว่าคนเห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวมาก เห็นแก่ตัวมาก เห็นประโยชน์ส่วนตัวมากจนสำคัญว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นสัตว์ ฆ่ากันเอาประโยชน์ เหมือนกับเราพบหมูพบกวางในป่า แล้วก็ฆ่าไล่ฆ่าเอามากินเป็นประโยชน์ มิคสัญญีหมายความอย่างนั้น มนุษย์แต่ละคนละคนจะเห็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแต่ละคนว่าเหมือนกับสัตว์ แต่ละคนจะฆ่าเอามาใช้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วฆ่ามันเสีย เอาทรัพย์สมบัติของมันเสีย นี่เขาเรียกว่ามิคสัญญี คำปรัมปราพูดไว้ว่าในข้างหน้าในอนาคตกาลข้างหน้าจะมียุคหนึ่ง ซึ่งโลกจะเป็นยุคมิคสัญญี คนในโลกทุกคนจะสำคัญซึ่งกันและกันว่าเหมือนกับเนื้อ แล้วก็ฆ่าเอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัว ฆ่ากันหมดทั้งโลกเลย นี้เป็นไปได้ ถ้าหากว่าครูหรือการสั่งสอนในโรงเรียนสอนแต่เรื่องเนื้อหนังเรื่องวัตถุเรื่องร่างกาย และความเห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ มันพอกความเห็นแก่ตัวทุกชั้นๆ คนนี้ตายไปคนนี้เป็นครู สอนเรื่องเห็นแก่ตัวมากขึ้น คนนี้เป็นครูสอนให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่เนื้อหนังมากขึ้น เห็นได้จากครูหนุ่มๆ สาวๆ สมัยหลังๆ นี้รู้จักแต่เรื่องเนื้อหนัง เอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังเป็นสรณะสูงสุด บูชาสิ่งนี้ยิ่งกว่าบูชาพระพุทธเจ้า จำไว้เถอะ ครูหนุ่มๆ สาวๆ สมัยปัจจุบันเป็นอย่างนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไร ทีนี้ครูสมัยก่อนมุ่งจะแก้ไขมนุษย์ทางวิญญาณ ไอ้เรื่องสอนหนังสือเขาเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย สมัยผมเป็นเด็กอยู่วัด ถูกดุถูกด่าเรื่องความประพฤติทางมรรยาท เรื่องทางหนังสือหนังหาไม่เรียน เรียนไม่คือว่าไม่ ไม่จำกัดไม่ ไม่กวดขัน อาจารย์กวดขันแต่เรื่องทางมรรยาททางจิตใจ ที่เรียนหนังสือเรียนเรียนไปอย่างนั้น สอนกันตาม ถ้าสมัยนี้ก็ถือว่าใช้ไม่ได้แหละ คิดดูสอนอย่างนั้นใช้ไม่ได้เพราะไม่ค่อยจะเอาใจใส่ไอ้เรื่องหนังสือ กวดขันแต่เรื่องความประพฤติ ถ้าสมัยก่อนไปจากนั้นอีกคงจะเอาเรื่องนี้กันมากกว่า เรื่องหนังสือไม่ค่อยได้สอนอาจารย์เองก็ไม่ค่อยรู้หนังสือ อาจารย์เก่งไปในทางกวดขันเรื่องมรรยาทเรื่องจิตใจ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามันเนื่องมาแต่ว่าสมัยก่อนไป โบราณอีก เขาไปหาครูเพื่อไปทำให้คนมันดี ไอ้เรื่องเรียนหนังสือนี้มันเป็นส่วนประกอบ ให้ดีในทางมรรยาทให้ดีในทางความประพฤติให้ดีในทางจิตใจ ฉะนั้นครูก็จะมุ่งไปทางแก้ไขทางวิญญาณให้ ให้เด็กดีให้คนดี ครูชนิดนั้นจึงเป็นปูชนียบุคคล ศิษย์กลัวอาจารย์ยิ่งกว่ากลัวพ่อแม่หรือกลัวใครๆ สมัยนี้เด็กกลัวครูที่ไหนจะเขกหัวครูเล่นอยู่ทุกวัน ล้อเลียนครู บางทีใครเคยเป็นมาแล้วไปนึกดูให้ดี ความเคารพครูไม่มี หมดไปแล้ว สมัยผมครู เป็นครูที่น่ากลัวที่สุดเคารพที่สุด แค่เวลา ๓ ๔๐ ปี ๕๐ ปีเปลี่ยนถึงขนาดนี้ ยิ่งเมืองฝรั่งด้วยแล้ว ครูไม่มีไม่มีความหมายสำหรับเด็กว่าเป็นครูที่ควรเคารพ ไม่ถือว่ามีบุญคุณ เด็กฝรั่งไม่ถือว่าครูมีบุญคุณ เด็กไทยยังถืออยู่บ้าง แต่เริ่ม เริ่ม เริ่มตามหลังไอ้พวกฝรั่ง ครูไม่มีบุญคุณแล้ว ล้อเลียน ไม่เคารพหรือ สไตรค์ ทุกอย่าง ครูไม่มีบุญคุณ พ่อแม่ก็เกือบไม่มีบุญคุณแล้ว ติดนิสัยนี้ สมัยก่อนครูเป็นปูชนียบุคคล ฟังดูน่าขนลุก สมัยนี้ครูเป็นลูกจ้างในความรู้สึกของเด็กๆ อะไรอย่างนั้น และครูเองก็มักจะน้อมไปทางนั้น ก็ครูมันเลวลงพูดกันตรงๆ ฆ่าผมให้ตายก็ต้องพูดอย่างนี้ พูดเรื่อยว่าครูมันเลวลง ไม่เป็นปูชนียบุคคลที่สุดเหมือนสมัยก่อน ถ้าว่าเป็นอาชีพ ครูเป็นอาชีพปูชนียบุคคล ฟังดูแปลก อาชีพปูชนียบุคคล เป็นปูชนียบุคคลอาชีพ อาชีพปูชนียบุคคล คล้ายๆ ว่ามันันมุ่งที่จะแก้ไขคนให้ดี ไอ้เรื่องค่าจ้างรางวัลเงินเดือนไม่รู้อยู่ที่ไหนไม่ได้สนใจ ไปอยู่กับพวกอาชีพวิชาชีพ ครูอุปัชฌาย์ต่างๆ สอนดนตรีสอนฟันดาบสอนศิลปะก็ตามไปอยู่กับพวกนี้ ไม่ได้รีดนาทาเร้นเอาเงินเอาของตอบแทน ครูบาอาจารย์ในวัดในวาในศาสนาในโรงเรียนนี้มุ่งแต่เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง สมัยนี้ครูทำตัวเองเป็นลูกจ้างมากขึ้นไอ้เด็กมันก็เลยดูถูกครูมากขึ้น แล้วต่อมาเด็กพวกนั้นกลายเป็นครูแล้วมันก็เลยทำตัวเป็นลูกจ้างยิ่งไปกว่าเก่า ให้เด็กมันดูถูกครูมากไปกว่าเก่าทุกยุคๆ มันเลวลง เลวลง โลกมนุษย์โลกมันเลวลงเพราะครูเป็นลูกจ้างไม่เป็นปูชนียบุคคล นี่คือไม่รู้เรื่องทางวิญญาณ ครูสมัย ก่อนคือผู้นำทางวิญญาณ เป็นลูกน้องหรือว่าเป็นข้าราชการขึ้นขึ้นตรงไปยังพระพุทธเจ้า ฟังดูจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ครูแท้จริงไม่ได้สังกัดกระทรวง ศึกษาธิการ ครูแท้จริงสังกัดพระพุทธเจ้า ขึ้นตรงไปยังพระพุทธเจ้าคือผู้นำทางวิญญาณ ทีนี้ครูลูกจ้างสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ต้องอยู่ในอาณัติต้องทำอะไรต่ออะไรตามความต้องการ เขาให้เงินเดือนเขาถอดก็ได้เขาไล่ก็ได้อะไรก็ได้ ฉะนั้นความเป็นครูมันก็น้อยไปความเป็นลูกจ้างก็มากขึ้น เราจะทำอย่างไรกันดี ถ้าเราจะไปเป็นครู เราจะทำอย่างไรไม่ให้ ให้มันมีช่องโหว่ได้ ผมเข้าใจว่าทำได้เป็นครูถูกต้องและไม่ขัดขวางที่จะเป็นลูกจ้างของกระทรวงศึกษาธิการด้วย ลูกจ้างของพ่อแม่ของเด็กด้วย ในใจของเราทำให้ดีทำให้สูง เพราะว่าเราเป็นคนของพระพุทธเจ้า ทำวิญญาณของสัตว์ให้สูงขึ้น ไอ้เรื่องสอนหนังสือนี้เราจะสงเคราะห์เข้าไว้ในเรื่องช่วยให้วิญญาณสูงเหมือนกันแหละ ถ้าไม่รู้หนังสือวิญญาณมันตกต่ำ สอนให้รู้หนังสือรวมสงเคราะห์เข้าไว้ในเรื่องยกวิญญาณให้สูง แต่เราต้องเจตนาอย่างนั้น ถ้าเราเจตนาจะเอาแต่เงินเดือน แล้วไม่ ไม่มีเจตนาจะยกวิญญาณให้สูง สอนขอไปทีสอนให้เวลาหมดๆ ครูเอาเปรียบการงานสอนเอาเปรียบเวลา เด็กควรจะรู้หนังสือดีกว่านี้ที่จริง แต่มันก็ไม่ได้รู้หนังสือดีกว่านี้ เพราะครูเอาเปรียบเวลาเอาเปรียบการงาน วิชาหนังสือวิชารากฐานที่จะรู้เรื่องต่างๆ ต่อไป เราเลยสงเคราะห์ว่านี่เป็นบริวารของเรื่องทางวิญญาณ แต่อย่าลืมนะอย่าลืมนึกถึงว่าครั้งพุทธกาลก่อนพุทธกาลไม่มีการสอนหนังสือ ไม่มีใช้หนังสือ ไม่มีการใช้หนังสือ หนังสือหนังหาไม่มี พุทธกาล พุทธกาลมันเลยเป็นเรื่องทางวิญญาณเสีย ๆๆๆ เรื่อยไปหรือเป็นส่วนมาก สอนหนังสือเรียนหนังสือไม่ได้เอาไปใช้อะไร สมัยพระพุทธเจ้าหนังสือมีการใช้น้อยที่สุด มันไม่มีร่องรอยอะไรปรากฏเหลือ มันไม่มีอะไรจะเขียน ไม่มีความก้าวหน้าในเรื่องทางวัตถุ ไม่ ทำกระดาษไม่เป็น วัตถุที่จะเขียนไม่มี แล้วก็พูดแต่กับปาก แล้วต่อมาจึงค่อยๆ มีไปเขียนในแผ่นอิฐ ไปเขียน ไปเขียนหน้าผาภูเขาอะไรอย่างนี้ (นาทีที่ 21.31)ฟังไม่ออก เรื่องขนาดนั้นจึงใช้หนังสือ เรื่องในบ้านในเรือนธรรมดาสามัญนี่พูดจากปากทั้งนั้น แม้แต่พระไตรปิฎกก็ไม่ได้เขียนเป็นหนังสือ เขาพูดเอากับปาก จำเอาจากปาก ท่องกับปาก หลายร้อยปีจึงเขียนเป็นหนังสือ หนังสือก็ไม่มีแต่ก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ หรือว่าเป็นอะไรก่อนพระพุทธเจ้าได้ โดยไม่รู้หนังสือ มันไม่มีหนังสือใช้ แต่มันมีเรื่องสูงทางจิตทางวิญญาณมาก เราอย่าไปหลงหนังสือ มันเป็นเครื่องมืออาชีพมากกว่า มัน มันไม่ใช่เป็นเรื่องสูงทางวิญญาณ ถ้าใช้ผิดแล้วก็มันเป็นเรื่องหากินเท่านั้นแหละ เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ใช้ไปในทางทุจริต ไม่รู้หนังสือเลยดีกว่า ผมไม่ค่อยสนใจ ไอ้เรื่องที่เขาพูดว่าปัญหาใหญ่อยู่ที่คนในโลกไม่รู้หนังสือ ผมไม่ค่อยสนใจ ผมสนใจแต่ว่ามันเลวหรือมันดี รู้หนังสือไม่รู้หนังสือมันไม่สำคัญ รู้หนังสือไม่ใช่ทำให้คนดี ให้คนเลวก็ได้เลวร้ายกาจกว่าคนไม่รู้หนังสือก็ได้ เราไม่บูชาหนังสือ เราเห็นว่าในความบกพร่องความขาด ที่ยังขาดอยู่คือคนไม่มีความรู้ทางวิญญาณ ไม่สนใจเรื่องธรรม ธรรมะ นี้โลกจึงไม่มีสันติภาพ ไม่ใช่เพราะว่าโลกมันไม่รู้หนังสือ ถ้าคนมันดีมันไม่รู้หนังสือก็ได้ เราในฐานะเป็นพุทธบริษัท เรามันมุ่งทางวิญญาณเรื่อยไปเอาไว้ขึ้นหน้า ไอ้ทางร่างกายเป็นรองลงมาทางเนื้อหนัง อย่าให้เนื้อหนังมันขึ้นเหนือจิตใจให้จิตใจอยู่เหนือเนื้อหนัง ตรงนี้จะพูดอีก อีกทีเผื่อ เผื่อไม่เคยได้ฟัง ให้จำไว้สั้นๆ ว่า ชีวิตนี้ต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว เหมือนบ้านเราเมื่อก่อนไถนาควาย ๒ ตัว ตัวหนึ่งเป็นกำลังตัวหนึ่งเป็นปัญญา ไอ้ควาย ๒ ตัวไม่ใช่มันเหมือนกันนะ ถ้าคุณไม่รู้ ไม่รู้เรื่องนี้เข้าใจว่ามันเหมือนกันแล้วก็เซ่อ ไม่เคยไถนา ควายต้องเทียม ๒ ตัวนะไถนา ตัวหนึ่งเป็นกำลัง ตัวหนึ่งเป็น เป็นตัวรู้ ตัวรับคำสั่ง ไอ้ตัวต้นต้องเป็นตัวฉลาดรับคำสั่งของเจ้าของผู้ไถนา ตัวกลางเป็นตัวกำลังมีแรงพาไป มันจึงทำกันไปได้ ดี ไอ้คนเรานี่เหมือนกันชีวิตของเราเหมือนกันมันต้องเทียมด้วยควาย ๒ ตัว กำลังเรื่องร่างกายก็มีแหละ แต่ว่าเรื่องวิญญาณเรื่องจิตใจสำคัญ อย่าเรียนแต่เรื่องทางวัตถุแหละ เรียนเรื่องทางจิตใจด้วย เมื่อมีควาย ๒ ตัวถามว่าตัวไหนสำคัญเธอดูเอาเอง ไอ้ตัวที่เป็นตัวฉลาดตัวที่มีความรู้มันสำคัญ ทางธรรมะเขาถือเป็นหลักว่าไอ้โลก สัตว์โลกนี้รอดได้ ด้วยความรอดทางวิญญาณ พูดให้สั้นอีกว่าโลกรอดเพราะวิญญาณรอด ถ้าจะจำ จำอย่างนี้ว่าโลกมันรอดเพราะวิญญาณรอด ไม่ใช่ร่างกายรอด ร่างกายไม่ตายแต่ว่าถ้าวิญญาณมันตายมันก็หมด หมดเลย ยิ่งกว่า ยิ่งกว่าร่างกายไม่ตายเสียอีก ให้ถือว่ามันรอดอยู่ได้มีความสุขสันติภาพอยู่ได้เพราะวิญญาณมันรอด วิญญาณมันไม่ถูกย่ำยีด้วย ด้วยกิเลสให้ยับเยินไป ถ้าเมื่อใดกิเลสมันย่ำยีจิตใจวิญญาณยับเยิน เมื่อนั้นร่างกายก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงมีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ไอ้เรื่องนี้ก็เราเตือนต่อไปว่าพุทธบริษัทอย่าเลวกว่าพวกคริสเตียน คำสอนในพระเย พระเยซูสอนเขียนเป็นรูปภาพ รูปวางไว้ตรงโน้นหน้ากุฏิไปดูได้ นั่นนะเรื่องแยกเรื่องทางวิญญาณออกมาจากเรื่องร่างกาย พระเยซูทำความเพียรอยู่ในบนภูเขาในป่าตั้งหลายสิบวันไม่ได้กินอะไรหิว พญามารซาตานมาเยาะเย้ย เอ้า, ถ้าเป็นลูกพระเจ้าจริงก็เสกก้อนหินให้เป็นอาหารขึ้นมาสิจะได้กินมัน ก้อนหินมีอยู่เต็มไปหมดเสกให้เป็นอาหารจะได้กิน พระเยซูว่า โอ้, ชีวิตไม่ได้อยู่ได้ด้วยอาหาร ชีวิตอยู่ได้ด้วยพระธรรมของพระเจ้า อยู่ด้วยธรรม ชีวิตรอดอยู่ได้ด้วยธรรมด้วยพระธรรมไม่ใช่รอดอยู่ได้เพราะอาหาร พญามารเลยหน้าชากลับไป เขาถือว่าความจริงนั้นคนเรารอดเพราะวิญญาณรอดไม่ใช่เพราะร่างกายรอด เพราะว่าร่างกายนี่เป็นเปลือก ถ้ารักษาให้รอด เพื่อวิญญาณมันจะได้ทำหน้าที่ของมัน ถ้าวิญญาณรอดก็ร่างกายรอด ผู้นำทางวิญญาณให้วิญญาณรอดร่างกายก็พลอยรอด ไอ้รอดทางร่างกายนี่ต้นไม้มันก็รอดแหละ สัตว์เดรัจฉานก็รอด (นาทีที่ 26.58) ฟังไม่ออก ไม่ดีตรงไหน ไอ้คนนี่มันต้องการจะดีกว่านั้นต้องวิญญาณรอด จำไว้ให้ดีให้ถือว่าโลกรอดเพราะวิญญาณรอด ให้ถือว่าวิญญาณนั้นมันสำคัญกว่าร่างกาย ใจสำคัญกว่าร่างกาย ทีนี้พอเข้าใจผิดมันก็กลับตรงกันข้ามว่าร่างกายนี่สำคัญกว่าจิตใจ แล้วมันชวนจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วย มันชวนจะคิดอย่างนั้นกันเสียด้วย เธอทุกๆ คนจงลองนึกดูให้ดี ตั้งแต่เล็กมาตั้งแต่เล็กจนใหญ่จนกระทั่งใหญ่โตมันรู้สึกอย่างไร มันรู้สึกว่าพอได้กินได้อิ่มเอมแล้วมันสบาย คิดว่าพอได้อิ่มเอมแล้วมันสบาย เลยไปคิดว่าพอร่างกายมันอิ่มแล้วมันก็สบาย เลยถือว่าร่างกายสำคัญกว่าอะไรหมดแหละ พอได้กินได้อิ่มร่างกาย แล้วใจมันสบาย เด็กๆ รู้สึกอย่างนั้น มันเหมือนกับวัวควายช้างม้ากินอิ่มแล้วก็สบาย ทีนี้คนมัน มันมีอะไรอีกอย่างไกลกว่านั้นคือจิตใจ พอจิตใจมันอิ่มก็ ก็เรียกว่าคนมันสบาย ทีนี้ไปถือว่าวัตถุร่างกายนี้ดีกว่าจิตใจแล้วก็ มันก็เกิดเป็นลัทธิอื่นขึ้นไปอีกลัทธิหนึ่ง เขาเรียกว่าลัทธิวัตถุนิยม materialism ถือว่าวัตถุเป็นใหญ่ เป็น เป็นลัทธิบูชาวัตถุ ซึ่งของเดิมของเรามาแต่ดึกดำบรรพ์บูชาจิตใจบูชาวิญญาณ ถ้าพูดให้ปลอดภัยก็พูดว่าไม่ใช่วัตถุนิยม พวกเราเกลียดวัตถุนิยมและไม่ใช่วัตถุนิยม จะมโนนิยมหรือว่าวิญญาณนิยมแล้วแต่จะเรียกได้ทั้งนั้น คนที่มันบูชาวัตถุมันก็เห็นแก่ตัวจัดแหละ ตัว ตัว ไอ้ตัวมันต้องการวัตถุ ไอ้ร่างกายมันต้องการวัตถุมากเกินไป มันจะอิ่มจะเอมจะอิ่มด้วยวัตถุเสียเรื่อย คนที่บูชาจิตใจทำจิตใจให้สงบได้โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุ มันก็ไม่โลภละโมบโลภมากในเรื่องวัตถุ แล้วมีความสุขยิ่งกว่าเสียอีก คนเลยแยกทางกันเดินเป็น ๒ พวกในโลกนี้ พวกหนึ่งบูชาวัตถุพวกหนึ่งบูชาจิตใจ มีอยู่ ๒ พวกในโลก ไอ้เรี่องทางศาสนาทางธรรมนั้น มันก็เป็นเรื่องทางจิตใจส่วนใหญ่ แต่บางพวกบูชาจิตใจไม่คำนึงถึงร่างกายก็มีเหมือนกัน แต่ว่าพุทธศาสนาเรายอมรับทั้ง ๒ อย่างแต่ให้เรื่องจิตใจมันใหญ่กว่าสูงกว่า ยังอยู่ในหลักว่าโลกรอดเพราะวิญญาณรอดไม่ใช่เพราะร่างกายรอด เขายังสอนว่า สอนให้เอื้อเฟื้อร่างกายให้ปรับปรุงร่างกายให้เป็นภาชนะหรือว่าเป็นไอ้เครื่องรองรับที่ดีของจิตใจ แต่อย่าไปบูชาร่างกายเข้ามันจะละโมบโลภมากทางกามารมณ์ มันจะเห็นแก่เนื้อแก่หนังเป็นทาสของกามารมณ์ไป พระเขียนในตึกของเราว่า อย่าใช้ร่างกายเป็นวัตถุเป็นเครื่องแสวงหากามารมณ์ ให้ใช้เหมือนสัตว์เน่าลอยน้ำแล้วขี่ไปข้ามฟาก ให้ถือ ให้ ให้ ให้จัดร่างกายให้เหมือนกับสัตว์เน่าพองลอยน้ำแล้วขี่ข้ามฟาก นี่คือไม่บูชาร่างกาย ไม่บูชาความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนังไม่บูชากามารมณ์ เพียงแต่ปรับปรุงร่างกายให้พอเหมาะสำหรับจะเป็นยานพาหนะสำหรับข้ามฟาก เพราะฉะนั้นพุทธศาสนาไม่ได้รังเกียจหรือว่าเกลียดชังร่างกายจนเกินไป จนถึงกับทำลายเสียหรือว่าไม่เอาใจใส่ แต่ต้องการให้จัดร่างกายพอเหมาะสำหรับเป็นยานพาหนะข้ามฟาก บางลัทธิในสมัยพุทธกาลเกลียดร่างกายกำจัดร่างกายทำลายร่างกายให้เป็นง่อยเป็นเปลี้ยไปเสียเลย โกรธร่างกายว่าร่างกายนี่เองมันทำให้กูกำหนัดหลงใหลในกามารมณ์ทำให้มันทุพพลลภาพเสีย อย่าให้มันเป็นเครื่องมือสำหรับหลงใหลในกามารมณ์อย่างนี้ก็มี พุทธศาสนาไม่ต้องการถึงขนาดนั้น ต้องการแต่ว่าให้ปรับปรุงให้พอเหมาะสมที่จะเป็นยานพาหนะของจิตใจที่จะข้ามฟาก จะมีลูกมีมียมีครอบครัวอะไรก็ได้ แต่ให้ถูกต้องพอสมควรอย่าหลงใหลอย่าบูชา เป็นเรื่องสำหรับรองรับของมีค่าคือจิตใจ จะก้าวหน้าไปในทางสูงสุด ถ้าทำอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าวัตถุนิยม เขายังถือจิตใจเป็นใหญ่ร่างกายเป็นเครื่องภาชนะเป็นเครื่องรองรับตัวตามหลังจิตใจ ถ้าไปหลงวัตถุนิยมแล้วก็เกิดหลง หลงวัตถุหลงร่างกาย วัตถุนิยมนี้มันทำให้เผลอตัวมากขึ้น มากขึ้นเรื่องเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง แล้วมันก็เห็นแก่ตัวเป็นแน่นอน ถ้าบูชาจิตใจความสงบของจิตใจมันไม่มีทางเห็นจะแก่ตัว มันไม่รู้จะเอาไปไหน ความเห็นแก่ตัวมันไม่งอกงาม ภัยอันตรายของโลกอยู่ที่วัตถุนิยม ถ้าเธอเข้าใจเธอกวาดตาดูไปรอบๆ โลก โลกกำลังเป็นวัตถุนิยม คอมมิวนิสต์ก็เป็นวัตถุนิยม ประชาธิปไตย เสรีประชาธิปไตยก็เป็นวัตถุนิยม เพียงแต่มันคนละแบบ คอมมิวนิสต์มันรุนแรง เสรีประชาธิปไตยคือคนธรมดานี่มันไม่รุนแรง ว่าคอมมิวนิสต์รุนแรงก็รุนแรงในทางที่จะจัดให้มันเสมอกันหมด วัตถุนิยมชนิดประหลาด เมื่อบูชาวัตถุเข้าไปแล้วเชื่อว่าวัตถุดีแล้วจิตใจจะดี เกิดบ้าเกิดคลั่งขึ้นมาว่า เอ้า, อย่างนั้นจัดให้คนทุกคนสมบูรณ์ในวัตถุให้หมด ใช้อำนาจบังคับอย่าง อย่างเด็ดขาด เรียกว่าเอาเลือดมาเอาชี เอา เอา เอาชีวิตมาเป็นเดิมพันเพื่อจัดคนให้ ให้เสมอกันหมดทางวัตถุในโลก จะจัดได้หรือไม่ได้นี่มันอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าไอ้หลักความมุ่งหมายก็เป็นอย่างนั้น ว่าโลกจะมีสันติได้เพราะคนในโลกทุกคนสมบูรณ์ด้วยวัตถุเสมอกันหมด ให้ ให้พวกนายทุนรวยเกินไป เป็นพันเท่าหมื่นเท่าแสนเท่าล้านเท่า แล้วคนจนนี่จนหนึ่งก็ยังไม่มี อย่างนี้ไม่ได้โลกไม่มีสันติ แล้วจะจัดให้เสมอกันให้หมด วัตถุนิยมเขารุนแรงร้ายกาจจะจัดโลกให้เสมอกันหมดโดยวัตถุเพราะมันเชื่อในวัตถุ ในทางพุทธศาสนาเราว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะคนแต่ละคนต้องเป็นไปตามกรรม อำนาจของกรรมบังคับไว้เด็ดขาด คนจะเสมอกันหมดทำไม่ได้ มันจะจัดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ว่าไอ้ลัทธิคอมมิว นิสต์กับพุทธศาสนามันไปกันไม่รอด แล้วคอมมิวนิสต์มันคิดว่าจะจัดเอาด้วยอำนาจเอาอำนาจเข้าบังคับจัด พวกพุทธศาสนาบอกมันไม่ได้ทุกคนต้องไปตามกรรมอำนาจไหนมาเหนือกรรมได้ เพราะว่าเรามันไม่วัตถุนิยม พวกคุณก็จำไว้วัตถุนิยมสุดเหวี่ยงนี่เป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ เจริญด้วยวัตถุบูชาวัตถุและบีบบังคับให้คนมีสมบูรณ์ด้วยวัตถุ ทีนี้พวกเสรีประชาธิปไตยมันก็ต้องการเจริญด้วยวัตถุ แต่มันไม่ ไม่ ไม่ มันไม่คิดถึงคนอื่น มือใครยาวสาวเอา มือใครยาวสาวเอา นี่มันเกิดนายทุนเกิดอะไรขึ้นมาเป็น เป็นคนคน นอกนั้นมันก็เป็นคนจนแหละ แต่เราก็บูชาวัตถุกันทั้งนั้น ทั้งโลกเลย เพราะปล่อยไปตามความรู้หรือการศึกษาของโลกสมัยปัจจุบันเป็นวัตถุนิยมหมด น่ากลัวว่ายุคมิคสัญญีจะมาเร็ว มาเร็วเกินคาด ยิ่งหลงใหลในวัตถุนิยมมากเท่าไหร่ ไอ้มิคสัญญีจะมาเร็วเกินกว่ากำหนดไว้ นี่จะไม่ จะไม่ถึง ๕,๐๐๐ ปีมิคสัญญีจะมา เสียก่อน เพราะเลือดเข้าตาในเรื่องวัตถุนิยมกันมากขึ้นๆ ก็ดูเวลานี้การฆ่ากันคราวละหมื่นละแสนมันไม่มีความหมายอะไรเลย พวกญี่ปุ่นถูกโยนลูกระเบิดใส่ทีเดียวตายกี่แสนก็ไม่รู้ แล้วก็มันไม่มีความหมายอะไร คือไม่สลดใจ ไม่สังเวชไม่อะไรเลย ถ้าลูกระเบิดต่อไปในอนาคต ทีเดียวตายเป็นล้านๆ นี่มิคสัญญีจะใกล้เข้ามาเพราะว่าคนมันหลงวัตถุนิยม ถ้าเธอเป็นครูเป็นพวกครูต่อต้านวัตถุนิยมก็ได้บุญแล้ว ดึงไปในทางวิญญาณ ให้วิญญาณรอดแล้วคนรอด จะมีแสงสว่างทางวิญญาณเดินไปให้ถูกทาง ถ้าสมมติว่าเราพุทธบริษัทจะจัดโลกให้เสมอภาค ต้องจัดในทางวิญญาณ ไอ้ทางเนื้อหนังร่างกายเราไม่มุ่งจะจัดให้เสมอภาคกัน แต่เรามุ่งจะจัดให้เสมอภาคกันในทางวิญญาณ ทางร่างกายเป็นไปตามกรรม แต่ทางวิญญาณขอให้รักให้เมตตาปราณีให้เสมอหน้ากันหมด คนจนก็รักคนรวย คนรวยก็รักคนจน ให้มันรักเสมอหน้ากันให้หมดเหมือนคนคนเดียว ที่ว่าทำให้โลกทั้งหมดมันเป็นอันเดียวกัน เสมอกันด้วยจิตใจด้วยเรื่องทางวิญญาณ คือเมตตา กรุณา แต่จะจัดทางวัตถุเป็นอยู่ให้เสมอภาคนี่ทำไม่ได้ ผมรู้สึกว่ามันบ้า ที่คนทุกคนมีอะไรเสมอกันวาด วาด วาดโครงการทุกคนมีอะไรเสมอกัน มีตึกเสมอกัน มีรถยนต์เสมอกัน มีอะไรเสมอกันมันไม่มีทางจะทำได้ แต่ว่าถ้าเรารักกันเสมอกันมีทางทำได้ คนจนก็รักคนรวยได้ คนรวยก็รักคนจนได้ และนั่นแหละคนรวยจะสงเคราะห์คนจนเองไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องเอาลัทธิมาบังคับ ถ้าเราบูชาวิญญาณ บูชาจิตใจสนใจในทางวิญญาณให้มากมันไม่ต้องการวัตถุ วัตถุมันจะเหลือ คนเราก็จะรักกันได้เมตตากันได้ เวลานี้เรารักกันไม่ได้ แล้วมันแย่งชิงแข่งขันกันในทางวัตถุ แต่ละคนมุ่งจะกอบจะโกยแต่เงินแต่วัตถุ แล้วมันจะรักกันได้อย่างไร กลายเป็นศัตรูกันไปหมด ทุกครัวเรือนกลายเป็นศัตรูแก่กันและกันไปหมด นั่นแหละโทษของวัตถุนิยม ถ้าคุณเป็นครูเป็นพวกครูจะได้บุญก็ตรงที่ว่าเป็นผู้นำในทางวิญญาณ เราอย่าไปหลงเสียเอง เราอย่าไปโง่ไปหลงเสียเองไปหลงวัตถุเสียเอง เห็นแก่เงินเดือนเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง พูดไว้ล่วงหน้า อย่าว่าดูถูกอย่าว่าด่า พวกคุณจะเรียนให้สำเร็จ แล้วก็ได้เงินเดือนเอามาใช้บำรุงบำเรอเนื้อหนังเรื่องเพศเรื่องอย่างนั้น สูงสุดอยู่แค่นั้น อย่างนี้มันก็ไม่ไหวต่างคนต่างจะเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างจะเห็นแก่ตัว คราวนี้ก็ล่วงเกินกันโดยทางใดทางหนึ่งเบียดเบียนกันไม่มีที่สิ้นสุด นั่นคือความต้องการเหมือนกับเด็กอมมือ เด็กอมมือมีแต่เรื่องกินให้อร่อยแก่ปากแก่ท้อง เรื่องจิตเรื่องวิญญาณยังไม่รู้ คนแก่ๆ ไปหลงวัตถุแล้วก็เป็นเด็กอมมือ ปู่ย่าตายายของเราไม่เคยเป็นอย่างนั้น พูดกันในวงแคบที ปู่ย่าตายายของเราในเมืองตำปรื้อไม่เคยเป็นชนิดนั้น เคยหลงใหลแต่ในเรื่องทางวิญญาณทางธรรมทางพระทางเจ้าทางศาสนา ไม่ ไม่เจริญด้วยวัตถุแน่นอน แล้วก็ไม่ละโมบวัตถุ ไม่เป็นทาสวัตถุไม่แย่งชิงกันฆ่าฟันกันเพราะวัตถุ เป็นหลักใหญ่ กลัวบาปกลัวกรรมเหลือเกิน สมัยนี้ไม่กลัวบาปกลัวกรรม วันก่อนพูดแล้ว วันก่อนพูด วัน พูดวันก่อนๆ พูดแล้วว่าให้ดูในแผ่นดินของเมืองตำปรื้อนี้มีซากทิ้งไว้มีร่องรอยทิ้งไว้เป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นเมืองของคนดี มีพระธาตุมีอะไรไปเสียทุกจังหวัด มีร่องรอยของความสงบสุขอยู่ทั่วไปในวัฒนธรรม คนยิ้มแย้มแจ่มใสชักชวนให้เพื่อนกิน ใครมาถึงบ้านต้องให้กิน แล้วมีความละอาย ในเมื่อไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เขาเป็นกันมาก เมื่อไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นเห็นว่าบกพร่อง ละอาย ตั้งของไว้ให้คนกิน ทำศาลาไว้ให้คนพัก ตามประตูบ้านทุกๆ บ้านมีโอ่งน้ำไว้ให้คนกิน คนสมัยนี้มันทำที่ไหน มันเอาโอ่งน้ำไปทำอะไรเสียหมดแล้ว ทางภาค เอ่อ, ภาคเหนือบางส่วนยังเห็นพอเห็นอยู่บ้าง แต่น้อยลงน้อยลงจนหมดไป เมื่อผมเด็กๆ ยังมีบ้างที่เมืองนี้เมืองไชยา การตั้งโอ่งน้ำใส่น้ำมีขันวางไว้ให้คนเดินผ่านไปตักกินยังมีบ้างแต่ไม่มากนัก เวลานี้หมดแล้ว เพราะเหตุว่าจิตใจมัน มันเห็นแก่ตัวมากขึ้น หรือว่ามันจะคิดเสียว่าสมัยนี้เขากินน้ำอัดลม ก้าวหน้าทางวัตถุไม่มีใครกินน้ำในไห มันก็เลิกไปหมด เมืองตำปรื้อเปลี่ยนแปลงมากเหมือนกัน เกิดปรากฎการณ์ภายนอก แต่ร่องรอยมันมีอยู่เคยสูงทางวิญญาณ เรานึกกันในข้อนี้อีกที ช่วยรักษาความดีความวิเศษของปู่ย่าตายายไว้ ไว้บ้าง ยิ่งว่าพวกคุณได้มาบวชเป็นพระเป็นเณรแม้จะช่วงระหว่างปิดภาคก็ตาม ก็ควรจะเข้าใจเรื่องทางวิญญาณมากขึ้น แดงๆ เหลืองๆ นี้สัญญลักษณ์ของเรื่องทางวิญญาณทางธรรม ไม่ใช่เรื่องปากเรื่องท้องไม่ใช่เรื่องเนื้อเรื่องหนัง จีวรเหลืองๆ นี้สัญญลักษณ์ของพระอรหันต์ผู้มีจิตใจสูงสมบูรณ์เต็มเปี่ยม คำว่าพระอรหันต์ถ้าคุณยังไม่ทราบเณรๆ บางคนยังไม่ทราบ หมายความว่าบุคคลที่มีจิตใจสูงสุดมีจิตใจเต็มเปี่ยมของความเป็นมนุษย์ คือพระอรหันต์ ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีกิเลส ไม่เบียดเบียนตัวหรือเบียดเบียนผู้ใด ใจมันสูงมันเต็มมันบริสุทธิ์สะอาดสว่างสงบ พระอรหันต์ ผ้ากาสาวพัสตร์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระอรหันต์ เอามานุ่งมาห่มกันแล้ว เราอย่าไปขบถต่อผ้ากาสาวพัสตร์ จงทำจิตใจให้บูชาสิ่งสูงสุดคือพระอรหันต์หรือว่าพระธรรม คือความสะอาดสว่างสงบแห่งจิตใจสูงสุดบูชาข้อนี้ ให้สมกับที่ว่าเรากำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ ทีนี้ถึงออกไปเป็นฆราวาสแล้วก็ยังต้องบูชาไอ้ความจริงความสูงสุด อยู่ อยู่นั่นแหละ ต้อง ต้องบูชาพระอรหันต์ บูชาสิ่งที่มันน่าบูชา คือความสูงทางวิญญาณไม่ใช่ความตกต่ำทางวิญญาณ แล้วมาบูชาเนื้อหนังกัน เราไม่ต้องบูชาวัตถุไม่ต้องบูชาเนื้อหนัง บูชาความสูงทางวิญญาณ ให้สมกับว่าเป็นลูกหลานของคนที่เคยบูชาเรื่องทางวิญญาณ
เอาละทีนี้ผมจะพูดว่ากันเองที่สุดเลยนะ คุณอย่าทำให้ผมกลายเป็นคนบ้าหรือเป็นคนโง่อย่างบัดซบ คุณฟังดู ทุกๆ องค์อย่า อย่าช่วยกันตั้งให้ผมกลายเป็นคนบ้าหรือคนโง่บัดซบ ที่เอาเรื่องที่ไม่ควรจะพูดมาพูด นี่คนโง่หรือคนบ้าบัดซบ เอาเรื่องทางวิญญาณเอาเรื่องทางธรรมมาพูดให้เขาฟังแล้วเขาไม่สนใจเขาไม่รับเอา เขาเรียกว่าคนบ้า เอาเรื่องที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่มีใครต้องการมาพูดนั้นเป็นคนบ้า เป็นคนโง่บัดซบ พูดให้เหนื่อยให้คอแห้งไปทั้งวัน ทั้งวัน แล้วก็ไม่มีใครรับเอา หมายความว่าคุณไม่สนใจเรื่องนี้ ผมกลายเป็นคนโง่ที่สุดบ้าที่สุดพูดให้เสียเวลา ถ้าคุณสนใจเรื่องนี้เอาไปคิดไปนึกไปปฏิบัติผมก็กลายเป็นคนไม่บ้าอย่างน้อยไม่โง่ไม่บ้า เอาเรื่องที่มีประโยชน์มาพูดให้เขารับเอาไปได้ มีประโยชน์กับคน ผู้ฟังผมก็ไม่โง่ไม่บ้า ถ้าเรื่องมันกลายมาเป็นผมเอาเรื่องที่ไม่มีใครรับเอาเลยมาพูดให้ฟังเสียเวลาเปล่าๆ นี่ผมกลายเป็นคนบ้าที่สุดโง่ที่สุด ขึ้นอยู่กับคุณตัวที่ฟังจะรับเอาหรือไม่รับเอาหรือจะถือว่าเรื่องนี้บ้าที่สุดไม่เอาไม่รับ ผมก็กลายเป็นคนโง่ทันที ไอ้เรื่องที่ไม่มีใครเอาไม่มีใครสนใจมาพูดให้เสียเวลา แต่นี่มันรอดไปได้เพราะว่ามีหลายคนที่เขายังต้องการ ผมไม่บ้าไม่ไม่ไม่ถูกจัดหรือว่าไม่กลายเป็นคนบ้าหรือคนโง่ที่สุด แม้ว่าเอาเรื่องธรรมเรื่องศาสนาเรื่องไอ้สุญญตาอะไรมาพูดนี่ ก็ยังมีคนพอใจฟัง แล้วรับเอาไปใช้เป็นประโยชน์ได้บ้าง เราก็ไม่บ้าเอาเรื่องที่มีประโยชน์มาพูด ถ้าเกิดว่าใครไม่ยอมรับฟังเลยไอ้นี้ก็บ้าไปคนเดียวโง่ไปคนเดียว พูดสิ่งที่ใครไม่ต้องการไปคนเดียว การที่จะเอาเรื่องทางวิญญาณเรื่องที่สูงสุดทางวิญญาณมาพูด ถ้าไม่มีใครรับเอากลายเป็นคนบ้าพูดให้เสียเวลา ขอให้ครูทุกๆ คนทำตนเป็นผู้นำทางวิญญาณ อย่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสือเลย อย่าเป็นลูกจ้างสอนหนังสืออย่างเดียวเลย พวกคุณไม่เชื่อ จะเป็นลูกจ้างสอนหนังสืออย่างเดียวผมก็กลายเป็นคนโง่ที่สุดบ้าที่สุด เอาเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไรมาพูด ถ้าคุณสนใจเรื่องวิญญาณกัน แล้วผมก็กลายเป็นคนดีมีประโยชน์ ทำสิ่งที่มีประ โยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ได้ ผมก็เป็นคนเมืองตำปรื้อ คุณก็เป็นลูกลานคนเมืองตำปรื้อ อย่าทำลายอย่า อย่าแกล้งกันนะโว้ย ช่วยกันประคับประคองไว้ให้ดีให้เมืองตำปรื้อมันพ้นจากไอ้การดูถูกดูหมิ่นของชาวบางกอก ชาวบางกอกเรียกเราว่าเมืองตำปรื้อ เราจะแสดงฝีไม้ลายมือให้คนเมืองตำปรื้อให้สูงในทางวิญญาณเสมอไป นี่เรื่องปรับทุกข์นะ ไม่ใช่เรื่องสอนหนังสือนะนี่ ไม่ใช่สอนวิชาให้คุณจดลงไปในสมุด เป็นเรื่องปรับทุกข์ ที่จะกู้เกียรติกู้ฐานะของเมืองตำปรื้อตลอดภาคใต้ ถ้าคุณกลัวลืมจะจดใส่สมุดก็ตามใจ แต่ว่านี่ไม่ใช่การเรียนในห้องเรียน ไม่ใช่เรื่องเรียนศีลธรรมในห้องเรียนจดใส่ไว้ในสมุดเฉยๆ เรียนก็ศีลธรรมกันเพียงจดใส่ไว้ในสมุด เราต้องปฏิบัติต้องอยู่กับเนื้อกับตัวต้องปฏิบัติ บูชาเรื่องสูงสุดของมนุษย์คือเรื่องทางจิตทางวิญญาณ โลกรอดเพราะวิญญาณรอด วิญญาณรอดเพราะมันไม่ได้เป็นทาสของวัตถุมันไม่ไปเป็นทาสของไอ้เนื้อหนัง โลกมันรอดไปได้จากความเป็นทาสคือไม่มีความทุกข์พญามารย่ำยีไม่ได้ เราก็คิดดู ขอให้ทุกคนรอดที่พูดนี้ขอให้ทุกคนรอดให้วิญญาณของทุกๆ คนรอด แล้วร่างกายมันรอดแหละ เพราะวิญญาณพ่ายแพ้ร่างกายก็ไปเป็นทาสของ ของกามารมณ์ ไม่มีอะไรรอดเลย มีแต่ความทนทุกข์ทรมานความโง่ความมืดความบอด แล้วก็นำไปสู่มิคสัญญีเร็ว ได้เวลาที่เรากำหนดไว้หมดพอดี วันนี้พูดเรื่อง ครูเป็นผู้นำทางวิญญาณจำไว้ให้ดีๆ พูดเรื่องครูเป็นผู้นำทางวิญญาณ เรื่องทางวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของพุทธศาสนา ไอ้เรื่องทางวัตถุทางกายนี่ให้เป็นช้างเท้าหลัง ให้ตามหลังจิตตามหลังวิญญาณ พอกันที