แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
๔:๓๐ น. แล้ว วันนี้จะได้พูดกันถึง การแสวงหาการรักษาโรค ในหัวข้อว่า การรับนับถือศาสนา ขอให้ระลึกถึงหัวข้อใหญ่ ของเรื่องอยู่เป็นประจำว่า เรากำลังพูดกันถึงเรื่อง การรักษาเยียวยาโรคของสัตว์โลก ทั้งปวง โดยนายแพทย์ คือ พระพุทธเจ้า เราได้พูดกันถึงเรื่อง สัตว์โลกทั้งปวงเป็นคนไข้ของอวิชชา เมื่อพูดกันถึง อาการโรค ของความเป็นคนไข้ ของอวิชชา ว่าอาการโรคที่ปรากฏอยู่ในสายตา ของคนในยุคปัจจุบันนี้ แล้วก็จะ ได้พูดกันถึง การรักษาโรคต่อไป
ในเมื่อได้พูดถึง เรื่องโรคพอสมควรแล้ว ก็ขอให้นึกถึงพระพุทธองค์ ผู้ตั้งอยู่ในฐานะเป็น นายแพทย์ ผู้เยียวยาโรค ด้วยการจำ หัวข้อพระบาลีนั้นไว้อย่างขึ้นใจ สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี ชิโน อาจริโย มะมะ มหาการุณิโก สตฺถา สพฺพโลกติกจฺฉโก (นาที่ที่ 02:25) อาจารย์ของเรานั้น เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง เป็นผู้เห็นสิ่งทั้งปวง เป็นผู้ชนะมาร เป็นผู้สั่งสอน ที่ประกอบไปด้วย ความกรุณาอันใหญ่หลวง เป็นนายแพทย์ผู้รักษา เยียวยาสัตว์โลก ทั้งปวงดังนี้ นี้เป็นเหมือนกับมนต์ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าท่องและระลึกอยู่เสมอ มันก็ช่วยได้มาก ด้วยเกิดความเลื่อมใส มั่นคงในพระพุทธเจ้า แล้วก็เลยออกไปถึง พระรัตนตรัย เป็นลำดับ
นั้นมันเป็นเรื่อง รู้จักพร้อมกันไปในตัวทุกอย่าง เรื่องเกี่ยวกับโรค เกี่ยวกับสมุฏฐานของโรค เกี่ยวกับ ความไม่มีโรค การรักษา เยียวยาให้เกิดความไม่มีโรค ซึ่งมีพร้อมอยู่ในคาถานี้ เมื่อตั้งใจจะศึกษาพุทธศาสนา จะต้องสนใจ คำบัญญัติเฉพาะ หลักการที่ใช้กันอยู่ ในทางศาสนานี้ บ้างตามสมควร ภาษาบาลีมีประโยชน์ มีหลายอย่าง อย่างที่ไม่ค่อยจะสังเกตเห็นกัน คือมันช่วยให้จำได้ง่าย แม่นยำ สั้น ๆ แต่ประโยชน์ที่สำคัญนั้น คือมันเปลี่ยนแปลงยาก เราถือภาษาบาลีไว้เป็นหลัก เมื่อแปลออกไปสู่ภาษาต่าง ๆ มันเลือน มันเลือนได้ นี้ถ้ารักษาภาษาบาลีเดิมไว้ได้ มันก็เลือนไม่ได้ เพราะมันจะวกกลับไปหา ภาษาบาลีเดิมเรื่อยไป ถ้าขืนแปลเป็น ภาษาปัจจุบันต่อ ๆๆ กันไป มีการเลือนออกไปทุกที
จำภาษาดั้งเดิมไว้บ้าง เท่าที่จะทำได้ ประกันไอ้ความที่มันค่อย ๆ เลือนออกไป และอีกอย่างหนึ่ง คือความรู้ของเรา ยังไม่กว้างขวาง ในตอนแรก แล้วมันจะค่อยกว้างขวางออกไป โดยที่ว่า กลับไปทบทวน ในความหมายของคำ ในภาษาบาลีนั้นเรื่อย ๆ ไป แม้แต่คำว่า พระพุทธเจ้านี้ เรายังต้องสนใจ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในความหมาย ของคำ ๆ นี้ยิ่งขึ้นทุกทีทุกปี อย่าว่าแต่พวกคุณ ที่เพิ่งจะสนใจ ในเวลาอันสั้นนี้ แม้แต่ผม ที่สนใจมาเป็นเวลา ๔๐-๕๐ ปีแล้ว ก็รู้สึกว่า ในความเข้าใจนั้น มันมิได้หยุด มันยังขยายออกไปได้ คือ มีความเข้าใจ แจ่มชัด ลึกซึ้ง กว้างขวางออกไปเรื่อย จนกระทั่งบัดนี้ นี้ก็เป็นหลักสำคัญอันหนึ่ง ซึ่งขอให้ถือไว้ ปฏิบัติจนตลอดชีวิต เมื่อยังรักที่จะเป็นพุทธบริษัท ในพระพุทธศาสนา
หัวข้ออ่า, เพราะฉะนั้นหัวข้อการศึกษา ของเราในวัน ในในคราวนี้ ก็จะเกี่ยวกับคาถานี้เป็นหลัก รวมความแล้วก็ว่า สพฺพโลกติกจฺฉโก (นาทีที่ 06.31) อาจารย์ของเราเป็น นายแพทย์ผู้รักษาโรค ของสัตว์โลก ทั้งปวง เอาล่ะทีนี้เราก็พูดถึง เนื้อเรื่องที่จะพูดต่อไป ครั้งที่แล้ว ๆ มาเราพูดถึง เรื่องโรคโดยละเอียด
ทีนี้ก็จะเริ่มพูดถึง การลงมือรักษาโรคกันบ้าง เริ่มด้วยเรื่องแรกที่สุด ก็คือคำว่า การรับนับถือพระศาสนา การรับนับถือพระศาสนานี้ คือการแก้ไขเยียวยารักษาโรคของโลก เป็นระยะตั้งต้น เริ่มแรก โรคมี ๑๓ ชนิด ที่ส่ออาการให้เห็นในปัจจุบัน อย่างน้อย เป็นอย่างน้อย เราก็ได้พูดกันมาแล้ว เมื่อพูดถึงการรักษา เยียวยาต่อไป ก็อยากจะพูดถึง ข้อบกพร่อง ของการเยียวยารักษาโรคนี้ก่อน เพื่อเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ระหว่างเหตุการณ์ ทั้งทางวัตถุ และทางวิญญาณ
ข้อแรก อยากจะพูดถึง ว่าในวงการแพทย์ปัจจุบัน ก็ขวนขวายกันแต่ ในเรื่องโรคทางร่างกาย หรือทาง ฝ่ายกาย ทางฝ่ายฟิสิกส์ กันอย่างละเอียดลออ กว้างขวางก้าวหน้าไปไกลมาก จนได้เรียกว่าใน อยู่ในสภาพที่เกินไป ทางหนึ่ง แล้วก็พร่องอยู่ทางหนึ่ง โดยเฉพาะข้อนี้ก็คือ การที่ไม่ป้องกันโรคทุกชนิด ด้วยการแก้ไขในทางวิญญาณ คือ ไม่สนใจโรคในทางวิญญาณ อย่างที่เคยพูดกันมาแล้ว ในฐานะเป็นเครื่องป้องกัน โรคทางร่างกาย ถ้าคนเรา ไม่เป็นโรคทางวิญญาณ คือ มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ มีความคิดเห็นถูกต้อง มีการเป็นอยู่ถูกต้อง การเป็นโรค ทางกายจะน้อยลง แทบจะหมดไป อย่างที่พูดกันมาละเอียดแล้ว
นี้ข้อที่ไม่สนใจ ก็เรื่องโรคทางวิญญาณ บวกกับละเลยเรื่อง ความรู้เรื่องโรคทางวิญญาณ ไม่เอามาใช้ เป็นเครื่องป้องกัน หรือแม้แต่แก้ไข โรคทางฝ่ายร่างกาย มันก็เพิ่มไอ้โรคทางกายนี้ให้มากขึ้น โดยให้มันแปลก ๆ ไป อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าจะถามกันว่า ทำไมโรคแปลก ๆ ใหม ่ๆ มันเกิดขึ้นในโลกเรื่อย แต่การค้นคว้าไล่ไม่ค่อยจะ ทันอยู่อย่างนี้ พวกที่เป็นนักวัตถุนิยม ก็คงจะพูดว่า เพราะว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงทางวัตถุ มันก็มีส่วนถูกอยู่มาก แต่อีกส่วนหนึ่ง ผมอยากจะขอให้เอาไปคิดว่า มันมีส่วนที่เกี่ยวกับวิญญาณ และจิตใจอยู่มาก เมื่อทางวัตถุเปลี่ยน ทางวิญญาณก็เปลี่ยนเหมือนกัน แต่ทางวิญญาณนั้นนอกจากจะเปลี่ยนแล้ว มันก้าวหน้าไปในทาง เป็นโรค มากขึ้น
มนุษย์เป็นโรคทางวิญญาณมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น คือ ความโลภ โกรธ หลงนี้มันมากขึ้น มีการเป็นอยู่ที่ ไม่ประกอบด้วยธรรมะนี่มากขึ้น มันจึงเป็นวิญญาณ ที่หิวกระหาย หรือว่าทนทรมาน เมื่อมาประกอบกันเข้ากับ การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุสมัยใหม่ ไอ้โรคใหม่มันก็เกิดขึ้นมา นั้นจึงมีปัญหาเพิ่มขึ้น ถ้าเรามีการแก้ไข หรือการ ป้องกันทางวิญญาณ โรคทางกายนี้ก็ยังจะน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้โรคทั้งหลาย ที่มาจาก ความหิวกระหาย ทางวิญญาณ คือ ความวิตกกังวล ความอยู่ด้วยจิตใจที่เร่าร้อน
ทีนี้อยากจะ พูดนอกเรื่องไปนิดนึงว่า การที่หลับตาแก้ไขกันแต่ในทางวัตถุ และยังไปแก้ไขไม่มีขอบเขต แม้กระทั่งอันธพาล คนอันธพาลในโลก ก็เป็นจรรยาของวงการแพทย์ ที่จะต้องแก้ไขไม่เลือกหน้า อันนี้จะถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง ก็เอาไปคิดดูก็แล้วกัน แต่ผมมองในแง่ที่ว่ามันเสียเวลา เหมือนกับรักษาเชื้อโรค ไว้ให้คงมีอยู่ ในโลก วงการแพทย์เสียเวลา ไปในการช่วยเหลือ คนอันธพาลพวกนี้ ก็คงมากไม่น้อยเหมือนกัน แล้วกลับจะเห็น เป็นว่า มีความสำคัญเท่ากันอย่างนี้ คนอันธพาลนั้น หมายถึง คนเป็นโรคทางวิญญาณ แก่จัดเกินไป เรารักษา เชื้อโรคทางวิญญาณไว้ ด้วยการช่วยคนอันธพาลไว้ ถ้าถือตามหลักศาสนา ก็ต้องเมตตา กรุณา ต้องช่วยเหลือกัน ทั่วไป มันก็เป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง แม้แต่มหาโจร ก็ต้องเอาช่วยชีวิตให้มันรอดไว้ เพื่อจะจับไปใส่คุก ใส่ตะราง ต่อไปอย่างนี้ แต่พร้อมกันนั้นมันก็ ทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก ในทางมีเชื้อโรคทางวิญญาณไว้มาก ทั่วโลกก็นิยมกัน อย่างนั้น คนวิกลจริตด้วย ประกอบอาชญากรรมอย่างยิ่งด้วย ก็ยังได้รับการรักษาเยียวยา แก้ไข เมตตาปราณีี เหมือนกัน และยังหาช่องโอกาส ที่จะช่วยคนชนิดนี้ไว้ ถ้ามันมีเหตุผลทางการเมือง แล้วก็ยิ่งเอากันใหญ่
นี้เพียงแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องพูดมากกว่านี้ เพราะเราเสียเวลา ในการแก้ไขทางฝ่ายกาย กระทั่งถึงอันธพาลนี้ แต่ไม่แก้ไขไอ้โรคทางวิญญาณ ให้แก่พวกอันธพาลเหล่านั้น ซึ่งเป็นต้นตอที่มาของโรค ทั้งทางวิญญาณ และทั้ง ทางร่างกาย นี่ถือว่าเป็นข้อบกพร่อง หรือว่าช่องโหว่อะไรอันหนึ่ง ซึ่งทำให้โลกนี้มีโรคมากขึ้น ทั้งทางกาย และทั้งทางวิญญาณ ถ้าไม่นึกถึงข้อนี้กันบ้าง ผลก็จะมีขึ้นว่า ไอ้ภาระหนัก ของวงการแพทย์นี้ จะมีมากขึ้น มีความยุ่งยากมากขึ้น และเมื่อแพทย์เอง เป็นโรคทางวิญญาณกันแล้ว ความยุ่งยากก็เพิ่มมากกว่านั้นอีก เช่น จะมีนายแพทย์ขูดรีด ยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วมา นี้เป็นต้น ขอให้นึกถึงข้อนี้กันบ้าง
ทีนี้ก็จะได้พูดถึง เรื่องความรับนับถือพระศาสนาต่อไป ถ้าตั้งปัญหาขึ้นมาสั้น ๆ ดุ้น ๆ ว่าทำไม เราถึงต้องรับนับถือศาสนา หรือต้องสนใจกับสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา มันก็ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน แต่ก็ไม่เสีย รสหยิก(นาทีที่15:40) ในข้อที่ว่า ชีวิตนี่มันเป็นอยู่ หรือมันเป็นการเดินทางด้วยจิตใจ ดังนั้นเราต้องรู้เรื่อง ของจิตใจ ศาสนานั้นแหละ คือความรู้ และหลักปฏิบัติในเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ขอให้คิดดูให้ดีว่า ชีวิตของคนเรานี้ มันเป็นอยู่หรือเจริญ ไปด้วยจิตใจ ไม่ใช่ด้วยร่างกาย แต่คนก็มองเห็นว่า ด้วยร่างกาย สนใจแต่เรื่องร่างกาย สนใจแต่เรื่องที่จะบำรุงรักษา แก้ไขทางร่างกาย จนศาสนาไม่มีช่อง ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วย
คุณลองนึกถึง ไอ้ผู้ศึกษาก้าวหน้าแผนใหม่ แม้ในวงการแพทย์ของพวกคุณนี้ ก็จะพบข้อเท็จจริงข้อนี้ ก็สนใจแต่เรื่องทางร่างกาย จนศาสนาไม่มีช่อง เข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วย ไม่กี่คนที่จะมาสนใจอย่างนี้ อย่างพวกคุณ ในเมื่อกล่าวรวมกันทั่วไปหมด ก็ต้องเข้าใจว่า ไอ้เรื่องของชีวิตนี้ มันเป็นเรื่องของจิตใจ เรื่องทางฝ่ายวิญญาณ โดยตรง แล้วต้องสนใจกับเรื่องทางศาสนา พระเยซูตอบพญามารว่า ชีวิตมิได้อยู่ด้วยข้าวปลาอาหาร ชีวิตอยู่ด้วย พระธรรมของพระเจ้า ยังพูดกันคนละทางเลย นี้ไปศึกษาข้อนี้กันเสียให้มากด้วย ว่าชีวิตไม่ได้อยู่ด้วย ข้าวปลา อาหาร แต่อยู่ด้วยพระธรรมของขันธ์(นาทีที่ 17.30) หรือของพระเจ้าก็ตามใจ แล้วแต่จะเรียก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว มันก็คือทิ้งศาสนา กันหมดไม่ว่าเป็นศาสนาไหน ศาสนาคริสเตียนก็กำลังถูกทิ้ง เพราะเขาเห็น เพราะเขามีชีวิต อยู่ได้ด้วย ข้าวปลาอาหาร มิได้มีชีวิตอยู่ด้วย พระธรรมของพระเจ้า
นี่พวกพุทธบริษัท ก็กำลังหลงวัตถุนิยม ถือศาสนาพอเป็นพิธี หรือในใจก็ไม่ได้ถือเลย มีใครเอาเงินมาให้ สักหน่อย ก็จะทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันหมด ศาสนา เป็นเรื่องของการแก้ไข ปัญหาทางฝ่ายวิญญาณ เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องเศรษฐกิจ เป็นต้น ต้องแก้ปัญหาทางวัตถุ พวกที่หลงทางวัตถุ ก็พูดอย่างพวก คอมมิวนิสต์พูด คอมมิวนิสต์ชั้นไอ้ Motivative Direction (นาทีที่ 18.32) ว่าถ้าร่างกายดีแล้ว จิตใจไม่ต้องกลัว มันดีเอง เป็นสุขเองนี่ ส่วนพวกมโนนิยม ทางฝ่ายศาสนานี้ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมเชื่ออย่างนั้น กลับพูดตรงกันข้ามว่า จิตใจต้องดีเสียก่อน ความสุขทางร่างกาย หรือความอะไร ที่น่าความปรารถนาทางร่างกาย จึงจะมีขึ้นมาได้ และไม่เป็นทุกข์ พูดอย่างขัดขวาง อย่างตรงกันข้ามอย่างนี้
นี้เราก็อยู่ในพวกที่ว่า โดยหลักส่วนใหญ่ ก็เป็นพวกมโนนิยม ถือจิตใจเป็นสำคัญกว่าร่างกาย ถือว่า ร่างกาย เป็นไปตามอำนาจของจิตใจ นี่เป็นหลักพุทธศาสนาที่คุณจะต้องจำไว้ เพราะถือว่าทุกอย่าง เป็นไปใน อำนาจของจิตใจ รวมทั้งร่างกายด้วย เราจึงจัดการที่จิตใจเป็นข้อใหญ่ มันจึงมีเรื่องทางฝ่ายศาสนา เกิดขึ้นอีก ระบบหนึ่ง ซึ่งว่าที่แท้แล้ว มันก็ควรจะไปด้วยกัน ทั้งทางกายและทางใจ จะให้ทางใจเป็นฝ่ายนำ ให้ร่างกาย เป็นฝ่ายตาม นี่คือหลักพุทธศาสนาที่ถูกต้องอย่างนี้ ซึ่งจะสามารถเป็นเครื่องเยียวยา รักษาโรคของสัตว์โลกได้จริง
ทีนี้อยากจะพูดสักนิดนึง ถึงคำว่า ศาสนา ศาสนานี่ ศาสนานั้นตัวหนังสือ แปลว่า คำสั่งสอน แต่ตัวแท้จริงของมัน ไม่ใช่เพียงแต่ตัวคำสั่งสอน มันคือตัวการหนีภัย หนีอันตราย ทางจิตทางวิญญาณ คำสั่งสอน เป็นแต่คำพูด คนมันเผลอจนโง่ ว่าศาสนา คือ คำสั่งสอน ตัวศาสนาแท้ ๆ คือการหนีภัย หนีอันตราย ทางวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่าน เรียกระบบนี้ว่า พรหมจรรย์ ไม่เคยเรียกว่าศาสนา แม้กระทั่งพุทธกาล มันจับพลัด จับผลูยังไง ก็ไม่รู้ เอาสิ่งนี้มาให้ นามใหม่ว่า ศาสนา ในภาษาไทย แล้วก็ไปถือตาม ความหมายทางตัวหนังสือว่า คำสั่งสอน ศาสนาเลยเหลือแต่ คำสั่งสอน เช่น พระไตรปิฎก เป็นต้น นั่นไม่ใช่ตัวศาสนาแท้ ตัวศาสนาแท้ คือ การหนี อันตราย หนีภัยทางวิญญาณ เป็นการดิ้นรนต่อสู้ หรือแม้แต่แสวงหา วิชาความรู้ ก็เพื่อสิ่งนี้ ดิ้นรนต่อสู้ไป จนกว่าจะปลอดภัยทาง วิญญาณ นี้คือตัวสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา
ทีนี้ถ้า มองให้กว้างออกไปอีก ในตัวศาสนา ในความหมายที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่ตัวหนังสือ คือ สัญชาตญาณ ของการหนีภัยดั้งเดิมนั่นเอง สิ่งที่มีชีวิตแล้ว มันก็มีความรู้สึกที่จะอยู่ จะรอด จะไม่ตาย พอมีอันตรายมา มันก็ดิ้นรนและหนี เป็นสัญชาตญาณของการหนีภัย ไปศึกษาดูจาก วิชาฝ่ายจิตวิทยาโดยละเอียด แต่เดี๋ยวนี้ เป็นที่ยอมรับกันว่า สิ่งที่มีชีวิต ย่อมมีสัญชาตญาณ แห่งการหนีภัย นี้ภัยมันมีทั้งทางกายและทางจิต ก่อนนี้ไม่รู้ เรื่องทางจิต ก็หนีภัยกันแต่ทางกาย สัตว์เดรัจฉานยังรู้จัก หนีภัยแต่ทางร่างกาย คนสมัยป่าเถื่อนสมัยแรก ๆ ที่จะมาเป็นคนนี้ ก็รู้จักแต่ทางร่างกาย ก็หนีภัยแต่ทางร่างกาย เพราะฉะนั้นทางร่างกาย มันปลอดภัย พอสมควรแล้ว คนจึงเริ่มรู้ว่า เอ้า, มันยังมีภัยใหญ่หลวงอีกอย่างหนึ่ง คือภัยอยู่ข้างใน ภัยทางจิต คือ กิเลส ที่เป็นเหตุให้เกิด ความทนทรมาน อยู่คนเดียวนี้ ไม่ต้องมีใครมาเกี่ยวข้อง
นี้ภัยจากอันตรายภายใน คือ กิเลสมนุษย์เริ่มรู้จัก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า ศาสนาก็เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ ในความหมายเดิม คือว่า หนีอันตรายทั้งทางกาย และทั้งทางจิตใจ ที่เรียกว่า ทางวิญญาณ ผมขอร้องให้ถือหลัก อันนี้ ว่านี่คือรากฐานศาสนา แต่คนส่วนมาก เขาไม่ยอมเชื่อหรือคัดค้านด้วยซ้ำไป ว่าจะให้สัตว์เดรัจฉาน มีศาสนาด้วยนั้นไม่ได้ ผมว่าได้ คือสัญชาตญาณแห่งการหนีภัย มันรู้เท่าไร มันก็ทำเท่านั้น มันทำได้เท่าไรนั่น ก็คือศาสนาของมันเท่านั้น เพื่อมีชีวิตรอด จะยกตัวอย่างให้เห็นว่า เปี้ยว ปู มด แมลง รู้จักหนีภัย วิ่งลงรูบ้าง ลงน้ำบ้าง ไปไหนต่อไหน ที่มันจะปลอดภัยได้ แล้วมันก็ต้องทำ สัญชาตญาณอันนั้น เป็นรากฐานการมีศาสนา คือ การหนีภัย ในทางวิญญาณ ต่อมาในชั้นหลัง แต่ความหมายคงเดิม คือ การหนีอันตราย คือ ตัวศาสนา เราบวช เราเรียน เราปฏิบัติ จนบรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่ก็เพื่อหนีอันตรายทางวิญญาณ คำเดียวเท่านั้น ให้รู้จักศาสนา ลึกถึงรากฐาน คือ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด มันจึงจะเข้าใจศาสนาถูกต้อง
ทีนี้ปัญหาต่อมา เมื่อมนุษย์เริ่มรู้สึก ในเรื่องภัยทางวิญญาณนี้แล้ว มันก็ยังทำไม่ได้ง่ายนัก มนุษย์ไม่ สามารถ ควบคุมสัญชาตญาณที่จะสูงขึ้นมา สัญชาตญาณหนีภัยอย่างมนุษย์ มนุษย์ควบคุมสัญชาตญาณส่วนสูง นี้ไม่ได้ ก็เลยย้อนกลับไปมี สัญชาตญาณระดับต่ำ คือระดับสัญชาตญาณอย่างสัตว์ อยู่ตามเดิมเป็นส่วนใหญ่ นี้เป็นเหตุให้เกิด การเบียดเบียนกัน มนุษย์ควบคุมความรู้สึกใฝ่สูงไม่ได้ ความรู้สึกใฝ่ต่ำก็ครอบงำ มันก็เบียดเบียน กันเอาเปรียบกัน อย่างสัตว์นั่นเอง ในร่างมนุษย์นี่เป็นสัตว์ คือการเบียดเบียนกันระหว่างมนุษย์ ศาสนาก็ยิ่งจำเป็น ที่จะต้องมียิ่งขึ้นมาอีก เพื่อจะช่วยควบคุม สัญชาตญาณของมนุษย์นี้ ยังคงมีอยู่ได้ อย่าให้ไปเป็น สัญชาตญาณอย่างสัตว์
เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาในรุ่นแรก ๆ ในระยะแรก ๆ ก็เริ่มค้นหาวิธีต่าง ๆ นานา ให้มนุษย์มีจิตใจ อย่างมนุษย์ คือจิตใจสูง ๆๆๆ ยิ่งขึ้นไปทุกที อย่าไปเป็นจิตใจต่ำ ๆๆ ลงไปอย่างสัตว์ อย่างเดิม มันจำได้ง่าย ตรงที่คำว่า มนุษย์นี้มันแปลว่า ใจสูง หรืออย่างน้อยก็ เหล่ากอ เทือกเถาเหล่ากอ ของผู้ที่มีใจสูง คือมนุษย์คนแรก ที่เริ่มมีใจสูง มนุษย์คนหลัง ๆ ก็จะมีใจสูง ยิ่งขึ้นต่อไป นี่จึงเรียกว่า มนุษย์ ถ้าใจต่ำก็ย้อนไปหาสัตว์ ไปหาความ เป็นสัตว์ นี้จิตใจก็คอยแต่จะ ลงมาทางต่ำ เหมือนกับปลามันจะลงน้ำอยู่เรื่อย เราก็ต้องมีสิ่งต้านทาน ระบบต้านทาน คือศาสนา นี้ยิ่งเกิดปัญหาทางศาสนาขึ้นมา เกิดศาสนาขึ้นมาลำดับ ตามความเหมาะสมของ สถานการณ์ สถานการณ์นี้ก็หมายถึง มนุษย์ที่อยู่ในท้องถิ่นที่ต่างกัน ในยุคสมัยที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นศาสนาจึง ไม่เหมือนกัน โดยข้อปลีกย่อย คือ โดยลักษณะภายนอก เราจึงมีศาสนาตั้งมากมาย
เดี๋ยวนี้ลองนับดูได้ รู้สึกจะ ๑๐ กว่าศาสนา ทางฝ่ายตะวันออก สุดไปทางนู้น ก็มีศาสนาที่เก่าแก่ อย่าง ลัทธิเต๋าของเลาจื๊อ ของขงจื๊อ ของชินโตของญี่ปุ่น ขยับเข้ามาตรงกลาง ที่อินเดียนี้ ก็มีศาสนาพราหมณ์โบราณ ศาสนาพุทธ ศาสนาไชนะ ผู้แข่งขันของศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดูสมัยใหม่ และต่อไปทางตะวันออก ก็ยังมีศาสนา โซโรอัสเตอร์(นาทีที่ 27:10) โบรมโบราณของเปอร์เชีย กระทั่งมีศาสนายิว แล้วก็ศาสนาคริสเตียน ศาสนาที่คลอด ออกมาจาก หลักการอันนี้ คือ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาฮออิ (นาทีที่ 27:30) ใหม่ ๆ นี้เป็นต้น ก็ตั้ง ๑๒ ศาสนา
นี้ข้อที่ มันเป็นส่วนปลีกย่อย มันมีมากกว่านั้นอีก มีที่ปรากฏเด่น ๆ อยู่ในโลกเวลานี้ ก็มีตั้ง ๑๒ ศาสนา อยู่แล้ว นี้ทำไมมันจึงมาก ต่างกันโดยข้างนอก ข้างในเหมือนกัน ข้างในเป็นระบบ ที่จะหนีอันตรายทางวิญญาณ ทั้งนั้น แต่ว่าในท้องถิ่นในยุคนั้น ในสมัยนั้นก็มี เขามีความคิดเห็นอย่างไร เขาก็พูดไว้อย่างนั้น ไอ้ที่มนุษย์
มันต่าง ๆ กัน มันก็รับเลือกมาต่าง ๆ กัน แม้แต่กินอาหารนี้ คนเราก็เลือกเอาตามรสนิยม การถือศาสนาในโลกนี้ มันก็เลือกเอาตามรสนิยม บางทีก็มีเหตุผลอื่นแทรกแซง เช่น การถูกบังคับ การเผยแพร่เพื่อการเมืองนี้ ก็มี เหมือนกัน แต่ว่าส่วนใหญ่ ส่วนสำคัญ มันอยู่ที่เลือกตามรสนิยม ทั้งนี้ศาสนาที่เหมาะแก่รสนิยมของคนต่าง ๆ นานาชนิด
แต่แล้วไปดูให้ดีเถอะว่า เขามุ่งหมายที่จะให้คนเรา เป็นอยู่ด้วยความสุข สุขกาย สุขใจ เย็นอก เย็นใจ ไม่ร้อน ด้วยความโง่ก่อน แล้วก็ไม่ร้อน ด้วยความโลภ ความโกรธ คือ ไม่เป็นคนไข้ของอวิชชา ไม่ถูกเสียดแทง อยู่ด้วยโรคนานาชนิด ที่เกิดมาจากกิเลส ที่มาจากอวิชชา ขอให้มองดูใน สายตากว้าง ๆ อย่างนี้ก่อน ในวันแรก ที่เราพูดกันถึง เรื่องสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ทีนี้ศาสนาบางศาสนามีพระเจ้า บางศาสนาไม่มีพระเจ้า ทีนี้พวกที่ถือ ศาสนามีพระเจ้า มันก็ว่าเอาเองว่า ถ้าศาสนาไหนที่ไม่มีพระเจ้า ศาสนานั้นยังไม่ใช่ศาสนา อย่างนี้พูดอย่างลำเอียง อย่างเข้าข้างตัว
ผมถือเอาความหมายว่า สิ่งที่เรียกว่าศาสนา หรือ religion เป็นเพียงระบบ การหนีอันตรายทางจิต ทางวิญญาณ จะมีพระเจ้าก็ได้ ไม่มีพระเจ้าก็ได้ โดยปากพูด แต่ที่จริงแล้ว มีพระเจ้าทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าศาสนาไหน แต่มันไม่เรียกว่าพระเจ้าก็มี เพราะว่ามนุษย์เรา จะมีความรู้สึก โดยสัญชาตญาณเอง เหมือนกันว่า มีสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุด ซึ่งเป็นต้นเหตุ ให้เกิดสิ่งทั้งปวง และควบคุมสิ่งทั้งปวง นั้นต้องมี แม้ในพุทธศาสนานี้ ก็ถือว่ามี ธรรม หรือธรรมชาติ ประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอำนาจเหนือธรรมชาติทุกสิ่ง เหนือสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออก ที่ออกมาแห่ง สิ่งทั้งปวง และควบคุมสิ่งทั้งปวง และมีอำนาจครอบคลุม อยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ในที่ทุกหนแห่งนี้ก็มี แต่เราไม่ เรียกว่า พระเจ้า เราเรียกว่า ธรรมหรือธรรมะ ชื่อนั้น ๆ ตามชื่อ นี้โดยพฤตินัย มันก็มีพระเจ้า อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ในสิ่งมีชีวิต ในความรู้สึก แต่โดยนิตินัย คือการบัญญัติ ก็บัญญัติกันตามใจชอบ มีพระเจ้าอย่างนั้น มีพระเจ้า อย่างนี้ ไม่มีพระเจ้าอย่างนั้น ไม่มีพระเจ้าอย่างนี้
ทีนี้ เมื่อปล่อยให้พวกที่ มันถือพระเจ้าอย่างบุคคลพูด มันก็พูดว่าพระเจ้านะมี แต่อย่างที่เขาถือ คือ เป็นบุคคล มีหน้าตาเหมือนคน มีจิตใจ มีรัก มีเกลียด มีโกรธเหมือนคนอย่างนี้ มันก็ได้แต่พวกเขา เรายอมรับไม่ได้ พระเจ้าอย่างนั้น เราเรียกว่าพระเจ้าของคนเด็ก ๆ ของคนที่ยังมีความรู้สึกอย่างเด็ก ๆ personal god พระเจ้าอย่าง เหมือนกับบุคคลนี้ เหมือนของเด็ก ๆ นี้พระเจ้าแท้จริง ต้องเป็น impersonal god จะเป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่จะเรียก เรียกไม่ถูกด้วยซ้ำไป แต่เราเรียกว่าเป็น impersonal ไม่ใช่อย่างบุคคล มันต้องอย่างพระเจ้า นี่พระเจ้าที่แท้จริง เป็นอย่างนี้ แล้วก็มีอยู่โดยทั่วไป บาง บางพวกเขาก็เอาไปทำให้ เหมือนบุคคลเสีย ก็มีอำนาจอย่างบุคคล
กฎธรรมชาตินี้ มันลงโทษคนทำผิด ให้รางวัลคนทำถูก คล้าย ๆ กับว่าเป็นบุคคล พวกที่เขาจะไปพูดกับ คนที่ยังมีการศึกษาน้อย ในป่าในดง หรือในยุคในถิ่น ที่เหมาะสมอย่างนั้น เขาก็พูดอย่างให้เป็นบุคคล แต่ถ้าในถิ่น ในประเทศ ที่มันเจริญด้วยวิชาความรู้ มาเป็นพัน ๆ ปี แล้วมันก็ไม่พูดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในประเทศอินเดีย จึงเจริญ ด้วยความรู้ทางวิญญาณ มานมนานแล้ว จึงไม่พูดพระเจ้าอย่างบุคคลขึ้นมา เช่น พุทธศาสนา เช่น ศาสนาไชนะ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น แต่สำหรับ ไอ้แมส (นาทีที่ 32:34) ที่มันยังโง่อยู่ตามเดิม คือ มวลชนส่วนใหญ ของมนุษย์นี่ มันยังโง่อยู่ตามเดิม ก็พูดในรูปของบุคคลขึ้นมา เพราะฉะนั้นเอาไอ้อำนาจ หรือธรรมชาติอันใดมา มาทำให้เป็นบุคคลขึ้นมา ในภาษานี่เขาเรียกว่า ทำให้เป็นบุคคลาธิษฐานขึ้นมา personification พูดไอ้ ไอ้ที่เป็น นามธรรม ให้กลายเป็นเหมือนกับ เป็นคนขึ้นมา นี้เป็นปัญหายุ่งยากลำบาก ที่ทำให้เกิดการโต้เถียง โต้แย้ง เสียเวลาเปล่า ๆ
เพราะฉะนั้นเรา ก็ถือเสียว่า ที่พูดอย่างคนเขาพูดไปนี่ ที่พูดอย่างไม่ใช่คนก็พูดไปนี่ แต่ให้มันมีหลักการ ปฏิบัติชนิดที่เรียกว่า แก้ไขความชั่วร้าย ในจิตใจได้ก็แล้วกัน แล้วถือเอาหลักที่ว่า มันแก้ไขความชั่วร้ายในจิตใจได้ นี้เรียกมันว่า ศาสนา religion มันก็เป็น religion กันหมด อย่าไปแบ่งออกว่า ศาสนาบางศาสนาไม่ใช่ religion คือไม่ใช่ศาสนา อย่างนี้มันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นศาสนาด้วยกันทั้งนั้น เพราะมุ่งหมายขจัด ความทุกข์ ในจิตใจ ด้วยกันทั้งนั้น ที่พูดให้มีพระเจ้า หรือให้ไม่มีพระเจ้า มันแล้วแต่ความจำเป็นของท้องถิ่น ของยุค ของสมัย ศาสนาโบราณ มันก็มีมาตั้งแต่ อย่างน้อยผมคิดว่า มันคงหลายพันปี ตั้งต้นตั้งแต่ ๘๐๐๐ ปีมาก็ได้ เพราะมนุษย์ ได้เริ่มเจริญ เรื่องทางจิตใจขึ้นมาบ้างแล้ว แล้วก็มามี ศาสนา ที่เกือบจะเป็น พุทธศาสนาขึ้นมา ในอินเดีย
ในยุคก่อนพุทธกาลประมาณสัก ๕-๖๐๐ ปี เรียกว่า ยุคอุปนิษัท เริ่มเห็นสิ่งที่เป็น นามธรรมมากขึ้น เมื่อเกิดพุทธศาสนาขึ้นมาเต็มรูป เมื่อ ๒๕๐๐ ปีมานี้ ต่อมามันก็เกิดศาสนาคริสเตียนสัก ๕๐๐ ปี ต่อมาประมาณ สัก ๕๐๐ ปีนี้ ก็เกิดศาสนาอิสลาม เป็นต้น มันห่างกันตั้ง ๕๐๐ ปี ๕๐๐ ปี แล้วก็ถิ่น ท้องถิ่นหรือถิ่นที่เกิดนั้น มันก็ห่างไกลกัน วัฒนธรรมต่างกัน อะไรต่างกัน มันเหมือนกันไม่ได้เลย โดยคำพูดข้างนอก แต่มุ่งหมายข้างใน เหมือนกัน คือจะกำจัดเสียซึ่ง กิเลสร้าย คือ มาร หรือซาตานในจิตใจ
ผมขอร้อง ให้ทุกคนมีใจกว้าง มองสิ่งที่เรียกว่า ศาสนาอย่างนี้ แล้วก็จะไม่ถือเขาถือเรา พวกคุณเรียน แพทย์ ถึงที่สุด คุณจะพบเองว่า บางทีเราก็มีวิธีการ แก้โรคอย่างเดียวกัน ด้วยวิธีที่ต่างกัน ตามที่มันจะมีให้ ตามที่ มันจะหาได้ ถ้าคุณไม่มีหยูกยา เครื่องไม้เครื่องมืออะไรเลย คุณจะต้องรักษาโรคนี้ ด้วยบำบัดทางฟิสิกส์ล้วน ๆ เรื่องเย็น เรื่องร้อน เรื่องกระตุก กระชาก อะไรไปตามเรื่อง ดีกว่าจะไม่รักษาเสียเลย แล้วมันรู้เท่านั้น มันก็รักษา เท่านั้น มันรู้มากไป มันก็รักษาให้มันลึกซึ้งเข้าไป แต่ด้วยความมุ่งหมายอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกกัน ไอ้วิชาการแพทย์สมัยโบราณก็รู้เท่านั้น เราก็อย่าไปดูถูกเขา มีแต่ช่วยกันปรับปรุงแก้ไข ให้มันทันสมัยขึ้นจะดีกว่า
นี้ศาสนาที่มันหลายพันปีมาแล้ว แล้วก็มาตามลำดับ ลำดับ มันก็ต้องต่างกัน บางทีมองด้วยสายตา ในปัจจุบัน แล้วก็จะคิดว่า นั่นมันงมงาย ที่จริงมันไม่ใช่งมงาย มันฉลาดที่สุด หรือมันเป็นบรรพบุรุษ ของคนฉลาดเดี๋ยวนี้ มันสืบต่อกันมาตามลำดับ ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น แม้พุทธศาสนาเรา เมื่อพูดตรง ๆ ไม่เข้าใครออกใคร ก็ได้รับเอา ไอ้ระบบปฏิบัติ ของลัทธิอื่นที่มีอยู่ก่อนพุทธศาสนานั้นเข้ามา เป็นระบบศีล ๕ นี้ มันเก่าแก่โบรมโบราณ จนไม่รู้ว่ามีมาแต่ครั้งไหน ศีล ๕ เรื่องนี้ ก็มาอยู่เป็นหัวใจสำคัญ แม้ในพุทธศาสนา คำว่า กิเลส คำว่า นิพพานนี้ เขาก็พูดถึงกันอยู่แล้วแต่กาลก่อน แต่เขาเข้าใจไม่ถูกต้อง ไม่ถึงที่สุด พุทธศาสนามาทำให้ ถึงที่สุด ถ้ามองอย่างนี้แล้ว มันจะเห็นว่าเป็นเครือเดียวกันมา ตลอดทั้งโลก ทุกยุค ทุกสมัย เป็นวิวัฒนาการ ของมนุษย์ ของมนุษยชาติ อย่าว่าของพวกนั้น พวกนี้ ซึ่งเป็นการเห็นแก่ตัว ถือพวก ถืออะไรพวกนี้ ใช้คำว่า มนุษยชาติทั้งหมด ไม่ยกเว้นใคร หรือวิวัฒนาการทางความรู้ ทางไอ้การศึกษา ไอ้เรื่องจิต เรื่องวิญญาณนี้ มันตามลำดับ ตามลำดับ จนกระทั่งสูงสุด
ส่วนข้อที่มันสูงสุดแล้ว ทำไมบางคนยังไม่ยอมรับนี้ มันก็คือ โง่ มันย้อนกลับไปเป็นคนโง่ หรือว่าเพราะ มันทนอำนาจยั่วยวน ของวัตถุนิยมสมัยปัจจุบันไม่ไหว มันสมัครไปถือลัทธิวัตถุนิยมนั้น เป็นศาสนาเสีย นี้มันก็ เห็นได้ว่า แม้มีพุทธศาสนาที่ดีที่สุดที่สูงสุดอยู่แล้ว คนก็ยังไม่เอาหรือไม่สนใจ ไปเป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้น แล้วธรรมชาติก็ลงโทษ ให้เดือดร้อนระส่ำระส่าย กันทั่วทุกหัวละแหง ด้วยสงครามบ้าง ด้วยเหตุอย่างอื่นบ้าง แต่รวมความแล้ว ก็ได้ความว่า ด้วยอำนาจของกิเลส ที่ทวีขึ้นในโลกนี้มากขึ้น นั่นเอง
นี่เราพูดกันให้เข้าใจ สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา และคุณสมบัติของศาสนา ที่มันจำเป็นแก่สิ่งที่มีชีวิต คือ มนุษย์ ในวันแรกนี้ ผมขอร้องให้คุณ ดูมันอย่างกว้าง ๆ อย่างที่เรียกว่า outline นี้ เพื่อจะได้เห็นทั้งหมด ไม่ใช่รายละเอียด แต่ว่าเห็นไอ้ หลักการทั้งหมด หรือเค้าโครงทั้งหมด ของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมี ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ศาสนาขึ้นมา ในทางฝ่ายวิญญาณ สืบต่อจากฝ่ายร่างกาย ซึ่งเปี้ยวหรือปู มด แมลงอะไร มันก็มี มันรู้จักกลัว รู้จักหนี เอาตัวรอดทั้งนั้น เดี๋ยวนี้เรามันเป็นมนุษย์ มันก็มีเรื่องเอาตัวรอด ทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณ สมแก่นามว่า มนุษย์กันบ้าง ไม่อย่างนั้น มันก็เป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีธรรมะส่วนนี้ ก็คือ สัตว์เดรัจฉาน
ก็มีหลักการแต่โบราณ ไม่รู้แต่ครั้งไหนพูดไว้ว่า การกินอาหาร การแสวงหาความสุขจากการนอน การรู้จักขี้ขลาดต่ออันตราย แล้ววิ่งหนี และก็การประกอบ เมถุนธรรม คือการสืบพันธุ์ ๔ อย่างนี้ มีได้เสมอกัน ในระหว่างมนุษย์กับสัตว์ ธรรมะเท่านั้น ที่ทำความผิดแปลก แตกต่างจากสัตว์ ปราศจากธรรมะเสียแล้ว คนกับสัตว์ก็เท่ากัน มันอยู่ในรูปภาษาโบราณ ก่อนภาษาสันสกฤต มาเป็นภาษาสันสกฤต มาเป็นภาษาบาลี ในพุทธศาสนาก็มี อาหรละนิททา ธีชีวา เมธะนันจะสามัญยะเนตะ ชะสุทธิ......สุทธิธรรมนามา (นาทีที่ 40.19) อยู่ในรูปอินทรวิเชียรฉันท์ นั้นนะมันบอก ไอ้ความแตกต่าง ระหว่างมนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่มันมีธรรม คือ มีระบบปฏิบัต ิทางจิตใจที่สูงขึ้นไป พอไม่มีธรรม หรือเอาธรรมออกไปเสีย สิ่งที่เหลืออยู่ก็เท่ากัน ระหว่างมนุษย์ กับสัตว์เดรัจฉาน ทีนี้เรามองในแง่นี้ ศาสนาที่ถูกต้องก็คือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์ ผิดแปลกแตกต่าง จากสัตว์เดรัจฉาน โดยความเป็นอยู่ โดยอาศัยสัญชาตญาณ แห่งการเอาตัวรอด คือหนีภัย ด้วยกันทั้งนั้น
ทีนี้เดี๋ยวนี้ มันก็มาพูดในรูปของอุปมา ว่าการตกอยู่ภายใต้อันตรายนี้ เป็นเหมือนกับ เป็นโรคที่ต้องการ หายโรค มีพระศาสดาแห่งพระศาสนานั้น ๆ เป็นเหมือนนายแพทย์ ช่วยรักษาโรค หรืออันตรายนี้ ๆ ให้เรา เมื่อมองอย่างนี้ มันก็เกิดความเห็นอกเห็นใจ รักใคร่แก่กันและกัน ในหมู่มนุษย์ทุกชาติ ทุกศาสนา แล้วก็เลย ลงไปถึงสัตว์เดรัจฉานด้วย ผู้ที่มีศาสนาที่แท้จริง จึงมีความเห็นอกเห็นใจ แม้แก่สัตว์เดรัจฉาน จึงไม่มีการ เบียดเบียนทั้งมนุษย์ ทั้งเดรัจฉาน รู้ว่าจะรู้ไปได้เท่าไร พอมันมีสิ่งที่มีชีวิต มีความรู้สึก อยู่ที่ไหน เท่าไร มันก็หมด นั้นเลย มีเมตตา มีความรัก ไม่มีขอบเขต อันนี้ก็เป็นหลัก ของศาสนาทั่วไป ทุกศาสนา ให้มนุษย์มีความรักใคร่กัน ยิ่งกว่านั้น ไปเลยลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน เราถือว่า ถ้าเราทารุณโหดร้าย ต่อสัตว์เดรัจฉาน ไม่เท่าไร มันก็จะต้อง ทารุณโหดร้ายต่อ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ตีวงของความเมตตากรุณา ให้ไกลไป ถึงแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่น มด เช่น แมลง อย่างนี้
เพราะฉะนั้นคุณอย่าเข้าใจ ว่ามันเป็นเรื่องงมงาย ที่จะไปปรานีแก่มด แมลง เพราะฉะนั้นถ้า จะไปฆ่ามด ฆ่าแมลง ต้องฆ่ามันด้วยความจำเป็น หรือว่ามันหมดทางแล้ว อย่าทำไปด้วยจิตใจที่โหดร้าย หรือไปตีราคา มด แมลง ว่าไม่มีค่า ในบางครั้ง เราต้องกินยาถ่ายทั้งที่เป็นพระนี่ ฆ่าตัวพยาธิในท้อง ทำไปด้วยความรู้สึก เมตตา กรุณา แต่ว่ามันจำเป็น ที่จะต้องทำอย่างนั้น ต้องเสียสละฝ่ายนั้น เพื่อเอาฝ่ายนี้ ชีวิตรอด พระก็ฉันยาถ่าย ที่ฆ่าตัวพยาธิ ในท้องเหมือนกัน ไม่ถือว่าเป็นผิดวินัย หรือร้ายกาจอะไร แต่ต้องตั้งจิตใจ ให้ถูกต้อง ตามหลัก ของศาสนา นี่เรียกว่า เมตตากรุณา ที่มีมูลมาจากความเห็น ภาวะที่น่าสงสาร อย่างเดียวกันหมด ทั่วถึงกันหมดนี่ เป็นมูลฐาน ของสิ่งที่เรียกว่า ศาสนา รวมความแล้วก็คือ ความไม่เบียดเบียน
ถ้ามองดูผล ก็เป็นความไม่เบียดเบียน ความไม่เบียดเบียนนี้ มี ๒ อย่างคือ ไม่เบียดเบียนตัวเรา และไม่ เบียดเบียนผู้อื่น ถ้าเราโง่เมื่อไร เราเบียดเบียนตัวเราเมื่อนั้น ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้นเมื่อไร มันเบียดเบียนเราเมื่อนั้น เราอย่าเบียดเบียนตัวเรา เราก็ทำลายความโลภ ความโกรธ ความหลงไป แล้วมันก็ไม่ เบียดเบียนผู้อื่น เพราะว่าเบียดเบียนผู้อื่นนั้น มันทำไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลง ซึ่งเบียดเบียนตัวเรา
นี้เราทำลายไอ้ตัวนี้เสีย มันก็ไม่เบียดเบียนตัวเรา และไม่เบียดเบียนผู้อื่น นั้นเป็นยอดสุดของศาสนา ทุกศาสนา
คำโบราณจน เขาไม่รู้ว่ากล่าวกันไว้ แต่ครั้งไหนว่า อหิงสา ปรโมธัมโม (นาทีที่ 44.39) ความไม่เบียดเบียน เป็นบรมธรรม นี่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ในประเทศอินเดีย เพราะมันใช้ภาษาอินเดีย แต่มันไม่รู้ว่า กล่าวกันไว้แต่ ครั้งไหน ดึกดำบรรพ์ยิ่งกว่าดึกดำบรรพ์ นี้คำว่า ไม่เบียดเบียนนี้ มันขยายความออกมาดีขึ้น ๆ จนไม่เบียดเบียน ตัวเรา ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียน ด้วยประการทั้งปวง นี้เป็นบรมธรรม เป็นธรรมะสูงสุด เป็น somnum bernium (นาทีที่ 45.08) สำหรับมนุษย์ ถ้าเราถือหลักอันนี้ แล้วถือไว้เพียงข้อเดียวเท่านี้ มันก็จะเป็นอันถือหมด ทุกศาสนา ทุกข้อ ทุกแง่ ทุกกระทง คืออย่าทำให้เกิด การเบียดเบียนตัวเอง หรือความโง่ หรือความโลภ ความโกรธ ความหลงก็ตามใจ แล้วมันก็ไม่มีทาง จะเบียดเบียนใครได้ แม้แต่มด แมลง
ทีนี้ไอ้ outline ของเรา จะขยายไปถึง ไอ้ข้อที่ว่า วัตถุสำคัญ ที่เป็นหลักในศาสนา โดยเฉพาะพุทธศาสนา ก่อน เราเรียกว่า ไตรลักษณ์ หรือรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้สังเกตคำว่า ไตร ซึ่งแปลว่า สาม คำนี้มันประหลาดยังไงก็ไม่รู้ มันไปใช้เป็นจำนวน สำหรับจัด หรือนับไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเสียมากมาย แล้วจะว่า เป็นทุกศาสนาก็ได้ อย่างในศาสนาคริสเตียน หรือเครือเดียวกับคริสเตียน มันก็มี Trinity ความเป็น ๓ ความเป็น ๓ ในคริสเตียนก็คือ พระเจ้า พระจิต และพระบุตร มี ๓ ที่สำคัญที่สุด ในศาสนาคริสเตียน ศาสนาในอินเดีย แต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน ก็มีตรีมูรติ แต่ว่าวัตถุสำคัญในศาสนา ๓ อย่างคือ พระเจ้า ๓ องค์ พระเจ้าผู้สร้างโลก นี้องค์หนึ่ง พระเจ้าผู้ควบคุมโลกนี้องค์หนึ่ง พระเจ้าผู้ทำลายโลกนี้องค์หนึ่ง แล้าพระเจ้าก็สร้าง องค์สร้างโลกก็ สร้างขึ้นมาใหม่ องค์ควบคุมก็ควบคุมต่อไป องค์ที่ทำลายก็ทำลายอีก แล้วก็สร้างมาใหม่ พระเจ้า ๓ องค์ มีเท่านี้ สิ่งที่มีอำนาจสูงสุด มันมีอำนาจจริง ๆ สูงสุด ในการที่จะกระทำการ ให้มีโลกขึ้นมา แล้วก็ควบคุมโลก ให้เป็นไป ตามกฎ แล้วก็ทำให้โลกสิ้นสุด ไปคราว ๆ เป็นคราว ๆ อย่างนี้ เขาเรียกว่า พระเจ้า พระพรหมสร้างโลก พระนารายณ์ควบคุมโลก พระอิศวรทำลายโลก แล้วแต่จะบัญญัติ
แต่ในที่นี้ เอามาพูด ก็เพื่อให้นึกถึงจำนวน ๓ มันเป็นจำนวนศักดิ์สิทธิ์ ประหลาดชอบกล โดยมนุษย์ เอามาใช้มาก ในลักษณะอย่างนี้ มันเกิดเป็นจำนวนเลข ที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา มันเป็นความจริง แต่ว่าหลักการใหญ่ มันคงอยู่ ที่ตรงที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่นี้ คือมีนายแพทย์ที่จะรักษาโรค แล้วก็มีอุปกรณ์ที่จำเป็นแก่การรักษาโรค แล้วก็มีผู้ปฏิบัติงาน หรือว่ารวมทั้งไอ้สถานพยาบาล ไอ้ออฟฟิศอะไรด้วย พระพุทธเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิด รักษาโรค เหมือน ๆ นายแพทย์ใหญ่อย่างนี้ พระธรรมนี้ มันรวมทั้งไอ้การรักษาโรค วิธีการรักษาโรค ยาที่ใช้รักษาโรค ที่คณะสงฆ์ทั้งหมด ก็เหมือนกับออฟฟิศ หรือสำนักงาน หรือสถาบัน ที่จะดำเนินงาน มันก็ครบ มันก็ครบ ในการที่จะ ล้างผลาญโรค ให้หมดไปจากโลก
นี้ศาสนาคริสเตียน ก็มีพระบิดา คือ ต้นตอ กำเนิด เป็นเหมือนกับบุคคล เพราะเขาพูดประเภท มีบุคคล มีพระจิต ที่จะให้มาเป็นพระบุตร หรือว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ องค์ไหนก็ตาม เช่น พระเยซู เป็นต้น เป็นพระบุตร นี่พระจิต เขาเรียกว่า Holy god (นาทีที่ 49.24) ผมว่านี่คือตัวพระธรรม ที่ในพุทธศาสนาเรียกว่า พระธรรม อาจารย์ผู้สอนศาสนาคริสเตียนบางคน ไม่ยอมรับฟัง ไม่เชื่อ แล้วเอาไปเขียนล้อผม นี่ก็มี คือมันไม่มีอะไร ไม่มีวิธีมองอะไรลึก ๆ เหมือนพวกเรา พระจิตนี่เขาก็ยอมรับว่า ไม่ใช่บุคคล เป็นสภาพอะไรอันหนึ่ง พระบิดาเป็น บุคคล พระบุตรเป็นบุคคล แต่พระจิตที่จะทำให้ มันมีการสัมพันธ์กันทั่วถึงนี่ เพราะว่าวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือผีศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่านั่นแหละ คือ พระธรรม ถ้าขาดพระธรรมแล้ว มันก็ไม่มีความหมายอะไร พระธรรมที่ เรียกในคัมภีร์ ตอนอื่นว่า แสงสว่าง the light เรียกในที่ตอนอื่นว่า the word คำพูด นั่นแหละคือ พระธรรม นั่นแหละคือ พระจิต
ยิ่งคิดยิ่งมองเห็นว่า มันมีความหมายลึก อยู่ที่คำ ๆ นี้ เพราะในศาสนาคริสเตียน ก็มีพระบิดา ซึ่งเป็นต้น กำเนิดสิ่งทั่งปวง แล้วก็มีเครื่องอุปกรณ์สำหรับใช้นั่น คือพระจิต แล้วก็มีคนที่เป็นพระบุตร เป็นยุค ๆ เป็นสมัย ๆ ไป สมัยหนึ่งมาถึง พระเยซูอย่างนี้ มันก็ครบที่จะเยียวยารักษาโรค ของโลกเหมือนกัน พระเยซูเอาอำนาจอะไร มารักษาโรค เขาว่าอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ถ้าให้พูดเป็นทำนองศักดิ์สิทธิ์ นั่นนะคือ พระจิต นั่นนะคือ ตัวแท้ของ พระธรรม ที่เรียกว่า Trinity ของคริสเตียน มันก็มีความหมายเดียวกับ พระรัตนตรัยของเรา แต่จะให้เหมือนกัน ดิกทุกคำพูดนั้น มันก็ไม่ได้ เพราะนั้นเขาพูดอย่างบุคคลาธิษฐานเกินไป ตามแบบของเขา ไอ้เราก็พูดอย่าง ธรรมาธิษฐาน ตามแบบของเรา แม้ว่าเราจะพูดอย่างบุคคลาธิษฐานบ้าง เราก็พูดอย่างตามแบบของเรา
นี้ก็เป็นอันหนึ่ง ซึ่งจะต้องรู้ไว้ว่า แต่ละศาสนาต้องมี อะไร จะเรียกว่าอะไรดี คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ประเสริฐที่สุด จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุด ต้องมีสิ่งนั้น เรามีพระรัตนตรัย ในเมื่อคริสเตียนก็มี Trinity แปลเป็น ไทยว่า ตรีเอกานุภาพ (นาทีที่ 52:09) แล้วแต่จะแปล มันอยู่ที่คนแปลต่างหาก แปลผิดก็มี แปลภาษาศาสนา คริสเตียน มาเป็นภาษาไทยผิด ๆ ก็มี เขาแปลตามตัวพยัญชนะเกินไป มีเรื่องมากที่จะพูดกัน ไว้โอกาสอื่น
ทีนี้ต้องการให้ ทุกคนมองเห็น โดยเฉพาะพวกคุณ ที่เพิ่งเข้ามาสู่ความสนใจอันนี้ เมื่อเกิดศาสนา ย่อมมี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันอยู่ได้ด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไอ้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ ใช้ได้กับทั้งคนมีปัญญา และทั้งคนโง่ คนโง่ก็เชื่อความ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปตามแบบคนโง่ คนมีปัญญาก็เชื่อถือ ให้มันมีความสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ไปตามแบบของคนมีปัญญา ดังนั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่คนโง่ถือนั้นนะ จะศักดิ์สิทธิ์ไปตามแบบของคนโง่งมงาย ถ้ามีปัญญาถือก็ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่บริสุทธิ์สะอาด เกลี้ยงเกลา แจ่มใส ชัดเจน แต่แล้วก็ต้องมี ความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยกัน ถ้าไม่มีความศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครสนใจและนับถือ คนมีปัญญามองเห็นคุณค่า ของพระรัตนตรัย อย่างถูกต้อง ในแง่ของ Logic (นาทีที่ 53.29) ในแง่ของวิทยาศาสตร์ ในแง่ของอะไรก็ตาม ยิ่งไปดูก็จะยิ่งพบเห็น ความมีค่าน่าสนใจ เขาก็นับถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สะอาดบริสุทธิ์ นี่คนโง่มันมองไม่เป็น ช่วยไม่ได้ มันมองไม่เป็น ทำยังไง ๆ มันก็มองอย่างนี้ไม่เป็น มันก็ต้องมองไปอีกแบบหนึ่ง เอาความเชื่อ ว่าศักดิ์สิทธิ์ นี้เป็นหลัก
ดังนั้นวัตถุในพระศาสนา จึงตกไปอยู่ในรูปของ สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างงมงาย ไปทีก่อนไปพลางก่อน สำหรับคนที่ มันยังงมงาย ยังแก้ไขไม่ทัน แล้วก็อย่าไปดูถูกเขา ในการที่เขาจะไหว้วัตถุในศาสนา ในฐานะเป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ ไปพลางก่อน เช่น เอาพระพุทธรูป ไปเป็นเครื่องราง ไปเป็นอะไรทำนองนี้ เอาผ้าเหลือง เป็นสัญลักษณ์ ของความประเสริฐสูงสุด มันก็ได้เหมือนกันนะ เพราะมันมองไม่เห็นลึกกว่านี้ ก็เอาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวศาสนาไปก่อน เราก็ไม่ไปติเตียนเขา แต่เราก็รักเขา เอ็นดูเขา สงสารเขา ช่วยแก้ไขเขา ให้มีความ สว่างไสว ขึ้นมาตามลำดับ ไม่เท่าไร เขาก็จะรู้เหมือนเรา ถ้าเราไปมัวดูหมิ่นดูถูก ซึ่งกันและกัน มันก็ไม่มีวันที่จะ เอาให้เขารู้เหมือนเรา ก็มีแต่การทะเลาะวิวาท เลยผิดความมุ่งหมายศาสนา ที่ต้องการให้เป็นไป เพื่อสันติ สันติภาพ มากลายเป็นไปเพื่อความเบียดเบียน ซึ่งกันและกันเสีย นี้การที่จะเข้ามารับนับถือศาสนา เข้ามาสนใจ ในการรักษาโรคทางวิญญาณนี้ มันต้องมีหลักการแบบนี้ แล้วก็แน่นอน ที่จะต้องไปยึดหลัก ในสิ่งที่ควรยึด เป็นหลัก ด้วยสุดชีวิตจิตใจเลย ก็เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็กลายเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นมา ทั้งแก่ปัญญาชน และทั้งแก่ที่ไม่ใช่ปัญญาชน
ทีนี้ระยะเริ่มแรก ทีนี้ก็มาถึงระยะเริ่มแรก ที่เราจะเข้ามาสู่ ระบอบการอันนี้ หลักการอันนี้ ก็มีระบบการ ที่เรียกกันว่า สรณาคมน์ จะโดยรูปพิธีรีตองก็ตาม จะโดยรูปการกระทำ ที่ถูกต้องแท้จริงก็ตาม มันต้องมีสิ่งที่เรียก ว่า สรณาคมน์ อาคม แปลว่า มาถึง สรณะ แปลว่า ที่พึ่ง เราไม่แปลก็ได้ เราเรียกว่า สรณะเฉย ๆ สรณะ เรารู้กัน อยู่ดีแล้วว่าที่พึ่ง สรณาคมน์ แปลว่า การมาสู่ หรือมาถึงที่พึ่ง ก่อนนี้เราไม่สนใจก็ตามใจ แต่ถ้าเราจะนับถือ พุทธศาสนา เราก็ต้องมาสู่ สิ่งที่เป็นสรณะนี้ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทีแรกก็มาอย่างพิธีรีตองว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ จับตัว จับเด็กตัวเล็ก ๆ มาเป็นพุทธมามกะ มาว่า Formula (นาทีที่ 56.46) อันนี้ เป็นพิธีรีตอง ก็ตามเรื่อง ต่อมาโตขึ้น โตขึ้น ก็เข้าใจ เข้าใจ แล้วก็ปฏิบัติไป เพราะการถึงสรณะ มีตั้งแต่พิธีรีตองอย่างจำเป็น คือว่ามันทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ หรือเป็นไป ในลักษณะที่งมงาย ค่อย ๆ ดีขึ้น ค่อยจางขึ้น แจ่มใสขึ้น อย่างพวกคุณรู้หลักพุทธศาสนา รู้วิธีปฏิบัติ แล้วปฏิบัติอย่างปัญญาชน ก็เป็นสรณาคมน์ที่ดี ที่ถูกต้อง ที่ประเสริฐ ที่จำเป็น แก่มนุษย์ทุกคน
มันถึงแล้วหรือยัง คุณก็ไปเช็คตัวเอง ไป test ตัวเองดูก็แล้วกัน เพราะไม่ใช่หน้าที่ี่ ผมจะพูดเรื่องส่วนตัว ของคุณ แต่ขอเตือนว่า นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำและทำเอง พูดหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ให้ฟัง สำหรับไปเช็คสอบตัวเอง ว่ามันมีสรณาคมน์ แล้วหรือยัง ถ้ามีแล้ว มีกี่มากน้อย ไปถึงไหนแล้ว ไปถึงตรงกลาง หรือถึงยอดสุดแล้ว ซึ่งเราจะได้พูดกัน ให้มันละเอียด แต่พูดกันแต่โดยใจความ มันก็เป็นเรื่องเข้าใจ ในสิ่งที่เป็นที่พึ่งได้ แล้วก็ทุ่มเท กำลังใจทั้งหมด ทั้งสิ้น ลงไปในสิ่งนั้น นั้นมันจะเกิดเป็นการ เริ่มการรักษาโรคทางวิญญาณขึ้นมาทันที ขอให้เข้าใจวิธีการ ที่จะรับนับถือพุทธศาสนา เป็นก้าวแรกของการที่จะเข้ามาสู่ การรักษาโรคทางวิญญาณ
ไอ้การรับนับถือศาสนานี้ ที่ใช้เป็นหัวข้อนี้มันกว้าง ความหมายมันกว้าง นับตั้งแต่เริ่มสนใจ เริ่มแสวงหา การรักษาโรคนี้ แล้วก็การรับการรักษาโรคนี้อยู่ จนกระทั่งปลอดโรคนี้ อย่างนี้เรียกว่า การรับนับถือศาสนาทั้งนั้น มันมีได้ตั้งแต่ เริ่มยังไม่รู้จัก และก็เริ่มสนใจ แล้วก็เริ่มติดตาม ไปจนกระทั่งรู้จัก นี่เรียกว่า แสวงหา นี่สิ่งที่เรียกว่า ศาสนาเพื่อประโยชน์แก่การนี้ อาจจะเป็นแบ่งตามนัยที่พวกอัตถกถาจารย์ แบ่งไว้ ปริยัติศาสนา หมายถึง การศึกษาเล่าเรียน ปฏิบัติศาสนา หมายถึง การประพฤติปฏิบัติไปตามที่เล่าเรียน ปฏิเวธศาสนา หมายถึง การได้ผลของการปฏิบัติ ตามที่ปฏิบัติได้เท่าไร ก็มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เป็นตัวศาสนา
การเตรียมตัว เข้ารับการรักษาโรค นี้ก็คือ ปริยัติศาสนา การรับการศึกษาโดยตรง คือ ปฏิบัติศาสนา นับตั้งแต่ ถือสรณาคม มีปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จนกระทั่งบรรลุ มรรค ผล นิพพาน นี่การหายจากโรค เป็นปฏิเวธศาสนา หมายถึง มรรค ผล นิพพาน เตรียมตัวค้นคว้า หาวิธีการักษาโรคเป็นปริยัติ ลงมือรักษาโรค ก็เป็นปฏิบัติ หายจากโรคก็เป็นปฏิเวธ มีอยู่ ๓ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ควรจะจำไว้ด้วย ถ้าจำหัวข้อเหล่านี้ไว้ได้ มันจะสะดวก ในการที่จะศึกษาอะไรต่อไป ถ้าอะไร ๆ ก็จำไม่ได้สักคำหนึ่ง หรือไม่สนใจจะจำแล้ว คุณจะยุ่งหัว จะเวียนหัว ในที่สุดอาจจะยอมแพ้ คือไม่ ไม่ ไม่อยากจะศึกษามันอีก ปล่อยไปตามบุญตามกรรม
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ ควรจดควรจำ ก็จดจำให้แม่นยำ โดยเฉพาะหัวข้อที่สำคัญ อย่างที่ได้พูดมาแล้ว แต่ไม่ใช่มันมีมากมายนัก ขอให้จำเท่าที่จำเป็นจะต้องจำ กำหนดจะได้ไปคิด ไปนึก ไปศึกษา ไปพิจารณาอยู่เสมอ เป็นประจำวัน ทบทวนอยู่เป็นประจำวัน ไอ้สิ่งที่ยุ่งยาก ราวกับว่าจะจำไม่ได้ มันจะจำก็จำได้ ถ้ารักจริงก็จำได้มาก กระทั่งจำได้ ทั้งพระไตรปิฎก เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ แม้มันจะมากมาย นับไม่ไหวก็ตาม แต่มันทำไ ้จัดระบบ ให้มา เป็นพวก เป็นพวก classify หรือว่า system type เข้ามาเป็นพวก เป็นพวก มันจะเหลือน้อยเข้า น้อยเข้า เหลือ ๓ เหลือ ๒ เหลือ ๑ นี้ ความรู้ทางธรรม ทางศาสนานี้ ก็เหมือนกัน ให้ใช้วิธีสังเคราะห์ ไอ้ synthesis อะไรนั้น แล้วมันก็ จะเหลือน้อยเข้า น้อยเข้า ๆๆ เหลือคำเดียว เป็นว่าดับทุกข์ เพียงคำเดียว แล้วก็ขยายไปว่าทำอย่างไร ต้องรู้อะไรบ้าง นี่มันก็มาก ออกไป มากออกไป แต่ตัวศาสนา คือ ตัวดับทุกข์
นี่เราพูดกันถึง วิธีการก้าวเข้ามา รับการรักษาโรคทางวิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ตามระบบที่ นายแพทย์ใหญ่ คือ องค์พระศาสดา ผู้เป็นผู้เยียวยารักษาโรค มาของสัตว์โลกทั้งปวง ได้วางไว้อย่างไร เรียกสั้น ๆ ว่า วิธีการรับนับถือพุทธศาสนา โดยเฉพาะก่อน และเวลาของเราก็สิ้นสุดลง สำหรับวันนี้เพียงเท่านี้
คาถานี้ มาหลายหนแล้ว ใครจำได้บ้าง ที่นั่งอยู่ทั้งหมดนี้ อีกกี่วันจะจำได้ สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี ชิโน อาจริโย มะมะ มหาการุณิโก สตฺถา สพฺพโลกติกจฺฉโก (นาทีที่ 01.03.10) มนต์ บทมนต์ คาถา ถ้าไม่ท่องจำ หัวข้อที่มันเคยชินมาเป็น ๑๐ ๆ ปี มันก็เป็นของง่ายนิดเดียว ในการที่จะจำอะไร ที่จะจำคาถา สักคาถาหนึ่งอย่างนี้ บางทีไม่ถึง ๕ นาทีก็จำได้ ก็มันเคยชิน ส่วนในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยสมัยใหม่นี้ เขาไม่ใช้ ให้จำอย่างนี้ เขาใช้ ให้คิด ๆ นึก ๆ คำนวณ ๆ เอาเหตุผลแล้ว ก็จำไว้คร่าว ๆ เท่านั้น แล้วมันจึงจำอะไร ที่มันเป็นรายละเอียด เป็นบัญชีหางว่าวไม่ได้ ยิ่งนานปี ก็ยิ่งไกลกันใหญ่ พวกพระ พวกเณรที่เขาเรียนจริง แม้แต่เรียนภาษา เรียนนี่ ก็เรียนอย่างวิธี ที่จำอะไรแม่นยำ สูตร กฎของไวยากรณ์ อะไรต่าง ๆ ในข้อนี้ผมว่า สู้วิธีการเรียนของพระ เณร ไม่ได้ มาแต่โบราณ มาแต่อินเดียทั้งนั้น