แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธาความเชื่อ และวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้นับได้ว่าเป็นธรรมเทศนาพิเศษ สาระเหตุที่เป็นภิรัตติสมัย ซึ่งท่านทั้งหลายถือกันว่าเป็นวันสิ้นปีโดยสมมติ นิยมกันมาเป็นประเพณีดังที่ได้ทราบกันอยู่แล้ว ธรรมเทศนาในโอกาสเช่นนี้ควรจะแสดงด้วยหัวข้อ ดังที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิเกตบท เบื้องต้นนั้น อจฺเจนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย เป็นอาทิ ซึ่งเป็นธรรมเทศนาที่ทำให้เกิดความไม่ประมาทในชีวิต ในสังขาร ในกาลเวลา ในการประพฤติธรรมประกอบกรรมอันควรประกอบ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ตั้งใจฟังและจะได้พินิจพิจารณาไปตามกระแสแห่งธรรมเทศนานั้น พระบาลีมีอยู่ว่า อจฺเจนติ กาลา ก็แปลว่า เวลามันล่วงไป ตรยนฺติ รตฺติโย วันคืนมันก็ก้าวไป นี่ถือว่าเป็นของธรรมดา สำหรับธรรมชาติที่มีความแน่นอนอย่างนี้
ทีนี้เราก็มาสมมติกันว่า เท่านี้เรียกว่าวันหนึ่งคืนหนึ่ง เท่านี้เรียกว่าสัปดาห์หนึ่ง เท่านี้เรียกว่าเดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง สิบปี ยี่สิบปี ร้อยปี พันปีก็เป็นการสมมติของมนุษย์ที่สมมติให้แก่กาลเวลาที่มันล่วงไป ทีนี้การสมมตินั้นจะอาศัยอะไรเป็นหลักเกณฑ์ ก็ต้องอาศัยสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของมนุษย์นั่น เช่นว่า ฝนมันตกคราวหนึ่งจะตกใหญ่ตกมากก็คราวหนึ่ง แล้วก็หยุดไป แล้วมันก็ตกอีกคราวหนึ่ง นี่ก็คือเอาฝนนั่นเป็นเครื่องกำหนดเวลา ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า “วสา หรือ พรรษา” คือ ปีหนึ่ง คำว่า “วสา หรือ พรรษา” นี่แปลว่า ฝน เอามาชื่อ เอามาเป็นชื่อของเวลาก็เรียกว่าปีหนึ่ง บางทีก็เอาการทำนาเป็นหลัก ทำนากันครั้งหนึ่งก็เรียกว่าข้าวหนึ่ง ก็คือ ปีหนึ่งเหมือนกัน แล้วแต่ว่าชนชาติใด ภาษาใดจะเอาอะไรเป็นหลัก ส่วนประเทศไทยเราก็ถือเอาตามวัฒนธรรมของชาวอินเดีย ซึ่งมาสอนให้นมนานมาแล้วโดยถือเอาการที่ฝนตกคราวหนึ่งเป็นหลัก จึงได้เรียกว่า วัสสะหรือพรรษะหรือพรรษาแล้วแต่จะออกเสียงด้วยสำเนียงอะไร เมื่อเราสมมติกันว่าเวลาเท่านี้เรียกว่าปีหนึ่งแล้ว ก็ใช้เป็นเครื่องนับอายุ ของตนๆ ของบุคคล ของสัตว์สิ่ง ของอะไรก็ได้ว่ามันมีอายุล่วงมากี่ปี ที่จริงมีคำว่าอายุนี่เป็นปีๆ เกิดขึ้น เพราะเวลาถูกกำหนดไว้ด้วยการนับโดยฝนตกคราวหนึ่ง เป็นต้น ก็มีการนับอายุได้ว่าเรามีอายุกี่คราวฝนตก พอปีฝนตกที่หนึ่งก็เรียกว่าปีหนึ่งก็นับเป็นปีๆ กันไป คนสมัยโบรมโบราณนั้นไม่รู้จักคิดเลข ไม่รู้จักคำนวณอะไรด้วยซ้ำไป เป็นคนป่าสมัยที่ยังไม่เป็นคนโดยสมบูรณ์ มันก็รู้จักกำหนดว่า ฝนตกใหญ่คราวหนึ่งแล้ว มันก็รู้จักกำหนดสิ่งที่เรียกว่าปีหนึ่งนี้ได้ด้วยความรู้สึกของมัน อย่าว่าแต่คนเลยแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน เช่นนก เช่นหนู เป็นต้น มันก็รู้ว่าฝนตกใหญ่แล้วก็ปีหนึ่งแล้ว สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับสัตว์นั้น มันก็ไม่มีภาษาจะเรียก แต่ว่ามันก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์อันนี้ด้วยเหมือนกัน เช่น พอถึงฤดูฝนก็มีทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น สัตว์บกก็ทำไปอย่าง สัตว์น้ำก็ทำไปอย่างหนึ่ง สัตว์บก เช่น แย้ เป็นต้น ก็ลงอยู่ในรูเอาดินปิดรูอยู่ในนั้น จนกระทั่งตาปิดไม่ต้องดูอะไร ไม่ต้องมองอะไรจนตลอดฝนตก ถ้าใครเกิดไปเอาตัวมันขึ้นมาในเวลานั้นจะพบว่า มันไม่กระดุกกระดิก ตามันปิด เราก็เรียกว่า มันจำศีล อย่างแย้อย่างนี้ก็จำศีลในฤดูฝนตกหนัก อย่างกบอย่างนี้ก็จำศีลในฤดูที่ฝนไม่ตกเลย มันรู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรมชาติอย่างนี้ มันจึงรอดชีวิตมาได้
ดังนั้นเราจึงพบหลักเกณฑ์ที่สำคัญอันหนึ่ง เพราะเราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราจึงจะมีชีวิตรอดอยู่ได้ ทุกคนจึงปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพราะว่าถ้าปฏิบัติผิดแล้วมันจะต้องตายในเวลาอันสมควร ถ้ามันยังไม่ทันตายมันก็มีความทนทุกข์ทรมานมาก มันทนไม่ไหว ดังนั้นมันจึงต้องพยายามที่จะปฏิบัติ ดัดแปลงกันเสียใหม่ให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าชีวิต มันต่อสู้ มันดิ้นรนรอดมาได้โดยอาการอย่างนี้ ดูแล้วก็น่าสังเวชใจ เพราะว่ามันต้องเป็นไปในลักษณะเป็นการต่อสู้ ถ้าไม่ต่อสู้ มันก็ตาย เพราะต้องต่อสู้กับธรรมชาตินี้ให้ถูกต้องตามเรื่องตามราว สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจึงรอดอยู่ได้ คือ มีชีวิต ทีนี้ในเมื่อมนุษย์มันมีสติปัญญามากขึ้น มันก็มีวิธีการที่ต่อสู้มากขึ้นหรือดีขึ้น จนมีความสะดวกสบายกว่ามนุษย์สมัยโบราณหรือว่าสบายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน นี่เป็นสิ่งที่จะต้องตั้งต้นศึกษากันให้เข้าใจสิ่งที่สำคัญเป็นรากฐานอันนี้ก่อนว่า เมื่อสมัยแรกมนุษย์ไม่มีความรู้ ไม่รู้หนังสือหนังหา ไม่รู้เลขผานาที ไม่รู้อะไรหมด มันก็อยู่ได้โดยไม่ยาก เขาก็พอใจแต่แล้วมันค่อยเปลี่ยนมาโดยไม่รู้สึกตัว เป็นต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ต้องอย่างโน้นเรื่อยๆ ขึ้นมา จนมาเป็นมนุษย์อย่างเดี๋ยวนี้ ทีแรกอยู่ในถ้ำก็ได้ อยู่โคนไม้ก็ได้ อยู่ในเพิงอะไรก็ได้ เดี๋ยวนี้ก็อยู่ไม่ได้ต้องทำบ้านต้องทำเรือน ต่อมาบ้านเรือนก็ไม่ชอบจะต้องทำตึกทำวิมาน คือ เรื่องมันมากขึ้นอย่างนี้ที่เรียกกันว่า วิวัฒนาการ หรือเรียกว่า ความเจริญ แต่แล้วท่านทั้งหลายก็จงสังเกตดูเถิดว่า สิ่งที่เรียกว่าความเจริญนั้นมันคู่กันมากับการต่อสู้หรือความยากลำบาก ยิ่งเจริญเท่าไรมันก็ยิ่งต้องมีความยากลำบากด้วยการต่อสู้มากเท่าๆ นั้น ใครอยากเจริญมากก็ต้องลำบากมาก นี้เป็นกฎธรรมดาสามัญ ซึ่งคนไม่ค่อยจะสนใจที่จะรู้ว่าเท่าไรเรียกว่า พอดี มันก็ไปหลงในส่วนที่เกินนั่นว่าพอดี มากเกินว่าพอดี น้อยเกินว่าพอดี ไม่รู้จักความพอดีที่ถูกต้องตามที่เป็นจริง มันไปทำให้เกินในทางมากบ้าง เกินในทางน้อยบ้าง มันก็มีความยากลำบาก
ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่าให้มันพอดี อย่างที่เรียกกันว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือ การปฏิบัติ หรือการกระทำ หรือการเป็นอยู่ หรืออะไรก็ตามเถิดให้มันพอดี มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ชัดๆ ว่า จงรู้จักประมาณในการบริโภค ประมาณ นี้คือ การพอดีในการบริโภค คือ การเป็นอยู่ จะบริโภควัตถุสิ่งของ หรือว่าความรู้สึกคิดนึกในจิตในใจก็เรียกว่าเป็นการบริโภคทั้งนั้น การเสพการพบใดๆ ก็เรียกว่า การบริโภคทั้งนั้น ถ้ามันมากไปหรือมันน้อยไปมันก็ต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้น เป็นความยุ่งยาก เป็นความลำบาก เพราะมันไม่ถูกต้อง เดี๋ยวนี้มนุษย์ก็เลยทำให้มันมีความพอดีชนิดที่เรียกว่าสูงขึ้นๆ จากการที่จะว่าอยู่ตามดินตามถ้ำ เรากินสัตว์ เนื้อสัตว์ดิบๆ เป็นอาหาร ที่นี้ก็เปลี่ยนมาเป็นมีบ้านมีเรือน มีการหุงต้ม มีการปรุงแต่ง มีการนุ่งห่มที่หรูหราสวยงาม ความพอดีนี้มันก็เปลี่ยนได้จะเรียกว่าไม่พอดี ในเมื่อเอาไปเปรียบกับคนป่าสมัยหินโน้นมันก็ไม่ถูก มันก็มีความพอดีของแต่ละยุคแต่ละสมัยเรื่อยๆ มา จึงอยู่กันได้สบาย
ทีนี้มันมีสิ่งที่เรียกว่าเกินอยู่อีกแบบหนึ่ง คือ ประโยชน์ซึ่งเป็นที่ต้องการด้วยกันทุกคน นี่ถ้าใครเอาไว้เกินคนนั้นจะลำบากมาก และถ้าเกินจนละโมบก็จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ทำให้ตัวเองเดือดร้อนก่อน แล้วก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอทบทวนใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครมันกอบโกยเอาประโยชน์ส่วนเกินไว้มาก คนนั้นจะเดือดร้อน หนักเข้าๆ ก็จะทำคนอื่นให้เดือดร้อน หนักเข้าๆ ก็จะทำให้เดือดร้อนกันทั้งโลก ฉะนั้นความเดือดร้อนหรือความทุกข์ทรมานทั้งหลายล้วนแต่มาจากประโยชน์ส่วนเกินทั้งนั้น พูดกันก็เป็นเรื่องที่มากมายแต่ก็ต้องพูดบ้างตามสมควรว่า ถ้าเราต้องการอะไรเกินที่ควรจะต้องการแล้วเราก็จะต้องเดือดร้อน และจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนในตอนท้าย เราจะแสวงหาเกินหรือมีไว้มากเกิน ใช้จ่ายมากเกิน นี้เราก็เรียกว่า มันมีประโยชน์ส่วนเกินมาก เราก็ต้องลำบากมาก เพราะเราก็ต้องหามาก เดือดร้อนก่อน ทีนี้การหาในทำนองกอบโกยนั้นก็พลอยให้คนอื่นเดือดร้อน เดี๋ยวนี้มันเดือดร้อนกันอยู่มาก แทบจะทั่วไปทุกหัวระแหง ก็เพราะว่ามันมีนักเลงดีที่ใดที่หนึ่ง พวกใดพวกหนึ่ง มันกอบโกยเอาประโยชน์ส่วนเกินไว้มาก ความเดือดร้อนทั้งหลายโดยส่วนบุคคลก็ดี โดยส่วนรวมก็ดี มันอยู่ที่ไปกอบโกยเอาประโยชน์ส่วนเกินเข้าไว้มาก เพราะกอบโกยเอามาไว้เพื่อตนหรือพรรคพวกของตน นี้ก็เรียกว่า มันผิดหลักธรรมะ ผิดหลักธรรมะของธรรมชาติ ไม่ใช่ผิดหลักธรรมะที่มนุษย์บัญญัติ ก็ลองเทียบให้ฟังว่า ครั้งมนุษย์อยู่กันอย่างมนุษย์คนป่า ก่อนแต่สมัยหินด้วยกันซ้ำไป สมัยหินนี่เรียกว่าเจริญแล้วรู้จักทำเครื่องมือหินใช้แล้ว มนุษย์ก่อนหน้านั้นขึ้นไปอีกที่เรียกว่า ครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์ นี้มันก็หากินจากสิ่งที่มีอยู่ในป่าเช่นเดียวกับสัตว์ แล้วมีลักษณะเป็นมนุษย์ขึ้นมาแล้ว คือเลยจากลิงขึ้นมาแล้ว เลยจากลิงอุรังอุตังขึ้นมาแล้ว มาเป็นพอที่จะเรียกว่ามนุษย์ได้ คือ คนเรียกว่าคนได้ มันก็ยังหากินในป่า ไปเที่ยวเก็บอะไรกินจากในป่า และต่อมามันรู้จักกินข้าว มันก็ยังไปเก็บเอาได้จากในป่า ที่มันอพยพไปที่ๆมันมีหญ้าชนิดที่สารของมันหุงกินได้ หญ้าจำพวกข้าวนี่มีหลายๆ ชนิด ชนิดไหนกินได้ มันก็รู้จักก็เก็บสารจากหญ้าเหล่านั้นมาหุงกิน นี่ก็เรียกว่ากินข้าวเป็นแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วก็หุงข้าวเป็นโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งขึ้นมาแล้ว ก็ลองพิจารณาดูทีว่า ทุกคนก็ไปเอามาจากในป่าเพื่อกินครั้งหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่มีใครทำบาปด้วยการเอาส่วนเกินมา ไม่มีใครเอาส่วนเกินมาถึงเวลาก็ไปเอามาจากในป่า แล้วก็มากิน รุ่งขึ้นก็ไปเอามาอีกไม่ได้มีการใส่ยุ้งใส่ฉาง นี้มันก็ไม่เกิน มันเท่าที่จำเป็นหรือพอดี มันก็ไม่มีเรื่อง ทุกคนก็ทำอย่างนั้น ไม่มีใครเป็นคนรวย ไม่มีใครเป็นคนจน ถึงแม้ว่าบางคนจะแข็งแรง บางคนจะอ่อนแอมันก็ยังทำอย่างเดียวกันไม่มีใครเอาประโยชน์ส่วนเกิน นี้มันยังประพฤติเช่นเดียวกันกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่นลิง เช่นค่าง เป็นต้น นก หนู ลิง ค่าง มันก็เที่ยวเก็บอาหารกิน อิ่มท้องแล้วก็เลิกกัน ส่วนเกินไม่ได้เอา เพราะว่าเอากลับมาก็ไม่รู้ว่าจะเก็บไว้ที่ไหน มันไม่มียุ้งไม่มีฉาง แม้ว่าสัตว์บางชนิด เช่น มดบางชนิดจะรู้จักเก็บมาใส่ฉางของตัวไว้ใต้ดิน มันก็ยังเป็นส่วนน้อย นี่สัตว์ทั่วไปยังไม่รู้จักทำ และคนป่านั้นก็ยังไม่รู้จักทำ ก็แปลว่า ไม่มีใครได้เอาประโยชน์ส่วนเกิน ที่เกินจากความจำเป็นมากินมาใช้เรื่องก็ยังไม่เกิด นี่ก็มาอย่างนี้กันยุคหนึ่ง ไม่มีใครกอบโกยประโยชน์ส่วนเกิน นี้ต่อมาๆ มันเกิดนักเลงดี นี่ต้องใช้คำว่า นักเลงดี หยาบคายหน่อย มันอุตริไปเอามามาก เอามาทำยุ้งทำฉางใส่เก็บไว้ เกินกว่าที่จะกินวันหนึ่งๆ มันเป็นคนกอบโกยส่วนเกินมาก่อน ได้รับความสะดวกสบายดี คนอื่นก็เอาอย่าง ทีนี้คนอื่นก็กอบโกยอย่างเดียวกัน เอาส่วนเกินมากักมาตุนไว้เป็นยุ้งเป็นฉางทั่วกันไปหมด มันก็ไม่พอ ก็เลยมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง ที่ต้องแข่งขันแย่งชิงกันไปเก็บ ไปเก็บแต่เช้า ไปเก็บก่อนใคร ก่อนฤดูอย่างนี้ มันก็มีปัญหายุ่งยากขึ้นมาแล้ว เพราะเกิดไปเอาประโยชน์ส่วนเกินแล้ว เมื่อมันไม่พอ นี่มันก็มาถึงยุคหนึ่งสมัยหนึ่งซึ่งจะต้องปลูกเอาเอง จะไปเก็บจากป่าไม่พอแล้ว ไม่มีแล้ว ก็ต้องปลูกกันเอง ที่เรียกกัน ทำไร่ทำนา มันก็แก้ปัญหามาได้ตอนหนึ่ง ต่างคนต่างหา ต่างคนต่างทำขึ้น
ทีนี้ต่อมามันเกิดนักเลงดีที่มันต้องการประโยชน์ส่วนเกิน คือ มันขโมย มันขี้เกียจจะทำ แล้วมันก็ไปขโมยคนอื่น มันก็เดือดร้อนอีกแล้ว เพราะนายคนนี้มันต้องการประโยชน์ส่วนเกิน เกินๆ กว่าที่ตนทำได้ ไปขโมยคนอื่น ก็ต้องเบียดเบียน รบราฆ่าฟันกัน ทนไม่ได้ขึ้นมา มนุษย์เหล่านั้นก็ทำการคิดค้นแก้ปัญหา นี่ก็ว่ากันไปตามเรื่องราวที่มีกันอยู่ในพระคัมภีร์ก็คิดกันได้ว่า อ้าว, เราจะต้องตั้งคนที่ฉลาด เข้มแข็ง แข็งแรงมีกำลังวังชา นี่ให้เป็นหัวหน้าเถิด เพื่อเขาจะได้ควบคุมอย่าให้ใครมันขโมย อย่าให้ใครมันทำผิดคิดร้ายแก่กัน ในที่สุดก็ประชุมกันแล้วก็ตั้งบุคคลคนหนึ่งขึ้นมาเป็นหัวหน้า เรียกว่าสมมติขึ้นเป็นหัวหน้า เป็นพระราชา คำว่า ราชา เกิดขึ้นต่อเมื่อบุคคลที่ได้รับสมมตินี้มันทำดี คือว่า ทำการควบคุมไว้ได้ไม่ให้ใครเบียดเบียนใคร ไม่ให้ใครลักขโมยใคร ได้รับความผาสุกกันขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จนทุกคนหลุดปากออกมาว่า ราชาๆๆ คำว่า “ราชาๆ” นี่แปลว่า น่ารัก น่าพอใจ น่ายินดี คำว่า “ระชะ” นี่แปลว่า ยินดีหรือกำหนัด ชื่อว่าราชาๆ นี่แปลว่าน่ารัก น่ายินดี น่าพอใจ คือ บุคคลนั้นมันน่ารัก น่ายินดี น่าพอใจ เพราะว่าเขาควบคุมหมู่คณะให้เป็นสุขได้ นี่คำว่า “ราชา” นี่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกจากปากคำของคนทั้งหลาย ว่าออกมาเอง จนกลายเป็นธรรมเนียมเรียกคนพวกหัวหน้านี่ว่าราชาๆ คนแรกนี่เขาเรียกว่า “สมมติราช” พวกกษัตริย์บางสกุลเขากล้าพูดว่า ความเป็นกษัตริย์ของเขาสืบมาตั้งแต่พระราชาคนแรกนี่ด้วยซ้ำไป แต่คงไม่มีใครเชื่อ เพราะมันหลายหมื่นหลายแสนปีนัก แล้วก็เป็นอันว่า เดี๋ยวนี้มนุษย์พอที่จะอยู่กันได้ผาสุก เพราะว่าคนที่เรียกกันว่าสมมติราชามันควบคุมดี ไม่ให้ใครล่วงละเมิดใคร ไม่ให้ใครไปเอาส่วนเกินของใครมา
ทีนี้ต่อมันก็เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว มันไม่มีอะไรตายตัวได้ มันเกิดพระราชาเลวขึ้นมา พระราชานั่นมันกอบโกยส่วนเกิน มันบีบคั้น มันเก็บภาษี มันรวบรัด มันบีบบังคับ พระราชาก็กลายเป็นคนรวยไป นอกนั้นก็เป็นคนจนเสมอกันไปตามเดิม ต่อมาก็มีบางคนเกิดเอาอย่างพระราชาหาวิธีที่จะเอาเปรียบผู้อื่น เอาส่วนเกินของผู้อื่นมาไว้ มันก็เกิดเป็นเศรษฐี เป็นนายทุน เป็นอะไรขึ้นมาเคียงคู่กันไปกับพระราชาซึ่งร่ำรวยอยู่ด้วยประโยชน์ส่วนเกิน ประโยชน์ส่วนเกินนี่มองเห็นได้ง่าย เพราะส่วนใดที่มันเกินจากที่จะกินจะใช้ มันก็จะถูกบุคคลคนหนึ่งหรือฝ่ายหนึ่งมาริบเอาไป เช่น เขามีอำนาจ เขาก็บังคับคนที่ไม่มีอำนาจทำอะไรให้มากไว้แล้วก็ให้เขา หรือว่าเขามีปัญญาสามารถมีเครื่องมือดี เขาก็ผลิตสิ่งต่างๆ ได้มาก เขาก็ได้ประโยชน์ส่วนเกินไปไว้มาก เขาก็เป็นคนรวย ส่วนคนธรรมดาสามัญก็เป็นคนจนไปตามเดิม เมื่อเป็นดังนี้ก็เห็นได้ทันทีว่า ประโยชน์ส่วนเกินนี่ไปพูนอยู่ที่คนใดคนหนึ่งจนเป็นคนมั่งมี เป็นเศรษฐี เป็นอะไรขึ้นมาแล้วในโลก ก็เกิดมีคนจนและคนมี ก่อนนี้มันไม่มี ไม่มีคนจนและคนมี ต่างคนไม่เอาประโยชน์ส่วนเกิน เพราะไม่มีความสติปัญญาที่จะเอาส่วนเกิน กินอยู่กันเหมือนกับนก กับหนู กับสัตว์เดรัจฉาน อิ่มปากอิ่มท้องไปวันหนึ่งๆ เดี๋ยวนี้มันมาถึงสมัยที่ว่าบางพวกหรือบางคนก็ยังคงทำอยู่อย่างนั้น แต่บางพวกหรือบางคนมันมีสติปัญญามันมีกำลังมันมีเครื่องมือมันมีอะไรต่างๆ มันจึงทำให้ประโยชน์ส่วนเกินมาตกอยู่ที่พวกนี้มาก แล้วก็ใช้ประโยชน์ส่วนเกินนั่นเป็นกำลังอีก เป็นกำลังอันมหาศาลที่จะลงทุนบ้าง ที่จะบีบคั้นผู้อื่นบ้าง เอาประโยชน์ส่วนเกินมาไว้ให้ตนมากขึ้นทุกที ก็เกิดเป็นบุคคลประเภทมหาเศรษฐีขึ้นมาใหม่โลกนี้ ทางฝ่ายหนึ่งก็เป็นมหาขอทาน จนลงไป มหายากจนนั่นมันก็จนหนักลงไป มันทิ้งกันไกลอย่างนี้ พวกหนึ่งมันมีส่วนเกินมากขึ้น พวกหนึ่งมันไม่มีส่วนเกินและยังมันยังขาดเสียอีก ส่วนที่พอดีของมันยังคงขาดเสียอีก นี่ก็พวกยากจนไม่ได้ในระดับพอดีที่ควรจะได้ ในเมื่อพวกหนึ่งมันได้มากได้เกินร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ก็ลองเทียบดูว่า มันเป็นโลกที่เหมือนกับตั้งต้นทีแรกหรือเปล่า เมื่อตั้งต้นทีแรกมีคนเสมอกันไม่มีใครได้กอบโกยเอาส่วนเกินแม้แต่นิดเดียว เดี๋ยวนี้มันมีคนที่เป็นมหาเศรษฐี และอีกทางหนึ่งมันก็เป็นมหาเข็ญใจ มหาขอทานอย่างยิ่ง แล้วมันจะมีความปกติสุขได้อย่างไร มันก็ต้องมีการยุ่งยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งจะอธิบายได้ไม่ยากนัก เพราะว่าคนที่มันเอาส่วนเกินมาทีแรกนั้นก็ได้สบายได้สนุกได้สนาน มันเลยชอบ ชอบความสบายสนุกสนานได้เปรียบผู้อื่น นี่มันก็เลยทำอย่างนั้นแรงขึ้น มันก็มีกิเลสมากขึ้น ทีนี้ก็เบียดเบียนข่มเหงผู้อื่นซึ่งหน้าเลย ความทุกข์ความเบียดเบียนมันเกิดขึ้นโลกเพราะเหตุนี้ มูลเหตุปัญหาแท้จริงมันมีมาจากสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ส่วนเกิน เพราะใครไปแตะต้องประโยชน์ส่วนเกิน คนนั้นจะต้องเกิดกิเลส เช่นว่า วันหนึ่งคนจะกินเท่าไร กินข้าวกินปลาอาหารเท่าไร อย่างนี้ไม่เกิดกิเลส พออยากจะกินดีกว่านั้น อร่อยกว่านั้น สนุกสนานกว่านั้นมันก็เกิดกิเลส เดี๋ยวนี้ก็ปรากฏอยู่ เข้าใจได้อยู่ทุกคนวันไหนอยากจะกินพิเศษให้มันเกินๆ เกินพอดี เกินธรรมชาติ มันก็ต้องมีปัญหา คือ คนมันติดในรสอร่อย ความสุขทางวัตถุทางเนื้อทางหนังมันก็หวังที่จะกอบโกยประโยชน์ส่วนเกินกันทั้งนั้น จึงได้ต่อสู้แย่งชิงกันทุกระดับเลย ที่รวยพอๆ กันก็ต่อสู้กัน รวยกว่ากันก็ต่อสู้กัน ที่ยากจนเข็ญใจก็ต่อสู้กับคนมั่งมี มันเป็นการต่อสู้ชนิดที่คิดทำลายล้างกันอย่างนี้ไม่ใช่ต่อสู้กับธรรมชาติเหมือนทีแรก เดี๋ยวนี้โลกของเรากำลังเป็นอย่างนี้ ดูให้ดี โลกของเรากำลังเป็นอย่างนี้ เมื่อพวกหนึ่งเอาประโยชน์ส่วนเกินไว้มาก พวกหนึ่งก็ต้องต่อสู้ มันเกิดลัทธิคนจนกับคนมี ต่อสู้กันไม่มีที่สิ้นสุด ที่กำลังรบกันเดี๋ยวนี้เวลานี้ในโลกนี่ฆ่ากันตายวันละหลายๆ พัน หลายๆ หมื่น นี่ก็เพราะประโยชน์ส่วนเกิน คนหนึ่งมันก็ ต้องการประโยชน์ส่วนเกิน คนหนึ่งมันก็ต้องรักษาต่อสู้ป้องกัน แล้วมันก็แย่งชิงกัน ถ้าเราจะระบุตรงๆ เลยก็ระบุได้ แม้แต่คอมมิวนิสต์มันก็ต้องการประโยชน์ส่วนเกิน พวกนายทุนมันก็ต้องการประโยชน์ส่วนเกิน นายทุนได้เปรียบเอาไว้มากก่อน มีประโยชน์ส่วนเกินมากก็รักษาต่อสู้ คอมมิวนิสต์เป็นกรรมกรมันยังไม่มี มันก็ต่อสู้เพื่อให้ได้มา มันก็รบราฆ่าฟันกันเพื่อจะให้ได้มา ในที่สุดกรรมกร มันอยากเป็นนายทุนขึ้นมาอีกแล้วมันจะเพียงพอได้อย่างไร มันล้วนแต่ต้องการกันทั้งสองฝ่าย มันก็รบกันไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่มีทางจะสิ้นสุด เดี๋ยวนี้เวลานี้กำลังแย่งชิงกอบโกยประโยชน์ส่วนเกินกันต้องรบราฆ่าฟันกันทั้งโลกไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า ความทุกข์ในโลกเกิดขึ้นมีมูลเหตุมาจากสิ่งๆ เดียว คือ ประโยชน์ส่วนเกินที่พวกหนึ่งเอาไว้มากเกินไป พวกหนึ่งยังไม่ได้หรือได้ไม่ถึงขนาด หรือแม้ได้ถึงขนาดแล้ว มันก็ยังอยากได้อีก เพราะว่าคนจนมันก็อยากเป็นคนมี ล้วนแต่แย่งชิงประโยชน์ส่วนเกินกันอยู่อย่างนี้ หาความสงบสุขไม่ได้ นี่โลกทุกวันนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ลองพิจารณาดูว่า มันน่าอยู่ไหมในโลกนี้ นี่เราดูกันกว้างๆ ทั่วทั้งโลกอย่างนี้ก่อน ทีนี้มาดูในวงแคบเข้ามาๆ ว่าในครอบครัวหนึ่งในบ้านเรือนหนึ่ง มันก็ทะเลาะวิวาทกันเพราะประโยชน์ส่วนเกิน ที่พี่มันเอาเปรียบน้อง ลูกเล็กๆ นี่ ที่มันเป็นพี่มันเอาเปรียบน้อง มันต้องการประโยชน์ส่วนเกินของน้อง ปล้นเอามามันจึงได้ทะเลาะวิวาทกัน ลูกเด็กๆ นี่มันก็ทะเลาะวิวาทกันเพราะประโยชน์ส่วนเกิน อันหนึ่งอยากจะปล้นเอามา อันหนึ่งก็ต่อสู้ไว้หรืออะไรก็ตามใจ นี้ผัวเมียที่มันออกไปเที่ยวนอกบ้านนอกเวลานั้น ผัวมันต้องการประโยชน์ส่วนเกินมากเกินไป มันจึงเกิดเรื่อง หรือว่าเมียก็เหมือนกันมันต้องการประโยชน์ส่วนเกินอย่างอื่น มันก็เกิดเรื่อง ถ้าทุกคนอยู่ในความถูกต้องพอเหมาะพอดี แล้วก็จะไม่มีเรื่อง จะเป็นในโรงเรียนก็ดี ที่ไหนก็ดี ในวัดในวานี่ก็ดี ถ้าใครเกิดหลงในประโยชน์ส่วนเกิน คนนั้นก็เกิดกิเลสแล้วก็เป็นทุกข์ แล้วก็เดือดร้อนกันไปหมด ไม่ยกเว้นว่าเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสก เป็นอุบาสิกา แล้วแต่จะสมมติเรียก ถ้าไปหลงในประโยชน์ส่วนเกิน มันก็เกิดกิเลสตัณหา แล้วมันก็ไม่ใช่มัชฌิมาปฏิปทา มันก็ต้องเป็นทุกข์
นี่เรามาปลงสังเวชในข้อนี้กันก่อนว่า ทุกคนในโลกเวลานี้กำลังมีปัญหายุ่งยากลำบากใจ เพราะสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ส่วนเกิน เช่น ที่อุตสาห์เหน็ดเหนื่อย อดตาหลับขับตานอนทำงานหามรุ่งหามค่ำนี่ก็เพื่อที่จะได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนเกินให้มันมากเข้า ถ้าต้องการแต่พอกินพอใช้มันไม่ต้องทำถึงอย่างนั้น กลางวันไปทำงานที่ Office ราชการเหน็ดเหนื่อย ๘ ชั่วโมง ค่ำแล้วกลับมาก็หาลำไพ่จนดึกจนดื่นกว่าจะได้นอน ตื่นเช้าก็ไปทำงานส่วนตัวก่อนจึงไปทำงานราชการอย่างนี่ มันเบ่งออกไปจนว่าจะต้องตายคาที่มันก็ยังทนทำ ซึ่งมันไม่จำเป็น แต่มันเห็นแก่ประโยชน์ส่วนเกิน มันก็ทำอย่างนั้น แล้วมันจะหาความสุขได้ที่ตรงไหน เผลอเข้ามันก็เป็นโรคเส้นประสาท เผลอเข้ามันก็ได้ทะเลาะวิวาทกัน เพราะว่าผัวกับเมียก็ไม่ค่อยได้พบหน้ากัน พ่อแม่กับลูกก็ไม่ใคร่มีโอกาสได้พบหน้ากัน เพราะต่างฝ่ายต่างไปหาประโยชน์ส่วนเกิน มิหนำซ้ำไปบริโภคประโยชน์ส่วนเกิน คือ ไปหากามารมณ์ที่มันเป็นเรื่องส่วนเกิน ซึ่งที่แท้ก็ไม่จำเป็น นี่ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการเมือง เรื่องอะไรก็ตามเถอะทุกชนิด มันขึ้นอยู่กับประโยชน์ส่วนเกิน มีมูลเหตุจากการที่ไปหลงใหลประโยชน์ส่วนเกิน ถ้าเราได้รู้จักสิ่งนี้กันให้ดีๆ ควบคุมกันให้ดีๆ ก็จะมีความสุขสบายมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวนี้มันหลง หลงใหลจนติดเป็นยาเสพติดกันไปเสียหมดแล้วในประโยชน์ส่วนเกินที่ว่า จะลดกันเสียบ้าง อย่างนี้ก็ไม่ยอม จะต้องหาเงินให้ได้มากสุดเหวี่ยงไว้เรื่อยไป แล้วก็เอามาใช้ในส่วนเกินอีก คือ กินเล่นหัวหาความสนุกสนานทางเนื้อทางหนังให้มันเกินกว่าที่จำเป็นว่าอย่างไง ที่ไปหาเงินกันมากเกินก็เพื่อจะมาสนุกสนานให้มันเกินๆ ระดับที่ควรจะเป็น การที่จะชักชวนว่าหยุดกันเสียบ้าง พักผ่อนกันเสียบ้างศึกษาธรรมกันเสียบ้าง นี่ไม่มีใครเชื่อ สนุกสนานในการไปหาประโยชน์ส่วนเกิน อย่างนี้ก็เรียกว่า ทำผิดหลักของธรรมชาติ ก็ทำผิดคำสั่งสอนของพระศาสดาทั้งหลาย ขอให้มองดูว่า ธรรมชาติไม่ได้ต้องการให้สัตว์มีชีวิตนี่อยู่ด้วยประโยชน์ส่วนเกิน เพราะมันไม่ได้สร้างฉางข้าวไว้ที่เนื้อที่ตัวของใครเลย ก็แปลว่า ไม่ได้ต้องการให้เก็บกอบโกยประโยชน์ส่วนเกิน กินใช้ไปในวันๆ หนึ่งเท่าที่ร่างกายมันจะทำได้ แต่เราก็ไม่ชอบ เราก็ทำจนให้ได้มีประโยชน์ส่วนเกิน นี่ถ้าลองคิดดูเปรียบเทียบดูว่า ถ้าเรากินเข้าไปมากกว่าธรรมดา เราก็เจ็บไข้ นี่มันเป็นเรื่องของส่วนเกิน กินน้อยกว่าธรรมดามันก็อยู่ไม่ได้ กินน้อยกว่าพอดี มันต้องกินพอดี นี่เรียกว่าธรรมชาติมันกำหนดไว้ว่า ให้สิ่งที่มีชีวิตนี่ทำอะไรให้ถูกต้องให้พอดี เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ขออภัยพูดตัวอย่างหยาบคาย สุนัขและแมวมันกินแต่พอดี พออิ่มมันไม่ยอมกิน แต่ถ้าเป็นคนแล้วไม่ใช่อย่างนั้นอิ่มแล้วมันก็อยากไปหานั่นหานี่หาโน่นมา หยอดมา หยดมาตบมาแต่งให้มันกินเข้าไปอีก วันละสามมื้อไม่พอวันละห้ามื้อหกมื้อ ทั้งค่ำทั้งคืนทั้งดึกทั้งดื่น มันก็อยากจะกิน นั่นแมวมันไม่เป็นโรคปวดฟัน คนมันเป็นโรคปวดฟันแทบทุกคนรวมทั้งอาตมาด้วย เพราะว่ามันกินมากกว่าธรรมดา มันมีโรคปวดฟันเกิดขึ้นดู ใครเห็นสุนัขแมวม้าช้างเป็นโรคปวดฟันบ้างมันไม่มี ไม่ได้ทานอะไรมากเกิน และที่ดีกว่านั้นมันเป็นโรคเส้นประสาท เดี๋ยวนี้มันเป็นโรคเส้นประสาทกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว แต่มันไม่มากเกินไป มันพอทนอยู่ได้ หมายความว่า มันนอนหลับยากกันทุกคนแล้ว สุนัขและแมวมันไม่เป็น มันก็นอนหลับปกติอยู่ตามเดิม นี่สัตว์เดรัจฉานไม่ได้มีประโยชน์ส่วนเกินก็คงอยู่ไปตามเดิม มนุษย์มันลุ่มหลงในประโยชน์ส่วนเกินมากขึ้นก็มีความทุกข์ทางกายก่อน เป็นโรคนั่นโรคนี่กระทั่งเป็นโรคเส้นประสาท วิกลจริตอะไรไปก็มี แล้วก็มีโรคกิเลสแม้ว่าร่างกายสบายดี จิตใจก็เป็นทุกข์ นอนหลับยาก ในที่สุดก็ย้อนไปหาโรคเส้นประสาทเอง นี่คือ โทษของประโยชน์ส่วนเกินที่ทุกคนบูชากันนัก ที่นั่งอยู่ที่นี่จะพูดได้เลยทุกคนอยากมีเงินเป็นล้านเป็นร้อยล้านพันล้านทั้งนั้นถ้ามันมีได้ มันต้องการส่วนเกินที่เรียกว่า ไม่มีที่สิ้นสุด ที่มีบาลีกล่าวว่า นทิ ตัณหาสมานัทที แม่น้ำหรือทะเลที่จะมากเท่าตัณหาของมนุษย์นี่ไม่มี และบางทีก็กล่าวว่า ให้ภูเขามันเป็นทองคำไปทั้งลูกๆ หนึ่ง ต้องสองลูกสามลูก มันก็ไม่พอแก่ความต้องการของคนเพียงคนเดียว ถ้าภูเขาเป็นทองคำไปทั้งลูกสองสามลูกก็ยังไม่พอแก่ความต้องการของมนุษย์คนเดียว แล้วมนุษย์มันกี่คนคิดดู แล้วภูเขามันจะเป็นทองคำให้ไหวหรือ นี่ความต้องการประโยชน์ส่วนเกินมันมากถึงขนาดนี้ในบาลีเขาก็มีกล่าวไว้อย่างนี้ นี่เราก็กำลังหลงอยู่ในประโยชน์ส่วนเกิน ที่บ้านมันก็อยากให้มันหรูหรา ที่วัดก็อยากให้สวยงามหรูหรา มันไม่จำเป็นหรอก ที่จริงมันเป็นประโยชน์ส่วนเกิน ยิ่งทำไปก็ยิ่งลำบาก นี่มาดูกันอีกทีหนึ่งเพื่อที่จะแก้ปัญหาข้อนี้ เราก็ต้องถือตามหลักของพระศาสนา ศาสนาไหนก็ตามเขาก็บัญญัติไว้ว่า อย่าให้โลภ บางศาสนาเขาพูดไว้ชัดเลยตรงๆ เลยว่า ถ้าผู้ใดต้องการมากเกินจำเป็น มันเป็นบาป ผู้ใดแสวงหาเกินจำเป็นมันเป็นคนบาป ผู้ใดมีไว้เกินความจำเป็น มันเป็นคนมีบาป ผู้ใดกินเข้าไปใช้เข้าไปเกินจำเป็น มันก็เป็นคนบาป หมายความว่า เป็นคนมีกิเลสมีบาปมีความทุกข์ แสวงหามีไว้หรือกินเข้าไปเกิน มากเกินจำเป็นนี่มันเป็นบาป และเราก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นบาป เราจะมองไปเสียว่ามันเก่งด้วยซ้ำไป มันดีหรือมันเก่งด้วยซ้ำไป ถ้ามองให้ดี มันก็มีความทุกข์ ตัวเองทุกข์ก่อนแล้วก็พลอยให้เป็นทุกข์กันมาก ในครอบครัวหนึ่งๆ มันก็มีความทุกข์เพราะเหตุนี้ ลูกเล็กๆ มันก็ต้องการมากเกิน คนโตๆ มันก็ต้องการมากเกิน แล้วก็เป็นทุกข์ แล้วจะไม่ให้เรียกว่ามีบาปอย่างไง เมื่อเด็กเล็กๆ มันควรจะใช้สตางค์วันหนึ่งเท่านี้ แต่ต้องการใช้มากกว่านั้น มันก็ต้องมีความผิด ต้องมีความบาปเกิดขึ้น มันจึงถือว่า ถ้ามันต้องการหรือแสวงหาหรือมีไว้หรือใช้สอยเกินความจำเป็นต้องจัดเป็นบาป นี่เราจะทำกันอย่างไง เราก็ควรจะแสวงหาหรือทำหรือมีไว้หรือบริโภคที่พอเหมาะพอดี แต่ไม่ได้จำกัดลงไปว่ากี่บาทหรือกี่ร้อยบาท กี่พันบาท กี่หมื่นบาท ขอแต่มันพอดีๆ คนที่มันมีเรื่องมากมีความสามารถมากมันก็มีเป็นล้านๆ ก็ได้ คนที่ธรรมดามันก็มีเพียงพันเพียงหมื่นมันก็ได้ มันก็พอดีกันไปคนหนึ่ง ๆ ไม่มีใครที่อยู่ด้วยความเกินแห่งฐานะของตน อย่างนี้มันก็ได้ ไม่มีใครมีความทุกข์ ลองพระมีเงินตั้งแสนตั้งล้าน มันบ้าเลย มันเป็นพระอยู่ไม่ได้ ถ้าชาวบ้านอยู่ได้ใช่ไหม มีเงินสักแสนหนึ่งก็ยังพอจะอยู่ได้ ถ้าพระมันก็สึกอย่างนี้เป็นต้น มันต้องถูกต้องและพอดี ทีนี้บางคนอาจจะเถียงหรือค้านว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ๆ สอนให้ทำอะไรกัน ไม่สอนให้สร้างความเจริญ ไม่สอนให้ทำอะไร ผลิตอะไรหรือพัฒนาอะไรอย่างนั้นเลย ขอตอบว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ใครมีเรี่ยวมีแรงมีสติปัญญามีฝีไม้ลายมือ ก็ผลิตเถอะผลิตขึ้นผลิตขึ้นๆๆ ให้มันมากๆ เท่าที่จะมากได้ แต่อย่าถึงกับเป็นบ้าก็แล้วกัน ทีนี้ประโยชน์นั้นมันก็เกิน เกิดขึ้นมากแล้วมันก็เกิน ทีนี้ก็เอาไปทำบุญเสีย เอาส่วนที่เกินเอาไปทำบุญ เก็บไว้แต่ส่วนที่พอสมควร พูดอย่างนี้อย่าได้เข้าใจว่า อาตมาชักชวนให้เอาเงินมาให้ที่นี่ ไม่ได้ต้องการอย่างนั้น ขอให้ทุกคนผลิตให้สุดความสามารถและส่วนที่มันพอดีที่จะเอาไว้มีไว้ก็เอาไว้ ถ้าส่วนที่เกินก็ทุ่มเทไปให้เพื่อนมนุษย์ที่เรียกกันว่า สังคมสงเคราะห์ และส่วนใดที่เห็นว่าเกินแล้วเจียดได้ก็ทุ่มเทไปให้สังคมสงเคราะห์ สงเคราะห์คนทั่วไปที่ยังจนอยู่หรืออะไรอยู่หรือบำรุงศาสนา ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์แก่สังคม
ทีนี้สมมติว่าเป็นนายทุน มันเงินมากมายมหาศาลมีเครื่องมือมหาศาล มันผลิตๆๆ ก็เอาไว้แต่พอสมควรสำหรับฐานะของตัว นอกนั้นเอาไปทำสังคมสงเคราะห์ ถ้านายทุนทุกคนเขาทำอย่างนี้ โลกนี้ทั้งโลกก็กลายเป็นโลกพระศรีอาริย์ขึ้นมาในพริบตาเดียว ก็ช่วยกันผลิตส่วนใดเกิน ทุ่มเทให้แก่สังคม มันก็ไปสร้างประโยชน์สังคม บ้านเมืองที่เป็นส่วนรวมเป็นของสังคม มันก็อุดมสมบูรณ์ราวกับว่ามันมีต้นกัลปพฤกษ์ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ในเรื่องของพระศรีอาริย์เขากล่าวไว้อย่างนั้น มันมีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ใครต้องการอะไรก็ไปเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์นั่น แล้วจะมีใครเป็นคนจน มันก็ไม่มีใครเป็นคนมี เพราะว่ามันเอาไปเท่าที่มันต้องการจะใช้จะกิน มันไม่เอาส่วนเกินไป คนจนก็ไม่มี คนรวยมันก็มีเท่าที่มันควรจะมี นั้นเขาถึงกล่าวไว้อีกประโยคหนึ่งว่า ในสมัยพระศรีอาริย์นั้น พอลงจากบ้านลงจากเรือนแล้วจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร คือ มันดีเสมอกันไปหมด มันเหมือนกับพี่น้องญาติสนิทมิตรสหายที่รักใคร่อย่างยิ่งสูงสุดเสมอกันไปหมด มีคนดีไปเสียทั้งหมดไม่มีคนพาล ไม่มีคนเลวจนจำกันไม่ได้ว่าใครเป็นใคร นี่มันก็มีทางจะสำเร็จได้ ถ้าคนมันมีจิตใจดีอย่างที่ว่า มันช่วยกันผลิตๆ เอาไว้แต่ส่วนที่สมควรจะเอาไว้ นอกนั้นมันเทไปให้สังคมสงเคราะห์ จนบ้านเมืองมันเป็นอย่างนั้นได้จริง ทีนี้มันอาจจะเป็นเพียงอุดมคติหรือมันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง นี้มันก็ยังจะต้องพิจารณากันอีกทีหนึ่ง จะพูดกันเล่นให้เพราะไพเราะหูหรือว่ามันเป็นสิ่งที่ทำได้จริง สิ่งเหล่านี้มันทำได้จริง ถ้าเราทุกคนมีธรรมะ ถ้าทุกคนถูกอบรมให้มีธรรมะมากขึ้นๆ มันก็ทำได้จริงเหมือนกัน มันไม่ขี้เกียจ มันผลิตเอาไว้แต่พอดีที่เกินเทให้กับกรมสงเคราะห์มันเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ทำไม่ได้แน่ เพราะทุกคนเห็นแก่ตัวจัด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวจัดไม่ยอมทำอย่างนั้น จะผลิตก็ผลิตเพื่อเอาประโยชน์ส่วนตัวมากขึ้นเอาเปรียบคนอื่น แย่งชิงคนอื่น ทำลายคนอื่น มันก็เลยทำไม่ได้ มันทำโลกนี้ให้เป็นศาสนาพระศรีอาริย์ขึ้นไม่ได้ พวกคอมมิวนิสต์ก็ทำไม่ได้ พวกนายทุนก็ทำไม่ได้ ที่ทำโลกนี้ให้มีลักษณะเหมือนกับโลกของพระศรีอาริย์มันทำไม่ได้ เพราะมันขาดธรรมอย่างเดียวเท่านั้น นั่นขอให้มองเห็นอานิสงส์ของธรรมะกันหน่อยในข้อนี้ ให้ความยุติธรรมแก่ธรรมะบ้าง ว่าธรรมะนี้มีคุณค่าสูงสุดเหลือประมาณที่จะแก้ปัญหาต่างๆ ได้ แต่ละคนมันไม่นับถือธรรมะ ไม่ประพฤติธรรมะ มันก็เกิดปัญหาอย่างนี้ คือ มีแต่กิเลส กอบโกยประโยชน์ส่วนเกิน แล้วก็เบียดเบียนกัน ถ้าเราถือตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันมีอย่างนี้ มันมีอย่างที่กำลังพูด คือ เรากินอยู่แต่พอดี ให้กินดีอยู่ดีนั่นอย่าไปตามกับมัน มันไม่รู้ขอบเขต เอาแต่ว่ากินอยู่พอดี ทีนี้ผลิตขึ้นได้มาก มันก็เหลือๆ ก็เอาไปทำบุญ ทำบุญนี้ไม่ได้ซื้อวิมาน ไม่ได้ซื้อวิมานในสวรรค์ นั่นมันไม่ได้ทำบุญ ทำบุญนี่ต้องสละส่วนที่เห็นแก่ตัวนั่นออกไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นก็เรียกว่า ทำบุญ ทีนี้บางคนก็จะถามว่า เรานอนเสียไม่ดีกว่า ดีกว่าที่ผลิตประโยชน์ส่วนเกินและเอาไปทำบุญ อย่างนั้นก็ตามใจ ถ้าชอบขี้เกียจอย่างนั้นก็ตามใจเขา แต่มานึกถึงข้อที่ว่า คนเราถ้าหากว่าสบายดีปกติดีมันอยู่นิ่งไม่ได้ มันต้องทำอะไรล่ะมันอยู่นิ่งไม่ได้ ให้ไปนอนเข้าไม่เท่าไหร่ มันก็เอือมอีกแล้ว ฉะนั้นมันต้องทำไปให้พอเหมาะพอดี ประโยชน์เหลือเฟือก็ไปช่วยเพื่อนมนุษย์ ช่วยศาสนา ช่วยอะไรที่เรียกว่าช่วยผู้อื่น มีส่วนพอดีเอาไว้ ส่วนเกินก็ช่วยผู้อื่น นี่คือ การปฏิบัติตามหลักของพระศาสนา ขอให้นึกดูให้ดีเข้าใจดีแล้ว ขอให้ถือหลักเกณฑ์อย่างนี้ด้วย แม้ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ให้มันได้เท่าที่ควรจะได้ คือ อย่าขี้เกียจแล้วก็ผลิต เอาไว้แต่ส่วนที่ควรเอาไว้ ส่วนเกินที่เจียดได้นั้นก็เจียดไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ มนุษย์ก็จะมีจิตใจเป็นธรรมมากขึ้นเพราะอย่างน้อยเราคนหนึ่งแล้ว เราคนหนึ่งที่จะมีเป็นคนที่มีธรรมะแล้ว ถ้าเราเป็นคนกอบโกยไม่รู้จักอิ่มจักพอเสียเอง เราคนหนึ่งก็ไม่มีธรรมะ แล้วอีกคนหนึ่งก็ไม่มี อีกคนหนึ่งไม่มีเลยไม่มีกันไปหมด ที่คนอันธพาลก็เลยไม่มีกันไปหมด ถ้าเรามีธรรมะ เราเจียดส่วนที่เจียดได้คือส่วนเกินไปช่วยคนอื่น คนอื่นมันก็ดีขึ้นๆ แม้แต่คนอันธพาลมันอาจจะดีขึ้น ถ้าเราช่วยมันถูกวิธี นี่เรียกว่า การรู้จักใช้ประโยชน์ส่วนเกิน อย่าเอาไว้ให้กลายเป็นบุญกุศลไป ถ้าขืนเอาไว้ มันก็กลายเป็นบาป คือจะตระหนี่ขี้เหนียวเห็นแก่ตัวจัดขึ้นทุกที ประโยชน์ส่วนเกินมันเกิดเป็นเสือขึ้นอย่างที่คุณเป็งฮั้วว่าเมื่อตอนเย็นนั้น มันก็กัดคนนั้นฉิบหายตายไปเลย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทำเล่นกับมันไม่ได้ มันจะกลายเป็นเสือกัดเอาเลย แล้วก็ไม่รู้สึกตัวด้วย มันก็ตายแล้วตายอีก ตายแล้วตายอีกจนน่าทุเรศ
นี่มันเป็นวันที่จะสิ้นปี ทีนี้เลยพูดทำนองคล้ายๆ ว่า คิดบัญชีใหญ่กันเสียทีหนึ่ง นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีขึ้นมาในโลกนี้ ไม่เคยมีประโยชน์ส่วนเกิน ไม่มีใครเอาประโยชน์ส่วนเกิน แล้วการเจริญก็เกิดขึ้นนิดหนึ่งแล้วค่อยๆ ไปรู้จักเอาประโยชน์ส่วนเกินกันนิดหนึ่ง แล้วก็เอากันมากขึ้นๆ จนพวกหนึ่งมั่งมี พวกหนึ่งจน คนจนคนมีเกิดขึ้นในโลกแล้ว ก่อนนี้ไม่มี ทีนี้คนมีก็หาทางเอาเปรียบมากขึ้น ก็มีมากขึ้นเป็นมหาเศรษฐี จนมันก็ถูกกีดกันโดยไม่รู้สึกตัวมันก็จนอยู่ตามเดิม และถ้ามันโง่ยิ่งขี้เกียจกันเลย มันก็ยิ่งจนใหญ่ มันก็เลยมีการเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันมาก ก็เกิดปัญหายุ่งยาก คือ การรบราฆ่าฟัน นี่คิดบัญชีคราวเดียวหมดเป็นเวลาตั้งแสนๆ ปี จนกระทั่งวันนี้เราลำบากอยู่ด้วยประโยชน์ส่วนเกิน นี้ในรายละเอียดปลีกย่อยเฉพาะวัน เฉพาะเดือน เฉพาะปี เฉพาะครอบครัว เฉพาะหมู่คณะก็ไปดูเถอะ มันเพราะประโยชน์ส่วนเกินทั้งนั้น มันเป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กนี่ จะไม่เรียกประโยชน์ส่วนเกินอย่างไง มันไปหวังจะเอาอะไรมาก ซึ่งไม่ใช่ๆ เรื่องของเด็ก คนเดี๋ยวนี้เป็นเจ้าชู้ตั้งแต่เด็กกันมากขึ้นเห็นไหม นี่มันไปบ้าส่วนเกินส่วนนั้น มันก็มีปัญหายุ่งยากลำบากอย่างเร้นลับ อย่างมองเห็นยาก ก็มีอันธพาลเต็มบ้านเต็มเมือง เราดูให้ดีมันอยู่ที่คำนี้สิ่งนี้สิ่งเดียว ไปเกิดความละโมบโลภลาภเข้าในประโยชน์ส่วนเกิน ก็เรียกว่า เป็นความโลภ เป็นบาป เป็นความโลภ ทีนี้พอโลภเข้าแล้วมันไม่ได้ดั่งใจ หรือว่ามีคนขัดคอ มันก็เกิดความโกรธ ความโกรธนั้นไม่ได้เกิดได้เองตามลำพัง มันต้องมาจากที่ว่า โลภแล้วไม่ได้อย่างใจ พวกคุณคิดดูเองที่ไม่ได้อย่างใจด้วยเหตุใดก็ตามแล้วโกรธ มันมาจากต้องการก่อนแล้วไม่ได้อย่างใจแล้วก็โกรธ มันจึงมีความโลภมีทั้งความโกรธเต็มบ้านเต็มเมือง และการประพฤติกระทำที่ไม่ถูกต้องนี่ก็เรียกว่า ความหลง ก็เลยมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ความโลภ ความโกรธ ความหลงเนื่องกันอยู่ไปกับประโยชน์ส่วนเกิน เพราะมีความโง่จึงไปหลงในประโยชน์ส่วนเกิน หลงแล้วมันก็โลภ โลภแล้วไม่ได้อย่างใจมันก็โกรธ มันก็เวียนโลภโกรธหลงกันอยู่นี่ ไปคิดบัญชีดูในวันหนึ่งๆ วันเดียวนี่มันก็มีเรื่องนี้มาก อยากได้แล้วไม่ได้แล้วก็โกรธ โกรธแล้วก็โง่ แล้วก็หลงกันโลภกันอยู่นี่ นี่เป็นเรื่องวันหนึ่งๆ ทีนี้เดือนหนึ่งๆ ก็เป็นอย่างนี้ ปีหนึ่งก็ปีหนึ่งก็เป็นอย่างนี้ นี่มันจะครบปีก็วันนี้แล้ว โดยสมมติอีกไม่กี่ชั่วโมง ที่จะเอาอย่างไงกัน ให้ปีใหม่เหมือนปีนี้นี่ หึๆ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาไม่ต้องมาที่สวนโมกข์ให้เสียเวลา ถ้าคุณต้องการให้ปีใหม่เหมือนกับปีที่แล้วมา ไม่ต้องมาที่นี่ เดี๋ยวนี้ที่ว่ามาที่นี่ทั้งทีก็คงจะมาปรึกษาหารือกัน ให้ปีใหม่มันดีกว่าปีที่แล้วมา อย่างน้อยก็ให้มันโลภน้อยกว่า โกรธน้อยกว่า หลงน้อยกว่า สรุปแล้วคือ เห็นแก่ตัวน้อยกว่า เห็นแก่ตัวน้อยลงไปบ้าง จะทำอย่างไง ไม่มีๆ ทางอื่น นอกจากพิจารณาดูความผิดพลาดตลอดปีที่แล้วมานี่ พ.ศ. ๒๕๑๕ นี่มันมีความผิดพลาดกี่มากน้อย เอามาเป็นครู เอามาเป็นบทเรียน ให้ปี ๒๕๑๖ มันจะได้มีบาปน้อยเข้า มีการเห็นแก่ตัวน้อยเข้า รวมความแล้วก็อย่าไปหลงกับประโยชน์ส่วนเกินให้มันเท่ากว่าปีที่แล้วมา ปีใหม่นี้อย่าให้จิตใจมันโลภจัดโกรธจัดหรือหลงจัด ควบคุมประโยชน์ส่วนเกินให้ดีๆ ถ้ามันเกินควรจะเจียดออกไปแล้วก็รีบเจียดออกไป ไปทำบุญทำกุศลเพื่อแก้ไขจิตใจให้มันโลภโกรธหลง นี่น้อยลงๆ จะได้มีความสุขสบาย นี่พูดอีกทีหนึ่งเรียกว่า เอาเปรียบกันหน่อย ขอให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงให้มันเกิดยาก ให้มันเกิดได้น้อย ให้มันว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่มากขึ้น ว่างเท่าไหร่มันก็เป็นนิพพานหรือมีความสุขมากเท่านั้น ให้ถือเอาว่าเวลานาทีที่มันว่างจากกิเลสนั่นเป็นนิพพานชนิดหนึ่ง ซึ่งเราจะเอาได้ทันๆ เวลานี้ ถ้ามันว่างจากกิเลสเด็ดขาดไปเลย มันเป็นนิพพานจริง อย่างนี้มันว่างชั่วคราวก็ยังดีเป็นนิพพานชั่วคราวก็ยังดีกว่าไม่ได้เสียเลย นิพพานชั่วคราวหรือนิพพานจริงก็ตามรสชาติมันเหมือนกัน เวลาที่ว่างจากกิเลสมีความสบายอย่างไรนี่ ไม่ว่าคราวนี้มันก็รสชาตินี้ คือ ถาวรกลายเป็นจริงเด็ดขาดเป็นพระอรหันต์ไปเลยมันก็อย่างนั้น คือ รสชาติของการว่างจากกิเลส อย่างนี้ไม่เคยชิมไม่เคยลอง เพราะว่าได้ปล่อยให้กิเลสครอบงำเรื่อย คือว่า ความหลงของกิเลสมันครอบงำเสียตลอดเวลา มันนอนสะดุ้งด้วยอำนาจของกิเลส อย่างนี้ก็ไม่ค่อยได้พบกันกับพระนิพพาน แม้ที่ว่าเป็นของชิมลองชั่วขณะก็ยังไม่ค่อยจะได้พบกัน มันขวนขวาย มันกระหายจนนอนหลับก็ฝันว่าทำงานใช่ไหม พระเณรนี่นอนหลับ มันก็ยังฝันเรื่องว่ามันจะสอบไล่ได้หรือว่าสอบไล่ตกหรือว่าอะไรล้วนแต่เป็นความยุ่งยากในทางจิตใจใต้สำนึก มันไม่มีเวลาว่างที่จะว่างจากกิเลสสำหรับจะมีความสุขชนิดที่ว่างจากกิเลสกันบ้าง มันมีแต่ความสนุกสนานที่ได้ตามใจกิเลส ความสุขที่แท้จริง แท้มันเป็นเรื่องไม่มีกิเลสแม้ชั่วขณะก็ยังดี นี่ก็เพราะว่ามันหลงในประโยชน์ส่วนเกินจนชินเป็นนิสัย เรื่องวัตถุทรัพย์สมบัติ มันก็หลงส่วนเกิน เช่น กามารมณ์ มันก็หลงส่วนเกิน เรื่องเกียรติยศนี่มันถึงกับยกหูชูหาง มันหลงในเกียรติยศที่เป็นส่วนเกินถึงกับขนาดอวดดิบอวดดียกหูชูหาง ชาวบ้านก็เป็น พระเณรก็เป็น นี่ไม่ๆ ต้องเกรงใจพูดกันตรงๆ พระเณรก็เป็น หลงเกียรติยศส่วนเกินถึงขนาดยกหูชูหาง ชาวบ้านก็หลงในเรื่องกามเป็นส่วนเกิน หลงในเรื่องวัตถุสิ่งของ ธรรมดาก็เป็นส่วนเกิน เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ที่น่ากลัวมันก็มีโทษ เพราะมันเป็นไปทางเกิน ถ้าเราบริโภคแต่พอดีอย่างนี้ มันก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา แต่พอเราบริโภคเกินมีความทุกข์มีปัญหา เรื่องเพศเรื่องกิจกรรมระหว่างเพศ ถ้าทำพอดีก็เป็นเรื่องสืบพันธุ์ตามธรรมดา ถ้าทำเกินพอดีก็เป็นเรื่องกามารมณ์ที่ลุกเป็นไฟ มันก็ต่างกัน คนโบราณเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องกามารมณ์มาก เพราะเขาอยู่อย่างเก่า คนสมัยนี้อยู่อย่างใหม่ มันเป็นเรื่องกามารมณ์ส่วนเกิน ไม่ใช่เพียงแต่เพื่อสืบพันธุ์ตามธรรมดาสามัญ นี่ถ้าเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉาน เดี๋ยวก็จะโกรธกันอีก เพราะสัตว์เดรัจฉานมีเรื่องเพศเพียงการสืบพันธุ์ ไม่มีกามารมณ์ แต่มนุษย์นี่มันเลยเถิดเป็นกามารมณ์ตลอดเดือนตลอดปี มันจึงลำบากเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะกามารมณ์นั้น แต่สัตว์เดรัจฉานเขาไม่เป็นอย่างนั้น นี่เรียกว่า คิดบัญชีดูว่าปีที่แล้วมาเป็นอย่างไร ปีต่อไปจะเอากันอย่างไร ขึงใจเสียให้ดีๆ ให้แน่วแน่ แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ อย่าเพียงแต่ขึงใจเดี๋ยวนี้แล้วก็เลิกกันไปทำอย่างอื่นอีก ตั้งจิตอธิษฐานที่จะลอยแพปีนี้ไปเสีย มันเต็มไปด้วยสิ่งน่ารังเกียจ สร้างปีใหม่กันให้มันน่าดู ให้มันมีส่วนที่น่าเสียน้อยลง ที่เป็นจะเป็นนรกเดรัจฉาน เปรต อสุรกายให้มันน้อยลง ให้มันเป็นสุขติสวรรค์มากขึ้น หรือว่าถ้าใครเก่งกว่านั้นก็ให้ได้เป็นเรื่องมรรคผลนิพพานไปเสีย ควรตั้งความปรารถนาสำหรับปีใหม่กันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ ๒๑ น. แล้วอีก ๓ ชั่วโมงก็ถึงเวลาที่ก็สมมติกันว่าปีใหม่ นี่คิดไปยังเหลือ ๓ ชั่วโมงแล้วจะเอาปีใหม่กันอย่างไร แล้วก็จริงกันสักหน่อย ซื่อตรงกับตัวเองกันสักหน่อย อย่างแรกก็ตั้งสัตย์ปฏิญาณว่าปีใหม่ควรจะสะอาดกว่าปีที่แล้ว สว่างกว่าปีที่แล้ว สงบกว่าปีที่แล้ว ขอเท่านี้ก็พอ ให้มันมีความสะอาด สว่าง สงบ กว่าปีที่แล้วสักหน่อยเท่านี้ก็พอ ถ้าได้มากก็ยิ่งดีก็ไปดูเอาเองมันไม่สะอาดอย่างไร มันไม่สว่างอย่างไร มันไม่สงบอย่างไร มันผิดและมันก็ไม่สะอาดมันสกปรก มันโง่แล้วมันก็ไม่สว่าง เดือดร้อนแล้วมันก็ไม่สงบ นี่อีก ๓ ชั่วโมงแล้วคิดดูให้ดีๆ จะมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้สะอาด สว่าง สงบขึ้นกว่าปีที่กำลังจะสิ้นไป ขอให้พิจารณาดูว่า ปีที่กำลังจะสิ้นไปนี่ เพื่อเป็นเครื่องปลงสังเวช แล้วก็สังเวช แล้วก็เอือม ที่จะเป็นอย่างนั้นอีก มันน่าเอือมที่จะซ้ำๆ ซากๆ แต่ไม่มีอะไรดีขึ้น
ขอให้ตั้งจิตอธิษฐานในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ขอว่า อย่าให้มันมีอะไรเหมือนกับปีที่แล้วมาหรือเลวกว่าปีที่แล้วมา ขอให้มันดีกว่า อย่าเสียทีที่เป็นพุทธบริษัท เป็นอยู่ด้วยความไม่ประมาทตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า อจฺเจนติ กาลา เวลามันล่วงไป ตรยนฺติ รตฺติโย วันคืนมันก็ก้าวไป สิ่งที่เรียกว่าอายุก็ละลำดับไป วัยก็ละลำดับไป จากเด็กเป็นคนหนุ่มสาว จากคนหนุ่มสาวเป็นคนแก่เฒ่า นี่มันละลำดับไปอย่างนี้ จงอย่าประมาทเลย จงอย่าได้ประมาทเลย เพราะถ้าขืนประมาทอยู่ มันก็ตายเปล่า มันก็ตายได้เร็วเกินไปกว่าที่จะได้ทำอะไรให้ถึงขนาดที่เรียกว่าดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ นั้นก็รีบคิดนึกว่า มันแน่แล้วมันถูกแน่แล้วที่จะทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า ขอให้อธิษฐานกันส่วนนี้ก่อน แล้วพอขึ้นปีใหม่แล้วค่อยคิดต่อไปก็ได้ว่าทำอะไรให้ดีขึ้นๆ ทุกวันๆๆ เวลานี้ขอแต่เพียงว่าใจเป็นสัจจาธิษฐานที่แน่วแน่เด็ดขาดไม่แปลงว่า ขอให้ปีใหม่นี่มันดีกว่าปีที่กำลังจะสิ้นไปก็พอแล้ว ก็เรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว เป็นผู้นับถือธรรม พระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์แล้ว จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เตือนไว้ อย่างที่เรียกว่า บอกไม่ถูก คือ จะปรินิพพานอยู่หยกๆ แล้ว จะปรินิพพานอยู่ในสองสามนาทีนี่แล้วก็ยังอุตสาห์เตือนว่า พวกเธอทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทให้เต็มที่เถิด ไปอ่านดูหรือไปถามใครดูว่า เมื่อพระพุทธเจ้าจะนิพพานอยู่หยกๆ คือ จะดับจิตอยู่หยกๆ ยังกล้า ยังพยายามตรัสสั่งเป็นคำสุดท้ายว่า สิ่งทั้งหลายมันเปลี่ยนแปลงเอาอะไรกับมันไม่ได้ พวกเธอจงเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด ท่านตรัสไว้อย่างนี้ เราจะต้องสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าความไม่ประมาท ถ้าไม่สนใจ ก็คือ ไม่นับถือพระพุทธเจ้า ก็คือ ดูหมิ่นดูถูกพระพุทธเจ้า เราประมาทเมื่อใด เรามีบาปทีหนึ่ง เพราะว่าเราดูถูกพระพุทธเจ้า ที่ท่านอุตสาห์สั่งไว้ว่า อย่าประมาทๆ จงไม่ประมาทให้เต็มที่ แล้วมันก็แน่นอนพอประมาทที่ไหน มันมีทุกข์ที่นั้น นี่มันก็เป็นของที่แน่นอนอยู่ส่วนหนึ่ง ทีนี้เห็นแก่พระพุทธ พระพุทธเจ้าบ้างก็อย่าประมาท เพราะความเคารพรักในพระพุทธเจ้า ความไม่ประมาทนั้นเป็นพระธรรม เมื่อเราปฏิบัติตามนั้นเราก็เป็นพระสงฆ์
ดังนั้นเราเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้ด้วยที่รู้เรื่องความไม่ประมาทและปฏิบัติอยู่ เราเชื่อฟังพระพุทธเจ้า รับพระพุทธเจ้าเข้ามา ปฏิบัติความไม่ประมาทนี้เป็นพระธรรม และการปฏิบัตินั้นเป็นพระสงฆ์ นี่อยู่กับพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ต้องอยู่กันอย่างนี้ ไม่ว่าใคร ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ คือ ต้องปฏิบัติดีอยู่ด้วยความไม่ประมาท ความรู้จริงรู้แจ้งไม่ประมาทนั้นเป็นตัวพระพุทธ ปฏิบัติอยู่นี่การปฏิบัตินั้นมันเป็นตัวพระสงฆ์ พระธรรมะนั่นหรือผลของการปฏิบัตินั้นเรียกว่าเป็นตัวพระธรรม ดังนั้นขอให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของปีใหม่นี่มีมากกว่าปีเก่าสำหรับแต่ละคนๆ นี่เรากำลังเทศน์และฟังเทศน์ในลักษณะที่จะละปีเก่าและต้อนรับปีใหม่
ฉะนั้นเราต้องทำอย่างนี้ มันไม่มีอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ โดยเฉพาะพุทธบริษัทก็ต้องทำอย่างนี้ จะไปรำวง จะไปกินเหล้าส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้นมันบ้า คือ เป็นพุทธบริษัทบ้า เขาจะเป็นอะไรก็ตามใจเขา แต่ถ้าเราพุทธบริษัทไปทำอย่างนั้นแล้วก็ต้องเรียกว่าเป็นคนบ้า จะไปสำมะเลเทเมาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มันเป็นคนบ้า เป็นคนโง่ เป็นคนบ้านและเป็นคนโง่ชนิดที่บอกไม่ถูก ไปทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำหรือควรทำเพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้นเข้าใจว่ามานั่งปลงสังเวชกันอย่างนี้ดีกว่า จะไม่มีความทุกข์ จะได้แก้ไขสิ่งต่างๆ ให้มันดีขึ้น
ฉะนั้นบรรดาทุกคนที่มาจากต่างจังหวัด ตั้งใจมาทำบุญปีใหม่ที่นี่ อาตมาก็ไม่มีอะไรให้นอกจากเรื่องนี้ เราต้องทำบุญปีใหม่ที่นี่กันด้วยลักษณะอย่างนี้ จึงพูดเรื่องนี้ จึงชี้แจงอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างพุทธบริษัทจะต้องทำเพื่อจะไม่เป็นคนบ้า เพื่อจะไม่เป็นคนโง่ เพื่อจะไม่เป็นคนหลง หรืออะไรสุดแท้แต่จะเรียก จะได้ปิดกั้นอบายภูมิเสียแต่เดี๋ยวนี้ให้มันมากขึ้น แล้วก็เปิดหนทางของสุขคติสวรรค์ของคนนิพพานกันให้มากขึ้น เอาละ, ดูเหมือนจะพอเป็นที่เข้าใจกันแล้ว สำหรับจะละปีเก่าแล้วก็ต้อนรับปีใหม่
ขอร้องให้ทุกคนอธิฐานจิต อธิษฐานจิตตั้งสัจจาธิษฐานละปีเก่าที่ๆ ใช้ไม่ได้ แล้วก็เอาปีใหม่ที่น่ารักน่าพอใจ จนยกมือไหว้ตัวเองได้ท่านจงทุกๆ คนเถิด ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีแต่ประการฉะนี้ รออีกสองสามชั่วโมงด้วยการทำอย่างไรดี