แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดกับสามเณรครั้งที่แล้วมาเป็นการพูดแสดงความยินดีอนุโมทนาในการที่เธอได้บวชเมื่อได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างนี้ ที่ว่ามีความยินดีอนุโมทนาก็เพราะว่าเมื่อได้พิจารณาดูระเบียบการศึกษาอบรมที่ได้รับรู้สึกว่าคงจะทำให้เธอทั้งหลายได้รับประโยชน์เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดาเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์เป็นพลเมืองที่ดีในอนาคตของประเทศชาติและเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน เมื่อเป็นพลเมืองที่ดีในอนาคตของชาติ เมื่อเป็นสาวกที่ดีในพระศาสนายิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือมากกว่าที่แล้วมา ในวัน.ในครั้งนี้ก็อยากจะพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอีกนั่นแหละแต่ว่าให้มันละเอียดลึกซึ้งกว้างขวางออกไป คือเท่าที่สังเกตดูมาตลอดเวลารู้สึกว่าความล้มละลายของเด็ก ๆ ก็คือความหัวดื้อ เพียงแต่ไม่ดื้ออย่างเดียวนั้นจะปลอดภัยหมดทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ เมื่อมีความดื้อแล้วมันก็ไม่รู้จะทำกันอย่างไรให้มันอยู่ในร่องในรอยของธรรมะได้ ในความดื้อนี้จะต้องมาจากความโง่เสมอ ถ้ามันเป็นเรื่องของความดื้อมันต้องมาจากความโง่เสมอมันจะมาจากความฉลาดไม่ได้ การที่ประะท้วงคัดค้านด้วยความฉลาดนั้นมันเป็นอีกความหมายหนึ่งไม่ใช่ความดื้อแล้วมันมีผลต่างกัน เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ยังดื้อบิดามารดาดื้อครูบาอาจารย์โดยไม่รู้ว่ามันเสียหายกันสักกี่มากน้อยยังเห็นเป็นของสนุกสนานหรือว่าเป็นของที่น่าทำอยู่ เป็นเพราะอ้ายคนโง่คนดื้อเมื่อมันได้โง่มันได้ดื้อมันก็รู้สึกอร่อยในความโง่ความดื้อของมัน ทีนี้มันอร่อยจากอ้ายสิ่งที่มันไปทำด้วยความดื้อคือฝืนระเบียบหรือคำสั่งสอน การที่ดื้อต่อบิดามารดานี้เป็นความดื้อที่เป็นความไม่รู้อะไรเป็นความโง่มาก ไม่รู้จักว่าบิดามารดานั้นคืออะไร แม้แต่บิดามารดาที่เป็นผู้ให้กำเนิดตัวเองมาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร งวดนี้ก็เลยอยากพูดให้ฟังถึงเรื่องที่เกี่ยวกับบิดามารดา ให้เธอลองตั้งใจฟังให้ดีเผื่อจะรู้จักบิดามารดาดีขึ้น
บิดามารดาโดยพฤตินัยก็คือผู้ที่ให้กำเนิดเรามา ถ้าปราศจากบิดามารดาเราก็ไม่มีการเกิดมา เราเกิดเองไม่ได้ หรือจะเกิดจากสิ่งอื่นที่ไม่ใช่บิดามารดานี้มันก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นอันยุติได้ว่าเราเกิดมาจากบิดามารดา ทั้งคู่เป็นผู้ทำให้เราเกิดมาออกมา เราก็ไม่นึกถึงข้อนี้มันก็เลยไม่นึกถึงข้อที่ว่าคือผู้ให้ชีวิตเรามามีค่าเท่ากับเป็นผู้ให้ชีวิต ฉะนั้นชีวิตทั้งหมดของเราก็ควรจะยกให้เป็นของบิดามารดาจึงจะตรงกับความจริง เพราะการดื้อดึงใด ๆ ที่มันเกิดขึ้นก็หมายความไม่ยอมรับในข้อนี้ ไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ให้กำเนิดมา ไม่ยอมรับว่าเป็นผู้ให้ชีวิตมา แล้วก็ไม่รู้จักบุญคุณของบิดามารดาแล้วก็ดื้อ ทำให้บิดามารดาร้อนใจ แทนคุณทดแทนพระคุณของบิดามารดาด้วยการให้ความร้อนใจเนื่องจากการดื้อของเรา นี่คิดดูว่าเราทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณด้วยการให้ความร้อนใจแก่เขา ทีนี้ควรรู้จักบิดามารดาว่าเป็นอะไรกันโดยแท้จริง โดยพฤตินัยคือโดยการกระทำก็เป็นผู้ให้กำเนิด อ้ายโดยนิตินัยโดยสมมติ โดยบัญญัติโดยกฎหมายนั้นมันก็เป็นเอ้อ,เสียเป็นอย่างอื่นเช่นเป็นผู้รับผิดชอบเป็นผู้_(นาทีที่09:12:2) อยากจะพูดถึงบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเรา คำว่าเรานี้มันก็มีหลายความหมาย คือไม่เหมือนกันมันต่าง ๆ กัน ดังนั้นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเราก็พลอยมีหลายความหมายต่าง ๆ กันไปด้วย บิดามารดาผู้ให้กำเนิดเราซึ่งเป็นเราทางร่างกายซึ่งรวมระบบประสาทไปด้วยเสร็จแล้วก็มันเนื่องกันอยู่กับร่างกายมันขาดไปไม่ได้ ที่ให้กำเนิดเราซึ่งเป็นเราทางร่างกายก็คือบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเรามาหรือบิดามารดาตามกฎหมาย ที่เป็นบิดามารดาประเภทที่หนึ่งก็แล้วกัน ก็เป็นผู้ให้กำเนิดเรามาโดยทางร่างกาย ชีวิตก็เป็นชีวิตทางร่างกาย ทีนี้ถ้าเป็นเราในทางวิญญาณที่ไม่เกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งเป็นเราที่สูงขึ้นไปกว่าละเอียดลึกซึ้งขึ้นไปกว่าเป็นเราทางวิญญาณ ซึ่งเราทางจิตทางวิญญาณนี้บิดามารดาของเรานี่ก็จะได้แก่พระพุทธเจ้าหรือพระธรรมไปเสียแล้ว ทีนี้ถ้าว่าเราที่เลวทรามทางจิตทางวิญญาณนี่ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรือพระธรรม (นาทีที่11:47:5)แต่มันเป็นกิเลสตัณหาโดยเฉพาะคืออวิชชา บิดามารดาของสัตว์กิเลส3(นาทีที่11:58:0) ในทางจิตทางวิญญาณ....................เราได้มาตั้งสามบิดามารดา แล้วก็ได้สามเหล่า__(นาทีที่12:15:4) ว่ากันใหม่อีกทีก็ได้ว่าบิดามารดาตามธรรมดาเป็นคำพูดตามธรรมดาที่ให้กำเนิดเรามานี้ให้กำเนิดเราในทางร่างกายเป็นชีวิตในทางร่างกาย พระพุทธพระธรรมหรือสติปัญญาของพระพุทธเจ้า คือพระธรรมหลักคำสอนของพระองค์นี้ก็เป็นบิดามารดาให้กำเนิดเราชนิดที่เป็นเราทางจิตทางวิญญาณทางสติปัญญาของความคิดความเห็น ครูบาอาจารย์ก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้รวมอยู่ในพวกบิดามารดาชนิดนี้(นาทีที่13:08:9) ในตอนนี้เราเอาความรู้สติปัญญาไม่ว่าเป็นตัวเรา_____ (นาทีที่13:23:4)เป็นร่างกาย หรือการเกิดทางวิญญาณอีกทางหนึ่งนั้นเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเลวทรามฝ่ายต่ำ อ้ายเรา__ (นาทีที่13:37:4) มันเกิดมาจากบิดามารดาประเภทกิเลส มีอวิชชา__(นาทีที่13:45:2)เป็นบิดา แล้วก็มีตัณหาเป็นมารดา ล้วนแต่เป็นกิเลสทั้งนั้น _____[14:00] บิดามารดาตามปกติก็ให้การเกิดแก่เราครั้งเดียว เมื่อเราเกิดมาจากท้องแม่นี่ก็มีการเกิดครั้งเดียวเป็นการเกิดทางวิญญาณตั้งอยู่ตลอดเวลาจนกว่าจะเข้าโลง นี่เกิดครั้งเดียวเสร็จ แต่การที่จะเกิดเราในทางจิตทางวิญญาณเป็นคนเลวขึ้นมาโดยอวิชชาโดยตัณหานี่มีได้เรื่อยมีได้บ่อยกระทั่งมีได้วันละหลาย ๆ ครั้ง เป็นการเกิดเราชนิดนี้ขึ้นมา เมื่อใดเรามันโง่เรามันดื้อเรามันมีกิเลส แสดงออกมานี้มันเกิดเราชนิดนี้ขึ้นมา มาจากพ่อแม่ของมันคือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ให้เกิดทุกข์เกิดความทุกข์ ทีนี้การที่เราจะเกิดเป็นคนดีมีปัญญาเป็นสัตบุรุษซึ่งเป็นการเกิดทางจิตทางวิญญาณนี้ก็เกิดได้บ่อย ๆ ก่อนจะตายก็เกิดได้บ่อย ๆ ไม่รู้กี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้งกี่พันครั้ง ก็ลองคิดดูว่าเดี๋ยวเราดีเดี๋ยวเราเลวเดี๋ยวเราดีเดี๋ยวเราเลวเดี๋ยวเราดีเดี๋ยวเราเลวสลับกันอยู่อย่างนี้ กว่าจะตายมันก็เกิดนับได้เป็นร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้ง การเกิดทางร่างกายนั้นเค้าไม่บัญญัติว่าดีหรือเลวหรอก ที่เราเกิดมาเป็นคนทางร่างกายออกมาแล้วอย่างนี้เค้าไม่บัญญัติว่าดีหรือเลวบาปหรือบุญ เค้าไม่ได้บัญญัติ คือมันเป็นกลาง ๆ มันเป็นเกิดมาทางร่างกายมีชีวิต แต่ทีนี้พอจะเกิดใหม่กันโดยกิเลสชาติอริยชาตินี่มันมีการบัญญัติว่าเกิดดีหรือเกิดเลว เกิด.เกิดเป็นคนดีก็ด้วยอำนาจของธรรมะคือวิชชา ความรู้ธรรมะที่เป็นไปโดยวิชชาโดยปัญญา ที่เราเล็งเห็นพระพุทธพระธรรม เราได้เกิดจากพระพุทธพระธรรม เมื่อเรารับเอาพระพุทธพระธรรมมาปฎิบัติจนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในเรา ก็เรียกว่าเรามันเกิดใหม่โดยพระพุทธโดยพระธรรมเป็นต้น เรามีพระพุทธพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมนี้เป็นบิดามารดาของเรา ในพุทธศาสนาเราก็พูดได้อย่างนี้ ในศาสนาอื่นเขาก็พูดกันได้อย่างนี้เหมือนกัน เกิดจากพระเจ้าเกิดจากพระศาสดาเกิดจากพระธรรม พอทีถึงเราจะ.เอ้อ,พอทีมันเกิดเลวก็เกิดมาจากอวิชชาตัณหาอุปาทานซึ่งเป็นพวกกิเลสสกปรกมืดมัวเร่าร้อน เกิดได้อยู่บ่อย ๆ เหมือนกัน แม้เด็ก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ยังเกิดชนิดนี้ได้ทีนี้ก็บัญญัติเป็นเลว ตรงกันข้ามอีกทางหนึ่งซึ่งบัญญัติว่าเป็นดี ร่างกายล้วน ๆ นี้ไม่เป็นดีไม่เป็นเลว เกิดมาทีเดียวก็แตกกันเลิกกันไม่ต้องเกิดอีกจนกว่าจะตายเข้าโลง เกิดตอนนี้ไม่บัญญัติว่าดีว่าเลว ที่นี้มันจะมาเกิดซ้ำทับลงไปอีกเป็นดีหรือเป็นเลวโดยบิดามารดาต่างชนิดกันมีพระธรรม พระพุทธ พระสงฆ์ พระรัตนตรัย อะไรเป็นบิดามารดามันก็คลอดออกมาเป็นคนดีมีจิตมีวิญญาณดี เพราะสิ่งที่ตรงกันข้ามคือกิเลสตัณหา อุปาทานอวิชชา เป็นตัวต้น.ต้นตอก็เหมือนกับบิดา มันก็เกิดออกมาจากพ่อแม่ชนิดนี้มันก็เกิดออกมาเป็นคนเลว นี่เราเกิดได้ถึงสามทางอย่างนี้ ทีนี้เราเกิดออกมาทางหนึ่งแล้วมันแยกออกเป็นสองทางก็.ก็ได้เหมือนกัน เกิดมาสักว่าเป็นสิ่งที่มีชีวิตไม่ถือว่าดีว่าเลว ก็มีชีวิตมาแล้วเกิดใหม่ได้อีกโดยจิตโดยวิญญาณ เกิดเป็นคนดีโดยมีธรรมะเป็นบิดามารดา เกิดเป็นคนเลวโดยกิเลสเป็นบิดามารดา คือถ้าเณรคนไหนสำรวมดีมัธยัสต์ดีตั้งใจประพฤติธรรมะดีมันก็เกิดใหม่แล้ว เกิดใหม่โดยพระธรรมในด้านฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ ร่างกายนั้นก็คงเดิม ร่างกายเป็นเหมือนเปลือกเหมือนภาชนะรองรับหรือเหมือนที่ตั้งที่อาศัยให้มีการเกิดทางจิตใจซึ่งเกิดได้เป็นสองแฉก แฉกฝ่ายดีมันก็มีธรรมะเป็นบิดามารดา แฉกฝ่ายชั่วมันก็มีกิเลสตัณหาเป็นบิดามารดา เรามีบิดามารดาตั้งสามชนิดเพราะว่าเราเกิดมาได้สามชนิด ฉะนั้นขอให้ระวังถ้าเณรคนไหนเกิดดื้อขึ้นมา เกิดมุทะลุดุดันขึ้นมามันก็เกิดเป็นลูกยักษ์ลูกมารคือกิเลสตัณหาแล้ว มันก็มีแต่ความเสียหายไม่มีความดีความเจริญที่ตรงไหน ระวังอย่าให้เกิดชนิดนี้ ที่มันเกิดเป็นตัวกูของกูของกิเลสขึ้นมาแล้วมันก็มีแต่ความเลวร้าย แล้วก็เป็นทุกข์ทรมานเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น พูดให้ดีหน่อยเท่าว่ามันเกิดในนรกนั้นแหละ ดังนั้นถ้าเรามีสติสัมปัญชัญญะมีศีลสมาธิปัญญาเพียงพอควบคุมตัวได้ดีมันก็มีแต่จะเกิดเป็นตัวตนที่ดี คือไม่เป็นตัวกูของกูที่เลวร้าย แต่เป็นตัวตนที่ดีเป็นคนดี เป็นอริยชนเป็นคนดี เป็นอริยสาวกเป็นคนดี ซึ่งก็มีโอกาสที่จะเกิดได้ง่ายเท่ากันกับที่จะเกิดเลว บางคนเขาพูดว่าทำดีทำยากทำเลวทำง่ายนี้ไม่จริงหรอก ทำดีมันยากสำหรับคนเลว ทำเลวมันยากสำหรับคนดี และถ้าคนมันดีมันก็ง่ายสำหรับที่จะทำดี ถ้าคนมันเลวมันก็ง่ายสำหรับที่จะทำเลว ทีนี้เราก็ก่อสร้างเหตุปัจจัยที่ดีฝ่ายที่ดีมันก็ง่ายที่จะทำดี มันก็ง่ายที่จะดำเนินไปก้าวหน้าไปในทางที่ดี เราอยากจะพูดว่าการที่เธออุตส่าห์บวชระหว่างปิดภาคขวนขวายอะไรกันมาก ๆ นี้มันก็เพื่อจะให้มีการเกิดทางวิญญาณจิต แล้วก็ให้เป็นการเกิดทางวิญญาณที่ดีหรือฝ่ายดี ปิดโอกาสไม่ให้เกิดในฝ่ายเลว ถ้าเราทำได้ตลอดไปมันก็จะปิดตายเลยอ้ายประตูที่จะเกิดเลว ช่องคลอดของบิดามารดาที่จะทำให้เกิดเลวนั้นปิดตายเลย มีแต่ทางที่จะให้เกิดดี ฉะนั้นถ้าหากว่าสนใจรักษาสิ่งที่ได้ศึกษาอบรมมาปฎิบัติมานี้ให้ยังคงอยู่หรือให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ต่อแต่นี้มันก็มีแต่จะเกิดดี เกิดดียิ่งขึ้นไปทุกทียิ่งขึ้นไปทุกทีจนบรรลุมรรคผลนิพพานไปถึงที่สุดปลายทางของความดีคือเป็นพระอรหันต์ เราใช้คำว่าที่สุดของความดีในที่นี้หมายความว่าขึ้นพ้นความดีตามธรรมดาในระดับโลกออกไปนอกโลก มันเรียกว่าสุดของความดีที่สุดความดี คำพูดมันกำกวมได้ แต่เอาละเป็นอันว่าสำหรับพวกเธอที่ยังเป็นเยาวชน ยังมีการศึกษาธรรมะเพียงเท่านี้แล้วก็ยึดถือหลักพูดจาตามธรรมดาในภาษาชาวบ้านกันไปก่อน คือมีชั่วและมีดีแล้วก็มีการเกิด อย่าเอาไปปรับหรืออย่าเอาไปจับกันเข้ากับระดับสูงสุดที่ว่าไม่มีบุคคล ไม่มีการเกิด และไม่มีชั่ว ไม่มีดี อันนั้นมันเป็นตอนสุดท้ายปลายทางยังไม่ถึง ให้มันถึงจึงจะพูดแบบนั้นได้ เดี๋ยวนี้เรายังเป็นอยู่อย่างนี้ อย่างพวกสามเณรอย่างนี้ เราก็ยังต้องมีการเกิด เราจะหยุดการเกิดไม่ได้ อย่างน้อยก็มีการเกิดทางจิตทางวิญญาณนี้ แล้วก็ระวังให้ดีให้มันเกิดแต่ในฝ่ายที่ดี อย่าได้ไปเกิดในฝ่ายที่เลวที่ชั่ว
ทีนี้คำว่าบุญมันก็เป็นคู่ที่อยู่ในฝ่ายที่ดี คำว่าบาปก็อยู่ในฝ่ายที่เลว กุศลก็แปลว่าดี อกุศลก็แปลว่าไม่ดี ดังนั้นเราจึงมุ่งหวังที่จะเกิดกันแต่ในฝ่ายบุญฝ่ายกุศลหรือฝ่ายดี ให้มีการคิดดีพูดดีกระทำดี พอมีการคิดดีก็มีการตั้งต้นการเกิดดี พอมีความคิดเลวมันก็เป็นการตั้งต้นให้เกิดเลว ข้อนี้ต้องอาศัยสติสัมปชัญญะให้รู้สึกตัวทันท่วงที อย่าให้ไปเกิดเลว อย่าให้ไปพลัดตกลงไปในทางฝ่ายเลว ดังนั้นเราจึงต้องฝึกหัดเรื่องเกี่ยวกับสติสัมปชัญญะ เช่นฝึกหัดอานาปานสติ มันมีคำว่าสติอยู่ตอนท้ายนั้นแหละคือสติที่เราต้องการ นี่เราฝึกหัดโดยวิธีที่มันเกิดสติก็แล้วกัน มันมีหลายแบบแบบไหนก็ตามใจท่านให้มันเกิดสติได้ก็ใช้ได้ทั้งนั้น เราก็จะเป็นคนที่มีสติยิ่งขึ้น ไม่เผลอไม่โง่ไม่หลงไม่มืดมัวไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสตัณหา เมื่อเรามีสติมีอยู่มันก็เกิดเลวไม่ได้มันมีแต่เกิดดี นี่หมายความว่าเมื่อเธอจะลาสิกขาบทออกไปเป็นฆราวาส นี้เธอจะมีการเกิดได้ง่าย ๆ กว่าที่อยู่เป็นเณรเสียอีก เรื่องที่ต้องระวังมันก็มากขึ้น เหตุปัจจัยที่มันจี้จุดให้เกิดใหม่ทางจิตทางวิญญาณนี้อยู่เป็นนักบวชมันมีน้อย แต่เหตุปัจจัยพวกนั้นจะมีมากเมื่อออกไปเป็นฆราวาส ฉะนั้นจึงพูดกันเสียเดี๋ยวนี้ก่อนที่จะกลับออกไปเป็นฆราวาสนี้ว่าระวังให้ดี เมื่อจะกลับออกไปเป็นฆราวาสอีกนี้โอกาสที่จะเกิดเลวมันมีมาก ฉะนั้นเราต้องมีสติควบคุมตน แล้วแต่จะพูดนะควบคุมตนให้มีสติหรือควบคุมสติให้มีตน นี้ก็จึงสอนให้เป็นคนมีสติแล้วก็จะปลอดภัย ปัญหาโดยแท้จริงนั้นแก้ได้ด้วยความมีสติ ลำพังปัญญาล้วน ๆ มันมาไม่ทัน ถ้ามีสติมันจึงจะมาช่วยทันแล้วมันจะป้องกันไว้ได้ แล้วในกรณีที่จะเป็นการป้องกันก็ป้องกันด้วยมีสติทัน ในกรณีที่จะต้องแก้ไขมันก็ต้องมีสติมาทันสำหรับการแก้ไข เรามีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอดก็เพราะว่าเรามีแต่ความรู้เราไม่มีสติที่จะพาความรู้มาใช้ให้ทันท่วงที ดังนั้นเราจะมีแต่ความรู้กันอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมีพาหนะสำหรับจะพาเอาความรู้มาใช้ในกรณีนั้น ๆ ให้ทันท่วงที พาหนะอันนี้เราเรียกว่าสติ สติ ถ้าเราขี้มักเผลอสติมาไม่ค่อยทันท่วงที มันก็เป็นเพราะว่าเราเป็นคนละอายยาก เก้อยากคือมันหน้าด้านนั่นเองมันไม่รู้จักละอาย ถ้ามันรู้จักละอายละอายได้โดยง่ายไม่เป็นคนหน้าด้านคือมันละอายง่ายมันก็กลัวมาก ฉะนั้นนั้นมันก็เผลอยาก นี้คือการ(นาทีที่32.15) ที่จะต้องใช้อ้ายความละอายกับความกลัวเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้เผลอสติทีหนึ่ง ความละอายเขาเรียกว่าหิริ ความกลัวเขาเรียกว่าโอตัปปะ กลัวความเลวทรามด้วยตนเองนี่เขาเรียกว่าหิริ ให้ละอาย.ละอายต่อความชั่วความเลวทรามด้วยตนเองนี้เขาเรียกความละอายนั้นว่าหิริ ฉะนั้นกลัวความชั่วความเลวนี่เรียกว่าโอตัปปะ ซึ่งเราจงสังเกตดูว่าเพื่อนของเราบางคนนั้นมันไม่มีหิริโอตัปปะเลย เราคบกันไม่ได้ มันไม่ละอายความชั่วมันไม่กลัวความชั่วมันทำอะไรชั่ว ๆ ก็ได้ นั้นเป็นสัตว์อันตรายเราอย่าเข้าไปใกล้ แล้วทีตัวเราเองก็อย่าเป็นอย่างนั้นด้วยเดี๋ยวจะไม่มีใครเข้าใกล้เรา เราเป็นคนที่มีหิริโอตัปปะให้ดีเราก็ชั่วไม่ได้ เราก็เผลอสติไม่ได้แล้วเราก็ชั่วไม่ได้ เราคิดอะไรทำอะไรก็เป็นไปแต่ในทางดีเสมอ ดังนั้นเราจึงเกิดดีอยู่เสมอทุกวันทุกวันทุกวันวันละมาก ๆ เกิดดีเกิดเป็นคนดี ไม่ต้องเกิดจากท้องแม่อย่างธรรมดา มันเกิดได้ด้วยท้องแม่คือพระธรรมของพระพุทธเจ้า ก็มีคำเรียกอยู่คำหนึ่งในฝ่ายอื่นพุทธศาสนาฝ่ายอื่นนิกายอื่นเขาเรียกว่า ตถาคตคัพภะ ตถาคตครรภ์ (นาทีที่34:36:2) ครรภ์สำหรับเกิด ครรภ์หรือคัพภะ ครรภ์แห่งตถาคต เราเกิดในครรภ์แห่งตถาคตคือมดลูกแห่งความดีเรียกว่า ตถาคตคัพ(นาทีที่34:58:2) ถ้าเป็นบาลี ตถาคตครรภ์(นาทีที่35:04:6) ครรภะนี่เป็นสันสกฤต เราเกิดในตถาคตคัพ(นาทีที่35.10:4)คือมดลูกแห่งความดีเกิดจากพระตถาคต ตถาคตในที่นี้หมายถึงพระอรหันต์ทั่วไปรวมทั้งพระพุทธเจ้าด้วย ทุกวันทุกวันถ้ามีการเกิดทางจิตทางวิญญาณก็ขอให้มันเกิดออกมาจากตถาคตครรภ์ ตถาคตคัพ(นาทีที่35:30:8) มดลูกของพระตถาคต
ที่พูดเผื่อกันไว้ว่าลาสิกขาออกเป็นฆราวาสแล้วมันจะต้องมีการเกิดง่าย ระวังให้เกิดแต่ในฝ่ายดีอย่าไปเกิดในครรภ์ของยักษ์ของมารภูตผีปีศาจเลย เกิดอยู่แต่ในครรภ์ของตถาคต เกิดจากพระธรรม มันก็เป็นการเกิดดีเป็นคนดี ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ดีอย่างโน้นดีทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่ดีไปหมด ไม่ว่าจะมองกันในแง่ไหนมันก็ดีไปหมด นี่เรามีบิดามารดาอย่างนี้สำหรับเกิดดี เกิดจากธรรมพระธรรมก็เกิดออกมาเป็นธรรมประกอบอยู่ด้วยธรรม นี้ก็เป็นดีทั้งนั้นแหละที่ปลอดภัย ดังนั้นมันจะไม่เป็นบุตรที่เลวของบิดามารดาอีกต่อไป จะไม่เป็นศิษย์ที่เลวของครูบาอาจารย์อีกต่อไป จะไม่เป็นเพื่อนที่เลวชกต่อยกันบ่อย ๆ อีกต่อไป โตขึ้นก็จะไม่เป็นพลเมืองเลวของประเทศชาติ จะไม่เป็นสาวกที่เลวของพระศาสนา ปํญหามันก็หมดหมดสำหรับการเกิดมา นี่ถ้าเกิดมาถูกต้องเกิดมาดีแล้วก็เจริญงอกงามดียิ่งขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งความดี เป็นการบรรลุมรรคผลนิพพานในที่สุดหรือจะเรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้าชนิดใดชนิดหนึ่งเสียเองก็ได้อย่างนี้ก็มี ถ้าเราได้บิดามารดาอย่างนี้มีแต่เกิดดีอย่างนี้น่ะหมดปัญหา หมดปัญหาทุกอย่างที่.ที่เคยเป็นปัญหา ไม่เป็นบุตรที่เลวไม่เป็นศิษย์ที่เลวไม่เป็นเพื่อนที่เลวไม่เป็นพลเมืองที่เลวไม่เป็นสาวกที่เลว นี่ก็เป็นคนที่มีสถาบันอันแท้จริงอันถูกต้องของชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ตั้งมั่นอยู่บนจิตใจอย่างไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ทุกอย่างก็เป็นไปเพื่อปลอดภัยทั้งแก่เราเองและสังคม ถ้าโลกมันเป็นได้อย่างนี้ทั้งโลกนี้ก็จะงดงามน่าอยู่ น่าอาศัย ก็คิดว่าจะพูดแต่เรื่องเดียวนี้ข้อนี้คือเรื่องว่าเราจะมีการเกิดที่ดีแล้วก็มีบิดามารดาชนิดที่ทำให้มีการเกิดดี เกิดจากบิดามารดาโดยทางร่างกายหรือชีวิตทางร่างกายนี้จะต้องดีเอามาทำให้มันดี ทำเป็นบุตรที่ดีรู้จักบุญคุณของบิดามารดา บุตรน่ะ(นาทีที่39:32:4)บวชเณรโปรดแม่บวชพระโปรดพ่อนี่เป็นหลักที่เขาถือกันมาแต่โบราณกาล ฉะนั้นเราเกิดมาจากท้องบิดามารดาทีหนึ่งแล้วเมื่อมาเกิดโดยอริยชาติโดยตถาคตคัพ(นาทีที่39:53:2)เป็นพระเณรที่ดีทีหนึ่งแล้วก็กลายเป็นเกิดมาดีทีนี้ แล้วก็สนองพระคุณของบิดามารดาที่บ้านที่เรือนให้ได้รับผลดี สนองพระคุณของบิดามารดาในฝ่ายพระศาสนาคือพระพุทธเจ้านี้ด้วยการกระทำดี ด้วยการกระทำให้ตรงตามพระพุทธประสงค์ นี้เรียกว่าสนองคุณของบิดามารดาที่ดี ส่วนบิดา.บิดามารดาที่เลวกิเลสตัณหายักษ์มารเหล่านั้นอย่าไปต้องสนองคุณมันเลย เพราะเราไม่ต้องการจะเกิดจากบิดามารดาชนิดนั้น และเราก็ไม่เกิดอีกต่อไป เราไม่ได้มีหน้าที่ที่จะสนองคุณบิดามารดาที่เป็นกิเลสตัณหาหรือเป็นยักษ์เป็นมาร เธอทำหน้าที่ถูกต้องแล้วกลับจะต้องฆ่าบิดามารดาชนิดนั้นไปเสียอีก เพราะฉะนั้นถ้าเธอได้ยินคำกล่าวบางคำที่มันกล่าวอย่างพิเศษให้.ให้ฆ่าบิดามารดาเสียนั่นก็หมายถึงให้ฆ่าบิดามารดาเลวคือกิเลสตัณหาอวิชชาที่เป็นบิดามารดา แล้วให้เป็นคนอกตัญญูด้วย คืออกตัญญูต่อบิดามารดาชนิดนี้ คำพูดนี้เป็นคำบาลีมีเป็นอยู่ในรูปพระพุทธภาษิตก็มี มาตรํ ปิตรํ หฺนตวา(นาทีที่41:45:4)ฆ่ามารดาบิดาเสีย อกตญฺญูสิพฺราหฺมณ(41:51:9)แล้วเป็นคนอกตัญญูเถิดพราหมณ์อย่างนี้เป็นต้น ถ้า.ถ้าพูดอย่างนี้ก็หมายความว่าบิดามารดาฝ่ายเลวที่จะให้การเกิดอย่างเลวก็คือกิเลสตัณหา เรียกอย่างอุปสมาทิษฐาน(42:10:9) ก็เรียกว่ายักษ์ว่ามารว่าปีศาจร้ายหรือว่าแล้วแต่จะเรียก เราไม่ยอมเกิดมาจากอ้ายสัตว์ชนิดนั้นซึ่งเราไม่มีหน้าที่ที่จะไปสนองคุณอ้ายสัตว์ชนิดนั้น ถ้าเผอิญมันทำถ้าเผลอไปเกิดมาจากสัตว์ชนิดนั้นจากบิดามารดาชนิดนั้นเป็นคนเลวเข้าสักครั้งหนึ่งก็สนองคุณด้วยการฆ่าบิดามารดาเสีย ฆ่ากิเลสตัณหาหมดแล้วก็เลิกเกิดฝ่ายเลวฝ่ายชั่ว มีแต่เกิดดีก็บรรลุมรรคผลนิพพาน ขอให้เธอถือเป็นเครื่องเตือนใจไว้ว่าเรายังจะต้องเกิดอีกมาก นี่กว่าจะเน่าเข้าโลงไปแล้วยังต้องเกิดอีกมาก เกิดในทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ เกิดให้ดี ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆๆๆ ยิ่งขึ้นไปถึงที่สุดแห่งความดีนั้นคือการบรรลุนิพพานก็ไม่มีการเกิดอีกต่อไป เพราะว่านิพพานนี้เป็นที่สิ้นสุดของการเกิด เป็นที่สิ้นสุดของกรรม เป็นที่สิ้นสุดของความดีความชั่ว
เอาละพอกันที จำไว้ให้ดีว่าวันนี้ฉันพูดถึงเรื่องพ่อแม่คือบิดามารดาที่เราจะต้องรู้จักไว้ประพฤติให้ถูกต้องให้สมควร แล้วก็ควรจะสนองพระคุณบิดามารดาในวิถีทางที่ถูกต้อง ว่าเราจะเกิดมาจากบิดามารดาที่มีประโยชน์ เกิดทางกายจากบิดามารดายังไม่เป็นดีเป็นชั่ว แต่มันก็มีประโยชน์สำหรับมีชีวิตซึ่งจะเป็นที่ตั้งที่รองรับของธรรมะเพื่อการเกิดดีอีกต่อไป ถ้าไม่มีร่างกายที่เป็นเหมือนเปลือกเหมือนภาชนะนี้แล้วมันก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ มันก็ไม่มีเรื่องอะไร ถือว่ามีชีวิตมีร่างกายอยู่นี้สำหรับเป็นพื้นฐานเป็นที่รองรับสำหรับจะกระทำต่อไป เกิดต่อไปก็กระทำไปเกิดไปแต่ในทางที่ดี ก็ได้ชื่อว่าได้มาแล้วได้เกิดมาดีไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนา ซึ่งได้ชี้แจงอะไรต่าง ๆไว้อย่างครบถ้วนแล้ว เหลืออยู่แต่ว่าเราจะทำตามคำแนะนำนั้นไม่มีใครมาช่วยทำแทนเราได้ เพราะว่าใครทำคนนั้นมันก็ได้รับ พอทำดีมันก็ดีแล้วทำเลวมันก็เลวแล้ว หรือว่าพอทำดีมันก็เกิดดีแล้วพอทำชั่วมันก็เกิดชั่วแล้วไม่จำเป็นว่าจะต้องได้สรรเสริญเยินยอได้เงินได้ของได้รางวี่รางวัลอะไรที่ไหนอีก พอทำดีมันก็ดีพอทำชั่วมันก็ชั่วมันไม่ต้องมีการได้อีกหรอก อ้ายคนที่พูดว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนั้นมันพูดผิด ๆ เพราะตามหลักของธรรมะแล้วมันต้องพูดว่าทำดีก็ดีทันทีไม่ต้องมีได้ ทำชั่วก็ชั่วทันที ไม่ต้องมีการได้ดีได้ชั่วอะไรที่ไหน ถ้าว่ามันทำด้วยจิตที่เลวระบบกระทำนั้นก็ได้บัญญัติแล้วว่าเลว พอไปทำเข้ามันก็เลวไม่ต้องรอว่าจะได้ที่ไหนเมื่อไรอีก เมื่อระบบการกระทำอันนี้เรียกว่าเป็นระบบการกระทำดีทำไปด้วยจิตดี พอทำเสร็จมันก็ดีไม่ต้องรอว่าให้ได้ดี ถ้าพูดภาษาอภิธรรมสักหน่อยก็พูดว่าขณะจิตที่ถัดมานั้นน่ะคือการ.การได้ ขณะจิตนี้ทำเลวลงไปขณะจิตถัดมาก็เป็นการได้ที่เลว ขณะจิตนี้ทำดีขณะจิตถัดมาก็เป็นการได้ที่ดี ปฏิสนธิดีด้วยจิตนั้นคือมันเกิดจิตดีจิตเลวขึ้นมา จะพูดเสียใหม่มันจะไม่.ไม่กำกวมว่า ทำดีดี ทำเลวเลว ทำดีดี ทำชั่วชั่ว ไม่ต้องพูดว่าได้ดีได้ชั่ว มันไม่ต้องได้ เพราะมันดีเสร็จแล้วทันควันเลย มันเป็นขณะจิตที่ติดต่อกัน เมื่อได้ทำลงไปโดยกายวาจาใจอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสามอย่างอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้นเสร็จไปแล้ว มันเป็นดีหรือเป็นชั่วเสร็จไปแล้ว ทีนี้ผลที่จะได้ตามมาเป็นเงินเป็นทองเป็นข้าวเป็นของเป็นชื่อเสียงเป็นเกียรตินั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง มันเป็นผลพลอยได้ มันอาจจะได้ก็ได้ไม่ได้ก็ได้ แล้วมันได้อย่างไขว้กันหรือตรงกันข้ามก็ได้ เพราะโลกนี้มันเต็มไปด้วยความหลอกลวงคนโง่ไม่รู้เท่าทันข้อนี้ก็ไปเข้าใจว่าทำดีได้เลวได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีคนนั้นทำดีจะตายไม่เห็นมันรวย คนนี้ทำเลวอยู่มันก็รวยอย่างนี้มันก็ผิดหมด มันก็โง่มากกว่าเดิม ทีนี้มันก็ทำเลวทำชั่วมากกว่าเดิม คือมีแต่เกิดเลว.เกิดเลว.เกิดเลว.เกิดเลวยิ่งยิ่งขึ้นทุกทีจนเลวอยู่ก้นอเวจีโลหะกุมภีนรกโน้น เมื่อมีจิตที่เลวอย่างนั้นมันก็เกิดอย่างนั้น มันก็เกิดเป็นสัตว์นรกอันดับสูงอันดับสุด.สุด สูงสุดอันดับต่ำสุด นี่พวกเณรให้จำพ่อแม่สามชุดนี้ไว้แล้วก็เลือกเกิดแต่พ่อแม่ที่ดี อ้ายพ่อแม่ทางร่างกายนี้มันเสร็จไปแล้วไม่มีอีก เพราะเกิดมาแล้วเสร็จแล้วทีนี้พ่อแม่ทางจิตมีอยู่สองแฉก ก็เลือกเอาแต่แฉกที่ดี อีกฝ่ายหนึ่งเลวนั้นปิดอุดให้มันตันเลยให้ท่อมันตันเลยอย่าให้มันเกิดได้ ต่อไปนี้ก็มีแต่เกิดดีจากบิดามารดาที่ดีคือพระธรรมที่รวมพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยรวมพระสงฆ์อยู่ด้วยรวมอุปัชฌาย์อาจารย์ครูบาอาจารย์อะไรอยู่ด้วย เช่นเราเป็นฆราวาสมาเป็นพระเป็นเณรนี้เขาก็เรียกว่าเกิดเหมือนกัน เกิดโดยอริยชาติเกิดโดยธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าก็จึงมาเกิดเป็นพระเป็นเณร แต่นี่ก็ยังไม่เท่าไรต้องประพฤติธรรมให้ยิ่งสูงไปกว่านี้จนเกิดเป็นอริยเจ้า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ในที่สุด แล้วก็หยุดเกิดกันที
วันนี้ตั้งใจจะพูดเพียงเท่านี้ พูดเพียงเรื่องพ่อแม่สามชนิด ก็มีการเกิดสามชนิด เรายึดถือเอาแต่เรื่องการเกิดดีจนกว่าจะถึงที่สุดไม่ต้องมีการเกิดอีกต่อไป หลักเกณฑ์อันนี้จะคุ้มครองพวกเธอได้แต่ต้นจนตลอดชีวิตเป็นแต่เป็นไปแต่ในทางที่เป็นสวัสดีมงคล เอาละพอกันที(นาทีที่51:00)
(เริ่มมีเสียงอีกนาทีที่51:15:8) ก็เธอไม่รู้จักสิถ้าอย่างนั้นตัวอวิชชาเป็นพ่อแม่ที่เลว ตัณหาเป็นพ่อแม่ที่เลว อวิชชาเป็นพ่อที่เลว ตัณหาเป็นแม่ที่เลว ก็ฆ่าอวิชชาตัณหาเสียด้วยอะไร เขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม เรียกอาวุธคือปัญญา เธอรู้จักพ่อแม่ที่เลวรู้จักไหม อ้อ,รู้จักแล้วก็เคยเกิดมาแล้ว ก็เคยเกิดมาจากพ่อแม่ที่เลวมาแล้วจึงรู้จัก อย่าเกิดอย่างนั้นอีกก็เหมือนกับฆ่ามันเสีย อย่าให้มีโอกาสอย่างนั้นอีกก็เท่ากับฆ่าไปเหมือนกัน