แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การบรรยายสำหรับภิกษุหนุ่มและสามเณรลูกคนเมืองตำปรื้อครั้งที่ ๕ จะพูดเรื่องบวชกับไม่บวชต่างกันตรงไหน หัวข้อชนิดนี้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันง่ายหรือต่ำเกินไป แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องต่ำเกินไป มันเป็นเรื่องต่ำในทางพูดแต่เป็นเรื่องสูงในทางที่จะปฏิบัติ เรามีปัญหาซับซ้อนกันอยู่ในนี้หลายอย่าง ฉะนั้นพวกเราก็จะช่วยกันกู้เกียรติของเมืองตำปรื้อนี่ ต้องช่วยกันระวังให้ดีๆ ให้มันสำเร็จประโยชน์ อาศัยการบวชนี้เป็นเครื่องมือ ที่จะให้เป็นผู้สามารถกู้ฐานะของเมืองตำปรื้อ ต่อสู้ไอ้พวกที่มันเรียกเราว่าคนเมืองตำปรื้อนี้ให้มันชนะ เราเห็นว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา พูดอย่างชาตินิยมคือคนเมืองตำปรื้อ ไอ้เรื่องชาตินิยมนี้เขาว่าไม่ดี ถ้าถือผิดๆ มันก็ไม่ดี แต่ถ้าถือถูกมันก็ดีเหมือนกัน มันเป็นเรื่องที่ว่าเกลือรักษาความเค็ม ถ้าพูดอย่างภาษานักเลงเขาว่าอย่าให้มีใครลูบคมได้ ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมะก็ เกลือรักษาความเค็ม เป็นสมณะพึงรักษาคุณแห่งความเป็นสมณะ ดุจเกลือรักษาความเค็มของเกลือฉันใดก็ฉันนั้น ไอ้เมืองตำปรื้อนี้มันไม่ได้เค็มเฉพาะเรื่องนักเลงหัวไม้หรือไอ้หัวหมออะไรอย่างนั้น แต่มันเค็มในทางที่ว่าเคยมีธรรมะเคยมีศาสนาเจริญรุ่งเรือง พวกเธอจะไม่รับผิดชอบเพราะไม่สนุก ไอ้เราก็ไม่ยอม ถึงไม่สนุกก็ต้องพยายามต้องรับผิดชอบ อย่าคิดแคบๆ เห็นแก่ตัวเอาตัวรอดก็แล้วกัน ไอ้ ไอ้เกียรติของบ้านของเมืองช่างหัวมัน อย่างนี้ไม่ถูก ไม่สมกับเกิดเมืองตำปรื้อ เรามาเกิดในเมืองที่เขาดูถูกแล้วเราก็ต้องแก้ แก้ลำอย่าให้เขามาดูถูกได้ เราต้องแก้ลำให้ยักหงายขวิดตุงไปเลย ยักหงายขวิดตุงชาวบางกอกฟังไม่เข้าใจไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ภาษาของเรามันดีอย่างนี้ให้จำไว้ พูดว่า อยู่เครง ชาวบางกอกไม่รู้ว่าอะไร ทีนี้เราจะเอา เอาดีหรือเอาชนะทางอื่นไม่ได้ จะเอาทางรวยทางเก่งทางสวย เรา เราเอาชนะไม่ได้ เรามีทางเดียวชนะคือให้มันดีในทางธรรม ดีในทางพระธรรม ไอ้นี่มีทางชนะได้ เช่นเดียวกับว่าเวลานี้ถ้าเราจะชนะฝรั่ง ทางอื่นไม่มีทางชนะมันได้มันไปโลกพระจันทร์ก็ได้เราไปไม่ได้ ทางอื่นเราชนะไม่ได้แต่ว่าถ้าทางธรรมเรายังชนะอยู่แหละ เราฟื้นฟูไอ้ความก้าวหน้าในทางธรรมของเรามาให้พอนะ แล้วก็มีทางชนะฝรั่ง ให้ฝรั่งมาของ้อได้ ทางอื่นมันไม่มี นี่มันเป็นสิ่งที่ได้ทำมาแล้วและกำลังทำอยู่ เหมือนกับพวกเราอยู่กันที่นี่ทางอื่นหามีไม่ที่จะสวยจะเก่งจะอะไร หามีได้ไม่ หาสู้เขาได้ไม่ แต่ว่าไอ้ทางธรรม อุตส่าห์ทำและสู้มันไปได้ ทีนี้เรามันก็ต้องบวชจริงเรียนจริงกันแหละให้มันมีของจริงส่วนนี้จึงจะสู้เมืองอื่นสู้ฝรั่ง ชาตินิยมอย่างนี้มันไม่เป็นไรมันทำให้เราดีขึ้นไม่ใช่เลวลง เราไม่ต้องการจะไปข่มเหงเขานี่ เราต้องการให้เรามีอะไรที่เขาดูถูกไม่ได้เท่านั้น ตามหลักธรรมะในพุทธศาสนาไม่ผิดกลับจะถูก ไอ้ชาตินิยมชนิดบริสุทธิ์อย่างนี้ไม่ผิดหลัก ธรรม ไอ้ชาตินิยมที่จะไปข่มเหงเพื่อนผิดหลักธรรมเป็นอันธพาล ชาตินิยมที่ว่ารักษาเกียรติรักษาอะไรของตัวเอาไว้ให้ได้ดีที่สุดนี่มันไม่ผิด ละมานะด้วยมานะ หมายความว่าเมื่อคน คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ เมื่อคนอื่นเขามีอะไรดีเราต้องทำให้ดีได้ เมื่อคนอื่นเป็นพระอรหันต์ได้เราก็ต้องเป็นได้ นี่มีมานะอย่างนี้เขาก็เรียกว่าไม่ผิด ในเบื้องต้นมันจะต้องทำกันแบบนี้ แล้วเบื้องปลายค่อยละให้หมด ไม่เอาอะไรไว้ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาเรื่องบวช ผิดจากไม่บวชตรงไหน ปัญหาแรกมันมีอยู่ว่าคนมักจะสงสัยว่าเราบวชแล้วเรียนอย่างบวชแล้วมันก็ได้ผล แต่พอเราสึกออกไป มันไปอยู่คนละแบบคนละเรื่อง แล้วไอ้ที่บวชจะเอาไปใช้อะไรได้ หรือบางทีมีปัญหาแคบเข้ามาว่า อยู่สวนโมกข์ทำได้ง่าย พอไปอยู่บางกอกทำไม่ได้ ไอ้เรื่องที่พูดจาหรือปฏิบัติอะไรที่สวนโมกข์ทำได้ทำง่าย พอไปอยู่บางกอกมันเต็มไปด้วยสิ่งยั่วยวนอย่างอื่น ทำไม่ได้ แล้วก็ป่วยการที่จะมาศึกษาฝึกฝนเรื่องแบบอยู่ในป่า นี่มันเข้าใจผิดแหละ การที่มาอยู่ในป่านี่เพื่อจะศึกษาให้มันถึงขนาด แล้วกลับเอาไปในเมืองเอาชนะได้ง่ายๆ หลักเกณฑ์ที่ปฏิบัติมันไม่เหมือนกันโดยตรงก็จริงแต่มันยังเอาไปใช้กันได้ เช่นอยู่ที่นี่ไม่มีสังคม พอไปอยู่กรุงเทพฯ มีสังคม แล้วจะปฏิบัติให้เหมือนกันได้อย่างไร นี่เราจะต้องรู้ไว้ว่า เรามาหาวิธีชนะสังคมไม่ให้ ไม่ให้สังคมครอบงำเราได้ เราไปอยู่ที่เมืองหลวงไอ้สังคมบ้าๆ บอๆ มันครอบงำเราไม่ได้ การที่เราอยู่ที่บางกอกเรามันถูกครอบงำจนเราโงหัวไม่ขึ้น คราวนี้เราหลีกมาชั่วคราว เรามาค้นหาวิธีที่จะเล่นงานมัน ด้วยการบวช ด้วยการเรียน ด้วยเรียนคาถาอาคมอะไรก็ตามใจ ถ้าพูดอย่างสมมตินะเอาไปเล่นงานมัน เหมือนจะไปรบยักษ์ ก็ต้องแอบไปหาฤาษี ไปศึกษาวิชาความรู้อะไรให้มันเพียงพอแล้วก็ออกไปเมืองยักษ์ไปฆ่ายักษ์ นี่เราก็แอบมาหาพระพุทธเจ้าหาร่มเงาพระพุทธเจ้า ศึกษาวิชาความรู้เหมือนกับไปหาฤาษี พอ พอปัญญาสติปัญญาการศึกษามันพอแล้วก็ ออกไปเมืองยักษ์ไปฆ่ายักษ์ เธอตั้งใจอย่างนี้นะถูกแล้ว อย่าตั้งใจแคบๆ ว่า โอ้ย, ระหว่างบวชไม่รู้ทำอะไรเข้ามาเรียนพุทธศาสนาออกไปจะได้คะแนนบ้าง ในการสอบไล่การเรียนนี้อย่างนี้มันแคบ แล้วบางทีจะเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวไม่ทันรู้ เราอย่าทำเพื่อตัวเรา โดยมุ่งหมายเพื่อตัวเราอย่างเดียว เราต้องคิดว่าทั้งหมดเพื่อทั้งหมด บวชนี้หัดทำเพื่อทำลายตัวเรา แล้วเห็นแก่ผู้อื่น ให้บวช บวชนี่นะ ฟังให้ดี เป็นการปฏิบัติฝึกฝนเพื่อเห็นแก่ผู้อื่นอย่าเห็นแก่ตัวเรา ถ้าเห็นแก่ตัวเราเดี๋ยวกิเลสมาท่วมหัวท่วมหูเลยแหละ หัดเห็นแก่ส่วนรวมที่กว้างๆ ไว้ก่อนเห็นแก่สัตว์ทั้งปวงเห็นแก่ศาสนา นั่นนะดีและปลอดภัย อย่าคิดเหมือนเด็กๆ ว่ากู ของกู ของกูเท่านั้นอะไรอะไรของกู หาถูกไม่ นี่กลัวว่าภิกษุหนุ่มและสามเณรจะคิดกันในรูปนี้เสียหมด เพื่อตัวกูคนเดียว อย่างน้อยเพื่อบ้านเราทั้งหมด ปักษ์ใต้เมืองตำปรื้อหลายจังหวัด เพื่อเมืองตำปรื้อไว้ก่อน อย่าเพื่อตัวกูคนเดียว ถ้าใครเคยคิดว่าเพื่อตัวกูคนเดียวรีบละเสีย ละเสียที เห็นแก่เมืองตำปรื้อก่อน แล้วค่อยเห็นแก่ทั้งประเทศเห็นแก่ทั้งโลกไปเรื่อยๆ คนที่ไม่เคยบวชนี่มัน มันก็เหมือนกับไม่เคยไปอยู่กับฤาษี และก็ไม่มีศิลปศาสตร์ที่จะฆ่ายักษ์ ไอ้เรื่องบวชนี้ถึง ก็ต้องดีแน่ ถึงว่าไม่บวชตลอดชีวิตก็เถอะ มันก็มีศิลปศาสตร์สำหรับฆ่ายักษ์ ไอ้ฆ่าวัตถุนิยมหรือว่าไอ้ฆ่าไอ้เหยื่อของกิเลสมา มาล่อลวงเรา แล้วนี่ยังมีมากกว่านั้น เราจะรู้จักเรื่องทุกๆ เรื่อง เรื่องชีวิตจิตใจนี้ดีขึ้น ฉะนั้นบวชมันจะผิดจากไม่บวชแหละ อย่าเข้าใจผิดว่า เอ้า, นี่อยู่บวชอยู่อย่างนี้มีแต่ต้นไม้ ต้นไร่มีแต่ความเงียบสงัด ทำให้อยู่สบาย พอออกไปอยู่กลางดงของโลกแล้วก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ เข้าใจผิด ให้คิดเสียใหม่ว่ามาหาความรู้ไม่ใช่ไปต่อต้านไอ้พวกนั้นแหละ เธอคิดให้กว้างก็จะสำเร็จ ไอ้บวชเดือนสองเดือนนี่ก็จะสำเร็จประโยชน์ เรียนสิ่งซึ่งมันเรียนไม่ได้ ในเมื่อไม่บวชหรือมันไม่สะดวกที่จะเรียน มันไม่ได้ชิมของจริง เช่นทำความวิเวกอย่างนี้ มันไม่เคยแล้วมันก็ไม่รู้จักความวิเวก หรือว่าบวชทำลายความเห็นแก่ตัว ตัวกูนี่ มันทำง่ายกว่าอยู่ที่บ้าน หรือแม้แต่อยู่ที่โรงเรียน อยู่ที่บ้านทำยากอยู่ในโรงเรียนก็ยังทำยาก อยู่บ้านมาอย่างนี้มันทำง่าย มันเข้าใจได้ง่ายว่าความไม่มีตัวกูความไม่เห็นแก่ตัวกูมันเป็นอย่างไร เรามันชอบแหละ พอชอบแล้วมันก็จะ มันก็ทำง่ายขึ้นทุกที แล้วเราก็รู้อะไรกว้างขวางกว่าไม่เคยบวช เรื่องเกี่ยวกับจิตใจ ถ้าอย่างนั้นเราจะรู้แต่เรื่องจิตใจที่แคบๆ เห็นแก่ตัวเห็นแก่เล่นเห็นแก่หัว แล้วก็เห็นแก่เกเร เป็นอันธพาลในโรงเรียนไม่เรียนจริง ถ้ารู้ตัวว่าไม่เรียนจริงใครก็บังคับให้เรียนจริงไม่ได้ แล้วก็คิดหาทางออกโดยเอา เอา เอาตัวรอดโดยความเป็นอันธพาล ก็เลยเป็นหัวโจกอันธพาลอยู่ในโรงเรียนในที่สุดมันก็ มันก็ล้มละลายแตกกระจาย เหมือน เหมือนเอาไข่ไปกระทบหิน เราคิดว่าจะเอาชนะความชั่วเหมือนเอาไข่ไปกระทบหินลองดู ใคร ใคร ใครเอาไปกระทบหินให้หินมันทลายไปเสีย นี่ความเป็นอันธพาลของเด็กนักเรียนในโรงเรียนในมหา เอ่อ, ในวิทยาลัยในมหาวิทยาลัยมันมีอย่างนี้ แล้วเวลามันก็ล่วงไปล่วงไปแล้วก็หมดเวลา ก็จะทำอะไรให้ดีได้มากสักนิด ทีนี้ก็หันมาหาบวชให้ช่วยให้รู้ให้ลืมหูลืมตากว้างออกไปแก้นิสัยเกเรนิสัยแบบที่มัน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นั่นน่ะเสียให้หมด จึงจะชื่อว่าบวชดีกว่าไม่บวช ทีนี้จะพูดถึงเรื่องบวชดีกว่าไม่บวชให้มันชัดขึ้นไปอีก คำว่าบวชนี้มันกำกวม อย่างเธอก็ควรรู้ไว้เสียเลยในฐานะที่เป็นนักเรียนภาษาศาสตร์อักษรศาสตร์รู้คำว่าบวชไว้เสียให้ดีๆ มันมีความกำกวมสับปลับอยู่ในภาษาที่พูด ในกรณีนี้หมายความอย่างหนึ่งในกรณีอื่นหมายความอย่างอื่นที่ขัดกันเลยก็มี ถ้าเธอถูกเขาบวชหมายความว่าเธอ เธอถูกต้มไม่ใช่เหรอ ภาษาเมืองตำปรื้อของเรา มันบวชกูแล้วโว้ย นี่มันหมายความว่ามันต้มเรา ไอ้บวชอย่างนี้มันไม่ไหว ถ้าถูกบวชอย่างนี้ไม่ไหวแน่ มันต้มกู ถ้า ถ้าเราบวช บวชจริงๆ มันก็ไหวแหละ แต่ถ้าบวชชนิดเพื่อนต้มมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ภาษามันสับปลับอย่างนี้ คำว่าบวชบางทีใช้ได้บางทีใช้ไม่ได้ บวชเหมือนกล้วยบวชชีอย่างนี้ก็ไม่ไหว กล้วยบวชแกงบวดมันไปอีกอย่าง มันยุ่งภาษาสับปลับ ถ้าเธอเข้าใจทัน ทันกับคำภาษาสับปลับการเรียนอะไรง่ายหมดแหละ เรียนๆๆ ในโรงเรียนโลกๆ ก็ง่ายเรียนธรรมะก็ง่าย เช่นคำว่าบวชนี้มี ๒ อย่าง อยู่แบบนี้ เลวก็มี ดีก็มี คำว่า ชี ในบางกรณีหมายถึงยายชี บวชชีผู้หญิงในบางกรณีหมายถึงผู้ชาย พระผู้ชาย เคยอ่านพบในหนังสือวรรณคดี คำว่าชีหมายถึง ชีบานาต้น ชีต้นอาจารย์ นี่หมายถึงผู้ชายทั้งนั้น ชีต้นแล้วก็หมายถึงอาจารย์ อุปัชฌาย์เลย ไม่ใช่แม่ชีคำว่าชี นี่เขาเรียกความสับปลับของภาษา บางทีชีหมายถึงขาว บวชชีกล้วยบวชชี แม่ชีหมายถึงสีขาว แต่ชีต้นอาจารย์หมายถึงสีแดงสีเหลืองสีกรักไปเลย นี่ยกตัวอย่างให้เห็นนะว่าให้ระวังให้ดีความสับปลับของภาษากำกวมมีมากมาย เรามันไม่รู้เรื่องนี้ก็เลยงงไปหมดไม่รู้บวชดีหรือไม่ดี ไม่รู้ว่าบวช ไม่บวชผิดกันอย่างไร ภาษาบาลีพอมาเป็นภาษาไทยมันเลือนมันเปลี่ยนมันเลือน ความหมายตรงกันข้ามก็มี คอยสังเกตให้ดีๆ เถอะ เช่นคำว่า วิเศษ อย่างนี้กับคำว่า พิเศษ นี่มันไม่เหมือนกันแหละ เป็นวิเศษในภาษาบาลีเขาหมายถึงแปลกหรือวิเศษจริง ภาษาไทยพิเศษกลายเป็นว่าไม่ดีก็ได้ ไม่ต้องดีก็ได้ เช่น พิเศษ มันเลวพิเศษก็พูด ทีนี้พิเศษก็หมายความว่ามันสำหรับไอ้อีกพวกหนึ่งต่างหาก แต่คำว่าพิเศษมาจากวิเศษ วิเศษแปลว่าดีที่สุด หรือว่าคำว่าวิเศษกับคำว่าพิเศษนั้นมันภาษาบาลีมันคำเดียวกัน แต่ความหมายมันต่างกัน วิเศษแปลว่าวิเศษที่สุด แต่พิเศษหมายความว่ามันต่างจากเพื่อนก็แล้วกัน จะดีหรือเลวไม่รู้มันต่างจากเพื่อนก็แล้วกัน คำว่าพิภพในภาษาบาลีก็หมายถึงไม่มี ไม่มีภพ ในภา พิภพในภาษาไทยหมายถึงโลก โลกทั่วๆ ไป ภาษามันหลอกลวง จะกล่าวถึงพระอภัยจอมไตรภพอย่างนี้ ภาษาที่หลอกลวง โกหกตลบตะแลงที่สุด คนเหมือนพระอภัยจะเป็นจอมไตรภพได้ยังไง ไตรภพคือกามภพ รูปภพ อรูปภพ ฉะนั้นพระอภัยเหมือนกับคนบ้าอยู่ในกามภพ แล้วจะเป็นจอมไตรภพทั้ง ๓ ภพได้ยังไง ภาษาไทยมันก็ตลบตะแลงอยู่อย่างนี้ เพราะความลื่นของภาษา ไอ้นี่แหละทำให้พวกเราเวียนหัว เพราะถึงไตรภพหมายความว่ากามภพ สัตว์ที่บริโภคกาม รูปภพพวกพรหมมีรูป อรูปภพพวกพรหมไม่มีรูป พระอภัยไม่รู้จักและใจต่ำอยู่ใน หมกหมุ่นอยู่ในกามารมณ์ จะเป็นจอมไตรภพได้ยังไง แต่ภาษาไทยมันหลอกเรา มันเสียหลักธรรมะหมด นี่เรื่องต่างๆ มันอยู่ที่ถ้อยคำมันสับปลับ นี่จึงพูดเรื่องว่าไอ้คำมันสับปลับและกำกวม แต่เราต้องรู้ทีเดียวว่า จะพูดกันภาษาไหนภาษาเมืองไหนภาษาบ้านไหน หรือภาษาธรรมหรือภาษาคน ทีนี้ให้จำไว้สักทีว่าภาษาคนคือคนชาวบ้านธรรมดารู้ รู้และพูด ภาษาธรรมบัณฑิตนักปราชญ์พระอริยเจ้ารู้และพูด มันต่างกัน ต่างกันลิบเลย ทางศาสนาพูดภาษาธรรมก็จะถูกต้องแต่ภาษาคนนี้ไว้ให้คนในโลกปุถุชนคนโง่คนพาลพูดกันไปก็แล้วกัน มันอยู่คนละชั้น ความความ ความไม่ตรงกันระหว่างภาษาคนกับภาษาธรรมนี่มีมาก และในภาษาคนด้วยกันมีหลายชั้นนั่นมันขัดแย้งหลอกลวงกัน แล้วถึงภาษาธรรมเองก็มีหลายชั้น ชั้นสูงสุดมันก็เลยค่อนข้างจะผิดไปนี่ มันตีกันยุ่งไปหมดแหละภาษา ทีนี้เราไม่เคยรู้ แล้วก็ไม่เคยบวชไม่เคยรู้ภาษาธรรมรู้แต่ภาษาคน ภาษาคนเราก็รู้แต่บางระดับไม่ได้รู้ทั้งหมดมันตีกันยุ่งหมด นี่เรื่องพูดกันไม่รู้เรื่องก็เพราะเหตุนี้ ทีนี้จะพูดถึงว่า ภาษาคนกับภาษาธรรมนี่ให้เข้าใจสักทีก่อน ก็จะรู้คำว่าบวชในภาษาคน แล้วบวชในภาษาธรรม ตัวอย่างที่ชอบยกเรื่องภาษาคนภาษาธรรมนี้ เรื่องไอ้นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย จำให้แม่นๆ เพราะเป็นของน่ากลัว นรก เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย ถ้าพูดภาษาคน ก็นึกว่านรกอยู่ใต้ดิน เดรัจฉานอยู่กลางนา เปรตก็อยู่ที่ภูเขาไหนก็ไม่รู้ มองไม่ค่อยจะเห็นตัว อสูรกายเป็นผีมองไม่เห็นตัว นั่นพูดภาษาคนภาษาวัตถุยกเอาไปเลย ทีนี้ภาษาธรรมก็พูดภาษาจิตใจ นรกนั้นคือความร้อนใจอยู่ในหัว อยู่ในหัวใจคน ถ้าคนมีความร้อนใจคนนั้นกำลังตกนรก ฉะนั้นสัตว์นรก หรือนรกมันอยู่ในใจคนไม่ได้อยู่ใต้ดิน ภาษาธรรมเป็นอย่างนี้ เดรัจฉานน่ะคือเมื่อโง่นั่น พระหรือเณรก็ตามใจ พอโง่เมื่อไหร่เป็นสัตว์เดรัจฉานเมื่อนั้นแหละ สัตว์เดรัจฉานอยู่ในใจคนอยู่ในคน ทีนี้เปรตมันหิว มันหิวด้วยกิเลส เมื่อไหร่หิวด้วยกิเลสเมื่อนั้นเปรตอยู่ในคนนั้นแหละ อยู่ในคนที่หิวด้วยกิเลสอยู่ในหัวใจนั่นแหละ แล้วทีนี้อสูรกายขี้ขลาด ขี้ขลาดอย่าง อย่างไม่น่าเชื่อ ขี้ขลาดขนาดกลัวในสิ่งของที่มันไม่ควรจะกลัว นี่อสูรกายเวลานั้นมันเป็นอสูรกาย ถึงเป็นผู้ชายบางทีก็กลัวตุ๊กแก กลัวจิ้งจก กลัวลูกหนู นี่มันผู้ชายยังกลัวขนาดนี้ นั่นนะมันอสูรกาย กลัวอย่างโง่เขลาที่สุด เมื่อนั่นก็เป็นอสูรกายไม่มีที่อยู่ ทีนี้เธอเปรียบดู นรกภาษาคนอยู่ใต้ดินมีไฟ มีหอกมีดาบ มีหมาปากเหล็กอยู่ใต้ดิน นรกภาษาคนที่เขาเขียนตามฝาผนังโบสถ์ นรกภาษาธรรมอยู่ในหัว ใจคนบางคราวบางเวลาที่มันร้อนเป็นไฟนั่นนะนรก ทีนี้เปรตเหมือนกันนะ เขาว่าจะกินน้ำหนองมีแต่กระดูกตัวเท่าภูเขาปากเท่ารูเข็ม มาเที่ยวหอนเวลาดึกๆ อยู่ข้างนอกอยู่โลกไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเปรตที่แท้จริงคือคนมันหิวคนมันหิวด้วยกิเลส มันอยากด้วยกิเลส เปรตภาษาคนอย่างหนึ่งเปรตภาษาธรรมมันอย่างหนึ่ง เดรัจฉานเหมือนกันแหละเดรัจฉานภาษาคนอยู่กลางนา เดรัจฉานภาษาธรรมอยู่ในจิตใจของคนโง่ สัตว์เดรัจฉานอยู่ในจิตใจของคนโง่ อสูรกายเป็นผีมองไม่เห็นตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่ภาษาคน ภาษาธรรมความขี้ขลาดของคน ขี้ขลาดจนไม่มีความสุข นี่ตัวอย่างภาษาคนภาษาธรรมมันต่างกันอย่างนี้ ทีนี้เธอก็จับได้ทันทีว่าภาษาคนมันพูดแต่ในแง่วัตถุร่างกายเห็นชัด ภาษาธรรมมันพูดในแง่จิตใจวิญญาณมองไม่เห็นตัว ทีนี้บวชน่ะ มาถึงบวชที บวชในภาษาคนแล้วก็บวชในภาษาธรรม บวชในภาษาคนโกนหัวนุ่งเหลืองมาอยู่วัด โกนหัวนุ่งเหลืองมาอยู่วัด นี่เรียกว่าบวช บวชภาษาคน ทีนี้บวชในภาษาธรรม หมายความว่าเว้น เว้นจากสิ่งที่ต้องเว้น หัวโกนก็ได้ไม่โกนก็ได้อยู่บ้านก็ได้อยู่วัดก็ได้ ถ้าบวชในภาษาธรรม นุ่งเหลืองนุ่งแดงนุ่งเขียวอะไรก็ตามใจ หัวโกนก็ได้ไม่โกนก็ได้อยู่บ้านก็ได้อยู่ป่าก็ได้อยู่วัดก็ได้ นี่บวชในภาษาธรรมหมายถึงว่าเว้น เพราะคำว่าบวชมันแปลว่าเว้น อุปัชฌาย์สอนไว้วันที่บวชกันนะ ปัพพัชชา หรือคำว่า ป ว ช บวช ว ชแปลว่าเว้น ป เว้นหมด ป ว่าหมด ว ช ว่าเว้น บ ว ช แปลว่าเว้นหมด นั่นนะคือบวช ไม่ใช่หมายถึงโกนหัวนุ่งเหลืองอยู่วัดเสียหน่อย หมายถึงเว้น เราโกนหัวนุ่งเหลืองอยู่วัดก็เพื่อมาเว้น เว้นสิ่งที่ต้องเว้น บวชตัวจริงมันอยู่ที่เว้น ไอ้บวชเปลือกนอกมันอยู่ที่โกนหัวนุ่งเหลืองอยู่วัดไม่กินมื้อค่ำ นี่ก็หมายถึงภายนอกหรือทางร่างกายทางวัตถุ ภาษาคนบวชหมายถึงอย่างนั้น แต่ภาษาธรรมเว้นก็แล้วกัน เว้นในความชั่วเว้นกิเลสเว้นไม่ ไม่ให้เกิดความทุกข์ มันจะชี้ให้เห็น เช่นคำว่าบวชแล้วเป็นพระสงฆ์อย่างนี้ ทีนี้คำว่าพระอริยสงฆ์ พระ พระอริยเจ้าอยู่ที่บ้านก็มี พระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นพระอริยสงฆ์อยู่บ้านก็มี นั่นยิ่งกว่าบวชอีก ที่อยู่วัดก็มี พระอริยสงฆ์อยู่ที่บ้านก็มี บางทีอยู่ที่วัดไม่เป็นอะไรเลย พระเณรบางองค์อยู่วัดแต่ไม่ได้เป็นพระสงฆ์ไม่ได้เป็นสมมติสงฆ์ด้วยซ้ำไป คือไม่ปฏิบัติ ไม่ ไม่ ไม่บวชจริงเรียนจริงไม่เป็น ไม่เป็น พระสงฆ์ถึงแม้อยู่วัด อยู่วัดแล้วไม่เป็นพระสงฆ์มันน่าขันไม่ใช่เหรอ แล้วที่อยู่ที่บ้านเป็นพระสงฆ์น่าขันยิ่งขึ้นไปอีกแหละ ถ้าเขาเว้นได้เท่าไหร่สละกิเลสได้เท่าไหร่เว้นได้เท่าไหร่ก็เป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคาอย่างนี้เป็นฆราวาสอยู่บ้านก็มี อยู่วัดก็มี แต่ว่าบางคนถึงอยู่ที่วัดแล้วไม่เว้นอะไรได้ ไม่เป็นพระสงฆ์โดยแท้จริงเป็นแต่เปลือกนี่ อย่างนี้ก็หมายความว่าอยู่ที่วัดกลับไม่เป็นพระสงฆ์ อยู่ที่บ้านกลับเป็นพระสงฆ์ คิดดูน่ากลัว ทีนี้ที่เราพูดนี้เพื่อให้รู้ว่าบวชคืออะไร บวชกับไม่บวช บางทีมันสับสนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าบวชภาษาคนแล้วมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ต้องบวชภาษาธรรม บวชภาษาคนเดี๋ยวต้มเพื่อนอีก บวชหรือไม่บวช ทีนี้มันมาถึงความที่สับปลับกำกวม คำว่าบวชหรือคำว่าไม่บวช ถ้าเอาภาษาคนเป็นหลัก บวชคือโกนหัวไม่บวชคือไม่โกนหัว เอาภาษาคนเป็นหลัก คำว่าบวชหมายความว่าโกนหัวนุ่งเหลืองอยู่วัด ถ้าไม่ทำอย่างนั้นเรียกว่าไม่บวช อยู่ที่บ้านเรียกว่าไม่บวช ถึงเป็นพระโสดา สกิทาคาอยู่ที่บ้านก็ไม่เรียกว่าบวช แต่พอเอาเป็น เอาภาษาธรรมเป็นหลักอย่างนี้ มันกลายเป็นว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ ครั้นเมื่อเว้น เว้นละกิเลสได้แล้วก็ เป็น เป็นบวชทันที อยู่ที่ไหนก็ได้อยู่ที่บ้านก็ได้ ทีนี้ภาษาคนมันก็บวชเปลือก บวชแต่ร่างกายเป็นเรื่องพิธีพิธีรีตองเป็นพิธีกรรม เข้าใจไหม บวชภาษาคนนี้ควรบวชข้างนอกบวชที่เปลือกนี่ โกนหัวนุ่งเหลืองนี่บวชแต่เปลือกบวชข้างนอกบวชแค่ร่างกาย แล้วเป็นพิธี พิธีรีตองทำพิธีบวชก็บวชเสร็จแล้วในภาษาคน แต่ภาษาธรรมมันยัง ยังไม่เป็น ภาษาธรรมบวชเนื้อในบวชจิตใจ แล้วไม่เกี่ยวกับพิธีรีตอง เกี่ยวกับปฏิบัติจริง ให้ทำพิธีรีตองอย่างไหนก็ไม่เป็น ไม่ ไม่เป็นบวชในภาษาธรรม ต้องปฏิบัติจริงและต้องเว้นจริง เพราะว่าบวชเนื้อในบวชจิตใจ ภาษาคนบวชข้างนอกบวชที่ร่างกาย ภาษาธรรมบวชที่เนื้อในบวชที่จิตใจ ภาษาคนสำเร็จด้วยทำพิธีรีตองเหมือนกับวัน วันเราบวชนั่นแหละ เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ เป็นบวชแล้ว นั่นมันภาษาคนบวช ภาษาธรรมมันต้องมาทำจิตทำใจให้ดีอยู่เรื่อยไปแหละ เขาจะเรียกว่าบวช กระทั่งว่าอยู่วัดก็ได้อยู่บ้านก็ได้ โกนหัวก็ได้ไม่โกนก็ได้ ฉะนั้นเธอบวชโดยภาษาคนแล้ว พวกเรานี้บวชโดยภาษาคนเสร็จแล้ว เป็นนักบวชในภาษาคนแล้ว แต่ว่าอาจจะไม่เป็นนักบวชในภาษาธรรม หรือภาษาจิตใจก็ได้ ต้องปฏิบัติให้ดีให้มากให้บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงให้มากจึงจะเรียกว่าบวช ในภาษาธรรม คือภาษาที่แท้จริงหมายความว่าใจมันดีกว่าเดิม ครั้นถ้าได้มีการบวชในภาษาธรรม แล้วเธอสึกกลับออกไปนี้ใจต้องดีกว่าเดิม ถ้าใจมันไม่ดีกว่าเดิมมันเหมือนกับไม่ได้บวชในภาษาธรรม มันไม่ได้อะไรไม่ได้กำไรไม่ได้อะไร ในระหว่างที่บวชอยู่นี้อุตส่าห์พยายามให้ดี อย่าไปเห็นแก่เล่นแก่หัวแก่เที่ยวแก่อะไร เห็นแต่ แต่ที่จะทำให้ดีให้ ให้มันเป็นบวชใจให้จนได้ ให้บวชถึงข้างในถึงจิตถึงใจ หมั่นอดออมแหละ อย่า อย่า อย่าเกิด อ่า, อย่าเกิดไอ้กิเลส เขาเรียกว่าอย่าเกิดกิเลส อย่าเกิดอารมณ์ร้าย พยามฝึกฝนไว้เรื่อยในระหว่างที่บวชนี้ ให้เป็นบวชจริงบวชจิตใจ อย่าให้เกิดอารมณ์ร้าย เมื่อไม่ได้กินได้นอนตามพอใจก็อย่าเกิดอารมณ์ร้าย หรือว่ามีอะไรมากระทบขัดหูขัดตาขัดใจก็อย่าเกิดอารมณ์ร้าย ถึงแม้ที่จะนั่งคิดนั่งนึกอยู่คนเดียวก็อย่าไปในทางที่เป็นอารมณ์ร้าย อารมณ์เลว ไปหาที่สงบสงัดแล้วนั่งพิจารณาดู เวลาว่างก็เธอมีนี่กลางวัน ไปนั่งตรงไหนที่มันเงียบๆ คนเดียวสงบสงัดหรือว่าไป ไปสองคนก็ไม่ต้องพูด ไปนั่งคิดดู มัน มัน มันอารมณ์ในจิตใจกำลังเป็นอย่างไร ถ้าอารมณ์กำลังมัน มันร้ายแล้วก็ต้องเสียใจ จับให้ได้ว่าอารมณ์ร้ายเป็นอย่างไร อารมณ์ดีเป็นอย่างไร รักษาไว้แต่อารมณ์ดีเรื่อยแหละ นี่ก็คือบวชจริงเรียนจริงมันอยู่ตรงนี้ จริงกว่าเรียนหนังสือจริงกว่าท่องหรือจำหรืออะไร เธอไปนั่งเรียนจิตใจที่กำลังเป็นอยู่อย่างไรนั่นแหละ นั่นน่ะเรียนจริง ไอ้เรียนหนังสือฟังปาฐกถาบรรยายนี้ยังไม่ใช่เรียนจริงนี่เราบอกตามตรง ทั้งที่เราเป็นผู้พูดผู้วอน เรียนจริงก็ไปนั่งคนเดียว แล้วก็ดูเข้าไปในหัวใจ หัวใจกำลังเป็นอย่างไร เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น แล้วจะแก้ไขได้อย่างไรนี่ นั่นแหละเรียนจริง เรียนอย่างแท้จริงเรียนอย่างวิเศษเรียนอย่างพระพุทธเจ้าแนะให้เรียนแหละ เรียนบาลีเรียนนักธรรมเรียนเอาหน้าเอาตานี้มัน มันหลอกมันหลอกลวงตัวเอง นั่นเป็นเรื่องเรียนเปลือกเรียนข้างนอกเรียนเพื่อกิเลสเธอก็มี ไม่รู้เท่ากิเลสแล้วก็มัน มันก็เลยล่มจมเพราะเรียนนั่นแหละ พอรู้อะไรมากก็ยกหูชูหางอวดดี เสร็จเลย พระเณรทั้งนั้นเสร็จเลย มันอวดดีมันหลงในวิชาความรู้ ยิ่งเรียนยิ่งตกนรก แต่ถ้าเธอพยายามพยายามที่สุดที่จะเรียนหัวใจ เพราะบวชจริงคือบวชใจ แล้วเวลาเรียนจริงก็ต้องเรียนหัวใจ เราจะไปข้างไหนจะนั่งอยู่ตรงไหนจะยืนจะเดินจะนอนไหนเรียนหัวใจเรื่อยไป คือเรียนหัวใจของเธอนั่นน่ะ ไม่ใช่เรียนหัวใจของคนอื่น ฉะนั้นเวลาฉันข้าวก็อย่าไปสงสัยไปยุ่งโน่นนี่ ไปเรียนหัวใจเขาแหละ เวลากินข้าวนี้มันตะกละหรือไม่ตะกละหรือมันปกติหรือว่ามันยินดียินร้ายให้มันรู้ไปให้หมด นี่เขาเรียกเรียนจริง เวลาอาบน้ำเวลานั่งอยู่ในห้องน้ำในส้วมนี่มันก็เรียนได้ทั้งนั้น เรียนหัวใจของเราเอง เวลาไปบิณฑบาตสังเกตหัวใจของเราเอง มันไปมองหญิงเข้าแล้วหรือเปล่า ไปสนใจหญิงที่รูปร่างยั่วยวนเข้าหรือเปล่า มันก็ต้องเรียนหัวใจของเรา หรือว่าไปโกรธไปขัดใจคนที่มันไม่น่าดูน่ามอง มันสกปรกรุงรังหรือว่าบ้านเรือนที่มันน่าเกลียดน่าชัง หรือว่าข้าวปลาอาหารที่เอามาใส่นี่มันไม่น่าดูอะไรนี่ มันก็เกิดหัวใจที่ร้ายขึ้นมาก็เรียนหัวใจนี้อีก ไม่เคยเรียนกันนี่ ไปบิณฑบาตก็ไม่เคยเรียน อยู่ที่วัดก็ไม่เคยเรียน ฉันอาหารก็ไม่เคยเรียน อยู่ในส้วมก็ไม่เคยเรียน อาบน้ำนี่ก็ไม่เคยเรียนเวลานั้นน่ะเวลาที่มันเผลอมากที่สุด ถ้าเรียนมันมีมันมีมีเรื่องให้เรียนตลอดเวลา เวลาห่มจีวร ปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง บทจีวร ดูหัวใจของเราว่ามันอย่างนั้น อ่า, มันมองเห็นหรือเปล่า เวลาฉันอาหาร ปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง ปะฏิสังขาโย เรื่องบทฉันอาหาร เวลาใช้สอยสิ่งของต่างๆ หรือมีหรือเป็นอยู่ในที่อยู่อาศัยนี่มันก็ต้อง ปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง ปะฏิสังขาโย บทเสนาสนะ หรือเวลาเจ็บไข้หรือเวลากินยากินอะไรก็มีบทคิลานเภสัช ทีนี้เวลาฉันน้ำหวานน้ำตาลน้ำอัฐบาลนี่เป็นเรื่องคิลานเภสัช นี่ต้องระวัง ถ้าฉันอย่างเภสัชแก้หิวกระหายก็ดีแหละ แต่ถ้าฉันด้วยความที่มันสนุกสนานเอร็ดอร่อยเพื่อลิ้นเพื่ออะไร ขาดทุนแหละ เสียหายแหละ นี่มันก็เป็นมันก็เวลามันกินเข้าไปมากแล้ว เวลาฉันอาหารเวลาใช้จีวรเวลาใช้เสนาสนะเวลาใช้เภสัช เธอเรียนหัวใจ หัวใจมันเป็นอย่างไร ทีนี้ถ้ามันไม่ถูก ก็พิจารณาเสียใหม่ให้มันถูกแหละ ให้มัน ปัจจเวกขณ์ ยะถาปัจจะยัง เป็นทาสเป็นของว่างไม่ใช่ตัวตน ทีนี้เราก็รู้ว่า อ้อ, หัวใจของเรามันมีตัวตนหรือไม่มีตัวตน ถ้ามันกำลังกลัดกลุ้มไปด้วยตัวตนมันก็ไม่เป็นบวชโดยภาษาธรรม ต้องว่างจากตัวตน จิตใจสะอาดสว่างสงบ นั่นแหละเป็นบวช นี่บวชมันต่างกันอย่างนี้ พยายามให้เข้าใจว่าไอ้บวชจริงมันคือบวชใจ บวชจริงคือบวชใจ เรียนก็เรียนด้วยใจ ปฏิบัติก็ปฏิบัติด้วยใจ ได้ผลก็ได้ผลทางใจนี่คือบวชจริงในภาษาธรรม ทีนี้บวชภาษาคน นั่นมันโกนหัวนุ่งเหลืองอยู่วัด แล้วก็คิดไปในทางหาประโยชน์ ทำเคร่งให้เขานับถือ แล้วก็ได้เงินได้เกียรติยศได้ชื่อเสียง ทำเป็นอาจารย์เคร่งๆ เดี๋ยวเขาก็เอานั่นเอานี่มาให้ อาจารย์วิปัสสนาเดี๋ยวก็ได้บุหรี่ เดี๋ยวก็ได้กาแฟ เดี๋ยวก็ได้สำรับ เดี๋ยวก็ นี่มันเป็นคนละเรื่อง ถ้าบวชจริงมันก็ไม่ต้องการไอ้สิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องอวดไม่ต้องแสดงให้ เอ่อ, คนหลงใหล ทีนี้มีคำอยู่ ๒ คำ ที่เธออาจจะยังเข้าใจผิด บวชแล้วเคร่ง แล้วก็บวชแล้วไม่เคร่ง จะเลือกข้างไหน ที่จริงมันใช้ไม่ได้ทั้ง ๒ อย่างแหละ แต่ถ้าเอาข้าง เอา เอาอย่างหนึ่ง เอาไว้ข้างเคร่งไว้ก่อน ถ้าต้องเอาสักอย่างเอาข้างเคร่งไว้ก่อน อย่าเอาข้างไม่เคร่ง แต่ที่จริงเคร่งก็ไม่ใช้ได้ ไม่เคร่งก็ใช้ไม่ได้ มันต้องพอดี ต้องถูกต้อง เราบวชแล้วต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องไม่จำเป็นจะต้องเคร่งหรือไม่จำเป็นจะต้องหลวม อย่าหลวมอย่าหละหลวมหรืออย่าเคร่งเครียดให้มันพอดีให้มันถูกต้อง ลัทธิของพระพุทธเจ้าท่านมุ่งหมาย ความพอดี เขาเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หมายถึงความพอดี ความพอดีควรถูกต้องแหละ ถ้าเคร่งเครียดมันก็ตึงไปในทางตึงแหละ ไอ้หละหลวมก็มาในทางหย่อนแหละ เขาเรียกไม่หย่อนไม่ตึงคือพอดี คนบวชแล้วต้องพอดี ไม่ต้องเคร่งหรือว่าเคร่งอวดคน เราต้องไม่หย่อน ไม่หย่อนตามใจกิเลส ตามใจปากตามใจท้องไอ้นี่มันหย่อน ฉะนั้นอย่าหย่อนและก็อย่าตึงแล้วพอดี แต่ถ้าจะเอาสักอย่างเดียวเอาข้างตึงไว้แหละดี ข้างเคร่งไว้แหละดี ดีกว่าเอาข้างหย่อน บวชแล้วเคร่งเขาหมายถึงไม่ใช่แบบ แบบเคร่งงมงาย แต่ว่ารักษาอย่าให้บกพร่องไม่ถึงกับเคร่งอันนี้ก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ถ้าเคร่งแบบที่ว่าเคร่ง คลั่งนี้มันก็ไม่ไหว มันกระเดียดไปในทางงมงายหรือว่าอวดคนมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ถ้าเราบวชชนิดที่ได้ประโยชน์แล้วให้มันพอดีแหละ มันผิดกันกับไม่บวช แหละ ถ้าประพฤติธรรมหย่อนๆ หรือว่าทำตึงๆ ไปแบบนั้นแล้วมันก็มันอยู่ที่บ้าน หรือว่าไอ้นักเลงที่ทุจริตหลอกลวงมันก็ทำกันมันก็ทำเป็น ถ้าให้บวชดีถ้าจะให้บวชเป็นของดี แล้วก็ทำให้ถูกต้องแล้วพอดี แล้วบวชด้วยจิตบวชด้วยใจอย่าบวชแต่เพียงร่างกายจะเห็นได้ว่าบวชนี่มันดี
แล้วทีนี้พูดถึงประโยชน์ของการบวชกันอีกสักที อย่าเบื่อ แล้วอย่าว่าเรากระทบพูดกระทบกระเทียบ พวกเธอบวชกันในระหว่างปิดภาคนี่ เราก็ไม่รู้แน่ว่าจิตใจประสงค์อะไร แต่ถ้าประสงค์เพียงจะให้ได้เกียรติได้คะแนนได้บ้างนี้ก็ไม่ ไม่ ไม่ถูก ถ้าว่าเกเรแล้วบวชเพื่อละความเกเรกันสักที นี้ก็ถูกยังถูก แต่ถ้าเราไม่เกเรแล้วเราบวชทำอะไรล่ะ เราน่ะ ก็บวชเพื่อให้ได้ประโยชน์ยิ่งๆ ขึ้นไป ให้ได้สิ่งที่เรียกว่าประโยชน์คืออานิสงส์ ประโยชน์ตัวเองให้ได้ ประโยชน์พ่อแม่พี่น้องให้ได้ประโยชน์คนทั้งโลกก็ให้ได้ ประโยชน์ของพระศาสนาเห็นแก่พระพุทธเจ้าก็ให้ได้ ถ้าเธอบวชจริงเรียนจริงมันเปลี่ยนนิสัยมาก จนกระทั่งว่าสึกออกไปแล้ว มันก็ยังได้ประโยชน์มากกว่าไม่บวชแหละ เธอ เธอให้เข้าใจการบวช บวชจริงบวชใจแท้จริงนี่ ให้เข้าใจ แล้วใจมันเปลี่ยน ใจมันเปลี่ยนเป็นใจที่ดีเป็นใจที่รักความดีความจริงความถูกต้อง ไม่มากไม่น้อยไม่งมงายแล้วก็ไม่อวดดิบอวดดี ใจของเราได้เปลี่ยนชนิดนี้แล้ว แล้วก็วิเศษ ถึงกลับสึกออกไปแล้ว มันก็ได้ มีประโยชน์มากนี่ก็ประโยชน์เรา เรา เราได้ ถึงบวชเดือนหนึ่งก็ให้ได้ประโยชน์อันนี้ออกไป กลับออกไปให้กลายเป็นคนที่ ที่ฉลาดจริงจังกว่าเดิมฉลาดกว่าเดิม รู้จักพอเหมาะพอดียิ่งกว่าเดิม แล้วไม่มีฤทธิ์ไม่มีพิษไม่มี ไม่มีทุจริตหรือไม่มีพิษร้าย ไม่มีที่เขาเรียกว่ากิเลส ละนิสัยอันธพาลเกเรได้หมด ก็ได้วิเศษที่สุดเลยประโยชน์ตนประโยชน์ตัวเอง แล้วพ่อแม่ก็จะชื่นอกชื่นใจไปด้วย ถ้าบวชเดือนหนึ่งได้ ได้ ได้รับประโยชน์ถึงขนาดนี้ พ่อแม่ยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์ดีใจยิ่งกว่าได้ขึ้นสวรรค์ เธออย่าแทนคุณพ่อแม่ด้วยวิธีอื่นเลย ไม่เท่าไหร่หรอก แทนคุณพ่อแม่ด้วยให้พ่อแม่ได้อิ่มใจยิ่งกว่าขึ้นสวรค์ ด้วยเห็นแก่การบวชของลูกบวชจริงบวชจริง แล้วครั้นเราบวชจริงทำจริงอยูใน อยู่โลกนี้มันก็มีประโยชน์ที่โลกนี้ เขาเรียกว่าต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้เสมอ คนโบราณบ้านเราคนเมืองตำปรื้อนี่พูดว่า คนดีไปอยู่ที่ไหนมันทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่น นี่เธอ เธอช่วยจำไว้ทีนะ เดี๋ยว เดี๋ยวจะว่าเราพูดส่งเดช คนดีอยู่ที่ไหนจะทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่น และถ้าคนที่ตามไปทีหลังมันฉลาดมันจะมองเห็น เช่นหมู่บ้านนี้เราเข้าไปถึง มันมีขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอะไรบางอย่างเหลืออยู่เป็นเหตุให้รู้ได้ว่า เออ, มันเคยมีคนดีไปอยู่ มีคนดีไปสั่งสอน การพูดจาก็ดีการกินอยู่ก็ดีอะไรก็ดี มันต้องมีอะไรแสดงให้เห็นว่ามันผิดกับหมู่บ้านอื่น คนดีอยู่ที่ไหนต้องทิ้งร่องรอยไว้ที่นั่น แม้ที่สุดแต่ร่องรอยทางวัตถุโบสถ์วิหารเจดีย์ไปทำบนภูเขา มันคนดีมันทิ้งไว้นะ คนชั่วมันจะทิ้งไว้อย่างนั้นเหรอ ไปตามในป่า ตามบนเขามีพระเจดีย์อยู่ คนดีมันทิ้งร่องรอยทางวัตถุไว้ แล้วทีนี้เรื่องที่ทางวัฒนธรรมมัน มัน มันทำให้ชาวบ้านที่นั่นมีระเบียบดีมีจิตใจดีมีกิริยามารยาทดีมีน้ำใจโอบอ้อมอารีดี นี่มันร่องรอยของคนดีที่ทิ้งไว้ ที่บ้านพูดกันแต่เรื่องนิพพาน พูดกันแต่เรื่องธรรมะสูงสุด นั่นแหละเป็นร่องรอยอย่างยิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้ ตายไปแล้วนานหลายสิบปี นี่เหมือนกับเราว่าอยู่ที่นี่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้หลายอย่าง ทั้งทางวัตถุทั้งทางการประพฤติปฎิบัติทางจิตใจ ไหว้พระสวดมนต์นี่มัน มันมีอยู่ชัด ไอ้แบบนี้มันไม่เคยมี ถ้าเราตายไปแล้วมันมีอยู่มันก็ต้องแสดงว่ามันมีใครทิ้งไว้ นี่ถือหลักว่าคนดีจะทิ้งลักษณะของความดีไว้เสมอไป แล้วเธอก็ต้องเป็นคนดี และเธอต้องมีอะไรทิ้งไว้ในโลกนี้ ในลักษณะเป็นความดีซึ่งที่เธอได้ทำไว้ จะได้สร้างวัตถุสิ่งของไว้ก็ตาม จะได้บัญญัติแต่งตั้งอะไรขึ้นให้คนประพฤติปฏิบัติก็ตาม แล้วก็ทิ้งไว้ นี่เรียกว่าโลกมันพลอยได้รับประโยชน์ สัตว์โลกมันได้ พลอยได้รับประโยชน์เพราะเหตุมันมีคนดีอยู่ในโลก คนดีมีขึ้นในโลกโลกพลอยได้รับประโยชน์ เพราะเหตุว่ามันทิ้งของดีไว้ในโลก ถ้าไม่ ถ้าไม่เช่นนั้นยังไม่ชื่อว่าคนดี คนที่เอาแต่ประโยชน์ตัวคน อย่าง อย่างเดียวไม่ใช่คนดี และประ โยชน์ของศาสนาให้ศาสนายืนยาวต่อไป ว่าเรามันบวชจริงเรียนจริงศาสนามันยืนยาวต่อไป นี่เขาเรียกว่าสืบศาสนา เพราะว่าอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี ศาสนาจะอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี นั่นมันพระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าว่าให้เป็นกลางๆ ถ้ายังมีคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ หมายความว่าศาสนายังมี ถ้าคนมันยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ มันหมื่นปีแสนปีล้านปีก็ได้ มันจะต้องมีเหลืออยู่ ไปบัญญัติว่า ๕,๐๐๐ ปีมันมีเหตุผลอย่างอื่น หรือว่าพูดหมายถึงอย่างอื่น ฉะนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาสืบอายุศาสนา ในชั่วชีวิตนี้เราต้องทำให้ดีให้ถูก เป็นพระนี้ก็สืบได้ง่ายมันต้องเรียนจริงบวชจริงเรียนจริงให้ได้ และถึงเป็นฆราวาสก็ทำได้ ไปเป็นฆราวาสก็ไปเป็นอุบาสกที่ดี เป็นอุบาสิกาที่ดี เป็นสัตบุรุษที่ดี ให้เห็นอยู่ประจักษ์เป็นเนื้อเป็นตัวที่ดีอยู่ก็แล้วกัน สืบอายุพระศาสนาเหมือนกันแหละ และดีกว่าพระกว่าเณรบางองค์ เพราะถ้าพระเณรบางองค์คอยแต่สูบบุหรี่กินกาแฟเปิดวิทยุฟังอยู่ตลอดเวลานี่ สู้ชาวบ้านก็ไม่ได้ ที่เขาทำ ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติธรรมทำความดี เขาสืบอายุพระศาสนาดีกว่าพระเณรบางพวกอีก ฉะนั้นการสืบอายุศาสนามันอยู่ที่บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงได้ผลจริงสอนกันไปจริงๆ เธอสึกออกไปแล้วเธอต้องทำได้ในระดับหนึ่ง จะไปช่วยกันสืบอายุพระศาสนาต่อไป สึกออกไปเข้าโรงเรียนไหนแล้วก็แต่ว่าไอ้ความดีที่มันติดไปใน ความรู้ที่มันติดไปในไปนี่มันจะไปช่วยสืบศาสนาจะเผยแผ่ศาสนา โนโรงเรียนในวิทยาลัยของเธอ ความเป็น ความเป็นอันธพาลในโรงเรียนของเธอมันจะเบาบางลง เธอมาที่นี่สมมติว่า ๒๐ คนวันนี้ เธอเป็นเณรจริงพระจริงบวชจริงเรียนจริง กลับออกไปนี้มันช่วยให้อันธพาลในวิทยาลัยของเธอมันน้อยลง เพราะอย่างน้อยมันขาดไป ๒๐ คนแล้วแหละ แล้วทีนี้เราไปแสดงอยู่เสมอๆ นี่มันชนะ มีอิทธิพลครอบงำจิตใจคนคนไม่ดีให้นึก มัน มัน มันสงวนท่าทีมันหาเคารพมันหาเชื่อฟังไม่ แต่มันนึกมันนึกแล้วมันค่อยไปนึกได้แล้วมันค่อยๆ เปลี่ยนของมันเอง เราอย่าไปสอนมันตรงๆ มันโกรธ แต่ว่าเราทำให้ดีให้มอง มัน มันเอาไปนึกไปคิดแล้วมันค่อยเปลี่ยนมันเอง ถ้า ถ้าเราไปสอนมันไปแนะนำมันสันดานพาลมัน มันไม่ชอบ มันจะด่าเอา ทีนี้เราทำให้ดีอยู่เสมอไปไม่ว่าใครไม่ตำหนิใคร ทำให้ดีเป็นตัวอย่างอยู่เรื่อย ถึงทีแรกมันจะประชดประชันอะไรบ้าง ทีหลังมัน มันค่อยๆ แพ้ไปเอง นี่เป็นหลักที่ต้องจำไว้ว่าไอ้ความดีต้องชนะความชั่ว เธออย่า อย่าให้มันกลับกันเสียล่ะ อย่ายอมแพ้ อย่าไปคิดว่า โอ๊ย, ความชั่วมันมากกว่าความดีมันชนะไม่ได้ พระ พุทธเจ้าว่า คนดีเพียงคนเดียวชนะคนชั่วจำนวนมากได้ ขอให้ดีจริงเท่านั้นแหละ คนดีแม้มีน้อยก็ชนะคนชั่วแม้มีมากได้ นี่เป็นพระพุทธภาษิตตรัสไว้อย่างนี้ เธอไปพิสูจน์ความจริงข้อนี้ ถ้ามีนักเรียนดี ๒๐ คนชนะนักเรียนอันธพาล ๑๐๐ คน ๒ - ๓๐๐ คนได้ ถ้าไม่อย่างนั้นพระเจ้าพูดผิด ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นต้องว่าพระพุทธเจ้าพูดผิด พระ พระพุทธเจ้าพูดว่า คนดีแม้มีน้อยก็ชนะคนมากได้ คนเลวมากได้ อัปปาปิสันตา คนดีแม้มีน้อย พหุเกชินันติ ย่อมชนะคนชั่วแม้มากได้ อัปปาปิสันตา พหุเกชินันติ ภาษาบาลี ทีนี้เรา ๑๐ คนหรือ ๒๐ คน เราจะเป็นคนของพระพุทธเจ้าไปเรื่อย ถึงในมหาวิทยาลัยมีหลายร้อยคนก็ตาม ไอ้คนไม่กี่คนจะชนะคนมากคนได้ โดยเราไม่ต้องพูดไม่ต้องไปว่าไม่ต้องไปแนะนำเขาด้วยปากให้เขาโกรธ เราสอนด้วยอำนาจของปฏิบัติดี อำนาจของพระธรรม ทำตัวอย่างให้ดีอยู่เรื่อยไป จะช่วยแก้ไขอันธพาลในโรงเรียนในวิทยาลัยให้มันน้อยลงๆ ได้บุญ แล้วเมืองตำปรื้อจะรอด ถ้าช่วยกันทำอย่างนี้ไม่เท่าไหร่เมืองตำปรื้อมันก็ มีอะไรดี ดี ดี ดีเหมือนกับเมืองอื่นที่เขาดูถูกเมืองตำปรื้อ เอาละทีนี้เราจะให้เธอสังเกตว่าร่องรอยอะ ไรบ้าง ที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้ในแผ่นดินภาคใต้ เธอไปศึกษาทางโบราณคดีทางอะไรด้วย ที่นี่ภาคใต้ตั้งแต่ ชุมพรลงไปเลย ชุมพร สุราษฎร์ฯ นครศรีฯ สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ไปศึกษามีร่องรอยที่บรรพบุรุษได้ทิ้งไว้เป็นวัตถุ เช่นพระธาตุฯ เช่นเจดีย์ เช่นอะไรก่อน แล้วก็วัฒนธรรม เช่นประชาชนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ประชาชนไม่ลักไม่ขโมย ที่มันมีร่องรอยให้เห็นอยู่นะ เก่าๆ ที่มันกำลังจะหมดไป เมื่อผมเด็กๆ นี่ยังจำได้ บ้านอยู่ติดๆ กันนี่ คนนี้มันจะไปไร่หมดทั้งบ้านเลย มันก็ลงเรือนไป มันร้องสั่งคนข้างบ้านบ้านที่อยู่ใกล้กัน ช่วยดูบ้านด้วย แล้วก็ไป บ้านไม่ได้ใส่กุญแจอะไร เพียงแต่ผลักประตูปิดไว้แล้วก็ไป เอ่อ, มันก็ไอ้คนข้างบ้านมันก็ โอ้, มันดีมันรับผิดชอบฟังแล้วหัวใจมันดีมันมีความรู้สึกรับผิดชอบ ว่าถ้าเขาทำให้ผิด ทำให้เขาผิดหวังทำให้เขาเสียหายแล้วเราฉิบหายเลย มันกลับระวังเหมือนกับบ้านของตัวเอง ยิ่งกว่าบ้านตัวเอง ไอ้โน่นกลับมาจากป่ามาจากไร่มาบ้านก็บ้านก็ยังดีอยู่ ปัจจุบันทำได้เหรอ เวลานี้ยังทำได้เหรอ มันจะไม่มีอะไรเหลือ ไม่รู้ไม่มีใครรับผิดชอบ ใส่กุญแจไว้ยังงัดกุญแจ เพียงแต่เอาไม้ขัดๆ ไว้ปิดไว้แล้วไปป่าไปทำไร่แล้วกลับมานี้มันไม่ได้เสียแล้ว ไอ้ร่องรอยก่อนมันมีคนมันเคยดี ไอ้ที่บ้านนี้ไปอีกก็ฝากบ้านนี้ไว้อีก เวลานี้มันไม่มีแล้ว มันหายไปหายไป เพราะมันเลวลงเลวลง เธอไปศึกษาดูถ้ามันมีมันมีร่องรอยให้ ให้เห็นแสดงให้เห็น เช่นหมู่บ้านนี้แหมคนดีน่ารักน่าเลื่อมใส พอถึงหมู่บ้านนั้นอันธพาลทั้งนั้น ก็เพราะเหตุว่ามันได้ทำอะไรไว้ผิดๆ ร่องรอยผิดๆ นี้เราย้อนหลังไปศึกษาปู่ย่าตายาย หรือแผ่นดินของเรา เคยดีอย่างไรเคยสูงสุดอย่างไรดูเสีย อย่าอย่าเห็นแก่ตัวจนไม่เอาใจใส่สิ่งเหล่านี้ บ้านเกิดเมืองนอนมีอะไรดีวิเศษต้องรู้ ต้องพูดให้คนอื่นฟังได้ว่ามีคนอื่นมาบ้านเรา เราอาจจะชี้แจงได้แหละ ดีแหละ เธออายุไม่ถึง ๒๐ ปีแต่จะมีคุณค่าเท่ากับอายุตั้ง ๑๐๐ ปีถ้าเธอทำแบบนี้ เธอเป็นเด็กอายุไม่เกิน ๒๐ ปี ก็จะมีคุณค่าเท่ากับคนอายุ ๘๐ ปี ๑๐๐ ปี เรียกว่ามีไอ ไอคิวในทางธรรมะสูง ไอคิวในทางโลกไม่พูด นี่เราพูดวันนี้ด้วยหัวข้อว่าบวชกับไม่บวชต่างกันอย่างไร ต่างกันไกลลิบ ฟังคำว่าบวชให้ดีๆ บวชบวชภาษาคนนั้นใช้ไม่ได้ ต้องเอาบวชภาษาธรรม แล้วถ้าบวชกับไม่บวชต่างกันลิบ แต่ถ้าเอาภาษาคนภาษาอันธพาลมาใช้ไอ้บวชใช้ไม่ได้ก็มี บวชลี้ บวชลอง บวชครองเวณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อนมันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน กระทั่งบวชต้มเพื่อน หรือบวชเหมือนกล้วยบวชชีมันไม่มีความหมาย ที่ว่าดีแน่ไอ้บวชที่มันดีแน่หมายความว่าต้องบวชในภาษาธรรม เว้นสิ่งที่ควรเว้นอยู่เสมอบังคับตัวเองอยู่เสมอเห็นแก่ผู้อื่นยิ่งกว่าตัวแหละ ไม่มีการเบียดเบียนมีแต่การช่วยเหลือเอื้อ เฟื้อเผื่อแผ่ ไอ้โลกนี้ก็เป็นโลกที่วิเศษน่าดู น่าดูงดงามน่าอยู่สบาย นี่เรื่องบวชซึ่งเด็กๆ หรือว่าคนหนุ่มจะต้องบวช จะต้องหัดบวชหัดบวชจนให้มันมีไอ้นิสัยดีๆ เกิดขึ้น ทีนี้ถ้าว่าบวชจริงมันก็มีประโยชน์อย่างว่าแหละ มีประโยชน์ตัว มีประโยชน์พ่อแม่ มีประโยชน์เพื่อนมนุษย์ มีประโยชน์ศาสนา นี่ถ้าบวชจริงมีประโยชน์ ถ้าบวชไม่จริงมันทำลายหมดแหละ ทำลายตัวทำลายพ่อแม่ ทำลายเพื่อนมนุษย์ ทำลายศาสนา ถ้าบวชเป็นบวชจริงมันก็ได้ประโยชน์ ๔ อย่างนี้บวชไม่จริงกลายเป็นทำลายสิ่งเหล่านี้หมด ทำลายโลกทำลายศาสนา บวชภาษาคนเพียงแต่รักษาประเพณี บวชภาษาธรรมทำพระนิพพานให้แจ้ง ทำให้โลกมีสันติสุข บวชจริงสึกออกมาเป็นบัณฑิต บวชไม่จริงสึกออกมาเป็นทิด เป็น (นาทีที่ 1.02.11) นบพิทิดพิธี ไอ้คำว่าทิดนี้มัน มัน มันล้อ มันมันก็เป็นคำล้อเอามาจากคำว่า (นาทีที่ 1.02.17) พิทิดพิธี บวชไม่จริงสึกออกมาเป็นทิด ด สะกด บวชจริงสึกออกมาเป็นบัณฑิต เรียกว่า ดิด เหมือนกัน บางทีก็เรียกว่า ทิด เหมือนกัน แต่มัน ฑ นางมณโฑ ตเต่าสะกด เป็นฑิต มาจากคำว่าบัณฑิต บวชจริงสึกออกมาเป็นบัณฑิต เรียกดิด บวชไม่จริงสึกออกมาเป็น (นาทีที่ 1.02.44) นบพิทิดพิธี บวชกับไม่บวชต่างกันอย่างไร คืออย่างนี้อย่างที่ว่ามานี้ เอาละ วันนี้ก็หมดเวลาที่เราตั้งใจไว้ชั่วโมงหนึ่ง ให้เธอจำให้ดีดี ให้ติดตัวไป สึกแล้วก็ยังดูไปเป็นสวัสดีมงคลทั้งบ้านทั้งเรือนทั้งโรงเรียนทั้งวิทยาลัย แล้วช่วยให้อันธพาลในวิทยาลัยน้อยลงทุกๆ คนด้วย