แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒ เมษายน สำหรับพวกเราที่นี่ ได้ล่วงมาถึงเวลา ๔:๓๐ น. แล้ว ในวันที่ ๔ ของการบรรยายนี้ จะได้กล่าวถึง “อาการของโรคทางวิญญาณ ที่ปรากฏออกมาในสายตา ของยุคปัจจุบัน” เกี่ยวกับเรื่องนี้ ต้องทำในใจ อยู่เสมอ ถึงข้อที่ว่า ความทุกข์เปรียบเหมือนโรค กิเลสเปรียบเหมือนสมุฏฐานของโรค ความไม่มีกิเลส หรือนิพพาน เปรียบเป็นความหายโรค ไม่มีโรค มรรคมีองค์ ๘ ประการ คือการ วิธีการรักษาเยียวยาโรค โรคให้หายไป
พระพุทธเจ้า ทรงตั้งอยู่ในฐานะ เป็นนายแพทย์ผู้เยียวยารักษา โรคทางวิญญาณโดยเฉพาะนั้น แก่สัตว์โลก ทั้งปวง ดังนั้นขอให้เราระลึกถึง ด้วยความรู้สึกบูชาคุณของพระองค์ อยู่เป็นปกติ ว่า สพฺพญฺญู สพฺพทสฺสาวี ชิโน อาจริโย มะมะ มหาการุณิโก สตฺถา สพฺพโลกติกจฺฉโก (นาทีที่ 02:27) อาจารย์ของเรานั้น เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง เป็นผู้เห็น สิ่งทั้งปวง เป็นผู้ชนะมาร เป็นผู้สั่งสอนซึ่งประกอบไปด้วย กรุณาใหญ่ เป็นผู้เยียวยารักษาโรค ของสัตว์โลกทั้งปวง ดังนี้ อยู่เป็นประจำ
สำหรับในวันนี้ก็จะได้พูดถึง อาการของโรค ให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งนี้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ในระยะแรก คือถ้าไม่รู้จักเรื่องโรค ก็ไม่มีทางที่จะรู้จัก เรื่องการรักษาโรค เราต้องมีปัญหา ให้เป็นที่ประจักษ์เสียก่อน เราจึงจะแก้ หรือสะสางปัญหาเหล่านั้นได้ ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟังอีกครั้งหนึ่ง ถึงเรื่องอาการ หรือลักษณะอาการของโรค ที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ ในยุคปัจจุบันนี้ แล้วขอเตือนอยู่เสมอว่า อย่าได้ลืมหลัก เรื่องโรคในทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณ โรคทางกายก็เสียดแทงร่างกาย โรคทางจิตก็เสียดแทงจิต โรคทางวิญญาณก็เสียดแทงวิญญาณ ให้มีสภาพผิดปกติ
เพราะฉะนั้นคำว่า โรค ในความหมาย ที่สรุปสั้นที่สุด ส่วนที่เป็นเหตุ ก็คือ ความผิดปกติ ความผิดปกตินั้น ก็เรียกว่า โรค มีผลของการเสียดแทง ทนทรมาน เนื่องจากความผิดปกตินั้น การเป็นโรคทางกาย มีความผิดปกติ ทางกาย เสียดแทงทางกาย ทีนี้โรคทางจิต นอกจากจะเสียดแทงทางจิต แล้วมันก็เสียดแทงลงมาถึงทางกายด้วย เพราะมันแสดงออกมาทางกาย ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ทีนี้โรคทางวิญญาณก็ไปไกลกว่านั้น มีความผิดปกติทาง วิญญาณแล้ว มีความทนทรมานทางวิญญาณ มันก็แสดงออกมาทางจิต แสดงออกมาทางกายในที่สุด ดังนั้นก็จะเห็น ได้ว่า ไอ้โรคทางวิญญาณ นี่มันมีความสำคัญ ในฐานะเป็นต้นตอ ที่มาของโรคทั้งหลาย เหล่าอื่นด้วย
ทีนี้มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ เป็นคนไข้ของอวิชชา ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ อวิชชาเป็นต้นเหตุ ของโรค ทางวิญญาณ มันก็ปรุงขึ้นมาเป็นกิเลสต่าง ๆ ทีนี้ต้องจำไว้ให้มั่นคง ว่าอวิชชาปรุงให้เกิดตัณหา ตัณหาปรุงให้เกิด อุปาทาน นี่เราพูดอย่าหลักคร่าว ๆ ไม่ซอยให้ละเอียดมากกว่านี้ อวิชชาสภาพปราศจากความรู้ ปรุงให้เกิดความอยาก ไปตามความไม่รู้นั้น เมื่ออยากในสิ่งใด ก็ยึดมั่นในสิ่งนั้น นี่เรียกว่า อุปาทาน อวิชชาปราศจากความรู้ ทำให้อยาก ไปตามความไม่รู้ก็ คือ อยากไปตามความโง่ ดังนั้นความต้องการที่ไม่เกี่ยวกับความโง่นั้น ไม่เรียกว่า ตัณหา คงหมายถึง แต่ความต้องการ ที่มันเนื่องมาจากความโง่ กำลังเป็นไปตามอำนาจของความโง่ คือ อวิชชา นี้คือสิ่งที่เรียกในภาษาบาลี ว่า ตัณหา
ในกรณีของเรา ที่กำลังพูดกันอยู่ คำว่า ตัณหา ในภาษาไทยตามธรรมดา มีความหมายแคบ หรือเป็นอย่างอื่น เพ่งเล็งอย่างอื่น หมายถึง ความต้องการทางกิเลส ทางกามารมณ์รุนแรง นี่เรียกว่า ตัณหา แต่ตัณหาในภาษาบาลี ซึ่งเป็นหลักธรรมะนั้น มันต้องการอะไรก็ได้ ถ้าต้องการด้วยความโง่ อันแรกก็ต้องการกามารมณ์ ด้วยความโง่ เพราะว่าต้องการความเป็นนั่นเป็นนี่ หรือว่ามีชีวิตอยู่นี่ด้วยความโง่ แม้กระทั่งต้องการความไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ ไม่มีชีวิตอยู่ก็ต้องการเหมือนกันด้วยความโง่ ดังนั้นมันจึงกว้างครอบคลุมไปหมด ในบรรดาความต้องการ ด้วยความโง่ ทั้งหลาย นี่เรียกว่า ตัณหา ถ้าจะเปรียบอวิชชาเหมือนเชื้อโรคที่ได้รับครั้งแรก อย่างนี้มันก็ ขยายตัวงอกงามออกมา ถึงขนาดที่จะเป็นเรื่องเป็นราว
ทีนี้ความต้องการที่แท้ เรียกกันว่า ความอยากด้วยความโง่อันนี้ มันก็ปรุงไปตามไอ้เรื่องราวของมัน อยากในสิ่งใด ก็ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น ดังนั้นสิ่งที่จะให้มันอยากมันมีมาก นับไม่ไหว ก็มีความยึดมั่นถือมั่น ในรูปร่างต่าง ๆ กันมากมาย ยิ่งไปยึดกับที่สิ่งใด ก็จะเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น ไอ้ความเป็นทุกข์ มันจึงเลยมีมากไปตาม ความมากของไอ้สิ่งที่ไปยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นด้วยอำนาจกามารมณ์ หรือทางกามารมณ์ก็ไปอย่างหนึ่ง ยึดมั่นด้วยทาง ความคิดความเห็นที่ผิด ๆ ของตัวนั้น ก็ไปอย่างหนึ่ง ยึดมั่นในการกระทำ ที่ทำมาเป็นนิสัย นี่ก็อย่างหนึ่ง กระทั่งยึดมั่น ตัวกูของกู ยึดมั่นสิ่งใดก็ยึดมั่นเอามาเป็นตัวกูบ้าง เป็นของกูบ้าง นี่มันมีต่าง ๆ กันอยู่อย่างนี้เรียกว่า “อุปาทาน” ความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเฉพาะกรณี ที่เกิดขึ้นทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางผิวหนังบ้าง ทางใจบ้าง
ถ้าจะศึกษาพุทธศาสนา ต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน ไม่อย่างนั้นเข้าใจไม่ได้ ว่าอวิชชาปรุงตัณหา ตัณหาก็เป็นเหตุให้เกิดอุปาทาน งอกงามออกไปในสิ่งใด แล้วก็เป็นทุกข์ เพราะอุปาทานนั้น เหมือนที่เราสวดมนต์ อยู่ทุกวันว่า สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา (นาทีที่ 10:52) โดยสรุปแล้วดาร เบญจขันธ์ที่ประกอบอยู่ด้วย ความยึดมั่นนั่นแหละ เป็นตัวทุกข์ เบญจขันธ์คือตัวเราขณะหนึ่ง ขณะหนึ่ง ที่มีความยึดมั่น ถ้าเบญจขันธ์คือร่างกาย จิตใจนี้ยังไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเกิดขึ้น มันก็ยังไม่เป็นทุกข์ เมื่อเบญจขันธ์คือร่ายกาย จิตใจนี้ ประกอบอยู่ด้วย ความยึดมั่นถือมั่น คือมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในจิต แล้วก็ยึดมั่นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือขันธ์อีกเหมือนกัน อย่างใด อย่างหนึ่ง มันก็เลยเป็นความทุกข์ขึ้นมา
สิ่งที่อยู่ข้างนอกตัวเรานั้น ทำให้เกิดความทุกข์ไม่ได้ ไม่เกิดอยู่ตามปกติ ต่อเมื่อใดจิตไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งเหล่านั้น ที่อยู่นอกตัวเรา มันก็กลายมาเป็นสิ่งที่อยู่ในตัวเรา คือในความรู้สึกคิดนึกที่เรากำลังคิดอยู่ นี้เรียกว่า มันปรุงแต่งความคิดที่เรียกว่า สังขารขันธ์ ขึ้นมา ในร่างกายจิตใจทั้งหมดนี้ ก็ประกอบอยู่ด้วยความยึดมั่น ในสิ่งนั้น มันก็เลยมีความทุกข์ขึ้นมา แบบใดแบบหนึ่ง ในหลาย ๆ แบบ ที่เป็นทุกข์โดยส่วนตัว ก็เกิดก่อนทุกที ทันทีที่มี ความยึดมั่น
ทีนี้ไอ้ความยึดมั่น ที่เป็นตัวกิเลสนี้ มันยังมีอำนาจงอกเงยออก ไปถึงเป็นเหตุให้ มีการกระทำที่เรียกว่า “กรรม” การทำกรรมนี่ก็ทำไปตามความโง่ ความอยากของความโง่ มันก็ไม่คิดอะไรมาก เอาแต่ประโยชน์ แล้วไอ้กรรมนั้น มันก็เลยเนื่องไปถึงบุคคลอื่น คือไปเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ทำให้คนอื่นหรือสังคม พลอยเดือดร้อน ไปด้วย แต่ถ้ามันทำกันมาก ๆ คน มันก็เดือดร้อนกันทั้งโลก นี่คือโลกหรือสัตว์โลกทั้งปวง กำลังมีความทุกข์กันอยู่ โดยที่ตัวเองเป็นผู้กระทำ ขึ้นแก่ตัวเองก็มี และโดยที่การกระทำของคนนั้น มันเกี่ยวข้องไปถึงคนอื่น มันก็มีการเป็น ทุกข์ทรมาน ที่เนื่องมาจากการทำผิดร่วมกันในโลก ดังนั้นเราจะต้องมองดูให้กว้าง หมดทั้งความทุกข์ที่มันเป็นส่วนตัว และเป็นส่วนสังคม
ทีนี้ก็มองให้ดีก็จะพบว่า มันเนื่องกัน การที่ใครคนใดคนหนึ่ง จะทำให้สังคมเดือดร้อนนั้น มันต้องเป็นเรื่องที่ ตัวเองทำผิดและเดือดร้อนอยู่แล้ว นี้ในบางกรณี มันก็พลอยเดือดร้อนไปถึงคนอื่นโดยตรง เช่น เขาต้องการอะไร ด้วยกิเลสตัณหา แล้วไปลัก ไปขโมย ไปฆ่า ไปเบียดเบียน ไปล่วงเกินของรักอะไรอย่างนี้ แล้วถ้ามันอยากมากกว่านั้น มันต้องการจะกอบโกย มันก็มีการกระทำที่ เป็นการกอบโกยระหว่างบุคคล ระหว่างหมู่คณะ ระหว่างประเทศชาติ หรือระหว่างมุมโลกซีกโลกหนึ่ง ทำแก่อีกซีกโลกหนึ่ง นี่คุณคิดดู มันเป็นปัญหาใหญ่เล็กเท่าไหร่ เมื่อคนซีกโลกหนึ่ง มันต้องการจะทำความกอบโกยกับคนอีกซีกโลกหนึ่ง มันก็เดือดร้อนกันทั้งโลก ทั้ง ๒ ฝ่าย
นี้มันมีมูลมาจากกิเลส ซึ่งจะเรียกว่า ตัวเล็ก ๆ อวิชชา ของคนเพียงคนเดียวอย่างนี้ก็ได้ ตรงนี้อยากจะแนะว่า ไอ้คนที่ไม่รู้ มันจะเห็นแต่กิเลสนี่เป็นของเล็ก เป็นตัวเล็ก หรือเป็นคำพูดคำเดียว แต่ที่จริงแล้วกิเลสไม่ใช่ตัวเล็ก ไม่ใช่ของเล็ก มันใหญ่กว่าโลก ไอ้โลกนี่เป็นเหยื่อของกิเลส ดังนั้นกิเลสตัวใหญ่กว่าโลก ตาคนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้มอง เห็นตัวกิเลส จะเข้าใจไปว่าไอ้กิเลสตัวเล็ก ๆ แล้วก็อยู่ในคน บางทีมองไม่เห็น เล็กเท่าเชื้อโรคอย่างนั้น อย่างนั้นก็ถูก เหมือนกันแต่มันไม่ถูกอย่างที่ ตามที่มันเป็นจริงแก่ทางจิตใจหรือวิญญาณ มันถูกเท่าที่ว่าไอ้ความคิด หรือสายตาของ คนที่ไม่รู้มองเห็น นี่ก็เรียกว่าอวิชชาด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นเหตุให้เข้าใจผิด มีความประมาท
ถ้าพวกคุณต้องการจะรู้ พุทธศาสนาต้องรู้จักสิ่งที่เรียกว่า กิเลสนี้ให้มันถูกต้อง โดยขนาด มาตรฐาน โดยฤทธิ์เดช พิษสง หรืออะไรของมันก็ตาม ดังนั้นจึงยอมเสียเวลาพูดมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน เราได้พูดมาถึงอาการ ของโรคครั้งหนึ่งแล้ว เดี๋ยวนี้ก็จะพูดให้ชัดลงไปในข้อที่ว่า มันแสดงออกมาให้เห็นได้ในสายตา แล้วก็ในยุคปัจจุบัน นี้ด้วย ที่ได้พูดยกตัวอย่างเหล่านี้ หรือเปรียบเทียบในลักษณะนี้ แล้วก็เอาเหตุการณ์ในปัจจุบันมาพูดนี้ เพื่อให้เข้าใจชัด ให้มันเป็นเรื่องอยู่ในวิสัยที่จะต้องรู้ จะต้องปฏิบัติ จะต้องเกี่ยวข้องด้วย ที่เรียกว่า practical นี่ให้มันมาก ไม่อย่างนั้น มันจะเป็นเรื่องพูด หลับตาพูด หรือพูดไปอย่างงมงาย นี่ขอให้ทนฟังในเรื่องอาการของโรค ที่ปรากฏในสายตาของเรา ในยุคปัจจุบัน ให้มากพอ แต่ก็มีเวลาพูดกันเพียงหัวข้อ พอสังเกตได้เท่านั้น
อาการอันแรก ก็อยากจะเรียกว่า อาการของโรคเป็นทาสของวัตถุ ถ้าเรียกตามภาษาศาสนา ก็เรียกว่า เป็นทาสของอารมณ์ หรืออย่างที่พูดกันให้ชัดลงไปอีกก็ว่า เป็นทาสของเนื้อหนัง สวามิภักดิ์ บูชาวัตถุ บูชาเนื้อหนัง หมายถึงวัตถุของกามารมณ์ ภาษาศาสนาเมื่อเราพูดว่า เนื้อหนังนี่ เราไม่ได้หมายถึงตัวเนื้อหนัง เราหมายถึง ไอ้กามารมณ์ เพราะกามารมณ์ทุกชนิด มันก็ต้องอาศัยเนื้อหนัง เป็นที่ตั้ง เป็นที่ทำงาน แล้วความสุข หรือความ เอร็ดอร่อยนั้น ก็เป็นเรื่องฝ่ายเนื้อหนัง ไม่ใช่ความสงบสุขฝ่ายวิญญาณ นี่ก็เลยเรียกมันว่า เนื้อหนัง สั้น ๆ ก็ได้ เนื้อหนังก็เป็นวัตถุ ดังนั้นจึงเรียกว่า บูชาวัตถุ ก็ได้
ที่เรียกกันเดี๋ยวนี้ว่า วัตถุนิยม ก็เล็งถึงส่วนนี้ เมื่อหลงวัตถุนิยม ก็ไม่บูชาไอ้เรื่องทางวิญญาณ ที่เรียกว่า มโนนิยม หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียก เป็นโรคบูชาวัตถุ ก็เพราะว่าวัตถุ มันให้ความเอร็ดอร่อย แก่เนื้อหนัง แล้วก็ไม่เป็นความสงบ เพราะมันเป็นไอ้ความหลง ในรสอร่อยของเนื้อหนัง ถึงร่างกายก็ไม่สงบ ถึงจิตก็ไม่สงบ คนเรามันทน เพื่อความอร่อยทางเนื้อหนัง นี่จึงทนความยากลำบากนานาประการ แล้วก็โดยไม่รู้สึกตัว เมื่อมองดูที่ โลกปัจจุบันนี้ ทั้งโลกเป็นทาสของวัตถุ หรือเนื้อหนังมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น เขาจะไม่คิดถึงสิ่งอื่นสิ่งใดหมด นอกจากไอ้ประโยชน์จากวัตถุ หรือเนื้อหนังนี้ ดังนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตากอบโกยวัตถุ ในประเทศเราไม่พอ ก็ต้องไป กอบโกยเอาจากประเทศอื่น พอเขาไม่ยอมให้ ก็ต้องมีแผนการ หรือมีอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะปราบปราม หรือที่จะเอามาโดยตรง โดยอ้อม โดยไม่รู้ตัว นี่ต่างฝ่ายต่างบูชาวัตถุ กระทำแก่กันและกันในลักษณะนี้ ไอ้โลกนี้ก็เป็นโรคที่เสียดแทง เผาลนอยู่ทั่วทุกหัวระแหง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือ ไอ้ภัยที่เกิดมาจากการแย่งชิง หรือสงครามนี่ มันก็มีทั่วทุกหัวระแหง คนที่ไม่ร่วมสงคราม ก็พลอยได้รับทั่วกันไปหมด
แล้วมันก็มีโรคอื่น ๆ ปลีกย่อยรวมอยู่ในนั้น ภัยของสงครามนี่ ทำให้เกิดโรคกลัว โรคทนทรมาน อีกนานาประการ เป็นเหตุให้ฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้อื่น ทำคอรัปชั่นอย่างนี้ก็มี ยืดยาวออกไป อย่างนี้อย่าเข้าใจว่า มันไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางศาสนา ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางธรรม ไปเห็นว่าเป็นเรื่องของโลกทางโลก ไม่เกี่ยวกับเรื่องทางธรรม ที่จริงนี่คือเรื่องที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องทางธรรม คือกิเลสกำลังแสดงบทบาทเต็มที่ ระบาดไปทั่วโลก มันออกมาจากจิตใจของคน ที่ไม่ประกอบไปด้วยธรรม ไม่มีธรรม มันก็ออกมาเป็นปฏิกิริยา ขยายตัว ออกไปเรื่อย จนได้เดือดร้อนกันทั่วโลก ก็หมายความว่าแต่ละคนเดือดร้อน แล้วก็ไม่ได้เดือดร้อน แต่เจ้าตัวคนเดียวนั้น หรือพวกเดียว มันพลอยเดือดร้อนกันไปหมด นี่ขอให้จำชื่อว่า โรคเป็นทาสของวัตถุ หรือเป็นทาสของเนื้อหนัง เป็นอาการของโรคอันแรก ที่กำลังระบาดอย่างน่ากลัวที่สุด
โรคที่ ๒ อยากจะระบุชื่อว่า โรคเกลียดพระเจ้า หรือเกลียดพระธรรม พระธรรมกับพระเจ้านั้นนะแทนกันได้ ถ้าหากว่าเราถือเอาความหมาย ของคำว่าพระเจ้าให้ถูกต้อง อย่าเป็นพระเจ้าของเด็ก ๆ พระเจ้าของคนเขลา ว่าเอาเอง เป็นเหมือนกับบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ โกรธก็ได้ เกลียดใครก็ได้ โมโหโทโสก็ได้ พระเจ้าอย่างนั้น มันเป็นพระเจ้าที่เขา พูดกันอีกรูปหนึ่งต่างหาก สำหรับคนโง่ก็ต้องพูดอย่างนั้น แต่สำหรับคนฉลาด ฟังแล้วก็ต้องพูดอย่างอื่น ให้มันดีกว่า นั้น พระเจ้านั้นต้องเป็นสิ่งที่มีอำนาจสูงสุด นี่แง่ความสำคัญ แล้วก็เป็นต้นตอที่มาของทุกสิ่ง ควบคุมสิ่งทุกสิ่งอยู่ในที่ ทั้งปวงนั้น เป็นบุคคลมันทำไม่ได้ มันต้องเป็นอะไรที่เก่งกว่าบุคคล มากมายหลายร้อย หลายพันเท่า
ดังนั้นเราต้องถือ เอาใจความว่า ได้แก่ พลังหรืออำนาจอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่นั้น หรือมีหน้าที่นั้น อยู่ตามธรรมชาติ หรือว่ามีปกติเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน ในทางพุทธศาสนาเราเรียกว่า พระธรรม คำว่าพระธรรม มีความหมายกว้าง กว้างจนไม่มีปากจะพูด ไม่มีเวลาพอที่จะพูด คือเป็นทุกสิ่ง เป็นต้นตอที่มาของทุกสิ่ง แล้วก็เป็น สิ่งสูงสุด ไม่มีอะไรไปหักล้างมันได้ ควบคุมสิ่งทั้งปวงอยู่ เพราะว่าสิ่งทั้งปวงก็คือ ธรรมหรือพระธรรมนั่นอีก เหมือนกัน พระธรรมในฐานะที่ว่าเป็นไอ้ตัวธรรมชาติ พระธรรมในฐานะที่เป็นตัวกฎธรรมชาติ ในฐานะที่เป็น การประพฤติกระทำหน้าที่ ของสัตว์ที่ต้องทำตามกฎธรรมชาติ ก็เป็นผลที่มันเกิดมา ตามสมควรแก่การกระทำ นี่อธิบายไว้ในการบรรยายคราวอื่น ๆ ละเอียดแล้วไปหาอ่านดู เราเรียกว่า พระธรรม ในเมื่อคนอื่นเขาจะเรียกว่า พระเจ้าก็ตามใจ
เดี๋ยวนี้มนุษย์เป็นโรคเกลียดพระเจ้า หรือเกลียดพระธรรม ไม่เคารพพระเจ้า หรือพระธรรม ยิ่งขึ้นทุกที เพราะมันไปเป็นทาสของวัตถุเสียแล้ว ไปบูชาวัตถุเสียแล้ว ไม่มีพระเจ้า หรือพระธรรมที่ถูกต้อง ก็ตั้งพระเจ้า เอาเองใหม่ ตั้งศาสนาเอาเองใหม่ บัญญัติพระธรรม เอาเองใหม่ตามอำนาจของกิเลส นี่ก็ตั้งศาสนาที่เห็นแก่ ประโยชน์ขึ้นมา ศาสนาประโยชน์ เรียกว่าอย่างนี้ก็ได้ ที่ว่าได้นั่นแหละถูก ได้นั่นแหละดี ได้มาเป็นของกูนั่นแหละ ยุติธรรม ทีนี้แต่ละคนถือศาสนาอย่างนี้กันมากขึ้น คุณสังเกตดูในหมู่พวกเรานี่ มันก็เริ่มไปถือศาสนาว่า ได้เป็นของกู นั่นแหละถูกต้อง หรือดี หรือยุติธรรม ทีนี้ในหมู่คณะหนึ่ง ๆ ก็ถืออย่างนั้น แล้วประเทศหนึ่ง ๆ ก็ถืออย่างนั้น กลุ่มประเทศแต่ละกลุ่มก็ถืออย่างนั้น แปลว่าตั้งศาสนาขึ้นมาใหม่ เป็นศาสนาประโยชน์ ศาสนาของวัตถุ ยื้อแย่งกันทางวัตถุ ได้นั่นแหละถูกต้อง ได้มาเป็นของเรานั่นแหละถูกต้อง
นี่โรคเกลียดศาสนา เกลียดพระเจ้าอย่างถูกต้อง มันก็ไปสร้างพระเจ้า หรือสร้างพระศาสนาขึ้นมาจาก กิเลสของตัวเอง เป็นศาสนาวัตถุนิยม ศาสนาประโยชน์ แล้วโรคอันนี้ก็เป็นมากขึ้น มากขึ้น ลุกลามมากขึ้น จนเหนี่ยวรั้งไม่ไหว แก้ไขไม่ไหว ยิ่งขึ้นทุกที ผมอยากจะกล่าวเป็นส่วนตัวสักหน่อยว่า ผมเฝ้าสังเกตดูลักษณะอย่างนี้ มาเป็น ๒๐ ปี ๓๐ ปี พบเลยว่ามันแรงขึ้นทุกที แรงขึ้นทุกที รุนแรงยิ่งขึ้นทุกที ศาสนาประโยชน์ ศาสนาวัตถุ ศาสนา เนื้อหนังนี่ มันเจริญแน่นหนา ขึ้นมาในโลกทุกที ไอ้ศาสนาแท้จริง ศาสนาของพระธรรม ของพระเจ้าที่แท้จริงกำลัง ลับเลือนไปทุกที อย่างที่พวกคุณมาสนใจกันอีก ในไม่กี่คนนี่มันก็ รู้สึกเลยว่ามันออกจะเป็นของแปลก ในเมื่อ ส่วนใหญ่ เขามันต้องการไอ้เรื่องทางวัตถุ ทางวัตถุนิยม ซึ่งมันตรงกันข้าม แล้วมันเป็นข้าศึกแก่กัน และกันกับ พระศาสนา หรือพระธรรมที่แท้จริง เราควรจะรู้จักโรคของโลกอันนี้ไว้ ว่ากำลังเป็นโรคเกลียดพระเจ้า เกลียดศาสนา เกลียดพระธรรม หันหลังให้พระธรรม หันหลังให้ศาสนา หันหน้าไปหาวัตถุนิยม ซึ่งไม่ควรจะเรียกว่าพระเจ้า ควรจะเรียกว่าภูตผีปีศาจ ถ้าเป็นพระเจ้าเป็นพระเจ้าอย่างภูตผีปีศาจ ของภูตผีปีศาจ มันก็มีพระเจ้าเหมือนกัน นี่ถ้าเราเป็นสัตบุรุษ ยึดความดี ความถูกต้อง ความยุติธรรมเป็นหลัก มันก็ต้องมีพระเจ้าหรือพระธรรมตามแบบ มโนนิยมดั้งเดิม
ทีนี้โรคที่ ๓ อยากจะระบุเป็นโรคปลีกย่อย ไปจากไอ้โรค ๒ โรคข้างต้น คือ โรคขยายการกิน การอยู่ การกินดีอยู่ดี ออกไปอย่างไม่มีขอบเขต จนกลายเป็นอบายมุข การอยู่ดีกินดี กลายเป็นอบายมุข ฟังดูก็น่าหัว หรือน่าขัน หรือไม่น่าจะเป็นไปได้ ตรงนี้คุณต้องเข้าใจไอ้คำ ที่มันอาจจะสับสนกันอยู่ได้ ๒ คำคือคำว่า กินดีอยู่ดี กับคำว่า กินอยู่พอดี ไอ้กินอยู่พอดีนั้นไม่เป็นไร ไม่อันตรายอะไร แล้วไม่ขยายออกไปได้ ส่วนคำว่า กินดีอยู่ดีนั้น มันไม่จำกัด มันขยายออกไปได้จนถึงจุดอันตราย เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ ของเรา หรือว่านักศึกษาของเราก็ตาม มันมุ่งหมาย ไอ้การอยู่ดีกินดี ทั้งนั้น พูดนี้ไม่ใช่สบประมาท ต้องการที่จะมีเงิน มีทรัพย์ มีเกียรติ มีลูก มีเมีย มีอะไรที่มัน ที่ว่าดี คืออย่างน้อย ก็ต้องการกินดีอยู่ดีทางปาก ทางท้อง
ทีนี้มันควบคุมไม่ได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือตัณหา หรืออวิชชานั้นนะ มันไม่มีขอบเขต มันขยายตัวออก ไปได้ การกินดีอยู่ด ีมันก็ขยายออกไปอย่างไม่มีกีดขั้น เรื่องอาหารการกิน เรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องอะไรต่าง ๆ นี่ มันก็ขยายออกไปเรื่อย กลัวเขาจะหวังมาตรฐานกันให้ มนุษย์คนหนึ่ง มีรถยนต์อย่างน้อยคันหนึ่ง มีตึกหลังหนึ่ง ข้างในตึกนั้นเต็มไปด้วยเครื่องสำราญขนาดนั้น เขามุ่งหมายที่จะให้มันเป็นอย่างนี้ เพราะเข้าใจว่า อย่างนี้เป็นศาสนาพระศรีอารย์ อะไรเป็นต้น นั่นนะคือผลของอวิชชา ซึ่งมันจะเป็นไปไม่ได้ แล้วโดยเฉพาะมันจะเป็น เรื่องสม่ำเสมอกันทุกคนไม่ได้ เพราะคนมันมีกรรมต่างกัน มันมีไอ้เหตุปัจจัยอะไรต่างกัน มันเหมือนกันไม่ได้ ทีนี้จะเอาให้เหมือนกัน มันก็ต้องจัดต้องบังคับ มันก็ยุ่ง
ทีนี้การกินดีอยู่ดีที่ว่านี้ แทนที่จะเป็นการให้ความสงบสุข มันกลายเป็นให้ความยุ่งยาก ให้ทรมานใจ และทรมานขยายวงออกไป ถึงทำให้คนอื่นพลอยลำบาก แทนที่จะเป็นการอยู่ดีกินดี กลายเป็นอบายหรือนรกอยู่ในนั้น อยู่ในใจกัน อยู่ในสิ่งที่เรียกว่า กินดีอยู่ดี ไอ้พวกทำบาป ทำชั่ว ทำคอรัปชั่น มันก็เอาไปเพื่อจะกินดีอยู่ดี ตามความหมาย ของมันนี่ ไม่ได้ต้องการจะเอาไปอื่น ไม่ได้ต้องการจะเอาไปใช้อย่างอื่น หรือเอาไปที่ไหน ต้องการจะเอาไปเพื่อการ อยู่ดีกินดี ตามความหมายของตัวเอง แล้วก็คอรัปชั่น เพราะว่ามันได้ไม่ทันใจ นี่ถ้าว่าได้ไปตามที่ต้องการแล้ว มันก็เอา ไป หลอกตัวเองให้โง่มากขึ้น คือให้หลงในเรื่อง รูป เสียง กลิ่น รสมากขึ้น แล้วมันก็เป็นอบายอยู่ที่นั่น เป็นนรกที่นั่น คือ ร้อนด้วยอำนาจของกิเลสอยู่ที่นั่น มากขึ้นกว่าเดิม ราคะ โลภะ โทสะมากขึ้นกว่าเดิม ความมัวเมาในกามารมณ์ มากกว่าเดิม นี้การอยู่ดีกินดี กลายเป็นอบาย กลายเป็นนรก ที่สวยงามอยู่ในนั้น แต่มันก็เป็นนรก เพราะว่าเป็นการ ทรมาน ถ้าเป็นการอยู่ดีกินดี ตามแบบโรคอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่าอันตราย จะกินอยู่พอดีตามหลัก ของพุทธศาสนา หรือศาสนาไหนก็ตาม ก็ต้องการจะกินอยู่พอดี ตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้ อย่างนี้ไม่มีอันตราย ไม่มีใครเดือดร้อน มีแต่จะ เหลือกินเหลือใช้ แล้วไปสงเคราะห์ผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เจือจานแก่บุคคลอื่นได้มากขึ้น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่หวงไว้เพื่อตัว จนไม่รู้ว่าจะเอาไปไหน
โรคที่ ๔ อยากจะระบุ ความไม่สันโดษ โรคความไม่สันโดษ ไม่ว่าในเวลาอะไร ๆ หรือไม่ว่าในเวลาไหน เมื่อไม่สันโดษมันก็ เมื่อไม่รู้สึกอิ่มที่เรียกว่า สันโดษ มันก็ต้องรู้สึกหิว คุณจำคำ ๒ คำนี้ไว้ให้ดี เพราะว่าใน ประเทศไทยนี้ เองก็กำลังเข้าใจคำว่าสันโดษผิด รัฐบาลสมัยหนึ่งขอร้องและห้ามไม่ให้สอนเรื่องสันโดษแก่ประชาชน พวกพระก็เลยงงกันไปหมด แต่ก็มีพระบางส่วนเหมือนกันที่เห็นด้วย เห็นตามนั้น เพราะเข้าใจคำว่าสันโดษผิด คำว่า สันโดษ แปลว่า ยินดีด้วยสิ่งที่กำลังมีอยู่ ตามตัวหนังสือแปลอย่างนั้น นั่นแหละคือ ความรู้สึกอิ่ม ถ้าเราไม่ยินดี ด้วยสิ่งที่กำลังมีอยู่เราก็หิวเท่านั้นน่ะไม่มีปัญหา งั้นสันโดษทำให้อิ่ม แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้หยุดทำอะไร หรือหยุดแสวงหาต่อไป เรามีอะไรทำอะไรได้เท่าไหร่มันก็ควรจะพอใจในสิ่งนั้น มันจะไปเป็นการอิ่มอยู่ตลอดเวลา
ที่ว่าถ้าได้อะไรมาเท่าไหร่ เวลาไหนก็ตาม ไม่พอใจไม่ยินดี ไม่รู้สึกอิ่มเลย มันก็เป็นจิตใจที่พร่อง ที่ว่าง ที่กลวง ที่หิวอยู่เสมอ นั่นนะคือความเป็นเปรต มีความหมายเป็นความหิวอยู่เสมอ มนุษย์มีความหิวอยู่เสมอ แม้จะมีของ เต็มบ้าน เต็มเรือน มีอะไรมากมาย จนไม่รู้ว่าจะบริโภคใช้สอยอย่างไร มันก็ยังหิวอยู่เสมอ ดังนั้นคอรัปชั่นใหญ่ หรือไกล หรือลึกออกไปอีก เพื่อความเป็นเปรตของมัน คือหิวมากออกไป ไปหาอ่านดูเรื่องสันโดษ ที่เขียนไว้ โดยละเอียดการบรรยายคราวอื่น ๆ สรุปใจความว่า ต้องการให้รู้สึกอิ่มเสมอ แล้วมีเรี่ยวมีแรงทางกาย ทางจิต ทางวิญญาณแข็ง เข้มแข็ง เพราะอิ่มอยู่เสมอ ที่จะทำความก้าวหน้าต่อไป ด้วยอำนาจของปัญญา
เดี๋ยวนี้คนขยันตัวเป็นเกลียว เพราะความหิว ความต้องการของความโง่บังคับ ไม่ใช่ด้วยอำนาจของปัญญา อย่างนี้สันโดษไม่ได้จริง ถ้ามันมีปัญญาอยู่แล้วมันก็ หยุดอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ มันต้องทำหน้าที่การงาน ทีนี้ทำได้เท่าไหร่ มันก็อิ่มอกอิ่มใจเท่านั้น อย่างที่นี่ ที่วัดนี้ ผมถือหลักว่าเสร็จทุกวัน งานที่ทำนี่เสร็จทุกวัน นี่สร้างอาคารหลังหนึ่ง กินเวลาหลาย ๆ ปี เราก็เสร็จทุกวัน เราก็อิ่มใจทุกวัน ไม่ใช่รอไปอีกหลาย ๆ ปีกว่าตึกมันจะเสร็จแล้ว อาคารจะเสร็จ แล้วจึงจะอิ่มใจ อย่างนั้นมันคงเหนื่อยตายเสียก่อน หรือเป็นโรควิปริตทางจิต ทางวิญญาณ เป็นบ้าหรือตายเสียก่อน หรือเป็นโรคทางร่างกายตายเสียก่อน ดังนั้นเรามันเสร็จทุกวัน สบายใจทุกวัน อิ่มทุกวัน แล้วก็ทำสนุกไปทุกวัน รุ่งขึ้นก็ มันเหมือนกับเรื่องที่ตั้งต้นใหม่อีก แล้วมันก็เสร็จในวันนั้นอีก มันก็สบายใจทุกวันอย่างนี้ ลักษณะของ การสันโดษเป็นอย่างนี้ มันหล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่น เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคไม่สันโดษ ไม่ ไม่รู้จักกับความอิ่มหรือความพอ หิวเป็นเปรตอยู่เสมอ เป็นอย่างนี้ กันทั้งโลกมากขึ้น นี่เป็นโรคทางวิญญาณ ที่กำลังเผาโลกกันอยู่ในปัจจุบันนี้ เผาทางวิญญาณ แล้วก็เป็นเหตุให้เผาทางไอ้กาย ทางภายนอก ทางวัตถุออกมา เป็นสงครามหรือเป็นอะไร คือ ที่เป็นการแย่งชิง ต่อไปอีก
โรคที่ ๕ อยากจะระบุชื่อว่าเป็น โรคของการพัฒนา สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพัฒนา หรือทำสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องทำ มากขึ้นทุกที พวกคุณเป็นนักศึกษาย่อมทราบดีว่า โลกกำลังก้าวหน้ามาก ในทางการศึกษา การค้นคว้า การประดิษฐ์ กระทั่งทำกันเป็นขนาดหนักเรียกว่าอุตสาหกรรม แต่แล้วก็ขอให้ดูไอ้ผล ที่เกิดขึ้นอีกทางหนึ่ง จากการที่มันก้าวหน้า เกินขอบเขต หรือว่าก้าวหน้าไปในทางที่ มันไม่จำเป็น มันก็เนื่องมาจากที่ว่ามาแล้ว คือว่ามันไม่สันโดษ ต้องการไม่มี ขอบเขต คำว่าไม่มีขอบเขตนั่น มันหมายความว่ามันเกินจำเป็น เมื่อมันต้องการเกินจำเป็น มันก็ค้นคว้าประดิษฐ์ ประดอยเกินจำเป็น ไอ้ของเกินจำเป็นมันก็ออกมา แล้วมันก็ยิ่งมากขึ้น มากขึ้น เกินจำเป็นมากขึ้น นี่เป็นมูลเหตุของ ความไม่สงบ ในหมู่มนุษย์
ความก้าวหน้าทางวิชาแพทย์ มันก็ก้าวหน้ามาก มากอย่างน่าอัศจรรย์ ขนาดที่จะเปลี่ยนคน เปลี่ยนอะไหล่คน เหมือนกับเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์อย่างนี้ มันก็ทำได้ แต่แล้วอย่าลืมว่า มันก็ไม่ได้ทำให้มนุษย์มีความสงบสุข มันทำให้ยุ่ง มากขึ้นเกินความจำเป็น ไม่ยอมตายในกรณี หรือในสถานะที่ควรจะยอมตายอย่างนี้ มันก็เป็นเรื่องยุ่งมากขึ้น บ้ามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นว่า เปลี่ยนหัวใจอย่างนี้ มันได้ผลไม่คุ้มค่าของความยุ่งยากลำบาก มันยังไม่ถึงเวลา ไว้ทีหลัง ก็ได้ อย่าไปสร้างความยุ่ง ให้มันเกิดขึ้นมามากเกินจำเป็น ไอ้แก้ไขส่วนที่มันควรแก้ไข โดยที่มันไม่เกิด ความยุ่งยาก ลำบาก แล้วมันถึงเวลาควรให้มันตายไปด้วยความสงบ อย่าไปกระตุ้นไว้ อย่าให้มันตายไม่ลง เรื่องทางแพทย์นี่ อาจจะ เลยเถิด ไปถึงไปคอยกระตุ้น คอยหล่อเลี้ยงไว้จนมันตายไม่ลง แล้วมันก็ตายอย่างไม่รู้ว่าตายเมื่อไหร่ ตายในลักษณะ อย่างไร คือ ตายไม่ได้สติ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ในทางฝ่ายศาสนา ที่เขาต้องการให้คนตายอย่างมีสติ ตายอย่าง ชนะความตาย นี่ก็ไปหล่อเลี้ยงไว้ ใส่นั่นใส่นี่ ฉีดนั่นฉีดนี่ไว้ ให้มันซึมกระทือ แล้วมันตายเมื่อไหร่ไม่รู้ มันตายอย่าง ผู้แพ้ ผู้ไม่รู้สึกตัว ในทางสมัยใหม่ เขาจะถือว่าดี หรืออะไรก็ตามใจ ผมไม่ทราบ ไม่สนใจด้วย
โดยถ้าทางธรรม ทางศาสนาแล้วก็ถือว่า เสียหาย เพราะไม่ได้ตาย ด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยความรู้สึกตัว หรือเอาชนะความตาย ทางธรรมะ เขาต้องการให้มีสติทำกาละ คือ ตาย รู้สึกตัวอยู่แล้วก็ดับจิต ดับลงไป เหมือนกับเรา ปิดสวิตช์ไฟ หรือดับตะเกียงอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้ลืมตา เป็นผู้มีแสงสว่าง เป็นผู้มีชัยชนะต่อความตาย เมื่อมันไม่ควร จะอยู่แล้วจะอยู่ไปทำไม ดังนั้นการไปประดิษฐ์ประดอยในส่วนนี้ มันก็เรียกว่าเป็นส่วนเกิน ไอ้พวกที่มีเงินจะเปลี่ยน หัวใจ เพื่ออยู่มีอายุต่อไป ๒-๓ เดือน ๒-๓ ปีอย่างนี้ ก็เพื่อสนุกสนานเท่าเดิม หรือเพื่อโง่เท่าเดิม ไม่เห็นมีประโยชน์ อะไร ทางศาสนาจึงถือว่ามันเกินไป มันฝืนความประสงค์ของพระเจ้า พวกคริสเตียนก็ต่อต้าน หรือคัดค้าน ไอ้ทำสิ่งที่ ทำเกินไปอย่างนี้ เขาให้เหตุผลเพียงว่า มันขัดความประสงค์ของพระเจ้า ไอ้เราก็ คนก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าทางศาสนาพุทธ จะให้เห็นผลบ้าง มันก็เรียกว่า ฝืนธรรมชาติ ผิดความมุ่งหมายของพระธรรม นี่ก็เหมือน ๆ กันแหละ แต่ที่แท้มันคือโง่ ไปทำส่วนเกินมากเกินไป ทำส่วนพอดีดีกว่า จะได้เอาเวลานั้นไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น แล้วก็ไม่ต้องมีอาการชนิดที่ เรียกว่ามันเกินไป มันทุเรศเกินไป นี่ไม่ใช่จะแกล้งติเตียน พูดเพียงให้เห็น ในส่วนเกินที่ก้าวหน้าจนเกินไป ในทางที่ ยังไม่ควรจะก้าวหน้า ควรจะก้าวหน้าในส่วนที่ควรก้าวหน้า ให้มันมากกว่านั้น ให้ประกอบอยู่ด้วยธรรมะนี่ คือว่ามีจิตใจ ที่มีสติสัมปะชัญญะ มีเหตุผล ไม่มีอวิชชาแทรกแซง
ทีนี้ก็มาถึงไอ้ เรื่องทางวัตถุทั่ว ๆ ไป ไม่ใช่แต่เฉพาะการแพทย์ การประดิษฐ์ประดอยอะไรต่าง ๆ ที่เขาประดิษฐ์กันขึ้นมากมายนั้นนะ มันเพื่อส่วนเกิน มนุษย์วิ่งออกไปสู่ส่วนเกิน อย่างวิ่งทีเดียว มิได้หยุด หรือมิได้ เดินไปช้า ๆ แต่มันวิ่งออกไปสู่ส่วนเกิน ก็คือโลกนี้มันวิ่ง มันหมุน หมุนอย่างหมุนจี๋ มันก็ยุ่งมาก มีส่วนเกินมากเท่าไร มีความทุกข์มากเท่านั้น ดังนั้นขอให้ไปสังเกตดูไอ้ผล ผลผลิต ผลที่ประดิษฐ์ขึ้นมาต่าง ๆ นั้นนะ มันเป็นส่วนเกินมาก ยิ่งขึ้นไปทุกที ไอ้เด็ก ๆ มันก็โง่ หรือหลงมาแต่ในท้อง เช่น เกิดมาต้องมีโทรทัศน์ ต้องมีตู้เย็น ต้องมีรถยนต์ มีตึก อะไรอย่างนี้ มันก็วางมาตรฐานอย่างนั้น มาแต่ในท้อง แล้วพอเกิดมา ลืมตาขึ้นมามันก็เห็นไอ้สิ่งเหล่านี้
แต่โบราณ ไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ อยู่ได้โดยไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้ มันทำให้เกิดยุ่งยาก ลำบากมาก ก็ไม่ต้องการ คนสมัยนี้ก็หาว่าคนโบราณโง่ ครึคระ ไม่ก้าวหน้า คนโบราณเขาไม่ได้หลงมากในเรื่องนี้ เขาต้องการแต่ที่มันพอดี ที่อยู่ได้อย่างผาสุก ถ้าก้าวหน้าก็ก้าวหน้าไป ตามเหตุผลที่มันมี คือไปอย่างช้า ๆ ทีละนิด ไม่ใช่วิ่งจี๋กระโดดพรวดพราด จะไปโลกพระจันทร์ หรือไปอะไรทำนองนี้ มันทำให้เปลือง ให้อะไรเกินกว่าที่ควร จะเปลือง แล้วมันก็ทำให้เกิดความยุ่งยากลำบาก เกินกว่าที่ควรจะยุ่งยากลำบาก ถ้ามันเห็นแก่ตัวมากขึ้น มันก็เลย ไม่เอื้อเฟื้อผู้อื่น จะปล่อยให้ผู้อื่นนอนตายเกลื่อนไปหมดก็ได้ โดยที่เราจะไปทำส่วนเกินส่วนเฟ้อเหล่านั้น ด้วยเงิน ของเราเอง ไม่เอาไปเอื้อเฟื้อเจือจานมัน นั่นแหละคุณไปพิจารณาดูตามตัวอย่างนี้ จะพบว่าไอ้ส่วนเกินนั้น มันให้โทษ ลึกซึ้ง แล้วทำให้ผู้นั้น เจ้าของเรื่องนั้นนะ หิวเป็นเปรตอยู่เสมอด้วยเหมือนกัน คือต้องการอย่างไม่มีหยุดพัก เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว โวหารนี้จำไว้ด้วย เรื่องเห็นกงจักรเป็นดอกบัวนี่ กำลังมีมากขึ้นในโลก ไปเห็นสิ่งที่มันจะ ล้างผลาญมนุษย์ ว่าเป็นสิ่งที่ก้าวหน้า หรือความเจริญ เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
โรคที่ ๖ อยากจะระบุ โรคความเห็นแก่ตัวข้างเดียว ยิ่งก้าวหน้าตามแบบของชาวโลกนี่เท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มความ เห็นแก่ตัวเท่านั้น การศึกษาก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว การกีฬาก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว นี่รากฐานมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้การงาน ต่อไปข้างหน้า มันก็เพิ่มความเห็นแก่ตัว เพราะมันเป็นโรคเห็นแก่ ตัวชนิดขึ้นสมอง หมายความว่า มันเกินขอบขีด หรือว่าถึงขีดสูงสุด ตามันไม่มองเห็นผู้อื่นแล้ว มันมองเห็นแต่ตัว มันก็เลยเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ดังนั้นการที่จะทำอะไร จะศึกษาเล่าเรียนอะไรก็ตาม ในสมัยโบราณเขาให้ภาวนา ให้ว่าคาถา คือ จูงใจตัวเองให้มองเห็น แก่ความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ให้นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ทำสิ่งนี้เพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เพื่อความเห็นแก่ตัว
อย่างคุณจะมาเรียนวิชาแพทย์ กับอาจารย์อย่างนี้ พอนาทีแรก ๆๆ แรกเริ่มเขาก็จะให้ระลึก ถึงพระเจ้า หรือความจริง ความถูกต้อง ความยุติธรรม ความอะไรที่เรียกว่า พระธรรม แล้วเราก็จะต้องทำสิ่งนี้ ตามที่เป็นธรรม เพื่อความเป็นธรรมอะไร มันก็เป็นแพทย์อุดมคต ิออกมาเพื่อช่วยมนุษย์ ให้ไม่มีความทุกข์เกี่ยวกับโรคทางกายนี้ เห็นไอ้ค่าจ้างรางวัล นั้นเป็นขี้ฝุ่นอยู่ใต้ฝ่าเท้าเสมอ เห็นการได้ทำหน้าที่ตามอุดมคติเป็นสิ่งสูงสุด อยู่บนศีรษะบูชาอยู่ อย่างนี้ มันก็ไม่มีช่องทางที่จะเห็นแก่ตัว มันก็เจริญไปได้เหมือนกัน ประโยชน์ก้าวหน้า หรือเจริญ ต้องการทรัพย์ก็ได้ ทรัพย์ตามที่ควรจะได้ เพราะว่าเราเป็นแพทย์ผู้เยียวยาความทุกข์ยากของคนอื่น ไม่ใช่เป็นพ่อค้า มันก็เลยไม่มีความ เห็นแก่ตัว ที่จะก่อรูปร่างขึ้นมา จะเล่าเรียนอะไร ก็ตามเขาจะให้บูชาพระก่อนเสมอ เพื่อย้อมไอ้ความไม่เห็นแก่ตัว ไว้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
เดี๋ยวนี้มันหลับตา ทำอย่างเครื่องจักร พอกพูนความเห็นแก่ตัวอย่างเครื่องจักร โลกมันจึงเป็นโลกของ ไอ้ภูตผีปีศาจ ที่เห็นแก่ตัวไม่ดูหน้าใคร นี่เรียกว่า โรคเห็นแก่ตัว แล้วก็ชักชวนกันมาเป็นพวก แล้วก็เห็นแก่พวก เพื่อไปทำลายพวกอื่น มีเชื้อโรคมาตั้งแต่ ไอ้กองเชียร์ในสนามกีฬาของมหาวิทยาลัย นั่นคือ เยิม(นาทีที่ 54:02) ของความเห็นแก่ตัว รวมพวกกันเพื่อจะทำลายพวกอื่น หรือว่าข่มขี่พวกอื่นนั้น ยกย่องส่งเสริมหรืออะไรแต่ แก่พวกตัวทั้งนั้น นี่เป็นการศึกษาที่ผิด เพราะว่ามันเพิ่มความเห็นแก่ตัว
ทีนี้โรคที่ ๗ อยากจะระบุ โรคไม่รู้จักบุญคุณของพ่อแม่ หรือผู้มีบุญคุณ ก้าวหน้าทางวัตถุ ทางวิทยาศาสตร์ เห็นการที่ลูกเกิดมาจากพ่อแม่นี่เป็นของธรรมดา เหมือนผลไม้ ต้นผลไม้สืบพันธุ์อย่างนั้น ก็เลยไม่มีช่องว่าง เพื่อให้ว่า พ่อแม่เป็นผู้มีบุญคุณเหลือล้น แก่ชีวิตของเรา มนุษย์คล้ายเครื่องจักรมากขึ้น ไม่มีความรู้สึกทางจิต ทางวิญญาณ พ่อแม่ก็เลยไม่มี มันเหมือนกับไอ้ลูกผลไม้ที่มันออกมาจากต้นไม้ มันไม่ถือว่าต้นไม้เป็นพ่อแม่ คล้าย ๆ กันอย่างนั้น มันเหมือนเครื่องจักรอย่างนี้ ทีนี้มนุษย์วิวัฒนาการทางจิต ทางวิญญาณสูง มันควรจะมีความรู้สึกอะไร ที่ลึกกว่านั้น คือมีพ่อแม่หรือมีบุญคุณ มีความเป็นพ่อแม่ ถ้าไม่มีความเป็นพ่อแม ่มันก็เหมือนกับสุนัขและแมว มันไม่มีความเป็น พ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่ต้องมีบุญคุณ ไปดูสุนัขและแมว เป็นต้น เป็นตัวอย่าง ถ้ามนุษย์มันต่างจากสัตว์เหล่านั้น มันก็ต้องมี พ่อแม่ มีสถาบันพ่อแม่สูงสุด ประเสริฐอยู่บนศีรษะ แล้วมีบุญคุณอย่างยิ่ง เรายอมตายก็ได้ อย่าว่าแต่ยอมเสียของรัก ของอะไร เพื่อขัดใจพ่อแม่ เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวไม่เป็นอย่างนั้น เห็นแก่ตัวกู เห็นแกประโยชน์ของกู ทางเนื้อหนัง แล้วก็ไม่เคยตามใจพ่อแม่ในเรื่องนี้ มันก็พอดีกัน ทีนี้ไปชั้นลูก ชั้นหลาน ชั้นเหลน ก็เป็นอย่างนี้มากขึ้น สถาบันพ่อแม่ จะหายไป คุณคอยสังเกตดู นักเรียนไปเรียนเมืองนอกกลับมา หาว่ามีบุญคุณกับพ่อแม่ เพราะทำให้พ่อแม่มีชื่อเสียง นี่เป็นเรื่องที่เขาเล่า เป็นความจริงไม่ใช่นิทานกุข่าว แทนที่พ่อแม่จะมีบุญคุณแก่ลูก ก็ ลูกกลายเป็นมีบุญคุณกับพ่อแม่
โรคที่ ๘ อยากจะระบุ โรคที่ถือว่า ครูบาอาจารย์เป็นลูกจ้าง ไม่ใช่ผู้มีบุญคุณ เดี๋ยวนี้ก็โรคนี้ระบาดมาจาก เมืองนอก เข้ามาเมืองไทย ครูบาอาจารย์ก็เป็นลูกจ้างมากขึ้น ความเคารพครูบาอาจารย์ อย่างครูบาอาจารย์ไม่มี สถาบันครูบาอาจารย์ไม่มี มีแต่สถาบันลูกจ้างสอนหนังสือ แล้วสัตว์ทั้งหลายจะเป็นอย่างไร มันไม่มีครูบาอาจารย์ ที่จะชักนำในทางวิญญาณ หรือจูงในทางวิญญาณ นี่ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ตกต่ำ เป็นสถาบันที่ตกต่ำกันไปทุกที เพราะมันออกมาจาก ไอ้วัฒนธรรมที่มันไม่เห็นว่า ครูบาอาจารย์มีบุญคุณสูงสุด หรือผู้นำทางวิญญาณ จนเขาจะทำกับ ครูบาอาจารย์อย่างไรก็ได้ เรื่องเมืองนอกเมืองนามันก็ปรากฏอยู่เป็นประจำวัน คุณไปดูเอาเองก็แล้วกัน นี่ผมระบุเป็น โรคอกตัญญู เชื้อโรคของความอกตัญญูมันระบาด ไม่รู้คุณพ่อแม่ ไม่รู้คุณครูบาอาจารย์
ทีนี้โรคที่ ๙ อยากจะระบุ ความไม่เคารพคนเถ้าคนแก่ พระเจ้า พระสงฆ์ วัฒนธรรมโบราณคนเถ้าคนแก่ ได้รับความเคารพยกย่อง แม้จะเป็นคนยากจนเข็ญใจ หรือจะคนบ้า ๆ บอก็ตามใจ ความเป็นคนเถ้าคนแก่ของเขานั้น เขายกให้เป็นสถาบันที่คนหนุ่มจะต้องเคารพ นี่ว่าแก่ทางร่างกาย ทีนี้ถ้าแก่ทางวิญญาณ คือ เป็นสมณะพราหมณ์ เป็นพระเจ้า พระสงฆ์ ดังน้นก็ยิ่งต้องเคารพ เดี๋ยวนี้คนแก่ถูกมองในแง่ที่น่ารังเกียจ จนกระทั่งว่า แม้แต่พ่อแม่ ของตัวเองนั่นแหละ พอเถ้าแก่ขึ้นมาก็ลูกหลานมามองเป็น สิ่งที่น่ารังเกียจ น่าจะหลีกไปเสียให้พ้น เห็นพระเจ้า พระสงฆ์ ว่าเป็นคนครึคระล้าสมัยโว้ย มาอีกแล้วอย่างนี้ ถ้ามองกันใน ที่ถูกที่ต้องแล้ว มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น คนเถ้าคนแก่นั่น เขาจะไม่มีอะไรแก่เราก็ตามใจ แต่ว่าเขาเกิดก่อนเรา เห็นโลกก่อนเรา ถ้าเราเคารพคนเถ้าคนแก่ อยู่เราก็จะสนใจ เอื้อเฟื้อคนเถ้า ๆ คนแก่ รับฟังความคิดความเห็นของคนแก่ ซึ่งเขาคงจะบอกอะไรให้เราได้ ไม่น้อย เหมือนกัน คุณอย่าลืมข้อเท็จจริงที่ว่าวิชาความรู้ในโลก มันสืบมาจากคนที่เกิดทีแรกเสมอ แม้วิทยาศาสตร์ ขนาดไป โลกพระจันทร์ได้ มันก็งอกงามมาจากไอ้ความรู้ ขั้นต้น ๆ ของคนที่เกิดก่อน ตายก่อนโดยไม่รู้ กี่ร้อยปีพันปีมาแล้ว ไม่ใช่มาตรัสรู้เอาเองได้เดี๋ยวนี้ งั้นการรับฟังไอ้คนที่เกิดก่อน แล้วก็ให้เกียรติแก่คนที่เกิดก่อนนั่นนะ เขาถือเป็น สถาบันศักดิ์สิทธิ์อันหนึ่ง พระเจ้า พระสงฆ์ ก็หมายความว่า เกิดก่อนทางฝ่ายวิญญาณ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ต้องนับรวม คนบกพร่อง เพราะคนปลอมบวชก็มี พระเจ้า พระสงฆ์ที่เหลวไหลก็มี
เมื่อเราพูดว่าพระเจ้า พระสงฆ์ก็หมายถึง ที่เป็นสถาบันที่ถูกต้อง แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็ให้ถือว่า มันก็เป็น สัญลักษณ์ เช่น ธงชาติเป็นสัญลักษณ์ของชาติ เราเคารพผ้าขี้ริ้วผืนนั้น ในฐานะเป็นสัญลักษณ์ของชาติ ทีนี้คนแก่ หง่อม ร่างกายน่าเกลียดนั่นนะ มันเป็นสัญลักษณ์ของ ไอ้ความที่เกิดก่อน แก่กว่าเรา เห็นโลกก่อนเรา อะไรอย่างนี้ หรือพระเจ้า พระสงฆ์ หรือผ้าเหลือง นี่สัญลักษณ์ของความสงบ ถ้าเราเหลือบเห็นพระสงฆ ์ เรานึกถึง ความสงบ เราก็บูชาบุคคลที่สนใจในความสงบ หรือมีความสงบ จนกว่าถ้าไอ้อาการอย่างนี้ มันยังมีอยู่คือเคารพคนเถ้า คนแก่ พระเจ้า พระสงฆ์ในศาสนาแล้ว โลกก็ไม่กระโจนไปสู่กองไฟได้ง่ายเหมือนเดี๋ยวนี้ มันยังมีจิตใจที่อ่อนโยน ไม่กระด้าง
โรคที่ ๑๐ อยากจะระบุอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อไปอีก เป็น โรคชอบเพื่อนอันธพาล มากกว่าชอบเพื่อน ที่เป็น สัตบุรุษ มันฟักตัวขึ้นมาอย่าง ไม่ทันจะรู้สึกตัว หรือไม่น่าจะเป็น เมื่อตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสอย่างโรคที่หนึ่ง ทีแรก แล้ว มันก็ชอบเพื่อนที่ส่งเสริมกิเลสด้วยกัน คือความเป็นอันธพาล มันน่าประหลาดที่ว่าเด็ก ๆ รุ่นหลังนี้ ชอบเกเร เกกมะเหรก ข่มเหงผู้อื่น แล้วออกไปเป็นเด็กอันธพาล นั้นไอ้จำนวนจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋อะไรมันก็มากขึ้นพรึบขึ้นมา มันเป็น โรคชอบเพื่อนอันธพาล มากกว่าเพื่อนที่เป็นสัตบุรุษ เพื่อนที่สงบ ถูกต้องเรียบร้อยถูกมองไปในแง่ครึคระ ไอ้โลดโผน อันธพาล ไอ้ชกต่อยตีรันฟันแทง กระทั่งฆ่ากันด้วยลูกระเบิดนี้ มันกลายเป็นสิ่งที่นิยมชมชอบ เป็นแฟชั่นขึ้นมา
โรคที่ ๑๑ อยากจะระบุ ไม่รู้จักศิลปะของพระเจ้า นี่เป็นคำบัญญัติเฉพาะว่า ไม่ ไม่ชอบศิลปะของพระเจ้า พระเจ้า คือ ธรรมชาติ ไม่ชอบศิลปะตามแบบธรรมชาติ ตามมาตรฐานธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะแห่งความสงบ ทีนี้เราไปคิดประดิษฐ์ไอ้ศิลปะแบบต่าง ๆ แบบใหม ่ๆนี่ คุณก็รู้ดีกว่าผมก็ได้ ศิลปะไอ้แบบหลัง ๆ นี่เป็น art อะไรที่ คนอื่นดูไม่ออก นอกจากคนที่ไปบ้าหลงมันเท่านั้น มันมีกฎเกณฑ์ศึกษากันอย่างนั้น อย่างนี้ อย่างโน้น ตั้งพัก คือ ตั้งนานนะ กว่าจะไปเข้าใจอันนั้น แล้วไปชอบไอ้ศิลปะอันนั้นได้ ศิลปะเสียเวลา ศิลปะไม่มีประโยชน์ ศิลปะที่ทำให้ บ้ามากขึ้น เพ้อฝันมากขึ้น ไม่มีความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นศิลปะเสพติด มันก็สูบกัญชายาฝิ่นอย่างนั้น ไปหลงไอ้ศิลปะไอ้ประดิษฐ์ใหม่นั่นนะ ศิลปะตามความงามธรรมชาติ ของดิน ฟ้า อากาศ ของไอ้ดวงดาว ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ทะเล ภูเขา ไม่มีใครชอบ ซึ่งมีลักษณะของความสงบ ไปประดิษฐ์ศิลปะที่ทำให้เพ้อฝัน เลื่อนลอย ไปตาม ไอ้ความโง่ ความหลงบูชาสิ่งแปลกประหลาด แล้วก็เรียกว่า ศิลปะหรือความงามอย่างนี้ ถ้าเป็นไปอย่างนี้มากขึ้น มันก็จะเหินห่างความสงบมากขึ้น จะไปสร้างความคิดฝันใหม่ ๆ ซึ่งมันไหลไปด้วยอำนาจของ ไอ้อวิชชา กิเลสตัณหา แปลก ๆ เท่านั้นเอง เขาจะเรียกว่าด่าหรืออะไรก็ตามใจ เขาจะรุมกันด่าผมตอบก็ตามใจ ผมต้องพูดอย่างนี้ ว่ามนุษย์ กำลังเป็นโรค ไม่ชอบศิลปะของพระเจ้า ไปชอบศิลปะที่เลื่อนลอย ไปตามอำนาจของอวิชชาที่อยากจะทำอะไรแปลก ๆ
โรคที่ ๑๒ อยากจะระบุ โรคที่ไม่มีศีลข้อกาเมสุมิจฉาจาร กาเมสุมิจฉาจารนั้น คือ ศีลข้อห้าม ที่ไม่ให้ล่วงเกิน ของรักของผู้อื่น โดยเฉพาะวัตถุแห่งกามารมณ์ของผู้อื่น เช่นบุตร ภรรยา อะไรที่เราก็รู้กันดี เดี๋ยวนี้เขาจะยกเลิก ศีลข้อนี้ กันขึ้นทุกทีในโลกนี้ พวกไทยก็ตามก้นพวกฝรั่ง ไอ้เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร ก็ค่อย ๆ จางไป จางไป ตามแบบของ ที่หลงวัตถุนิยม การประพฤติประทุษร้ายภรรยาของผู้อื่น นี่จะไม่ถือว่าเป็นความผิดแล้ว กำลังจะไม่ถือว่าเป็นความผิด แล้ว แล้วความลุ่มหลงในกามารมณ์หนักขึ้น ก็จะรีบแลกเปลี่ยนภรรยากัน เฉพาะวัน เฉพาะคืน นี่เพื่อกามารมณ์ที่มีรส แปลกไป อย่างนี้ นี่ก็เป็นลักษณะที่เรียกว่า จะไม่มีศีลข้อที่เรียกว่า กาเมสุมิจฉาจารกันแล้ว
เดี๋ยวนี้เจริญด้วย เครื่องคุมกำเนิด ทางวัตถุ ทางอาการปฏิบัติอะไรก็ตาม ไอ้คนหนุ่มคนสาว ก็ไม่ต้องกลัวโทษ ที่จะเกิดจากกาเมสุมิจฉาจารยิ่งขึ้น โลกไม่มีศีลข้อที่ ๓ นี่ก็จะหนักขึ้น หนักขึ้นกันในโลกนี้ ทั้งคนโสดและคนที่มี ครอบครัว ทีนี้จิตใจมันก็เสื่อมทราม ตกต่ำ ไอ้จิตใจที่มันเสื่อมทราม ตกต่ำนี่มันทำอะไรได้ทุกอย่าง มันจึงมีการอวด อวัยวะ ที่ไม่ควรจะอวด เครื่องนุ่งห่มที่ไม่เป็นเครื่องนุ่งห่ม ที่ส่อแสดงอวัยวะที่ไม่ควรจะส่อแสดง เพื่อประหยัดเวลา คุณไปดูภาพนางเบ็ดที่อยู่ในตึกโรงหนัง แล้วลองอ่านข้อความนั้นดู การอวดอวัยวะที่ไม่ควรจะอวด เพราะจิตใจมันตก เป็นทาสของกามารมณ์ จะยกเลิกศีลข้อที่ ๓ กาเมสุมิจฉาจาร นี่ความมีจิตทราม นี่ระบดระบาดออกไป ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะมากขึ้น โลกนี้ก็เป็นโลกของภูตผีปีศาจอีก
โรคสุดท้ายโรคที่ ๑๓ อยากจะระบุ โรคว่าชื่อ โรคประชาธิปไตยชนิดที่เชือดคอตัวเอง โลกเรากำลังบูชา ลัทธิประชาธิปไตย ทีนี้มันเป็นประชาธิปไตยของคนที่เป็นทาสวัตถุ เป็นทาสของกามารมณ์ มันก็ชวนกันเฮไป ยกไอ้วัตถุ หรือกามารมณ์ขึ้นเป็นพระเจ้า มันก็ประชาธิปไตยในทางที่เป็นทาสของกามารมณ์ ของไอ้วัตถุนี่ ประชาธิปไตยนั้น มันดีต่อเมื่อมันเป็นธรรมาธิปไตย คือ บูชาพระธรรม บูชาพระเจ้า แล้วเป็นประชาธิปไตยมีอิสรภาพ เสรีภาพ เพราะพระเจ้า หรือพระธรรม ช่วยให้เรามีเสรีภาพจากอำนาจของกิเลส เดี๋ยวนี้เราได้ประชาธิปไตย มาสำหรับ ทำอะไรตามชอบใจ แต่ในทางเป็นทาสของกิเลส นี่เรียกว่า ประชาธิปไตยเชือดคอตัวเอง ให้มนุษย์สูญเสียความเป็น มนุษย ที่มีมนุษยธรรม มันก็เฮกันไปในทางเห็นแก่ตัว อย่างที่ว่ามาแล้ว เพราะมันทุกคนเป็นโรคเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว พอได้ประชาธิปไตยมา มันก็เฮไปในทางเห็นแก่ตัว ทุกคนนี่ มัน มันเป็นโรคเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ถ้าการประชุมในที่ ประชุมนั้น มันก็โหวตไปทางทำตามเห็นแก่ตัว ก็คือ เชือดคอตัวเอง
ดังนั้นโลกกำลังมีความทุกข์ลำบาก เพราะเศรษฐกิจ เพราะสงคราม เพราะอะไรมากขึ้น เพราะประชาธิปไตย ทำไปเพื่อประโยชน์แก่เนื้อหนัง ทำไปเพื่อ ส่วนเกินที่ไม่ควรจะเกิน เหมือนที่ได้ว่ามาแล้วในข้อต้น ๆ ผลสุดท้ายไอ้ยอด ของประชาธิปไตย ก็คือ ลัทธิแบบฮิปปี้ยิส (นาทีที่1:10:12) ไม่ได้หมายถึงตัวฮิปปี้นะ แต่ว่าหมายถึงความหมายของ ไอ้ลัทธิฮิปปี้ ฮิปปี้ลิซึ่ม (นาทีที่1:10:20) คือความบูชาประชาธิปไตย ในทางเนื้อหนังของตนเอง มีปรัชญาของตนเอง เพื่อให้เป็นอิสระ ในการที่จะบูชากิเลส ไปตามอำนาจของกิเลสที่ผมเรียกเอาเองว่า ฮิปปี้ลิซึ่ม(นาทีที่1:10:36) ความหมายของไอ้พวกฮิปปี้
นี่การศึกษา การก้าวหน้าของการศึกษา กระทั่งประชาธิปไตยนี่ที่เดินไปผิดทาง มันเดินไม่ถูกทาง มันก็เพื่อ เชือดคอตัวเอง ด้วยการเป็นทาสของอารมณ์มากขึ้น ธรรมะหรือศาสนา เข้าไปไม่จุ ในรัฐสภาของไอ้พวกที่เป็น ประชาธิปไตย ชนิดนี้ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะในสภานั้น ๆ นี่ไม่ใช่คำด่า เป็นเพียงคำแถลงความรู้สึก ที่มองเห็นจากการสังเกตมาเป็นปี ๆ ๒๐ ปี ๓๐ ปี ฝากให้คุณเอาไปคิดดูด้วย เพราะว่าเป็นโรคที่ร้ายที่สุดของโรค ในปัจจุบันนี้ คือโรคประชาธิปไตยชนิดเชือดคอตัวเอง มียอดสุดของอุดมคติหรือปรัชญาเป็นฮิปปี้ลิซึ่ม(นาทีที่1:11:39) ตามใจตัวเอง ด้วยเรื่องทางเนื้อหนัง
เราได้พูดกันมาจนเกินเวลาไปบ้างแล้ว เพื่อให้มันหมดตัวอย่างที่อยากจะยกมาให้เห็นว่า ไอ้โรคที่กำลังลุกลาม อยู่ในโลก แสดงอาการปรากฏออกมา ให้เห็นได้ในสายตาในยุคปัจจุบันนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็มีอยู่อย่างที่ได้ยกให้เห็น เป็นตัวอย่างนี้ นี่ก็มีต้นตอมาจากความเป็นคนไข้ของอวิชชา ขยายอาการออกไปเป็นตัณหา เป็นอุปาทานตามหลัก ของธรรมะ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งคุณต้องการจะเรียน จะศึกษา จะเข้าใจ จึงได้มากันถึงที่นี้ ดังนั้นก็ต้องพูดถึงเรื่องที่ มันเป็น practical จริง ๆ อย่างนี้ สำหรับที่จะรักษา เยียวยา แก้ไขตามวิถีทางของพุทธศาสนา จะชอบหรือไม่ชอบ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ผมไม่ถือเป็นหลักสำคัญ ผมจะพูดไปแต่ที่ผมเห็นว่าควรจะพูด หรือมีเหตุผลในการที่จะ แก้ไขโลกให้ดีขึ้น รักษาเยียวยาโลกให้ดีขึ้น ตามความมุ่งหมายของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นนายแพทย์ผู้จะเยียวยา รักษาโรคทางวิญญาณ ของโลกอยู่ตลอดกัลปาวสาน นกก็ร้องพอดี ก็หมดเวลา ก็ยุติไว้เท่านี้ก่อน