แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๔ สำหรับพวกเราที่นี่ ล่วงมาถึงเวลา ๔.๓๐น. แล้ว เป็นเวลาที่จะได้พูดกันเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในบรรดาเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับธรรมทูต ในครั้งที่แล้วๆ มาได้พูดมาโดยลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่ว่างานธรรมทูตคือ “งานปราบผี” แต่ธรรมทูตจะปราบผีได้อย่างไร ในวันนี้จะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า องค์ประกอบที่จะทำความสำเร็จในหน้าที่ธรรมทูต ทำไมจึงพูดเรื่องนี้ในหัวข้อว่าองค์ประกอบที่จะทำความสำเร็จในหน้าที่ของธรรมทูต นี้เกือบจะไม่ต้องอธิบาย เพราะทุกคนก็มองเห็นว่ามันเป็นหลักเกณฑ์หรือเป็นกฎทั่วไปที่เราจะต้องใช้ในการงานทุกชนิด ไม่ว่าการงานชนิดไหนหมด หากแต่ว่าเรามองไม่เห็นองค์ประกอบบางอย่าง หรือเรามองข้ามไปเสีย ไม่เห็นเป็นความสำคัญ นี้เป็นเหตุให้ไม่มีการตระเตรียมที่ถูกต้องหรือที่เหมาะสม หรือที่เพียงพอ เพราะฉะนั้นขอให้เราพูดกันถึงเรื่องนี้ด้วยอีกสักเรื่องหนึ่ง สำหรับคำว่าองค์ประกอบเป็นคำที่ใช้มากที่สุดในพระพุทธศาสนา คำว่าอังค (นาทีที่ 03.14)แปลว่า องค์ประกอบ หรือ อังคารย(นาทีที่ 03.17) อังคาพยศ (นาทีที่ 03.18) ก็มีใช้มาก ปรากฏอยู่ในคำที่เป็นชื่อของธรรมะนั้น เช่น อัฏฐังคิกมรรค มรรคประกอบด้วยองค์ ๘ หรือ โพชฌังค หรือ สัมโพชฌังค แปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้ และอื่นๆ อีกมาก ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธองค์ได้ตรัสถึงสิ่งที่เรียกว่าองค์นี่อย่างครบถ้วนเสมอ คือตรัสเรียกโดยชื่อว่าองค์เฉยๆ อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้นก็มีมาก และกล่าวโดยคำอย่างอื่นที่ไม่ใช่คำว่าอังคะ แต่มีความหมายอย่างเดียวกันก็มีมากเหมือนกัน นี้เป็นการแสดงว่า สิ่งที่เป็นองค์ประกอบนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องรู้อย่างครบถ้วน
ทีนี้สำหรับงานธรรมทูตของเรานับว่าเป็นทั้งงานใหญ่และงานใหม่สำหรับพวกเรา เรายังไม่รู้จักองค์ประกอบของงานนี้อย่างครบถ้วนก็ได้ น่าจะพูดว่าอย่างไม่ครบถ้วน เพราะมันยังมีส่วนที่เหลือกำลังสติปัญญาของเรา แต่แม้ไอ้สิ่งที่เรารู้แล้วมันก็ยังไม่ถูกต้อง ยังไม่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจะต้องถือว่าเราพูดกันตามที่จะนึกได้ องค์ประกอบอันแรกที่สุดก็คือ การทำตนให้เหมาะสมแก่หน้าที่อันนี้เสียก่อน ข้อนี้มีบทพุทธภาษิตเป็นหลักอยู่แล้วแต่อาจจะมองข้ามกันไปเสียว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ผมเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า อัตตานัง เมว ปถมัง ปฏิรูเป นิวาสเย อถัญญะ มนุสาสัยยะ น กิลิสสัยยะ ปัณฑิโต (นาทีที่ 06.30) ซึ่งมีใจความว่า พึงตั้งตนไว้ในสภาพที่สมควรเสียก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น แล้วก็จะไม่เป็นบัณฑิตสกปรก นี่ขอให้สังเกตคำว่า นกิลิสสัยยปัณฑิโต (นาทีที่ 07.24) ก็แปลว่า ไม่เป็นบัณฑิตสกปรก เราแปลกันในโรงเรียนว่าไม่เป็น ไม่เป็นบัณฑิตเศร้าหมอง คำว่า กิลิสสะ (นาทีที่ 07.39)ก็แปลว่าสกปรกนั่นเอง ตั้งตนไว้ในธรรมที่สมควรเสียก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น นี้มันเป็นคำที่กล่าวไว้กลางๆ จะสอนผู้ใด ในเรื่องใด เท่าไร เราจะต้องมีตนที่ตั้งอยู่แล้วในธรรมนั้น อย่างนั้น อย่างถูกต้อง และก็เพียงนั้น คือเท่าที่เราจะสอน เราจะไม่สอนสิ่งที่เราทำไม่ได้ หรือว่าเกินไอ้ที่เราทำได้ อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะกระแนะกระแหนผู้ใด มันเป็นเรื่องที่จะต้องกระแนะกระแหนตัวเองมากกว่า ผมก็ระลึกนึกถึงความจริงข้อนี้อยู่ทุกวัน มันก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ คือเรา คือทำให้เราพยายามขมักเขม้นในการที่จะมีอะไรที่เราทำได้สำหรับไปสอนผู้อื่น เท่าที่เรารู้หรือเท่าที่เราทำได้
ทีนี้สำหรับงานธรรมทูตตามหัวข้อที่ได้กล่าวมาแล้ว เมื่อเรามีหน้าที่ปราบผี เราก็ต้องไม่มีอะไรที่มันเป็นผีเสียเอง นี้สิ่งที่เรียกว่าผีก็ได้พูดกันมาแล้วว่าคืออะไรบ้างอย่างละเอียดในครั้งที่แล้วมา แต่อยากจะขอย้ำส่วนที่สำคัญที่สุดว่า “ผี คือ อวิชชา” อวิชชาคือปราศจากความรู้ ภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ควรจะรู้ โดยทั่วไปก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องก็ตาม เราไม่มีความรู้ นี่เรียกว่ามีอวิชชา ยิ่งจะสอนพุทธศาสนาในชั้นสูง คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นต้นแล้ว สิ่งที่เรียกอวิชชา ย่อมเขยิบขึ้นไปจนถึงระดับที่มันจะทำลายแล้ว ที่จะทำลายเสียให้ได้แล้วก็จะเป็นการบรรลุมรรคผล นี่เป็นผีสูงสุด แล้วผีต่ำๆ เตี้ยๆ หรือในระดับแรกก็คือว่า ผีแห่งความเป็นทาสทางเนื้อหนัง คือเป็นทาสอายตนะ ขอให้ช่วยจำคำบัญญัติคำนี้ไว้ให้ดีว่า ความเป็นทาสอายตนะ มันเป็นคำที่เหมาะสม ที่กระทัดรัด แต่กินความได้กว้างขวางเหลือเกิน ความเป็นทาสอายตนะ คือเป็นทาส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในแง่ของกิเลส มันเป็นเหตุให้ไปเห็นแก่ไอ้ความสุข สนุกสนานเอร็ดอร่อย นี่ก็เรียกว่าเป็นทาสอายตนะ คนทำงานอันบริสุทธิ์ อันประเสริฐนี้ด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไม่ประเสริฐ เขาทำไปเพื่อเห็นแก่ผลเป็นวัตถุอย่างนี้ มันก็เรียกว่าเป็นทาสอายตนะอย่างใหญ่หลวง ก็หมายถึง มนายตนะ (นาทีที่ 12.17) นี้คือข้อที่ว่าเราจะต้องไม่เป็นผี แม้แต่ประการใดประการหนึ่งเสียเอง ในเมื่อเราต้องการจะปราบผี
ทีนี้สิ่งที่จะต้องระวังกันต่อไปก็คือว่า เราต้องไม่อยู่ในลักษณะที่ตามก้นเขา ต้องมีอะไรที่แสดงให้เห็นว่ามีความเหนือกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะไปแผ่ เผยแผ่พุทธศาสนาในทางตะวันตก เรียกอย่างชาตินิยมกันว่า ตะวันออกจะไปเผยแผ่พุทธศาสนาให้ตะวันตก นี้ยิ่งต้องระวัง ต้องไม่มีอาการที่แสดงว่าเป็นการตามก้นเขา เพราะว่าเดี๋ยวนี้ ตะวันออกมันกำลังตามก้นตะวันตก ไปเสียแทบทุกอย่างทุกทางอย่างหลับหูหลับตา ทิ้งของดีวิเศษไปเอาของเล็กๆน้อยๆ อย่างหลับหูหลับตา นี้เรียกว่าตามก้นเขา พูดอย่างหยาบคายก็พูดว่าตามก้นฝรั่ง มันจะสวย จะงาม จะดี จะเด่น จะสนุกสนาน อะไรก็ตามอย่างพวกฝรั่งนี้ อย่างนี้ไม่มีทางจะสำเร็จ เมื่อประมาณ ๕๐ ปีมาแล้ว มีการส่งพระธรรมทูตไปประเทศอังกฤษ ปรากฎอยู่ใน ไอ้บันทึก หรือว่าในหนังสือรายงาน ในหนังสือรายภาพนั้นผมสำรวจดู ทีแรกก็เห็นว่ามันน่าชื่นใจที่มีส่งไปจากประเทศลังกาก่อน แต่พอไปเห็นไอ้รูปถ่ายหรืออะไรเข้าแล้วมันก็ชักจะสงสัย แล้วในที่สุดก็ปรากฎว่า ไปสึก มีภรรยาเป็นฝรั่งกันทั้งนั้น อย่างเปิดเผย มันก็เป็นสิ่งที่น่าเวทนา น่าสงสาร แต่งตัวอย่างพระ ใส่รองเท้าคัทชูตั้งแต่ยังไม่ทันสึก และยังมีอะไรอีกให้แปลกๆ หลายอย่าง แล้วผลมันก็ไปจบลงใน ในลักษณะอย่างที่เรียกว่าพ่ายแพ้ ไปตามก้นเขา สำหรับสิ่งที่เรียกว่า การแสดงให้เห็นว่ามีอะไรเหนือกว่านี้ มันก็คงจะยากสำหรับพวกเรา แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว มันมีอะไรที่เหนือกว่าอยู่ตลอดเวลาก็คือสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมนี้ ทีนี้เรามันโง่เสียเอง มันไม่รู้จักของๆตัวเอง ไม่สามารถที่จะแสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมนี้สูงกว่า คือวัฒนธรรมทางตะวันออกเป็นวัฒนธรรมทางจิตใจ มันย่อมสูงกันอย่างที่เปรียบเทียบกันไม่ได้กับวัฒนธรรมทางเนื้อหนัง หรือทางวัตถุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ พวกตะวันตกกำลังทิ้งวัฒนธรรมทางจิตใจมานานแล้ว และก็มาลุ่มหลงวัฒนธรรมทางเนื้อหนังทางวัตถุ อย่างหลับหูหลับตา โกลาหลวุ่นวายกันใหญ่ และขยายความโกลาหลวุ่นวายนั้นออกไปทั่วโลก จึงต้องพิสูจน์ในข้อที่ว่าวัฒนธรรมทางจิตใจนี้มันสูงกว่า โดยไปชี้ให้เห็นชัดว่าวัฒนธรรมทางจิตใจของตะวันออกนั้นมันมีอยู่ในรูปลักษณะอย่างไร ที่เหลือซากอยู่แม้ในวัฒนธรรมโบราณของตะวันตก ก่อนนี้วัฒนธรรมตะวันตก มันก็ได้ไปจากตะวันออก วัฒนธรรมสูงสุดทางจิตใจของตะวันตก มันก็อยู่แค่ดินแดนปาเลสไตน์ ที่อยู่ของพวกฮิบรู พวกยิว อย่างนี้ อันนี้ควรจะถือว่าเป็นฝ่ายตะวันออก หรือว่าตะวันออกใกล้สำหรับพวกฝรั่ง ศาสนายิว หรือศาสนาคริสเตียนนั้นก็มีวัฒนธรรมสูง เป็นเรื่องทางจิตใจเหมือนกัน แต่น่าสงสารที่ว่า ในตอนหลังๆมานี้มันตีความกันผิดหมด ไม่ตรงตามความมุ่งหมายเดิม ถึงเป็นเหตุให้ถูกทอดทิ้ง จนทิ้งกันไปเลย วัฒนธรรมตะวันตกถ้ามี ก็ออกไปจากวัฒนธรรมพวกฮิบรู พวกยิว โดยเฉพาะในศาสนายิว หรือศาสนาคริสเตียน มันก็เลยเลือนไป จางไปๆ เพราะการตีความไม่ถูกต้อง ที่เราก็มีทางที่จะแสดงให้เห็นว่ามันเคยเป็นวัฒนธรรมที่สืบสายไปจากทางตะวันออก อย่างน้อยก็มีเรื่องราวที่มันตรงกัน ซึ่งเราจะได้พูดกันทีหลัง แต่มีช่องทางมีประจักษ์พยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามัน มันมีวัฒนธรรมทางจิตใจที่สูงสุดอยู่ทางฝ่ายตะวันออก หรือตะวันออกใกล้ หรือตะวันออกกลางก็ตามแต่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือประเทศอินเดีย เป็น ประเทศอินเดียเป็นถิ่นที่มีวัฒนธรรมทางจิตใจสูงจนกล้าพิสูจน์ให้ได้ทุกอย่างทุกทางกว่าดินแดนไหนหมด แม้ว่าจะไม่เก่าเท่าอียิปต์ ก็ยังมีวัฒนธรรมที่สูง ทั้งที่รับมาจากอียิปต์ เมื่อมองมาทางตะวันออกคือประเทศจีนก็ไม่ใช่เล่น สมัยเหลาจื้อ ขงจื้อ ถ้าจะพิสูจน์กันอย่างกำปั้นทุบดินแล้วก็คือว่า เดี๋ยวนี้พวกฝรั่งกำลังศึกษาเรื่องนี้ ในปรัชญาของตะวันออก อย่างที่เรียกว่าเป็นอาหารให้มันสมองที่สูงสุดในแง่ของปรัชญา หรือจิตวิทยา หรืออะไรก็ตาม และเขามีความรู้สึกอย่างนี้ คือรู้สึกว่านี้มันเป็นวัฒนธรรมที่สูงกว่าในทางจิตใจ มันก็จะสะดวกดายในการที่จะรับฟังด้วยดี ที่เรียกว่า สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง(นาทีที่ 20.51) ฟังด้วยดีต่างหาก จึงจะได้ความรู้ ถ้าไม่ฟังด้วยดี หรือฟังด้วยความดูหมิ่น หรือว่าด้วยจำใจ ด้วยลังเลสงสัย นี้มันก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้ง
ทีนี้ก็มาถึงข้อที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นหัวข้อของเรื่องนี้ถึงตอนนี้ละ คือการที่เราสามารทำได้ตามที่เราพูดหรือสอน ผู้ฟังที่ดีเขาจะระแวงว่าเราทำได้ตามที่เราพูดหรือสอนหรือเปล่า ถ้ามันมีอะไรพิสูจน์ให้เห็นว่าเราก็ทำอยู่ หรือทำได้ เท่าที่เราพูดหรือสอนไปเพียงไรเท่าไร เราทำได้เท่านั้น และสิ่งที่เราทำไม่ได้ก็บอกเสียเลยว่า มันอยู่ในฐานะที่เราเองก็ยังทำไม่ได้ ส่วนที่สอนไปในลักษณะที่เรียกว่าสอนกันจริงๆนั้น คือสอนสิ่งที่ทำได้ ที่มีความเจนจัดในเรื่องนั้นแล้วก็สอนออกไปจากความเจนจัดข้อนั้น ทั้งหมดนี้เรารวมเรียกว่าเราตั้งตนไว้ในธรรมที่สมควรก่อนแล้วจึงสอนผู้อื่น มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัวกันไปตั้งแต่ระยะยาว จนกว่าจะถึงจุดที่เหมาะสมที่จะสอนผู้อื่น โดยความรู้ก็ดี โดยการประพฤติปฏิบัติก็ดี และโดยคุณธรรมที่มีอยู่ในตัวก็ดีนี้ ต้องไม่ขัดกันกับหลักการข้อนี้
เอาล่ะทีนี้ก็มาถึงที่อยากจะเรียกว่าข้อที่ ๒ ก็คือมีการอุทิศและการเสียสละถึงที่สุด การอุทิศกับการเสียสละนั้นมันเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ออก อุทิศเท่าไรมันก็เสียสละเท่านั้น มันรวม เรียกรวมเป็นชื่อเดียวกัน มีการอุทิศ การเสียสละ อันนี้มันจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีการเสียสละอย่างชนิดที่เรียกว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ พุทโธ เม สามิกิสสะโร (นาทีที่ 23.55) หรือว่า นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง (นาทีที่ 24.01) มอบกายถวายชีวิต เป็นทาสของพระพุทธเจ้า เป็นทาสของพระธรรม เป็นทาสของพระสงฆ์ นั่นมันก็เรียกว่ายังไม่ปลอดภัย ไอ้การเสียสละหรือการอุทิศชีวิตนี่มันเป็นเหตุให้มีอะไรที่จำเป็นอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเช่นความอดกลั้นอดทน ความพากเพียร ความพยายาม งานธรรมทูตเป็นงานที่ต้องอดกลั้นอดทน ถ้าพูดอย่างอุปมาก็คือว่า มันไปต่อสู้กับผี ซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เต็มไปด้วยความยากลำบาก สำหรับข้อนี้ให้นึกถึงพระพุทธภาษิตที่เป็นคำขอร้องหรือวิงวอน ซึ่งเราถือว่าเป็นคำขวัญของพวกธรรมทูต หลายอย่างสำนวนโวหารโฆษณาชวนเชื่อหน่อยก็แปลว่า “ลูกเอ๋ยบัดนี้ พ่อพ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์ และบ่วงมนุษย์ แม้ลูกทั้งหลายเล่า ก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลายทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์ และบ่วงมนุษย์ จงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่มหาชน เพื่อความสุขของมหาชน เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย ทั้งเทวดาและมนุษย์ อย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูป แม้พ่อก็จะไปยังตำบลอุรุเวลา” ความหมายในคำตรัสนี้มีอย่างไร ผู้ที่เรียนภาษาบาลีแล้วก็รู้ได้ดี ผมกลัวจะลืม จึงเอามาพูดไว้เสมอเป็นการเตือนอยู่เสมอ ว่าคำขวัญของธรรมทูตนั้น ไม่ใช่มีลุ่นๆ แต่เพียงว่าจงจาริกไปในลักษณะที่เรียกว่าเป็นคำบังคับ นั้นมันเป็นคำขอร้องวิงวอนเหลือที่จะปฏิเสธได้ และเป็นคำขอร้องวิงวอนชนิดที่เหลือที่จะทนอยู่ได้ ในการที่จะไม่เสียสละหรือไม่อุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง และเราก็ทำไปด้วยความเสียสละ อุทิศถึงที่สุดอย่างที่เรียกว่าด้วย ด้วยชีวิตจิตใจ หรือจะเรียกเป็นความจงรัก ความสวามิภักดิ์อย่างเต็มที่ พวกมิชชันนารี่ฝ่ายคริสเตียนที่เขาทำสำเร็จ เพราะว่าเขาอบรมกันในเรื่องนี้มาก หัวใจของความสำเร็จของมิชชันนารี่คริสเตียนมีอยู่ที่ว่า ชีวิตโสด และก็ไม่มีทรัพย์สมบัติ และเชื่อฟัง นี่คุณลอง ลอง ลอง ลอง ลองพิจารณาดูมันมีอยู่ ๓ ข้อ เท่านั้น ชีวิตโสด แล้วก็ไม่มีทรัพย์สมบัติ แล้วก็เชื่อฟัง ไอ้ชีวิตโสดนี่สำคัญ เพราะถ้ามีครอบครัวมันนุงนังกันหมด นี่เราก็เป็นพระเป็นชีวิตโสดอยู่แล้ว เป็นอันว่าเป็นหมดปัญหาข้อนี้ ทีนี้ไม่มีทรัพย์สมบัติ แม้แต่เงินเดือน เขาจะไม่ให้เงินเดือน เขาจะให้แต่ค่าใช้จ่าย หรือจะเรียก numeration (นาทีที่28.26) หรืออะไรที่เป็นเพียงค่าใช้จ่ายจำเป็น ที่แสดงหลักฐานที่เป็นค่าใช้จ่าย ไม่ใช่เงินเดือน ไอ้เงินเดือนกับค่าใช้จ่ายจำเป็นนั่นมันต่างกันนะ อย่าไปปนกันนะ ถึงไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่ว่า เป็นบ้าน เป็นเรือน เป็นกุฏิ เป็นของในกุฏิหรือเป็นอะไร มันไม่มี ไปดูชีวิตของพวกมิชชันนารี่พวกนี้แล้วก็น่าเลื่อมใส เราแพ้ เพราะเรายังมีอะไร แม้แต่หนังสือเราก็ยังมีมาก ซึ่งพวกเขาจะมีเพียงคัมภีร์ไบเบิลเล่มเดียว มันจะต้องแยกกันเด็ดขาดว่า ไอ้พวกที่จะเป็นมิชชันนารี่จาริกจะต้องไม่มีอะไร ไอ้พวกที่ทำงานเผยแผ่ศาสนาอยู่กับที่ในขอบเขตที่กว้างขวาง แล้วมันก็ต้องมีเครื่องมือเครื่องใช้ มีอุปกรณ์ต่างๆ แต่ก็ต้องเป็นของศาสนา หรือเป็นของกลาง ของสงฆ์ ไม่ใช่ของส่วนตัว และอย่ามีอะไรเป็นของส่วนตัว แม้ว่าอยู่กับที่ แม้ว่ามีหน้าที่การงานมาก มีอะไรมาก ในจิตต้อง ต้องบริสุทธิ์ที่ว่าทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไม่ใช่ของเรา ของพระเจ้าหรือของศาสนา หรือของคณะสงฆ์ หรือของอะไรก็ ก็ ก็ตาม แต่ไม่ใช่ของเราก็แล้วกัน ดังนั้นจึงไม่มีทรัพย์สมบัติ และอันสุดท้าย ความเชื่อฟังนี้ Obedience ความเชื่อฟังเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดยิ่งกว่าคำใดๆ เดี๋ยวนี้เราขาดความเชื่อฟัง เราบังคับกันไม่ได้ ยิ่งสมัยประชาธิปไตยแล้ว เขาเกลียดไอ้สิ่งที่เรียกว่าความเชื่อฟังกันมากขึ้นทุกทีๆ นั่นแหละคือความฉิบหายของมนุษย์ ของมนุษยชาติ หรือของมนุษย์ทั้งหมด ในศาสนาที่ถือพระเป็นเจ้าเขาอบรมความเชื่อฟังลงเป็นรกรากที่แน่นแฟ้น ในกิจการงานเผยแผ่ก็มีความเชื่อฟัง สั่งโยก สั่งย้าย สั่งให้ทำอะไรที่ไหน ได้ทั้งนั้น คือใช้ให้ไปตายก็ได้ ไม่ใช่ผมแกล้งพูดยกยอเขา ผมรู้สึกได้จากผมอ่านรายงานอะไรต่างๆ ของเขาอยู่มากเหมือนกันที่ว่า จึงพูด กล้าพูดว่า ใช้ให้ไปตายก็ได้ นี่มิชชันนารี่ของเขามันมีลักษณะถึงกับ สมบูรณ์ถึงขนาดนี้ พวกเรากลัวว่าจะไม่ถึงขนาดนี้ นักบุญ หรือผู้ที่ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญนั้น มีจิตใจสูงถึงขนาดนี้ เผยแผ่ไป ไป ไป เผยแผ่อย่างไม่คิดแก่ชีวิต หรือว่าแม้การต่อสู้อย่างอื่น ก็ต่อสู้อย่างไม่คิดแก่ชีวิต เพื่อพระศาสนาทั้งนั้น ในเมืองไทยเขาเรียกว่า เพื่อพระสมัย เขาแปล ที่เราใช้ว่าศาสนาเขาใช้คำว่าพระสมัย ยอมสละชีวิตเพื่อพระสมัย ทีนี้คำว่า คำ คำว่าสวามิภักดิ์มันสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบ ๓ อย่างนี้ ซึ่งใช้ได้ไม่ว่าศาสนาไหน และเราจะถือว่าเราได้ใช้มาก่อนพวกนี้ เพราะว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสว่า ลูกเอ๋ยจงไปเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์นี้ ก็พิจารณาดูสิ พระภิกษุ ๖๐ รูปนั้น อยู่ในลักษณะอย่างนี้หรือไม่ สาวกชุดแรก ๖๐ รูป ที่ทรงส่งไป ปรากฏอยู่ในคัมภีร์มหาวรรค หรือในปิฎก ไปเปิดดูเองก็แล้วกัน ภิกษุเหล่านั้นไม่มี ไม่มีครอบครัว เป็นบรรพชิต ภิกษุเหล่านั้นไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรนอกจากบาตรและจีวร นี้เขาจะไม่เรียกว่าทรัพย์สมบัติ เป็นบริขารที่เนื่องกันอยู่กับร่างกายชีวิตนี้อย่างจำเป็นนี้ไม่ควรจะเรียกว่าทรัพย์สมบัติ และพระสาวกเหล่านั้นเชื่อฟังอย่างยิ่ง คือใช้ให้ไปที่ไหนก็ได้ ไม่ไปทางเดียวกัน ๒ รูป เพราะว่าจะไม่เปลืองคน นี่ให้ไปเดี่ยวๆ อย่างกล้าหาญ ไม่ต้องมีเพื่อนช่วย และยังตรัสว่า แม้พ่อก็จะยัง จะไปยังอุรุเวลานี่ คือไปทำหน้าที่ยากที่สุดคือไปทรมานคนตั้งพัน คือชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ที่ว่าเป็นศาสดาเป็นอะไรมีชื่อมีเสียงที่สุดอยู่ที่นั่นในเวลานั้นคือในเมือง ประเทศมคธ นี้เราจะมองเห็นว่า ไอ้สิ่งทั้ง ๓ คือ ความเป็นโสด ความไม่มีทรัพย์สมบัติ ความเชื่อฟังอย่างเฉียบขาดนี้ ได้มีอยู่แล้วในงานมิชชันนารี่ของพุทธศาสนาซึ่งเป็นมิชชันนารี่ชุดแรกของโลก เพราะเท่าที่เราจะเรียนได้จากประวัติศาสตร์ ไม่เห็นว่ามีไอ้งานมิชชันนารี่ชุดไหนเก่าแก่ไปกว่าไอ้งานมิชชันนารีชุดนี้ ที่อิสิปตนมฤคทายวัน พระเจดีย์นั้นมีความหมายมาก ควรจะระลึกนึกถึงภาพของการส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนาที่ตั้งต้นที่อิสิปตนมฤคทายวัน เป็นอุดมคติอยู่เสมอ ก็จะเกิดไอ้สิ่งที่เรียกว่าการอุทิศกับการเสียสละ เรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า กำลังใจที่เพียงพอ และก็ที่บริสุทธิ์ด้วย
ทีนี้เรื่องที่ ๓ ผมอยากจะเรียกว่า เครื่องมือแห่งความสำเร็จในหน้าที่ เครื่องมือแห่งความสำเร็จในหน้าที่เกือบจะไม่ต้องพูดอะไรกันกี่คำ พวกเราเป็นเปรียญ เป็นนักธรรมเอก เป็น มันเรียนไอ้ธรรมะประเภทนี้มาแล้วอย่าง อย่างที่เรียกว่าหมดสิ้น แต่ผมเกรงอยู่นิดเดียวว่าจะมองข้ามไอ้บางสิ่งบางอย่างไป ผมพูดว่ามองข้ามนี้ผมก็จะยกตัวอย่างเช่นว่า ฆราวาสธรรม ๔ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ นี่จะไปมองข้ามมันเสียว่าเป็นฆราวาสธรรม แล้วก็เลยไม่เอามาใช้ในงานมิชชันนารี่ของบรรพชิต อย่างนี้เป็นต้น ขอร้องให้สนใจกับไอ้ที่เรียกว่า ฆราวาสธรรม พระพุทธเจ้าตรัสสำหรับฆราวาส ตรัสแก่ฆราวาส เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทำความสำเร็จในหน้าที่ของฆราวาส และธรรมะที่เป็นเครื่องมือชนิดนี้มันใช้ได้ไปหมดไม่ว่าพวกไหน เพราะเป็นคำกลาง ขอให้ถือเอาความหมายชนิดที่เป็นกลางที่สุด เมื่อพิจารณาแล้วไม่เห็นหมวดอื่นดีกว่าหมวดนี้ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะนี้ ความหมายสำคัญเอาเป็นความหมายกลางๆนั้นก็คือ ความจริงใจในอุดมคติของงานที่จะต้องทำ อย่างนี้เรียกว่าสัจจะ และ ทมะคือ การบังคับตัวเองให้อยู่ในอำนาจให้จงได้ คือให้มันทำ อย่าให้มันหลีกเลี่ยงเหลวไหลโลเล แล้วก็มีขันตี คือความอดทน เพราะว่าคนเมื่อทำอะไรมันก็ต้องลำบากยุ่งยากกระทั่งเจ็บปวดเสมอ ยิ่งไปบังคับให้ทำมากๆ ก็จะยิ่งเจ็บปวดมาก มันต้องทน ต้องทนอย่างที่ว่าน้ำตาไหลก็ไม่ทิ้งอุดมคติ หรืออย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เลือดเนื้อกระดูกนี่ เลือดหรือเนื้อหรือไอ้ของสิ่งสดๆในร่างกายนี้จะแห้งหายไปหมด เหลือแต่เอ็นกับกระดูกเป็นโครงซากแห้งอยู่ก็ตามที ถ้ายังไม่บรรลุผลที่เราต้องการแล้วจะไม่ลุกจากที่นั่งนี้ เพราะฉะนั้นจึงตรัสรู้ในวันนั้น นี้ก็เหมือนกัน เราต้องมีความอดทนถึงขนาดนั้น เรียกว่าขันตี แล้วก็มีอันสุดท้ายคือจาคะ บริจาค ไอ้สิ่งที่ต้องบริจาคนั้นคือสิ่งที่มันเป็นข้าศึกแก่ความสำเร็จ ต้องบริจาคแล้ว ความคิดนึกที่เลว ความคิดนึกที่น้อมไปในทางต่ำ แม้ที่สุดแต่ความขี้เกียจ ความผลัดเพี้ยน ความอะไร ล้วนแต่อยู่ในคำว่า สิ่งที่ต้องบริจาคทั้งนั้น และเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นจะไปติดบุหรี่ หรือจะไปกินเนื้อสัตว์ หรือจะไปทำอะไรในที่ๆไม่ควรจะทำนี้ มันก็ต้องทำได้ ต้องบริจาคออกไปเหมือนกัน นี่ปรากฎว่า ชาวฮินดูส่วนมากเกลียดพระไทยที่สูบบุหรี่และกินเนื้อสัตว์ และไม่อยากจะนั่งใกล้ คิดดูสิ ของมันเล็กน้อยเกินไปก็ยังไม่บริจาค มันยังมีเรื่องที่ต้องบริจาคคือความรู้สึกภายในที่เป็นข้าศึกแก่ความสำเร็จนี่ต้องบริจาค ผมว่าถือ ๔ ข้อนี้ก็พอ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ ที่เรียกว่าฆราวาสธรรมนั่นแหละ เอาไปวิจัยดูให้ดีๆ ไอ้เรื่องอิทธิบาท ๔ ก็ทำนองนั้น ก็รู้กันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องพูด ทีนี้อยากจะพูดในแง่อื่น คือแง่ว่ามัน apply ได้ในขอบเขตที่กว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือหมวดธรรมะ ที่สำคัญที่สุดที่สูงสุด เช่น โพชฌงค์ ๗ นี้ ในโรงเรียนสอนกันแต่เรื่องปฏิบัติอย่างนั้นๆ เพื่อบรรลุนิพพานใน ใน ใน ในขอบเขตที่แคบ ยิ่งอธิบายอย่างตามแบบเก่า อย่างไอ้พวกอะไรล่ะ หัวเก่า conservative นี้อธิบายแคบมาก ไม่ได้ผลเต็มที่ ตรงนี้ผมอยากจะขอร้องให้พิจารณาดูให้ดี ให้ใช้สิ่งที่เรียกว่าโพชฌงค์นี้เป็นเครื่องมือสารพัดอย่าง เพราะมันมีหลักการที่ดีมาก ทบทวนกันสักนิดหนึ่งก็ได้ว่า สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา แต่ละข้อมันเป็นธรรมะที่มีความหมายเป็นกลางๆ อุเบกขานั้นไม่ใช่อุเบกขาเพราะหมดกิเลส ขอให้เข้าใจว่า อุเบกขาในสัมโพชฌงค์ไม่ใช่อุเบกขาอย่างพระอรหันต์ มันเป็นอุเบกขาคือวางเฉย เอ่อ,พวกรอได้ คอยได้ ไปกว่าจะบรรลุผลสำเร็จเท่านั้น อันแรกคือสติ ระลึก นี่ระลึกมาให้หมด อะไรมันมีที่ไหนอย่างไร กี่อย่างกี่ข้อระลึกมาให้หมด เรามีหน้าที่การงานอย่างนี้ มันเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง ระลึกมาให้หมด นี้เป็นหน้าที่ของสติ พอระลึกมาหมดแล้วมันก็เป็นหน้าที่ของธัมมวิจยะ ที่เราเรียกว่าวิจัย ก็คือเลือก เลือกเอามาจากไอ้ทั้งหมดนั่น มาเฉพาะที่เราจำเป็นจะต้องทำ หรือจำเป็นจะต้องใช้ ซึ่งก็ได้ไอ้วัตถุประสงค์ ได้สิ่งที่เป็นวัตถุประสงค์ และสิ่งที่จะให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์มาอย่างถูกต้อง นี้ก็มาถึงข้อที่ ๓ วิริยะสัมโพชฌงค์ นี่มีความกล้าหาญ มีความพากเพียร ระดมทุ่มเทลงไปในการกระทำ มาถึงอันที่ ๔ เรียกว่า ปีติ ปราโมทย์ หรือสันโดษ ยินดีในสิ่งที่ตนกำลังทำ อย่าให้ปีติหรือสันโดษกลายเป็นข้าศึกไปเสียอีก มันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปีติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกในสิ่งที่ตนกระทำ นี่คือฉันทะหรืออะไรมันรวมอยู่ที่นี่ ที่นี้ก็มาถึงอันที่ ๕ ที่เรียกว่า ปัสสัทธิ ปัสสัทธิเราแปลกันว่าความสงบ ในกรณีนี้ผมขอร้องให้แปลว่า ความเข้ารูป ความลงรูป มันก็ถูกตามเรื่องราว ไอ้ความไม่สงบมันคือยังเกะกะ เปะปะวุ่นวายกันอยู่ มันไม่เข้ารูป มันไม่ลงรูป ที่นี้ความสงบนั่นคือมันเข้ารูป ลงรูป มันจึงยุบตัวลงไปเป็นความสงบ ปัสสัทธิในกรณีนี้ ต้องแปลอย่างนี้ หมายความว่า เรามี สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปีติ มาอย่างเพียงพอแล้ว งานมันจะเข้ารูป มันจะลงรูป นี้เรียกว่า ปัสสัทธิ ทีนี้ก็สมาธิ อันที่ ๖ คือสมาธิ หมายความว่า ระดมทุ่มเทกำลังของจิต หรือ กำลังของสมาธิลงไปอย่างเต็มที่สูงสุดกันในตอนนี้ ก่อนนี้ก็มีแต่ไม่เต็มที่ไม่สูงสุด อันสุดท้ายอันที่ ๗ คืออุเบกขา ก็ปล่อยให้มันไปอย่างนั้น ที่เรียกว่า เหมือนกับถือบังเหียนอยู่เฉยๆ ม้าและรถและถนนหนทางมันเข้ารูปกันดีแล้ว สารถีก็ไม่มีหน้าที่อะไรนอกจากถือบังเหียนอยู่เฉยๆ ม้าก็พารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ อุเบกขาข้อนี้มันหมายความแต่เพียงอย่างนี้ อย่าเข้า อย่าไปเข้าใจผิดให้มันเหมือนกับอุเบกขาที่เป็นองค์ฌาณ หรือเป็นอุเบกขาที่เป็นฉฬังคุเบกขา (นาทีที่ 44.59)ของพระอรหันต์ คำว่าอุเบกขามีความหมายต่างกันมากทีเดียวในสามสี่คำนี้ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นจนปลายคือตั้งแต่สมาธิจนถึงอุเบกขานี้มันเป็นธรรมะกลางๆ เป็นเครื่องมือใช้แก่อะไรก็ได้ นี่เราเรียกว่าจะเอามา apply กับไอ้หน้าที่ธรรมทูตได้อย่างไร นึกมาให้หมด เลือกเอาแต่ที่จำเป็น ถูกต้องเหมาะสม แล้วก็ทุ่มเทการกระทำ แล้วก็หล่อเลี้ยงการกระทำไว้ไม่ให้รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยด้วย ปีติ ปราโมทย์ จนมันเข้ารูป พอเข้ารูปก็เรียกว่าระดมกำลังอันสุดท้ายทั้งหมดทั้งสิ้นคือสมาธิ แล้วก็รอไปจนถึงนาทีสุดท้ายที่มันจะถึงจุดหมายปลายทาง ขืนไปทำอะไรให้ยุ่งกันตอนนี้มันก็ยุ่งกันมาใหม่อีก แล้วขอบอกไว้ด้วยว่า โพชฌงค์ ๗ องค์ ที่apply อย่างนี้ใช้ได้แก่การงานทุกชนิด แม้แต่การงานที่ต่ำต้อยที่สุด จะตักน้ำ ผ่าฝืนของพวกคนใช้ ถ้ารู้จักใช้องค์ประกอบอย่างนี้ แล้วก็จะสำเร็จได้เหมือนกัน ถึงที่สุดได้เหมือนกัน นี้เราเรียกว่ามีเครื่องมือและใช้เครื่องมือนั้นให้ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ ๓
ไอ้เรื่องที่ ๔ ต่อไปนี้ มันก็จะเป็นเรื่องเบ็ตเตล็ดยิ่งขึ้นทุกที แต่ก็ต้องนึกถึง เราจะต้องรู้สิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว และสิ่งที่เขากำลังอยากจะรู้ต่อไป มันเป็นหลักที่กว้างๆ ใช้ได้แก่งานเผยแผ่พระศาสนาทั่วไป แม้แต่จะนั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ที่นี่ หรือที่ไหนก็ตาม มันก็ต้องถือหลักเกณฑ์อันนี้ รู้สิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว และสิ่งที่เขาอยากจะรู้ต่อไปนี่มันสำคัญ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะพูดกันไม่ตรงจุดหรือพูดกันไม่รู้เรื่อง เราไม่รู้ว่าเขาอยากจะรู้อะไรแล้วก็จะพูดออกไปได้อย่างไร มันต้องใคร่ครวญ และบางทีเราจะต้องรู้ไปถึงว่าเขารู้อะไรดีกว่าเราด้วย มันมีสิ่งที่เขารู้อะไรดีกว่า กว่าเรา ผู้เทศน์ ผู้สอนก็มี แล้วพระหนุ่มๆ ไปสอนเรื่องฆราวาสธรรม ฆราวาสแก่ๆ เขารู้ดีกว่าเราเสียอีก เพราะเขามีความรู้สึกสูงกว่าพระที่นั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์เสียอีก ลองไปพูดเรื่องชีวิตฆราวาส คนแก่ๆ เหล่านั้นเขารู้ดีว่าไอ้ชีวิตฆราวาสมันมีรสอย่างไร พระหนุ่มๆ ที่นั่งเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ไม่เท่าไรก็สึกออกไปกราบตีนเขา ขอเป็นลูกเขยหลานเขย ที่มันมีอยู่มาก มาแล้วแต่หนหลัง ซึ่งการที่รู้ว่าเขารู้อะไรดีกว่าเรานั้นก็สำคัญเหมือนกัน เขามีความเจนจัดในเรื่องนั้นมากกว่าเรา ที่พวกฝรั่งเขารู้อะไรบางอย่างที่ดีกว่าเราก็มี ความรู้ทั่วไป เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับโลกนี้คืออะไร ไอ้อย่างนี้เขารู้ดีกว่าเราแน่ แต่เขาไม่รู้วิธีที่จะเอาชนะมันเท่านั้น และเราก็ไม่ ไม่ไปพูดไอ้สิ่งที่เป็นการเอามะพร้าวไปขายชาวสวนมะพร้าว ต้องพูดอะไรที่นอกไปกว่านั้น ที่เขายังไม่รู้ เดี๋ยวนี้โลกมันก็มีปัญหาเรื่องสันติภาพ เมื่อเราพูดในแง่ที่เขาให้มองเห็นลู่ทางที่จะมีสันติภาพ เขาก็ต้องสนใจ เขามีอะไรๆเฟ้อ มีเงิน มีกำลัง มีอำนาจมีอะไรเฟ้อไปหมด คือไม่รู้จักทำให้มีสันติภาพได้ การไปบอกให้เห็นลู่ทางที่จะให้มีสันติภาพได้ เขาก็ต้องสนใจอย่างที่เรียกว่าหูผึ่ง เขารู้อะไรอยู่แล้ว และสิ่งอะไรที่เขากำลังอยากจะรู้ มันมีความหมายอย่างนี้ เดี๋ยวนี้งานธรรมทูตของเรายังไม่รู้แน่ว่าจะไปสอนกันที่ไหนกับพวกไหน จึงต้องวางไว้เป็นหลักกลางๆ จะไปใช้ในประเทศนี้ก็ได้ ใช้นอกประเทศก็ได้ ในกลุ่มชนพวกไหนถือศาสนาอะไรก็ได้ หรือแม้ไม่เกี่ยวกับเรื่องศาสนา มันก็ต้องใช้หลักการอย่างนี้ อะไรที่เขารู้อยู่แล้ว และเขากำลังอยากจะรู้ และระวังไอ้เรื่องที่เขารู้ดีกว่าเรา ที่ว่าเรารู้ว่าเขารู้อะไรอยู่แล้ว เราก็สามารถจะสอนของใหม่สำหรับเขา โดยการเปรียบเทียบกันกับสิ่งที่เป็นของเก่าที่เขารู้อยู่แล้ว เรียกว่าเอาของใหม่เข้าไปจับกันกับของเก่าที่เขามีอยู่แล้ว มันก็เป็นเรื่องสะดวกดี เป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ และท่านบอกว่า ลูกเอ๋ยแม้พ่อก็จะไปเหมือนกัน คือจะไปตำบลอุรุเวลา แล้วก็ไปชนะชฎิล ๑,๐๐๐ รูปได้ ด้วยวิธีนี้ โดยวิธีที่เอาของใหม่ไปปรับกันเข้ากับของเก่าที่เขารู้อยู่แล้วนี่ พวกคุณก็เป็นนักธรรม เป็นมหาเปรียญที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วเมื่อเล่าเรียน ผมพูดก็เป็นเรื่องเอามะพร้าวขายสวน แต่ว่ามะพร้าวที่เท่าๆกัน หรือว่า จะแนะให้ดูว่ามันมีแง่ที่ลึกซึ้งอยู่ที่ตรงนี้ พวกชฎิลบูชาไฟ เข้าใจเรื่องไฟมาก แต่ไม่ตรงจุด เข้าใจเรื่องไฟมากแต่ไม่ตรงจุด พระพุทธเจ้าเขาสอนเรื่องไฟที่ตรงจุดชฎิลก็เลยเป็นพระอรหันต์กันเป็นหมู่ เป็นพระอรหันต์หมู่ เป็นพัน เป็นร้อยเป็นพัน เพราะไปสอนเรื่องไฟกับผู้ที่มีความรู้เรื่องไฟอยู่แล้วแต่ไม่ตรงจุด ต้องไปอ่านอาทิตตปริยายสูตรดูเอาเอง ผมก็ใช้วิธีนี้อยู่เป็นประจำวัน ถ้าฝรั่งมาถาม มาสอนไอ้หลักพุทธศาสนา ผมก็ชี้หลักพุทธศาสนาอันสูงสุดผุดผ่องที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลตรงนั้นๆๆๆ ชั่วเวลาเล็กน้อย เขาเข้าใจมากมาย นี่เรื่องนี้จะไว้พูดกันวันหลังเพราะมันเป็นเรื่องยืดยาว สอนพุทธศาสนาด้วยคัมภีร์ไบเบิ้ล ฟังดูก็น่าหัว
ทีนี้ต่อไปอีก ก็เราจะต้องรู้ไอ้ background ของเขา เดี๋ยวนี้เขาแปลกันว่าอะไรผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ ไอ้คำว่า background นี้ เบื้องหลัง หรือ ภูมิหลัง หรืออะไรหลัง คุณรู้ดีกว่าผมแน่ นี่ต้องรู้ไอ้ background ของเขา ว่าเขามีอะไรอย่างไร มีวัฒนธรรมอย่างไร มีอะไรอย่างไรที่มันเป็นไอ้ background ของชีวิตของเขานี่ เพื่อให้เรารู้ว่าเขาต้องการไอ้สิ่งนี้จากเราโดยบริสุทธิ์ใจ ด้วยจริงใจ คือเพื่อผลอันถูกต้องบริสุทธิ์ หรือว่าเขาเล่นไม่ซื่อกับเราอย่างใดอย่างหนึ่ง คำว่าเล่นไม่ซื่อ คำโปกกระโดก(นาทีที่ 54.38)ไม่รู้ว่าใช้คำอะไรดี บางทีเขาก็อยู่ในลักษณะที่หลอกลวงเรา ที่จะหยั่งภูมิรู้ของเรา หรือว่าจะลักล้วงเอาไอ้อะไรของเราไป ไปใช้เป็นประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัวของเขา อย่างนี้ก็เรียกว่า background ของเขา มันอยู่ในสภาพที่อันตราย หรือไม่เหมาะสมที่จะรู้ ถ้าเขามีความบริสุทธิ์ใจอย่างที่เรียกว่า ทำอย่างมนุษย์เพื่อมนุษย์ ไม่ใช่เพื่อคนนั้นคนนี้ พวกนั้นพวกนี้ แล้วมันก็ดี มันก็ง่าย เขาทำกัน ทำความเข้าใจได้เร็วมาก เดี๋ยวนี้มีแต่ความระแวงซึ่งกันและกัน แล้วก็ระแวงกันในระหว่างศาสนา นี้คือความเสียหายร้ายกาจ ทำให้มนุษย์ทั้งโลกไม่มีที่พึ่ง เพราะแต่ละศาสนาเป็นศัตรูกันเสียเอง หรือคนแต่ละวัฒนธรรมทำตนเป็นศัตรูกันเสียเอง มันเป็นพวกๆ ไป ทีนี้ที่มันฝอยละเอียดลงไปก็คือว่า เราจะต้องรู้ไอ้ความแตกต่างของผู้รับ ผู้รับฟังที่มันมีอยู่นานาชนิด ผมเคยแยกดูมันมีตั้ง ๒๐- ๓๐ ชนิด เอามาพูดวันนี้ไม่ได้หรอก มันกินเวลามาก จะพูดกันวันหลัง ว่าลักษณะความแตกต่างของผู้ที่จะรับธรรมะนั้นมันมีมากมายหลายชนิด ผมคิดเรื่องนี้มากในเมื่อเที่ยวสั่งสอน อบรมสั่งสอนประชาชน ข้าราชการอยู่พักหนึ่ง หลายปีมาแล้ว ไอ้ความแตกต่างนี้มันมี มีอย่างไม่น่าเชื่อ เอาสถานะของบุคคลน่ะมันมีขึ้นมาตั้งแต่พระราชา มหากษัตริย์ เศรษฐี อะไรเรื่อยลงมา กระทั่งถึงคนขอทาน แม้แต่คนที่กำลังมีความทุกข์ กับคนที่ไม่มี กำลังไม่มีความทุกข์นี้มันต่างกันมาก คนบ้านแตกสาแหรกขาดกับคนสบายดีนี้มันต่างกันมาก สมัยนั้นเป็นสมัยสงครามด้วย กำลังอยู่ในความระส่ำระสายอย่างยิ่ง ไอ้การที่ไปแสดงธรรมนี้มันก็ลำบากมาก เดี๋ยวนี้เรามีความลำบากอันใหญ่ถึงกับว่า ไปสอนในหมู่ หมู่ หมู่ หมู่คนที่มีวัฒนธรรมอย่างอื่น ถือลัทธิศาสนาอย่างอื่น หรือว่าจะแบ่งแยกเป็นพวกที่เขาไม่รู้จักพุทธศาสนาเลย กับพวกที่เขารู้จักพุทธศาสนาจนเรื้อไปแล้ว จนไอ้เรียกว่ามันเป็นเนื้องอกที่ยุ่งยากลำบากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้มาก่อนเลย นี่ก็ลองคิดดู ประเทศที่เป็นพุทธบริษัทด้วยกัน รู้พุทธศาสนาจนเรื้อเป็นเนื้องอกงมงายนี้ลำบากที่สุด กว่าที่ไปสอนในประเทศที่มันยังใหม่เอี่ยมอยู่ เอาล่ะเป็นเรื่องที่ไว้พูดกันวันหลัง ทีนี้เรื่องถัดไปก็คือ สิ่งที่จะเตือนอยู่เสมอว่า มีเมตตาเป็น ปุเรจาริกธรรม (นาทีที่ 58.40) คือทำไปด้วยความเมตตา กรุณา เป็นเบื้องหน้า อย่ามีความเป็นศัตรูแม้แต่กะผีกเดียว ยอมตายต้วยเมตตานี้ นี่เป็นอุดมคติของศาสดาทุกศาสดา แต่ศาสดาบางองค์ก็ไม่ต้องตาย บางองค์ก็ต้องตาย เพราะความเมตตาที่จะรื้อขนสัตว์นี้ยอมสละชีวิตต้องตายนี่
อันสุดท้ายก็อยากจะพูดถึงไอ้ความรับผิดชอบ ให้เราไปทำหน้าที่นี้ต้องทำด้วยความรับผิดชอบ ถ้าไม่มีความรับผิดชอบมันก็ล้มละลายแล้วตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ก่อนลงมือทำ หรือพอลงมือทำก็ล้มละลายแล้วเพราะไม่มีความรับผิดชอบ ก็คือไม่ได้ทำด้วยจิตใจ ด้วยหัวใจ หรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นคนบ้าทำ จะรับผิดชอบต่อตัวเองหรือจะรับผิดชอบต่อหน้าที่ หรือจะรับผิดชอบต่อสังคม หรือจะรับผิดชอบต่อพระศาสดา ที่แม้ปรินิพพานโดยร่างกายแล้ว แต่ยังคงอยู่โดยพระคุณ นี่จะรับผิดชอบต่อใคร รับผิดชอบต่อตัวเองก็คือเห็นแก่เกียรติยศของตัวเอง ไม่ให้ใครมาชี้หน้า หรือกาหน้าได้ ว่าเหลวไหล รับผิดชอบต่อหน้าที่ก็ทำงานเพื่องาน อย่าทำงานเพื่อเงิน ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ เป็นอุดมคติจริยธรรมสากลนี่ก็ดีมาก รับผิดชอบต่อสังคมก็หมายความว่า เขาหวัง และเขามอบหมายความไว้วางใจ จะเป็นสังคมเล็ก สังคมใหญ่ สังคมไหนก็ตาม สังคมของมนุษยชาตินั่นแหละดีที่สุด มนุษยชาติจะรอดอยู่ได้ก็เพราะงานนี้ งานที่ทำให้มีศาสนาอยู่ในโลก ในโลกปราศจากสิ่งที่เรียกว่าศาสนาแล้วมันก็คือความล้มละลายของโลก ที่ว่าต่อพระศาสดานี้ผมเห็นว่าจำเป็นมาก และดีมาก และมันง่ายมาก เพราะว่าเราได้มอบกายถวายชีวิตต่อพระศาสดา คือรับผิดชอบต่อพระศาสดา เราก็เลยเป็นธรรมทูตของพระพุทธองค์ ถ้าเป็นธรรมทูตของตัวเองเดี๋ยวก็พลัดไปอย่างพวกที่เคยล้มละลายไปแล้ว เป็นธรรมทูตของตัวเอง หาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง หาเกียรติยศให้แก่ตัวเอง เดี๋ยวมันก็ได้สวมรองเท้าคัทชูตั้งแต่ยังไม่ทันสึก อย่างตัวอย่างที่ว่า นี่ผมเห็นถามกันนักหนาข้อนี้ว่าจะไปเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งตัวอย่างไร มันคิดไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว ถ้าเป็นธรรมทูตของรัฐบาลมันก็อยู่ในอาณัติของรัฐบาล ถ้าเป็นธรรมทูตของคณะสงฆ์ ก็อยู่ในอาณัติของคณะสงฆ์ ถ้าเป็นธรรมทูตของพระพุทธองค์ ผมว่าดี อิสระ ไม่อยู่ในอาณัติของใครเพราะพระพุทธเจ้าท่านใช้ให้ไปทำ ด้วยจิตใจที่เป็นอิสระ เป็นสุญญตา สุญญตานั้นคือความว่าง ไม่ถูกผูกพันอยู่ด้วยสิ่งใด ไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรจำกัด พระพุทธองค์ยังทรงอยู่โดยพระคุณเวลานี้ ไม่ไปไหนเสีย ก็คือ ธรรมะที่เป็นความไม่ยึดมั่นถือมั่น จะอยู่เป็นที่พึ่ง คุ้มครองอันตรายให้แก่สัตว์โลกทั้งปวง ธรรมะนี้ข้อเดียวที่จะเป็นพระศาสดาที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับคุ้มครองโลก เราก็เป็นธรรมทูตของพระศาสดาโดยความช่วยเหลือของรัฐบาล ของคณะสงฆ์ ด้วยความเสียสละของเราเองเอามารวมกลุ่มกันเสียให้หมดอย่างนี้ ผมคิดว่านี่เป็นองค์ประกอบที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่ของเรา จะผิดหรือจะถูกช่วยเอาไปคิด ไม่ต้องเชื่อผมทันที หรือไม่ต้องเชื่อผมเลยก็ได้ เอาไปคิดให้เป็นความเห็นแจ้งเข้าใจของตัวเองแล้วก็ทำไป ผมเสนอเผื่อเอาไปคิด พอเห็นแจ้ง เห็นจริง เห็นชัด เห็นด้วย มันก็เป็นความรู้ของผู้นั้นไป กระทำไปด้วยความเสียสละ ที่มันเกิดขึ้นเพราะความเห็นด้วย เห็นแจ้ง เห็นจริง เวลาที่เรากำหนดไว้มันก็หมด