แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องที่ผมจะพูดเป็นครั้งที่ ๔ นี้ จะพูดเรื่องที่เห็นว่ายังเข้าใจผิดกันอยู่มาก หรือไม่สำเร็จประโยชน์ในการศึกษา ในการสั่งสอน เรื่องนั้นก็คือเรื่องความหมายของคำว่า สันทิฏฐิโก ทุกคนได้เคยยินคำนี้แล้วก็สวดอยู่ทุกวันในบทธรรมคุณ สวากฺขาโต ภควตา ธัมโม สัณทิฎฺฐิโก อกาลิโก ในโรงเรียนก็ไม่ได้สอนอย่างแจ่มแจ้ง แล้วบางอย่างก็สอนอย่างไม่ต้องรับผิดชอบว่ามันจะสันทิฏฐิโกได้หรือไม่ เรื่องกรรมก็ดี เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ดี สอนโดยไม่ต้องรับผิดชอบว่ามันจะเป็นสันทิฏฐิโกได้หรือไม่ มันก็เลยเหลือเป็นข้อบกพร่อง ติดต่อกันมาคาราคาซังกันมา และทำให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายหลายอย่าง ผมก็เลยอยากจะเอามาพูดว่า เมื่อเราจะไปสั่งสอนประชาชนก็ต้องไม่ทิ้งหลักสันทิฏฐิโก ทำให้มันเป็นเรื่องสันทิฏฐิโกให้จงได้ ยกตัวอย่างเรื่องที่จำเป็นมากที่สุด ไม่ใช่เรื่องนรกสวรรค์ ถ้ามันไม่รู้สึกได้ด้วยตนเอง มันก็ไม่ ก็ไม่ใช่ ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ สวากฺขาโต ภควตา ธัมโม มันต้องคนนั้นรู้สึกได้ด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลานั้น เวลาที่ฟัง จึงจะเป็นสันทิฏฐิโก อย่างเรื่องนรกมีความทนทรมานเจ็บปวด อย่างนั้น ๆแล้วก็พรรณนาไว้เป็นหลายขุม สิบกว่าขุม มีอาการอย่างนั้น ๆ จะถึงก็ต่อเมื่อตายแล้ว ตายแล้วแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นไอ้อยู่ในนรก นี่ก็คิดดูเถอะว่ามันจะสันทิฏฐิโกกันตอนไหน จะสันทิฏฐิโก รู้สึกด้วยตนเอง เห็นด้วยตนเอง แจ่มแจ้งด้วยตนเอง ต่อเมื่อตายแล้วไปตกนรก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวนี้มันก็ไม่ต้อง เดี๋ยวนี้มันก็ไม่ต้อง มันไม่ต้องมีความหมายคำว่าสันทิฏฐิโก
ฉะนั้นเรามีความเห็นอย่างนี้ จึงได้อธิบายขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง เรียกว่าภาษาธรรม แต่ก็ให้รู้ไว้ด้วยว่าเราไม่ไปแตะต้องไอ้ภาษาคนที่เขาอธิบายกันอยู่ก่อน นรกใต้ดินถึงต่อตายแล้ว สวรรค์บนฟ้าถึงต่อตายแล้ว ฉะนั้นเราไม่ไปแตะต้อง และเราก็ไม่รับผิดชอบ ไม่ต้องรับผิดชอบว่าทำไมมันถึงไม่สันทิฏฐิโก และจะบอกให้สังเกต ศึกษากันใหม่ว่าคำว่านรกนั้น คือความร้อน เหมือนกับถูกไฟเผา หรือทิ่มแทง หรือแล้วแต่ที่เป็นเครื่องทนทรมาน เมื่อใดจิตใจมันรู้สึกทนทรมานอย่างนั้น เรียกว่าจิตนั้นเสวยนรกอย่างเป็นสันทิฏฐิโก มันจะเกิดมาจากอะไร เขาไปทำอะไรผิด หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นแก่เขา แล้วเขามานั่งร้อนใจเหมือนเกิดไฟไหม้อยู่ในภายใน นั่นคือนรกซึ่งกำลังเป็นสันทิฏฐิโก คือเขารู้สึกอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว นรกชนิดนี้ หรือคำอธิบายชนิดนี้ก็มีหลักที่มาที่เป็นพุทธภาษิตเรียกว่า นรก เป็นไปทางอายตนะแห่งผัสสะ อายตนะสำหรับผัสสะเรียกเป็นบาลีว่า ผัสสายตนิกนรก คือนรกเป็นไปตามอายตนะแห่งการสัมผัส พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียกชื่ออย่างนี้ แล้วก็ใช้คำว่าเราเห็นแล้ว เราเห็นแล้วนรกอย่างนี้ ซึ่งไม่ได้ (นาทีที่ 06.10ตรัส)ว่าเราเห็นแล้วไอ้กับนรกอย่างนู้น อย่างที่เขาว่ากันอยู่ก่อน ก่อนพระองค์ ข้อนี้อธิบายว่าเมื่อความเป็นไป หรือการปรุงแต่งทางอายตนะทำให้เกิดผลคือทุกข์เดือดร้อนอย่างยิ่ง ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความปกติเลย นี่เรียกว่านรกทางอายตนะสำหรับสัมผัส
ใจความสำคัญก็คือว่ามันเกิดมาด้วยความผิดพลาดทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง ผลมันยังเกิดขึ้นมาที่อายตนะนั้น หรือทางอายตนะนั้นเป็นไอ้ความทุกข์ความร้อนอยู่ หรือแม้ที่สุดแต่คนเฒ่าคนแก่ในประเทศเรานี้รู้จักพูดว่า สวรรค์ในอกนรกในใจ มันก็หมายถึงว่ามันอยู่ในอกในใจไม่ต้องอยู่ ไม่ต้องอยู่ใต้ดินหรือว่ามันไม่ต้องรอต่อตายแล้ว ถ้าต้องรอต่อตายแล้วคนเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้สึกได้ไม่เห็นได้ ไม่รู้สึกได้คือมันไม่สันทิฏฐิโกนั่นเอง นรกที่จะสันทิฏฐิโกก็คือไอ้ความร้อน เดือดร้อนเหมือนกับไฟเผา หรือเหมือนกับ แล้วแต่แหละ แล้วแต่ว่ามันเดือดร้อนเพราะอะไร เมื่อบุคคลนั้นร้อนอยู่ในใจ เราก็เห็นได้ด้วยตนเอง รู้สึกอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างสันทิฏฐิโก ถ้าสมมติว่าจะเรียกมาให้ใครดู ก็เรียกยังมาดูได้บอกว่ามันร้อนอย่างนี้ ๆ ๆ ให้มันรู้สึกได้โดยประจักษ์อย่างนี้เราเรียกว่า อธิบายโดยวิธีของภาษาธรรมเอาความหมายเป็นหลัก ไม่ใช่เอาไอ้รูปแบบภายนอกเป็นหลัก พอเสร็จอธิบายแล้วแสดงแล้วผู้ฟังก็รู้สึกได้อย่างสันทิฏฐิโก หรือเมื่อเขาไปประพฤติปฏิบัติไปกระทำมันเข้า ก็จะมีความรู้สึกได้อย่างสันทิฏฐิโกที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่เรียกว่านรกที่เป็นสันทิฏฐิโก
ที่นี้เขาก็จะสงสัยว่าแล้วนรกใต้ดินที่พูด ๆ กันอยู่นั่นว่ายังไง ก็ว่าอย่างก็ว่าตามที่เขาว่า เราต้องการจะชี้ให้เห็นนรกที่จริงกว่าเดี๋ยวนี้น่ากลัวกว่าอะไรกว่า แล้วมันยังมีพิเศษอีกอย่างนะซึ่งจะต้องจำไว้ด้วย ว่าถ้าคุณไม่ตกนรกชนิดนี้แล้วก็รับรองได้ว่าไม่ตกนรกชนิดไหนอีก นรกใต้ดินต่อตายแล้วอย่างที่เขาว่า ว่ากันนะจะไม่ตกอีกแหละถ้าคุณไม่ตกนรกชนิดที่กำลังพูดนี่ นรกทางอายตนะนี่ เพราะมันไม่ทำผิดนั่นเอง เพราะมันไม่ทำผิด ไอ้คนมันทำผิดทางอายตนะเป็นทุกข์เดือดร้อน ตกนรกที่นี่ชนิดนี้นี่มันก็สาสมแล้ว ตายแล้วมันจะตกนรกที่ไหนไม่ได้อีกเพราะว่า แล้วมันจะตกนรกอย่างไหนอีกก็ตามใจมันเถอะแต่ว่าเดี๋ยวนี้มันมีนรกที่ตกแล้วเต็มตามความหมาย ถ้าไม่ต้องการจะตกนรกต่อตายแล้วก็อย่าทำให้ตกนรกที่นี่และเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นคนทุกคนจงอย่าทำอะไร ทำอะไรให้มันเกิดความร้อนใจเหมือนไฟเผาขึ้นมาในจิตในใจของเรา นี่เราเสียเวลาพูดกันอย่างนี้ให้มากให้ชัดเจน ให้ประชาชนเขารู้จักนรกชนิดที่เป็นสันทิฏฐิโก
ทีนี้พอพูดถึงสวรรค์ก็มีคำเรียกอย่างเดียวกัน (ผัสสายตนิกสัคคะ นาทีที่11.44) คือ ผัสสายตนิกสวรรค์ คือถ้าทำถูกทางอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้รับความพอใจได้รับความสุข พอใจอย่างธรรมดาสามัญนี้ หรือว่าจะเป็นเรื่องขนาดกามารมณ์ก็ได้รับแล้ว ได้รับความรู้สึกที่เป็นกามารมณ์ที่ได้มาโดยถูกต้อง ไอ้เรื่องกามารมณ์นั้นเมื่อได้มาผิดมันก็เป็นนรกแหละ ต้องร้อนใจต้องเป็นเรื่องของนรกแหละ ถ้ากามารมณ์มันได้มาอย่างถูกต้องไม่มีนรกมันก็คือสวรรค์ตามแบบธรรมดาสามัญ ทีนี้ถ้าเราทำถูกต้องจนได้สวรรค์ในใจอย่างนี้แล้วมันก็เป็นสันทิฏฐิโก เป็นสวรรค์ชนิดสันทิฏฐิโก ตายแล้วจะว่ายังไงมันก็ต้องได้แหละ เพราะมันทำดี ๆ ๆ ๆ อยู่อย่างนี้แล้วตายแล้วมันจะไม่ได้จะไปไหนเสีย ฉะนั้นทำให้สวรรค์ที่เป็นสันทิฏฐิโกที่นี่เดี๋ยวนี้กันก่อนสิ ถ้าได้แล้วไอ้สวรรค์บนฟ้าต่อตายแล้วนั้นไม่มีปัญหาต้องได้แน่ อย่างที่คุณว่านะเพราะว่าไอ้ที่คุณสอน ๆ กันอยู่สวรรค์บนฟ้ามันก็ต้องทำดี ให้ทำบุญทำทานให้รักษาศีลอะไรแล้วจึงจะได้สวรรค์ นี้ก็เหมือนกันเมื่อได้รักษาศีลสมาทานศีลให้ทานให้ประพฤติ อะไรที่มันเป็นเหตุให้เกิดความสุขใจเป็นสวรรค์ ก็เป็นสวรรค์และชิมกันเสียให้เต็มที่ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ในลักษณะที่เป็นสันทิฏฐิโก
ดังนั้นเมื่อเขามาทำบุญให้ทานกับพวกเราที่ไปสั่งสอนเขาในขบวนธรรมทูต เราจะต้องอนุโมทนา ใช้คำว่าอนุโมทนา ชี้แจงชักจูงจนเขารู้สึกพอใจในการกระทำเหมือนกับสวรรค์ เดี๋ยวนี้ดูเราจะเอาเปรียบเขามากเกินไปไม่รับผิดชอบในข้อนี้ เขาเอามาให้ฉัน ก็ฉัน ฉัน ฉัน แล้วก็เลิกกัน หรือว่าอย่างมากก็อนุโมทนา ยะถา สัพพี ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรทั้งคนให้และคนรับ ทีนี้ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจในสิ่งที่ได้กระทำนั้นมันก็ไม่มี ฉะนั้นขอให้อดทนหน่อยเสียสละหน่อย เมื่อเขาได้สมาทานศีลก็ดี ได้ให้ทานถวายทานก็ดี ทำอะไรก็ดีที่เขาควรจะรู้สึกพอใจเหมือนกับสวรรค์แล้วก็ช่วยเขาหน่อย ชี้แจงชักจูงที่เรียกว่าอนุโมทนา เมื่อจะบอกอานิสงส์ศีลก็บอกให้จนเขาจนพอใจอย่างยิ่งในการได้สมาทานศีล เมื่ออนุโมทนาทานก็อธิบายให้เขารู้สึกสบายใจอย่างยิ่งเป็นสุขใจอย่างยิ่ง เหมือนกับได้สวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วมันก็รับประกันไปถึงสวรรค์ต่อตายแล้ว สวรรค์บนฟ้าสวรรค์อะไรด้วย ถ้ามันทำถูกถึงขนาดนี้นะมันไม่ไปไหนเสีย ไอ้เรื่องสำคัญมันอยู่ตรงที่ทำให้เป็นสันทิฏฐิโกโกกันที่นี่และเดี๋ยวนี้
ฉะนั้นเราจำกัดความกันง่าย ๆ ว่าไอ้นรกนั่นคือความรู้สึกที่เผาลนจิตใจทนทรมานจนกระทั่งมันเกลียดตัวเองแหละ มันเกลียดตัวเองมันชังน้ำหน้าตัวเองนั่นแหละคือนรก ทีนี้สวรรค์ก็อธิบายจนเขารู้สึกพอใจเป็นสุขใจแล้วชอบใจนับถือตัวเองยกมือไหว้ตัวเอง ยกมือขึ้นแสดงว่าพอใจที่สุด และก็ไม่ดูหมิ่นตัวเองไม่เกลียดชังตัวเอง แต่เคารพรักนับถือตัวเองขึ้นมาอย่างนี้คือสวรรค์ ถ้ามันมีผลเป็นพอใจตัวเองแล้วก็เป็นสวรรค์ ถ้ามันมีผลเป็นเกลียดชังตัวเองมันก็เป็นนรก นี่กล่าวไปตามหลักเกณฑ์ทั่วไปต้องเป็นอย่างนี้ ไอ้กรณีพิเศษจนถึงจะกลับตอนนั้นไม่มี ถ้ามีก็แก้ไขได้แก้ไขให้เข้ารูปนี้ได้ ฉะนั้นผมจึงชอบพูดให้มันง่าย ๆ จำง่าย ๆ ว่าเมื่อไหร่มันนับถือตัวเองยกมือไหว้ตัวเองได้เมื่อนั้นเป็นสวรรค์ เมื่อไหร่มันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง เกลียดชังตัวเองเมื่อนั้นมันเป็นนรก ก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้และก็ทันควันในการกระทำ
ทีนี้มันก็มีปัญหาอย่างที่มีอยู่เหมือนกับว่าทำดีทำบุญ ทำดีทำไมไม่เห็นได้อะไรไม่รวยไม่เจริญก้าวหน้า และอีกคนหนึ่งทำบาปทำชั่วแถมเป็นไอ้อันธพาลอีกด้วยเขาก็ยังร่ำรวยก้าวหน้า เจริญก้าวหน้า นี่มันเป็นเหตุให้เข้าใจกันไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เอาเรื่องของจิตใจเป็นหลัก เขาเอาเรื่องของไอ้วัตถุภายนอกเป็นหลัก คนนี้ประพฤติทุจริตโกงเขาตะพึดแต่มันโกงเก่งมันเลยรวย แม้ว่าคนทั้งบ้านเขาจะรู้ว่าไอ้นี่มันบรมโกง แต่แล้วทำไมมันรวย รวยอย่างเป็นเศรษฐี ก็เลยยึดหลักว่า โอย,ทำดีไม่ได้ดีทำชั่วไม่ได้ชั่วเสียแล้ว ดังนั้นเราก็บอกเขาให้รู้ว่ามันคนละเรื่องกัน ไอ้เรื่องผลกรรมนั้นมันไม่ใช่เรื่องพรรณนั้น จะได้เงินหรือไม่ได้ จะได้ชื่อเสียงหรือไม่ได้นั้นไม่เป็นเรื่องแน่นอน ที่แน่นอนก็คือว่าพอทำดีแล้วก็รู้สึกพอใจตัวเองทันที เป็นสุขพอใจตัวเองทันที นี่เราเรียกว่าทำดีมันก็ดีทั้งนั้นแหละ ไม่ต้องรอว่าเมื่อไหร่จะได้ พอทำดีมันก็ดีเท่านั้น เพราะว่ามันเรียกว่าทำดี เขาคนนั้นมันก็รู้จักดี รู้จักความหมายของคำว่าดี รู้เรื่องความดีอย่างถูกต้อง พอทำมันก็ยกมือไหว้ตัวเองได้พอใจนี่เรียกว่าทำดี ดี พอทำชั่วมันก็เกลียดชังตัวเองคอยหลบหลีก ไม่ไปรู้เรื่องที่กระทำ นี่มันชั่วและมันก็ร้อนมันก็แผดเผา ส่วนเรื่องจะได้ผลพลอยได้ข้างนอกนั้นไม่แน่ บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ บางทีก็ได้ในลักษณะที่กลับกัน บางทีก็ได้ช้าบางทีก็ได้เร็ว บางทีก็ไม่ได้ไม่ปรากฏ เช่นว่าจะทำบุญให้มันรวยให้ถูกลอตเตอรี่นี่มันก็ไม่ปรากฏ แต่บางทีมันก็ปรากฏ แล้วไอ้ที่มันร้ายที่สุดก็คือมันปรากฏอย่างตรงกันข้าม ไอ้คนทำบาปกลับได้รวยได้โชคดีได้ถูกลอตเตอรี่ คนทำบุญกลับไม่รวยไม่ถูกลอตเตอรี่ บอกเขาเสียว่าอย่างเอามาปนกัน ถ้าเอามาปนกันแล้วคุณก็จะเข้าใจผิด เกี่ยวกับเรื่องทำบุญทำบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ทั้งหลาย ขอให้ญาติโยมทั้งหลายสังเกตดูเองเถอะ ให้มันเข้าใจชัดเจนอย่างนี้ตายตัวลงไปอย่างนี้ ทำดีก็ดีทำชั่วก็ชั่ว แล้วก็เป็นสันทิฏฐิโก เห็นแจ้งรู้จักรู้สึกเสวยอะไรด้วยตนเอง ทันในเวลานั้นเรียกว่าสันทิฏฐิโก หมายความว่าอย่างนี้
ทีนี้เรื่องสันทิฏฐิโกของนรกหรือสวรรค์ทำดีทำชั่ว ทีนี้ก็จะเลยขึ้นไปถึงเรื่องนิพพานก็เป็น สวากขาตธรรม ด้วยเหมือนกัน ไอ้หลักเกณฑ์ทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าตรัสยึดถือว่าเป็นสวากขาตธรรม เป็นสันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตังเวทิตัพโพ อย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องไม่มีความหมาย ไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยศึกษาให้เข้าใจไอ้คำเหล่านี้ มันเป็นหญ้าปากคอกเกินไปเลยไม่มีใครสนใจจึงไม่รู้ฉะนั้นก็ควรจะสนใจ บอกเขารู้ว่าถ้าไม่มีนิพพาน ถ้ามันไม่มีเรื่องนิพพานแล้วพุทธศาสนาก็ไม่ต้องมี หรือพุทธศาสนาก็ไร้ค่าไร้ความหมายไปทันทีถ้าพุทธศาสนาไม่มีเรื่องนิพพาน ทีนี้คำว่านิพพานนั่นที่เขาพูดกันสอนกันชี้แจงกันว่ามันต้องเกิดแล้วเกิดอีกไม่รู้กี่แสนชาติจึงจะบรรลุนิพพานแล้วจะสันทิฏฐิโกได้อย่างไร ไอ้นิพพานตัวจริงก็ไม่รู้จัก ที่ว่าจะต้องรอแสนชาติก็ยิ่งไม่รู้จักก็เลยก็ไม่สันทิฏฐิโก ดังนั้นเราก็บอกเขาให้รู้ว่านิพพานนั่นพระพุทธเจ้าท่านตรัสหมายถึง การที่มันไม่มีความทุกข์ เวลาที่ไม่มีความทุกข์ ภาวะที่ไม่มีความทุกข์ คือไม่มีกิเลสนั่นแหละ เพราะถ้ามีกิเลสมันมีความทุกข์ทันที หรือภาวะที่ว่างไปจากกิเลส ถ้าว่างระยะน้อย ๆ ก็เป็นนิพพานน้อย ๆ ระยะสั้นๆ ก็เป็นนิพพานสั้น ๆ ชั่วคราว ถ้ามันว่างขาดไปเลยไม่กลับมาอีกมันก็เป็นนิพพานสมบูรณ์
ฉะนั้นสันทิฏฐิโกนี่หมายความว่า ไอ้คนนั้นมันต้องรู้จักกิเลสคือต้องสันทิฏฐิโกต่อกิเลสกันเสียก่อน ว่ากิเลสเป็นอย่างไรเกิดขึ้นมาแล้วร้อนอย่างไร ขอให้สังเกตเอาจากเรื่องจริงที่มีอยู่ในวันหนึ่ง ๆ พอโลภขึ้นมา กระหายขึ้นมา มีตัณหาขึ้นมา แล้วมันร้อนอย่างไรจิตมันร้อนอย่างไร หรือพอโกรธขึ้นมา พอเกลียดขึ้นมามันร้อนอย่างไร หรือพอโง่ขึ้นมา พอกลัวขึ้นมา พอวิตกกังวล สงสัย ลังเลขึ้นมา มันรำคาญขึ้นมา นี่มันร้อนอย่างไรนี่ ขอให้เขาตั้งต้นไปจากจุดนี้ เพราะถ้าคุณอยากจะรู้เรื่องนิพพานขอให้ตั้งต้นไปจากจุดนี้ คือกิเลสที่มันเกิดแก่เรา แล้วสันทิฏฐิโกลงไปที่กิเลสนั้นเสียก่อน สัมผัสกันกับไอ้ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่เกิดอยู่ทุกวันนั้นเสียก่อน รู้จักกิเลสดีแล้วรู้จักว่าเมื่อกิเลสเกิดขึ้นจิตเป็นอย่างไร แล้วเมื่อกิเลสไม่เกิดขึ้น จิตกำลังว่างจากกิเลสอยู่มันเป็นอย่างไรแม้จะว่างชั่วคราว ฉะนั้นขอให้ชาวไร่ ชาวนา ชาวบ้าน อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ตั้งต้นศึกษาธรรมะอย่างเป็นสันทิฏฐิโก คุณจะมัวอ่านแต่หนังสือ หรือท่อง ท่องแต่ปาก สันทิฏฐิโก ให้ตัวท่องแต่ปาก มันไม่สันทิฏฐิโกได้หรอก
ฉะนั้นเมื่อใดเกิดความทุกข์ขึ้นมาก็สันทิฏฐิโกเข้าไปที่ความทุกข์ เมื่อไรกิเลสเกิดขึ้นมาก็สันทิฏฐิโกเข้าไปที่กิเลส หรือเมื่อไรกิเลสมันว่างไปบ้าง ทิ้งระยะว่างไปได้ ก็สันทิฏฐิโกลงไปที่ระยะที่มันว่างจากกิเลส ก็จะพบว่ามันเป็นอะไร เป็นอย่างไร มันต่างกันอย่างไร เมื่อมีกิเลสมันปั่นป่วนเร้าร้อนอย่างไร เมื่อไม่มีกิเลสมันหยุด มันเย็น มันสงบอย่างไร ให้รู้จักระยะที่มันว่างกิเลสภาวะที่มันว่างกิเลส ดังนั้นถ้าจะไปสอนทายก ทายิกา เรื่องพระนิพพานแล้วก็ พยายามอย่างนี้เถิดได้ผลแน่ และก็ไม่เสียทีที่ว่าเราเป็นสาวกเป็นผู้สอน เราสามารถจะสอนให้เขารู้จักได้จริง ๆ ไม่ใช่สอนยืดยาวเพ้อเจ้ออย่างที่เคยสอน ๆ กันอยู่ หรือว่าในแบบเรียนนั้นมัน มันไม่เป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นเรื่องจำไว้มาก ๆ และก็ไม่รู้ว่าสันทิฏฐิโกลงไปที่ตรงไหน เดี๋ยวนี้เราบอกกันอย่างนี้ว่าจงทำให้เป็นสันทิฏฐิโกลงไปที่กิเลสทุกชนิด แล้วแต่ชนิดไหนมันจะเกิดขึ้นมา ให้สันทิฏฐิโกลงไปที่บางเวลาบางคราวมันว่างจากกิเลส ในวันหนึ่ง ๆ ยี่สิบสี่ชั่วโมงมันมีระยะที่ว่างจากกิเลสก็ควรเท่าไรมันเป็นอย่างไร แล้วมีเวลาที่กิเลสรบกวนเป็นเวลาเท่าไรมันเป็นอย่างไร เราบอกเขาให้เข้าใจความหมายของคำว่านิพพาน คำว่านิพพานนั้นทำยุ่งมาก เพราะเด็ก ๆ ในโรงเรียนเขาเรียนในโรงเรียนเรื่องคำภาษาไทย นิพพานนี่หมายถึงตายของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์ คำว่าตายใช้แก่พระเจ้าแผ่นดิน ใช้แก่ในกรม ใช้แก่อะไรลงมาจนถึงคนธรรมดา จนถึงสัตว์เดรัจฉานแล้วสูงขึ้นไปถึงพระอรหันต์จนถึงพระพุทธเจ้า คำว่าตาย ตายนี่เรียกชื่อต่าง ๆ กัน เลยตายคือนิพพานของ นิพพานคือตายของพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์ มันก็เริ่มผิดแล้วถ้าไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่มีทางที่จะนิพพานหรือไม่รู้เรื่องของนิพพานเลย นี่เราก็บอกเขาให้รู้เรื่องถ้อยคำสำคัญนี้เสียว่านิพพานนั้นมันแปลว่าดับ ดับแห่งของร้อน เพราะฉะนั้นมันก็เย็น
ไอ้คำว่านิพพานถ้าเป็นภาษาชาวบ้านมันแปลว่า ดับของของร้อน หรือของไฟ ปชฺโช ตสฺเสว นิพฺพานํ ปัชโชตะ(29.31) แปลว่าไฟ อิวะ (29.37) เปรียบเหมือน นิพพานัง ความดับ เปรียบเหมือนความดับของไฟ คำว่านิพพานเขาใช้ธรรมดาเป็นความดับของไฟ หรือของสิ่งที่มีความร้อน เมื่อไฟชนิดไหนดับไฟนั้นเป็นนิพพาน ภาษาที่ชาวบ้านใช้อยู่ในทางวัตถุก็คือดับของสิ่งที่มีความร้อน แล้วที่เขาใช้อยู่เป็นภาษาจิตใจเขาหมายถึงเย็นอกเย็นใจ ผมคิดดูแล้วใคร่ครวญดูแล้วไม่มีคำไหนเหมาะเท่ากับคำว่าเย็นอกเย็นใจ และชาวบ้านเขาจะเข้าใจได้ทันทีว่าเย็นอกเย็นใจคืออย่างไร เพราะบางเวลาเขาก็เย็นอกเย็นใจบ้างเหมือนกัน เวลาที่เขาไม่เย็นอกเย็นใจเขาก็รู้ ๆ อยู่เป็นสันทิฏฐิโกเหมือนกัน ไอ้เวลาที่เขาเย็นอกเย็นใจนั่นเราก็รู้อยู่เป็นสันทิฏฐิโกเหมือนกัน เราบอกให้เขาสันทิฏฐิโกให้มากในสิ่งที่เขาเรียกว่าเย็นอกเย็นใจ ถ้าเมื่อไรมันเกิดขึ้นเขาจะได้รู้ความหมายของคำว่านิพพานที่เขาใช้กันอยู่แม้เป็นภาษาชาวบ้านก็คือเย็นอกเย็นใจ เมื่อเรียนพุทธประวัติตอนหนึ่ง พระสิทธัตถะแสดงตัวปรากฏแก่หญิงสาวศากยะคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นก็พูดขึ้นว่า นิพพุตา นูน สา มาตา นิพพุโต นูน โส ปิตา อะไรอย่างนี้ หมายความว่า บุรษนี้เป็นลูกของใคร แม่ของเขาก็ นิพพุตา นิพพุตา นั่นคือคำว่านิพพาน แต่มันหมายถึงเย็นอกเย็นใจเท่านั้นไม่ใช่นิพพานเลยไปนู่น เป็นลูกของใคร พ่อของเขาก็ นิพพุตา คือเย็นอกเย็นใจ เป็นสามีของใคร ภรรยาของเขาก็ นิพพุตา คือเย็นอกเย็นใจ ให้เขารู้ความหมายของคำว่านิพพานนี่ นิพพานนี้เป็นนาม เมื่อเป็นกริยามันเป็นนิพพุตา คำเดียวกัน บอกเขาให้รู้ว่าคำว่านิพพานนั้นมันแปลว่าเย็นอกเย็นใจ นี่มันต่างกันตรงไหน มันเย็นอกเย็นใจชั่วคราวมันก็นิพพานชั่วคราว ถ้าเย็นอกเย็นใจตลอดไป ตลอดไม่มีเปลี่ยนแปลงก็เป็นนิพพานจริง นิพพานสมบูรณ์ ฉะนั้นคุณไปสนใจเรื่องเย็นอกเย็นใจให้มาก ให้มันสันทิฏฐิโก ประจักษ์ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเองว่าเมื่อไรกิเลสไม่มาวี่แววเราก็เย็นอกเย็นใจ เพราะกิเลสนั้นมันเป็นไฟ เมื่อไฟคือกิเลสมันดับก็มีความเย็น มีความดับก็คือเย็นอกเย็นใจ อย่างนี้เรียกว่าศึกษาธรรมะโดยตรงตามแบบสันทิฏฐิโก ไม่ศึกษาจากพระไตรปิฎก ไม่ศึกษาจากพระคัมภีร์ ไม่ศึกษาจากโรงเรียน ไม่ศึกษาจากคำเทศน์ ทำอะไรให้มันอ้อมค้อม ศึกษาตรงลงไปที่ของจริงที่ปรากฏแก่จิตใจ
ดังนั้นเราพูดไปเลยว่าไอ้ธรรมะจริงต้องศึกษาโดยตรงจากจิตใจไม่ใช่ศึกษาจากหนังสือหนังหาคัมภีร์ ตำรับตำราแม้แต่พระไตรปิฎก อันนั้นมันเป็นเรื่องเล่าเรื่อง เล่าเรื่องบันทึกเรื่องเอาไว้ให้รู้วิธี จะศึกษาอย่างไร พอถึงคราวจะศึกษาก็ต้องศึกษาตรงลงไปที่สิ่งนั้น ที่ปรากฏอยู่ในใจ นี่ลักษณะของสันทิฏฐิโก เห็นว่ากิเลสมันเกิดอยู่ในใจ ศึกษาลงไปที่กิเลสที่ปรากฏอยู่ในใจนี่คือสันทิฏฐิโก ลงไปบนกิเลสเลย นี่พอกิเลสว่างไป แหม สบายจริงโว้ย, เย็นอกเย็นใจ สบายจริงโว้ย, ก็ศึกษาลงไปที่มันว่างเย็นอกเย็นใจ นี่ศึกษาโดยการสัมผัสสิ่งนั้นที่มีอยู่ในจิตใจ ก็แปลว่าเราสัมผัสนิพพานคือเย็นอกเย็นใจ แม้ว่าจะชั่วขณะในระยะสั้น ในระดับที่น้อยก็คือนิพพานเดียวกันแหละ เพราะนิพพานคือเย็นอกเย็นใจนั่นแหละ ถ้าตลอดกาลก็เป็นนิพพานจริง ถ้าชั่วคราวก็เป็นนิพพานชั่วคราว นี่กินเวลาน้อยมาก ประหยัดเวลาได้น้อยมาก ประหยัดเวลาได้มาก คือใช้เวลาน้อยมากที่จะรู้ธรรมะอันแท้จริง ถ้าเขาศึกษาลงไปที่ตัวสิ่งนั้นจริง ๆ ที่ปรากฏอยู่ใจในลักษณะที่เรียกได้ว่าสันทิฏฐิโก เราก็บอกญาติโยมทั้งหลายคุณก็ทำให้เข้าใจคอยสังเกตให้ดีว่าเมื่อไรกิเลสเกิดขึ้นแล้วก็ศึกษามันลงไปที่กิเลส เมื่อไรกิเลสมันว่างไปก็ศึกษาลงไปที่จิตที่มันกำลังว่างจากกิเลส แล้วคุณจะรู้จักนิพพานที่แท้จริง ทีนี้มันก็เหลืออยู่แต่ว่าทำอย่างไรจะระมัดระวังให้ไม่เกิดกิเลสขึ้นมาในจิต ให้มันยืดยาวตลอดไป มันก็จะเป็นทางไปสู่นิพพานจริง การที่รู้จักเย็นอกเย็นใจเฉพาะคราวเฉพาะครั้งชั่วขณะนี้มันก็สัมผัสนิพพานเหมือนกันแหละแต่มันเป็นส่วนน้อยนั้นมันจึงเป็นเพียงนิสัยเพียงปัจจัยแก่พระนิพพานจริง ทำอะไร ๆ ให้เป็น นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ก็ดีแหละ ถ้ารู้อะไรก็ให้รู้ชนิดที่มันจะเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานจริงในอนาคตโดยสวัสดี
ดังนั้นเมื่อเราทำดี ทำบุญ ทำทาน ทำอะไร ทำให้กิเลสว่างไปก็เป็นนิพพาน แต่ถ้าเราไปยินดีที่ได้อยู่ที่อารมณ์ของไอ้ความสุขมันก็ยังไม่ใช่นิพพาน เป็นสวรรค์ ฉะนั้นสวรรค์จึงมีรสอร่อยสนุกสนานไม่ว่างจากกิเลส มันมีกิเลสชนิดละเอียดเข้ามาเป็นเครื่องสนองความรู้สึก เป็นอารมณ์ ดังนั้นมันไม่ใช่เย็นอกเย็นใจ มันตื่นเต้น ถ้าเรื่องของสวรรค์มันมีความสุขเกี่ยวกับอารมณ์ที่เป็นเหยื่อของกิเลสชนิดที่เราจัดไว้ (นาที่ที่37.30) ฝ่ายดีนั้นมันเป็นสวรรค์ คือจิตไม่ได้เกลี้ยงจากกิเลสจึงให้เป็นสวรรค์ ถ้าจิตไปมีกิเลสประเภทร้อนมันก็เป็นนรก นี่พอมาถึงสวรรค์ก็คือย่างนี้แต่ยังไม่ใช่นิพพาน ถ้านิพพานต้องว่างต้องเกลี้ยงจากกิเลส นี่คือเป็นนิพพาน แม้เป็นนิพพานตัวอย่าง นิพพานตัวอย่างนี่มันฟังง่ายดีใช่ไหม คือว่าให้ตัวอย่างให้ชิมดูก่อนว่านิพพานมันมีรสชาติอย่างนี้ ได้มาน้อย ๆ ได้มาชั่วขณะนี้เป็นตัวอย่าง ก็อยากจะได้ให้มันเต็มที่ จึงเรียกว่าเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน เขาก็รู้จักนรกจริง รู้จักสวรรค์จริง รู้จักนิพพานจริง โดยไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ก่อน คือรู้จักนิพพานตัวอย่าง นิพพานตัวอย่างนี้จะเรียกเป็นบาลีนี่ก็มันไม่มีคำว่าตัวอย่าง แต่มันมีคำว่านิพพานชั่วขณะมี เรียกว่า สามายิกนิพพาน นิพพานชั่วสมัยหนึ่งเล็ก ๆ หนึ่ง สมัยหนึ่ง ๆ เรียกว่า สามายิกนิพพาน และถ้ามันรู้ได้ทันที รู้ได้ด้วยตนเองก็เรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพาน ที่เป็นกริยาเรียกว่า ทิฏฐธรรมปรินิพพุโต(39.05) เกิดดับเย็นสนิทในเวลานั้นในลักษณะเป็นทิฏฐธรรม คือที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทิฏฐธรรม หมายความว่าที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในบาลีพระพุทธภาษิตมีไว้ชัด เมื่อใดจิตมันไม่เกิดกิเลสในเมื่อมันควรจะเกิดกิเลส เช่นอารมณ์ของกิเลสสูงสุดออกมาอยู่ตรงหน้า มายั่วมาอะไรอยู่ ไอ้คนนั้นมันก็รู้ว่าไอ้นี่มันเป็นกิเลสและมันบังคับจิตไว้ได้ ไม่ให้ไปรับเอาอารมณ์นั้นที่เรียกว่าพอใจ พอใจอยู่แล้วก็ อภิวทติ ออกปากชมเชยอยู่ว่ามันอร่อยมาก อชฺโฌสาย ติฏฺฐติ มีใจฝังแน่นลงไป แม้ว่ากิเลส มีเหยื่อของกิเลสถึงขนาดนั้นไอ้คนนั้นมันก็ยังมีการควบคุมสติไว้ได้ไม่เป็นไปตามกิเลส จิตของเขาก็ไม่ถูกกิเลสอาศัย นั่นแหละคือไม่มีอุปาทาน มันไม่เข้าไปจับยึดเอาอารมณ์กิเลสนั้น มันไม่มีอุปาทาน ทีนี้ผู้ไม่มีอุปาทานนั่นแหละคือผู้นิพพาน ที่นี่และเดี๋ยวนี้เรียกว่าทิฏฐธรรมนิพพาน
ผู้ที่ไม่มีอุปาทานนั่นแหละคือผู้ที่มีนิพพานเป็นทิฏฐธรรมที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราพูดเสียใหม่ก็ได้ว่าเมื่อใดไม่มีอุปาทานเกิดขึ้นในจิตเมื่อนั้นหยุด เป็นทิฏฐธรรมนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ เมื่อตะกี้ใช้คำว่าเมื่อใดไม่มีกิเลสเมื่อนั้นเป็นนิพพานนั้นมันพูดคลุมมากไป พูดให้ชัดให้เจาะจง และเมื่อใดไม่มีอุปาทาน อุปาทานก็คือกิเลสชนิดหนึ่ง เมื่อใดไม่มีอุปาทานเมื่อนั้นเป็นทิฏฐธรรมนิพพาน อุปาทานนั้นมันมาหลังจากกิเลสธรรมดา คือว่ามีตัณหาและก็มีอุปาทาน มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน พอมีอุปาทานมันก็ต้อง ไม่มี ไม่มี ไม่มีดับเย็นในที่นี่และเดี๋ยวนี้ พอมันว่างจากอุปาทาน ไม่มีอุปาทานแล้วจะเป็นอะไรคุณลองคิดดู จิตนั้นมันไม่มีกิเลสคือโดยเฉพาะคือไม่มีอุปาทาน จิตนั้นมันก็ไม่ร้อน มันก็ดับเย็นเหมือนไฟดับ นี่เรียกว่านิพพานในทิฏฐธรรม เป็นทิฏฐธรรม ในบางกรณีพระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า อัชฌัตต เฉพาะตนก็มีนิพพานเฉพาะตน ทีนี่มันแน่แหละว่าเรื่องนี้มันเฉพาะตน ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ทั้งนั้น แต่ว่าพูดให้มันเฉพาะกรณีชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกก็เรียกว่า อัชฌัตตนิพพาน (42.53) บอกให้เขารู้ว่าไอ้นิพพานนั้นแปลว่า ดับแห่งของร้อน ที่ชาวบ้านจะพอใจได้ก็คือเย็นอกเย็นใจ ไม่มีเรื่องร้อนอกร้อนใจ มีร้อนอกร้อนใจก็เป็นนรก แล้วก็มีเหนียวหนืดอยู่กับกามอารมณ์มันก็เป็นสวรรค์ แล้วว่างจากไอ้เหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นนิพพาน ให้เขาทำสันทิฏฐิโกลงไปยังนรก สันทิฏฐิโกลงไปยังสวรรค์ แล้วสันทิฏฐิโกลงไปยังนิพพาน และให้เขาเลือกดูเองโดยอิสระว่าคุณจะพอใจอย่างไหน
ไอ้เรื่องของสวรรค์นั่นมันเป็นเรื่องมีกิเลสละเอียดคอยกระตุ้นเอาไว้ คอยผูกพันเอาไว้ ถูกแล้วล่ะมันต้องมีรสอร่อย อร่อยอย่างที่สัตว์ทั่วไปมันก็อร่อย และความอร่อยอย่างนี้ลองดูสัมผัสมันดู มันเป็นอะไรบ้าง มันก็คือความถูกกระตุ้นไม่ให้หยุด ไม่ให้เย็น ไม่ให้สงบ ไม่ให้เกลี้ยง จะถูกกระตุ้นอยู่อย่างนี้เอาไหม มันอาจจะตายก็ได้ ช่วงมีกามอารมณ์กระตุ้นเต็มอยู่ในจิตตลอดเวลาไม่ให้พักผ่อนที่มันก็ตายแหละ คนมันก็ตายแหละ แล้วเวลาที่เสวยกามอารมณ์นั่นมันเหน็ดเหนื่อยสักเท่าไรเขาก็ต้องรู้เองแหละ แล้วเรา เราบอกให้เขาไปสันทิฏฐิโกเอาเอง คือเมื่อเขาบริโภคกามอารมณ์นั่นเขาเหน็ดเหนื่อยเท่าไร เขาเสียแรงงานเท่าไรอะไรอย่างไร ฉะนั้นเขาก็จะบอกได้เองว่าไอ้กามอารมณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเย็นอกเย็นใจเสียแล้ว แม้เราเคยคิดว่าเป็นสุขสบาย เย็นอกเย็นใจ มีลูกดี มีผัวดี มีเมียดี ช่างเย็นอกเย็นใจอย่างนี้ มันก็ในความหมายหนึ่ง ในความหมายที่ต่ำมาก เหมือนกับหญิงสาวคนนั้นมันก็ได้เหมือนกันแหละว่าถ้าได้ผัวดีอย่างนี้เมียก็นิพพาน ได้ลูกดีแม่ก็นิพพาน ได้ลูกดีพ่อก็นิพพาน คือเย็นอกเย็นใจเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่เย็นอกเย็นใจชนิดที่ว่างจากกิเลส ไอ้รักลูก รักเมีย รักผัวนี่มันไม่ได้ว่างจากกิเลส มันก็เป็นเรื่องเย็นอกเย็นใจชนิดโลกียะหลอก ๆ ถ้ามันเป็นเย็นอกเย็นใจโดยแท้จริงมันก็ต้องเป็นเรื่องที่ว่างจากกิเลส ฉะนั้นขอให้เขาเทียบเคียงดูเอาเอง เป็นสุขด้วยกิเลสกระหืดกระหอบนั่นมันเป็นอย่างไรบ้าง เป็นสุขสงบแท้จริงเรื่องของพระนิพพานไม่มีการกระหืดกระหอบ ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย ไม่เสียกำลังงาน ไม่ ไม่อะไร ๆ อย่างที่เรียกว่าบริโภคกามอารมณ์มันต่างกันอย่างไร เพราะว่าเขาก็เคยเหมือนกันนะ แม้ชาวบ้านปุถุชนทั่วไปนี่บางเวลาเขาก็ไม่มีจิตน้อมไปในทางกามอารมณ์ เป็นจิตเกลี้ยง ๆ นั่งพักผ่อนอยู่ว่าง ๆ นี้เขาก็มี ไอ้ลักษณะอย่างนี้ก็เรียกว่าลักษณะของไอ้จิตที่มันหลุดพ้น บางครั้งบางคราวเป็น สมย สามายิก เขาก็เทียบดูเอง มันไม่กินแรงงาน มันไม่เหน็ดเหนื่อย มันไม่ใช้แรงงาน มันเป็นการพักผ่อน หยุด เย็น สงบ เกลี้ยง จิตอย่างนี้บางเวลาเขาก็มีเหมือนกัน
ผมเขียนกลอนขึ้นบทหนึ่งให้ชื่อว่า บางนาทีท่านก็มีมัน บางนาทีคือบางเวลา ท่านก็มีมัน คือมีสิ่งนี้ คือบางนาทีจิตใจของเราไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่ถูกกระตุ้นให้เป็นไปตามแบบของสังขาร ก็เย็น เย็นเป็นนิพพานอย่างชิมลองนี่ก็มีเหมือนกัน แต่ว่าคนไอ้เหล่านั้นเขาไม่สังเกต เขาไม่สนใจเขาไม่คิดว่ามี เขาก็ไม่รู้สึกว่ามี ทั้งที่บางเวลาไอ้เราก็มี นี่เราจะไปพูดกับชาวบ้านชาวไร่ชาวนา บางเวลาพวกคุณก็อยู่กับนิพพานน้อย ๆ นี่ไม่ต้องพูดถึงพระเณรเราอย่างนี้ คุณไปคิดดูเองอีกทีบางเวลามันก็มีเหมือนกัน แต่เราเป็นคนประมาท เป็นคนไม่มีสติ ไม่มี มันก็ไม่รู้สึกว่าบางเวลาจิตของเราเขาว่างเหมือนกัน จิตของเราก็หลุดพ้นเหมือนกัน แต่มันไม่เด็ดขาดมันก็กลับไปกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะมันมีประโยชน์อย่างยิ่งถ้าจะสัมผัสลงไปที่จิตชนิดนั้น ในลักษณะที่เป็นสันทิฏฐิโก บางเวลาจิตของเราก็ว่างจากวัฏฏะสงสาร ว่างจากการปรุงแต่งของสังขาร สังเกตดูให้ดีถ้ามันมีมาเมื่อไรแล้วก็ให้ได้ชิม ได้ชิม ได้ชิมรสของพระนิพพานล่วงหน้า แล้วก็จะติดอกติดใจ แล้วก็ต้องการจะได้ให้มากขึ้น แล้วมันก็จะต้องได้มากขึ้นถ้าเราชอบ เดี๋ยวนี้จิตของเรายังไม่น้อมไปในนิพพาน ยังไม่ได้มีฉันทะในนิพพานเพราะไม่ได้ชิมรสตัวอย่างเหล่านี้เลย นั่นโทษของการที่มันไม่มีสันทิฏฐิโกเอาเสียเลย ฉะนั้นขอให้มีสันทิฏฐิโกบ้างแม้ในระยะอันสั้น แล้วมันก็จะติดอกติดใจ จิตมันน้อมไปเพื่อนิพพานแล้วมันง่ายต่อไปนี้มันง่าย มันง่ายเหมือนกับกลิ้งครกลงภูเขา มันง่าย ก่อนนี้มันไม่รู้เสียเลย มันยากเหมือนกลิ้งครกขึ้นภูเขา มันยาก เปรียบเทียบกันดู กลิ้งครกขึ้นภูเขากับกลิ้งครกลงภูเขามันต่างกันอย่างไร นี่ถ้าว่าเราเกิดต้องการนิพพานขึ้นมาได้ชิมรสแล้วพอใจ มันก็จะค่อยง่ายขึ้น ๆ การปฏิบัติทั้งหลายมันก็จะเป็นไปเพื่อนิพพานได้โดยง่ายขึ้น นี่เรียกว่าอาศัยสันทิฏฐิโกของนิพพานมาดึงเอาไป แต่รวมความแล้วก็ต้องว่าอะไรก็ตาม เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องอะไรก็ตาม ทุกเรื่องมันต้องศึกษาในลักษณะสันทิฏฐิโกทั้งนั้นไม่อย่างนั้นไม่รู้ นี่ผมจะเขยิบมาให้ตั้งต้นที่สุด เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราบวชเข้ามาเขาก็สอนให้ว่า พุทธัง ธัมมัง อะไรก็ตาม เหลว เหลวทั้งนั้นคือมันไม่เคยสันทิฏฐิโกในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เรียกว่าจำได้ว่าได้ปากได้ทำสัญญาปฏิญญากันได้ จนกว่าเมื่อใดเรามามีโชคหรือโอกาสอำนวย พยายามคอยตั้งข้อสังเกตจนรู้จักจิตที่ว่างจากกิเลส แม้ขณะหนึ่งขณะสั้น ๆ หนึ่ง จับไอ้จิตที่ว่างจากกิเลสในความรู้สึกสันทิฏฐิโกของเราได้ นั่นแหละจะเป็นโอกาสให้เรารู้จักพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าจิตท่านเป็นอย่างนี้แต่ว่าเป็นตลอดกาล เราเพียงแต่ได้รู้จักนิดหนึ่งแวบหนึ่ง แต่ของพระพุทธเจ้าเป็นตลอดกาล เมื่อเรามีสันทิฏฐิโกในจิตอย่างนี้ เราก็รู้จักพระพุทธเจ้าทันทีว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนี้ และเป็นถึงที่สุดและเป็นตลอดกาล ฉะนั้นที่เราเคยออกชื่อพระพุทธเจ้าแต่ปากนั้นมันก็พ้นไป เดี๋ยวนี้มันรู้จักพระพุทธเจ้าแท้จริงไม่ออกชื่อกันแต่ปาก
ทีนี้พระธรรมก็เหมือนกันแหละถ้าเรารู้จักจิตที่ว่างจากกิเลส ชิมมันเป็นสันทิฏฐิโก แม้ระยะหนึ่งก็เอ้า,นี่พระธรรม ธรรมะสูงสุดคือพระนิพพาน คือว่างจากกิเลส ธรรมะนี่เป็นที่พึ่งได้ ไอ้ความที่มันว่างจากกิเลสมันถือเอาเป็นที่พึ่งได้ เพราะมันไม่ทรมานใคร มันไม่ทำความทุกข์ให้แก่ใคร ทีนี้พระสงฆ์ พอเรารู้จักจิตที่ว่างจากกิเลสเป็นอิสระว่างจากกิเลส เกิดความรู้ว่าพระสงฆ์ท่านเป็นอย่างนี้โว้ย พระสงฆ์แท้จริงทุกองค์ท่านเป็นอย่างนี้โว้ย สมบูรณ์เป็นพระอรหันต์แล้วโว้ย และถึงยังไม่สมบูรณ์เป็นพระสกิทาคามี อนาคามี ก็เป็นอย่างนี้มากโว้ย มันก็รู้จักพระสงฆ์โดยแท้จริงขึ้นมา แม้แต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็รู้จักได้โดยการกระทำที่เป็นสันทิฏฐิโก เช่นเดียวกับเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องนิพพาน นี่เราจะถือว่าเป็นเรื่องตั้งต้นที่สุดคือเรื่องสรณคมน์ เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราก็คว้าเอาไว้ด้วยคำพูด หรือด้วยความหมายมั่นชนิดที่ไม่รู้จักตัวจริง จนกว่าเมื่อใจจะรู้จักตัวจริงของท่าน คือจิตที่กำลังเกลี้ยง เกลี้ยงไปจากกิเลส พระพุทธจิตเป็นอย่างนี้ พระธรรมก็จิตเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์ก็จิตเป็นอย่างนี้ นี่คือพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง เรียกว่าพระรัตนตรัย ก็ต้องถึงได้อย่างเป็นสันทิฏฐิโกจึงจะเป็นของจริง ทีนี้ก็พอจะสรุปความได้ว่าถ้าจะรู้จักอะไรจริงต้องมีสิ่งนั้นจริงอยู่ในใจ แล้วสัมผัสลงไปยังสิ่งนั้น บนสิ่งนั้นที่มีอยู่ในใจ นี่เรียกว่ารู้ของจริง ถึงของจริง มีของจริงอย่างที่พูดกันลั่นว่าขอให้มันจริง ให้ถึงจริง มีถึงของจริง รู้ของจริง ตรัสรู้จริง มันคือสันทิฏฐิโกลงบนไปสิ่งนั้นจริง ๆ เมื่อมันปรากฏอยู่ในใจ และที่มันสำคัญที่สุดก็คือว่าไอ้ที่มันว่างจากกิเลสเรียกว่าเป็นวิมุติหลุดพ้น แม้ชั่วขณะเป็น ตทังควิมุตติ วิกขัมภนวิมุตติ อะไรก็ตามมันรู้จากจิตที่ว่างจากกิเลสแล้วมันก็จะรู้จักความหมายของมรรคผลนิพพาน ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะไอ้ว่าตัวจริงมันมามีอยู่ในใจของเรา เราสัมผัสลงไปบนตัวจริงที่มีอยู่ในใจของเรา นั้นจึงพูดได้เลยว่าเรียนธรรมะต้องเรียนจากใจ เรียนเข้าไปที่ใจ เรียนจากสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจ นั่นคือเรียนธรรมะโดยแท้จริง
ที่เราเรียนในโรงเรียนนักธรรม โรงเรียนอะไรต่าง ๆ นี้มันเป็นเรียนเรื่อง เรียนเรื่องราวหรือว่าบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะจริง ถ้าเรียนตัวธรรมะจริงต้องเรียนตัวธรรมะจริงที่กำลังมีอยู่ในใจ แล้วเรียนลงไปที่ใจด้วยใจ ให้มันรู้ลงไปที่ไอ้ความรู้สึกที่มีอยู่ในใจ นี่เรียกว่าเรียนจริง แต่ทีนี้ไอ้เบ็ดเตล็ดปลีกย่อยทั้งหลายก็อย่างเดียวกันอีก เราจะรู้จักศีลได้ก็ต่อเมื่อเรามีศีลเท่านั้น เมื่อใดเรามีศีล จิตเป็นอย่างไรก็สัมผัสลงไปที่จิตที่มันมีศีล แล้วก็อ้าว,ศีลเป็นอย่างนี้เอง ก่อนหน้านี้เราได้แต่ท่อง ปาณาติปาตา เวระมะณี อะไรก็ตามเป็นสิกขาบทมากมาย ท่องปาติโมกข์ท่องอะไรมันก็ยังไม่รู้ลงไปถึงตัวศีล ต่อเมื่อใดมันมีศีลและจิตมันเป็นอย่างไร สัมผัสลงไปที่จิตที่มีศีล เมื่อนั้นเราจะรู้จักศีลที่แท้จริง รู้จักศีลที่แท้จริงได้ต่อเมื่อเรามีศีลที่แท้จริงอยู่ในจิตใจของเรา แล้วมองดูหรือว่าศึกษาลงไปที่นั่นเราก็รู้จักศีล ดังนั้นพอเรารู้จักศีลเราก็จะพอใจ เราก็จะมีกำลังใจจะมีความลาดเอียงไปทางนิพพานได้ เพราะรู้จักศีลโดยแท้จริงและโดยถูกต้อง เวลาที่เราบวชเราสมาทานศีลสมาทานอะไรกันมา มันก็เป็นศีลอีกแบบหนึ่งไม่ใช่ตัวศีลจริง ๆ คือเป็นตัวศีลในคำพูดบ้าง ตัวศีลในระบบระบอบอะไรบ้าง ยังไม่ใช่ศีลตัวจริง เราก็รู้เราก็จำได้เราก็ท่องได้ เราก็มีศีลแบบนั้นไปก่อน จนกว่าเราได้ปฏิบัติแล้วมันเกิดถูกต้อง แล้วก็มีศีลจริง ๆ แล้วเราก็ฉลาดในการที่จะดูมัน คือมีศีลจริง ๆ อยู่ในดวงจิต ดวงวิญญาณ หรือว่าจะอยู่ที่กาย วาจา ใจก็ได้เหมือนกันแหละ แต่ขอให้มันมีจริง และดูลงไปที่ตรงนั้นแล้วเราก็รู้จักศีล เพราะมันอาจจะกินเวลาหลายวัน หลายเดือน หลายปีก็ได้ กว่าผู้บวชนั้นจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าศีล โดยลักษณะแห่งสันทิฏฐิโก
ถ้าไม่เอาสันทิฏฐิโกเข้ามาก็ไม่มีทางที่จะรู้จักแม้แต่ศีล สมาธิหรือปัญญาก็เหมือนกันอีกแหละ จะรู้สักสมาธิได้ต่อเมื่อจิตเป็นสมาธิ จิตเป็นอย่างไรก็ดูลงไปที่นั่น ดูลงไปที่จิตด้วยจิตแล้วก็รู้ อ้าว,สมาธิมันคืออย่างนี้ คือจิตเป็นอย่างนี้โว้ย แต่นี่เขาให้ท่องให้เรียนให้เรื่องของสมาธิ มันก็เป็นเรื่อง เป็นเรื่องเท่านั้นแหละ เป็นเล่าเรื่องเหมือนกับเล่านิทาน ปัญญานี่ก็อย่างเดียวกันอีก พอมีปัญญาจิตมันเป็นอย่างไร จิตมันแจ่มแจ้งสว่างไสวในอะไร และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องแจ่มแจ้งสว่างไสวในจิตนั่นเองที่มันปราศจากกิเลส ปราศจากทุกข์ นี่เป็นยอดสุดของความรู้ รู้ว่าความไม่มีทุกข์เป็นอย่างไร คือรู้พระนิพพานนั้นเป็นยอดสุดของปัญญา ฉะนั้นปัญญามันก็จริง ก็มาให้จิตได้สัมผัสที่จิตนั้นเอง นี่เรียกว่าเรียนกันจากภายใน ในภายในโดยจิต ในความรู้สึกที่เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าจะยกไอ้ข้อธรรมอันอื่นมาพูดอีกมันก็อย่างเดียวกันอีก จะยกข้อธรรมมาทั้งแปดหมื่นสี่พันธรรมขันธ์มันก็อย่างนี้แหละ เราไม่อาจจะรู้จักธรรมะนั้นได้โดยวิธีอื่น นอกจากให้มันมีขึ้นในใจ แล้วก็เป็นสัมผัสลงไปด้วยสันทิฏฐิโก คงจะพอแล้วกระมัง ก็จะเห็นได้ว่าสันทิฏฐิโกนี่มันจำเป็นอย่างไร ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็น สวากขาโต นั้นหมายความว่าเป็นสันทิฏฐิโกได้ เอามาทำเป็นอย่างสันทิฏฐิโกได้ ถ้าเอามาทำเป็นสันทิฏฐิโกไม่ได้ อันนั้นไม่เป็นสวากขาโต อันนั้นไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วมันจะเป็นอย่างเดียวกันหมดว่าถ้ามันเป็นสันทิฏฐิโกไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ อกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ แน่นอนทีเดียว เพียงแต่มันเป็นสันทิฏฐิโกได้ มันก็จะเป็นได้หมดตลอดทั้งหก หกลักษณะของพระธรรม
จิตเรามีอยู่อย่างนี้เป็นสันทิฏฐิโกอยู่อย่างนี้ก็เรียกเข้ามาดูได้ เพราะมันมีอยู่จริง มันมีให้ดูจริง ถ้าไม่อย่างนั้นจะเรียกมาดูอะไร มาดูในสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง อกาลิโก ก็หมายความว่าเมื่อใดมันทำถูกต้อง มันก็เป็นอย่างนั้นเมื่อใดทำถูกต้องจิตมันก็ว่างจากกิเลสไม่ต้องรอ เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ต้องรออีกหมื่นชาติ แสนชาติ ตายเข้าโลงอีกกี่หมื่นหนแสนหนจึงจะลุนิพพานนี้มันเป็นคำพูดที่ไม่มีเหตุผลไม่มีความหมายอะไร เมื่อจิตว่างจากกิเลส แม้โดยบังเอิญเป็น ตทังค แต่ถ้าเรารู้จักสังเกตให้ดีว่าจิตกำลังว่างจากกิเลส คืออย่างนี้นั่นก็คือรู้พระนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ แม้ว่าจะน้อยที่สุดในระยะอันสั้นที่สุดมันก็คือนิพพานเดียวกันนั่นแหละ มันไม่ต่างกับนิพพานสมบูรณ์ ในโดยรสโดยลักษณะ มันต่างกันแต่เพียงว่านิพพานสมบูรณ์มันไม่กลับเป็นกิเลสอีก เข้าใจเรื่องจิตประภัสสรนั้นให้ดี ๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าธรรมชาติของจิตมันเป็นจิตประภัสสรอยู่เองตามธรรมชาติ และมันก็เศร้าหมองด้วยกิเลสที่เข้ามา เมื่อใดกิเลสเข้ามาความเป็นประภัสสรก็หายไป ดังนั้นเราดูที่ เมื่อกิเลสไม่มากิเลสไม่เกิดขึ้น ดูจิตที่ประภัสสรว่าเป็นอย่างไร จิตสะอาด สว่าง สงบ เกลี้ยงอยู่ตามธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร แล้วพอกิเลสเข้ามาเป็นอย่างไร มันก็เหมือนกับที่พูดมาแล้วแต่ต้น เมื่อจิตมีกิเลส เมื่อกิเลสมาอยู่ในจิต จิตเป็นอย่างไร เราดูให้เห็นเป็นสันทิฏฐิโก เมื่อจิตมันว่างไปจากกิเลส แม้ว่างตามธรรมชาติของจิตที่เป็นประภัสสร เราก็ดูให้เห็นว่ามันเป็นอย่างไร
ไอ้จิตประภัสสรมันเป็นเองตามธรรมชาติไม่ต้องทำ ทีนี้ปัญหามันก็มีว่าทำอย่างไรจึงจะประภัสสรโดยเด็ดขาด นี่จะต้องปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา อบรมจิตกันเสียใหม่ให้จิตนี้เปลี่ยนสถานะไปอยู่ในลักษณะที่เรียกว่ากิเลสเกิดอีกไม่ได้ หากทำจิตให้ไม่เป็น ไม่ให้เป็นที่เกิดแห่งกิเลสอีกต่อไป ฉะนั้นจิตนี่ก็ประภัสสรตลอดกาล เป็นจิตของพระอรหันต์หรือเป็นนิพพานตลอดกาล หน้าที่มันมีแต่เพียงทำจิตอย่าให้เป็นที่เกิดแห่งกิเลสได้ ส่วนจิตนั้นมีลักษณะประภัสสรอยู่เองแล้ว ดังนั้นก็รักษาความเป็นประภัสสรไว้ให้คงมีอยู่เด็ดขาดตลอดกาลโดยอบรมจิตเสียใหม่ อย่าให้เป็นที่ตั้งที่เกิดแห่งกิเลสได้ นี่คือจิต มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิปัสสนาถูกต้อง อบรมจนถึงขนาดที่ว่าจิตนี้ไม่เป็นที่ตั้งที่เกิดแห่งกิเลสอีกต่อไป ถ้าจะถือเรื่องประภัสสรเป็นหลักมันจะง่ายมากเพราะมันเป็นอยู่ได้โดยธรรมชาติ ถ้ามันไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเข้ามาและจิตจะเป็นประภัสสรอยู่ตามธรรมชาติ ฉะนั้นเราคอยดูเมื่อกิเลสไม่เกิดขึ้นเราดูจิตประภัสสรตามธรรมชาติด้วยสันทิฏฐิโกอย่างยิ่ง ให้รู้จักอย่างยิ่งแล้วก็จะเข้าใจสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุด ความลับที่สุดของธรรมชาติว่าจิตเป็นอย่างไร แล้วเราก็จะเกิดความอยากที่จะอบรมจิตไม่ให้เป็นที่เกิดของกิเลสได้อีกต่อไป ไอ้คำนี้ก็พระพุทธเจ้าท่านตรัส คือตรัสว่าถ้าคนมันไม่เห็นว่าจิตนี้ประภัสสรตามธรรมชาติ เฝ้ามองว่ากิเลสจรมาเป็นครั้งคราว มันไม่เห็นอย่างนี้แล้วคนนั้นจะไม่สนใจในการที่จะอบรมจิต เพราะมันไม่รู้ว่าจะอบรมไปทำไม ที่ว่าคน ๆ นี้มันเห็นว่าจิตประภัสสรตามธรรมชาติแล้วมันเป็นเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสมาเป็นครั้งคราว เอ้า,คนนี้มันก็มองเห็นได้ว่า โอ้ย,จิตนี้มันควรจะอบรม ควรจะได้รับการอบรมคือเป็นสิ่งที่อบรมได้จนไม่เป็นที่เกิดแห่งกิเลสอีกต่อไป จิตนี้ก็ประภัสสรตลอดกาล ประภัสสรธรรมดาก็คือจิตธรรมดาของปุถุชนก็ได้ ประภัสสรถาวรเด็ดขาดตลอดกาลคือจิตของพระอรหันต์ แล้วจะเป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะการอบรมจิต ตามหลักที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้อย่างไร ก็เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา สมถะ วิปัสสนา ก็แล้วแต่จะเรียก นั้นเป็นวิธีอบรมจิต จิตเปลี่ยนสภาพเป็นกิเลสเกิดไม่ได้อีกต่อไป ความเป็นประภัสสรของจิตนั้นก็ถาวรตลอดกาล เรื่องมันง่ายๆ สั้น ๆ อย่างนี้ แล้วธรรมชาติมันก็ช่วยมากอย่างนี้ แล้วเราก็ยังไม่รู้ไม่เห็นเพราะความที่ไม่มีไอ้สันทิฏฐิโก ไม่เรียนศึกษา ไม่ศึกษาเล่าเรียนอะไรกันอย่างสันทิฏฐิโก เรียนอย่างเพ้อ ๆ ไปว่า ๆ ตาม ๆ กันไปไม่มีส่วนแห่งสันทิฏฐิโกแม้แต่สักนิด แล้วมันจึงเหลวล้มเหลวเป็นหมันอยู่ตลอดเวลา ทีนี่ก็ไปตั้งต้นกันเสีย โดยให้ไอ้อาการที่เรียกว่าสันทิฏฐิโกนั้นเข้ามามีบทบาทตั้งแต่ต้นจนปลายเลย พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไรก็สันทิฏฐิโก พระธรรมเป็นอย่างไรก็สันทิฏฐิโก พระสงฆ์เป็นอย่างไรก็สันทิฏฐิโกให้จนได้ ศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไรก็สันทิฏฐิโกให้จนได้ แล้วมรรคผลนิพพานก็จะเป็นสันทิฏฐิโกไปตามลำดับ
นี่ผมพูดเรื่องสันทิฏฐิโก ความสำคัญของคำว่าสันทิฏฐิโกซึ่งมันยังขาดอยู่ แล้วก็ไอ้สิ่งต่าง ๆ มันก็ล้มเหลวหมดธรรมะก็เหมือนกับไม่มี ฉะนั้นควรที่พระธรรมทูตนี่จะรู้จักด้วยตนเองเสียก่อน แล้วไปช่วยให้ประชาชนทั้งหลายรู้จักเรื่องสันทิฏฐิโก พอเขาทำทาน ก็ให้รู้จักเหตุผลของทานอย่างเป็นสันทิฏฐิโกที่นั่นและเดี๋ยวนั้น พอเขารักษาศีลก็ให้เขาได้รับความรู้สึก รสของศีลเป็นสันทิฏฐิโกที่นั่นและเดี๋ยวนั้น ฉะนั้นแม้ว่าเขาจะทำอะไรไปที่เป็นบุญเป็นกุศล ให้ได้รับผลเสียที่นั่นและเดี๋ยวนั้นในลักษณะเป็นสันทิฏฐิโก ส่วนเรื่องความชั่ว เรื่องบาป เรื่องอกุศลนั้นมันไม่ต้องทำ แต่ถ้ามันได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ขอให้เขารู้สึกรู้จักมันอย่างเป็นสันทิฏฐิโก เขาก็จะเกลียดมัน เขาก็จะไม่เอากับมันอีก สันทิฏฐิโกในบาปมันก็ทำให้คนถอยออกมาเสียจากบาป สันทิฏฐิโกในบุญก็ทำให้คนมันเต็มไปด้วยบุญ แล้วมันก็จะเลื่อนจากบุญขึ้นไปเป็นสันทิฏฐิโกในพระนิพพาน เรื่องนี้ไม่สูงเกินไปไม่เหลือวิสัยที่คนทั่วไปจะเข้าใจได้แหละว่าบาปเสียทนไม่ไหว บุญนี่มันอร่อยจริงแหละ แต่ว่าถ้ามันอบอยู่แต่กับความอร่อยแล้วมันก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน ฉะนั้นมันก็จะวนเวียนอยู่ที่ความอร่อยนั่นแหละ มันจะได้พักผ่อนกันที่ตรงไหนเล่า ฉะนั้นผลักไอ้พวกนี้ออกไปเสียทีให้มันว่าง ให้มันว่างจากไอ้สิ่งรบกวนแบบนี้เสียที นี่จึงเรียกว่าเป็นพระนิพพาน พระนิพพานนี่ว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างอย่างยิ่ง แล้วก็สันทิฏฐิโก
ตัวความว่างที่เป็นความเย็นถึงที่สุด นิพพานก็เป็นสันทิฏฐิโกขึ้นมาที่นี่และเดี๋ยวนี้ ทีนี้เราว่านิพพานนั้นต้อง ต้องมี ต้องได้ ต้อง (นาทีที่ 1.10.11 เรียน)กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่างนั้นไม่มีประโยชน์ไม่คุ้มค่า และไม่จริงด้วย รอหลับหูหลับตา รอไปอีกหมื่นชาติ แสนชาติก็ไม่ได้แหละไม่ถึงไม่มีวันถึง เพราะมันหลับหูหลับตาอยู่ตลอดเวลาไม่มีสันทิฏฐิโก ถ้าศึกษากันอย่างแบบสันทิฏฐิโกมันจะปรากฏที่นี่และเดี๋ยวนี้ แม้ว่าจะเป็นนิพพานตัวอย่างน้อย ๆ ในระยะกาลอันสั้นมันก็นิพพานแท้ ฉะนั้นขอให้หวังนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ แม้เป็นนิพพานตัวอย่างสั้น ๆ และน้อย ๆ ก็ยังดี และปฏิบัติให้เป็นพระนิพพานที่สมบูรณ์ และผมก็พูดหมดเวลาที่กำหนดไว้แล้ว ก็ขอยุติการบรรยายวันนี้เรื่องสันทิฏฐิโก ตั้งใจว่าจะใช้เวลาหลังจากนี้ฟังเทป ฟังอะไรที่มันส่งเสริมไอ้กิจกรรมธรรมทูตต่อไปอีก ก็เลย จะลอง ก็พยายามดู เดี๋ยวนี่มันยังไม่ตีแปด