แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย ในการบรรยายครั้งที่ ๔ นี้ อยากจะพูดซ้ำถึงมูลเหตุหรือต้นตอแห่งปัญหาสังคมอีกครั้งหนึ่ง คือเรื่อง ความเห็นแก่ตัวนั่นเอง เพราะเป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนที่สุด
ในครั้งที่แล้วมาได้แสดงให้เห็นว่า ไอ้มูลเหตุแห่งความยุ่งยากหรือปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่สิ่งสิ่งเดียวคือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันมีเพราะว่ามันปราศจากธรรมะ มันไม่มีธรรมะ มันไม่รู้ธรรมะ ถ้า ถ้ามันรู้จักธรรมะมันก็จะเห็นแก่ธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว เดี๋ยวนี้มันไม่รู้จักธรรมะ ไม่เห็นธรรมะมันก็ต้องเห็นแก่ตัว เรื่องมันเกิดมีเป็น ๒ เรื่องขึ้นมา คือว่าเห็นแก่ตัวหรือว่าเห็นแก่ธรรม ถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเกิดกิเลส ไม่อย่างละเอียดก็อย่างหยาบ ไม่อย่างหยาบก็อย่างละเอียดเป็นแน่นอน แต่ถ้าเห็นแก่ธรรม แก่ธรรมะ มันก็ ไม่อาจจะเกิดกิเลสได้ นั้นเราจะต้องพูดกันถึงเรื่องความเห็นแก่ตัวพร้อมๆ กันไปกับความเห็นแก่ธรรม อีกสักครั้งหนึ่ง
สิ่งแรกที่จะต้องเตือนให้สังเกต ให้ระวังอีกครั้งหนึ่งก็คือ ไอ้ความสับปลับของภาษาที่ใช้พูดกัน อันนี้เป็นความยากลำบากในการที่จะเข้าใจธรรมะ ธรรมะในพระพุทธศาสนานี้ มันเนื่องด้วยภาษาบาลีบ้าง ภาษาไทยบ้าง เมื่อถ่ายทอดกันมาแล้วมันก็สับปลับ ทีนี้แม้แต่ในภาษาไทยเองมันก็ยังมีความสับปลับ คือความที่มันซับซ้อนกันหลายชั้น แล้วคนหนึ่งมองไปในแง่หนึ่งรู้แต่ในแง่หนึ่ง คนหนึ่งมองอีกแง่หนึ่ง รู้ไปอีกแง่หนึ่ง มาพูดกันมันไม่รู้เรื่อง แม้จะใช้คำพูดคำเดียวกัน นี่เป็นเรื่องที่ต้องระวังไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าการศึกษาเรื่องนี้หรือการศึกษาเรื่องอื่น เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดถึงไอ้เรื่อง ความเห็นแก่ตัว มันมีความกำกวมตรงที่ว่า ไอ้ความเห็นแก่ตัวชนิดไหนกันแน่ คนธรรมดาก็ต้องเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณ แล้วความเห็นแก่ตัวนี้มันทำให้รู้จักป้องกันตัวหรือทำความเจริญให้แก่ตัว เราก็สังเกตเห็นได้ว่ามันเป็นความเห็นแก่ตัว แล้วทำไมเราจึงพูดว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่มันไม่ดี นี่คือความที่ภาษามันยังสับปลับกันอยู่ เหลื่อมล้ำกันอยู่ เพราะฉะนั้น เราต้องพูดกันให้ชัดเจน
เมื่อกล่าวโดยทั่วไป เราต้องพูดว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวนี่มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาทั้งหลายของมนุษย์ ทั้งฝ่ายผิดและทั้งฝ่ายถูก คือทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ทั้งฝ่ายปัญญาและฝ่ายความโง่เขลา เมื่อเป็นอย่างนี้มันก็ต้องแบ่งไอ้ความเห็นแก่ตัวออกเป็นพวกๆ พวกแรกความเห็นแก่ตัวในฐานะที่เป็นเพียงสัญชาตญาณคือ เกิดได้เองในนิสัยในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งจะต้องมีความรู้สึกว่าเป็นตัวของตัว นี่มันจึงหาอาหารกิน มันจึงต่อสู้เพื่อความรอดอยู่ได้ ถ้าความเห็นแก่ตัวยังอยู่ในระดับสัญชาตญาณอย่างนี้ ยังไม่เป็นไร ยังไม่เป็นภัย อันตรายอะไร มันมีความหมายแต่เพียงว่าให้รักตัวในชั้นพื้นฐานเท่านั้น ยังไม่ไปทำอะไรใคร ต้องการจะเอาตัวรอดหรือหนีอันตราย หรือสงวนชีวิตไว้มันยังไม่คิดจะไปทำอะไรใคร ความเห็นแก่ตัวในระดับที่เป็นเพียงสัญชาตญาณนี้มันก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง ทีนี้อันถัดไปมันเป็นความเห็นแก่ตัวในระดับที่เป็นกิเลส ในฐานะที่เป็นกิเลส นี่มันจะเบียดเบียนผู้อื่น มันจะเอาเปรียบผู้อื่น มันอยากมากไปแล้ว มันก็ต้องเอาเปรียบผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่น แย่งชิงผู้อื่น ความเห็นแก่ตัวในระดับที่มันเป็นกิเลสนี่มันเลยสัญชาตญาณ นี่มันจะต้องระวัง
ทีนี้มันยังมีอีกระดับหนึ่งที่เป็นระดับสูงสุดคือ ความเห็นแก่ตัวในฐานะที่เป็นสติปัญญาที่อบรมดีแล้ว เป็นระดับสติปัญญาที่อบรมดีแล้ว ความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ก็มันย่อมสร้างความเจริญนำมาซึ่งความเจริญ เพราะเป็นเรื่องของสติปัญญาไม่ใช่เรื่องของกิเลส มันอยู่เป็น มันมีอยู่เป็น ๓ เรื่องด้วยกัน ความเห็นแก่ตัวพื้นฐานเป็นระดับสัญชาตญาณ ยังไม่ทำอะไรในทางดีหรือทางชั่ว แต่พอมันงอกงามไปเป็นกิเลสมันก็เป็นอันตรายหรือความชั่ว แต่ถ้ามันถูกอบรมไปในทางที่ดีที่ถูกต้องเป็นเรื่องของสติปัญญา มันก็กลายเป็นเรื่องดี เราเอาความเห็นแก่ตัวตามสัญชาตญาณไว้ตรงกลาง ถ้ามันตกมาทางต่ำมันเป็นกิเลส มันก็เป็นสิ่งเลวทราม ถ้ามันเจริญขึ้นข้างบนมันก็เป็นสติปัญญามันก็ใช้ได้ แล้วเราก็เรียกมันว่า ความเห็นแก่ตัว ด้วยกันทั้งนั้น นี่คือความกำกวมหรือความสับปลับของภาษาซึ่งขอให้ระวังให้ดีเป็นเรื่องแรก
ความเห็นแก่ตัวแยกออกเป็น ๒ พวกคือ ทำความฉิบหายก็ได้ ทำความเจริญก็ได้ นี้เราจะพูดไปในส่วนที่มันจะทำความเจริญ เพราะถ้าเห็นแก่ตัวมันก็ต้องรักตัวสงวนตัวหรืออะไรไปทำนองนั้น ต้องสร้างความเจริญที่จะเป็นความดับทุกข์ คือปัญหาทุกชนิดไม่ว่ากี่ร้อยกี่พันชนิด เราจะไปรวมไว้ที่คำว่า เป็นความทุกข์ หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา มันสรุปได้อย่างกว้างที่สุดว่าไอ้ความดับทุกข์นี่ มันเป็นเรื่องดับความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงไม่ว่าระดับไหนหมด ถ้าดับไอ้ความเห็นแก่ตัวได้ทุกๆ ระดับ ก็จะเป็นความดับทุกข์ทุกระดับและสิ้นเชิงในที่สุด
ต้องพิจารณาดูให้ดีว่าแม้ความเห็นแก่ตัวในระดับสัญชาตญาณนั้น มันไม่ใช่สนุก มันต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความระแวดระวังต้องต่อสู้ ต้องอะไรต่างๆ ไม่ใช่มันเป็นเรื่องสนุก มันก็ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์อยู่ ยังไม่เป็นการดับทุกข์ ถ้ามันไม่มีความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวโดยประการทั้งปวง โดยทุกๆ ชนิดแล้วนั้น จึงจะเป็นการดับทุกข์ได้ทุกๆ ชนิดเหมือนกัน
ทีนี้เมื่อพูดถึงความดับทุกข์เมื่อมองดูกันคร่าวๆ ไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ไอ้ความทุกข์ที่มันมีมูลมาจากทางสังคม เป็นปัญหาของสังคมนี้มันก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ดับทุกข์ที่เป็นปัญหาส่วนบุคคลนั้นมันก็มีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าดับทุกข์ตามแบบของพระพุทธศาสนาแบบโลกุตตระ ดับทุกข์สิ้นเชิงนั้นมันก็มีอีกเรื่องหนึ่ง
ไอ้เรื่องแรกที่มันต่ำมากหรือหยาบมากนี้ก็คือว่า มันเป็นความทุกข์ที่เนื่องด้วยสังคม เป็นปัญหามาจากสังคม คือความเบียดเบียน ความเอาเปรียบเอา ความแตกแยก ความอะไรเหล่านี้ มาเป็นความทุกข์เกิดขึ้น แล้วก็เป็นความทุกข์ที่ต้องดับ ไอ้ดับได้นี้ก็ยังไม่ใช่สูงสุดอะไร แต่เราก็เห็นว่ามันเป็นเรื่องสูงสุด เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าอยู่ในเวลานี้ ก็ต้องยอมรับเอาในฐานะที่เป็นปัญหา คือเป็นความทุกข์ที่จะต้องดับด้วยเหมือนกัน นี้ไอ้ความทุกข์ส่วนบุคคลแท้ๆ ปัจเจกชนแท้ๆ ที่จะต้องดับนั่นมันหมายถึงส่วนที่ไม่เกี่ยวกับสังคม มันเกี่ยวกับตัวบุคคลนั้นแท้ๆ มันก็มาจากธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ ธรรมชาติภายในก็คือ เราต้องเกิด ต้องแก่ ต้องตาย ต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องเป็นอะไรต่างๆ ในภายในของตัวเราเอง ที่เป็นภายนอกมันก็มีอันตรายตามธรรมชาติ จากธรรมชาติ จะถูกความเย็น ความร้อน ความหนาว จะถูกฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่า นี้อันตรายจากธรรมชาติเหล่านี้อยู่ตลอดเวลานี้ก็เป็นเรื่องความทุกข์ ส่วนบุคคลที่มันจะต้องหาหนทางดับอยู่เหมือนกัน
ทีนี้เพราะมันอยู่ในโลกก็ต้องพลอยกระทบกระเทือนกันไปหมด ส่วนบุคคลก็มีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาอะไรต่างๆ อยู่เป็นส่วนตัว แล้วมันยังมีปัญหาเศรษฐกิจชนิดนั้นที่เป็นส่วนรวมหรือเป็นของสังคมอีก ก็แปลว่าคนเรานี่มีความทุกข์ คือมีปัญหามาจากไอ้ส่วนรวมหรือสังคม แล้วก็มาจากส่วนตัวแท้ๆ อยู่อย่างนี้ แต่ว่าดับได้เพียงเท่านี้ยังไม่หมด ยังมีความทุกข์อันอื่น ที่จะเรียกว่าไอ้ความทุกข์ที่สูงขึ้นไปในระดับไอ้วิญญาณ หมายความว่าเราก็สบายดี ไม่มีความเจ็บความไข้ ไม่มีความขาดแคลนอะไรเลยอยู่ในท่ามกลางสังคมที่ดี แต่แล้วเราก็ยังมีกิเลสชนิดละเอียดที่ทำให้เรากลัวที่ทำให้เราไม่อยากจะตายทำให้เรามีความสงสัย ลังเล วิตก กังวล นี้ต้องดับด้วยธรรมะชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา ในลักษณะที่เรียกว่าอยู่เหนือโลกไปเลยเรียกว่าโลกุตตระ
ไอ้ดับทุกข์ชนิดต้วมเตี้ยมๆ อยู่ในโลกนี้มันก็เป็นพวกหนึ่ง ดับได้มันก็ยังไม่ถึงที่สุด มันเป็นวิสัยโลกมันอยู่ในโลกมันผูกพันกับโลก ยังมีความทุกข์เหลืออยู่อีกพวกหนึ่ง คือว่า จะต้องอยู่เหนือโลกกันเสียก่อนจึงจะดับได้สิ้นเชิงนี่ เรียกว่าจิตใจอยู่เหนือโลก ไม่มีอะไรทำให้จิตใจรู้สึกว่าถูกกระทำอย่างนั้นอย่างนี้หรือเป็นทุกข์อย่างนั้นอย่างนี้ เมื่อไอ้ความทุกข์มันมีอยู่เป็นชั้นๆ อย่างนี้ ความดับทุกข์มีอยู่เป็นชั้นๆ อย่างนี้ มันก็เหมือนกันกับไอ้ความเห็นแก่ตัวที่มันมีอยู่เป็นชั้นๆ เราจะต้องปรับให้มันเข้ารูปกัน ต้องแก้ไขไอ้ความทุกข์นั้นๆ ด้วยสิ่งที่ตรงกันข้าม คือความไม่เห็นแก่ตัว ไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวนี้มันก็มีหลายระดับไม่ใช่ว่าไม่เห็นแก่ตัวชนิดที่เห็นแก่ธรรม แก่ธรรมะอย่างเดียว มันยังมีอีกหลายระดับ ฉะนั้นต้องดูให้ดีๆ
ความไม่เห็นแก่ตัวของเรานี้มันมีอยู่เป็นชั้นๆ ไอ้อย่างต่ำๆ ที่เราก็พอใจกันแล้ว ปรารถนากันแล้วก็ว่า ก็เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง เห็นแก่ตัวก็ยังเก็บเอาไว้ แล้วก็เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง นี่มันจะแบ่งกันคนละครึ่งหรืออะไรก็ตามใจ ต้องเห็นแก่ผู้อื่นในฐานะที่มันเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันในโลกนี้ มีปัญหาอย่างเดียวกัน ทีนี้อย่างกลางเข้าไป คือสูงขึ้นไปนิดหนึ่ง ก็ไม่เห็นแก่ตัวชนิดที่เป็นของตัวคือคนๆ หนึ่งนี่ แต่ไปเห็นแก่ตัวใหญ่หรือตัวรวมเช่นประเทศชาติเป็นต้น เราเรียกว่าตัวใหญ่คือรวมๆ กันเป็นตัวใหญ่เช่นประเทศชาติ นี่ก็เรียกว่าตัวเหมือนกัน แล้วก็ของเราเหมือนกัน คือถ้าตัวใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก มันก็คือธรรมะที่ว่า เห็นแก่ธรรมะแล้วก็ ไม่ต้องเห็นแก่ตัว ถ้าไม่มีตัวที่จะเห็นแก่ตัวมันก็ต้องไปเห็นแก่ธรรมะ นั้นไอ้เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่เพื่อนมนุษย์เหล่านี้มันต้องถูกต้องตามทางของธรรมะ คือไม่ใช่เพื่อประโยชน์อันแฝงอยู่หรืออะไรอย่างนั้น
นี้ความไม่เห็นแก่ตัวอย่างสูงสุดก็คือ ไม่มีตัวอะไรๆ ที่เหลืออยู่สำหรับจะให้เห็น อย่างนี้ เรียกว่า มันสูงขึ้นไปจนถึงกับไม่รู้สึกว่าไม่มีตัว จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้นที่จะมีความรู้สึกว่าไม่มีตัว หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ หรือไอ้รู้สึกคิดนึกหรืออะไรก็ตาม ไม่มีอะไรที่เป็นตัว เป็นแต่สักว่าธรรมชาติ ตามธรรมดา หรือตาม เป็นไปตามธรรมดา พอไม่มีอะไรเป็นตัวเสียอย่างนี้แล้ว มันก็หมด หมด หมดที่ ที่จะเห็นแก่ตัวไม่มีตัวสำหรับจะเห็น นี้มันเป็นเรื่องสูงสุดซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ จะทำได้แต่พระอรหันต์ แม้พระอริยะเจ้าขั้นต้นๆ เช่นพระโสดาบัน สกิทาคามี อะไรเหล่านี้ก็ทำไม่ได้ มันยังมีตัว อย่างใดอย่างหนึ่งเหลืออยู่ จะหมดตัวโดยสิ้นเชิง ก็มีจิตใจสูงถึงระดับที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น
นั่นแหละสังเกตดูให้ดีๆ ว่าไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวก็ยังเป็นชั้นๆ อยู่ ไอ้ชั้นต่ำๆ ชั้นเตี้ยๆ นั้นนะ ไม่เห็นแก่ตัวนั้นหมายความว่า เห็นแก่ตัวสักครึ่งหนึ่ง เห็นแก่ผู้อื่นสักครึ่งหนึ่ง คนธรรมดาจะไปเห็นแก่ผู้อื่นหมดนั้นมันทำไม่ได้ แต่แล้วเราก็ยังยอมรับ ยอมสมมุติให้ว่า คนนี้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัวที่แท้ก็เห็นแก่ตัวอยู่ตั้งครึ่งหรือเกินครึ่ง แต่เขาไม่ไปล่วงล้ำละเมิดอะไรของผู้อื่น จึงเรียกว่าเขาไม่เห็นแก่ตัว ภาษาชาวบ้านเขาพูดกันอย่างนี้ ถ้าสูงกว่าชาวบ้านมีการศึกษาทางธรรมะสูงขึ้นไป ไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวนั้นมันจะสูงขึ้นไปถึงกับว่าไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่สิ่งอื่น เห็นแก่ความถูกต้องเห็นแก่ความยุติธรรม ถ้าตัวทำผิดก็จะเปิดเผยไอ้ความผิดยอมรับโทษ ยอมให้เขาฆ่าก็ได้ เพื่อเห็นแก่ธรรม อย่างนี้จึงจะเรียกว่า ไม่เห็นแก่ตัว บุคคลที่เป็นตัวกู ก็เห็นแก่ตัวใหญ่ตัวรวม กระทั่งเห็นแก่ธรรมะ นี้อันสุดท้ายก็ว่าไม่มีตัวที่จะเห็น ไม่มองเห็นอะไรเป็นตัวเป็นพระอรหันต์ไป นี้เป็นเรื่องของความไม่เห็นแก่ตัว มีอยู่เป็น ๓ ชนิดอย่างน้อย
ทีนี้ ก็ต้องดูให้ดีถึงข้อที่ว่า ไอ้ความไม่เห็นแก่ตัวนี่มันมีอีกชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องหลอกลวงมีกริยาอาการเหมือนกับว่าไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัว แต่ที่แท้ไม่ใช่มันเป็นอาการหลอกลวงของความเห็นแก่ตัวที่มันเป็นบ้าจัด คนที่มันเป็นบ้าจัดในทางยึดมั่นถือมั่น มันก็มีอาการเหมือนกับคนไม่เห็นแก่ตัวเหมือนกัน เช่นมันจะไม่กลัวตายหรือมันจะทำอะไรๆ เหมือนกับคนไม่เห็นแก่ตัว มันซ่อนเร้นอยู่ในนั้น สมมติว่าคนๆ หนึ่งมันจะอาสาไปฆ่าผู้อื่นพวกอื่นโดยมันยอมตายเช่นเอาลูกระเบิดคาดเอวเข้าไปอย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้จะเรียกว่า ไม่เห็นแก่ตัวนั้นไม่ถูก มันเป็นความเห็นแก่ตัวที่มันเดือดจัดก็มี เดือดจัดจนเป็นบ้า นี้ก็ต้องระวังความเห็นแก่ตัวชนิดที่มันหลอกหลอนดูคล้ายกับว่าไม่เห็นแก่ตัว พระอรหันต์ไม่กลัวตาย เพราะไม่เห็นแก่ตัว เพราะไม่มีตัวที่จะรู้สึกว่าตัวจะต้องตาย พวกโจรอำมหิตอันธพาลที่มันแสนจะดุร้ายมันก็ไม่กลัวตายเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่เพราะไม่มีตัวอันแท้จริง มันคือความมีตัวหรือความเห็นแก่ตัวมันเดือดจัด มันบ้าจัดเราต้องรู้ไว้ว่า มันมีอย่างนี้ด้วยจะได้ไม่ไปหลงเข้าใจผิด เมื่อความเห็นแก่ตัวมันเป็นบ้ามันเดือดจัดแล้วมันจะมีอาการเหมือนกับไม่เห็นแก่ตัวได้ ในฝ่ายหนึ่ง ใน..ใน..ในลักษณะหนึ่ง
นี่เท่าที่พูดมานี้ มันก็พอจะเป็นหลักให้จับฉวยเอาได้ว่ามันมีอยู่อย่างไร ความเห็นแก่ตัวมีอยู่อย่างไร ความไม่เห็นแก่ตัวมีอยู่อย่างไร แล้วอะไรมันจะดับทุกข์ได้ มันเกิดเป็นปัญหาที่พันกันยุ่ง เพราะว่าความเห็นแก่ตัวมันก็ต้องการจะดับทุกข์เหมือนกัน ถ้ามันรักตัวสงวนตัวถูกต้องด้วยสติปัญญาแล้ว มันก็ต้องการจะดับทุกข์และมันดับทุกข์ได้เหมือนกัน แต่แล้วไอ้การดับทุกข์นั้น จะต้องดับด้วยความไม่เห็นแก่ตัว นั้นมันจะต้องสละความเห็นแก่ตัวหรือเปลี่ยนให้กลายเป็นความไม่เห็นแก่ตัวมันก็จะดับทุกข์ได้ไปตามลำดับ แล้วในที่สุดก็หมดตัวกันเลย คือไม่มีอะไรที่เป็นตัว เป็นพระอรหันต์
นี้ความเห็นแก่ตัวกับความไม่เห็นแก่ตัวมันพัวพันกันยุ่งอย่างนี้ ต้องแยกดูเป็นพวกๆ ไป ความเห็นแก่ตัวที่ประกอบอยู่ด้วยสติปัญญานั่นแหละมันจะค่อยกลายเป็นความไม่เห็นแก่ตัว เพราะจุดตั้งต้นของสัตว์ที่มีชีวิตมันตั้งต้นอยู่ที่สัญชาตญาณแห่งการเห็นแก่ตัว คือมีตัว อย่างที่ว่ามาแล้ว รักตัว สงวนตัวถนอมตัว นี่เราปรับปรุงด้วยสติปัญญาให้มันค่อยๆ สูงขึ้นไปเป็นทางที่จะไม่เห็นแก่ตัว แล้วทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่ตนเองได้ ถ้าเราเผลอปล่อยไปผิดทาง มันก็เป็นความเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้นจนเป็นกิเลส ตัวเองก็เป็นทุกข์ผู้อื่นก็เป็นทุกข์ เพราะขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วมันเบียดเบียนทั้งตัวเองทั้งผู้อื่น แล้วมันเบียดเบียนตัวเองนั่นแหละก่อน แล้วมันจึงไปเบียดเบียนผู้อื่นทีหลัง ระวังให้ดี อย่าทำเล่นกับไอ้สิ่งนี้ เกิดขึ้นเมื่อไรมันจะเบียดเบียนผู้นั้นก่อนทันที แล้วพอควบคุมไว้ไม่อยู่มันก็จะลุกลามไปเบียดเบียนผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น การที่เราจะพูดให้ตายตัวลงไปข้างใดอย่างใดอย่างหนึ่งเรื่องนี้มันพูดไม่ได้ ต้องมีไอ้คำจำกัดความ แล้วก็มีไอ้คำแวดล้อม บริบทนี่ context อะไรต่างๆ มันช่วยจำกัดความให้ชัด มันจึงจะเอาแน่นอนได้ ถ้าถือเอาตามภาษาตามคำพูดล้วนๆ แล้วมันก็ยุ่งตาย แล้วก็เวียนหัว
ทีนี้ เมื่อเราพูดถึงความเห็นแก่ตัวพอสมควรแล้ว ก็อยากจะให้ดูเลยไปอีกหน่อยหนึ่ง ถึงไอ้การปฏิบัติที่จะละความเห็นแก่ตัว หรือเปลี่ยนให้เป็นความไม่เห็นแก่ตัว เมื่อพูดอย่างนี้ก็ต้องหมายถึงความเห็นแก่ตัวชนิดที่เป็นกิเลส ที่มันเป็น..มันตกไปในทางที่มันเป็นกิเลส ซึ่งเราก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าเราก็อยู่ด้วยกิเลส อย่างที่พูดมาแล้ววันก่อนว่ามีอยู่ ๓ พวกคือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสประเภทความโลภนี่ก็คือกิเลสที่จะเอาเข้ามาหาตัว เห็นชัดอยู่อย่างนั้น มันก็เป็นความเห็นแก่ตัวเต็มที่ นี้กิเลสประเภทความโกรธหรือโทสะนั้น มันเป็นสิ่งที่เกิดเมื่อไม่ได้ตามใจตัว มันก็คือความเห็นแก่ตัวอีกรูปหนึ่งนั่นเอง นี้กิเลสประเภทโมหะที่ทำให้หลงใหล ลังเล สงสัยหวังอะไรอยู่นี่ด้วยความไม่รู้จริงนี่ มันก็เพราะมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว มันไม่อยากสลัดทิ้งสิ่งนี้ไป ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้ มันก็ยังหวังอยู่ว่ามันจะต้องเป็นประโยชน์แก่ตัว กิเลสประเภทโมหะที่รบกวนมนุษย์เรามากที่สุดคือความสงสัย ความลังเล ความไม่แน่ใจ แม้ในสิ่งที่ตนกำลังกระทำอยู่หรือในหน้าที่การงานของตนด้วยซ้ำไป ก็มีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว หวังอะไรจะได้แก่ตัว ทั้งที่ยังไม่รู้ว่ามันจะได้อย่างไร ถ้าเป็นอย่างนี้ไอ้โลภะคือความเห็นแก่ตัว โทสะคือความเห็นแก่ตัว โมหะคือความเห็นแก่ตัวในรูปร่างที่ต่างๆ กัน ทุกคนมีปัญหาอยู่ด้วยกิเลสนี่ ๓ ชนิดนี้ ถ้าควบคุมไม่ดีมันก็ออกไปเป็นปัญหาแก่ผู้อื่นคือไปเบียดเบียนผู้อื่นเข้า เพราะกิเลสนี้อีกเหมือนกัน กิเลสนี่มันเบียดเบียนเจ้าของก่อน แล้วก็ออกไปเบียดเบียนคนอื่นต่อๆ ไปอีก จึงถือว่าเป็นสิ่งที่จะต้องกำจัดให้หมดไป
ในที่นี้เราก็พูดว่ากำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไป คือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะหมดไป เรื่องนี้อย่าเอาเป็นตัวหนังสืออย่าเอาเป็นคำพูดที่กำลังพูดหรือบรรยาย ต้องไปเอาตัวจริงที่มันเกิดอยู่จริงๆ ที่มันรู้รส รู้สึกกันอยู่จริงๆ ในชีวิตประจำวันด้วย ถ้าใครยังมองไม่เห็นไอ้ที่มันเกิดอยู่จริงในชีวิตประจำวัน แล้วก็ป่วยการที่จะมาพูดกันถึงเรื่องไอ้ละกิเลส ละความชั่ว หรือละความเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่รู้จักความเห็นแก่ตัว แล้วมันจะไปละความเห็นแก่ตัวได้อย่างไร ที่พูดให้ฟังนี่มันเป็นเพียงคำพูดเท่านั้น ไอ้ตัวความเห็นแก่ตัวจริงๆ ต้องไปดูที่ความเห็นแก่ตัวจริงๆ ที่มีอยู่ในจิตในใจของตัวเองนั่น ให้รู้จักว่ามันมีอยู่อย่างไร มีอยู่ในลักษณะที่เป็นความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลง นี้ได้บอกไปแล้ว
แล้วก็อยากจะเตือนซ้ำอีกทีหนึ่งว่า ไอ้กิเลสนั้นมีหลายชนิด หลายสิบชนิด หลายร้อยชนิด ถ้าจะเรียกกันโดยชื่อ เช่น ความโลภ นี่มันยังมีชื่ออีกหลายๆ ชื่อ มันเป็นความเอาเปรียบ ขี้เหนียว หวงแหนหรืออะไรนี่ยังมีชื่ออีกมาก ความโกรธก็เหมือนกัน ประทุษร้ายบ้าง พยาบาทบ้าง เบียดเบียนบ้าง ไอ้ความหลงนี่ก็มีชื่อมาก นั้นเรามารวมเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เพียง ๓ อย่าง ถ้ามันเกิดปัญหาสงสัยขึ้นมาว่าไอ้กิเลสที่เรากำลังมีอยู่นี่จะเป็น ความโลภ หรือความโกรธ ความหลง ก็ต้องอาศัยหลักที่ว่า กิเลสประเภทที่ดึงเอาเข้ามากอดรัดไว้นี้เป็นความโลภ กิเลสที่ผลักออกไป หรือจะทำลายเสียไม่ให้เหลือนี้ มันเป็นความโกรธ ที่ยังสงสัยลังเลแต่ก็ยังสลัดไปไม่ได้ยังพัวพันอยู่นี้ เรียกว่า ความหลง ก็มีเท่านี้เอง
นี้เราก็พยายามที่จะละด้วยการกระทำในทางที่มันตรงกันข้าม เพื่อจะขจัดความเห็นแก่ตัวเหล่านี้ด้วยการกระทำในลักษณะที่มันตรงกันข้าม อันนี้เป็นปัญหาอยู่หลายซับหลายซ้อน มันเห็นได้ชัดๆ อยู่ตรงที่ว่ามันละกันไม่ได้ มันละกันไม่ค่อยจะได้ หรือบางทีก็ไม่ได้เสียเลย เราจึงมีเรื่องราวที่ไม่ดีไม่งามไม่อะไรอยู่ เต็มไปหมด ในบ้าน ในเรือน ในประเทศชาติ ก็รู้กันอยู่แล้วว่าหมายถึงอะไร ไอ้สิ่งที่ไม่พึงปรารถนานี่มันยังมีอยู่มาก มีอยู่ทั่วไป ต้องมาพิจารณากันให้ดีเป็นพิเศษเพื่อจะละมันได้โดยวิธีใด โดยหลักกว้างๆ ก็อยากจะบอกไว้ทีก่อนว่า ไอ้การละกิเลสนี่ มันต้องตั้ง..ตั้งเป้าหมายที่จะละให้เกินไว้สักหน่อย คือมาก ให้มากเกินไว้สักหน่อย เพราะว่าเราไม่อาจจะละได้ง่ายๆ หรือละได้ตรงตามที่เราต้องการ จะไม่ถึงระดับที่เราต้องการ นั้นต้องมีเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า มันจะละให้เกินไว้สักหน่อย เหมือนเราจะห้ามเด็กๆ ว่าอย่าทำสิ่งนี้ เราจะต้องบอกให้มากกว่านั้น เพราะว่าเขาจะไม่ทำตามคำสั่งของเราตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาจะทำต่ำกว่านั้น เราก็บอกให้มันเกินไว้ ถ้าเขาทำลดลงมาบ้างมันก็ยังพอดี ไอ้ละกิเลสนี่ก็เหมือนกัน เราจะต้องละด้วยการตั้งเป้าหมายให้มันมากเกินกว่าที่มันมีอยู่จริง คือว่ากลัวให้มันมากเข้าไว้ ตั้งใจจะละให้มันมากเข้าไว้ ในเรื่องความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ต้องมีความละอายให้มากเข้าไว้ มีความกลัวให้มากเข้าไว้ แล้วมันละได้ไม่เต็มตามนั้นหรอก มันก็เหลืออยู่พอดี แล้วจะต้องละให้มันถูกต้อง กับเรื่องกับราว โดยมากไม่ค่อยจะถูกจุดไม่ค่อยจะตรงจุด แล้วก็ต้องละเป็นนิจ ไอ้เป็นนิจนี่ ต้องหมายความว่า อย่างสม่ำเสมอด้วย ไอ้ละเป็นนิจ นี่มันลุ่มๆ ดอนๆ ก็ได้ มันต้องเป็นนิจด้วยและสม่ำเสมอด้วย
นี่คุณลองไปคิดดูว่า ตั้งแต่เกิดมาเราได้ทำอะไร อย่างเฉลียวฉลาดอย่างนี้หรือเปล่า ในการศึกษาเล่าเรียนของเรา ถ้าว่าเราบังคับตัวเองได้ดีถึงขนาดนี้ เราจะต้องเรียนได้มากกว่านี้ นี้เราไปเหลวไหลเสียหลายเปอร์เซ็นต์ เพราะเรามันไม่รู้เรื่องนี้ มันทำเล่นๆ มันไม่ได้ทำตามเทคนิคที่ว่ามันต้องทำให้เกิน ให้เกินไว้ ตั้งเป้าหมายให้เกินไว้ แล้วก็ทำให้มันถูกต้อง แล้วทำให้เป็นนิจและให้มันสม่ำเสมอ ในการละสิ่งที่ควรละก็ดี ในการ สิ่งที่จะเจริญ ในสิ่งที่ควรทำให้เจริญก็ดี จะต้องอาศัยหลักอย่างนี้ โดยเฉพาะเรื่องการเห็นแก่ตัว ยิ่งต้องมีเป้าหมายอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้เพราะ มันเป็นของที่ละยาก
แล้วทีนี้เราจะลองดูกัน จะลองพิจารณาดูกันให้..ให้ละเอียดเพื่อให้รู้ว่ามันมีอยู่สักกี่ชั้น แล้วเราก็จะได้ตั้งเป้าหมายให้มันเกินชั้นไปบ้าง เพื่อผลดังที่กล่าวแล้ว ไอ้ระดับแรกที่สุดที่ว่าเอากันตามสัญชาตญาณ เราก็ระมัดระวังให้ดี ตั้งอกตั้งใจให้ดี ที่ยังมีความรักตัว มีความสงวนตัว มีการถนอมตัว หรือว่าช่วยตัว ไอ้เรื่องรักตัวนี่เป็นสัญชาตญาณแน่ แต่แล้วมันก็ไม่พ้นวิวัฒนาการไปในทางผิดหรือทางถูก หรือต้องระวังให้มันเป็นไปในทางถูก เพราะว่าไอ้ความเห็นแก่ตัว มันก็คือความรักตัว คือความรักตัวที่เดินไปผิดมันก็กลายเป็นความเห็นแก่ตัว ก็ต้องมีอะไรที่เป็นความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ให้มันเป็นเรื่องรักตัวสมกับที่ว่ามันควรจะรัก
เดี๋ยวนี้เรามีการรักตัวที่ผิดมันก็กลายเป็นทำลายตัว ความรักตัวเมื่อกลายเป็นความเห็นแก่ตัวแล้วมันก็ทำลายตัว ไม่ต้องดูอื่นไกล เหมือนว่าพ่อแม่ที่รักลูก ถ้ารักผิดคือ รักด้วยความโง่ มันก็กลายเป็นการทำลาย ทำลายลูก ไม่ได้เป็นเรื่องรักลูก มันเป็นเรื่องฆ่าลูกชัดๆ เลย นี้ตัวเราก็เหมือนกันจะต้องรู้ว่ามันเป็นอย่างไรถึงจะ เป็นการรักตัวที่ถูกต้อง คำสอนของพระพุทธเจ้าในระดับพื้นฐานอย่างนี้ก็สอนให้รักตัวหมายความว่ามีตัว ให้มีตัวสำหรับจะรัก แล้วก็ให้สงวนตัว ให้ถนอมไว้ให้ดี ให้เป็นการช่วยตัว แต่อาการอย่างนี้ต้องไม่เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ยกตัว ไม่ใช่เล่นตัว ไอ้นั้นมันกลายเป็นผิด เป็นเรื่องผิดไปอีกทางหนึ่ง เพื่อให้ทุกคนรักษาระดับของสัญชาตญาณอันนี้ไว้ให้ได้ว่าเราต้องรักตัวให้บริสุทธิ์ คือต้องสงวนตัว ต้องถนอมตัว ต้องช่วยตัวให้บริสุทธิ์ อย่าให้กิเลสเข้ามาเจือ จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัว แล้วก็จะทำลายตัว ทำลายผู้อื่น
นี้ถัดไปเราก็จะดูที่ความต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยชอบธรรม ข้อนี้ไม่มีใครปฏิเสธมันเป็นอยู่จริงๆ ทุกคนต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น แม้ว่าจะซ่อนเร้นไว้ไม่มีใครรู้ ในใจก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่ว่ามันทะนงตัว มันอะไร คือว่ามันปิดบังไว้อย่างนี้ก็มี เราจะเอากันที่ตรงไปตรงมาว่า เราจะต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนี่ให้ถูกวิธี อย่าให้กลายเป็นเรื่องเห็นแก่ตัว ไปพิจารณาแยกธาตุจิตใจของตัวดูให้ดีๆ ว่าที่เราต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้น เป็นความเห็นแก่ตัวหรือไม่ ความจริงเป็นความโง่มากไปกว่านั้นอีก เมื่อเขาไม่ช่วยแล้วก็ร้องไห้ นั้นมันเป็นความต้องการที่เห็นแก่ตัวมากไปเสียแล้ว การต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่นนี้ ต้องควบคุมให้มันเป็นไปด้วยความชอบธรรม รู้ว่าเรามีสิทธิที่ควรจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่างไร เท่าไร เพียงไร ก็อย่าให้มันมากไปกว่านั้น ถ้ามากไปกว่านั้นมันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัวแล้วก็ไม่ชอบธรรม ไม่ถูกทางธรรม แล้วมันจะย้อนมากัดเราให้ร้องไห้ ให้ต้องร้องไห้ หรือว่าจะต้องเกิดการประทุษร้ายอะไรกันขึ้น ล้วนแต่เป็นเรื่องเสียหายทั้งนั้น
นี่สรุปความว่าเมื่อหวังที่จะได้ความช่วยเหลือจากผู้อื่น ก็จงระวังอย่าให้มันกลายเป็นความเห็นแก่ตัว ให้มันเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ ตามที่ถูก ที่ควร ที่สมคล้อยกับสัญชาตญาณที่ว่า มันต้องการความช่วยเหลือด้วยกันทั้งนั้น ทั้งฝ่ายเขาและฝ่ายเรา
ทีนี้ที่จะต้องดูกันต่อไปอีกชั้นหนึ่ง ก็คือว่า ต้องเห็นแก่ผู้อื่นบ้าง อันนี้มันเป็นทางมาของความเสียสละ เราอย่าคิดนะว่าเราจะได้รับ ผู้อื่นจงช่วยเรา เราต้องช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง เราต้องคิดถึงผู้อื่น เราต้องเห็นแก่ผู้อื่นบ้าง นี่มันจะแบ่งไอ้ความเห็นแก่ตัวออกไป เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง แม้ว่าเราไม่อยู่ในฐานะที่ใครต้องช่วยเหลือ เราก็จงเห็นแก่ผู้อื่นบ้างเถิด แม้ว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเรา เราก็จงเห็นแก่เขาบ้างเถิด เพราะว่ามันจะได้แบ่งจิตใจที่เห็นแก่ตัวนั้นออกไปเสียบ้าง อย่าเอาไอ้เรื่องได้เรื่องเสียโดยตรงโดยเฉพาะหน้ามาเป็นหลัก จะถือธรรมะเป็นหลัก ว่ามันจะมีเรื่องอะไรก็ตามเราจะเห็นแก่ผู้อื่นบ้างตามส่วน แม้ว่าเราไม่ต้องการอะไรจากเขา แม้ว่าเขาไม่ต้องการอะไรจากเรา เราก็จงทำจิตใจให้เห็นแก่ผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจของเรา ไอ้ที่ทำไปด้วยเราจะได้อะไรจากผู้อื่น หรือผู้อื่นจะได้อะไรจากเรา แล้วขอบใจเรานั้นมันไม่พ้นไปจากกิเลส มันไม่พ้นไปจากไอ้อุ้งมือของกิเลสที่มันจะครอบงำ นี่เราจะมีหลักของเราเองตามทางธรรม ว่าเราจะนึกถึงผู้อื่น เราจะเห็นแก่ผู้อื่นอยู่เป็นประจำอยู่เป็นปกติธรรมดา เพราะว่าถ้าเรานึกไปในรูปนั้น เราก็จะมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ถ้าตรงกันข้ามมันก็จะไม่มีความเป็นมนุษย์ นี่ฟังดูให้ดีมันจะน่ากลัว ว่าการที่ไม่เป็นมนุษย์นี่มันน่ากลัว เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นมนุษย์เพราะว่าจิตใจมันต่ำ มนุษย์แปลว่าใจสูง ถ้ามีจิตใจต่ำไม่ใช่มนุษย์ จิตใจต่ำก็เห็นแก่ตัวท่าเดียว เห็นแก่ตัวถ่ายเดียว เราจงหัดความเป็นมนุษย์ จง.. จง เอ้อ..จัดความเป็นมนุษย์ของเราให้สูงขึ้นไป ให้มันเจริญสูงขึ้นไปด้วยการทำลายความเห็นแก่ตัว แล้วเห็นแก่ผู้อื่นบ้าง คำว่าบ้าง นี่ไม่ได้หมายความจำกัดว่า เท่าไร แต่ก็ทำให้มันบ้างเท่าที่เราจะทำได้ แล้วก็ทำให้มากขึ้น
ทีนี้ต่อไปอีกชั้นหนึ่ง เลื่อนไปอีกชั้นหนึ่ง มันก็จะมีถึงกับว่าเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าเห็นแก่ตัว อย่างนี้คงจะไม่มีใครยอมรับสักกี่คน เขาต้องการจะเห็นแก่ตัวมากกว่าเห็นแก่ผู้อื่นแต่อย่าลืมว่าในบางกรณีเราจะต้องเห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าเห็นแก่ตัวก็มีได้เหมือนกัน จะถือเอาเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่ก็คงหาได้ในโลกนี้ กล้าท้าทายว่าในโลกนี้จะหาได้ คนที่เห็นแก่ผู้อื่นมากกว่าที่จะเห็นแก่ตัวนี้ เพราะเป็นบุคคลพิเศษ นี้ลองเลื่อนไป ออกไปดู ออกไปดูอีกสักชั้นหนึ่งก็จะไปถึงบุคคลที่ว่าเห็นแก่ผู้อื่นหมด ไม่เห็นแก่ตัวเลย นี่จะใกล้พระอรหันต์เข้าไปทุกที มันอาจจะมีบุคคลบางคนที่มันโดยเหตุอะไรก็บอกไม่ได้ เพราะลืมตัวของตัว ไปเห็นแก่ผู้อื่นหรือเรื่องอื่นของผู้อื่นหมด คนอย่างนี้ก็จะเป็น..เป็นอัจฉริยะมนุษย์ หรือว่าเป็นไอ้ชั้นพิเศษที่สุด ไม่ใช่พิเศษธรรมดา ก็จะมีอะไรที่มีคุณค่าสูงทางจิตใจ ไอ้เรื่องวัตถุไม่ต้องพูดกันเพราะมันกลายเป็นขี้ฝุ่นไปหมด มันต้องการไอ้ความสูง ความประเสริฐอะไรทางจิตใจ ทางวิญญาณ มันเห็นแก่ผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ตัวเลย ถ้าจะดีไปกว่านั้นอีก จะเลื่อนไปอีกชั้นหนึ่งอีกก็ต้องเห็นแก่ธรรม แก่ธรรมะนั่นแหละ อย่างที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย ไอ้คำขวัญโก้ๆ ของเด็กๆ นี่ก็อยู่ในข้อนี้ เสียชีพอย่าเสียสัตย์ ทำนองนี้
ยอมตายโดยไม่ให้เสียในส่วนธรรมะ เป็นคำสอนมาแต่โบราณกาล เราจะสละอะไรได้ทุกอย่างแต่ว่าสละธรรมะไม่ได้ นี่เขาว่าสละอวัยวะเช่น มือ แขน เป็นต้น เพื่อเอาร่างกายไว้ เอาชีวิตไว้ แต่ถ้าถึงคราวที่จะต้องเอาธรรมไว้ก็สละชีวิตได้ สละไอ้สิ่งที่มันมีค่าน้อยออกไปเพื่อเอาสิ่งที่มีค่าสูงสุดไว้เสมอนี่ ในที่สุดมันก็หมด หมดตัว พูดแล้วก็น่าตกใจว่ามันหมดตัว ไม่มีอะไรเหลือ เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ตามความหมายนี้ นี่จะให้เป็นธรรมะที่สูงสุด ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ต้องไปถึงอันสุดท้ายที่ว่าพระอรหันต์ในที่สุด ไม่รู้สึกว่ามีตัว แล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่จะต้อง ต้องเสียสละ ต้องให้ ต้องเอา ต้องรับ มันก็หมดถึงขนาดที่เรียกว่า ว่างไปเลย ถ้าเป็นอย่างนี้จิตใจจะไม่มีความทุกข์เหลืออยู่แม้แต่อณูเดียว เขาเรียกว่า เป็นร่างกายที่บริสุทธิ์ เป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ถึงที่สุด ไม่มีความทุกข์เหลืออยู่แม้แต่อณูเดียว เพราะหมดในเรื่องตัวตัวนี่
นี่ตามหัวข้อเหล่านี้มันก็มี ก็พอแล้วสำหรับจะเอาไปเปรียบเทียบกันดูว่ามันต่างกันอย่างไร มันเลื่อนขึ้นไปเป็นลำดับอย่างไร แล้วเราจะสามารถทำได้อย่างไร เพียงไร เท่าไร นี่คือ การใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณให้มากที่สุดที่จะมากได้ เราเป็นนักพัฒนาที่แท้จริงคือว่า develop ไป คุณค่าซึ่งเป็นเพียงสัญชาตญาณนั้นให้มันสูงขึ้นมาเป็นลำดับ ลำดับๆ กระทั่งเป็นสติปัญญา เป็นมรรค ผล นิพพานไปเลย
เรื่องนี้มันอาจจะเลยขอบเขตของปัญหาทางสังคมอยู่ในโลกๆ แต่ลองคิดดูเถิดว่าถ้ารู้ไว้มันดีกว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้เราไม่รู้กระทั่งว่าจะไปไหนกัน เกิดมาทำไม จะไปไหนกัน สังคมนี้จะไปทางไหนกันก็ยังไม่รู้เพราะมันไม่รู้เรื่องทั้งหมดของมนุษย์ ที่ธรรมชาติมันบัญญัติมา ว่าจะทำได้อย่างไร เพียงไร แล้วไปทางไหน ที่เอามากล่าวเสียยืดยาวเป็นหลายๆ ชั้นอย่างนี้ ก็เพื่อให้รู้ล่วงหน้าไว้หมดว่า มันมีอยู่อย่างไร มันจะไปทางไหน มันเกิดมานี้มันจะไปทางไหน จะไปสิ้นสุดลงที่ไหน แล้วก็พูดด้วยเรื่องที่เป็นตัวการสำคัญที่สุดคือ เรื่องตัว แล้วก็เรื่องความเห็นแก่ตัว มีปัญหาซับซ้อนอย่างนี้เผลอนิดเดียวก็ เลี้ยวไปทางซ้าย ไปตกเหว ต้องไม่เผลอมันจึงจะเดินไปทางขวา คำว่า ซ้าย กับ ขวา นี่เป็นในภาษาธรรมะ หมายความว่าไอ้ซ้ายเป็นเรื่องเลว เรื่องเสีย เรื่องตกต่ำ ไอ้เรื่องขวาจะเป็นเรื่องถูกต้อง ก็ดับทุกข์ ก็เป็นไปเพื่อนิพพาน ให้พยายามทำกาย วาจา ใจนี่ให้มันหมุนไปทางขวานี่ภาษาธรรมะในพระพุทธศาสนาเขาบัญญัติไว้อย่างนี้ พวกอื่นอาจจะบัญญัติอย่างอื่นก็ได้ มันก็ได้ทั้งนั้น นี่เราเป็นคำสมมุติพูดกัน เราจะพัฒนาหรือว่าจะ develop หรือว่าจะ sublimate สุดแท้แต่ว่าจะใช้คำไหน ขอแต่ว่าให้มันเปลี่ยนเรื่องร้ายให้มันกลายเป็นดีหรือว่า เปลี่ยนไอ้เรื่องที่มันอยู่ในระดับธรรมดาสามัญนี่ ให้มันสูงขึ้นไปในทางที่ ที่ควรจะสูงขึ้นไป ถ้ามันจะเป็นไปในทางร้าย ก็ sublimate คือเอากำลังงานของความเลวนั่นนะ มาเปลี่ยนมาใช้ไปในทางดี แต่จะเอาความเลวมา เอากำลังงานอันมากมายของมันมา เพื่อจะใช้เป็นกำลังอันมากมายสำหรับทำความดี อย่างนี้มันเป็นการแก้ร้ายให้กลายเป็นดีได้ นี่ก็เป็นวิธีการหนึ่งซึ่งจะต้องนึกถึงอยู่เสมอ เขาเรียกว่าไอ้เกลือจิ้มเกลือหรือแก้ลำ มันมีความหมายอย่างนี้ อย่างน้ำถ้าปล่อยให้มันท่วมมันก็ฉิบหายหมด แต่ถ้าใช้กำลังของน้ำนั้นเพื่อกิจการอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย มันก็กลายเป็นประโยชน์ ลักษณะอย่างนี้เรียกว่าแก้ร้ายให้มันกลายเป็นดีอยู่ในรูปของ sublimate
นั้น develop นั้นก็ตั้งต้นที่มันเป็นสัญชาตญาณระดับพื้นฐานให้มันสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป โดยระวังไม่ให้มันหมุนไปในทางตรงกันข้าม หรือตกต่ำได้ นี่เราจะแก้ไขความเห็นแก่ตัวของเราให้เป็นไปในทางที่ดียิ่งๆ ขึ้นไปต้องใช้วิธีนี้ ทั้ง ๒ วิธี เพราะ เผลอนิดเดียวมัน มันไปในทางที่ตรงกันข้าม ต้องเอากำลังของมันมาใช้ในทางที่ถูก แล้วขอให้รู้ไว้ว่า ไอ้ที่มันจะเป็นไปในทางผิดนั้นมันมีแรงมาก แม้ที่สุดแต่การทำจิตให้เป็นสมาธินี่ ไอ้สมาธิมันจะไหลลงไปในทางที่ไม่พึงปรารถนานั้นง่ายกว่าที่จะมาในทางที่พึงปรารถนา นั้นถ้ามีกำลังใจสูง โลภมาก โกรธมาก หลงมาก รักมาก เกลียดมาก อิจฉามาก อะไรได้เหมือนกัน แล้วต้องระวังในข้อนี้ด้วย อย่าพูดแต่เพียงว่าทำให้มันมากขึ้น ทำให้มันมากขึ้น นั้นต้องให้มันถูกต้องด้วย
นี้รวมความในที่สุดก็สรุปได้ว่า จะพัฒนาไอ้ส่วนที่เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานคือรักตัว สงวนตัว เห็นแก่ตัวนี้ ให้มีวิวัฒนาการไปในทางที่น่าปรารถนาน่าพอใจ คือมีสติปัญญาควบคุมไว้มันก็เป็นไปในทางที่พึงปรารถนา แต่แล้วอย่าลืมว่าสัญชาตญาณนั้น มันเป็นรากฐานของกิเลส มันเอียงไปในทางกิเลสได้ง่ายกว่าในทางที่จะเป็นปัญญา ขอให้จำไว้เถิดว่าสัญชาตญาณทุกสาขาทุกแขนงจะเอียงไปในทางของกิเลสง่ายกว่าที่จะมาในทางของปัญญา เพราะฉะนั้นต้องควบคุม ทุกอย่างมันจึงสำเร็จอยู่ที่การควบคุม เพราะมันจะกลายเป็นกิเลสไปเมื่อไรก็ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความเห็นแก่ตัวนี่มันสมัครที่จะเป็นในทางของกิเลสมากกว่าที่จะมาเป็นในทางของปัญญา คือจะดับทุกข์ มันจะเป็นไปในทางทำความทุกข์ให้เกิดขึ้นชนิดที่ไม่รู้สึกตัว พอเห็นแก่ตัวแล้วมันหน้ามืด มันไม่มองเห็นอะไร ก็ทำให้ความทุกข์เกิดขึ้น นี่ความเห็นแก่ตัวมันเดินผิดทางกลายเป็นเห็นแก่ตัวอย่างเลว อย่างร้ายขึ้นมา
จึงหวังว่าทุกคนจะเอาไปพินิจพิจารณา ให้เข้าใจในเรื่องนี้ให้ดีๆ ว่าความเห็นแก่ตัวนี่มันมีความหมายสลับซับซ้อนอย่างนี้ นี่เราพูดกันถึงเรื่องต้นตอหรือมูลเหตุของปัญหาของสังคมซ้ำอีกครั้งหนึ่งคือเรื่องความเห็นแก่ตัว เพื่อให้เข้าใจเพียงพอสำหรับข้อนี้ เอาล่ะวันนี้ก็พอกันที สำหรับเท่านี้