แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอ่อ, ธรรมปาฏิโมกข์ของพวกเราที่นี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวกูของกูดังที่ทราบกันอยู่แล้วไปตามเดิม แล้ววันนี้ก็จะพูดถึงเรื่องที่จะสมมติเรียกว่า เอ่อ, อาวุธลับสำหรับฆ่าตัวกูของกู เรื่องที่มีใจความทำนองนี้ ได้พูดกันมาแล้วหลายหนเหมือนกัน แต่บางทีก็ยากที่จะพูดให้เข้าใจหรือครบถ้วนได้ ก็ยังจะต้องพูดกัน เอ่อ, ไปเรื่อย ๆ
ตัวกูเป็นสิ่งที่ต้องฆ่า เพราะเหตุอะไรก็รู้กันอยู่แล้ว แล้วตัวกูเป็นสิ่งที่มิได้มีอยู่จริง แต่มันเป็นขึ้นมาได้ เพราะความโง่หรือความไม่รู้ ดังนั้นอยากจะขอร้องให้ เอ่อ, ทุกคนระลึกถึงคำกลอนสั้นๆ ข้อนั้นไว้เสมอที่เคยเขียนอยู่ในกระดานป้ายว่า
อันที่จริงตัวกูมิได้มี พอเราเผลอมันเป็นผีโผล่มาได้
พอหายเผลอตัวกูก็หายไป หมดตัวกูเสียได้เป็นเรื่องดี
เหตุดังนั้นจงถอนซึ่งตัวกู และถอนทั้งตัวสูอย่างเต็มที่
จงมีกันแต่ปัญญาและปรานี หน้าที่ใครทำให้ดีเท่านี้เอย
นี่เป็นใจความทั้งหมดของเรื่องตัวกูอันแสนจะยืดยาว หรือว่าจะเป็นเรื่องทั้งหมดของพระพุทธศาสนาทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ได้เหมือนกัน คือมันสรุปไว้ในข้อความสั้น ๆ อย่างนี้ว่า ตัวกูไม่ใช่ของจริง ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์อยู่ตามปรกติ กิเลสไม่ครอบงำแล้ว มันไม่มี นี่มันเกิดไม่ได้ มันไม่เกิด พอเผลอ กิเลสครอบงำได้ มันก็เกิดเป็นตัวกู คือกิเลสนั่นเองเป็น เอ่อ, ปรุงเป็นตัวกูขึ้นมา มันจึงมีลักษณะเหมือนผี ถ้าเรารู้ทัน มันก็ไม่หลอก ถ้าเรารู้ไม่ทัน มันก็หลอก
ถ้าเราไม่เผลอ มันก็ไม่เกิด เราไม่เผลอก็แล้วไป พอเราเผลอ มันก็เป็นผี มีลักษณะเหมือนผี มีคุณค่าอย่างผี แล้วก็โผล่ขึ้นมาได้ พอเรามีสติสัมปชัญญะอีก มันก็หนีไปอีก แล้วง่ายนิดเดียวในพริบตาเดียว พอ เอ้า นี้มันก็หายไปทันที ด้วยคำว่า เอ้า เพียงคำเดียว คำว่า เอ้า หมายความว่า มันรู้สึกสติสัมปชัญญะขึ้นมาได้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นคำว่า เอ้า พยางค์เดียวนั้นน่ะ มันเป็นคาถาไล่ผี ขับผี แล้วทำผีให้หายไป เพราะอย่างนั้นแหละ มันจึงต้องถอนผีนี้
ถ้าเป็นของเราเรียกว่าตัวกู ถ้าเป็นของเขา เราเรียกเขาว่าตัวสู เมื่อมันเป็นของเขา มันก็เป็นตัวกูของเขานั่นแหละ มันก็อย่างเดียวกันนั่นแหละ เช่นเดียวกับที่เป็นของเรา เราก็เรียกว่าตัวกู แต่เพราะเหตุที่มันเป็นของเขา เมื่อเราไปเรียกเข้า เราเรียกว่าตัวสู เพราะฉะนั้นมันจึงโง่ทั้งสองคน เพราะว่าที่แท้ตัวกูหรือตัวสู มันมิได้มี
เรื่องนี้ก็พูดให้ชัดว่า นี่คือความไม่รู้หรือมิจฉาทิฏฐิอย่างยิ่ง ที่ไปรู้สึกว่าเป็นตัวกูตัวสู เพราะไม่รู้สิ่งที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา คืออิทัปปัจจยตา ขอให้จำคำนี้ไว้ให้แม่นยำจนตลอดชีวิตว่า อิทัปปัจจยตา ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ เพราะไม่มองเห็นข้อนี้ เอ่อ, จึงเห็นเป็นตัวกูตัวสูขึ้นมา คือไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท จึงเห็นเป็นตัวกูตัวสูขึ้นมา ถ้าเห็นแท้จริงถูกต้อง ก็เห็นเป็นปฏิจจสมุปบาท คือเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
ซึ่งพระพุทธเจ้าเอง ท่านก็ทรงท่องของพระองค์เองพึมพำอยู่พระองค์เดียวบ่อย ๆ นี่น่าประหลาด น่าขัน หรือน่าอะไรก็ตามใจ มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกว่า ทรงนั่งประทับนั่งเงียบ ๆ นั่งเล่นอยู่พระองค์เดียว แล้วก็พูดขึ้นพระองค์เดียวเหมือนคนเพ้อว่า เพราะอาศัยตากับจักษุ จึงเกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบแห่งธรรมสามประการชื่อว่าผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ โสกะ ทุกขะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส หรือทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้
นี่ถ้าคุณเชื่อว่าพระไตรปิฎกโดยตรง พระบาลีนี้โดยตรง เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ใครปลอมเขียนขึ้นมา คุณก็เชื่อได้ว่า แม้พระพุทธเจ้าท่านก็ยังทรงทบทวนอย่างนี้ ทั้งที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังเอาไอ้ข้อความที่เป็นตัวอิทัปปัจจยตานี้ มาพูดมาท่อง คือท่านท่องอิทัปปัจจยตาอยู่เสมอ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วก็ไม่เคยพบในสูตรไหนบาลีไหน ที่ว่าเอาเรื่องอื่นมาพึมพำเล่นพระองค์เดียวนอกจากเรื่องนี้ คือนอกจากเรื่องอิทัปปัจจยตานี้ ที่เราเรียกกันว่าปฏิจจสมุปบาท
พูดอีกทีหนึ่งก็ว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นเกียรติสูงสุด ในบรรดาเรื่องทั้งหลายทั้งหมดในพระไตรปิฎก แต่ที่แท้มันก็เรื่องอริยสัจจ์ เรื่องดับทุกข์อย่างพิสดารนั้นน่ะ เอ่อ, พูดไว้ในรูป เอ่อ, หนึ่ง เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ทีนี้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มันก็คือเรื่องที่เรียกได้คำเดียวสั้น ๆ ว่าอิทัปปัจจยตา คำนี้แปลว่า เพราะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แต่แล้วเราเรียกเพียงคำเดียวครั้งเดียวก็พอว่า อิทัปปัจจยตา ความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย
ดังนั้นตัวกูก็เกิดจากไอ้ความโง่เขลาอวิชชานี้ ไอ้ตัวสูก็เกิดจากความโง่เขลาอวิชชานี้ เพราะมันไม่รู้อิทัปปัจจยตา ดังนั้นตัวกูก็เป็นส่วนสุดขั้นหนึ่ง ตัวสูก็เป็นส่วนสุดขั้นหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตรงกลาง เพราะฉะนั้นความรู้สึกว่าตัวกูตัวสูไม่ใช่อยู่ตรงกลาง คือมัชฌิมาปฏิปทา ถ้ามีความรู้สึกอยู่อย่างเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ตัวกูไม่เกิด ตัวสูไม่เกิด นี่มันไม่มีมึง ๆ กู ๆ ซึ่งทะเลาะวิวาทกัน ผลัดกันเป็นสุนัข ผลัดกันเป็นคน สุนัขมันก็ต้องเห่า ถ้าสุนัขไม่เห่าก็ไม่มีความเป็นสุนัข ไม่มีใครเลี้ยง นี้ถ้าเป็นคน ก็ต้องไม่โกรธ ไม่กลายเป็นสุนัขไปกัดกับสุนัขนี่ อย่าให้มันสุดเหวี่ยงกันอย่างนี้
ถ้ามันอยู่ตรงกลาง ไม่มีความเป็นสุนัข ไม่มีความเป็นคน มันเป็นความรู้เรื่องอิทัปปัจจยตา รู้อย่างนี้เป็นกิเลสอย่างนี้ รู้อย่าง เอ่อ, ถ้า ๆ ไม่รู้ เอ่อ, ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ มันจะเป็นกิเลสอย่างนี้ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ มันจะเกิดกิเลสอย่างนี้ ดังนั้นมันจึงเกิดความรู้สึกว่ากู แล้วกูถูกกระทำ แล้วก็เกิดเรื่องเป็นกิเลส เป็นการวิวาท เป็นการฆ่าฟัน
ในโลกนี้ เอ่อ, มีวิกฤติการณ์ถาวรตลอดกาล เพราะไม่มีความรู้เรื่องตัวกู มันจึงเกิดความรู้เรื่อง เอ่อ, เกิดความรู้สึกเป็นตัวสู มีมึงฝ่ายหนึ่ง มีกูฝ่ายหนึ่ง จะต้องล้างผลาญกันไปเรื่อย อย่างนี้เรียกว่ามันเป็นอะไร ก็ลองคิดดู ตามหลักพุทธศาสนา มันไม่ใช่ ๆ เอ่อ, เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่จะเป็นพุทธบริษัท เป็นอุบาสกอุบาสิกาอะไรเลย อย่าว่าจะเป็นคนของพระเจ้าหรืออะไรทำนองนั้น มันเป็นยังไม่ถึงมนุษย์ คือเป็นผี เป็นผีปิศาจ มีตัวกูของกูด้วยอวิชชา เกิดมาจากอวิชชาที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ และนี้คือสิ่งที่เรียกว่าตัวกู ซึ่งขอทบทวนความจำกันอีกครั้งหนึ่ง
ทีนี้ไอ้ตัวกูเป็นสิ่งที่ต้องฆ่า เพราะเห็นอยู่แล้วว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร แล้วยังมีโทษทำความทุกข์ทำความเดือดร้อน ฆ่ากิเลสฆ่าตัวกูนี้ได้เท่าไร ความทุกข์ก็จะดับไปเท่านั้น ความทุกข์ก็จะเหลือน้อยลงเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าใครไม่เห็นว่า สิ่ง การฆ่าตัวกูนี้เป็นสิ่งจำเป็นนะ คนนั้นน่ะคือคนโง่ที่สุดจนไม่รู้จะเรียกว่าโง่อย่างไรในโลกนี้ ทีนี้เมื่อใดเขาเห็นแจ้งชัดลงไปว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องฆ่า ต้องฆ่าอย่างเด็ดขาด จะอย่างไร ๆ ก็ต้องฆ่ากันจนถึงที่สุด นั่นน่ะจึงจะเรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิ มีความเข้าใจถูกต้อง เป็นการแน่นอนไปครั้งหนึ่งว่า ตัวกูเป็นสิ่งที่ต้องฆ่า
ทีนี้ก็มาถึงอาวุธ ที่เรียกว่าอาวุธลับหรืออาวุธลัดอะไรก็ ๆ ตาม ที่จะไปจะใช้ฆ่าตัวกู สิ่งที่เป็นอาวุธฆ่าตัวกู มันก็พูดกันอย่างกำปั้นทุบดิน ก็คือว่าธรรมะนั่นแหละ เมื่อตัวกูเป็นกิเลส แล้วธรรมะที่ฆ่ากิเลสนั้นก็เป็นอาวุธ แต่เมื่อพูดอย่างนี้ มันยังไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะเกิดอาวุธหรือเกิดการฆ่ากันขึ้นมา นี้แม้ว่าจะระบุธรรมะหมวดนั้นหมวดนี้ ปฏิบัติอย่างนั้นอย่างนี้ แบบนั้นแบบนี้ วิปัสสนาแบบนั้นแบบนี้ มันก็ยังพร่าอยู่นั่นเอง ยังจับใจความไม่ได้อยู่นั่นเอง ยิ่งไปใช้ศัพท์ใช้แสงตามแบบธรรมะแบบวิปัสสนาปรมัตถ์อะไรเข้าด้วย ยิ่งงงใหญ่
ดังนั้นขอให้เข้าใจว่า ผมจะรวบเอาใจความของหลักการปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ซึ่งที่แท้ไม่ควรจะแยกเป็นแบบนั้นแบบนี้ ให้ไปแยกนั้นมันเป็นความคิดที่เบ็ดเตล็ดเล็กน้อย มันแยกไม่ได้ พรหมจรรย์นี้ มันจะเป็นอันเดียวอย่างเดียวตัวเดียวกันเสมอ คือทำลายกิเลสโดยวิธีเดียว แต่มันพูดได้หลายอย่างเท่านั้น คือว่าจะต้องทำลายความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั้นเสีย พูดอย่างนี้ มันหมดเลย มันกินความหมดเลย คือจะกำจัดอัสมิมานะว่าตัวกูว่าของกูนี้เสีย เท่านี้แหละ มันมีเท่านี้
นี่ตอนความมุ่งหมาย เราพูดได้คำเดียวอย่างนี้ ทีนี้ตอนการปฏิบัติ ก็พูดกำปั้นทุบดินไปทีก่อนว่า ปฏิบัติเพื่อทำลายความรู้สึกว่าตัวกูของกูนี้เสีย ทีนี้ก็ตั้งปัญหาต่อไปว่า ปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำลายความรู้สึกนั้น ก็พูดกำปั้นทุบดินว่าต้องสร้างความรู้สึกที่มันตรงข้ามขึ้นมา ความรู้สึกที่ไม่ใช่ตัวกู ที่ว่างจากตัวกู ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาหรือว่าธรรมทั้งหลายไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นี่มันมีหลักคำเดียวเท่านี้
นี้ทำอย่างไรจึงจะทำลาย เอ่อ, จะ ๆ เกิดไอ้ความรู้ที่ว่าไม่ใช่ตัวกู หรือว่าทำลายความยึดมั่นถือมั่นเสียได้ ก็ขอให้คิดเอาเองเถิด คิด ๆ อย่างสามัญสำนึกที่คนทุกคนจะคิดได้ ถ้ามันไม่เป็นโง่เป็นบ้ามากเกินไป มันก็จะต้องคิดได้ว่า เราจะต้องอยู่ด้วยความรู้สึกที่ไม่เป็นตัวกูของกูเรื่อยไปนี้ นี่ไม่ใช้คำบาลีสักคำเดียวว่า เราจะต้องเป็นอยู่มีลมหายใจเข้าออกทุก แล้วตลอดเวลาด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวกู ว่างจากตัวกู พิจารณาเห็นโดยละเอียดลออให้ถูกต้องสักคราวหนึ่งก่อน แล้วความเห็นว่ามันไม่มีตัวกูนั้น มาทำไว้ในใจเสมอนี่ นี่เรียกว่าเป็นอยู่ด้วยการฆ่าหรือทำลายตัวกูอยู่ตลอดเวลา
ทีนี้ผมอยากจะให้ลัดมากไปกว่านั้น สำหรับคนที่คิดไม่เป็น คนส่วนมากคิดไม่เป็นนะ คนส่วนมากไม่รู้บาลี ไม่เคยเรียนพระไตรปิฎก แล้วคิดไม่เป็นด้วย แต่ว่าถ้าให้ระบบสำหรับคิดอย่างง่าย ๆ ไป เป็นวิธีลัด หรือเป็นเคล็ดลับ หรือเป็นอุบาย มันก็อาจจะทำได้ทุกคน ดังนั้นจึงคิดถึงข้อนี้ว่า อะไรจะเป็นอาวุธลับสำหรับฆ่าเสียซึ่งตัวกู ก็คือเรื่องที่พูดอยู่เสมอว่า นึกถึงแต่ผู้อื่น แต่ผู้อื่นในที่นี้ไม่ใช่ตัวสู
ไอ้ตัวกูตัวสูน่ะต่อเมื่อมันจะกัดกัน มันจึงจะเป็นตัวกูตัวสู แต่ถ้าพอไม่มีความรู้สึกที่จะกัดกันแล้ว มันก็มีแต่ว่าเราหรือผู้อื่น หรือถ้าว่ายิ่งไปกว่านั้น มันก็มีแต่ว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน แต่พอรู้สึกที่ถูกต้องมันเกิดขึ้นว่าเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันแล้ว มันไม่มีเราไม่มีเขา แล้วมันจะมีตัวกูตัวสูที่กัดกันได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมีการกัดกันที่ไหน เป็นพระเป็นเณรก็ดี เป็นอุบาสกอุบาสิกาก็ดี ตอนนั้นผีมันกัดกัน
ถ้าเป็นมนุษย์กัดกันไม่ได้ เพราะว่าถ้ามนุษย์แล้ว มันมีจิตใจสูงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดังนั้นขอให้เข้าใจเถิดว่า ถ้ามันมีอะไรประหลาดมาแล้ว มันเป็นผี ดังนั้นอย่าไปคุยกับมัน อย่าไปกัดกับมัน อย่าไปโต้เถียงกับมัน มันเป็นผี นี่เราจะต้องรู้ในข้อนี้ว่า ไอ้ตัวกูตัวสูนั้น มันบ้าจัดเดือดจัด อย่าไปยุ่งกับมันเลย ถ้ามีเรามีผู้อื่น มีเราเองมีผู้อื่น ก็มองไปแง่ที่ว่า เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน
ทีนี้ทำไมต้องมีเราต้องมีผู้อื่น นี้มันเป็นเรื่องโลกสมมติ เพราะว่าเราก็มีบ้านเรา มีเงินของเรา มีอะไรของเรานี่ มีอะไรของเราเหล่านี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นเหตุให้ลืมตัว ให้เกิดเป็นกูเป็นสูขึ้นมาทั้งนั้นแหละ แต่ในบางเวลามันยังไม่เกิด เพราะว่าไม่อยากจะกัดกัน มันกลัว แต่พอเผลอเข้า มันก็ไม่ ก็ ๆ เกิดลืม ๆ มันก็ลืมกลัว พอลืมกลัว มันก็กัดกันนี่ นี่การเบียดเบียนเป็นอย่างนี้ กัดกันด้วยวาจา ด้วยร่างกาย ด้วย เอ่อ, จิตใจอะไรก็ตามใจเถิด มันได้ทั้งนั้นแหละ
ดังนั้นขอให้นึกว่า ผู้อื่นก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกับเรา เราก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายกับเขา แต่ถ้าเรามามัวนึกแต่เรื่องตัวเรา เดี๋ยวแหละจะเผลอ ๆ ๆ ไปทีละนิด ๆ จนเกิดตัวกู เขาโง้งเขี้ยวยาวอะไรออกมา ดังนั้นหาทางป้องกันไม่ให้มันเกิดอย่างนั้น ก็คือลืมตัวเสีย ลืมของตัวเสีย ก็ไปนึกเห็นแต่จะทำประโยชน์ผู้อื่นให้สนุกไปเลย นี่เรื่องนี้ก็ได้พูดละเอียดลออแล้ว ในการพูดธรรมปาฏิโมกข์ครั้งที่แล้วมาหยก ๆ นี้เองว่า ให้ลืมตัวเราเสีย แล้วสนุกสนานอยู่ด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น เท่านั้นแหละ
มันประโยคสั้น ๆ และทุกคนปฏิบัติได้ แต่เขาต้องฟังให้เข้าใจเสียก่อนว่า ถ้าไปนึกถึงแต่ตัวเราของเรา ไม่เท่าไรมันจะเกิดตัวกู แล้วเผลอเข้า มันจะกัดกัน แล้วถ้าไม่กัดใคร มันกัดตัวมันเอง มันเป็นหมาบ้า มันจะกัดตัวเองให้เดือดร้อนนอนไม่หลับ เอ่อ, เป็นโรคเส้นประสาทเป็นบ้าเป็นอะไรไปนี่ ถ้ามันไม่ได้กัดเพื่อน มันก็กัดตัวเอง อย่างนั้น ๆ มันไม่ไหวอย่างนี้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัวกู จะฆ่ามันเสียวันละนิด ๆ เพราะเราสติปัญญายังไม่มากพอที่จะฆ่าทีเดียวให้ตายเลย ก็ด้วยมีอาวุธอย่างที่ว่านี้ อาวุธลับที่เก็บไว้สำหรับจะไม่ให้ตัวกูมันเกิดได้ คือฆ่ารากเหง้าต้นตออะไรของมันอยู่เรื่อย ๆ
เอาล่ะ, เพราะฉะนั้นเราพูดกันอย่างภาษาธรรมดาที่ทุกคนฟังออกดีกว่าว่า อยู่ด้วยเรื่อง เอ่อ, การลืมตัวกูเสีย ไอ้เรื่องของตัวกู ๆ อะไร เงินของกู ทองของกู ลูกของกู เมียของกู ชนิดที่ลิงมันล้างหูใส่หน้านั่น ลืมเสีย ทีนี้แม้แต่ตัวกูที่ละเอียดไปกว่านั้นก็ลืมเสีย กระทั่งตัวเราแท้ ๆ อย่างนี้ ตัวเราที่บริสุทธิ์ไม่ทำอะไรใครนี้ ก็ลืมเสียดีกว่า
อย่าเพ่อตกใจ ฟังไปก่อนว่า ลืมเสียดีกว่า แล้วหาทางให้สนุกสนานโดยวิธีทำประโยชน์ผู้อื่นนี่ มันต้องทอดตัวลงไปให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ เหมือนสุเมธดาบส นอนในหนองโคลนให้พระพุทธเจ้าทีปังกรเหยียบหลังไป แล้วตัวเองมาเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ ต้องถือหลักอย่างนั้น ก็คือว่าเรื่องของเราเรื่องตัวเรา ลืม อย่าให้มันเกิดขึ้นเป็นความคิดนึก แล้วเคลื่อนไหวกระดุกกระดิกอะไร ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางใจก็ดี ให้มันเป็นประโยชน์ผู้อื่น ด้วยความรักและความเมตตา
นี่คือข้อที่ว่า มีกันแต่ปัญญาและปรานี หน้าที่ใครทำให้ดีเท่านี้เอย ในคำกลอนนั้น อยู่ด้วยปัญญาและปรานี ตัวกูไม่เข้ามา ตัวเราไม่มี อยู่กันแต่ปัญญาและปรานี ปัญญาคือมันจะได้รู้จักทำอะไรให้ถูกต้อง แล้วปรานีก็ทำแก่ผู้อื่น นี้อยู่ด้วยความรู้สึกสองอย่างนี้ ก็จะสนุกสนานในการทำประโยชน์ผู้อื่น
คนเห็นแก่ตัวไม่มีทางจะสนุกสนานเพราะการทำประโยชน์ผู้อื่น พอไปทำประโยชน์ผู้อื่น ความขี้เหนียวมันก็แผดเผาหัวใจ มันทำไม่ได้ มันจะตกนรกเพราะการทำประโยชน์ผู้อื่น ดังนั้นมันต้องเป็นคนที่มีจิตใจว่างจากตัวกูพอสมควร มันจึงจะสนุกได้ด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น ไปช่วยกวาดช่วยล้าง ช่วยเก็บช่วยงำ ช่วยทำอะไรให้เขาก็ยังสนุก ไปช่วยล้างส้วมให้เขาก็ยังสนุก ไม่เชื่อลองดูเถิด ให้จิตใจมันเกลี้ยงจากตัวกูเสียก่อนเถิด ไปช่วยล้างส้วมให้เขาก็สนุก ผมยืนยันอย่างนี้ ไปทำลำบากลำบนอะไร มันก็สนุกไปทั้งนั้น ในเมื่อตัวเราตัวกูมันไม่ เอ่อ, เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่เดี๋ยวนี้เรายังไม่ต้องทำถึงอย่างนั้น เพราะว่าพระเณรก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ยังมีงานที่ดี ๆ ทำ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ตลอดวันตลอดคืน ดังนั้นใครทำอะไรได้ มีประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วก็สนุกด้วยการทำอย่างนั้นไปพลางก่อนไปทีก่อน อย่าเพ่อนึกถึงอะไรให้มาก จะเล่าเรียนจะศึกษา ก็ขอให้สบถสาบานว่าจะเรียนเพื่อทำประโยชน์ผู้อื่น จะเป็นนักธรรมเป็นมหาเปรียญอะไรก็ตาม ก็จะทำเพื่อให้มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวกู จะได้เด่น จะได้ยกหูชูหาง จะได้เขายาวอะไรนั้น อย่าได้คิดอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้ก็เรียนนักธรรมไม่กี่วันก็จะสอบไล่ ก็ต้องอธิษฐานในข้อที่ว่า จะต้องเรียนเพื่อเป็นเครื่องมือสำหรับทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ทีนี้เมื่อปฏิบัติธรรม ทำกรรมฐาน ทำภาวนา ทำวิปัสสนานี้ ก็ว่าไม่ใช่ทำเพื่อตัวเราคนเดียว ทำเพื่อตอบสนองพระพุทธประสงค์ เอ่อ, ทำเพื่อว่าเราจะสามารถช่วยผู้อื่นตามพระพุทธประสงค์
นี่ก็มาให้มันมองไปในแง่ผู้ เพื่อผู้อื่นอย่างนี้ไว้เสมอไป แล้วก็ปฏิบัติวิปัสสนาสำเร็จแน่ เพราะว่ามันเป็นการฆ่าตัวกูอยู่ในตัว ไม่อย่างนั้นก็จะไปเป็นอาจารย์วิปัสสนาเขาโง้ง สูบบุหรี่ สรวญเสเฮฮา ยกหูชูหางไปเท่านั้นเอง มันไม่ได้อะไรมากกว่านั้น ทีนี้เราไม่ต้องการเป็นอาจารย์วิปัสสนายกหูชูหางแล้ว ก็เรียนวิปัสสนาเพื่อให้ช่วยตัวเองได้ เอ่อ, และช่วยผู้อื่นได้ ตามความประสงค์ของพระพุทธเจ้า นี้เรียกว่าปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อช่วยผู้อื่น ทีนี้ได้ผลมา มันก็ได้ผลแก่ผู้อื่นมากกว่าเรา เพราะเรามันคนเดียว เขามันตั้งหลายสิบคน หลายร้อยคน หลายหมื่นคน แสนคน ช่วยโลก ให้มันเป็นผลแก่ผู้อื่นอย่างนี้
นี่เรียกว่าเรียน ๆ เพื่อผู้อื่น ปฏิบัติก็ปฏิบัติเพื่อผู้อื่น ได้ผลก็ได้ผลเพื่อผู้อื่น เราลืมเสีย ตัวเราลืมเสีย เอ่อ, ตรงนี้ก็เตือนอีกว่า อย่าให้มันเลวกว่าพวกคริสเตียน อย่าให้มันขายขี้หน้าพวกคริสเตียน เอ่อ, ซึ่งในคัมภีร์เขามีสอนไว้ว่า มีเมียก็จงเหมือนกับไม่มีเมีย มีทรัพย์ก็จงเหมือนกับไม่มีทรัพย์ มีสุขก็จงเหมือนกับไม่มีสุข เอ่อ, มีทุกข์ก็จงเหมือนกับไม่มีทุกข์ ไปจัดซื้อของที่ตลาด อย่าเอาอะไรมา นี่พูดกันหลายหนอธิบายกันหลายหน แต่กลัวจะลืม เอามาเตือนอีก
ถ้าไม่ทำตามที่ผมว่า มันจะเลวกว่าพวกคริสเตียน ซึ่งเขามีหลักอย่างนั้น มีเมียเหมือนกับไม่มีเมีย ก็คือไม่ยึดถือว่าของกู ไม่ ๆ ๆ มั่น ไม่สำคัญมั่นหมายเป็นตัวกูของกู มีผัวก็ไม่ใช่ผัวของกู มีทรัพย์สมบัติก็ไม่ใช่ของกู สุขทุกข์ก็ไม่ใช่ของกู ซื้อของที่ตลาดไม่เอาอะไรมา เพราะไม่ได้นึกว่านี่ของกู ซื้อมาด้วยเงินของกู ไม่มีเงินของกู ไม่มีซื้อมาด้วยเงินของกู ไม่ได้มีซื้อมาเพื่อประโยชน์กู มันหิ้วมาถึงบ้าน จะกินจะใช้ของนั้น มันก็ไม่มีความรู้สึกว่าตัวกู นี่คืออยู่ด้วยความรู้สึกที่ไม่มีตัวกูที่จะทำอะไร
ถ้า ๆ ๆ เชื่อพระเจ้า ก็ต้องทำตามพระเจ้าสั่งว่า การรับใช้ผู้อื่นคือการรับใช้พระเจ้า นี่พวกคริสเตียนเขาถือหลักอย่างนั้น เราอย่าเลวกว่าเขา ที่เขาถือว่าการรับใช้ผู้อื่นนั้นคือการรับใช้พระเจ้า เขามีวิธีของเขาอย่างนี้ มีเคล็ดอย่างนี้ มีอุบายอย่างนี้ ที่จะสอนคนให้ปฏิบัติข้อปฏิบัติสูงสุดได้ ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เพราะฉะนั้นเราก็จงมีคำพูดเพียงไม่กี่คำด้วยเหมือนกัน ที่จะสามารถทำให้ ๆ ได้รับประโยชน์อย่างเดียวกันระดับเดียวกัน
นี้ใครจะพูดอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับผมจะพูดอย่างนี้แหละ อย่างที่สั้น ๆ นี้ว่า จงลืมตัวเองเสีย จงอยู่ด้วยความสนุกสนานในการประพฤติประโยชน์ผู้อื่นเถิด นี่มันกระโดดข้ามไปทีเดียว ไปที่ปลายที่ยอด แล้วก็ทำได้ นี้เรียกว่าอาวุธลับ เพราะไม่ค่อยมีใครมองเห็น แล้วเรียกว่าอาวุธลัด เพราะมันลัดพรวดพราด แล้วมันก็ไม่ต้องพูดกันด้วยภาษาบาลีแล้ว พูดด้วยภาษาไทยก็พอ นี่คือ เอ่อ, อาวุธลับหรืออาวุธลัดที่จะใช้ฆ่าตัวกูของกูอยู่ตลอดเวลา
ไอ้การฆ่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าไปฟันคอทีเดียวขาดล่ะ จะมีการฆ่าโดยเชือดเถือเนื้อหนังมัน วันละเล็กวันละน้อย ๆ ก็ได้ ไม่กี่วันไม่กี่ปีมันก็ตายเหมือนกัน เราก็เรียกว่าการฆ่าเหมือนกัน หรือว่าฉลาดกว่านั้นก็ เราก็ปิดหนทางเสีย อย่าให้มันได้กินอาหาร แล้วมันก็ตายเหมือนกัน ก็เรียกว่าฆ่าเหมือนกัน การ Boycott การ Strike นี้ เมื่อทำสำเร็จ มันก็เป็นการฆ่าเหมือนกัน แล้วเราก็ไม่ต้องไปเผชิญหน้ากับมันนี่
หมากัดไม่ต้องกัดตอบ ไม่ต้องโกรธหมาให้เสียเวลา ถ้าอยากจะฆ่าหมา ก็ทำวิธีใดวิธีหนึ่งให้มันตายของมันได้เอง ทีนี้ถ้าไปมัวเป็นหมาเสียเองหรือไปกัดหมาอยู่เรื่อย แล้วไม่มีวันหรอกที่จะทำประโยชน์ผู้อื่นตามพระพุทธประสงค์ได้ เพราะมันมีตัวเราฮื่อแฮ่ มันถึงกัดกันอยู่เรื่อย มันต้องไม่มีตัวเราชนิดนี้ นี่ลืมเสีย ขอให้ลืมเสีย ไอ้ตัวกูของกูนั้นให้ลืมเสีย มันจะมีที่ไหนอยู่ที่ไหนก็ว่า ขอให้ลืมเสีย ให้สนุกอยู่แต่กับการทำประโยชน์ผู้อื่น มันก็ไม่มีทางที่จะโผล่ออกมา
ดังนั้นขอให้นึกว่า จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้อย่างไร ก็จงสนใจทำเถิด มันจะเป็นฆ่า การฆ่ากิเลสชนิดที่ เอ่อ, ถึง ๆ มาตรฐาน ฆ่ากิเลสชนิดที่ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญา มีสมถะ มีวิปัสสนาอะไรเหมือนกันเลย เพียงแต่เรารวบเอาหัวใจของสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด มาเป็นคำพูดเพียงคำเดียวว่า ลืม ไม่รู้ไม่ชี้กับไอ้ความรู้สึกที่เป็นตัวกูของกูนั้นเสีย ทำศีล สมาธิ ปัญญา วิปัสสนา สมถะอะไรก็เพื่อให้มันลืม เพื่อไม่ให้มันโผล่ เอ่อ, ไม่ให้ตัวกูมันโผล่หัวออกมาได้เท่านั้นเอง แล้วก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เรื่อยไป ๆ มันก็ผอมลง ๆ มันก็ตาย
ดังนั้นเราจะทำก็ได้ ทำ เอ่อ, มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา วิปัสสนาให้สุดความสามารถ ก็เพื่อฆ่าตัวกูนี้ เพื่อลืมตัวกูนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ทีนี้พูดกลับกันได้ว่าเลยว่า ถ้ามันลืมตัวกูของกูอยู่ได้ แล้วมันก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญาอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ ทีนี้มันไม่ยากแก่ชาวบ้านคุณย่าคุณยายที่ไม่รู้อะไรมาก จะได้ระวังแต่เพียงว่า ไม่พะวงเรื่องตัวกู จะทำแต่ประโยชน์ผู้อื่น
ประโยชน์ผู้อื่นน่ะมันง่าย พวกคุณก็เรียนได้สิ เรียนบาลี เรียนนักธรรม เรียนอะไรตั้งร้อยข้อพันข้อหมื่นข้อแสนข้อ แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าหัวใจของมันอยู่ที่ไหนนั่น ดังนั้นในที่สุดก็ต้องมาจับไอ้หัวใจของมันให้ได้ที่ตรงนี้ว่า มีลมหายใจออกเข้าอยู่อย่างบริสุทธิ์สะอาด ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู เอ่อ, นึกถึงแต่จะเคลื่อนไหวให้มันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเท่านั้น
นี้การอยู่ที่นี่ ก็จัดชีวิตแบบนี้ จัดให้มีการเป็นอยู่ในลักษณะที่ว่า เรื่องอื่นไม่มี มีแต่เรื่องนึกถึงผู้อื่นด้วยความสนุกสนาน ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยความสนุกสนาน เรื่องกิน เรื่องใช้สอย เรื่องนุ่งห่มอะไรไม่มีปัญหา ไม่มี ๆ ความสำคัญ ให้ถือเป็นเรื่องไม่มีความสำคัญ ถ้าไปมีความสำคัญเข้าที่เรื่องอาหาร เรื่องเครื่องนุ่งห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องยา เอ่อ, แก้ไข้อะไร เดี๋ยวตัวกูมาอีกแหละ เพราะอันนี้มันเป็นทางแห่งลาภสัก เอ่อ, เป็น ๆ ที่ตั้งแห่ง เอ่อ, ลาภสักการะ
ลาภสักการะมาแก่พระมันก็เรื่องนี้แหละ ใน ๆ ปัจจัย ๔ นี้ เดี๋ยวก็หลงใหลในเรื่องลาภสักการะ ในพระบาลีพระพุทธภาษิตพูดถึงลาภสักการะ แล้วก็พูดถึงไอ้เรื่อง ๔ เรื่องนี้แหละ ไม่มีเรื่องอื่นหรอก แล้วมันก็เป็นไอ้ตัวไอ้กังสกะอะไรที่ว่า มันอวด อุจจาระก็อยู่เต็ม เอ่อ, กินเข้าไปเต็มท้องแล้ว อุจจาระก็ยังกองใหญ่อยู่ตรงหน้าเรานี่ มันก็กก เอ่อ, ชะ ๆ ๆ ๆ เอ่อ, ชะเง้อขึ้นไปยืนคร่อมอุจจาระ แล้วก็ตะโกนอย่างนี้
นี่พระพุทธเจ้าเปรียบว่า เหมือนกับภิกษุบางรูปรวยด้วยลาภสักการะ คือปัจจัย ๔ นี้ แล้วก็พูดว่า นี้ ในห้องในอะไรก็อะไร ก็มีเยอะแยะแล้ว คนนั้นก็เป็นอุปัฏฐาก คนนี้ก็เป็นอุปัฏฐาก เอ่อ, ยังจะมีอีก อะไรอีกนี่ เขา ๆ ๆ พูดอยู่แต่อย่างนี้ คิดอยู่แต่อย่างนี้ เหมือนตัวไอ้กังสกะหรือกังสรกะอะไร ที่มันเป็นสัตว์กินอุจจาระ มันกินเข้าไปจนเต็มท้องไม่มีที่ใส่แล้ว มันก็ขึ้นยืนกอดกองสักการะ เอ่อ, กองอุจจาระนั้น แล้วมันก็ตะโกนว่าอย่างนี้ ดังนั้นระวังให้ดี อย่าให้เรื่องกิน เรื่องนุ่งห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย เอ่อ, เรื่องยาแก้ไข้หรือแก้โรคนี้ มันกลายเป็นที่ตั้งแห่งตัวกูของกู
ถ้ามันทะเลาะกันด้วยเรื่องกิน เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย เรื่องยาแก้ไข้แล้ว มันก็ไม่ไหวอีกแล้ว เป็นบรรพชิตที่ไม่ไหวอีกแล้ว เป็นเรื่องตัวกูของกูอีกแล้ว ดังนั้นขอให้ลืมเสีย มันก็ต้องฉันอาหาร มันก็ต้องนุ่งห่ม เมื่อต้องอะไรแล้ว ทำไปชนิดที่มันเป็นไปถูกต้อง สักว่ามีชีวิตอยู่ได้เท่านั้นแหละ อย่าให้มันกลายเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานลาภสักการะของตัวกูอะไรขึ้นมาอีก นี่ขอให้เราอยู่กันในลักษณะอย่างนี้ ในวัดนี้ ในที่ไหนก็ตามเถิด ถ้าเป็นวัดของพระพุทธเจ้าก็ต้องอยู่กันอย่างนี้ เรื่องกิน เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องอาศัย เรื่องอะไร อย่าให้เป็นปัญหา ถ้าเป็นปัญหาแล้ว มันเป็นปัญหาของตัวกูของกูทั้งนั้น
ทีนี้เมื่อ ๆ มีกินมีใช้สบายมีปรกติอยู่อย่างนี้ แล้วจะทำอะไร คือเคลื่อนไหวในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แล้วเราก็สนุกสนาน เพราะเราไม่อยากอะไร ไม่หวังอะไร ไม่กระหายอะไร ได้ทำประโยชน์ผู้อื่นแล้วก็พอใจ ทีนี้ประโยชน์นี้มันก็ยังมีอย่างให้เลือก เราก็เลือกเอาที่มันน่าทำหรือที่มันมีประโยชน์มาก ๆ คือที่เรียกว่าประโยชน์มันค่อนข้างสูงนั่นแหละ แล้วประโยชน์ที่ค่อนข้างสูงนั้นไม่มีอะไรนอกจากแสงสว่าง แสงสว่างแก่จิตใจนี่ ที่เรียกว่าธรรมะ
ให้ทานธรรมชนะการให้ทุกอย่าง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างนั้น ก็แปลว่าไอ้ธรรมะนั้นแหละ มันเหนืออะไรหมดในการที่จะยกให้แก่ผู้อื่น เพราะว่าธรรมะเป็นแสงสว่าง แสงสว่างนี้จะทำให้เขาเดินถูกทาง แล้วก็ดับทุกข์ได้เหมือนกับเรา ดังนั้นเราก็ควรสอนเขาให้ลืมตัวเองเสีย ให้สนุกอยู่ด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่นเหมือนเรานั่นแหละ มันจะไม่มีกิเลสเกิดขึ้นได้ ไม่มีสิ่งสกปรกเศร้าหมอง ที่เรียกว่ากิเลสนั่นแหละเกิดขึ้นมาได้ มันก็มีแสงสว่างกันต่อ ๆ ๆ ๆ ไป
ทีนี้การให้แสงสว่างนี้ จะพูดด้วยปากก็ได้ จะทำโดยวิธีอื่นก็ได้ ได้หลายอย่าง แต่รวมความแล้วมันก็คือว่า ทำให้เข้าใจ ให้ เอ่อ, แล้วก็ทำให้พอใจ ทำให้ เอ่อ, ในที่สุดก็ปฏิบัติตาม หมวดแรกก็เรียกว่า ทำให้รู้ เช่นพูดให้ฟัง อ่านหนังสือให้ฟัง เทศน์ให้ฟัง แสดงสิ่งของวัตถุรูปภาพอะไรให้ดู ก็ตามใจ ให้มันรู้ นี่เรียกว่าให้มันรู้ทีหนึ่งก่อน นี้ก็เป็นประโยชน์มหาศาลแล้ว อุตส่าห์เทศน์ให้ฟัง อุตส่าห์พูดให้ฟัง อุตส่าห์อธิบายให้ฟัง แสดงนั่นนี่ให้มีขึ้นมาให้แสดงให้เห็น อย่างในวัดเรานี้ ถ้าเขาไม่โง่เกินไป เดินไปที่ไหนก็จะล้วนแต่ได้ความรู้และแสงสว่าง นับตั้งแต่สระนาฬิเกร์ ป่าไม้ที่นั่งที่อะไร ๆ ต่าง ๆ กระทั่งถึงที่นี่ ล้วนแต่มุ่งหมายจะแสดงแสงสว่าง ให้เขารู้จักแสงสว่าง นี้เรียกว่าทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการสอน
ทีนี้เลื่อนขึ้นไปอีกก็ ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการทำ การกระทำ คือการปฏิบัติให้ดู ข้อนี้ไม่มีอะไรว่า เราอยู่อย่างถูกต้องให้ดูเท่านั้นแหละ ไม่ต้องพูดก็ได้ มันเป็นเรื่อง เอ่อ, สอนด้วยการปฏิบัติ หยุดพูดหุบปากเสียที มันพูดมักจะ ออกจะมากไปแล้ว เพียงแต่อยู่ให้ดู ปฏิบัติให้ดู เป็นอยู่ให้ถูกต้องให้ดู ไม่ต้องพูด มองตากันก็แล้วกัน ให้เขาเห็นก็แล้วกัน
ทีนี้ถ้าไปจากนั้นอีก มันก็เสวยความสุขให้ดู ดูที่ฉัน กล้าท้าเลย ไม่มีความทุกข์เลย อยู่อย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน นี่สอนด้วยการมีความสุขให้ดู ทำประโยชน์ผู้อื่นด้วยการ เอ่อ, ทำ ๆ ด้วยการเสวยความสุขให้เขาเห็น ทบทวนอีกทีว่า ทำประโยชน์ผู้อื่นด้วยการสอนให้รู้ให้เข้าใจ แล้วก็สอง ทำประโยชน์ผู้อื่นด้วยการปฏิบัติให้ดู ไม่พูดไม่อะไรกัน แล้วก็สาม ยิ่งไม่พูดใหญ่ มีความสุขให้ดู นี่ดู ๆ ฉันสิ ไม่มีไอ้อะไรที่ทำให้นอนไม่หลับเหมือนแก ไม่หน้าซีดหน้าเซียวไม่อะไรเหมือนแกอะไรนี้ เขาก็เห็น
เมื่ออยู่อย่างนี้ ตัวกูไม่เกิด ฆ่าตัวกู เฉือดเฉือนตัวกูอยู่ทีละเล็กละน้อย เอ่อ, นี่เป็นอาวุธลับอาวุธลัดสำหรับฆ่าตัวกู นี้เรียกว่า เอ่อ, ลืมตัวเรา มุ่งหมายแต่ผู้อื่น นี้อย่ากลัวว่ามันจะไม่ได้อะไร ไอ้นั่นน่ะมันเป็นเรื่องของความที่เห็นแก่ตัว ให้ได้ตัวกูที่เกลี้ยงอย่างนี้มา ตัวเราที่เกลี้ยงเกลาจากตัวกู แต่เขาไม่เรียกกันว่าตัวกูนั้นน่ะ คือจิตที่มันเกลี้ยงเกลาไปแล้วจากตัวกู จากกิเลสทั้งหลาย เราได้จิตชนิดนี้มาก็พอแล้ว
แล้วอย่ามาเรียกว่าเรา ที่ เอ่อ, อย่าเรียกจิตนั้นว่าเรา อย่าเรียกว่าเราเป็นเจ้าของจิตนั้น อย่าว่าจิตนั้นอยู่ในเรา เราอยู่ในจิตนั้น อย่าบ้าต่อไปอีก ให้มันเป็นความรู้สึกอยู่ในใจล้วน ๆ ว่า เดี๋ยวนี้จิตมันก็ไม่มีตัวกู จิตก็คือจิต แล้วก็ไม่มีใครที่เป็นทุกข์ ถ้าอยากเรียกว่าเราก็ให้ ก็สมมติว่าจิตที่ไม่มีตัวเรานั่นแหละเป็นเราที่แท้จริง เป็นเราที่จะเป็นที่พึ่งแก่ตัวเราได้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตน ตนชนิดที่ไม่เป็นเรา ไม่เป็นตัวกู มันจะเป็นที่พึ่งแก่ตนได้ เหลืออยู่แต่จิตชนิดนั้นแล้ว ไม่มีความทุกข์แล้ว ไม่ต้องการพึ่งใครอีกแล้ว เพราะฉะนั้นต้องทำให้มันมีจิตชนิดนี้ขึ้นมา ด้วยวิธีที่ว่าลืมตัวกูเสีย มีกาย มีวาจา มีใจ ก็เคลื่อนไหวไป ๆ ในลักษณะที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ที่ว่าจะไม่มีอะไรกินไม่มีอะไรใช้นั้น ไม่ต้องนึก ไม่ต้องกลัว ยิ่งจะมีอะไรกินอะไรใช้มากกว่าแต่ก่อนเสียอีก ขอให้อยู่อย่างนี้เถิด อยู่ด้วยวิธีปฏิบัติอย่างนี้เถิด
ทีนี้ก็จะให้เห็นว่า ไอ้การปฏิบัติให้ดูนั่นแหละจำเป็นที่สุด สอนเขาด้วยปากก็ยังจำเป็นน้อยกว่า ก็ทำไปตามที่จะทำได้ ปฏิบัติให้ดูนี้ ดีที่สุด จำเป็นที่สุด สำคัญที่สุด ส่วนเสวยความสุขให้ดูนั้น มันแทบจะไม่ต้องทำ เพราะว่าเมื่อเราปฏิบัติถูกต้องแล้ว มันก็มีความสุข เขาก็เห็นเอง ไม่ต้องไปนึกก็ได้ นึกแต่เรื่องปฏิบัติให้ดู
ทีนี้ก็อยากจะ เอ่อ, เล่าข้อความที่จะเป็นพยานหลักฐานในเรื่องนี้ ให้เห็นชัดตามพระพุทธภาษิต ในสูตรสูตรหนึ่งซึ่งกำลังรวบรวมกันอยู่ในระยะนี้ว่า ภิกษุในศาสนานี้ไปอยู่ที่นิคม เอ่อ, หรือบ้านหรือหมู่บ้านใดบ้านหนึ่ง ปฏิบัติอยู่อย่างภิกษุ ทีนี้ก็มีคฤหบดีหรือว่าลูกของคฤหบดี พอดีหยุดเห็นเข้า แล้วก็จับตาดู แล้วก็สังเกตดู ใคร่ครวญดู ยิ่งดูไปก็ยิ่งเห็นการประพฤติทางกาย ทางวาจา ทาง เอ่อ, ใจของผู้ภิก ๆ ษุนี้ มันไม่มีอะไรที่น่าตำหนิ จะฟังคำที่ท่านพูด ก็เห็นว่ามันพูดชนิดที่ไม่เข้าข้างตัว ไม่พูดเพื่อจะเอาประโยชน์ผู้อื่น คือไม่พูดล้วงกระเป๋าเขาเหมือนอาจารย์วิปัสสนาสมัยนี้ ที่จะพูดไปในทางที่ว่าไม่รับผิดชอบให้ผู้อื่นเดือดร้อนก็ไม่มี
นี่ดูอยู่อย่างนี้ เฝ้าดูใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ ไม่ได้พูดจาอะไรกัน มันจะเป็นเวลากี่วันกี่เดือนกี่ปีก็ตามใจ คหบดีคนหนึ่งหรือว่าคหบดีบุตรคนหนึ่ง มันเฝ้าดูภิกษุนั่นอยู่ตลอดเวลา แล้วมันก็เห็นยิ่งเห็นอย่างนี้ยิ่งเห็นอย่างนี้ ในที่สุดมันทนไม่ได้ มันเกิดศรัทธา
ข้อที่หนึ่ง ศรัทธา เอ่อ, จดก็จดลงไป จำก็จำลงไป มันเกิดศรัทธา ท่านเป็นคนสะอาดทั้งกายวาจา เป็นคนบริสุทธิ์ แม้แต่จะพูดก็พูดบริสุทธิ์ ไม่มีพูดชนิดที่จะเอาประโยชน์อะไร เหมือนที่คนโลภเขาพูดกัน เหมือนที่คนโกรธเขาพูดกัน เหมือนที่คนโง่เขาพูดกัน ท่านพูดแต่คำที่ว่าคนโลภพูดไม่ได้ ท่านพูดแต่คำที่คนโกรธพูดไม่ได้ ที่คนหลงพูดไม่ได้ การพูดของท่านหรือการเทศน์ของท่านแสดงธรรมของท่าน มันสะอาด ทีนี้การชักชวน ก็ไม่ได้ชักชวนไปทางที่จะเกิดการเสียประโยชน์แก่ผู้อื่น หรือมันได้ประโยชน์แก่ผู้ เอ่อ, คนใดคนหนึ่งก็ไม่มี นี่มันศรัทธาว่าอย่างนี้
ทีนี้มันก็เขยิบไปถึงการเข้าไปหา นี่ข้อสองเขียนว่า อุปสงฺกมนํ เข้าไปหา พอมีการเข้าไปหา มันก็เกิดสามคือปริยุปาสนา ปยิรุปาสนา แปลว่าเข้าไปนั่งใกล้ คือทำความคุ้นเคย สาม ปยิรุปาสนา เข้าไปทำ เอ่อ, เข้าไปนั่งใกล้ คือทำความคุ้นเคย แล้วมันก็เกิดอันที่สี่คือ โสตาวธานํ จะคอยเงี่ยหูสดับอยู่ตลอดเวลา แล้วมันเกิดอันที่ห้าคือ ธมฺมสฺสวนํ คือได้ฟังคำที่พระองค์นั้นพูด แล้วมันก็เกิดอันที่ เอ่อ, หกคือ ธมฺมธารณํ ทรงธรรมไว้ จำธรรมไว้ จำทรงธรรมนั้นไว้ มันก็เกิดอันที่เจ็ด อตฺถุปปริกฺขตา อตฺถุปปริกฺขตา อันที่เจ็ด คือการใคร่ครวญซึ่งอรรถเนื้อความหรือความหมายแห่งธรรม เข้าไปใคร่ครวญทบทวนในอรรถอยู่เสมอ
ทีนี้ก็เกิดอันที่แปด ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติ ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติ แปลว่าความที่ธรรมะนั้นทนได้ต่อการพิสูจน์ของบุคคลนั้น คือเข้าไปใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมนั้น แล้วใคร่ครวญไปเท่าไร ๆ ก็ยิ่งพบว่า ไอ้ธรรมะนี้มันทนได้ต่อการพิสูจน์เพ่งเล็งวิเคราะห์ของบุคคลนั้น เพราะว่า เอ่อ, พระองค์นั้นเอาเรื่องดี เรื่องจริง เรื่องแท้ เรื่องตรงของพระพุทธเจ้ามาพูด คือพูดธรรมะของพระพุทธเจ้านั่นเอง ดังนั้นใครจะไปยิ่งใคร่ครวญเข้าเท่าไร จะยิ่งพบความที่ธรรมะนั้นทนได้ต่อการพิสูจน์
ความที่ธรรมะนี้ทนได้ต่อการพิสูจน์ เรียกเป็นภาษาบาลีว่า ธมฺมนิชฺฌานกฺขนฺติ คือธรรมะทนต่อการพิสูจน์ เดี๋ยวนี้คหบดีหรือคหบดีบุตรคนนั้น มันมีความเห็นชัดแจ้งเลยว่า ไอ้สิ่งไอ้ ๆ ธรรมะที่พูดนี้ไม่มีทางผิดเลย ยิ่งพิสูจน์เท่าไร ยิ่งไม่มีทางผิด นี้เขาก็เกิดอันที่เก้าคือฉันทะ เอ่อ, ฉันทะนี้ไม่ต้องอธิบายแล้วกระมัง ความพอใจ ก็พอใจในธรรมนั่นแหละโดยตรง ไม่ต้องพูดถึงพอใจในภิกษุนั้น พูดถึงพอใจในธรรมดีกว่า
มีฉันทะแล้วก็เกิดอันที่สิบคืออุตสาหะ อุตสาหะ ความขยันขันแข็งขึ้นมาทีเดียว กำลังใจมหาศาลมีมา ความขยันขันแข็งเต็มที่มีมา เอ่อ, ในการที่ปฏิบัติ ในการปฏิบัตินี้ คืออุตสาหะ แล้วเขาก็ เอ่อ, ก็ทำให้เกิดข้อที่สิบเอ็ดเรียกว่า ตุลนา คำนี้แปลว่าชั่งให้สมดุล การกระทำให้เกิดความสมดุล ตุละ ตุลา ตุล นี้ แปลว่าชั่งหรือตวง ตุลนา เขาชั่งหรือตวงธรรมะนั้นให้เกิดการสมดุล เช่นที่เราเรียกกันในที่อื่นว่า สมังคี มรรคสมังคี ธรรมสมังคีนี้ ให้ธรรมะทั้งหลาย มันได้ส่วน ๆ ๆ กันพอที่จะมาเข้ารวมกันเป็นอันเดียวได้ เช่นว่า มรรคมีองค์แปดนี้ ทั้งแปดส่วน เอ่อ, ได้สัดส่วนกันดีแล้ว มารวมเป็นมรรคอันเดียวได้ อย่างนี้ก็เรียกว่า ตุลนา ได้เหมือนกัน ก็หมายความว่า เขาปฏิบัติธรรม จนธรรมมันเข้ารูป ธรรมะมันเข้ารูป มันได้สัดได้ส่วน
ทีนี้ก็ให้เกิดอันสุดท้ายคือ ปธาน ปธาน ที่เคยแปลกันว่าความเพียรนั่นแหละ แต่ในที่นี้ไม่ใช่ความเพียร คือความมั่นคงหรืออุเบกขา เขาปฏิบัติธรรมะนั้นอยู่เป็นปรกติ ในลักษณะที่เป็นอุเบกขา อย่างอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เรื่องสัมโพชฌงค์ ๗ นี้เคยพูดกันให้ฟังแล้วว่า ในที่สุดมันเป็นอุเบกขา ปล่อยไปตามที่ความถูกต้องนั้นมันจะเป็นไป เราอยู่นิ่ง ๆ นี่คือความมั่นคง บางทีก็เรียกว่า ปหิตตฺตา
ปหิตตฺตา คือความที่ส่งตัวเองไปถูกทางแล้ว ส่งจิตไปถูกทางแล้ว เหมือนม้า เอ่อ, ดี ถนนดี รถดี อะไรดี ก็คนถือบังเหียนเฉย ๆ ม้าก็วิ่งไปตามถนนถึงปลายทางได้ อย่างนี้คือความมั่นคง ความแน่นอน ในโพชฌงค์จะเรียกว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์หรืออะไรก็ตามใจ แต่ในที่นี้เรียกว่า เอ่อ, ปธาน เป็นความมั่นคงของทุกสิ่ง ของ เอ่อ, ของธรรมะทุกอย่างที่มันเกี่ยวกับไอ้การปฏิบัตินี้
ทีนี้ก็ เขาก็บรรลุธรรมะในที่สุด เช่นโดยหลักว่า ยถาภูตํ เอ่อ, สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ นั่นแหละ เมื่อจิตมั่นคงแล้ว ย่อมเห็นแจ้งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ดังนั้นเขาจึงทำปรมัตถธรรมปรมัตถสัจจ์อะไรให้แจ้งได้ ด้วยนามกาย คือด้วยความรู้สึก รู้สึกต่อธรรมะด้วยนามกาย รู้สึกธรรมะเย็น ธรรมะไม่มีทุกข์ ธรรมะนั้นน่ะ ซึ่งเหมือนกับดื่มธรรมะนี่ อย่างนี้เรียกว่า เอ่อ, รู้แจ้งปรมัตถธรรม ธรรมอัน ๆ สูงสุดนั่นด้วยนามกาย แล้วก็แทงตลอดธรรมะนั้นด้วยปัญญา คือความรู้
หมายความว่าเมื่อธรรมะชนิดนี้ เอ่อ, บรรลุถึงปรากฏอยู่ในใจแล้ว มันมีผลสองอย่าง คือด้วยนามกาย โดยอาศัยความรู้สึกทางนามกายนี้รู้ว่า มันเป็นสุขเหลือเกิน และอีกทางหนึ่งรู้ด้วยปัญญาว่า นี้มันเป็นอย่างไร ๆ ๆ ในการรู้นั้นมีสองรู้เท่านี้ รู้สึกด้วยนามกาย คือเสวยความสุขเกิดแต่ธรรมะนั้น รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า อะไรเป็นอะไร ๆ นี้คือรู้แจ้งด้วยปัญญานี่
บุคคลนี้ได้รับผลอันนี้ เพราะไม่ได้พูดกับพระองค์นั้นสักคำเดียว เอ่อ, ทีแรก หมายถึงทีแรกนะ เฝ้าดูอยู่แต่โดยตลอดปีจนกว่าจะเกิดศรัทธา พระองค์นั้นก็ไม่ได้พูดทางปาก พูดโดยร่างกาย คือปฏิบัติให้ดู ไม่กี่วันไม่กี่เดือนไม่กี่ปี คหบดีหรือคหบดีบุตรนั้นทนอยู่ไม่ได้ มีศรัทธาแล้วก็พยายามเข้าไปติดต่อ จนได้พูด จนได้ฟัง จนได้อะไร จนได้ปฏิบัติ
ดังนั้นขอให้ถือว่า การทำประโยชน์ผู้อื่นที่จะสำเร็จประโยชน์ที่แท้จริงนั้น จงแสดงตัวอย่างที่ดีอยู่ในเนื้อในตัว แสดงการปฏิบัติที่ถูกต้องอยู่ที่เนื้อที่ตัว นี่ทำประโยชน์ผู้อื่นมากที่สุด ส่วนที่จะพูดจะจาจะแสดงอย่างอื่นนั้น ก็ทำไปก็ได้ แต่จะไม่สูงสุดเหมือนกับปฏิบัติให้ดู ก็สรุปความว่า เราต้องอยู่กันให้ดี ๆ เรื่องอื่นก็ทำไปเถิด แต่ว่าการเป็นอยู่นี้ ต้องอยู่ให้ดี ๆ ต้องอยู่ให้ถูกต้อง ต้องอยู่ในลักษณะที่ไม่มีโทษ เอ่อ, มลทินทางกาย ทางวาจา ทางจิตนี่ แล้วก็มี เอ่อ, การพูดจาที่ ๆ เห็นได้ว่า เราไม่ล้วงกระเป๋าเขา
นี่เดี๋ยวนี้มันมีการพูดจาโดยตรงโดยอ้อมที่ล้วงกระเป๋าเขา คือการปฏิบัติการแสดงเล่นละครนี้ ก็เพื่อให้จะล้วงกระเป๋าเขา นี่เขารู้ อย่ากลัว คนโง่เท่านั้นที่จะไม่รู้ แต่ไม่เท่าไรมันก็รู้อีกแหละ ทีนี้จะชักชวนเขาให้ทำอะไร ก็ต้องชักชวนในลักษณะที่ ให้ชักชวน เอ่อ, ไปในการกระทำที่ไม่เบียดเบียนเขาหรือเบียดเบียนใคร เป็นอยู่อย่างนี้ที่ว่า สนุกสนานอย่างยิ่ง อยู่ด้วยการลืมตัวเองเสีย แล้วก็ทำเป็นประโยชน์ผู้อื่น แล้วไม่ให้ ต้องให้มันถึงที่สุด
ก็ใช้คำพูดอีกสามคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ แล้วผมก็ชอบมาก ใช้คำว่าความสัจจ์ สามคำเท่านั้นแหละ คุณลองจำไปทีว่า คำแรกว่า สัจจานุรักษ์ สัจจานุรักษ์ คำที่สองว่า สัจจานุโพธ คำที่สามว่า สัจจานุปัตติ สัจจานุรักษ์ หมายความว่าคนนั้นรักษาสัจจะ รักษาความจริง รักษาหลักธรรม รักษาอะไรไว้เป็นของตัว มีทิฏฐิที่ถูกต้อง มีศรัทธาที่ถูกต้อง มีอะไรที่ถูกต้องอย่างนี้ ก็เรียกว่าเป็นสัจจานุรักษ์ เช่นเรารู้ธรรมะ เรียนธรรมะ รักษาธรรมะหรืออะไรนี้ อย่างที่ทำ ๆ กันอยู่ นี่แหละเรียกว่าสัจจานุรักษ์ได้ กระทั่งรักษาพระศาสนา รักษา เอ่อ, สืบศาสนาอะไรก็ตาม เอ่อ, สอนต่อ ๆ กันไปก็ตาม
นี้เรียกว่าสัจจานุรักษ์ แต่ยังไม่ใช่สัจจานุโพธ ยังไม่ใช่สัจจานุโพธ สัจจานุโพธนั้น เอ่อ, มัน ๆ โพธะ ที่แปลว่ารู้ ตามรู้หรือรู้ตามซึ่งสัจจะนั่น สัจจานุโพธนี้ ก็คือต้องเป็นอย่างที่คหบดีคนนั้นเป็น มันต้องมีความรู้สึกที่จริงที่ถูก เอ่อ, อะไรขึ้นมาตามลำดับ ๆ ๆ รู้ธรรมะตามลำดับ ๆ ๆ กระทั่งมีศรัทธา กระทั่งเข้าไปหา กระทั่งเข้าไปนั่งใกล้ กระทั่งเงี่ยหูฟัง กระทั่งได้ฟัง กระทั่งได้จำคำไว้ กระทั่งได้อุปปริกขา คือใคร่ครวญอรรถ ธรรมะทนต่อการพิสูจน์ มีความพอใจ มีความอุตสาหะ ธรรมะสมดุลแล้ว รักษาความมั่นคงอันนั้นไว้ นี้เรียกว่ามันเป็นสัจจานุโพธไปตามลำดับ ๆ
ทีนี้สัจจานุโพธนั้นก็ยังไม่ใช่สัจจานุปัตติ คือยังไม่ใช่การบรรลุธรรม การบรรลุธรรมเขาจะมุ่งหมายเฉพาะต่อเมื่อมันมีธรรมเป็นเนื้อเป็นตัวแล้ว ใช้คำว่า อาเสวนา เสพคบเหมือนกับอาบรสด้วยธรรมะนั้นอยู่ตลอดเวลา ภาวนา ก็เป็นผู้เจริญในธรรมะนั้น พหุลีกมฺม เขาแปลว่า เอ่อ, กระทำอยู่อย่างมาก กระทำอยู่อย่างมาก ก็ ๆ คือย้อนไปทำอย่างราย ๆ การนั้นแหละ ถ้ายังไม่บรรลุอยู่เพียงไร ก็จะต้องทำอยู่อย่างนั้น แล้วก็แสดงไอ้หลักธรรมะสิบสองอย่างนี้เหมือนกับปฏิจจสมุปบาท
คือพระพุทธเจ้าท่านแสดงว่า ศรัทธานี้มันเป็นอุปการะมากแก่การบรรลุธรรม แต่มันขึ้นไปตามลำดับนะ มีศรัทธาแล้วก็เข้าไปหา เข้าไปหาแล้วไปนั่งใกล้ ไปนั่งใกล้แล้วก็เงี่ยหูฟัง แล้วก็ฟังธรรม ดำรงธรรม ใคร่ครวญธรรม เห็นความที่ธรรมทนต่อการพิสูจน์ แล้วพอใจ แล้วอุตสาหะ แล้วทำให้สมดุล แล้วก็ตั้งมั่น มันเป็นอย่างนี้ มันทบทวนอยู่แต่อย่างนี้
ถ้าสัจจานุปัตติหรือการบรรลุธรรมยังไม่ถึงที่สุด ก็ต้องทำอยู่อย่างนี้ และเมื่อทำอยู่อย่างนี้ มันเป็นการเสพการคบธรรมะอยู่ ทำให้เจริญอยู่ ทำให้มากอยู่ นั่นเรียกว่าถึงสัจจานุปัตติ ถึงธรรม พอถึงธรรมแล้วก็มีผล มีผลอย่างที่ว่า สัจจานุปัตตินี้ยังไม่ใช่ผลหรอก เพียงแต่การเข้าไปถึงตัวมัน สัจจานุรักษ์ ทีแรกก็เราเอามารักษาไว้ มาเลี้ยงไว้เหมือนเลี้ยง ๆ สัตว์อย่างนั้นแหละ สัจจานุโพธ นี้ก็คือรู้ไปตามลำดับ ๆ ๆ จนถึงจุดปลายทาง ก็เรียกว่าถึงธรรม สัจจานุปัตติ
หลังแต่นี้ก็มีผล ผลคือ ๆ ผลสองอย่างอย่างที่ว่ามาแล้ว รู้แจ้งธรรมด้วยนามกาย เสวยรสแห่งธรรม ดื่มรสแห่งธรรมด้วยความรู้สึก นี่ก็รู้แจ้งธรรมนั้น ๆ ด้วยปัญญา สำหรับจะสอนผู้อื่นต่อไป แต่เรากินก่อนดื่มก่อน เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวว่า เมื่อนึกถึงแต่ผู้อื่นแล้ว ตัวจะไม่ได้อะไร นั่นมันคนโง่ คนเห็นแก่ตัวจัด ก็ไปเห็นแก่ผู้อื่นแล้วจะไม่ได้อะไร ถ้าพูดอย่างธรรมดาอีกก็เทียบ เพราะไปเห็นแก่ผู้อื่นเลยหมดเลย ไม่เห็นแก่ตัวนั่นแหละ จึงทำให้ตัวนี้หมดเกลี้ยง กิเลสหมดเกลี้ยงความเห็นแก่ตัว มันกลายเป็นเราที่แท้จริงขึ้นมา แต่อย่าได้ยึดถือนั้นว่าเป็นเรา ว่าของเรา
นี่เรื่องมันมีอย่างนี้ เรื่องการใช้อาวุธลับสำหรับฆ่าเสียซึ่งตัวกู มันมีเรื่องราวรูปโครงอย่างนี้ นี้ขอให้ไปคิดไปนึกไปพิจารณาไปศึกษา ให้ลืมตัวเองเสีย สนุกอยู่ด้วยการทำประโยชน์ผู้อื่น นั่นแหละเป็นอุบาย เอ่อ, เป็นอาวุธที่จะสามารถฆ่าตัวกูของกู และอย่าลืมว่า จะทำประโยชน์ผู้อื่นนั้น ให้ทำด้วยวิธีสูงสุดเหมือนพระองค์นั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คืออยู่ให้ดี แล้วเราก็ไม่ต้องพูด เขาจะเป็นผู้ทำเอง เขาจะได้รับประโยชน์สูงสุดเองนี่ คนเขาชอบเห็นคนดี ชอบดูคนดี ชอบเห็นคนดี ชอบ เอ่อ, ทำตามอย่างคนดี แต่เขาไม่ชอบคนบ้าน้ำลายพูดหรือว่าคนที่ท่าทางไม่ดี
คุณชำนาญเล่าให้ฟังว่า ที่เมืองจันทบุรี เจ๊กคนหนึ่งเขาใส่บาตร แต่เขาไม่เอาขันข้าวออกมา เขาไว้ในประตู เขามายืนดูอยู่ข้างนอกริมถนน พอเห็นพระพวกนั้นมา เขาจึงใส่ พอเห็นพระพวกนี้มา เขาก็ไม่รู้ไม่ชี้ เขาเฉยเสีย เพราะเขาไม่อยากจะใส่ แล้วมีคนไปถามว่า เอ้า, ทำไมลื้อทำอย่างนั้น เขาตอบว่า พระพวกนั้นอีเลินลี เพียงเท่านี้ พระพวกนั้นแกเดินดี เดินน่าดู เดินน่าเลื่อมใส พระพวกนี้เดินไม่ดี เดินคุยกัน เดินเคียงกัน เดินสูบบุหรี่นี่ พระพวกนี้เดินไม่ดีเลยไม่ใส่บาตร นี้เป็นเจ๊กที่เมืองจันทบุรี คุณชำนาญเล่าให้ฟัง
ดังนั้นคุณจำเอาไว้เถิดว่า มัน คนน่ะเขาต้องการจะเห็นตัวอย่างที่ดี ไม่ต้องการจะฟังพูดบ้าน้ำลาย แล้วเขาก็จะสนใจเอง ติดตามเอง อะไรเอง ก็ขอแต่ให้พระองค์นั้นมันดี เหมือนพระองค์ที่พระพุทธเจ้านำมาตรัสในสูตรนี้ เอ่อ, เรียกว่าจังกีสูตร อยู่ในคัมภีร์มัชฌิมปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ไปดูรายละเอียดเอาเองก็ได้
เอาล่ะ, พอกันทีเรื่องอาวุธสำหรับฆ่าตัวกูของมัน เวลาหมด